ขลัง ศักดิ์สิทธิ์ อิทธิปาฏิหาริย์ งมงายหรือไม่งมงาย

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย paang, 12 มกราคม 2006.

  1. paang

    paang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2005
    โพสต์:
    9,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +34,326
    [​IMG]


    พระพุทธศาสนาพูดถึง ปาฏิหาริย์ไว้ 3 ชนิด คือ

    1. อิทธิปาฏิหาริย์ (แสดงฤทธิ์ต่างๆ เช่น เหาะเหินเดินอากาศ หายตัว ร่างเดียวแปลงเป็นหลายร่างได้ ฯลฯ)

    2. อาเทสนาปาฏิหาริย์ (ดักใจ ทายใจคนอื่นได้)

    3. อนุสาสนีปาฏิหาริย์ (แสดงธรรมชี้คุณชี้โทษให้เขาเลื่อมใสแล้วปรับเปลี่ยนพฤติกรรมจาก คนชั่วเป็นคนดี จากที่ดีอยู่แล้วได้บรรลุคุณธรรมสูงขึ้น)

    ตามทรรศนะพระพุทธศาสนา พระพุทธเจ้ามิได้ปฏิเสธ ปฏิหาริย์ทั้งสามอย่างเลย ทรงรับว่ามีจริงทำได้จริงทั้งสามอย่างนั้น แต่ทรงวางน้ำหนักไม่เท่ากัน

    พระองค์ตรัสว่า ปาฏิหาริย์อย่างสุดท้าย (อนุสาสนีปาฏิหาริย์) ประเสริฐกว่าสองอย่างข้างต้น และเป็นปาฏิหาริย์ที่พระองค์ทรงสรรเสริญ และสนับสนุนให้สาวกทั้งหลายกระทำ

    นั่นก็คือทรงเห็นว่าการสอนคนให้ละชั่วทำดีทำจิตให้บริสุทธิ์จนกระทั่งบรรลุมรรคผลนิพพาน เป็น "สิ่งมหัศจรรย์ยิ่ง" (ปาฏิหาริย์) และเป็นสิ่งมหัศจรรย์ที่สาวกของพระองค์พึงกระทำ ถือว่าเป็นหน้าที่เลยก็ว่าได้

    แต่สำหรับสองอย่างข้างต้น แม้จะไม่ทรงปฏิเสธ ทรงรับว่ามีเป็นได้ มีได้ และมีประโยชน์ในระดับหนึ่ง แต่ทรงสอนให้ "วางท่าที" และปฏิบัติให้ถูกต้อง ถ้าใช้ไม่ถูกต้องก็เป็นเรื่องของความงมงาย ถ้าใช้ถูกต้องก็ไม่งมงาย กลับจะเป็นประโยชน์เสียด้วยซ้ำ

    ยกเฉพาะอิทธิปาฏิหาริย์ก่อนก็แล้วกัน พระพุทธเจ้าตรัสว่า การแสดงฤทธิ์ได้ เป็นผลจากการฝึกสมาธิภาวนา ฤๅษีชีไพร โยคีทั้งหลายก็ทำได้เป็นจำนวนมาก พระสงฆ์สาวกของพระพุทธองค์ก็ทำได้เป็นจำนวนมากแต่สำหรับสาวกของพระพุทธองค์ พระองค์จะทรงห้ามมิให้ใช้อิทธิฤทธิ์พร่ำเพรื่อโดยไม่มีเหตุผลอันสมควรห้ามใช้ฤทธิ์เพื่อเหตุผลของฤทธิ์

    พูดแล้วอาจไม่กระจ่าง ความหมายก็คือ ถ้าแสดงฤทธิ์เพื่อให้เขาอัศจรรย์ว่า แหมคนนี้เก่งจริงๆ อย่างนี้ไม่ได้ ถือว่าผิดครับ

    หรือแสดงฤทธิ์เพื่ออามิสสินจ้าง หรือเพื่อลาภสักการะ อย่างนี้ก็ไม่ได้ ผิดอีกเช่นกัน

    ที่ว่านี้ก็มิได้พูดเอาเอง มีเรื่องเกิดขึ้นมาก่อนแล้ว คือในสมัยพุทธกาล เศรษฐีชาวเมืองราชคฤห์คนหนึ่งได้บาตรไม้จันทน์มา อยากทดลองว่ามีพระอรหันต์ผู้มีฤทธิ์จริงหรือไม่ หรือว่ามีแต่ "ราคาคุย" เฉยๆ จึงตั้งเสาลำไม้ไผ่สูงเท่าต้นตาล โดยเอาบาตรแขวนไว้บนยอดเสา ประกาศว่า ถ้าพระอรหันต์ทรงอภิญญามีจริงขอให้เหาะมาเอาบาตร ถ้าใครสามารถเหาะมาเอาบาตรได้ ข้าพเจ้าจะมอบตนเป็นศิษย์ ถ้าภายใน 7 วันไม่มีใครมาเอาบาตรได้ ข้าพเจ้าจะได้รู้เสียทีว่า ในโลกนี้ไม่มีพระอรหันต์ผู้ทรงอภิญญา มีแต่ "ราคาคุย" เท่านั้น

    เหตุการณ์ผ่านไปถึงเช้าวันที่ 7 ก็ไม่มีใครเหาะไปเอาบาตร พระเถระสองรูปคือ พระโมคคัลลานะกับพระปิณโฑละภารัทวาชะ กำลังออกบิณฑบาตในเมืองราชคฤห์ ได้ยินเสียงชาวบ้านพูดในทำนองว่า ไม่มีพระอรหันต์ทรงอิทธิฤทธิ์จริง เศรษฐีประกาศให้พระอรหันต์เหาะไปเอาบาตรภายใน 7 วัน นี่ก็มาถึงวันที่ 7 แล้ว ไม่มีพระอรหันต์ทรงอิทธิฤทธิ์แม้แต่องค์เดียว

    พระโมคคัลลานะ ได้ยินหันมามองพระปิณโฑละ กล่าวว่า ท่านผู้มีอายุ ประชาชนกำลังดูหมิ่นว่าไม่มีพระอรหันต์ผู้มีฤทธิ์ ท่านจงแสดงให้เขาเห็นเถิด พระปิณโฑละจึงขออนุญาตพระโมคคัลลานะ (พระอัครสาวกเบื้องซ้าย ผู้มีฤทธิ์มาก) เข้าฌานแล้วก็เหาะไปเอาบาตรลงมาจากเสาไม้ไผ่นั้น

    เศรษฐีเลื่อมใสในพระเถระ มอบตนเป็นศิษย์ท่าน ถ่ายอาหารบิณฑบาตท่านแล้ว อุ้มบาตรเดินตามหลังท่านกลับไปยังพระวิหาร

    บรรดา "แขกมุง" ทั้งหลายก็พากันห้อมล้อมพระเถระ เดินตามท่านไปวัด ส่งเสียงอื้ออึง พระพุทธเจ้าทรงสดับเสียงอื้ออึง จึงตรัสถามพระอานนท์ พระอานนท์กราบทูลเรื่องราวให้ทรงทราบ

    แทนที่พระองค์จะทรงยินดีด้วย กลับตรัสเรียกพระปิณโฑละมาเข้าเฝ้า พร้อมภิกษุสงฆ์จำนวนมาก ตรัสตำหนิกลางที่ประชุมด้วยคำแรงๆ ว่า

    "โมฆบุรุษ (บุรุษเปล่า) ไม่สมควรเลยที่เธอแสดงอิทธิฤทธิ์ เพื่อแลกกับบาตรใบเดียว การกระทำของเธอไมต่างกับนางนครโสเภณีเปิดเผยอวัยวะของตนเพื่อแลกเงินและทอง"

