พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. คีตา

    คีตา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    665
    ค่าพลัง:
    +4,309

    ผมเห็น พี่ nongnooo พี่เพชร และ พี่ๆท่านอื่น คุยกันเรื่อง หุ้น ทองคำ คลาดเงิน ตลาดโภคภัณฑ์.... ไม่ทราบว่า พวกพี่ปกติไปดู ไปคุยที่เวบไหนครับ หรือ เล่นกับมาร์ คุยกันเองกับเพื่อน

    ในพลังจิต.คอม มีห้องการลงทุยมั๊ยครับ พี่ๆ....
     
  2. newcomer

    newcomer เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2007
    โพสต์:
    1,317
    ค่าพลัง:
    +3,934
    ผมคงนำไปซื้อสลากออมสิน ลุ้น 5 ดอลล์ (ฮอนด้า) ครับ
     
  3. dragonlord

    dragonlord เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    541
    ค่าพลัง:
    +1,541
    จะตอบเหมือนกันเลยคะ แต่คงบอกว่าคนส่วนมากคงซื้อ หวย เพราะใช้เงินน้อยกว่าแต่ได้ผลตอบแทนเยอะกว่า หรือไม่ก็นั่งรถไปเขมร ไปบ่อนเลย (เงินออกนอกประเทศไปเลย)

     
  4. nongnooo

    nongnooo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    4,139
    ค่าพลัง:
    +9,446
  5. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ไม่มีครับ
    แต่มีในกระทู้พระวังหน้าฯ ที่คุยเรื่องของการลงทุน แต่ก็ไม่ได้คุยกันมากนักครับ

    .
     
  6. dragonlord

    dragonlord เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    541
    ค่าพลัง:
    +1,541
    But for myself I will give to Khun P'Noom for แผ่นสแตนเลส na ka. (But I don't get that 2000 B)

     
  7. nongnooo

    nongnooo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    4,139
    ค่าพลัง:
    +9,446
    555555555อีกแล้วครับ
    ทุกท่านที่ตอบมาผิดวัตถุประสงค์ของรัฐบาลครับ เค้าแจกมาให้นำไปใช้ครับ เก็บเศรษฐกิจก็ไม่หมุนสิครับ ส่วน ฮอนด้านี่ไม่ต้องชิงโชคครับ จ่ายตังค์ซื้อง่ายกว่าครับ ส่วนท่านปาทานนี่ผมทราบแล้วครับ5555555 หุ หุ
     
  8. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  9. nongnooo

    nongnooo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    4,139
    ค่าพลัง:
    +9,446
  10. nongnooo

    nongnooo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    4,139
    ค่าพลัง:
    +9,446
  11. newcomer

    newcomer เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2007
    โพสต์:
    1,317
    ค่าพลัง:
    +3,934
    "ส่วน ฮอนด้านี่ไม่ต้องชิงโชคครับ จ่ายตังค์ซื้อง่ายกว่าครับ"
    เห็นด้วย ครับ ซื้อไม่กี่หน่วย รอลุ้นจนเหนื่อย ครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 17 กุมภาพันธ์ 2009
  12. ake7440

    ake7440 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,528
    ค่าพลัง:
    +405
    คุยอารายกาน ถึงคราวผมมึนมั่งละ ภาษาปะกิตป๋มอ่อนแอนะครับ สงสัยต้องให้ท่านโดจิมาแปลให้ฟังละ หุหุ
     
  13. narin96

    narin96 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    113
    ค่าพลัง:
    +28
    แจ้งการโอนเงินร่วมบุญ
    วันนี้ได้โอนเงิน ๗๐๐ บาท เพื่อร่วมบุญแล้วครับ
     
  14. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  15. ake7440

    ake7440 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,528
    ค่าพลัง:
    +405
    โอ๊ะ...แปลกใจ เมื่อคืนไม่สบายนอนซม นึกว่าเช้านี้แวบมาเข้ากระทู้จะวิ่งไปไหนต่อไหน
    ปรากฏกว่าไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ ไปไหนกันหนอ
     
  16. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    แนวทางการพิจารณา พระซ่อม-พระตกแต่ง
    http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=3886.0;wap2

    สิบทัศน์:
    ข้อมูลจากหนังสือพิมพ์ข่าวสด ฉบับวันที่ 23 มีนาคม 2551 คอลัมน์ พันธุ์แท้พระเครื่อง โดย อ.ราม วัชรประดิษฐ์

    การจะตัดสินใจจะเช่าบูชาพระเครื่องเก่าแก่สักหนึ่งองค์ ยิ่งถ้ามูลค่าสูงๆ ด้วยแล้ว คงต้องมีการพิจารณากันอย่างละเอียดถี่ถ้วน ไม่ต้องมานั่งเสียใจในภายหลังว่าเป็นพระเก๊บ้าง พระซ่อมบ้าง โดยเฉพาะพระเครื่องที่มีอายุยาวนานมากๆ ก็ย่อมเป็นธรรมดาที่องค์พระอาจเกิดการแตกหักหรือชำรุด ซึ่งจะทำให้มูลค่าลดลงไปตามส่วน "พันธุ์แท้พระเครื่อง" จึงขอนำ "แนวทางการพิจารณาพระซ่อม-พระตกแต่ง" มาให้เรียนรู้กันพอสังเขปจะได้ไม่โดนหลอกง่ายๆ ครับผม

    การซ่อมพระในวงการพระเครื่อง พระบูชา เริ่มมีเป็นอาชีพมาตั้งแต่ประมาณปี พ.ศ.2490 ต่อมาแพร่ขยายออกไปเรื่อยๆ จนกระทั่งมีการพัฒนาถึงขั้นดูไม่ออกเลยว่า เป็นพระที่ผ่านการซ่อมมาแล้วก็มี ขนาดเอากล้องส่องยังไม่พบร่องรอยการซ่อมว่าอยู่ตรงไหน จะรู้กันเพียงเจ้าของพระกับช่างซ่อมเท่านั้น ยิ่งในกรณีที่อยู่ระหว่างการตัดสินใจ ยังไม่มีการชำระค่าเช่าบูชาแก่เจ้าของพระ ยิ่งเป็นการลำบากที่จะนำพระมาล้าง เพราะจะทำให้เกิดปัญหากับเจ้าของพระได้ โดยเฉพาะถ้าเป็นพระสมเด็จของท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) ที่มีคุณค่าสูง มูลค่าสูง และหายากด้วยแล้ว



