เรื่องเล่า ก่อนนอนคืนนี้..ของเหล่าคนผู้มีตาทิพย์

ก่อนขึ้นบันได เมื่อมีการถอดรองเท้า..บางแห่งก็มีชั้นวางรองเท้า
เพื่อให้เป็นระเบียบ..ในบ้านนอก ต่างจังหวัด..มีคนน้อย..
เราก็วางเอง.จำเอาไว้ว่า วาง ตรงไหน..เวลาออกก็มาเอาเอง
แต่ในเมือง มีคนแยะ..มีชั้นวาง ..อาจจะมีคน หยิบวางบนชั้นให้
และหยิบส่งคืนให้เราเวลาออก....อย่างนี้ ต้อง ทิป
...................................................................
ที่ ที่ ต้องทิป เรื่องรองเท้า อีกแห่ง คือ เวลาไป นวดแผนใหม่
หรือ แผนโบราณ..แน่ๆๆเราต้องถอดรองเท้า..
เขาจะมีอ่างน้ำร้อน มาให้ เราแช่น้ำ..เพื่อให้ ขี้ไคล นิ่ม หลุดง่าย
เอาขึ้ไคลออก..เพื่อไม่ให้เหม็นติดมือ..เวลานวด
พอใช้บริการครบเวลา ออกมา..จะมีคนที่จำแม่นๆๆ
ว่ารองเท้า คู่ไหน เป็นของ เรา..เขาก็จะเอาออกมา สวมให้ที่เท้า ด้วย
ต้องทิป อย่างน้อย ยี่สิบบาท ทุก ครั้งที่ไป
....................................................................

 

เสร็จจากการวางรองเท้า..ทีนี้ ก็มาถึงขั้นตอน เข้าประตู อุโบสถ
ที่ แน่ๆๆ ต้องเข้า ประตูซ้าย...ยกเว้น บางวัด กลัวขโมย
จะมาลักพระ..ก็อาจจะเปิด แค่ประตูใด ประตูหนึ่ง ประตูเดียว
................................................................
การเข้าประตู เข้าอุโบสถ..จะต้อง ย่างก้าว เท้า ซ้ายเข้าไป ก่อน
ไม่ใช่ ขวา..และ ห้ามเหยียบธรณี ประตู.เพราะ นั่นคือ
เส้นเขตแดน ระหว่างโลก แห่ง ธรรมะ กับโลก แห่ง ปิศาจ /มาร
....................................................................
ในศาสนาฮินดู ถือ กันนักเรื่อง ธรณี ประตู
เวลาเขาจะเข้าวิหาร..เขาจะ ต้องล้างเท้าก่อน
ที่ หน้าวิหาร จะมีก๊อกให้ ล้างเท้า
พอจะเข้า..พวกเขาจะ ยืนตรงหน้า ธรณีประตูวิหาร
เอามือ แตะที่ ริมฝีปาก สอง มือ แล้ว เอามือไป แตะสัมผัส
ที่ เสาประตูที่ มีอยู่ สองข้าง..พอจะเข้าจริง
ก็เอามือ แตะที่ ริมฝีปากอีก ครั้ง..และแตะทีธรณี ประตู..
อันแสดงความหมายว่า..เคารพอย่างสูงสุดก่อนที่จะก้าวข้ามไป
.................................................................

 