    เป็นคำตำหนิที่แรงมาก ทรงเห็นว่าพระสาวกของพระองค์ที่แสดงอิทธิฤทธิ์ ให้เขารู้ว่าตนทำได้ และแสดงเพื่อแลกลาภสักการะ (ในกรณีนี้ บาตรใบเดียว) เป็นสิ่งที่สมณะศากยบุตรไม่พึงทำ เรียกว่าเป็นการ "หากิน" เหมือนโสเภณีหากินด้วยการเปิดอวัยวะที่ควรปิดแลกเงินและทองฉะนั้น

    จากเหตุการณ์ครั้งนี้ พระพุทธองค์จึงทรงบัญญัติเป็นข้อห้าม ห้ามพระสาวกของพระองค์แสดงอิทธิปาฏิหาริย์ ด้วยเหตุผลที่ไม่สมควร

    ตรงนี้คนทั่วไปที่เคร่งต่อตัวบทกฎหมาย ตีความว่า ห้ามพระสงฆ์สาวกแสดงอิทธิฤทธิ์เด็ดขาด ไม่ใช่เฉพาะคนทั่วไป นักบวชศาสนาอื่นก็เข้าใจอย่างนั้น จึงประกาศจะแสดงฤทธิ์แข่งกับ "พระสมณะโคดม" (คือพระพุทธเจ้า" โดยเชื่อว่า เมื่อพระสมณะโคดมห้ามสาวกแสดงอิทธิฤทธิ์ พระองค์เองก็ต้องไม่แสดงด้วย เมื่อพวกตนท้าแสดงฤทธิ์แข่ง พระสมณะโคดมไม่แสดงเพราะผิดกฎที่พระองค์วางไว้ ก็จะแพ้พวกตน

    ร้อนถึงพระเจ้าปเสนทิโกศล พระองค์เสด็จไปทูลถามพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าตรัสว่า พระองค์จะแสดงเอง เมื่อทูลถามว่า ก็เมื่อพระองค์ประกาศห้ามสาวกแสดงแล้ว พระองค์จะแสดงได้อย่างไร

    พระพุทธเจ้าจึงตรัสถามว่า "มหาบพิตร ถ้ามีคนมาขโมยมะม่วงจากสวนหลวงของพระองค์ไปกิน จะว่าอย่างไร"
    "หม่อมฉันก็จับมันมาทำโทษ" พระราชากราบทูล
    "ถ้ามหาบพิตรอยากเสวยมะม่วงจากสวนหลวงเล่า"
    "หม่อมฉันก็ให้คนปลิดมาให้กิน"
    "มหาบิพตรห้ามคนอื่นกินมะม่วงจากสวนหลวง ทำไมมหาบพิตรเอามาเสวยได้เล่า"
    "ก็หม่อมฉันเป็นเจ้าของสวน ย่อมมีสิทธิ์เอามะม่วงมากินได้"

    พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า เช่นเดียวกันนั่นแหละ พระพุทธองค์เป็นเจ้าของศาสนา ย่อมมีสิทธิแสดงอิทธิปาฏิหาริย์ได้ แม้จะประกาศห้ามสาวกแสดงก็ตาม

    ประเด็นจึงอยู่ที่ว่า ไม่ใช่ไม่ให้แสดงอิทธิฤทธิ์ แสดงได้ แต่ให้มีเหตุผลและจุดประสงค์อันสมควร ที่จะแสดง

    ท่าทีที่ถูกต้องเกี่ยวกับเรื่องนี้ก็คือ

    ถ้าใช้อิทธิฤทธิ์เป็น "สื่อ" สอนธรม การแสดงฤทธิ์ก็เหมาะสม และถูกต้องตามพุทธประสงค์บุคคลบางคนเชื่อและเลื่อมใสในอิทธิฤทธิ์ ใครมีฤทธิ์ก็ให้ความนับถือ คนเช่นนี้ถ้าเราจะ convert หรือกลับใจเขา คนสอนจะต้องมีอิทธิฤทธิ์เท่าๆ เขา หรือมากกว่าเขา เขาจึงจะเลื่อมใส และยอมเชื่อฟัง อย่างนี้เรียกว่า ใช้ฤทธิ์ปราบฤทธิ์

    เมื่อใช้ฤทธิ์ปราบฤทธิ์ได้แล้ว ไม่ควรหยุดอยู่แค่นั้น ควรสอนให้เขาละวางเรื่องฤทธิ์ก้าวไปสู่คุณธรรมที่สูงกว่านั้น ดังกรณีที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงอิทธิฤทธิ์เองในบางครั้ง หรือทรงมีพุทธบัญชาให้พระโมคคัลลานะไป "ปราบ" บางคน

    ผู้สืบทอดพระพุทธศาสนาในปัจจุบัน พึงตระหนักว่า บรรดาปาฏิหาริย์ทั้งหลาย พระพุทธองค์ทรงยกย่อง อนุสาสนีปาฏิหาริย์ ว่าเป็นยอด การแสดงอิทธิฤทธิ์ก็ดี ความสามารถในการอ่านใจ ทายใจคนอื่นได้ก็ดี ถึงจะไม่ปฏิเสธ ก็ทรงเตือนไว้ว่า อย่าใช้พร่ำเพรื่อ อย่าใช้ผิดวัตถุประสงค์ และอย่าใช้ในทางที่ไม่เหมาะ

    ให้เตือนตนอยู่เสมอว่า พึงใช้อิทธิฤทธิ์เป็น "สื่อ" จูงคนเข้าหาพระธรรมที่สูงขึ้น มิใช่ใช้เพื่อให้คนเขาอัศจรรย์ว่าเราเก่ง แล้วจะได้นำลาภสักการะมาถวาย

    นี้พูดถึงผู้ที่สามารถแสดงอิทธิฤทธิ์ได้ ส่วนผู้ที่ไม่มีความสามารถในด้านนี้เลยแม้แต่น้อย แต่แสดงให้คนอื่นเข้าใจว่าตนทำได้ ยิ่งมีความผิดมหันต์ ถ้าเป็นพระภิกษุ ก็เข้าขั้น "อวดอุตริมนุสสธรรม" มีความผิดหนักถึงขั้นขาดจากความเป็นพระ

    เรื่องเกิดครั้งแรกสมัยพุทธกาล เกิดข้าวยากหมากแพงไปทั่วเมือง พระสงฆ์องคเจ้าอยู่ลำบาก มีอาหารบิณฑบาตไม่พอเพียง เนื่องจากชาวบ้านยากจน ไม่ค่อยมีอะไรกินอยู่แล้ว จึงไม่มีมาเจียดถวายให้พระสงฆ์ มีภิกษุกลุ่มหนึ่ง อยู่หมู่บ้านชายฝั่งน้ำวัคคุมุทา ปรึกษาหารือวิธีที่จะอยู่รอด

    รูปหนึ่งเสนอขึ้นว่า "พวกเราน่าจะยกย่องคุณธรรมของกันและกันให้ชาวบ้านได้ยิน เมื่อเขาเข้าใจว่าพวกเราเป็นผู้วิเศษ ก็จะเลื่อมใส เอาข้าวเอาน้ำมาถวาย ด้วยอุบายอย่างนั้นพวกเราก็จะไม่ลำบากด้วยอาหารบิณฑบาต"

    ทั้งหมดเห็นดีเห็นงามด้วยกับข้อเสนอของภิกษุรูปนั้น จึงดำเนินการตามแผน

    ภิกษุตึ๋ง (นามสมมติ) เข้าไปหมู่บ้าน ก็พูดคุยกับโยมว่า "คุณโยมรู้ไหม ท่านต๋อง (นามสมมติ) บรรลุโสดาบัน"

