ไอน์สไตน์จะอันดับ1ตลอดหรือไม่

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย คนธาตุลม, 9 เมษายน 2009.

  1. คนธาตุลม

    คนธาตุลม สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    21
    ค่าพลัง:
    +3
    [​IMG]
    ตอบ ไอน์สไตน์จะไม่อยู่ในอันดับหนึ่งตลอดกาลหรอกครับแม้แต่ตัวไอน์สไตน์ เองก็บอกเช่นนั้น ว่าในอนาคตจะมีทฤษฎอื่นที่ยอดเยี่ยมกว่าทฤษฎีของเขา

    ตอนนี้เรากำลังอยู่ในช่วงของคลื่นลูกที่สาม คลื่นลูกที่หนึ่งคือการปฎิวัติเกษตรกรรม คลื่นลูกที่สองคือการปฎิวัติอุตสาหกรรมนิวตันคือผู้ก่อให้เกิดคลื่นลูกที่สอง คลื่นลูกที่สองคือการปฎิวัติเทคโนโลยี ไอน์สไตน์คือผู้ก่อกำเนิดคลื่นลูกที่สาม

    ผู้ที่จะชนะไอน์สไตน์ได้คือผู้ที่ค้นพบความลับของแรงโน้มถ่วงครับ ซึ่งไม่ว่าใครก็ตามที่ค้นพบความลับของแรงโน้มถ่วง (เช่นเดียวที่ครั้งหนึ่งไอน์สไตน์ค้นพบความลับของแสง) ผู้นั้นจะได้ชื่อว่าเป็นผู้ก่อกำเนิดคลื่นลูกที่สี่ เมื่อโลกเข้าสู่คลื่นลูกที่สี่ เครื่องใช้ไฟฟ้า รถยนต์ อาวุธ และอื่นๆ ที่ใช้กันในสมัยคลื่นลูกที่สาม (ก็คือยุคปัจจุบัน) จะล้าสมัยไป เหมือนกับเทปคาสเส็ท นาฬิกาไขลาน ยุคนิวตันที่ล้าสมัยไปเมื่อเจอ ดีวีดี นาฬิกาดิจิทอล ยุคไอน์สไตน์ หรือปืนกล ยุคนิวตัน ล้าสมันไปทันทีเมื่อเจอปืนกลนำวิถีด้วยแสงครับ คลื่นลูกที่4ทุกสิ่ง ทุกอย่างอาจจะเหมือนใน สตาวอร์ก็ได้ครับ
    คลิปอาวุธที่สมัยสุดในตอนนี้http://www.clipmass.com/movie/69923562745154

    ผมเชื่อมั่นว่า ในอนาคตต้องมีนักวิทยาศาสตร์มหาอัจฉริยะเกิดขึ้นอีก และเมื่อนั้นเขาจะขึ้นมาสู่อันดับหนึ่งแทน ไอน์สไตน์
    ที่มา หนังสือตอบปัญหาวิชาโลก โดย ทันตแพทย์ สุจีรา
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 เมษายน 2009
  2. ราคุเรียวซาย

    ราคุเรียวซาย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    2,940
    ค่าพลัง:
    +8,515
    พระพุทธเจ้า เป็นที่ 1 ใน เอกภพสัมพัทธ์
    พระพุทธองค์ เป็นเลิศ สามโลกไม่มีมาเทียบเทียม
     
  3. คนธาตุลม

    คนธาตุลม สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    21
    ค่าพลัง:
    +3
  4. ปกรณ์

    ปกรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    404
    ค่าพลัง:
    +3,761
    ก็คงจะคล้าย ๆ กับกรณีของอริสโตเติ้ล หรือปราชญาเมธีอื่นของโลก ที่อยู่ในยุคหลายพันปีก่อน ท่านเหล่านั้นเป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์ที่จารึกไว้ในฐานะบุคคลสำคัญที่โลกยกย่อง ในยุคนั้นก็คงได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งที่ยากจะมีใครเทียบ และก็คงจะมีคำถามทำนองนี้เช่นกันว่า ท่านจะเป็นหนึ่งตลอดไปหรือไม่ คำตอบก็คงทราบกันดีในปัจจุบัน เพียงแต่ว่าความรู้ของท่านเป็นฐานในการคิด ที่จะนำไปสู่หรือสร้างความแตกต่าง ในความรู้ใหม่ในที่สุด
    กรณีของท่านไอสไตน์ก็คงไม่แตกต่าง เพียงแต่ว่า เมื่อใดเท่านั้นเอง

    บางคนเกิดมาก็เพื่อเป็นผู้นำความเปลี่ยนแปลงในยุคเปลี่ยนผ่านของโลกในสมัยใดสมัยหนึ่ง
     