สองปีก่อน สามตา ได้ ไปเที่ยวที่ เกาะปีนัง
ที่ นั่น มีชาวอินเดีย นับถือ ศาสนาฮินดูไม่ใช่น้อย
มี ทั้งวัดงู ขนเขาปีนัง และกระจายทั่วไป ในเมือง
แบบวัดไทย กระจาย ทั่วตำบล
...........................................................
วันหนึ่งก็ เดินมาผ่านวัดแขก..เห็นพวกแขกอินเดีย แต่งขาว
แต่งสี..มีส่าหรีสารพัดสี สวยงามสดๆๆ ผิวแขก ตาดำ ก็ดูดี ในบางโอกาส
ก็ยืนดู เวลาเข้าวิหารเขาทำอย่างไร.คือ ล้างเท้า เอามือ แตะริมฝีปาก
แตะเสา แตะ ธรณี ประตู..
................................................................................
.แฮะ แฮะ เราก็ ทำบ้าง เพราะอยากเข้าไปดู่เขาทำอะไร กันอย่างไร
พระศิวะ พระแม่อุทา เหมือนที่ วัดแขกสีลมใหม
พอเข้าไป เราก็เป็นตัวประหลาด..คนอื่นๆๆ แต่ง ชุดแขก ยาม แต่งส่าหรี
เขาก็มองเราด้วยความประหลาดใจ...ใครวะ หน้า ตา เจ๊กก็ไม่ใช่ ญี่ปุ่นก็ไม่ใช่
มีเราแปลกหน้า อยู่คนเดียว..เรมีปฏิภาณไหว พอ.
.พอเขาจ้อง เราก็พนมมือ..สวดให้พอ ได้ ยิน
โอม โอมาชิวา
โอม โอมาชีวา
โอม โอมาชีวา
แปลว่า..ข้าพเจ้าขอ บูชา องค์พระศิวะ
พอเขาได้ ยินก็เข้าใจ..เออ....ไอ้หมอนี่..นับถือ พระศิวะ..
แต่หน้า ตามันประหลาดไป หน่อย..ไม่เป็นไร..ศิษย์พระเจ้าองค์เดียวกัน
ก็เลยรอด ตัวมา..จากวัด แขกใน เกาะปีนัง
.............................................................................

 

เอ..เล่ามาถึงไหน แล้ว..เนี๊ยะ
จาก ประตูหน้า วัด มาถึง บันได และธรณีประตู เข้าอุโบสถ..
ยังไม่ได้ เข้าภายใน อุโบสถเลย..ห่างกัน แค่ไม่ถึง ห้า สิบ เมตร
สามตาเล่นเดิน เดินนาน กว่า สามวัน..เชียวเร่อะ
ฮะ ฮะ ฮะ..เต่า แก่ แล้ว..ก็ไปได้ แค่นี่ แหละ ครับ
.......................................................
(มีต่อ อีก 3 ตอน)

 

เห็นภาพปราสาทเขาพนมรุ้งที่ไร รู้สึกใจหายและสะท้อนในอก อยากร้องไห้ลึกๆ อย่างบอกไม่ถูก

 

อนุโมทนากับทุกท่านนะคะ ....

..
...วันนี้หนูมีอาการมึน ๆ เหมือนคนเมาทั้งวัน..ทั้งทีมีสติมีแรง แต่หัวโอนเอน...บอกอาการไม่ถูกค่ะ ..ไม่รู้เป็นไรรึเปล่า
หรือจะไปทำไรผิดไว้ก็ไม่ทราบ...ท่านใดทราบช่วยแนะหนูทีนะคะ...

...ขอบพระคุณในความกรุณาล่วงหน้านะคะ...

 

เห็นเขาเลือกดอกไม้ปลูก แหม! ขอเลือกด้วยเถอะ อิอิ

ดอกที่ 1 นี่โฮเฮ่ะ....เหลือร้ายไม่เบา พลังเบ่งบานสุด ๆ เร่งเต็มพิกัดรบ
คล้ายรวมกระสุนลูกเล็ก ให้เป็นกระสุน ปืนใหญ่ ยิงตูม แน่น หนักหน่วง

ดอกที่ 2 นี่ ปืนที่ใก้ลปลด ประจำการ เห็นดอกสวยสด แต่ยิงไม่ออก
กระสุนไม่ดัง ปืนแก๊บ ๆๆๆๆๆๆๆๆ

ดอกที่ 3 นี่โอ้โห...แรกผลิเบ่งบาน ใช้พลังที่มีอยู่ในตัว เบ่ง ๆ อึ๊บ ๆ
แล้วพ่นจนแตก เหมือนปืนกล ลูกซอง ยิงรัวเข้าร่าง หลายจุด

เห็นว่าดอกที่ 1 และที่ 3 ใช้งานได้ดี (ตามความเห็นนะ)