    ภิกษุต๋อง ก็พรรณนาสรรพคุณของภิกษุตึ๋งให้โยมฟังเช่นกัน ผลัดกันชมกันเองว่าอย่างนั้นเถอะ ญาติโยมทั้งหมู่บ้านได้ยินก็เลื่อมใสเป็นการใหญ่ "โอ พระคุณเจ้ากลุ่มนี้อยู่กับเราตั้งนาน พวกเราไม่รู้เลยว่าท่านเป็นพระอริยะบรรลุมรรคผลนิพพาน โอ ช่างเป็นบุญของพวกเราเหลือเกิน"

    ชื่นชม ไม่ชื่นชมเปล่า ต่างก็นำข้าวปลาอาหารไปถวายพระคุณเจ้าฉันอย่างอิ่มหมีพีมันอีกด้วย ตกลงว่าในระหว่างพรรษานั้น พระกลุ่มนี้ไม่ลำบากด้วยอาหารการฉัน เพราะได้โยมอุปัฏฐากเลี้ยงดูอย่างดี ในขณะที่พระสงฆ์ที่อาศัยอยู่ในตำบล หรือจังหวัดอื่นๆ ผอมโซไปตามๆ กัน

    เมื่อท่านเหล่านี้ไปเฝ้าพระพุทธองค์ ได้กราบทูลวิธีปฏิบัติของพวกตนให้พระพุทธองค์ทรงทราบ พระพุทธองค์ตรัสตำหนิท่ามกลางสงฆ์ว่าเป็นการ "อวดคุณวิเศษที่ไม่มีในตน" มีความผิดร้ายแรงถึงขั้นขาดจากความเป็นพระภิกษุ จึงทรงบัญญัติห้ามพระสาวกทำอย่างนี้อีกต่อไป ใครขืนทำ ขาดจากความเป็นพระทันที ต้องไล่สึกออกจากสังฆมณฑล

    เนื่องจากภิกษุกลุ่มดังกล่าวเป็นกลุ่มแรกที่ทำความผิดนี้ พระพุทธองค์ไม่ทรงไล่สึก แต่ให้เป็น "อาทิกัมมิกะ" (แปลกันว่าต้นบัญญัติ ความหมายก็คือ ให้เป็นตัวอย่างในทางชั่ว ให้ประจานกันต่อๆ ไปว่า บวชมาแล้วอย่าประพฤติชั่วเหมือนภิกษุกลุ่มวัคคุมุทานะ อะไรทำนองนั้น)

    การอวดคุณวิเศษที่ไม่มีในตน พระพุทธเจ้าตรัสว่าเป็นมหาโจรประเภทที่ 5 และเป็นยอดของมหาโจรทั้งหลายด้วย เพราะถือว่าเป็นการลวงโลกอย่างร้ายกาจ มิบังควรที่บรรพชิตจะพึงกระทำ

    ทั้งๆ ที่ทรงเตือนอย่างนี้ ก็มีเจ้ากูสมัยนี้พยายาม "เลี่ยงบาลี" แสวงหาลาภสักการะโดยวิธีอ้างความขลังความศักดิ์สิทธิ์กันอยู่ดาษดื่น หลายกรณีก็เข้าข่าย "อวดอุตริมนุสสธรรม" โดยไม่รู้ตัว และก็ไม่ถูกจับสึกแต่อย่างใด เพราะเรื่องอย่างนี้บางทีก็ละเอียดอ่อน ยากจะชี้ลงไปว่า ผิดหรือไม่ผิดจริง

    แต่ที่รู้แน่ก็คือ "สำนึกในใจ" ของบุคคลนั้นเองว่า เขาผิดหรือไม่ นอกเสียแต่ว่าเป็นคนทรยศต่อจิตสำนึกของตนเอง หรือหน้าด้านทำอยู่ทั้งๆ ที่รู้ว่าผิด

    ส่วนในกรณีที่ "เฉียด" ปาราชิกนั้นมีมาก จะเอาผิดถึงขั้นจับสึกก็ไม่สามารถเอาผิดได้ เพราะไม่เข้าข่ายบางครั้งคนๆ นั้นเป็นผู้มีความรู้พระวินัย หรือตัวบทกฎหมายสำหรับพระดีอีกด้วย จึงหาช่องทางเลี่ยงบาลีได้สบายๆ

    พูดถึงเรื่องขลังเรื่องศักดิ์สิทธิ์ มีเจ้ากูมากมายที่อาศัยความโง่งมงายของประชาชนหากิน ปลุกเสกเหรียญ (บางที่ก็ไม่มีพิธีปลุกเสก ปั๊มกันขึ้นมามากมาย) แล้วก็ให้ "เช่า" (ศัพท์ในวงการ ฟังดูดี แต่ทีจริงก็คือ ซื้อ นั้นเอง) ในราคาแพงๆ อย่างนี้เป็นสิ่งที่ไม่พึงทำ เพราะพระภิกษุไม่มีสิทธิ์ทำตนเป็นพ่อค้า ผลิตสินค้าจำหน่าย

    หรือบางรายมิได้ทำเพื่อการซื้อขาย นำพระนำเหรียญที่ปลุกเอง หรือที่ผู้อื่นปลุกเสกไว้แล้วมาแจกจ่ายให้ญาติโยมนำไปบูชา

    ถ้าให้สิ่งนั้นๆ แก่ประชาชนไปเพื่อเป็น "พุทธานุสสติ" เตือนให้รำลึกถึงพระพุทธคุณ คอยห้ามใจจากความชั่ว ปลุกใจให้ทำความดี ขณะมอบให้ พระท่านก็กล่าวสอนธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วย อย่างนี้ถือว่าใช้เครื่องรางของขลังเป็น "สื่อ" จูงคนเข้าสู่ร่มเงาแห่งพุทธธรรม ไม่เสียหาย เป็นสิ่งควรทำเสียด้วยซ้ำ

    แต่ถ้ามอบเหรียญมอบพระให้ พลางพรรณนาสรรพคุณว่า เก็บไว้ให้ดีๆ พระองค์นี้ศักดิ์สิทธิ์ คงกระพัน ยิงไม่ออกฟันไม่เข้า เมื่อวานนี้เด็กหนุ่มคนหนึ่งเข้าไปปล้นร้านทอง ถูกตำรวจยิงหลายนัดจนเสื้อขาดเป็นรูแต่กระสุนไม่ระคายผิวหนังเลย รอดมาได้อย่างปาฏิหาริย์ อย่างนี้ละก็ไม่ถูกต้องอย่างยิ่ง ตัวอย่างที่ยกมานั้นแลไม่พรรณานาความขลังของพระอย่างเดียว แถมยังสนับสนุนให้ทำชั่วทุจริตโดยไม่รู้ตัว

    อย่างนี้ถึงจะไม่ถึงขั้นปาราชิกอะไร ก็ไม่ควรให้อยู่ในผ้าเหลืองต่อไป เพราะจะเป็นอันตรายแก่พระพุทธศาสนาโดยส่วนรวม

    ก่อนจบ ขอยกตัวอย่างจริงสักเรื่อง มีชายคนหนึ่งได้เหรียญหลวงพ่อคูณไปแล้ว รถคว่ำเกือบตายไปต่อว่าหลวงพ่อคูณเจ้าของเหรียญว่า ทำไมหลวงพ่อไม่ช่วย รถคว่ำเกือบตาย

    หลวงพ่อถามว่า "xxxขับเร็วเท่าไร"
    "ร้อยสามสิบ-ร้อยสี่สอบครับ" ชายคนนั้นตอบ
    หลวงพ่อคุณกล่าวทันทีว่า "โอ๊ย แค่ร่อยเดียว กูก็กระโดดรถหนีแล่ว กูไม่อยู่ช่วยxxxหรอก"