    ข้อแนะนำประการแรกคือ ให้นำองค์พระไปที่ "แผนกรังสีวิทยา" ของโรงพยาบาลใดโรงพยาบาลหนึ่ง เพื่อให้ทำการ "เอกซเรย์" เพราะรอยหักรอยซ่อมจะปรากฏชัดขึ้นตามฟิล์ม อันเป็นบทพิสูจน์อย่างหนึ่งว่าพระหักเป็นสองชิ้น ถึงแม้จะซ่อมยอดเยี่ยมเพียงใด ก็ไม่สามารถเชื่อมต่อให้เป็นเนื้อเดียวกันได้ ด้วยอายุขัยของเนื้อมวลสารและรอยประสานที่แตกต่างกัน และกลายเป็นหลักปฏิบัติมาถึงปัจจุบัน แต่ในบางกรณีที่องค์พระเกิดการกะเทาะ ช่างซ่อมจะตกแต่งให้สมบูรณ์ขึ้น อันนี้ ถ้าช่างฝีมือเยี่ยมจริงๆ จะดูได้ยากมาก ถ้านำพระไปเอกซเรย์ตามปกติคือวางพระในแนวราบธรรมดา เพราะฉะนั้นจะต้องวางองค์พระในแนวตะแคงทำมุม 15 องศา จึงจะสังเกตเห็นได้ อีกวิธีการหนึ่งในการตรวจสอบพระซ่อม โดยเฉพาะพระสมเด็จ คือ ให้นำ "เมทิลแอลกอฮอล์" ใส่สำลีแล้วเช็ด 2-3 ครั้ง ที่องค์พระ รอยซ่อมก็จะปรากฏ

    พระสมเด็จของท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) นั้น พระสมเด็จวัดระฆังฯ จะทำการซ่อมและตกแต่งยากกว่าพระสมเด็จวัดบางขุนพรหม เพราะเป็นพระที่ไม่ได้ผ่านการบรรจุกรุ จึงไม่มีคราบกรุที่จะอำพรางรอยซ่อมได้ แต่สำหรับพระสมเด็จวัดบางขุนพรหมมักจะมีคราบกรุจับ ช่างเก่งๆ บางคนสามารถทำการ "ย้ายคราบกรุ" มาปิดตรงบริเวณที่ซ่อมเพื่อเป็นการอำพราง ไม่ว่าจะเป็นพระแท้ที่หักเป็น 2 ส่วน พระแท้หักครึ่ง 2 องค์ แม้กระทั่งพระแท้ครึ่งองค์กับพระเทียมครึ่งองค์ก็มี จนในวงการมักมีคำล้อกันว่า "ซื้อองค์เดียวได้สององค์" พระที่ถูกซ่อมในลักษณะเช่นนี้ ให้พิจารณา "ซุ้มครอบแก้ว" ว่าบรรจบเหลื่อมล้ำกันหรือไม่ ดูแผ่นหลัง รอยตัดข้าง สีผิวขององค์พระว่ามีความแปลกแตกต่างกันไหม ซึ่งต้องใช้ประสบการณ์และความละเอียดรอบคอบอย่างสูง

    จึงขอแนะนำวิธีง่ายๆ แต่ค่อนข้างพิสูจน์ได้ คือ นำองค์พระไปตรวจสอบกลางแดด เอียงองค์พระในลักษณะ 45 องศา ให้สะท้อนกับแสงแดด กระดกองค์พระไปมา ถ้าเป็นพระที่ไม่มีการซ่อมจะมีผิวด้านเสมอกัน แต่หากบริเวณใดมีการซ่อมจะปรากฏความมันสะท้อนแตกต่างจากจุดอื่น ให้ตั้งข้อสังเกตได้เลยว่า น่าจะเป็นพระที่ผ่านการซ่อมมา แต่ระวังอย่ากระดกแรงไป เดี๋ยวหลุดมือขึ้นมา..เรื่องใหญ่ครับผม


    ....................................................................................
    หวังว่าคงจะเป็นประโยชน์แกพี่น้องชาวบางพระนะครับ
     
  17. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE class=tborder cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=thead>ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 23 คน ( เป็นสมาชิก 2 คน และ บุคคลทั่วไป 21 คน ) </TD><TD class=thead width="14%"></TD></TR><TR><TD class=alt1 width="100%" colSpan=2>sithiphong, nongnooo+ </TD></TR></TBODY></TABLE>

    ว่าไงครับคุณnongnooo พระวังหน้า ไม่ต้องตรวจสอบเรื่องพระหัก
    แต่ที่นำมาลง เพื่อเป็นความรู้กันเท่านั้นเองครับ

    .
     
  18. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    มาแนะนำเรื่องของการที่เราจะดูว่า กระทู้ที่เราดู อยู่ที่ไหนในเว็บ

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 border=0><TBODY><TR vAlign=bottom><TD>[​IMG]</TD><TD></TD><TD width="100%">PaLungJit.com > พลังจิต > ศูนย์ ประชาสัมพันธ์ > งานบุญอื่นๆ </TD></TR><TR><TD class=navbar style="FONT-SIZE: 10pt; PADDING-TOP: 1px" colSpan=3>[​IMG] พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้..... </TD></TR></TBODY></TABLE>

    อย่างแรก ก็คือเว็บ PaLungJit.com

    ต่อมาก็จะเป็น ห้องพลังจิต
    <TABLE class=tborder cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><THEAD><TR align=middle><TD class=thead></TD><TD class=thead align=left width="100%">ห้อง</TD><TD class=thead width=175>ข้อความล่าสุด</TD><TD class=thead>กระทู้</TD><TD class=thead>ข้อความ</TD></TR></THEAD><TBODY><TR><TD class=tcat colSpan=5>[​IMG] พลังจิต </TD></TR></TBODY></TABLE>