 

เลือกไม่ถูกเลยคะ

ต้นแรกจะแปลก สะดุดใจ กว่า ต้นอื่นหน่อย เพราะรู้สึกว่า ซ่าๆๆๆๆ ทั้งตัว....ยิ่งมอง ยิ่งทำให้อยากมองอีก ยิ่งมองยิ่งรู้สึกสบาย มีรัศมีสีรุ้งล้อมรอบ ออกมาด้วย

ต้นที่สอง เบาๆๆๆๆ เหมือนปุยนุ่น ยิ่งมองนาน เกสรจะผลิบานออก และ ลอยเข้ามาหาตัวเรา เหมือนกับจะบอกว่า ลองสัมผัสชั้นดูสิ

ต้นที่สาม อ้าว มองไปมองมา เห็นเป็นรูปนางฟ้าในนิยาย ขยับปีก กำลังจะบินอ่ะ

เอาทั้งสามต้นเลยล่ะกันคะ เลือกไม่ถูก........งก คะ

 

ต้นแรก รู้สึกสบาย โล่ง เบ่งบาน
ต้นที่สองถูกจริตมาก ซ่านๆตรงกลางกระหม่อม งดงามแต่ไม่รู้สิเหมือนไม่ใช่
ต้นสามไม่ชอบเลย มองแล้วทุกข์
ต้องเลือกด้วยเหรอ งั้นเลือกต้นที่2แล้วกัน

 

เรื่องเล่าก่อนนอน(กลางวัน 5-5-5)
คือเมื่อว่านได้ไปเทียวทำบุญไหว้พระกับอาจารย์ครับเก็บภาพเอามาฟากครับ
ซึงผมไม่ได้เป็นคนถ่าย 5-5-5
..............................................................
วัดเเรกคือวัดสังฆทานครับ

แผนที่เพื่อใครอยากไปครับ


ก็ตามภาษาครับไปไหว้ที่ไหนก็ขอชมความงามของบรรยากาศต่างๆ
แถมด้วยดูอีกมิติหนึ่ง ว่าเป็นไงด้วย ก็ได้เจอได้เห็นอะไรเยอะดีครับ
อาจารย์เป็นไกด์ทั้งทีก็ไม่ธรรมดาครับ (คนอื่นสนุกสนานแต่ผมมึนมาก5-5-5)
.................................................................
เดี๋ยวมาต่อครับ

 

ครับเห็นอะไรบ้างครับ ผมก็ไปบ่อยเหมือนกันอะครับ
หน้ากลัวป่าว แฮะ ๆๆ

 

ไม่อยากปาดเลยเชียว แต่ว่ารอดูรูปคุณvisnuนาน จะดูว่าอะไรเปลี่ยนแปลงไปบ้างน่ะค่ะ
จากปี 2548 เพิ่งได้รู้จักอาจารย์สามตา จากเวปพันทิปห้องลึกลับ แล้วก็มีทัวร์หลายรุ่น
ที่ได้ไปวัดสังฑทาน และ็วัดแก้วฟ้า อาจารย์สอนให้สัมผัสพลังเริ่มตั้งแต่ใบเสมาหน้าวัด
ดีใจจังในเวปนี้เอามาแปะ เลยได้อ่านเรื่องที่ตัวเองได้เขียนมา 4ปีเต็มๆ เฮ่ๆๆๆๆ 4ปี กลมก่าเดิม
http://palungjit.org/showthread.php?t=6830

รูปนี้ทัวร์รุ่น 8 รูปนี้เขาหาชาวทิพย์ที่เกาะคุณปุ๊กกี้(นั่งข้างอาจารย์)กันใหญ่เลย
คนนี้แหละที่อาจารย์เขียนถึงบ่อยๆ ส่วนป๋มไม่มีในรูปเพราะอยู่รุ่นลองของรุ่นแรกๆ หุๆ