    ฟังดูเป็นเรื่องฮิวเมอร์ แต่นี้แหละครับคือตัวอย่างของการให้เครื่องรางของขลังไปใช้ในทางที่ถูก คือพระจะขลังจริง ก็ต่อเมื่อไม่ประมาท ถ้าขับรถประมาท ขับเร็วเกินกำหนด ต่อให้พระขลังอย่างไรก็ช่วยไม่ได้

    อยากแจกก็แจกเถอะครับ พระหรือเหรียญอะไรต่างๆ แต่ต้องแจกเพื่อให้เป็น "สื่อสอนธรรม" คือต้องบอกผู้รับว่า ได้พระได้เหรียญไปแล้ว เอ็งต้องไม่ประมาท หมั่นทำแต่ความดี แล้วพระจะคุ้มครอง

    ที่มา : นสพ.ข่าวสด หน้า 28
    วันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2548 ปีที่ 15 ฉบับที่
    5511
     
  2. Nukool

    Nukool เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กันยายน 2005
    โพสต์:
    278
    ค่าพลัง:
    +1,073
    ขอสาธุอนุโมทนามิครับ
    เรียนมาให้ทราบทั่วกันทุกท่านครับ ในวันอาทิตย์ 22 มกราคม พ.ศ.2549
    มีการแห่พระบรมสารีริกธาตุจากประเทศศรีลังกาจากวงเวียนใหญ่มาประดิษฐาน
    วัดพิชยญาติการาม ในเวลา 09.00 น. ขอเชิญชวนผู้มีจิตศรัทธามาร่วมงานดังกล่าวครับ
    วัดพิชยญาติการาม วรวิหาร พระอารามหลวง ชั้นโท ชนิดวรวิหาร ๖๘๕ ถนนประชาธิปก แขวงสมเด็จเจ้าพระยา์ เขตคลองสาน กรุงเทพมหานคร ๑๐๖๐๐
    โทร. ๐๒-๘๖๑-๔๓๑๙, ๐๒-๔๓๘-๔๔๔๒, ๐๒-๘๖๑๔๕๓๓,๐๒-๘๖๑-๔๔๘๙, ๐๒-๘๖๑-๔๗๒๐, ๐๒-๘๖๑-๔๗๖๒, ๐๒-๔๓๙-๖๒๘๓



    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 17 มกราคม 2006
  3. stefa

    stefa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    1,241
    ค่าพลัง:
    +1,790
    โฆษบุรุษ[บุรุษเปล่า]ไม่สมควรเลยที่เธอแสดงอิทธิฤทธิ์เพื่อแลกกับบาตรใบเดียว การกระทำของเธอไม่ต่างกับนางนครโสเภณีเปิดเผยอวัยวะของตนเพื่อแลกเงินแลกทอง!!!!!!!!!!!!!!!!
    ไม่อยากจะเชื่อเลยนะว่า คำพูดนี้จะเป็นคำพูดของพระพุทธเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ โสเภณีก็เป็นคนเหมือนกัน อาชีพของเขาที่ทำก็มีเหตุผล สิ่งที่สำคัญก็คือถ้าผู้ชายไม่เกิดความกำหนัดจนอดรนทนไม่ไหว ก็ไม่เกิดอาชีพนี้ขึ้นมา เพราะฉะนั้น อาชีพโสเภณีนี้ มนุษย์ที่เกิดมาเป็นคนที่เป็นผู้ชายเป็นผู้สร้างบาปสร้างกรรมให้กับผู้หญิงที่ทำอาชีพนี้ ไม่งั้นจะมีอาชีพนี้ได้อย่างไร
    เพราะฉะนั้น ผู้หญิงกลับถูกผู้ชายดูถูก ผู้ชายมักจะเอาเปรียบผู้หญิงทั้งทางโลกและทางธรรม เป็นเวลานาน
     
  4. MOUNTAIN

    MOUNTAIN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    15,035
    ค่าพลัง:
    +132,081
    ขอบคุณคุณแป้ง และขออนุโมทนา ด้วยครับ ที่อุตส่าห์หาบทความข้างต้น มาให้อ่านกัน พร้อมระบุที่มาของบทความ ถือว่าถูกต้องครับ เจ้าของแหล่งข้อมูลอย่างน้อยเขาก็จะชื่นใจ ถือเป็นตัวอย่างที่ดีครับ
     
  5. PyDE

    PyDE เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 พฤษภาคม 2005
    โพสต์:
    812
    ค่าพลัง:
    +1,318
    มันเป็นความเชื่อที่แต่ละบุคคลอาจจะเชื่อตามรูปแบบที่ต่างกันไปไงครับ คนที่บอกว่าเชื่อสิ่งนี้ สิ่งนั้นงมงาย ถามเค้าว่าทำไมถึงงมงาย เค้าจะบอกว่าเพราะพิสูจน์แล้วว่าไม่จริง นั่นเพราะว่าเค้างมงายในข้อพิสูจน์ไงครับ
     
  6. linkinbow

    linkinbow Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    13
    ค่าพลัง:
    +33
    พระบรมสาริกธาตุ
    เรียนเชิญผู้มีจิตศรัทธาทุกท่าน มากราบไหว้พระบรมสาริกธาตุที่อัญเชิญมาจากประเทศศรีลังกา โดยองค์โสม ฯ ณ วิทยาลัยเทคนิคดอนเมืองตั้งเเต่วันนี้เป็นต้นไปจนถึงวันที่ 28 มกราคม 49 นี้ เเละในวันพฤหัส ศุกร์ เสาร์ ที่12-14 นี้จะมีการสวดกันณ์ 13 กันณ์พระเวชสันดร 13 กันณ์ โดยเกจิจารย์หลายที่ พร้อมพิธีเสริมต่อดวงชาตา ไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆทั้งสิ้น มีตู้บริจาคเเล้วเเต่ตามศรัทธา จบ
    ขออนุโมทนา
     
  7. มหาหินทร์

    มหาหินทร์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2005
    โพสต์:
    21,454
    ค่าพลัง:
    +181,786
    เรื่องพระเครื่อง
    เกี่ยวกับเรื่อง "พระเครื่อง" ก็เคยมีคนวิจารณ์กันมากมาย มีคำถามเยอะแยะ เช่น....

    สร้างกันขึ้นมาทำไม แทนที่จะให้คนติดในธรรมะแต่ไปสร้างพระขึ้นมา
    ทำให้ผู้คนติดในวัตถุกันทำไม
    มีวัตถุประสงค์อย่างไร
    และในเมื่อพระอยู่ที่ใจอยู่แล้ว ทำไมต้องสร้างพระมาห้อยคอกัน
    พระที่สร้างพระมาให้บูชาเป็นวัตถุมงคล
    ให้บูชาคล้องคอไว้เพื่อป้องกันภัยบ้าง
    เป็นเครื่องลางของขลังบ้าง
    นี่คงเป็นเป็นพระประเภท "พระพาณิชย์" หรือเปล่า....

    คำถามมีมากกว่านี้ เท่าที่ยกตัวอย่างมานี่ กระผมเองก็รู้สึกว่า "มึน"ที่จะตอบให้เข้าใจได้

    จึงได้พยายามค้นหาคำตอบ จากหนังสือของ องค์หลวงพ่อ
    ก็พอดีไปพบ "เรื่องพระเครื่อง" ที่ องค์หลวงพ่อ ท่านได้กล่าวไว้แล้ว....