    ในลำดับต่อไป ก็คือห้อง(หรือหมวด) ศูนย์ ประชาสัมพันธ์

    สุดท้ายก็คือ ห้องย่อย งานบุญอื่นๆ
     
  19. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    นิยาม "รัก" จาก "ว.วชิรเมธี" "มาฆะ-ราคะ" บูชา พุทธศาสนาเป็นศาสนาแห่งความรัก
    http://www.matichon.co.th/prachacha...g=02spe01160252&day=2009-02-16&sectionid=0223


    <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=left border=0><TBODY><TR bgColor=#f8b8cb><TD>[​IMG]
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    กลีบกุหลาบถูกเด็ดปลิวโปรยร่อนเพื่อเคล้าประสานสร้างบรรยากาศวันแห่งความรักนานนับนานหลายปีผ่าน สังคมไทยร่ายรำไปตามวัฒนธรรมตะวันตก 14 กุมภา วันวาเลนไทน์ กลายเป็นเทศกาลที่เด็กวัยรุ่นต่างใจจดใจจ่อเฝ้ารอ เพื่อที่สุดท้ายแล้วจะได้หวังผสมเสน่ห์แห่งกามารมณ์กลมกลืนไปยามค่ำคืน

    โลกแห่งความจริง เด็กรุ่นใหม่มองผ่านและละเลยวันเพ็ญเดือน 3 "มาฆบูชา" ที่ปีนี้มาเยือนก่อนวันแห่งความรัก 5 วัน

    แต่กลับไม่ลืมที่จะหาช่อดอกไม้ ช็อกโกแลต และของขวัญรูปหัวใจ

    รสธรรมหรือหอมหวานกว่ารสรัก

    พระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี หรือ ว.วชิรเมธี ผู้ก่อตั้งสถาบันวิมุตตยาลัย วิสัชนาปรัชญาการศึกษาเพื่อพัฒนาศักยภาพแห่งการตื่นรู้ สู่อิสรภาพไว้ว่า

    "มหาสมุทรมีรสเค็มเพียงรสเดียวฉันใด พระธรรมวินัยก็มีรสเดียวคือ วิมุตติรส ฉันนั้น"

    พระอาจารย์ ว.วชิรเมธี เจริญสติต่อความเปลี่ยนแปลง ทางสังคมในยุคโลกาภิวัตน์ และยอมรับในสัจธรรมว่า เปรียบวันมาฆบูชาเป็นการเดินขึ้นเขา ส่วนวันวาเลนไทน์เป็นการเดินลงเขา

    ธรรมชาติของคนย่อมชอบที่จะเดินลงเขาทั้งนั้น

    ระหว่างที่อวลไปด้วยกรุ่นไอรัก บรรทัดต่อไป โปรดตาม พระอาจารย์ ว.วชิรเมธี ก้าวย่างขึ้นเขาทีละขั้น เพื่อสดับนิยาม "รักแท้" ในสมณเพศ

    "หนุ่มสาวรุ่นใหม่ควรจะเรียนรู้ว่า ความรักมีหลายมิติ แต่ที่เราหยิบมาเน้นทุกวันนี้มีมิติเดียวคือความรักในเชิงชู้สาว ซึ่งมักจะไปจบที่การมีความสัมพันธ์ เพราะว่าไม่อยากจะผูกพัน และนั่นเป็นเหตุให้ก่อปัญหาสังคมตามมามากมาย เพราะฉะนั้นเขาควรจะเปิดใจให้กว้าง เพื่อที่จะได้เรียนรู้ว่าแท้ที่จริงนั้น ความรักเป็นอะไรที่มากกว่าความสัมพันธ์ในเชิงชายหนุ่มหญิงสาว"

    "ในทรรศนะของอาตมาที่สรุปมาจากองค์ความรู้ทางพุทธศาสนา ความรักมีด้วยกัน 4 มิติ 1.รักตัวกลัวตาย 2.รักใคร่ปรารถนา 3.รักเมตตาอารี 4.รักมีแต่ให้"

    พระอาจารย์ ว.วชิรเมธี อธิบายว่า 1.รักตัวกลัวตาย เป็น ความรักอิงสัญชาตญาณพื้นฐานของการมีชีวิต ความรักเช่นนี้มีอยู่ในสิ่งมีชีวิตทุกประเภท อันตรายของความรักชนิดนี้ คือถ้ามีมากเกินไปจะกลายเป็นความเห็นแก่ตัว และบางครั้งเพื่อที่จะปกป้องตัวเอง ก็ถึงกับต้องฆ่าคนอื่น

    2.รักใคร่ปรารถนา เป็นความรักอิงสัญชาตญาณการสืบพันธุ์ มีความสัมพันธ์ฉันชู้สาวเป็นเครื่องมือของความรักชนิดนี้ ความรักชนิดนี้ถ้าวิเคราะห์ลึกๆ มีความโลภเจืออยู่ นั่นก็คืออยากจะได้ ใคร่จะครอบครอง และถ้าตัวเองได้ตามที่ต้องการก็ถือว่าประสบความสำเร็จในความรักชนิดนี้ แต่ถ้าเมื่อไหร่ก็ตามไม่ได้ตามที่ต้องการ ความโลภอาจจะกลายเป็นความแค้น

    "และนั่นเป็นเหตุให้หลายครั้ง คนที่รักกันแต่พอผิดหวังจากความรัก จึงลงเอยด้วยการทำร้ายซึ่งกันและกัน และในบางกรณีถึงขั้นฆาตกรรม ชำแหละคนรักเป็นศพ ไหนบอกว่ารัก ทำไมต้องจบด้วยการฆาตกรรม เพราะลึกๆ แล้วไม่ใช่รัก เป็นแค่ราคะ คือความปรารถนาในกามารมณ์ และเป็นเพียงความโลภ คือต้องการที่จะครอบครองมาเป็นเจ้าของเพียงหนึ่งเดียว ดังนั้นความรักชนิดนี้จึงไม่ปลอดภัย ต้องก้าวไปหาความรักที่สูงขึ้น"