สมัยโน้น ถ้ามีคนเก่งๆ มีพลังคอยช่วยอาจารย์เหมือนสมัียนี้ก็คงดี
คนเขียนข่าว 1คนที่ไม่รู้จักพลังอะไร ก็โจมตี คนอ่านไม่รู้อะไรก็ว่าตามนักข่าว
*********รออ่านเรื่องอาจารย์ และสนับสนุกคุณvisnu เพาะมณฑาทิพย์ค่ะ
บางพันธุ์(Little Gem)ราคาครึ่งหมื่นนะคะ รอดูรูปวัดสังฑทานต่อ*******

 

ต้นแรก รู้สึกวาบ และหายใจโล่งขึ้น แล้วก็สงบขึ้น
ต้นที่สอง ยังรู้สึกเหมือนกับดอกแรก แต่มีบางอย่างที่ทำให้แตกต่างกับดอกแรก
ต้นที่สาม รู้สึกเหมือนโดนฉุดตกลงมา ให้ความรู้สึกตรงข้ามกับสองดอกแรก

ก็ขอเลือก ต้นแรกละกันครับ ดอกที่สองให้ความรู้สึกว่าจะไม่เหมาะกับตนเท่าไร แหะๆ

 

เรื่องเล่าก่อนนอนคืนนี้ วัดไลย์ (ต่อ)
...................................................................
พอขึ้นไปบันได ถูกข้าง และข้ามธรณีประตู
ถูกต้องตามวิธีการที่ได้ เล่า ไปแล้ว
สิ่งแรกที่เห็นคือ ตรงหน้าสุดที่ด้านในสุดๆๆ
เป็นกลุ่มพระพุทธรูปบูชา ที่ มีจำนวนไม่มากนัก
ด้านหน้าสุด เด่นสุดมี องค์เดียว อยู่ในซุ้มตู้
...................................................
อุโบสถ เมื่อกวาดตาดู...ค่อนข้างจะกว้างกว่า ปกติ เมื่อเทียบกับวัดอื่น
กว้างประมาณ 15 เมตร คูณ ยาว 30 เมตร
ด้านขวามีแนวตู้ เรียงยาว..เป็นตู้กระจก สาม ชั้น สูง ขนาด หน้า อก
ในตู้มีวัตถุนิยม..ให้ ผู้ศรัทรา ได้ บูชา
มีแนวแผงกั้น แยก ออก ต่างหาก เป็น ส่วนของ พระที่อยู่ด้านใน
มีผู้อื่นนอกจากพวกเรากำลัง ยืนที่ตู้ 1-2 คน..กำลังเลือกบูชาวัตถุนิยม
.........................................................................
พวกเรา อีก สี่ คน ที่เข้ามาก่อน..กำลัง นั่งกราบพระที่อยู่เบื้องหน้า
สามตา จึงเข้าไป สมทบ..โดยนั่งด้านขวาสุด เรียงต่อมา
เข้าไปใกล้ ก็พบว่า พระพุทธรูปบูชาที่ มีขนาดครึ่งคนจริง นั่งเด่น
มีป้ายเล็กๆๆข้างใต้บอกว่า " พระศรีอริยเมตตไตร ".
.เป็นครั้งแรกที่เห็น รูปปั้นตัวแทน ของ พระองค์
...................................................................
จึงนั่งลงกราบและสวดบทไตรลักษณ์ พุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ
แล้วนั่งทำสมาธิจืต เพื่อ ดู ทางในด้วยตาที่สาม
ทันทีที่ดู..ณ จุดเดิม ที่พระองค์ ประทับอยู่
เห็นชัดทางจิตว่า พระองค์ ค่อยๆๆ ลอยสูง ขึ้นจากเดิม ประมาณ 2 ฟุต
มีพระวรกาย สีฟ้าอมเขียว..ทรงเครื่องเต็มยศ
แบบเดียวเครื่องทรงที่แต่งให้กับ องค์พระแก้วมรกต ที่ วัดพระแก้ว กทม
หรือ ทรงจักรพรรดิ ที่อยู่ในโบส์ใหม่ของวัดหน้าพระเมรุ อยุธยา
.............................................................................