    จึงขอคัดลอกจากหนังสือสนทนาธรรม เล่ม 4 โดยพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง อุทัยธานี เพื่อให้ท่านได้ทราบตามแต่ที่ท่านจะพอเข้าใจ ได้เพียงไหน ดังนี้

    (ข้อความต่อไปนี้ ไม่ได้มีการเพิ่มเติม เสริมแต่ง แม้แต่ประการใดทั้งสิ้น)
     
  8. มหาหินทร์

    มหาหินทร์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2005
    โพสต์:
    21,454
    ค่าพลัง:
    +181,786
    ผู้ถาม “พระเครื่อง หรือ เครื่องลางของขลัง สามารถป้องกันอันตรายได้จริงไหมครับ”

    องค์หลวงพ่อ “พระที่มีเครื่อง ป้องกันได้ แต่พระที่ไม่มีเครื่องนี่ ไม่แน่หรอกนะ
    ความมุ่งหมายในการใช้พระคล้องคอ โดยมากพวกเรามักจะเข้าใจผิดกัน
    ที่พระท่าน ทำพระไว้ให้คล้องคอ ก็หมายถึงว่า บุคคลที่มีความเคารพในพระพุทธเจ้า
    ที่มีใจเคารพในพระธรรม ที่มีใจเคารพในพระอริยะสงฆ์

    แต่ทว่า มีกำลังใจที่เข้าถึงใน พระรัตนตรัยทั้ง 3 ประการ ยังอ่อนอยู่

    ฉะนั้น จึงได้ทำรูปเปรียบของพระพุทธเจ้า ก็ดี
    ทำรูปเปรียบของพระสงฆ์ที่เป็นที่เคารพนับถือ องค์ใดองค์หนึ่ง ก็ดี ห้อยคอไว้
    ถ้าหากว่าเรานึกถึงพระท่านไม่ออก จะได้นำพระขึ้นมาดูว่า รูปนี้เป็นรูปขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ทรงแนะนำให้เราปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ตามระบอบแห่งความดี ที่เรียกว่า "พระธรรมวินัย”"

    นี่ ความจริงเป็นความมุ่งหมายของผู้ทำ ต้องการอย่างนี้
    หมายความว่า คนที่พระห้อยคอ ควรจะทำใจอย่างพระ หรือ มิฉะนั้น คนที่มีพระห้อยคอ ควรทำใจอย่างที่พระแนะนำ ให้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ

    แต่ทว่าพวกเราก็กลับมาพลิกแพลงเสีย เอาพระไปตีกับชาวบ้าน ไปยุให้พระตีกัน
    “พระ”ที่นำมาห้อยคอนี่ พระท่านทำขึ้นมาก็ด้วยอาศัยอำนาจของพุทธานุภาพ
    อำนาจของพุทธานุภาพนี่ สามารถที่จะช่วยคนที่ไม่ถึงอายุขัยให้พ้นจากอันตรายได้

    มีตัวอย่างอยู่เรื่องหนึ่ง แต่เรื่องนี้มันยาวหน่อยนะ คือเรื่อง พระเจ้าพิมพิสาร ความจริงพระเจ้าพิมพิสารกับพระพุทธเจ้านี่ เป็นเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกัน ไปศึกษาวิชาที่ตักศิลาพร้อมกัน ๔ คน คือ เจ้าชายสิทธัตถะ(พระผู้มีพระภาคเจ้า) พระเจ้าพิมพิสาร พระเจ้าปเสนทิโกศล และ ท่านพันธุระเสนา ทั้งสี่เป็นเพื่อนที่สนิทกันมาก

    ต่อมา เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะ(องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า)ออกแสวงหาอภิเนษกรมณ์ ก็ไปพักอยู่ใกล้เมืองพระเจ้าพิมพิสาร พระเจ้าพิมพิสารก็ทรงคิดว่าเจ้าชายสิทธัตถะคงจะขัดคอกับใคร จึงได้ออกบวช ท่านจึงไปชวนให้เข้ามาร่วมกันครองเมือง

    เจ้าชายสิทธัตถะท่านก็บอกว่า ที่ออกบวชนี่ไม่ได้ขัดคอกับใครหรอก แต่ ตั้งใจจะแสวงหาโมกขธรรม คือธรรมที่เป็นเครื่องพ้นจากความตาย เพราะขึ้นชื่อว่าโลกนี้ย่อมมีของที่คู่กัน มีมืดได้ ก็สว่างได้ มีดีมันก็ต้องมีชั่ว มีขาวมันก็ต้องมีดำ คนที่เกิดมาแล้วตายได้ ธรรมที่ทำให้คนเกิดมีอยู่ ฉะนั้น ธรรมที่ทำให้คนไม่เกิด ไม่ตาย ก็ต้องมีอยู่เช่นกัน

    เมื่อพระเจ้าพิมพิสารทรงทราบอย่างนั้น จึงขอพรว่า หากพระองค์ทรงบรรลุซึ่งอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ เมื่อใดแล้ว ขอให้มาโปรดข้าพระองค์ก่อน เจ้าชายสิทธัตถะก็ทรงรับคำ

    ต่อมา เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะทรงแสวงหาอภิโมกขธรรม จนกระทั่งได้บรรลุเป็น "พระพุทธเจ้า" จึงตั้งใจมาโปรดพระเจ้าพิมพิสาร เมื่อเดินทางผ่านมาก็ทรงโปรดผู้คน มาตามลำดับ ในที่สุดก็เสด็จมาใกล้กรุงราชคฤห์มหานคร จอมบพิธอดิศรพระเจ้าพิมพิสารบรมกษัตริย์ และ อำมาตย์ข้าราชบริพาร ก็ไปเฝ้าพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าก็ทรงเทศน์กัณฑ์แรกให้พระองค์ฟัง เมื่อเทศน์จบ พระเจ้าพิมพิสาร และข้าราชบริพารส่วนใหญ่ ได้บรรลุเป็น พระโสดาบัน เหลือนอกนั้น เป็น "ผู้เข้าถึงไตรสรณคมณ์"

    คำว่า "ผู้เข้าถึงไตรสรณคมณ์" หมายความว่า เป็นผู้มีความเคารพในพระพุทธเจ้า เป็นผู้มีความเคารพในพระธรรม เป็นผู้มีความเคารพในพระอริยะสงฆ์ คนที่เข้าถึงไตรสรณคมณ์ต้องมีศีล ๕ บริสุทธิ์ เ ขาดูกันที่ว่า มีศีล ๕ นะ ไม่ใช่นับถือในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แต่กลับเป็นผู้ทำลายศีล คนประเภทนี้ไม่ถือว่าเป็น "ผู้เข้าถึงไตร สรณคมณ์"

    ต่อมาหลังจากนั้น พระเจ้าพิมพิสารก็ถวายที่อยู่ให้พระพุทธเจ้า ที่เรียกว่าพระเวฬุวัน แปลว่า สวนไม้ไผ่ ให้เป็นที่ประทับของพระพุทธเจ้า และพระอริยะสงฆ์

    ขอเล่าลัดตัดความว่า มาในวาระหนึ่งสมัยเดียวกันนั้น ก็มีพระราชาท่านหนึ่ง มีพระนามว่า” พระเจ้าชมพูบดี” พระเจ้าชมพูบดีนี่มีอำนาจบุญญาธิการคล้าย ๆ กับ พระเจ้าจักรพรรดิ มีเกือกแก้ว เกือกแก้วนี่ใส่ไปแล้วเหาะได้ มีพระขรรค์แก้ว มีฤทธศร เป็นต้น
    คืนหนึ่งเดือนหงาย พระเจ้าชมพูบดีใช้เกือกแก้ว และพระขรรค์แก้ว เหาะไปในอากาศ เห็นยอดปราสาทของพระเจ้าพิมพิสารมีความสวยงามมาก งามกว่าปราสาทของตัว ด้วยความริษยา จึงคิดว่า ไอ้พระราชาเมืองนี้มันดีขนาดไหน จึงมีปราสาทสวยงามกว่าของเรา ก็เหาะลงมาที่ยอดปราสาท

