อานิสงส์การสวดมนต์ ไหว้พระ นั่งสมาธิ

ในห้อง 'บุญ-อานิสงส์การทำบุญ' ตั้งกระทู้โดย TUK2800, 23 ตุลาคม 2008.

  1. TUK2800

    TUK2800 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    1,766
    ค่าพลัง:
    +1,161
    อานิสงส์การสวดมนต์ ไหว้พระนั่งสมาธิ

    หากพูดเรื่องการสวดมนต์ไหว้พระ นั่งสมาธิทุกคนก็นึกถึงพระสงฆ์องค์เจ้าทั้งหลายที่อยู่ตามวัดวาอารามหรือผู้ปฏิบัติธรรมเท่านั้น จริงๆ แล้วการสวดมนต์ไหว้พระควรเป็นข้อปฏิบัติประจำของเหล่าชาวพุทธทั้งหลาย โดยเฉพาะการสวดมนต์ไหว้พระในวันวันธรรมสวนะ หรือวันพระหากเราพิจารณาความสำคัญของการสวดมนต์โดยเปรียบเทียบกับทุกศาสนาเราจะพบว่ามีปฏิบัติกันถ้วนหน้าทีเดียวชาวคริสต์ต้องเข้าโบสถ์สวดมนต์
    ทุกวันอาทิตย์อิสลามิกชนก็จะมีการสวดมนต์ทุกวันสำคัญ และมีการละหมาดวันละ 6 เวลาทีเดียวเบื้องต้นน่าจะเห็นพ้องต้องกันว่าการสวดมนต์เป็นสิ่งที่ดีแต่คำถามที่มักจะได้ยินเสมอว่าก็คือ ดีอย่างไร
    หากเรามองย้อนไปในอดีตตอนพวกเราๆ เป็นเด็ก จะพบว่าในรุ่นปู่ย่า ตายายของเราแทบจะทุกคนที่จะไปวัดเพื่อสวดมนต์ ไหว้พระในวันพระเสมอและยังมีการสวดมนต์ที่ค่อนข้างยาวทีเดียวก่อนนอนทุกวัน
    หลายผู้อาจจะไปนั่งพนมมือด้วย หลายผู้ก็นอนฟังแล้วก็หลับไปหลายผู้อาจถูกปลูกฝั่งให้ปฏิบัติเอาเยี่ยงบ้าง
    ก็มีผมเคยถามท่านทั้งหลายในรุ่นนั้นว่าสวดมนต์ ไหว้พระแล้วได้อะไร ก็มักจะได้คำตอบว่า
     
  2. DD.

    DD. เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    556
    ค่าพลัง:
    +103
    อนุโมทนาครับ

    [​IMG] สาธุ สาธุ สาธุ [​IMG]
     
  3. Nutuk

    Nutuk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    805
    ค่าพลัง:
    +347
    [​IMG] ขออนุโมทนาบุญด้วยค่ะ

    " การให้ธรรมเป็นทาน ชนะการให้ทั้งปวง "






    ขอบอกบุญต่อด้วยจ้า บริจาคอวัยวะที่ http://www.organdonate.in.th/
    บริจาคดวงตาที่ http://www.eyebankthai.com/
    ขออนุโมทนาบุญกับทุกท่านที่ต้องการบริจาคนะคะ สาธุ สาธุ สาธุ <!-- / sig -->

    <!-- / message --><!-- / message -->
     
  4. Lukhgai

    Lukhgai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    3,000
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +8,239
    ขออนุโมทนาบุญด้วยค่ะ
     
  5. TUK2800

    TUK2800 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    1,766
    ค่าพลัง:
    +1,161
    [​IMG]

    [​IMG]
    อ า นิ ส ง ส์ ข อ ง ก า ร ส ว ด ม น ต์
    - บำบัดทุกข์โศกโรคภัย รวมทั้งความรุ่มร้อนใจ
    - ขจัดภัยอันตราย สิ่งชั่วร้ายที่จะพึงมี
    - ปัดเป่าอุบาทว์ เสนียดจัญไร สิ่งอวมงคล
    - ป้องกันภัยต่างๆ มีโจรภัย อัคคีภัย อสรพิษสัตว์ร้ายทั้งปวง
    - ส่งเสริมให้เจริญด้วย อายุ วรรณะ สุขะ พละ
    - ให้แคล้วคลาดภัย ประสบความสวัสดี มีชัยเจริญงอกงามในชีวิต
    ...



    http://www.dhammajak.net/suadmon/index.php
     
  6. ถนอม021

    ถนอม021 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กันยายน 2008
    โพสต์:
    2,098
    ค่าพลัง:
    +3,163
    อนุโมทนาสาธุด้วยเทอญ สาธุ สาธุ สาธุ

    และขออุทิศบุญกุศลทั้งปวงแด่เจ้ากรรมนายเวรทุกภพทุกชาติ
    ให้ทุกท่านมีความสุขกายสุขใจตลอดไป ขอให้อโหสิรรมและ
    ขออโหสิกรรมกับทุกรูปทุกนามด้วยเถิด ให้ทุกท่านได้พระนิพพาน
    ในชาตินี้ด้วยเถิด

    ถนอม สุพัตรา ถกนธ์ พร้อมครอบครัวและญาติมิตร

    หลังจากสวดบูชาพระรัตนตรัยเสร็จเรียบร้อยแล้วสำหรับท่านที่ไม่ค่อยมีเวลามาก แนะนำบทสวดพุทธมนต์แบบย่อ ๆ แต่มีพลานุภาพมาก มีอานิสงส์มาก สวดไม่เกิน 5 นาทีจบ ดังนี้