 

พระวรกาย ทรงชลูด ไม่ได้ อ้วนแบบที่เห็น จากวัดอื่น
โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับที่วัดเล่งเน่ยยี่ 2 /วัดบรม บางบัวทอง
การที่พระศรีอริยะเมตไตร..ในวัดจีน มีพระวรกายอ้วน
เป็นเพราะ คนจีนมีอุดมคติว่า ผู้ที่มีสุขภาพดี จะต้องอ้วน
จึงต้องปั้น พุทธรูปบูชา ออกทางอ้วนทั้งสิ้น
ไม่ว่า จะเป้น จตุโลกบาล / อรหันต์ 108 องค์
............................................................
เมื่อพบองค์ ศรีอริยะเมตไตร เป็น ครั้งแรก
จึงใคร่อยากรู้ ว่า พระบารมีเป็นเช่นไร และ ฉัพพรรณรังสีเป็นเช่นไร
โดยเทียบ กับ พระบารมี และฉัพพรรณรังสี ของ องค์ โคตมโคดม
........................................................................
องค์โคตมะโคดม จะมีฉัพพรรณรังสี เป็น สีเหลือบรุ้ง
พระบารมีจะออกในแนวเย็นสงบ เงียบๆๆ แบบ ความว่าง

องค์พระศรีอริยะเมตไตร..จะมีฉัพพรรณรังสี เป็น สีทอง
พระบารมี จะออกในแนวเย็น ซาบซ่า.ให้ความแรง แบบหายเหนื่อย
ให้กำลังใจ ต่อชีวิต..ให้ความรื่นเริง สะบายใจ
.............................................................................
เพราะ ในยุคนั้นเป็นยุคแห่งความสุข ทั้งโลกมีแต่คนดี มาเกิด
คนที่จะมาเกิดในยุค ของ พระศรีอริยะเมตไตร
จะต้อง มีฌาณสี่เป็น อย่างต่ำ..คนที่จะมีฌาณระดับสี่
ต้องเป็นผู้ที่ปฏิบัติ ปฏิบัติ ชอบแล้ว..จึงต้องเป็น คนดี โดยปริยาย
ดังนั้นผู้ใด อยากกลับมาเกิด ในยุค พระศรีอริยเมตไตร..
จะต้อง ประพฤติดี ถึงระดับ ตั้งแต่บัดนี้
....................................................................

 