    อันดับแรก ทรงใช้พระขรรค์ฟันยอดปราสาท พระขรรค์แก้วนี่สามารถตัดเหล็กได้โดยง่ายดาย แต่ด้วยอำนาจของพระเจ้าพิมพิสารที่เป็นพระโสดาบันมีกำลังใจเคารพในไตรสรณคมณ์เป็นเหตุ จึงยับยั้งพระขรรค์ของพระเจ้าชมพูบดี ไม่สามารถทำลายยอดปราสาทอีกทั้งพระขรรค์แก้วกลับบิ่นไป

    พระเจ้าชมพูบดียิ่งโมโหจึงยกเท้ากระทืบยอดปราสาท ไอ้เหล็กยอดปราสาทก็เลย ตำทะลุเกือกแก้วของท่านเข้าไปอีก ท่านก็ยิ่งโกรธ

    ในที่สุดก็กลับมายังพระราชนิเวศน์ คว้าเอาฤทธศรขึ้นมายิงไปฤทธศรนี้มีฤทธิ์มาก สั่งอะไรก็สั่งได้ เมื่อแผลงศรออกจากแหล่ง ก็สั่งให้ไปร้อยหูพระเจ้าพิมพิสารมา

    เมื่อศรมาแล้ว ก็ประกาศว่า เราจะร้อยหูพระเจ้าพิมพิสาร พระเจ้าพิมพิสารเห็นลูกศรมา ได้ยินเสียงดังแบบนั้นก็ตกใจว่า อันตรายแบบนี้ ไม่เคยมีสำหรับเรา เราไม่เคยพบ เราจะหาที่พึ่ง ก็ไม่มีใครเป็นที่พึ่ง จึงได้หนีไป เฝ้าพระพุทธเจ้าที่พระเวฬุวัน

    ฤทธศรนั้นก็ตามพระเจ้าพิมพิสารไป พระพุทธเจ้าเห็นเช่นนั้นว่าจะมีอันตราย จึงได้ใช้พุทธานุภาพ ใช้วาโยกสิณ หอบเอาลูกศรนั้นกลับไปสู่แหล่งของตน

    เป็นอันว่าพระเจ้าพิมพิสารก็ปลอดภัย จากอันตราย ต่อมาจากนั้น พระพุทธเจ้าได้ทรงทรมานให้พระเจ้าชมพูบดี ให้ยอมรับ นับถือ แล้วจึงทรงเทศน์สั่งสอนให้สามารถเข้าถึงธรรมได้

    ต่อไป เรื่องนี้มันยาวมาก ก็ขอนำมาเล่าแต่เพียงเท่านี้

    ที่เรียกว่า "พระเครื่อง" อันนี้ใช้ได้
    แต่ถ้าหากเรียก “เครื่องลางของขลัง”อันนี้ใช้ไม่ได้

    พระทุกองค์ที่ท่านทำมา ไม่ใช่ของขลัง
    ท่านทำมาด้วยวิชาที่เขาเรียกว่า "พุทธศาสตร์" ไม่ใช่ "ไสยศาสตร์"
    พุทธศาสตร์ กับ ไสยศาสตร์มีค่าแตกต่างกัน
    พวก "ของขลัง" นี่เป็นไสยศาสตร์ เขาทำมาเพื่อ "ทำลาย"

    สำหรับ "พุทธศาสตร์" เขาทำมาเพื่อเป็นการสงเคราะห์
    เพื่อให้บุคคลที่มี "พระ" ประเภทนี้ไว้ ถ้ามีใจเคารพในคุณพระรัตนตรัย
    ถ้าไม่ถึงอายุขัย ถ้าอันตรายต่อชีวิต จะพึงเกิดขึ้น ก็สามารถปลอดภัยจากอันตรายนั้นได้ ....จบ”
     
  9. มหาหินทร์

    มหาหินทร์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2005
    โพสต์:
    21,454
    ค่าพลัง:
    +181,786
    ทั้งหมดนี้ เป็นคำอธิบายขององค์หลวงพ่อฯ

    ก็พอจะสรุปได้ว่า "วัตถุมงคล"ที่สร้างขึ้นด้วยพุทธศาสตร์ นั้น
    ผู้บูชานำมาบูชาด้วยความเคารพ ในพระรัตนตรัย

    โดยแท้จริงแล้ว สามารถปกป้องอันตรายผู้บูชา ได้อย่างแท้จริง

    แต่ก็ขึ้นอยู่กับกฎแห่งกรรม ถ้ามีกำหนดตามกรรมว่า "สิ้นอายุขัย"แล้ว
    ก็คงจะไม่มีอะไรคุ้มครอง ให้รอดชีวิตต่อไปได้

    จำได้ว่า องค์หลวงพ่อ เคยบอกไว้ว่า บรรดาพระที่ท่านสามารถสร้างวัตถุมงคลต่าง ๆ
    ที่มีชื่อเสียงโด่งดังมากในด้านกันภัยให้กับผู้อื่น ส่วนใหญ่ท่านก็ได้ตายไปแล้ว ทั้งนั้น

    จะเห็นได้ว่า ผู้สร้างวัตถุมงคล พระเครื่อง ก็ตาย ผู้นำไปบูชาก็ต้องตาย
    องค์พระผู้มีพระภาคเจ้า นับเป็นเอกบุรุษของโลก พระองค์ท่านก็ต้องละสังขาร
    เสด็จเข้าสู่ พระปรินิพพานแล้ว เช่นกัน

    เราก็ไม่รู้ว่ากรรมที่มีผลให้เราต้องตายก่อนอายุขัยนั้น(อุปฆาตกรรม)
    เราอาจจะมี และจะได้รับผลกรรมนั้นเมื่อไร เราก็ไม่รู้....

    หากว่า เรามีวัตถุมงคลไว้ ก็จะช่วยคุ้มครอง ป้องกันภัยจาก "อุปฆาตกรรม" ได้

    ส่วนคนที่คิดว่าตัวเองกำลังใจสูงแล้ว มีพระอยู่ในจิต ในใจ แล้ว.... ก็คงไม่ต้องการ

    ใช่ไหม ครับ....

    ......................
     
  10. มหาหินทร์

    มหาหินทร์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2005
    โพสต์:
    21,454
    ค่าพลัง:
    +181,786
    ที่กล่าวว่า....

    หลวงพ่อคูณ ถามว่า "มึ ง ขับเร็วเท่าไร"
    "ร้อยสามสิบ-ร้อยสี่สิบครับ" ชายคนนั้นตอบ
    หลวงพ่อคุณกล่าวทันทีว่า "โอ๊ย แค่ร้อยเดียว กูก็กระโดดรถหนีแล่ว กูไม่อยู่ช่วย มึ ง หรอก"

    ฟังดูเป็นเรื่องฮิวเมอร์ แต่นี้แหละครับคือตัวอย่างของการให้เครื่องรางของขลังไปใช้ในทางที่ถูก คือพระจะขลังจริง ก็ต่อเมื่อไม่ประมาท ถ้าขับรถประมาท ขับเร็วเกินกำหนด ต่อให้พระขลังอย่างไรก็ช่วยไม่ได้


    ..................................................................................

    ก็อาจจะจริง อยู่....

    แต่ว่า ที่เร็ว ๆ กว่ารถยนต์ เช่น เครื่องบินตก แล้ว ก็ทำไมไม่ตาย ก็มีมากมาย....
    จะอธิบายอย่างไรได้....

    อย่างมาก ก็บอกได้เพียงว่า "บังเอิญ.... ฟลุ๊ค.... หรือโชคดี" ก็แค่นั้นเอง

    หากพวกเรา ไม่ตายกันเสียก่อน ปี 2552 - 2553

    ก็มาลองดูภาพแห่งความจริงกันบ้าง ปะไร....