    นะโม 3 จบ


    หัวใจ อิติปิโส ว่า
    อิสะวาสุ

    นะโมพุทธายะ นะมะพะทะ จะพะกะสะ นะมะอะอุ

    หัวใจพาหุง
    พา มา นา อุ กะ สะ นะ ทุ
    หัวใจพระเจ้าสิบชาติ
    เต ชะ สุ เน มะ ภู จะ นา วิ เว
    หัวใจบารมี 30 ทัส
    ทา สี เน ปะ วิ ขะ สะ อะ เม อุ
    หัวใจพระอาการวัตตาสูตร
    มุนินทะ วะทะนัมโพชะ คัพพะสัมภาวะ สุนทะรีปาณีนัง สะระณัง วาณี มัยหัง ปิณะ ยะตัง มะนัง
    หัวใจพระธารณะปริตร
    ทิฏฐิลา ทัณฑิลา มันติลา โรคิลา ขะระรา ทุพพิลา เอเตนะ สัจจะ วัชเชนะ โสตถิ เม โหตุ สัพพะทา
    หัวใจพระไตรปิฎก
    จิเจรุนิ
    หัวใจพระคาถาชินบัญชร
    ชะ จะ ต ะ สะ สี สัง หะ โก ทะ กะ เก นิ กุ โส ปุ เถ เส เอ ชะ ระ ธะ ขะ อา ชิ วา อะ ชิ สะ อิ ตัง
    คาถาบูชาพระพุทธเจ้า 16 พระองค์
    นะมะนะอะ นอกอนะกะ กอออนออะ นะอะกะอัง อุมิอะมิ มะหิสุตัง สุนะพุทธัง สุอะนะอะ

    [​IMG]สวดจบควรแผ่เมตตาทุกครั้ง[​IMG]

    แผ่เมตตาจิต
    ...ทุกสิ่งทุกอย่างที่จะสัมฤทธิ์ผลนั้น เกิดจากกรรม 3 อย่าง คือ มโนกรรม เป็นใหญ่ แล้วค่อยแสดงออกมาทางวจีกรรม หรือกายกรรมที่เป็นรูป การบำเพ็ญสมาธิจิตเป็นกุศลดีกว่า เพราะว่า การแผ่เมตตา 1 ครั้ง ได้กุศลมากกว่าสร้างโบสถ์ 1 หลัง ขณะจิตที่แผ่เมตตานั้น จะเกิดอารมณ์แจ่มใส สรรพสัตว์ไม่มีโทษภัย ตัวท่านก็ไม่มีโทษภัย ฉะนั้น เขาจึงว่านามธรรมมีความสำคัญกว่า

    อานิสงส์การแผ่เมตตา
    ...ผู้ปฏิบัติธรรมนั้น ต้องรู้จักคำว่า แผ่เมตตา คือต้องเข้าใจว่า ความวิเวกวังเวงแห่งการคิดนึกของเราแต่ละบุคคลนั้น มีกระแสแห่งธาตุไฟผสมอยู่ในจิตและวิญญาณกระจายออกไปเ มื่อจิตของเรามีเจตนาบริสุทธิ์ เมื่อจิตของเราเป็นมิตรกับทุกคน เมื่อนั้นเขาก็ย่อมเป็นมิตรกับเรา เสมือนหนึ่งเราให้เขากินอาหาร คนที่กินอาหารนั้นย่อมคิดถึงคุณของเราหรืออีกนัยหนึ่งว่า เราผูกมิตรกับเขาๆก็ย่อมเป็นมิตรกับเรา แม้แต่คนอันธพาล เราแผ่เมตตาจิตให้ทุกๆวัน สักวันหนึ่งเขาก็ต้องเป็นมิตรกับเราจนได้ เมื่อจิตเรามีเจตนาดีต่อดวงวิญญาณทุกๆดวง ดวงวิญญาณทุกๆดวงย่อมรู้กระแสแห่งจิตของเรา เรียกว่ามนุษย์เรานี้มีกระแสธาตุไฟออกจากสังขาร เพราะเป็นพลังแห่งการนั่งสมาธิจิต วิญญาณจะสงบ ธาตุทั้ง 4 นั้น จะเสมอแล้วจะเปล่งเป็นพลังงานออกไป

    ฉะนั้น ผู้ที่นั่งสมาธิปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอ จิตแน่วแน่แล้ว โรคที่เป็นอยู่มันจะหายไป ถ้าสังขารนั้นไม่ใช่จะพังเต็มทีแล้ว คือไม่ถึงวาระสิ้นอายุขัย หรือว่าสังขารนั้นร่วงโรยเกินไปแล้ว ก็จะรักษาให้มันกระชุ่มกระชวยได้หรือจะให้มันสบายหาย เป็นปกติดั่งเดิมได้

    ประโยชน์จากการฝึกจิต
    ...ผู้ที่ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน จนมีสมาธิแน่วแน่ เมื่อจิตนิ่งก็รู้ตน เริ่มพิจารณาตน รู้ตนเองได้ ปัญญาก็เกิดขึ้น ปัญญานี้เรียกว่า ปัญญาภายในจากจิตวิญญาณ ซึ่งเราจะใช้ปัญญานี้ได้แน่นอน เมื่อเกิดมีปัญหาขึ้นในชีวิตตลอดระยะเวลาอันยาวนานข้างหน้า

    นี่คือประโยชน์ของการฝึกจิตแล้ว คุณของสมาธิยังเป็นพลังป้องกันไม่ให้เกิดโรคภัย เจ็บป่วยได้ กล่าวคือ การบำเพ็ญจิต จนจิตสงบนิ่งแล้ว ระบบต่างๆทางประสาทจะได้รับการพักผ่อน เป็นการปรับธาตุในกายให้เกิดพลังจิตเข้มแข็ง กายเนื้อก็จะแข็งแรงกระชุ่มกระชวยด้วย โลหิตในร่างกายจะหมุนเวียนสะดวกขึ้น ความตึงเครียดตามร่างกายและประสาทต่างๆ จะผ่อนคลายเป็นปกติ โรคต่างๆจะลดน้อยลงโดยเฉพาะผู้ที่ป่วยเป็นโรคความดัน โลหิตสูง หายป่วยได้ด้วยการฝึกจิตและเดินจงกรม