  5. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    ไอนสไตล์ก็มีผิดพลาดแล้วนี่หน่า เรื่อง บิ๊กแบง และ การเคลื่อนที่ของจักรวาล

    เรื่องบิ๊กแบงนี่ ผิดในแง่มันเกิดขึ้นกี่ครั้ง หากจำไม่ผิด ไอนสไตล์บอกว่าเกิดครั้งเดียว
    ส่วนเรื่องจักรวาล ก็ชี้ว่ามันอยู่กับที่

    แต่มาตอนนี้เขาก็คำนวณได้ว่าบิ๊กแบงเกิดมาหลายครั้งแล้ว และจักรวาลนั้นก็เคลื่อน
    ที่อยู่ตลอดไม่หยุด บางกาแลคซี่ก็กำลังชนกัน เช่น ทางช้างเผือกของเรานี่เห็นว่า
    กำลังชนกับ aldromeda และทั้งหมดทั้งมวลก็ยังโตขยายออกไปเรื่อยๆ

    ในมุมของศาสนา ก็เห็นว่า หลวงปู่ดูลย์ก็ได้รจนาไว้ให้ศิษย์ท่านหนึ่งฟัง ซึ่งก็ตรง
    หมดทั้งเรื่องมันเกิดมาหลายครั้ง และมันก็ยังขยายไม่สิ้นสุด
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 เมษายน 2009
  6. ..กลับตัวกลับใจ..

    ..กลับตัวกลับใจ.. Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    325
    ค่าพลัง:
    +96
    .....จิตและจักรวาลในความหมายของหลวงปู่ดูลย์...

    จิตและจักรวาลในความหมายของหลวงปู่ดูลย์

    จิตและจักรวาล มีความเกี่ยวเนื่องสัมพันธ์กันอยู่ หลวงปู่ดูลย์ได้เมตตาอธิบายถึงเรื่องนี้ไว้อย่างพิสดารว่า จิต วิญญาณ เกิดจากรูปนามของจักรวาล และ นิพพาน เป็นการรวมของจิตบริสุทธิ์เข้ากับความว่างอันบริสุทธ
    ิ์และสว่างของจักรวาลเดิม ไว้ดังนี้

    “สิ่งมีชีวิตและไม่มีชีวิตในจักรวาล มีนับไม่ถ้วน รวมแล้วมี รูป กับ นามสองอย่างเท่านั้น นามเดิม ก็คือความว่างของจักรวาล เข้าคู่กัน เป็นเหตุเกิด ตัวอวิชชา--เกิดเหตุก่อ ที่ใดมีรูป ที่นั้นต้องมีนาม ที่ใดมีนาม ที่นั้นต้องมีรูป รูปนามรวมกันเป็นเหตุเกิดปฏิกิริยา---ให้เกิดการเปลี่ยนแปลง และเกิดกาลเวลาขึ้น คือ รูปย่อมมีความดึงดูดซึ่งกันและกัน จึงเป็นเหตุให้รูปเคลื่อนไหว และหมุนรอบตัวเองตามปัจจัย รูปเคลื่อนไหวได้ ต้องมีนาม--ความว่าง--คั่นระหว่างรูป รูปจึงเคลื่อนไหวได้”

    “เมื่อสภาวธรรมเป็นอย่างนี้ สรรพสิ่งของวัตถุ--สสารมีชีวิต และไม่มีชีวิต---จึงต้องเปลี่ยนแปลง เป็นไตรลักษณ์ เกิด ดับ สืบต่อทุกขณะจิต ไม่มีวันหยุดนิ่ง ให้คงทนเป็นปัจจุบันเช่นนั้นได้”

    “จิต วิญญาณ ก็เกิดมาจาก รูปนาม ของจักรวาล มันเป็นมายาหลอกลวง แล้วเปลี่ยนแปลงให้คนหลง จากรูปนามไม่มีชีวิตเปลี่ยนมาเป็นรูปนามที่มีชีวิต จากรูปนามที่มีชีวิต มาเป็นรูปนามมีชีวิต-ที่มีจิตวิญญาณ แล้วจิต วิญญาณก็เปลี่ยนแปลงแยกออกจากกัน คงเหลือแต่ ‘นามว่างที่ปราศจากรูป’ นี้--เป็นจุดสุดยอดของการหลอกลวงของรูปนาม”

    “เมื่อเจริญจิตจนเข้าถึงสภาวะเดิมแท้ของมันได้ดังนี้แล้ว ‘จิตเห็นจิต อย่าง แจ่มแจ้ง’ จิตก็จะอยู่เหนือสภาวะสมมติบัญญัติทั้งปวง เหนือความมีความเป็นทั้งปวง มันอยู่เหนือคำพูดและพ้นไปจากการกล่าวอ้างใดๆทั้งสิ้น เป็นธรรมชาติอันบริสุทธิ์และสว่าง รวมกันเข้ากับความว่างอันบริสุทธิ์และสว่างของจักรวาลเดิม เข้าเป็นหนึ่ง เรียกว่า ‘นิพพาน’ ”