    ความรักที่ 3 คือ รักเมตตาอารี คือความรักที่อิงและร่วมทางวัฒนธรรมบางอย่าง เช่น มีสายเลือดเดียวกัน พ่อแม่ก็จะรักลูกมาก เพราะลูกก็คือสำเนาของตนเอง คนที่ถือศาสนาเดียวกันก็จะรู้สึกเป็นพวกเพราะมีศาสดาคนเดียวกัน คนที่ถือสัญชาติเดียวกันก็จะรู้สึกเป็นพวกกับคนสัญชาติเดียวกัน และมนุษย์ด้วยกันก็จะรู้สึกว่าต้องให้ความสำคัญกับมนุษย์มากกว่าสัตว์

    "ความรักเช่นนี้เป็นความรักที่อาศัยโยงใยทางวัฒนธรรมเป็นเครื่องหล่อเลี้ยง เราจะรักใครก็ตามที่เราเชื่อมโยงทางวัฒนธรรมได้ในแง่ใดแง่หนึ่ง เช่น ถ้าเราเดินอยู่ในอเมริกาแล้วเจอคนไทย เราจะรู้สึกปีติเบิกบานขึ้นมาทันที ทั้งๆ ที่ฝรั่งที่เราเจอก็คนทั้งนั้นแต่เราจะเฉยๆ ถ้าคนไทยคนนั้นเป็นชาวพุทธเหมือนกับเรา ก็ยิ่งดีใจใหญ่ ทำไมเป็นอย่างนั้น เพราะลึกๆ เรามีโยงใยทางวัฒนธรรมร่วมกันบางสิ่งบางอย่าง ความรักชนิดนี้ทำให้มนุษย์รวมกันเป็นหมู่เป็นคณะเป็นกลุ่มเป็นก้อน

    แต่อันตรายของความรักชนิดเช่นนี้ก็คือ บางครั้งมันกลายเป็นความหลงผิด ยึดติดถือมั่นในกลุ่ม ในหมู่ ในพรรค ในเผ่า ในพันธุ์ของตัวเอง แล้วกลายเป็นสงครามระหว่างชาติพันธุ์ ระหว่างผิวสี ศาสนา ลัทธิ การเมือง ซึ่งเคยมีตัวอย่างมาแล้วนับครั้ง ไม่ถ้วน เช่น ฮิตเลอร์สังหารชาวยิวเพราะอะไร หรือสงครามครูเสดเกิดขึ้นยาวนานหลายร้อยปี ก็เพราะทุกคนอยากจะปกป้องพระเจ้าของตนเอง รวมทั้งสงครามแบ่งแยกดินแดนทั้งหลาย ความรักชนิดนี้ลึกๆ เข้าไปอาศัยคำว่าลัทธิ อุดมการณ์เป็นเครื่อง หล่อเลี้ยง เป็นเครื่องเชื่อมโยงที่สำคัญ"

    พระอาจารย์ ว.วชิรเมธี ยังรวมถึงการแบ่งฝักแบ่งฝ่ายทางการเมืองที่มีทั้ง เสื้อเหลืองและเสื้อแดง หรือทุกสิ่งทุกอย่างที่มนุษย์เข้าไปยึดติดถือมั่นแล้วมีอิทธิพล ต่อการดำเนินชีวิต

    "ความรักของสีเหลืองสีแดงก็เป็นความรักในประเภทที่ 3 นี้ด้วย ความรักชนิดที่ 1 ที่ 2 และชนิดที่ 3 ก็ยังไม่ปลอดภัย ต้องพัฒนาต่อไปถึงความรักประเภทที่ 4 คือ รักมีแต่ให้"

    "รักมีแต่ให้ เป็นความรักที่มาพร้อมกับปัญญา ความรักที่ 1-3 อิงอารมณ์คือความรู้สึกเป็นรากฐานที่สำคัญ แต่ความรักชนิดที่ 4 อิงปัญญาคือความรู้สว่างกระจ่างแจ้งในโลกและชีวิต ถูกต้องตรงตามความเป็นจริง จนมนุษย์สามารถถอดถอนตัวเองออกมาจากมายาคติ คือสิ่งที่เป็นความลวงทุกชนิด เหมือนพอเมฆที่เคลื่อนออกไป ฟ้าก็เปิด ทอดตามองไปทางไหนก็เห็นแต่แสงสว่างในทิศทั้ง 4"

    "ไม่มีอะไรอีกที่เป็นความลับดำมืดหรือเคลือบแคลงสงสัยมัวเมา ความรักชนิด เช่นนี้เกิดขึ้นก็ต่อเมื่อเรามีปัญญาที่จะหยั่งรู้ ถึงความจริงของโลกและชีวิตอย่างตรงไปตรงมา เช่น ถ้าเราเห็นเงิน เราก็รู้ว่าเงินเป็นเพียงสิ่งสมมติที่มนุษย์สร้างขึ้นมา เราใช้เงินเสร็จแล้ว เราก็สามารถปล่อยวางมันได้ เราใช้เสื้อผ้าเสร็จแล้วเราก็สามารถถอดวางไว้ได้ เรามียศ เราใช้ยศเสร็จแล้วเราก็ไม่ยึดติดยศ เรามีทรัพย์สมบัติ เราก็บอกว่าสรรพสิ่งคือของใช้ไม่ใช่ของฉัน"

    "พอเรามีความเข้าใจโลกและชีวิตตามความเป็นจริงอย่างนี้ ปัญญาของเราจะเป็นอิสระ พอปัญญาของเราเป็นอิสระแล้ว ทอดตาไปทางไหนใจเราก็กว้างขวาง หมดความยึดติดถือมั่น ทอดตาไปทางไหนก็ไม่เห็นใครว่าเป็นเสื้อเหลืองเสื้อแดง เพราะสิ่งเหล่านั้นคือเปลือกของความเป็นมนุษย์ที่เราสมมติขึ้นมาเองทั้งหมด ทอดตาไปทางไหนคุณก็จะเห็นแต่มนุษยชาติกระจายอยู่ ทั่วทุกหนทุกแห่ง เขากับเราแตกต่างกันเพียงเปลือกผิวภายนอก แต่โดยเนื้อหาสาระก็คือ สิ่งมีชีวิตที่เรียกกันว่ามนุษยชาติ ไม่มีใครสูงกว่าใคร ไม่มีใครต่ำกว่าใคร มีแต่สิ่งมีชีวิตที่เรียกกันว่าคน นั่นคือความจริงสุดท้าย พอจิตของเราเป็นอิสระอย่างนี้แล้ว ความรู้สึกในเชิงแบ่งแยกหายไป ความรู้สึกในเชิงถือเขาถือเราหายไป ความรู้สึกในเชิงเปรียบเทียบหายไป ทอดตามองไปทางไหนก็เห็นแต่คนที่เสมอกันกับเรา และนั่นคือเหตุที่ทำให้เราเรียนรู้ที่จะรักคนอื่นพอๆ กับที่เรารักตัวเอง ความรักเช่นนี้เมื่อเกิดขึ้นแล้วจะนำความรักที่แท้มา นั่นคือความกรุณา รักแท้คือกรุณา"