    จากหนังสือ เรียน ธรรมะบูชาพระสุปฏิปันโน เล่มของ สมเด็จพระพุฒาจารย์ โตพรหมรังสี
     
  7. THE_TOP

    THE_TOP เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    706
    ค่าพลัง:
    +381
    [​IMG]
     
  8. j_cop

    j_cop สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    34
    ค่าพลัง:
    +15
    อนุโมทนาด้วยค่ะ
    ขอให้ทุกท่านเจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไปค่ะ
     
  9. k2

    k2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กันยายน 2008
    โพสต์:
    172
    ค่าพลัง:
    +811
    อนุโมทนาครับ

    [​IMG] สาธุ สาธุ สาธุ [​IMG]
     
  10. nop_2550

    nop_2550 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    239
    ค่าพลัง:
    +341
    ครอบครัว พชรโพธิ์เจริญ ขออนุโมทนาบุญกุศลในครั้งนี้ด้วย สาธุ สาธุ สาธุ
     
  11. Pink_Angel

    Pink_Angel Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    156
    ค่าพลัง:
    +69
    ขอบคุณสำหรับการเผยแพร่เป็นธรรมทานนะคะ ขอร่วมอนุโมทนาบุญด้วยค่ะ สาธุ
     
  12. TUK2800

    TUK2800 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    1,766
    ค่าพลัง:
    +1,161
    9 สิ่งมงคลสำหรับชีวิต


    <HR style="COLOR: #ffffff; BACKGROUND-COLOR: #ffffff" SIZE=1>๑.ใจมงคล ทุกอย่างในชีวิตของคนเรานั้น " ใจ " นับเป็นสิ่งสำคัญที่จะนำพาเราไปสู่จุดมุ่งหมายปลายทางทั้งที่ดีและไม่ดีได้
    ดังนั้น การเริ่มมงคลใดๆ จึงควรเริ่มที่ " ใจ " ก่อนเป็นอันดับแรก นั่นคือ การทำจิตใจดีให้มีขึ้นทุกๆวัน วิธีง่ายๆคือ ทุกเช้าที่ตื่นขึ้นมา
    ก็ไม่คิดเรื่องร้ายๆไปล่วงหน้า เช่น.. ไม่คิดว่าเราจะถูกนายด่าไปก่อนเพราะเมื่อวานทำผิด การคิดล่วงหน้าเช่นนั้นจะทำให้จิตใจเราขุ่นมัว
    ไม่แจ่มใส ถึงทำผิดจริงก็ต้องคิดว่าแก้ไขได้ ไม่บริโภคความโกรธเป็นอาหารเช้า คือ ไม่คิดจับผิดหรือโมโหโทโสนับแต่ลุกจากเตียง
    เช่น เช้ามาก็ไม่โมโหลูกที่ตื่นสาย ไม่ยัวะภริยาที่ทำไข่ลวกเป็นไข่ต้ม ไม่ฉุนรถเมล์ที่ไม่จอดรับ ฯลฯ แต่ให้เริ่มต้นทุกเช้าด้วยการ
    "คิดแต่เรื่องดีๆ " จะทำให้หน้าตายิ้มแย้มแจ่มใสเป็นพลังบวกที่จะดึงดูดให้คนอยากเข้าใกล้ กลายเป็นคนมีเสน่ห์ เป็นมงคลข้อแรก

    ๒.วาจามงคล คือ การพูดจาดี ซึ่ง " ดี " ในที่นี้หมายรวมถึง เนื้อหา ถ้อยคำน้ำเสียงที่ใช้เจรจาพาทีกับผู้อื่น ทั้งคนใกล้ชิด
    ที่เป็นญาติสนิทมิตรสหาย ผู้ร่วมงาน รวมถึงคนไม่รู้จักที่เราต้องโอภาปราศรัยด้วย พูดง่ายๆว่าให้ใช้ " วาจาภาษาดอกไม้ " กับทุกๆคน
    ทุกๆ ระดับ และควรเป็นดอกไม้ที่มีกลิ่นหอมชวนดมด้วย เช่น ชมเขาว่า " วันนี้ คุณแต่งตัวสวยจังค่ะเหมือนสมัยคุณแม่ฉันยังสาว "
    เช่นนี้ คงเป็นดอกอุตพิด ที่กลิ่นเหมือนอุจจาระทำให้คนฟังคิดแช่งชักหักกระดูก ด่าว่าเราในใจ อย่าพูดเสียเลยดีกว่า
    ดังนั้น วาจามงคล จึงควรเป็นคำพูดที่สุภาพไพเราะ และถ้อยคำเป็นประโยชน์ ไม่เพ้อเจ้อ เหลวไหล หรือส่อเสียด แดกดัน
    คนพูดดี ไปไหนก็มีแต่คนต้อนรับ เป็นมงคลข้อสองที่เราควรปฏิบัติ

    ๓.กายมงคล คือ การแต่งกายให้เหมาะสม ถูกกาละเทศะ จะทำให้เราเกิดความเชื่อมั่นในตนเองและไม่ถูกตำหนิติเตียน
    ทั้งต่อหน้าและลับหลัง เป็นมงคลข้อที่สาม เพราะการไม่ถูกใครว่าย่อมเป็นสิ่งดีที่เป็นมงคลแก่เราตลอดวัน
    และหากจะใส่เสื้อผ้าตามหลักโหราศาสตร์เพื่อเสริมความมั่นใจหรือสร้างกำลังใจให้ตัวเองเพิ่มขึ้น ก็ย่อมได้ แต่ก็ต้องดูให้เหมาะด้วย
    เช่น ไม่ใส่สีม่วงไปในงานแต่งงานที่เจ้าภาพเขาถือว่าเป็นสีแม่ม่าย แม้ว่าจะเป็นสีที่เขาบอกว่า เป็นสีแห่งโชคลาภของเราวันนั้นก็ตาม