    ขลัง.. ศักดิ์สิทธิ์.. อิทธิปาฏิหาริย์.. งมงาย..หรือไม่งมงาย..

    ก็น่าที่จะได้เห็นกัน ทนหน่อยนะครับ ไม่เกิน 5 ปี เอง คงจะได้รู้ ได้เห็น ได้พิสูจน์กัน...

    (แล้วก็อย่ามาขอแบ่งจากผม ก็แล้วกัน....
    ไม่โกรธ หรอกครับ....
    แต่ เอ็ง จำเอาไว้.... อิ อิ )
     
  11. มหาหินทร์

    มหาหินทร์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2005
    โพสต์:
    21,454
    ค่าพลัง:
    +181,786
    ที่กล่าวว่า....

    แต่ถ้ามอบเหรียญมอบพระให้ พลางพรรณนาสรรพคุณว่า เก็บไว้ให้ดีๆ พระองค์นี้ศักดิ์สิทธิ์ คงกระพัน ยิงไม่ออกฟันไม่เข้า เมื่อวานนี้เด็กหนุ่มคนหนึ่งเข้าไปปล้นร้านทอง ถูกตำรวจยิงหลายนัดจนเสื้อขาดเป็นรูแต่กระสุนไม่ระคายผิวหนังเลย รอดมาได้อย่างปาฏิหาริย์ อย่างนี้ละก็ไม่ถูกต้องอย่างยิ่ง ตัวอย่างที่ยกมานั้นแลไม่พรรณานาความขลังของพระอย่างเดียว แถมยังสนับสนุนให้ทำชั่วทุจริตโดยไม่รู้ตัว

    ............................................................................

    หากว่า เป็นเรื่องจริง....

    คำว่า "พลางพรรณนาสรรพคุณ...."
    ก็ต้องดูว่า พรรณนาเพื่อกระไร....
    หากพูดเพื่อให้ได้ทรัพย์มาก ๆ แพง ๆ อย่างนี้ ก็คงจะเข้าข่าย "เลว"

    แต่เนื้อความจริงแล้ว เป็นเรื่องของ "กรรม" นั่นเอง....
    หากเด็กหนุ่มคนนี้ "อายุขัยของเขา 80 ปี
    บังเอิญเหตุแห่ง "อุปฆาตกรรม" ไม่มี หรือยังไม่ส่งผล

    เขาก็ยังตายไม่ได้....

    .....................................................................

    คนแก่ คนป่วย หรือคนหนุ่มสาวที่ทุกข์ทรมาน เพราะเจ็บไข้ได้ป่วย....
    อยากจะตาย บางทีก็ยังตายไม่ได้ ต้องเสวยทุกข์ในขณะที่มีชีวิตอยู่....

    ส่วนท่านที่คิด "ฆ่าตัวตาย" นี่ เป็นเหตุจาก "อุปฆาตกรรม" เข้าถึง
    ดลจิต ดลใจ ให้คิดฆ่าตัวตาย....

    "อุปฆาตกรรม" คือ กรรมหนัก กรรมอันเกิดจากบาปใหญ่ ที่เนื่องด้วย ปาณาติบาต
    จากในอดีตชาติ เข้ามาลิดรอน ให้ต้องตายก่อน "อายุขัย" คือพวกที่ "ตายโหง" นั่นเอง
    เช่น อุบัติเหตุตาย โดนฆ่าตาย ฆ่าตัวตาย เป็นต้น....

    "สิ้นอายุขัย" คือ การตายด้วยเหตุของ แก่ตาย ป่วยตาย

    (อธิบาย ตามความรู้ ความเข้าใจแห่งตนเอง ที่ได้รับฟัง รับรู้ มาจากองค์หลวงพ่อฯ
    หากว่ามันผิดไปบ้าง ก็แสดงว่า ผมจำมาผิด เท่านั้นเองครับ เป็นความผิดของผมเอง เท่านั้น ทั้งสิ้น)
     
  12. มหาหินทร์

    มหาหินทร์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2005
    โพสต์:
    21,454
    ค่าพลัง:
    +181,786
    คุณแป้ง...
    ไปเอาอะไรมานี่... อู๊ววว ปวดหมอง....
    ......................................................

    งานนี้.... เนื้อหานี้.... อ่านตอนแรก....น่าจะโมทนาจัง....
    แต่ตอนใกล้จะจบ และดูภาพรวมแล้ว....

    จึงไม่ขอโมทนา....
     
  13. แคท

    แคท เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2005
    โพสต์:
    616
    ค่าพลัง:
    +1,666
    ขออนุโมทนาค่ะ
     
  14. suttatika

    suttatika เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    45
    ค่าพลัง:
    +258
    โฆษบุรุษ[บุรุษเปล่า]ไม่สมควรเลยที่เธอแสดงอิทธิฤทธิ์เพื่อแลกกับบาตรใบเดียว การกระทำของเธอไม่ต่างกับนางนครโสเภณีเปิดเผยอวัยวะของตนเพื่อแลกเงินแลกทอง!!!!!!!!!!!!!!!!
    ไม่อยากจะเชื่อเลยนะว่า คำพูดนี้จะเป็นคำพูดของพระพุทธเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ โสเภณีก็เป็นคนเหมือนกัน อาชีพของเขาที่ทำก็มีเหตุผล สิ่งที่สำคัญก็คือถ้าผู้ชายไม่เกิดความกำหนัดจนอดรนทนไม่ไหว ก็ไม่เกิดอาชีพนี้ขึ้นมา เพราะฉะนั้น อาชีพโสเภณีนี้ มนุษย์ที่เกิดมาเป็นคนที่เป็นผู้ชายเป็นผู้สร้างบาปสร้างกรรมให้กับผู้หญิงที่ทำอาชีพนี้ ไม่งั้นจะมีอาชีพนี้ได้อย่างไร
    เพราะฉะนั้น ผู้หญิงกลับถูกผู้ชายดูถูก ผู้ชายมักจะเอาเปรียบผู้หญิงทั้งทางโลกและทางธรรม เป็นเวลานาน
    -----------------------------------------------------------------------
    ขอให้พิจารณาก่อนครับ....แยกแยะก่อนครับ...ถกเรื่องชาย-หญิงเป็นเรื่องการขัดแย้งกันเปล่าๆไม่มีประโยชน์ครับ...หญิงสามารถถึงธรรมได้สูงสุดเหมือนกับชายได้เหมือนกัน...แต่ถ้าพูดเรื่องกรรมนั้นมันสุดจะซับซ้อนนัก..ทำไมจึงมีโสภีนีเกิดมาพร้อมๆกับการเกิดหญิง-ชายขึ้นในโลกตั้งแต่โบราณกาล..เพราะเกิดกรรมขึ้นพร้อมการกระทำของมนุษย์ใช่หรือไม่?...กรรมที่ทำให้มนุษย์เกิดเป็นโสเภณี..ชายชั่วที่กระทำย่ำยีสตรีเช่นผิดศีลข้อกาเมฯข่มเหงข่มขืน-ลักลอบได้เสียผิดลูกเมียเขา-เป็นผู้คุมแมงดาทำนาบนหลังผู้หญิง..ฯลฯ เมื่อผลของกรรมให้ผลจึงส่งให้ชายชั่วนั้นกลับมาเกิดเป็นหญิงโสเภณีซึ่งเป็นผู้ถูกกระทำเอง...ซึ่งโสเภณีผู้นั้นก็ไม่สามารถสลัดหนีชะตากรรมได้แม้ว่าจะหนีอย่างไรก็แล้วแต่...ซึ่งในใจโสเภณีนั้นลึกๆเขาก็ไม่อยากเป็นแต่ทำไมจึงเลิกไม่ได้........แรงกรรมลิขิตให้ผล.....ต้องสร้างกรรมดีใหม่.....