    พระอาจารย์ ว.วชิรเมธี อธิบายต่อไปอีกว่า กรุณาก็คือความสงสารอันใหญ่หลวง ซึ่งทำให้เราไม่สามารถทำร้ายใครได้อีกเลย เพราะทอดตาไปทางไหนก็ล้วนแล้วแต่เป็น พี่น้องท้องเดียวกันกับเราทั้งหมดทั้งสิ้น เมื่อปัญญาทำหน้าที่เปิดประตูหัวใจของเราแล้ว ธารน้ำแห่งความรักก็จะไหลหลั่งถั่งท้นออกมา ชโลมชาวโลกให้อยู่กันฉันพี่ฉันน้อง

    "อุปมาให้เห็นง่ายๆ รักแท้คือกรุณา เปรียบเสมือนแสงเดือนแสงตะวันที่สาดลงผืนโลก โดยที่ไม่เคยเรียกร้องค่าตอบแทน เป็นน้ำก็ไหล เป็นจันทร์ก็ส่อง เป็นนกก็ร้องเพลง โดยไม่เคยถามว่าใครเคยเห็นความสำคัญของฉันหรือ โดยไม่เคยถามว่าฉันจะได้อะไรตอบแทนไหม ฉะนั้นวิวัฒนาการสูงสุดของความรักก็คือ รักแท้คือกรุณา เราต้องไปให้ถึงความรักชนิดเช่นนี้ จึงจะเป็นความรักที่ดีที่สุด ที่ไม่เพียงแต่คนหนุ่มสาวเท่านั้น มนุษยชาติจะต้องไปให้ถึง"

    ถึงกระนั้น พระอาจารย์ ว.วชิรเมธี ก็นิยามความรักให้เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ง่ายว่า ความรัก คือการตระหนักรู้ในสัจธรรม แล้วเราสามารถถอดถอนตัวเองออกมาจากความโลภ ความโกรธ ความหลง ได้อย่างสิ้นเชิง มีหัวใจที่บริสุทธิ์ หมดจด แล้วก็แผ่ความรักนั้นออกไปรักคนได้ทั้งโลก ความรักในทรรศนะของอาตมากล่าวอย่างสั้นที่สุดคือกรุณา คือจิตใจอันใหญ่หลวงที่สามารถรักคนได้ทั้งโลกโดยไม่เลือกชั้นวรรณะ รักแท้คือกรุณาจะมาหลังจากการผลิบานทางปัญญาเสมอไป ถ้าไม่ได้มาพร้อมปัญญาเป็นได้แค่มายาการณ์ชนิดหนึ่ง พูดง่ายๆ เป็นได้แค่ความรู้สึก

    "ฉะนั้นถ้าไปดูพระพักตร์ของพระพุทธรูป ทุกองค์ ยิ้มทุกองค์ ทำไมยิ้ม เพราะจิตท่านเบิกบานผ่องใส ท่านจึงกลายเป็นผู้ที่ยิ้มให้กับคนทั้งโลก รักที่แท้จะเป็นอย่างนั้น เราเกลียดใครไม่ลงเลย"

    "ฉะนั้นพุทธศาสนานี้ จึงเป็นศาสนาแห่งความรัก เริ่มต้น พระพุทธเจ้าก็รักใน โพธิญาณ ใช้วันเวลาทั้งหมด 84,000 อสงไขย กำไร 100,000 กัลป์ ทุ่มเทปัจจัยลงไปในโพธิญาณ รักในการที่จะเป็นพระพุทธเจ้า และเมื่อบรรลุเป็นพระพุทธเจ้า ก็ไปถึงตาน้ำที่แท้ ตลอดเวลา 45 ปีหลังจากที่ตรัสรู้ เสด็จพุทธดำเนินไปทุกหนทุกแห่งเพื่อหว่านโปรยพุทธธรรมอันเป็นเครื่องมือ ที่จะนำชาวโลกไปสู่ความรักที่แท้ และด้วยเหตุดังนั้น พระพุทธองค์จึงมีพระนามอีกอย่างหนึ่งว่า พระมหาการุณิโก แปลว่า พระผู้มีความรักที่แท้"

    "เพราะฉะนั้น พุทธศาสนาเป็นศาสนาแห่งความรัก และเราชาวพุทธทุกคน เมื่อเข้าใจพุทธธรรมอย่างถึงที่สุดแล้ว เราจะกลายเป็นผู้ที่มีความรักอย่างลึกซึ้งที่สุด"

    หากแต่เมื่อมองกลับมายังสังคม ปัจจุบันที่เยาวชนห่างไกลวัด พระอาจารย์ ว.วชิรเมธี มองปัญหาอย่างเข้าใจว่า

    "การที่คนไทยซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวพุทธให้ความสำคัญกับวันวาเลนไทน์มากกว่า วันมาฆบูชา อันนี้เป็นเหตุผลที่เข้าใจได้ ก็วันมาฆบูชานั้นมีบรรยากาศทางศาสนา และเป็นศาสนาที่ชวนให้เราทวนกระแสกิเลสด้วยซ้ำไป มนุษย์ส่วนใหญ่ไม่อยากทวนกระแสกิเลส อยากจะเดินตามกิเลสอย่างเชื่องๆ มากกว่า แต่วันวาเลนไทน์นั้นมีบรรยากาศของการทำอะไรตามใจกิเลส กล่าวให้เห็นภาพลักษณ์ วันมาฆบูชา มีบุคลิกภาพเหมือนการชวนให้คนทั่วไปเดินขึ้นเขา ส่วนวันวาเลนไทน์นั้นเหมือนการชวนให้คนทั่วไปเดินลงเขา คนส่วนใหญ่จะรู้สึกรื่นรมย์ตอนเดินลงเขามากกว่าตอนเดิน ขึ้นเขา เพราะวันมาฆบูชานั้นชวนให้ทวน กระแสกิเลส ส่วนวันวาเลนไทน์ชวนให้ไหลตามกระแสกิเลส ก็ในเมื่อมันสอดคล้องกับธรรมชาติของมนุษย์ ทำไมมนุษย์จะไม่ชอบวันวาเลนไทน์ นี่เป็นเหตุผลทางจิตวิทยาที่เข้าใจได้"