    ๔.ครอบครัวมงคล คือ การสร้างความรัก ความอบอุ่นในครอบครัวของเรา เพราะครอบครัวเป็นพื้นฐานแรกที่จะช่วยสร้าง "สมาชิกมงคล"
    ให้แก่ชุมชนและประเทศชาติ นั่นก็คือ ผู้ที่เป็นพ่อแม่ ก็ต้องปฏิบัติหน้าที่ของตัวให้ถูกต้อง เหมาะสม ไม่เป็นตัวอย่างที่ไม่ดีแก่ลูกๆไม่เมามัว
    เรื่องเพศ มีผัวน้อย เมียน้อยให้ลูกทุกข์ ไม่ทะเลาะเบาะแว้งซึ่งกันและกัน ขณะเดียวกันก็สอนลูกในทางที่ถูกที่ควร ฯลฯ
    อันจะนำมาซึ่งความสุขในบ้าน และเป็นมงคลที่จะเป็นพลังสำคัญในการต่อสู้กับชีวิตภายนอก

    ๕.บ้านมงคล หมายถึง การจัดบ้านเรือนของเราให้สะอาดสะอ้าน ไม่รกเป็นรังหนู ถ้าหากในรอบปีที่ผ่านมา เราอาจวางสิ่งของ เสื้อผ้า ฯลฯ
    สุมจนเป็นกองขยะ ตามจุดต่างๆในห้องนอน ห้องทำงาน ห้องครัว หรือห้องรับแขก ก่อนปีใหม่หรือวันใดวันหนึ่งควรหาทางสะสาง
    และจัดเก็บบ้านให้เป็นระเบียบ เรียบร้อย เพราะบ้านเรือนที่โล่งสะอาด เรียบร้อย ก็เป็นการจัดฮวงจุ้ยที่ช่วยเสริมให้ผู้อยู่อาศัยให้เกิดความปลอดโปร่ง สบายใจ ไม่อึดอัด หงุดหงิด เพราะหาของไม่เจอ หรือเดินไปไหนในบ้านก็เตะโน่น ชนนี่ เหมือนมีอุปสรรคขัดขวางตลอดเวลา
    บ้านที่สะอาดมีระเบียบเรียบร้อย จึงเป็นมงคลข้อที่ห้า

    ๖.เพื่อนมงคล คือ การคบหาเพื่อนที่ดีไว้เป็นสหาย เพราะเพื่อนที่ดีย่อมมีผลต่อความเจริญก้าวหน้าของชีวิต
    ส่วน เพื่อนที่ไม่ดี มีแต่พาเราไปสู่หนทางแห่งความหายนะ เช่น เพื่อนปอกลอก คิดเอาแต่ได้ฝ่ายเดียว คบเราเพราะมีผลประโยชน์
    มาเกี่ยวข้อง เพื่อนหัวประจบ ก็จะเออออไปกับเราทุกอย่างไม่ว่าจะทำดีทำชั่ว แต่ลับหลังกลับนินทา และที่ร้ายที่สุดคือ เพื่อนชวนฉิบหาย
    ชวนให้เราดื่มเหล้า เมายาอี มั่วเซ็กส์และเล่นการพนัน เหล่านี้คบแล้วก็พาเราไปสู่ทางเสื่อมเสียทั้งสิ้น
    ส่วน เพื่อนแท้ คือมิตรที่ร่วมทุกข์ร่วมสุข แนะนำแต่สิ่งที่เป็นประโยชน์ เมื่อเราทุกข์ก็ทุกข์ด้วย และหาทางช่วยเหลือ
    เมื่อสุขก็พลอยยินดี ไม่ริษยาเรา เป็นต้น การมีมิตรดีจึงเป็นมงคลอีกข้อ

    ๗.ที่ทำงานมงคล ก็ใช้หลักเช่นเดียวกับบ้านมงคล นั่นคือ ต้องให้สถานที่ทำงานของเราสะอาดสะอ้าน เป็นระเบียบเรียบร้อย
    ถ้าทำทั้งหมดไม่ได้ อย่างน้อยที่สุด โต๊ะทำงานของเราก็ให้สะอาด สวยงาม ไม่รกหรือมีของกองสุมจนหาที่ว่างไม่ได้ และ
    แม้แต่เราเองก็ไม่อยากนั่ง ไม่ว่าโต๊ะทำงานหรือที่ทำงานของเราก็เป็นดังกระจกสะท้อนถึงลักษณะของผู้ที่ทำงานอยู่ในสถานที่นั้นๆ
    ดังนั้น ที่ทำงานหรือโต๊ะทำงานจึงเป็นอีกมงคลหนึ่ง ที่จะก่อให้เกิด "First Impression" ต่อหน่วยงานหรือตัวเราเองได้

    ๘.อาหารมงคล คือ อาหารที่กินแล้วมีประโยชน์ต่อตัวเรา และไม่ทำให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บ เช่น ทองหยิบทองหยอด
    แม้จะชื่อดี แต่อาจจะทำให้เราเป็นเบาหวาน หรือเป็นโรคอ้วนได้ ดังนั้น เราจึงควรงดหรือกินแต่น้อยพอประมาณ
    แล้วไปกินผลไม้ชื่อมงคลอื่นแทน เช่น ส้มเช้ง ทับทิม กล้วยหอม เป็นต้น