    <!-- / message -->
     
  15. tassanai_k

    tassanai_k เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    885
    ค่าพลัง:
    +3,518
    โมทนา สาธุ
     
  16. Golf_Kung

    Golf_Kung เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    104
    ค่าพลัง:
    +146
    ทั้งหมดเห็นดีเห็นงามด้วยกับข้อเสนอของภิกษุรูปนั้น จึงดำเนินการตามแผน

    ภิกษุตึ๋ง (นามสมมติ) เข้าไปหมู่บ้าน ก็พูดคุยกับโยมว่า "คุณโยมรู้ไหม ท่านต๋อง (นามสมมติ) บรรลุโสดาบัน"


    มันฟังดูแล้วตงิด ๆ มีนามสมมติด้วยแฮะ ไม่รู้เหมือนกันน่ะว่าข่าวที่เขียนไปมีการบิดเบือนไปรึเปล่า แบบว่าเสริมมุขให้ตลก แต่ในหลายส่วนหากมีการเสริมให้ตลก ก้ออาจจะบิดเบือนจากหลักไปมากก้อเป็นได้ หุหุ
     
  17. bridge

    bridge เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    1,252
    ค่าพลัง:
    +1,814
    เห็นด้วยค่ะ
    แต่จะว่าคูณแป้งก็ไม่ได้ เพราะดูจากโพสท์สงกะสัยจะไปเอาบทความนี้มาจากที่หนึ่งนะ คงเอามาลงให้เราออกความเห็นนั้นแหล่ะค่ะ

    เรื่องความเชื่อในของคลัง อิทธิฤทธิ์นั้น บอกตามตรงตั้งแต่นั่งมาธิมาก็ไม่มีอะไรที่มีอิทธิฤทธิ์ไปกว่า การขอว่าให้หายจากโรคภัยนั้นอย่าได้เป็นอีกเลย 555 อโรคยาปรมา ลาภา แท้ๆ

    พูดง่ายก็ต้องเชื่อ ใส่ความศรัทธา ใส่ความตั้งมั่น และความบริสุทธิ์ใจ ใส่ความเพียร แล้วเราจะได้พร

    (ฟังดูแล้วอาจจะเป็นเรื่องยากสำหรับคนขี้เกียจ กับ คนไม่คิดจะเอาจริงเอาจังกับชีวิต แต่ ประโยคนี้จะเป็นผลดีกับคนที่ ชอบสงสัยในเรื่องไศยศาสตร์ ของขรัง ฝักใฝ่อิทธิฤทธิ์ นั้นแหละ ค่ะ คิดว่าน่าจะสว่างหูสว่างตา ขึ้น ค่ะ )

    สุดท้ายนี้ถ้าหากข้อความของข้าพเจ้า อ่านแล้วดูแข็งไป ขอให้เข้าใจ ว่าเราพูดตรง คิดอย่างไร ก็พูดอย่างนั้น ไม่มีนอกใน หละจ๊ะ ก็จะพยายามใส่หางเสียงลงไปให้ฟังดู sorf ๆ ขึ้น สำหรับบางท่านที่อาจรับไม่ได้ จ้า....
     
  18. bridge

    bridge เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    1,252
    ค่าพลัง:
    +1,814
    พูดง่ายก็ต้องเชื่อ ใส่ความศรัทธา ใส่ความตั้งมั่น และความบริสุทธิ์ใจ ใส่ความเพียร แล้วเราจะได้พร

    อ้อ ประโยคนี้ยังเป็นประโยชน์ ต่อบุคคลในวัยทำงาน และ ทุกวัย ที่ต้องการความเจริญ ( ความเจริญ กับ ความก้าวหน้า นั้นต่างกันอยู่นะ )
     
  19. bridge

    bridge เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    1,252
    ค่าพลัง:
    +1,814
    อืมใช่ๆๆๆ

    เคยฟังเทศนา เรื่องหนึ่ง ว่า ชายผู้เป็น สามีนั้น ออกไปหาปลา หาอาหารมาทุกเช้า เพื่อให้หญิงผู้เป็นภรรยา ได้หุ่งหาอาหาร ภรรยาหุ่งหาอาหารเสร็จ ก็จัดสำรับให้สามีของตนและแบ่งไว้เพื่อจะนำไปถวายสังฆทานทุกเช้า เป็นกิจวัตร เมื่อถึงคราววันพระก็จะเกลี้ยกล่อมให้สามีไปถือศีลบ้าง หรือ บวชบ้างหละ แต่สามีก็ไม่สนใจ

    จนเมื่อยามแก่ เฒ่า เอ.... ชักลืม ๆ เอาเป็นว่า เมื่อแก่เฒ่า แล้ว ทั้งคู่ จึงตัดสินใจ ส่งลูกชายมาบวชเพื่อหวังว่าจะเกาะชายผ้าเหลืองขึ้นสวรรค์

    และถึงคราวฟังเทศนา เจ้าอาวาสก็ได้เทศสอนว่า แม้นบุตรหลานได้บวชแล้วบุญย่อมตกถึงบิดดา มารดา ซื่งบุตรอุทิศให้ไปเป็นส่วนแบ่ง แต่จะหาเกาะขึ้นสวรรค์นั้นก็ไม่ได้ บุญใคร กรรมใคร ของใครของมัน

    แล้วเจ้าอาวาสก็ได้เอ่ย ออกมาทั้งกับ บุตรผู้ บวชพระ และ สามีของนางว่า " จะตามโยม ผู้นี้ ( หมายถึงแม่ ) ทันมั่ยหละ เพราะ โยมได้บรรลุโสดา บันแล้ว เนื่องเพราะว่า ได้คอยถวายสังฆทาน และ ทำบุญ ถือศีลอยู่เป็นนิจ จึงถือได้ว่าเป็นผู้บำรุง และ จรรโรงและสืบสานศาสนาไว้ เหมือนกับพระสงฆ์ รูปอื่นๆ ที่มีหน้าที่ เหมือนกัน เพราะ ถ้าขาด แม่ออก คอยถวายอาหารแล้ว พระสงฆ์ย่อมไม่สามารถจะถือศีลได้นาน ( คือ เพิ้นตายก่อนบรรลุธรรมคำสอน ) ดังนั้น พระพุทธองค์จึง เคยตรัสสอนเรื่องนี้ไว้เหมือนกัน
     
  20. bridge

    bridge เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    1,252
    ค่าพลัง:
    +1,814
    สรุป แล้ว หญิง กับ ชายเท่าเทียมกันอยู่นะ ในแง้ศาสนาพุทธ
    ที่พระพุทธองค์ ไม่ หญิงบวช เพราะพระองค์รู้ว่าถ้าหญิงบวชได้ และถือศีลเท่าๆกับชายแล้ว หญิงจะบวชเป็นจำนวนมาก เพราะหญิง เห็นทุกข์ง่ายกว่า เร็วกว่าชาย เพราะ คนตั้งท้อง ก็ผู้หญิง คนครอด ก็ผู้หญิง ทำงานบ้านก็ผู้หญิง ช่วยงานสามีนอกบ้านก็ผู้หญิง เลียงลูก อบรม ลูก ก็ผู้หญิง ต้องคอยบำรุงสุขสามีทั้งที่เต็ม ใจและไม่เต็มใจ ก็ผู้หญิง อันตรายรอบตัวเพราะเป็นเพศที่อ่อนแอ ย่อมมองเห็นความจริงของสัตว์โลกเร็ว กว่าชาย และมีความไม่ประมาท มากกว่าชาย
     

แชร์หน้านี้

Loading...