    "ต้องยอมรับอยู่อย่างหนึ่งว่า ชาวพุทธไทยห่างจากพุทธศาสนามาก ทั้งในเชิงเนื้อหาสาระ ทั้งในเชิงวิถีชีวิตประจำวัน และต้องยอมรับความจริงอย่างหนึ่งว่า สถาบันสงฆ์ในสังคมไทยเอง ก็มีแก่นสารใน เชิงเนื้อหาสาระน้อยลง นั่นเป็นเหตุให้ พุทธศาสนาในสังคมไทยเวลานี้เหมือนต้นไม้ที่กำลังยืนต้นตาย รักษาไว้ได้แต่ภาพลักษณ์อันสวยหรู แต่เนื้อหาสาระนั้นนับวันจะหาได้ยากยิ่งขึ้นทุกที"

    พระอาจารย์ ว.วชิรเมธี วิเคราะห์ว่า การที่องค์กรหลักของสถาบันพุทธศาสนาในสังคมไทยห่างไกลจากเนื้อหาสาระที่แท้จริง นั่นก็เป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้คนร่วมยุคร่วมสมัยพากันถอยห่างออกไปจากสถาบันศาสนา และทั้งๆ ที่สภาพสังคมโดยทั่วไปเป็นอย่างนี้ ที่น่าเป็นห่วงที่สุดก็คือ ผู้ที่อยู่ในสถาบันศาสนาเองก็ไม่ตระหนักรู้ ไม่เพียงไม่ตระหนักรู้ บางทีปล่อยให้ปัญหานั้นคาราคาซัง กลายเป็นเรื่องที่สะเทือนใจในหมู่ ชาวพุทธ เช่น กรณีพระตุ๊ด พระเกย์ พระแต๋ว หลวงเจ๊ เยอะแยะมากมายกระจายกันอยู่ไปทุกหนทุกแห่ง

    "นี่คือสิ่งที่สะท้อนให้เห็นว่า องค์กรกำลังถอยหลังเข้าไปสู่ความเสื่อมอย่างน่าเป็นห่วงที่สุด ถ้าสถาบันสงฆ์ซึ่งเป็นสถาบันตัวอย่างทางจริยธรรมยังเสื่อมได้ถึงขนาดนี้ ก็ไม่ต้องพูดว่าชาวบ้านจะเสื่อมกันขนาดไหน นี่เป็นเรื่องที่สะเทือนใจมากที่เราคนไทยจะต้องมาร่วมกันคิดหาทางออก เพราะมิเช่นนั้นแล้ววันมาฆบูชา จะเป็นได้แค่วันที่คนไทยทั่วประเทศ ตั้งแต่พระสงฆ์ รัฐบาล เด็กและเยาวชนร่วมกันจัดงานอีเวนต์ขึ้นมาหลอกตัวเองเท่านั้น ไม่มีผลอะไรในทางเนื้อหาสาระ"

    "แล้วก็มาภาคภูมิใจว่า นี่ไง พุทธศาสนามั่นคง คนไทยเข้าวัดมากขึ้น อาตมาคิดว่านี่เป็นดัชนีชี้วัดที่ไร้สาระโดยสิ้นเชิง ความมั่นคงของพุทธศาสนาไม่ควรจะวัดที่ประชาชนเข้าวัดมากขึ้น แต่ควรจะวัดที่ประชาชนดำเนินชีวิตมีเนื้อหาสาระตรงกับพุทธศาสนามากขึ้น"

    กับค่านิยมที่คู่รักหมายปองจะใช้โรงแรมเป็นสถานที่สุดท้ายของค่ำคืนแห่งความรัก "ราคบูชา" พระอาจารย์ ว.วชิรเมธี อธิบายให้เห็นว่า ศาสนาพุทธ กับ กามารมณ์ นั้นมีเหตุและผลสอดรับกันอยู่

    "พุทธศาสนาไม่ได้ห้ามใครให้เข้าหรือไม่ให้เข้าโรงแรม แต่พุทธศาสนาจะบอกว่าความเหมาะความควรอยู่ตรงไหน เราต้องไม่ลืมว่าพุทธศาสนามีหลักคำสอนที่เป็น positive มาก เราจะเคารพในวิจารณญาณของมนุษยชาติทั่วโลกเลย เราจะบอกว่าถ้าคุณทำอย่างนี้แล้ว คุณจะทุกข์นะ คุณทำอย่างนี้แล้ว คุณจะสุขนะ จากนั้นคุณเลือกเอาสิ คุณจะสร้างเหตุแห่งทุกข์หรือสร้างเหตุแห่งสุข นั่นเป็นวิจารณญาณของคุณ"

    "ถ้าคุณเข้าโรงแรมแล้ว คุณมีทุกข์หรือคุณมีสุข คุณไปพิจารณาเอง ถ้าเขามีศักยภาพในทางพินิจพิจารณา เขาก็จะสร้างเหตุแห่งสุข เขาจะรู้เองว่า โรงแรมกับวัยของเขาในขณะนั้นคู่ควรกันหรือไม่คู่ควร นี่คือลักษณะของพุทธศาสนา"

    "พุทธศาสนาจะไม่มีลักษณะคำสอนแบบ dogma หรือเทวโองการสั่งลงมา ห้ามทำ ไม่มี พุทธศาสนาจะบอกว่า ทางนี้ทำแล้วดี อันนี้ทำแล้วควร อันนี้ทำแล้วชีวิตมีความสุข อันนี้ทำแล้วจะเสียน้ำตา นี่คือลักษณะของพุทธศาสนา เป็น positive religion"