    ๙.กรรมมงคล กรรม ก็คือ การกระทำ หมายถึงให้เราพยายามทำสิ่งที่ดีๆให้ได้ทุกวัน หรือวันละเล็กละน้อย ถือว่าเป็น
    การสะสมบุญกุศลที่เป็นอีกมงคล ซึ่งจะส่งผลให้เรามีความสุขกาย สบายใจ เช่น ไหว้พระระลึกถึงพระรัตนตรัยก่อนออกจากบ้านทุกวัน
    งดกินเนื้อสัตว์ทุกวันเกิดในสัปดาห์

    ที่มา :
    http://www.mindcyber.com/home/index.php?news=335

    __________________

    ความสวยไม่คงที่ ความดีสิคงทน
     
  13. kling

    kling เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    159
    ค่าพลัง:
    +147
    นี่แหละพระธรรม ท่านถ่ายทอดธรรมะอย่างนี้ดีมาก ขอผลบุญให้ท่านและผู้อ่านมีดวงตาเห็นธรรมเร็วขึ้นเป็นทวีนะครับ
     
  14. TUK2800

    TUK2800 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    1,766
    ค่าพลัง:
    +1,161
    ขออนุโมทนาบุญด้วยค่ะ
    [​IMG]สาธุ สาธุ สาธุ[​IMG]
    <!-- / message -->
    <!-- / message -->
     
  15. TUK2800

    TUK2800 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    1,766
    ค่าพลัง:
    +1,161
    [​IMG]
    การสวดมนต์นั้นมีอานิสงส์ดังนี้
    ๑. สามารถไล่ความขี้เกียจ เพราะขณะสวดมนต์ อารมณ์เบื่อ เซื่องซึม ง่วงนอน เกียจคร้านจะหมดไป และเกิดความแช่มชื่นกระฉับกระเฉงขึ้น

    ๒. เป็นการตัดความเห็นแก่ตัว เพราะในขณะนั้นอารมณ์จะไปหน่วงอยู่ที่การสวดมนต์อย่างตั้งใจ ไม่ได้คิดถึงตัวเอง ความโลภ โกรธ หลง จึงมิได้เกิดขึ้นในจิตตน

    ๓. เป็นการกระทำที่ได้ปัญญา ถ้าการสวดมนต์โดยรู้คำแปล รู้ความหมาย ก็ย่อมทำให้ผู้สวดได้ปัญญาความรู้ แทนที่จะสวดเหมือนนกแก้วนกขุนทองโดยไม่รู้อะไรเลย

    ๔. มีจิตเป็นสมาธิ เพราะขณะนั้นผู้สวดต้องสำรวมใจแน่วแน่ มิฉะนั้นจะสวดผิดท่อนผิดทำนอง เมื่อจิตเป็นสมาธิ ความสงบเยือกเย็นในจิตจะเกิดขึ้น

    ๕. เปรียบเสมือนการได้เฝ้าพระพุทธเจ้า เพราะขณะนั้นผู้สวดมี กาย วาจา ปกติ (มีศีล) มีใจแน่วแน่ (มีสมาธิ) มีความรู้ระลึกถึงคุณความดีของพระพุทธเจ้า (มีปัญญา) เท่ากับได้เฝ้าพระองค์ด้วยการปฏิบัติบูชา ครบไตรสิกขาอย่างแท้จริง

    และในวิมุตติสูตรได้กล่าวว่า การสาธยายมนต์คือเหตุหนึ่งในวิมุตติ ๕ ประการ (เหตุแห่งวิมุตติ ๕ ประการ คือ การฟังธรรม การเทศน์ การสวดมนตร์สาธยาย และการคิดอย่างแยบคาย ) ดังมีว่า

    ...ดูกรภิกษุทั้งหลาย อีกประการหนึ่ง พระศาสดาหรือเพื่อนสพรหมจารีผู้อยู่ในฐานะครูบางรูป ก็ไม่ได้แสดงธรรมแก่ภิกษุ แม้ภิกษุก็ไม่ได้แสดงธรรมเท่าที่ได้สดับ ได้ศึกษาเล่าเรียนมาแก่ชนเหล่าอื่นโดยพิสดาร ก็แต่ว่าภิกษุย่อมทำการสาธยายธรรมเท่าที่ได้สดับ ได้ศึกษาเล่าเรียนมาโดยพิสดาร เธอย่อมเข้าใจอรรถ เข้าใจธรรมในธรรมนั้น ตามที่ภิกษุสาธยายธรรมเท่าที่ได้สดับ ได้ศึกษาเล่าเรียนมาโดยพิสดาร เมื่อเธอเข้าใจอรรถ เข้าใจธรรม ย่อมเกิดปราโมทย์ เมื่อเกิดปราโมทย์แล้ว ย่อมเกิดปีติ เมื่อใจเกิดปีติกายย่อมสงบ ผู้มีกายสงบแล้ว ย่อมได้เสวยสุข เมื่อมีสุข จิตย่อมตั้งมั่น


    ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นเหตุแห่งวิมุตติข้อที่ ๓ ซึ่งเป็นเหตุให้จิตของภิกษุผู้ไม่ประมาท มีความเพียร มี
    ใจเด็ดเดี่ยว ที่ยังไม่หลุดพ้น ย่อมหลุดพ้น อาสวะที่ยังไม่สิ้นไป ย่อมถึงความสิ้นไป หรือเธอย่อมได้บรรลุธรรมอันเกษมจากโยคะชั้นเยี่ยม ที่ยังไม่ได้บรรลุ



    เรื่องการสวดมนต์ มีบางแห่งกล่าวถึงเหตุผลของการสวดมนต์ไว้ว่า

    ๑. เป็นการรักษาธรรมเนียม ประเพณีที่ดีให้คงอยู่
    ๒. เป็นการแสดงความเคารพบูชาพระรัตนตรัย
    ๓. เป็นการเชื่อมสามัคคีในหมู่คณะ ครบไตรทวาร
    ๔. เป็นการสืบต่ออายุพระพุทธศาสนาให้ยั่งยืน
    ๕. เพื่อฝึกกายใจให้เข็มแข็งอดทน
    ๖. เพื่อดำรงรักษาเอกลักษณ์ของชาติไทยไว้
    ๗. เพื่ออบรมจิตใจให้สะอาด สงบ สว่าง
    ๘. เพื่อฝึกจิตให้เกิดสมาธิ ไม่ฟุ่งซ่าน
    ๙. เพื่อเป็นการทบทวนพระพุทธพจน์

    และกล่าวถึงประโยชน์ของการไหว้พระสวดมนต์ไว้ว่า...