นั่งทำสมาธิ และใช้ตาในดู ฉัพพรรณรังสี และ พระบารมีประมาณ10 นาที
ก็ลืมตาและลุกขึ้น..เดินไป ยัง แถวตู้ที่ มีเครื่องวัตถุบูชา หลายอย่าง
มองเห็น ดอกไม้ สวรรค์แห้ง วางเรียงราย แทรกอยู่ ตามวัตถุบูชา
...........................................................................
ทุกคนที่ มา..มีเป้าหมายเด่น..คือ จะมาเอาดอกไม้สวรรค์ไปบูชา
เพราะ ศรัทราในอภิญญาและพลัง ..ที่ได้ พิศูจน์ มาก่อนหน้า นั้นแล้ว
แต่จะแสดง อาการอยากได้..เดี๋ยวพระท่าน จะตกใจ
..........................................................................
จึงค่อยๆๆ วางแผนเงียบๆๆ...ผม เป็นคนแรกที่เริ่ม
เพราะคนอื่นจะรอดูว่า ผมจะบอกว่า บูชา วัตถุหรือ
พระเครื่อง ชุดไหนดี..น่าจะเอาไปบูชาที่ บ้าน
......................................................
ผมก็มองและเลือก เอา ชนิด สายห้อย แบบมีตระกรุด
และ สายห้อยมีเหรียญ รวม 14 เส้น โดยเหมาหมดที่มีอยู่แค่นั้นในตู้
แล้ว บอก ท่านเพิ่มว่า..ขอดอกไม้ ที่ วางอยู่ในตู้ข้างๆๆ นั้นด้วย
พระท่านก็หยิบให้..ใส่ถุง มาพร้อม
............................................................
คนต่อไป ก็เลือก อย่างอื่นไป..ตามแต่จะชอบ
และก็ลงท้าย แบบ ขอ ดอกไม้ สวรรค์มาด้วย
อีกสามคน่อมา..ก็เช่นเดียวกัน..เช่า และขอดอกไม้
จนพระท่านจะรู้สึก..ว่า กลุ่มคนกลุ่มนี้
จะมาเอาดอกไม้สวรรค์เป็น กรณีย์พิเศษ..
เห็นเน้นกันเหลือเกิน
ในที่สุด ท่านก็เหมือนจะรู้ใจ..ยกเอาชามที่ รวมเศาดอกไม้สวรรค์
ที่แตกกระจาย ไม่เต็ม ดอกมาให้ ทั้ง ชาม..ดูแล้ว เกือบ 20 ดอก
ก็สะใจ..โก๋..เท่านั้น
.......................................................................
เมื่อเพ่งในชาม..ก็พบว่า มีดอกไม้ชนิดอื่นปนมาด้วย
เป็นดอกเล็กๆๆ กลม..เหมือน ฝักบัวอาบน้ำ
มีขนาด สองเท่า เหรียญ 10 บาท
ลองเอามือ จับและวัดพลัง..โอ้โอ..มีพลังไม่เบา
.......................................................
จะต้อง เอามาวิเคราะห์ ว่า เป็นพลังอะไร ในแนวไหน
ต้องทำวันหลัง..พระท่านบอกว่า นี่ คือ "ดอกบัวสวรรค์"
ที่ วัดได้ปลูก ไว้ในเขตวัดเช่นกัน..นั่นคือ คำตอบว่า ทำไม จึงมีพลัง
ดังนั้น ครา นี้ นอกจาก จะได้ "ดอกไม้สววรค์ มณฑาทิพย์ "แล้ว.
ยังได้ ดอกบัวสวรรค์ เพิ่มมาอีก เป็นของแถม..
เป็นที่ดีใจอย่างยิ่งยวด..แก่ พวกเราทุกคนที่ไป
...................................................................

 

ในขณะที่ พวกเราสนใจจะเช่า พระเครื่อง ไป บูชา
ด้านซ้ายมือ ของตู้..มีรูปหล่อแบบให้ บูชา สูง ขนาด 5 นิ้ว
เป็นพระบูชา องค์พระศรีอริยเมตไตร..ในใจคิดจะเช่า
แต่มีความรูสึกลึกๆๆว่า..ยังไม่ควรจะเช่า ด้วยเหตุผล บางอย่าง
ที่ จะเล่าต่อไป ในตอนท้ายๆๆ
..............................................................
ขณะที่ สมาชิกอื่นๆๆ ยังคง ชุมนุมอยู่ หน้า ตู้จำหน่ายวัตถุบูชา
สามตาก็ค่อยๆๆ ย่องออกมา หน้า อุโบสถ..
เพราะ เป้าหมายคือ ต้นไม้สวรรค์ ที่ปลูกอยู่โดยรอบ อุโบสถ
.................................................................
พออกมาได้ก็หยิบ ใบไม้แห้งของต้นดอกไม้สวรรค์ ที่เก็มมาก่อนแล้ว
ที่วางข้างบันได มากำไว้ แล้ว เดินต่อ แบบ ทักษิณาวัตร
หรือ วนให้ไหล่ขวาเข้าใน...วนรอบ อุโบสถ สามรอบ
และสวด บท อิติปิโสไป หร้อมกัน
................................................................
เดินวนไป..ก็ ก้มเก็บใบไม้แห้ง ที่หล่น ตามโคนต้น ดอกไม้สวรรค์
เดินจนรอบ..ดอกไม้สวรรค์ จะมีจำนวนประมาร 35-40 ต้น
เก็บได้ อีก ประมาณ20 ใบ..เจอกิ่งใหญ่ หัก ขวางทางเดิน
เป็นกิ่งยาวเกือบ 80 ซม พร้อมใบ อีก 8 ใบ คาอยู่บนกิ่ง
..................................................................
ก็มีความคิดว่า..กิ่งขนาด 1 ใน 4 ของ นิ้วก้อย
ถ้า เอามาหั่น เป็น ท่อนๆๆ สั้นๆๆ ทำเป็นตระกรุด คงจะไม่เลว
เชื่อว่า ต้องมีพลัง เด็ดๆๆ แน่
.................................................................
เดินเป็น ตาบ้า หอบฟาง มีเศษ กิ่งไม้ เศษใบไม้เต็ม มือ รวมกำใหญ่
เป็น ใบไม้ รวมๆๆกัน กว่า 30 ใบ..ใบขนาดใบมะม่วง..
น่าดูจะบ้า เอาจริงๆๆ..ในสายตาคนอื่น
แต่เราไม่สน..เพราะรู้ว่า นี่ คือ สิ่งที่มีค่า หายาก
......................................................................