    พระอาจารย์ ว.วชิรเมธี วิพากษ์ต่ออีกว่า แต่ทุกวันนี้ที่เราคนไทยรู้จักพุทธศาสนาเป็น negative religion คือเป็นศาสนาที่ สั่ง บังคับ ห้าม ตอนหลังนี้หนักกว่านั้น มีผู้พยายามที่จะทำให้พุทธศาสนาเป็น untouchable buddhist คือแตะไม่ได้ ใครวิพากษ์วิจารณ์หน่อยไม่ได้ เขียนรูปสันดานกาหน่อยไม่ได้ หนักเข้าๆ พุทธศาสนาจะถูกรวบไปเป็นขององค์กรใดองค์กรหนึ่ง ซึ่งบอกว่ารักพุทธศาสนามาก

    "ศาสนาไหนก็ตาม องค์กรไหนก็ตาม ที่ไม่ยอมให้ใครแตะ หรือไม่ยอมให้ใครวิพากษ์วิจารณ์ ในที่สุดองค์กรนั้นจะตายทั้งๆ ที่ยังอยู่ จะไม่มีเนื้อหาสาระอะไรเลย"

    และแม้ว่าสุดท้าย "เสียงธรรมะ" อาจเบากว่า "เสียงราคะ"

    แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่า ความรักของพระอาจารย์ ว.วชิรเมธี อาจเข้าไปสั่นคลอนถึงโครงสร้างสถาบันพุทธศาสนาด้วยความกรุณา

    เพื่อที่ว่าปีหน้าและทุกๆ ปีต่อไป สังคมไทยจะได้ไม่ต้องปริวิตกกับค่านิยมของ วัยรุ่นที่หมุนแซงโลกใบนี้ไปตั้งนานแล้ว
     
  20. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ปลดคนอย่างไรให้จบกันด้วยดี ?
    http://www.matichon.co.th/prachacha...g=02hmc01160252&day=2009-02-16&sectionid=0220


    คอลัมน์ ถามมา-ตอบไปสไตล์คอนซัลต์

    โดย อภิวุฒิ พิมลแสงสุริยา apiwut@riverorchid.com


    <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=left border=0><TBODY><TR bgColor=#f8b8cb><TD>[​IMG]
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    มีคนรู้จักคนหนึ่ง โทร.มาหาผมตอนต้นปีด้วยความอัดอั้นตันใจมาก เขาเล่าให้ฟังว่า พอได้ฤกษ์เปิดงานในปีใหม่ขึ้นมา ผู้บริหารระดับสูงคนหนึ่งก็ได้เรียกเขาเข้าไปคุยในห้อง โดยไม่พูดอะไรมาก ผู้บริหารคนนั้นบอกแค่ว่า ให้ช่วยไปดูรายละเอียดเกี่ยวกับการเลิกจ้างพนักงานทีว่าควรจะทำอย่างไร ทั้งเทคนิควิธีการที่จะให้จากกันด้วยดี รวมถึงการจ่ายค่าชดเชยต่างๆ และก่อนที่จะออกจากห้องก็ได้กำชับว่า เรื่องนี้เป็นความลับ อย่าเพิ่งกระโตกกระตากไป

    ดูเหมือนคนรู้จักของผมคนนี้จะอัดอั้นมาก จนต้องลาครึ่งวันกลับบ้านเพื่อกลับไปครุ่นคิดก่อนจะโทร.มาคุยกับผม ผมให้คำแนะนำและข้อคิดไปว่า...

    ไม่มีองค์กรใดที่อยู่ๆ จะต้องการปลดพนักงาน ถ้ามันไม่เป็นทางออกสุดท้ายจริงๆ โดยปกติองค์กรส่วนมากจะพยายามหาวิธีการต่างๆ เพื่อประคับประคององค์กรให้ถึงที่สุด จนสุดท้ายแล้วไม่ว่าจะใช้วิธีการไหนหากไม่สามารถประคององค์กรได้ วิธีสุดท้ายที่หลายๆ องค์กรจะเลือกทำคือการปลดพนักงานออก

    ถ้าองค์กรต้องปลดพนักงานออกจริง ทางที่ดีที่สุดคือการหาวิธีการว่า จะปลดอย่างไรให้ถูกต้องตามกฎหมาย และไม่ผิดใจกับคนที่ถูกปลด

    อย่างแรกเลยของการปลดพนักงานคือ องค์กรต้องให้เหตุผลให้ได้ว่า ทำไมองค์กรต้องมีการปลดพนักงาน คำแนะนำอย่างหนึ่งคือ ถ้าองค์กรจะปลดด้วยเหตุผลที่ว่าบริษัทกำลังขาดทุน หรือเพื่อเป็นการ ลดต้นทุน ผมไม่แนะนำให้คุณตอบพนักงานด้วยเหตุผลนี้

    เพราะถ้ามีอะไรเกิดขึ้น เรื่องถูกร้องเรียนไปถึงขั้นศาล องค์กรอาจจะแพ้คดีได้ เพราะศาลจะมองว่า ธุรกิจย่อมมีขาขึ้น และขาลง ตอนนี้องค์กรของคุณก็คงอยู่ ในช่วงขาลงซึ่งอีกไม่นานก็จะเป็นขาขึ้น แล้วจะไปปลดคนออกเพื่ออะไร

    ทางที่ดีที่สุด หากจำเป็นต้องปลด พนักงานจริงๆ ผมแนะนำให้ใช้เหตุผลอื่น เช่น เป็นเพราะไม่มีออร์เดอร์จากลูกค้า เข้ามา หรือยอดขายหดทำให้ต้องปิดสายการผลิตบางสาย เป็นต้น ซึ่งจะเป็นเหตุผลที่พอฟังได้ในชั้นศาล

    ถัดมาคือ การมีหลักเกณฑ์ในการ คัดเลือกคนที่จะถูกเลิกจ้างอย่างชัดเจน ต้องตอบคำถามให้ได้ว่า พนักงานคนนั้นๆ ถูกปลดเพราะอะไร การถูกปลดย่อมทำให้พนักงานที่ถูกปลดหลายคนไม่พอใจ และคงจะมีพนักงานไม่มากนักหรอกที่จะทำใจได้ในเวลาอันรวดเร็ว