    ๑. เป็นการเสริมสร้างสติปัญญา
    ๒. เป็นการอบรมจิตใจให้ประณีตและมีคุณธรรม
    ๓. เป็นสิริมงคล แก่ชีวิตตน และ บริวาร
    ๔. เป็นการฝึกจิตใจให้มีคุณค่าและมีอำนาจ
    ๕. ทำให้มีความเห็นถูกต้องตามหลักพุทธศาสนา
    ๖. เป็นการรักษาศรัทธาปสาทะของสาธุชนไว้
    ๗. เท่ากับได้เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าแม้ปรินิพพานแล้ว
    ๘. เป็นเนตติของอนุชนต่อไป
    ๙. เป็นบุญกิริยา เป็นวาสนาบารมี เป็นสุขทางใจ

    ********
    [​IMG]
    [​IMG]ที่มา ; http://www.dhammajak.net/phitee/11.html
     
  16. DD.

    DD. เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    556
    ค่าพลัง:
    +103
    ขอร่วมอนุโมทนาสาธุด้วยครับ

    ------------------------------------------
    พุทโธ...พุทโธ...ภาวนาวันละนิด จิตแจ่มใส
     
  17. TUK2800

    TUK2800 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    1,766
    ค่าพลัง:
    +1,161
    <CENTER>[​IMG]วิธีสวดมนต์ที่ถูกต้อง[​IMG]</CENTER>
    บทสวดมนต์หลายบทนั้นมีอานุภาพในตัวเองมากมายมหาศาล แต่ต้องขึ้นอยู่กับ "ผู้สวด" ด้วย
    มีหลายท่านได้ยินได้ฟังมาว่า คนนั้นคนนี้สวดมนต์บทนั้นบทนี้แล้วจะได้รับสิ่งที่ดีๆ อย่างนั้นอย่างนี้
    จึงมีผู้เลือกเอาบทสวดมนต์ต่างๆ มาบอกเล่ากันว่าควรสวดบทไหน ขอเรียนให้ท่านทราบด้วยความจริง....ว่า...
    การที่สวดมนต์ตามบทสวดมนต์ต่างๆ แล้วได้สมหวังตามความปรารถนา หรือสวดแล้วได้โชคลาภต่างๆ นั้น
    ไม่ได้ขึ้นอยู่กับ "บทสวดมนต์" แต่เพียงอย่างเดียว มีองค์ประกอบอย่างอื่นด้วย
    องค์ประกอบของการได้ทุกอย่างตามที่ปรารถนานั้น มีส่วนสำคัญอยู่ 3 ส่วน
    1. กรรม 2.ตัวเราเอง 3.ผู้ช่วยหรือสิ่งต่างๆ ช่วย
    [​IMG]1.กรรม มีอัตราส่วน 50 %
    ถ้าคนเราไม่มีส่วนของการกระทำที่ได้เคยทำไว้ในอดีตมาเป็นพื้นฐานแล้ว ไม่มีทางที่จะดีขึ้นมาได้
    เปรียบเทียบว่า กรรม ดีที่เราทำนั้น เป็นกำลังพื้นฐานที่รองรับเรื่องราวต่างๆ
    [​IMG]2.ตัวเราเอง มีอัตราส่วน 25 %
    ถ้าเราเองไม่ทำตัวให้ดี เพื่อรองรับ หรือรอรับสิ่งที่ดีๆ แล้ว ก็ไม่มีทางที่จะได้ดีขึ้นมาได้
    [​IMG]3.ผู้ช่วยหรือสิ่งที่มาช่วย มีอัตราส่วน 25 %
    ผู้ช่วยในที่นี้ รวมถึงทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นครูบา อาจารย์ ผู้ที่มีจิตดี จิตบริสุทธิ์ พรหม เทพ เทวดา
    สิ่งศักดิ์สิทธิ์ บทสวดมนต์ พระคาถา เครื่องราง ของขลัง วัตถุมงคล ฯลฯ
    สิ่งเหล่านี้ เป็น "อุปกรณ์" เสริมที่มีความจำเป็น เพื่อให้สิ่งที่เราต้องการ สิ่งที่เราปรารถนา
    สมตามความต้องการ นี่เป็นการเปรียบเทียบเพื่อให้เห็นชัดๆ
    สมมติว่า ถ้าเป็นการสอบ ต้องการคะแนน 50 เพื่อ "ผ่าน"
    ลองคิดดูง่ายๆ ว่า ถ้าเราจัดอัตราส่วนแล้วเราต้องใช้ส่วนไหนมากที่สุด
    ถ้าใช้ส่วนที่มากที่สุด ก็คือ ส่วนที่เป็น "กรรม"
    เรามีอัตราส่วนถึง 50 % ถ้าเราเคยทำกรรมดีไว้พอสมควร คือทำกรรมดีไว้เต็มเปี่ยมได้ครบ 50 %
    เราก็ไม่จำเป็นต้องไปหาคะแนนมาจากไหนมาเพิ่ม เพราะได้ครบ 50 % แล้ว เคยสังเกตหรือไม่ว่า
    คนบางคนแค่เพียง "นึก" ก็ได้สมตามความปรารถนาแล้ว ไม่จำเป็นต้อง "ร้องขอ" จากสิ่งใดๆ อีก
    ก็ได้ทุกอย่างตามที่ปรารถนา นั่นก็แสดงว่า บุคคลนั้นได้กระทำ "กรรม" ที่ดีๆ มาอย่างเต็มเปี่ยมแล้วในอดีต
    แต่ถ้าท่านยังทำความดีไม่เพียงพอ กระพร่องกระแพร่ง หรือขาดตกไปบ้าง
    สมมติว่ามี "กรรมดี" ได้คะแนนเพียง 30 % จำเป็นที่จะต้องหาคะแนนจากที่อื่นมาเพิ่มให้ครบ 50 คะแนน
    จะไปเอาจากไหน ก็จากที่เหลือ 2 ส่วนที่เหลือ คือจากตัวเราเองและผู้ช่วยเหลือหรือสิ่งช่วยเหลือ
    การที่จะไปหาให้ครบ 50 คะแนนนั้น ถ้าเอามาจากตัวเองน่าจะง่ายกว่าไปหาจากคนอื่น
    เพราะการที่ทำเอง ก็จะได้เองและได้มากกว่าคนอื่นมาทำให้ แต่ถ้าถามว่า เราทำเองนั้น ทำดีได้แค่ไหน
    จริงใจกับการทำความดีได้แค่ไหน หรือทำไปแล้ว ผลที่ได้จะเพียงพอกับคะแนนที่ต้องการหรือไม่
    สมมติว่าทำได้อีก 10 คะแนน (จาก 25 คะแนน) เราก็ได้เพิ่มแล้วเป็น 40 คะแนน ยังขาดอยู่ 10 คะแนน