    โดยความจริงแล้ว จักรวาลส่วนใหญ่เป็นความว่างอันมหาศาลไร้ขอบเขต ระบบสุริยจักรวาล ดาวนพเคราะห์ เช่นโลก ดาวฤกษ์ เช่นดวงอาทิตย์ แกแลกซี่ ต่างๆ เหล่านั้น ล้วนเป็นเพียงส่วนน้อยนิดของจักรวาลทั้งหมด แต่เราต่างกลับสนใจจักรวาลส่วนน้อยนิดนี้ (ไม่ถึง 5% ของจักรวาลทั้งหมด) โดยไม่ให้ความสนใจกับความว่างอันมหึมา ไร้ขอบเขตของจักรวาลทั้งหมด (หรืออีก 95% ที่เหลือจากที่เห็นได้ด้วยตาหรือสัมผัสได้ ซึ่งหนึ่งในสามส่วนที่เหลือนี้ เป็น Dark Matter และอีกสองในสามที่เหลือเป็น Dark Energy) เสมือนดังคนเราสนใจแต่ตัวเราเอง (อัตตา) ทำให้มองไม่เห็นสภาพที่แท้จริงของตนเอง
    ตลอดถึงสภาวะที่ห้อมล้อมเราอยู่ว่า เป็น อนัตตา ไร้ตัวตน หรือ ความว่าง สุญญตา นั่นเอง

    ในประเด็นนี้ ศาสตราจารย์ ดร. คาร์ล เซกาน (Professor Dr. Carl Sagan) ปราชญ์ทางดาราศาสตร์ชื่อดังในยุคปัจจุบัน ได้ฝากข้อคิดไว้หนึ่งสัปดาห์ก่อนที่จะอำลาจากโลกนี้ไปด้วยโรคมะเร็ง (มรณะเมื่อวันที่ 20 ธ.ค. 2539) โดยกล่าวถึงความบอบบางและอายุขัยอันสั้นของชีวิตมนุษย์ เมื่อเทียบกับความมหึมาและอายุ (13-15 พันล้านปี) ของจักรวาลว่า “มนุษย์เราอาศัยอยู่บนกองหินและแร่ธาตุก้อนยักษ์ ซึ่งโคจรรอบดวงอาทิตย์อันเป็นดาวฤกษ์ขนาดย่อม และดวงอาทิตย์นี้เป็นเพียงหนึ่งในดาวฤกษ์ 400 ล้านดวง ซึ่งประกอบกันขึ้นเป็นแกแลกซี่ (Galaxy) ที่เรียกกันว่า ทางช้างเผือก (The Milky Way) และทางช้างเผือกนี้เป็นเพียงหนึ่งในพันล้านแกแลกซี่ในจักรวาล และเป็นไปได้ว่า จักรวาลนี้อาจเป็นเพียงหนึ่งในบรรดาจักรวาลทั้งหลาย ซึ่งอาจมีจำนวนนับอนันต์ นี้คือจุดที่ควรใช้วิจารณญาณพิจารณาให้ลึกซึ้ง ด้วยการมองให้กว้างตามสภาพความเป็นจริงต่อชีวิต ขนบธรรมเนียมประเพณีของมวลมนุษย์”

    นอกจากนี้หลวงปู่ดูลย์ได้อธิบายถึงปรากฏการณ์ต่างๆไว้อย่างลึกล้ำว่า ทุกสิ่งทุกอย่างมีการเคลื่อนไหวได้ ซึ่งตรงกับความจริงที่ค้นพบทางวิทยาศาสตร์ เป็นที่น่าอัศจรรย์ว่า พระฝ่ายอรัญวาสี พระผู้ถือปฏิบัติธุดงค์วัตรวิปัสสนากรรมฐานสามารถรู้สึกซึ้งถึงสภาพความเป็นจริง ได้ทัดเทียมหรือลํ้ายุคกว่านักวิทยาศาสตร์ปัจจุบันว่า

    “ต้นเหตุเกิด ‘รูปนามของจักรวาล’ นั้น เป็นเหตุเกิด ‘รูปนามพิภพ’ ต่างๆ ตลอดจนดวงดาวนับไม่ถ้วน เพราะไม่มีที่สิ้นสุด รูปนามพิภพต่างๆ เป็นเหตุให้เกิด ‘รูปนามพืช’ รูปนามพืช เป็นเหตุให้เกิด ‘รูปนามสัตว์’ เคลื่อนไหวได้ จึงเรียกกันว่า เป็น สิ่งมีชีวิต”