    คำถามจะมีตามมาคือ ทำไมต้องเป็นฉันที่ถูกปลด และทำไมไม่ใช่เขา หรือว่าองค์กรมี 2 มาตรฐาน ดังนั้น การมีหลักเกณฑ์ที่ชัดเจน จะช่วยคุณให้ตอบคำถามได้ง่ายขึ้น

    ถ้าหลักเกณฑ์ในการปลดคนออกมาอย่างชัดเจนแล้ว องค์กรต้องเข้าใจว่าการที่พนักงานเหล่านี้ถูกปลดออก ไม่ได้เป็นความผิดของเขาเลย ดังนั้นองค์กรต้องจ่ายค่าชดเชยให้ตามกฎหมายแรงงานไทย ซึ่งกำหนดให้จ่ายค่าชดเชยตามอายุงาน

    เช่น ถ้าพนักงานผ่านช่วงทดลองงานไปแล้ว แต่อายุงานยังไม่เกิน 1 ปี องค์กรต้องจ่ายค่าชดเชยให้อย่างน้อย 1 เดือนของเงินเดือนที่เขาได้รับ หรือถ้าอายุงานเกินกว่าหนึ่งปีขึ้นไปแต่ไม่เกิน 3 ปี ต้องจ่าย 3 เดือน เป็นต้น ซึ่งรายละเอียดเหล่านี้คุณสามารถหาอ่านได้จากกฎหมายแรงงาน หรือโทร.ไปปรึกษาหน่วยงานราชการที่ดูแลเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้โดยตรง เช่นกรมแรงงาน หรือ สำนักงานแรงงานต่าง ๆ

    นอกจากนี้ การเลิกจ้างพนักงานจำเป็นต้องมีการบอกกล่าวล่วงหน้าอย่างน้อย 1 งวดค่าจ้าง คือถ้าพนักงานรายเดือน ก็ต้องบอกอย่างน้อย 1 เดือน ถ้ารับเงิน เป็นรายครึ่งเดือน ก็ต้องบอกล่วงหน้า ครึ่งเดือน เพื่อให้พนักงานเตรียมตัว หรือถ้าองค์กรจะให้พนักงานออกเลยในทันทีโดยไม่บอกล่วงหน้าองค์กรต้องจ่ายเงินให้พนักงานแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า เป็นจำนวน 1 งวดค่าจ้างของเขา

    เนื่องจากเรื่องการจ่ายชดเชยคุณสามารถหาข้อมูลและรายละเอียดต่างๆ ได้ ผมขอข้ามรายละเอียดในส่วนนี้ไป เรามาคุยกันเรื่องของวันที่องค์กรจะประกาศเลิกจ้างพนักงาน หรือเรียกว่าวัน ดีเดย์

    ซึ่งองค์กรส่วนใหญ่เลือกที่จะประกาศ ในช่วงเย็นวันศุกร์ หรือบ่ายวันเสาร์ (ถ้าองค์กรนั้นๆ ทำงานวันเสาร์) ซึ่งเป็นวันทำงานสุดท้ายของสัปดาห์ เพื่อให้เวลา พนักงานเหล่านี้ได้กลับไปคิด เสียใจ หรือโวยวายที่บ้านเพราะการประกาศเรื่องดังกล่าวในระหว่างวันทำงานอื่นๆ อาจจะทำให้วันที่เหลือในสัปดาห์นั้นของคนที่ยังอยู่ มีแต่ปัญหาก็เป็นได้

    ทีนี้เราลองมาดูในเรื่องของการปลดอย่างไรไม่ให้ผิดใจกับพนักงานที่ถูกเลิกจ้าง สิ่งที่น่าจะช่วยปลอบใจพนักงานได้ดีที่สุด น่าจะเป็นเรื่องของการให้เงินชดเชยที่มาก กว่ากฎหมายกำหนด

    ยกตัวอย่างเช่น องค์กรอาจจะบอก พนักงานล่วงหน้า 2 เดือนแทนที่จะเป็นแค่ 1 เดือน หรือการให้ค่าตกใจเพิ่มเติม นอกเหนือจากกฎหมายกำหนด เพื่อเป็นการปลอบใจ เป็นต้น แม้จำนวนเงินอาจไม่ได้มากมายอะไร แต่การให้เกินกว่าขั้นต่ำที่กฎหมายกำหนด มักช่วยสร้างสัมพันธภาพอันดีให้กับพนักงานเหล่านั้นได้

    นอกจากนั้นการเสนอให้ความช่วยเหลือพนักงานที่ถูกเลิกจ้างเพิ่มเติม เช่น จัดอบรมเป็นกรณีพิเศษในเรื่องเกี่ยวกับ การเขียนประวัติสมัครงาน (resume) หรือการสัมภาษณ์งาน รวมทั้งช่วยเหลือ ฝากฝังงานกับเพื่อนๆ หรือพันธมิตรทางธุรกิจ ที่ไม่ได้รับผลกระทบมากเท่ากับองค์กรของเรา ก็เป็นอีกสิ่งที่องค์กรควรทำ เพื่อซื้อใจพนักงานเหล่านั้น

    การจากกันด้วยดี ไม่เพียงแต่ช่วยให้พนักงานที่ต้องไปเข้าใจและซึ้งใจในการดูแลขององค์กร แต่ยังช่วยให้พนักงานที่อยู่ต่อไป รู้สึกสบายใจที่เห็นองค์กรดูแลจัดการและส่งพนักงานให้ถึงฝั่ง แบบไม่ได้ถีบลงกลางทาง

    การเลิกจ้างแบบดีๆ นี้เปรียบเสมือน การสร้างแบรนด์ให้กับองค์กรด้วยเช่นกัน จบแบบไม่สวยกับพนักงานก็อาจจะทำให้องค์กรเสียชื่อได้ อย่าลืมว่าเรื่องไม่ดีเป็นอะไรที่บอกต่อกันได้อย่างรวดเร็ว เหมือนไฟลามทุ่ง มันไม่คุ้มกันนะครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...