    เราก็ต้องอาศัยผู้ช่วยเหลือ หรือสิ่งช่วยเหลือ เช่น ครูบา อาจารย์ ผู้ที่มี"จิต" ดี "จิต" บริสุทธิ์ เทพ เทวดา พรหม สิ่งศักดิ์สิทธิ์
    บทสวดมนต์ พระคาถา เครื่องราง ของขลัง วัตถุมงคล ฯลฯ เหล่านี้ก็สามารถช่วยท่านได้อีก 10 คะแนน
    รวมแล้วครบ 50 คะแนน ถือว่า "ผ่าน" นี่เป็นเพียงการเปรียบเทียบ และแสดงให้เห็นว่า
    ทุกส่วนต้องมีการเกื้อหนุนและประกอบกัน ถ้าแค่ผ่าน ก็ใช้เพียง 50 % หรือ 50 คะแนน
    แต่ถ้าจะให้ "เยี่ยม" ต้องใช้คะแนนมากๆ
    บางคนทำคะแนนได้มากถึง 90 หรือเกือบร้อย เช่น ทำแต่กรรมดี มาตั้งแต่อดีต เป็นคนที่ทำตัวเองดี
    และได้ผู้ช่วยเหลือดี เลยทำให้ได้ดี มากยิ่งขึ้น
    จำเอาไว้ว่า กรรม 50 ตัวเอง 25 ผู้ช่วยเหลือ 25 ไปจัดสัดส่วนเอาเอง ถ้าจะมานั่งรอแต่ให้คนอื่นช่วย
    (25 คะแนน ซึ่งความเป็นจริง ใครหรืออะไรจะมาช่วยได้ครบ 25 คะแนน) แล้วไม่ทำตัวเองให้ดีๆ
    ไม่ทำกรรมดีมาแต่ก่อน จะไปได้สิ่งที่ตัวเองต้องการ หรือจะได้รับสิ่งที่ดีๆ ได้อย่างไร
    เพราะฉะนั้นความเป็นจริง ตัวเราเองเป็นส่วนสำคัญ มีคะแนนถึง 75 % หรือ 75 คะแนน
    จากการกระทำดีของเราที่ได้เคยทำไว้ ซึ่งก็คือ "กรรม" 50 ตัวเราเองทำดีด้วย 25
    ถ้าทำได้แค่นี้ 75 คะแนนแล้ว ผ่านได้อย่างสบายๆ
    จะมานั่งรอผู้ช่วยเหลือ หรือสิ่งช่วยเหลือทำไม แค่เพียง 25 คะแนนเอง เมื่อรู้อย่างนี้แล้ว
    ทำไมไม่ฝึกตัวเองก่อน ให้ตัวเองมี "ดี" พอก่อน ก่อนที่จะไปหา "ดี" จากที่อื่น
    บทสวดมนต์ก็เช่นกัน จัดอยู่ในข้อที่ 3 คือผู้ช่วยเหลือ หรือสิ่งช่วยเหลือ อย่าลืมว่าเป็นเพียง "ส่วนประกอบเท่านั้น"
    คนที่ไม่มี "กรรม" ดีมาก่อน ไม่ได้ทำตัวให้เป็นคนดีก่อน ไม่ทำบุญทำกุศลมาก่อน
    ให้สวดพระคาถาชินบัญชร 100 จบ 1000 จบก็ไม่ได้อย่างที่ตัวเองต้องการ
    หรือเรียกง่ายๆ ว่า อาจจะไม่ได้ดีตามที่หวัง แต่การสวดมนต์ก็ได้ "กุศล" แล้ว
    แต่ได้อย่างมากที่สุดก็ไม่เกิน 25 คะแนน
    รู้อย่างนี้แล้วจะมามัวมานั่งทำอย่างใดอย่างหนึ่งทำไมกัน ทำทั้ง 3 ส่วนให้สมดุลย์กันไม่ดีกว่าหรือ ?
    ทั้งทำ "กรรม" ดี ทำตัวเองให้ดี (รวมถึงการทำบุญกุศล ปฏิบัติภาวนา ฯลฯ) และหาผู้ช่วยเหลือสิ่งช่วยเหลือที่ดี
    แล้วสิ่งที่คุณต้องการ...ก็จะไม่ไกลเกินความจริง
    [​IMG] การสวดมนต์เพื่อให้ได้อานิสงส์สูงสุด
    1.อย่าสักแต่ว่าสวดเป็นนกแก้วนกขุนทอง คือท่องๆ บ่นๆ ไปตามอักขระที่อ่านหรือนึกได้
    ข้อนี้ไม่ได้หมายความว่าต้องให้รู้ความหมายด้วย ไม่จำเป็นขนาดนั้น เพราะการรู้ความหมายเป็นเพียงส่วนเสริมเท่านั้น
    (แต่ถ้ารู้ความหมายด้วย ก็เป็นเรื่องดี) จะรู้ความหมายหรือไม่รู้ความหมายก็ไม่สำคัญเท่ากับการสวดมนต์อย่างมีสมาธิ
    2.ต้องสวดมนต์อย่างมีสมาธิ หมายความว่า เวลาที่จะสวดมนต์นั้น ต้องรู้ก่อนว่าสวดมนต์บทไหน
    (จะรู้ความหมายหรือไม่รู้ก็ได้) แต่เวลาที่สวดมนต์นั้น ให้รู้ว่าอักขระหรือตัวหนังสือที่เรากำลังจะท่องนั้น คือตัวอะไร
    ฟังดูอาจจะเข้าใจยาก เอาอย่างนี้ เวลาที่จะสวดมนต์ เช่น นะโม ตัสสะ ฯลฯ ก็ต้องรู้ว่า
    ตอนนี้กำลังสวดคำว่า นะ คำว่า โม คำว่า ตัส คำว่า สะ
    คือให้รู้ตัวทุกตัวอักขระว่ากำลังสวดคำไหน
    ทำได้มั้ยครับ ถ้าทำได้..คือรู้ตัวว่าสวดอักขระตัวไหน เราก็จะมีสติใจจดจ่อกับคำสวดตามอักขระ
    เมื่อมีสติเราก็จะมีสมาธิ การมีสติ และมีสมาธิในเวลาสวดมนต์นั้น จะได้รับ "พลังงาน" ที่ดี
    ทำให้ได้ แล้วจะได้รู้ว่า สวดมนต์เวลาที่มีสติและสมาธิ จะ "ดีกว่า" สวดมนต์แบบนกแก้วนกขุนทองอย่างมากมายมหาศาล
    [​IMG] การเรียงการสวดมนต์ ให้สวดมนต์ตั้งแต่ บทสวดมนต์ที่เกี่ยวกับพระรัตนตรัย
    บทชัยมงคลคาถา (บทพาหุง ฯ) และจบด้วยพระคาถาชินบัญชร
    จะท่องโดยไม่ต้องดูตัวหนังสือก็ได้ แต่อย่าขี้เกียจ หมั่นท่องจำไว้ให้ได้ก็ดี
    อย่านึกว่ามีหนังสือ มีตำรา แล้วเอาแต่เปิดหนังสือ เปิดตำราท่อง แรกๆ ก็เปิดได้ เพราะคนไม่เคยท่องจะให้จำได้อย่างไร
    แต่ถ้านานๆ ไป ควรท่องจำเองโดยไม่ต้องเปิดหนังสือหรือตำรา เพราะการท่องด้วยจิตใจที่จดจ่อกับคำที่เราท่อง
    สิ่งที่เราได้ก็คือ จิตจะมีสมาธิ
    การสวดมนต์ก็คือการปฏิบัติสมาธิอย่างหนึ่งเช่นกัน