 

เมื่อทุกคนพร้อม ก็จะเดินทางกลับ
ก่อนกลับก็ต้อง ถ่ายรูปเพื่อเป็นที่ ระลึก ตามนิยม
ไปนั่งหน้า บันไดอุโบสถ..นั่งเรียง สอง ข้าง ทางขึ้น
.............................................................
การนั่งถ่ายรูป ที่โบสถ โดยเฉพาะ นั่ง ถ่ายหน้า รูปพระหมู่บูชา
มีกฏห้ามคนธรรมดา นั่งหันหลังให้ พระพุทธรูป.
.ยกเว้นพระสงฆ์ เพราะ เป็นพระ ต้วแทน พระพุทธองค์ อยู่แล้ว
...................................................................
พวกเราหลายคนเวลาไป ถ่ายรูปในโบสถ
มักจะนั่ง หันหลัง เป็นแถวให้ พระพุทธรูป
แบบ นั่งเรียงถ่ายหน้า หีบศพในการสวดศพ
............................................................
นั่นผิดวิธี..ในพม่า และศรีลังกา..ในทุกวัด จะมีป้ายบอก
"ห้ามนั่งหันหลังให้ พระพุทธรูป อย่างเด็ดขาด"
ถ้ามีใครไป นั่ง ผูดูแล จะ เอ็ดเอา
............................................................
คำไทย เราก็ มีเน้นอยู่แล้ว
"หันหน้า เข้าวัด" อันหมายถึงการไป วัด ไป บวชชี บวชพราหมณ์
ต้องหันหน้า..ไม่ใช่หันหลัง
.......................................................................

 

ก่อนจะออกมา พระท่านแนะนำว่า น่าจะแวะดู พิพิธภัณฑ์ ของวัด
ที่อยู่ อาคารถัดไป..เรามองดู ยังมีเวลา..ก็พากันเข้าไป
ตัวอาคารพิพิธภัณฑ์ เป็นอาคารสอง ชั้น
...........................................................................
ชั้นล่าง แสดง ของ เก่า เป็นพวก เครื่อง ลายคราม อายุ หลายร้อยปี
พวกเราไม่มีใครสนใจ และรู้ เรื่อง เครื่อง ลายครามเก่า
กลุ่มที่เล่นสะสม คือ เศรษฐี..เพราะ แต่ละชิ้นแพง
โดยเฉพาะ ชุด กังใส /ชุด ราชวงศ์ ชิง
ยิ่งยุค จิ๋นซี /ยุคสร้างกำแพงเมืองจีน..ยิ่ฝมหาศาล
........................................................
เคยมีเพื่อนเศรษฐ๊ เคยพาไปดู วิธี เลือก ชุด ลายครามกังใส
เขาบอกให้ เอา มาแบนกับหู แล้วใช้ เหรียญ บาท เคาะ
ถ้าเสียงใส กังวาน แปลว่า ใช่.. ถ้า ทึบหรือ โปร่ง แปลว่า ปลอม
....................................................................
ตอนนั้นใช้หู..ต่อไป เห็นจะต้องฝึกใช้ตาทิพย์ดูว่า
ของกังใส อันไหน จริง อันไหนปลอม..น่าจะไม่ยากนะ
................................................................