    ที่มา : http://www.extrasoul.com/pray.html
















    </PRE>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 กุมภาพันธ์ 2009
  18. sitbudda

    sitbudda สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มกราคม 2009
    โพสต์:
    44
    ค่าพลัง:
    +18
    อนุโมทนาสาธุ ขออานิสงค์แห่งธรรมทานเป็นปัจจัยให้เจ้าของกระทู้และทุกท่านมีความสุขมีญาณบารมีสูงยิ่งๆ
     
  19. Nutuk

    Nutuk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    805
    ค่าพลัง:
    +347
    อนุโมทนาบุญสาระธรรมะด้วยค่ะ
    สาธ สาธุ สาธุ
    <!-- / message -->
     
  20. kriengkripob

    kriengkripob เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,326
    ค่าพลัง:
    +2,048
    อนุโมทนา (บทที่ 1 สวดมนต์แสดงความเคารพพระรัตนตรัย -อัญเชิญเทวดา -สมาทานศีล 5-บทสรรเสริญพระรัตนตรัย-บารมี 30 ทัศ-พาหุง-มหากา-มงคลจักรวาฬน้อย-มงคลจักรวาฬใหญ่-ยอดพระกัณฑ์ไตรปิฎก-ชินบัญชรคาถา-คาถาบูชาหลวงปู่ทวด-บูชาครูบาอาจารย์-เทวดา บทที่ 2 บทแผ่เมตตา-อุทิศส่วนกุศล-บทกรวดน้ำ-ขอขมาพระรัตนตรัย-ขอขมา 31 ภูมิ-คาถาเงินล้าน บทที่ 3 สวดมนต์แสดงความเคารพพระรัตนตรัย และ อัญเชิญเทวดากลับ บทที่ 4 นั่งสมาธิพอสมควร) ผมสวดตอนเช้าหลังใส่บาตร และก่อนนอนทุกวัน ใช้เวลาประมาณ 30-45 นาที ตอนนี้รู้สึกดีมากที่นึกถึงการทำบุญ-การสวดมนต์เป็นประจำทุกวัน ........ขออุทิศให้เจ้ากรรมนายเวรทุกภพทุกชาติ ขอให้กรรมเก่าหมดไป กรรมใหม่อย่าได้เกิดขึ้น และประสบความสุข ความเจริญทั้งทางโลกและทางธรรมควบคู่กันไป ตราบจนชีวิตจะหาไม่.....สาธุ สาธุ
     

แชร์หน้านี้

Loading...