    “ความจริง รูปนาม จะมีชีวิตหรือไม่มีชีวิต มันก็เคลื่อนไหวได้ เพราะมันมีรูปกับนาม เป็นเหตุเป็นผล ให้ เกิดปฏิกิริยาอยู่ในตัว ให้เคลื่อนไหวตลอดกาล และ (เกิด) การเปลี่ยนแปลง เรามองด้วยตาเนื้อไม่เห็น จึงเรียกกันว่าเป็น สิ่งไม่มีชีวิต”

    “เมื่อรูปนามของพืช เปลี่ยนมาเป็น รูปนามของสัตว์ เป็นจุดตั้งต้นชีวิตของสัตว์ และเป็นเหตุให้เกิด จิต วิญญาณ การแสดง การเคลื่อนไหว เป็นเหตุให้เกิดกรรม”

    ซึ่งคำอธิบายดังกล่าว ต้องตรงตามพุทธพจน์ที่กล่าวไว้กว่า 2500 ปีก่อนยุคแห่งวิทยาศาสตร์ปัจจุบัน ใน อุปจาลาสูตร สังยุตตนิกาย ว่า
    สพฺโพ ปจฺจลิโต โลโก
    สพฺโพ โลโก ปกมฺปิโต
    โลกทั้งโลก คือ ความกระเพื่อมไหว/หวั่นไหว (Trembling)
    โลกทั้งโลก คือ ความสั่นสะเทือน (Vibration)
    นักวิทยาศาสตร์ได้ค้นพบว่า สิ่งมีชีวิตและสิ่งไม่มีชีวิต ล้วนประกอบขึ้นด้วยสสารต่างๆ และ สสารทุกชนิดมีส่วนที่เล็กที่สุดคือ ปรมาณู ซึ่งได้แก่ อะตอม (Atom) กระนั้นก็ดี อะตอม ยังมีส่วนประกอบย่อยลงไปอีก คือ อนุภาคพื้นฐาน (Elementary particles) โดยมีแกนกลาง (Nucleus) ซึ่งรวมอนุภาคประจุบวก (Proton) และ อนุภาคไร้ขั้ว (Neutron) ไว้ และมีอนุภาคประจุลบ (Electron) วิ่งวนอยู่โดยรอบ

    ในบางครั้ง สสารมีการสูญเสียอนุภาคประจุไฟฟ้าเช่น Electron มีการแปรรูปเป็นพลังงานลักษณะต่างๆ เป็นกระแสไฟฟ้า แสงสว่าง หรือ พลังงานปรมาณู เป็นต้น หากมีการแตกแยกหรือหล่อหลอมของ Atomic Nucleus จะเกิดเป็นพลังงานปรมาณูขึ้น
    Elementary particles ยังประกอบขึ้นด้วยอณูที่เล็กลงไปกว่านั้นอีก คือ ควอก (Quark) และ Antiquark โดยมีพลังประสาน (Gluon) ดึงดูดควอกให้สมดุลไว้ มิได้อยู่นิ่งอย่างที่เห็นโดยผิวเผิน แต่มีการเคลื่อนไหวอยู่ภายในตลอดเวลา ทั้งในสิ่งไม่มีชีวิตและสิ่งมีชีวิต จึงไม่อาจคงทนสภาพเดิมอยู่ได้ และย่อมเสื่อมสลายไปในที่สุด

    มีท่านผู้คงแก่เรียนหลายท่านชอบถามว่า คำกล่าวหรือเทศน์ของหลวงปู่ ดูคล้ายนิกายเซ็น หรือคล้ายมาจากสูตรเว่ยหล่างเป็นต้น ศิษย์ของท่านเรียนถามหลวงปู่ก็หลายครั้ง ในที่สุดท่านกล่าวอย่างเป็นกลางว่า

    “สัจธรรมทั้งหมดมีอยู่ประจำโลกอยู่แล้ว พระพุทธเจ้าตรัสรู้สัจธรรมนั้นแล้ว ก็นำมาสั่งสอนสัตว์โลก เพราะอัธยาศัยของสัตว์ไม่เหมือนกัน หยาบบ้าง ประณีตบ้าง พระองค์จึงเปลืองคำสอนไว้มากถึง 84,000 พระธรรมขันธ์ เมื่อมีนักปราชญ์ฉลาดสรรหาคำพูดให้สมบูรณ์ที่สุด เพื่อจะอธิบายสัจธรรมนั้นนำมาแผ่เผยแจ้งแก่ผู้มุ่งสัจธรรมด้วยกัน เราย่อมจะต้องอาศัยแนวทางในสัจธรรมนั้น ที่ตนเองไตร่ตรองเห็นแล้วว่าถูกต้องและสมบูรณ์ที่สุดนำแผ่ออกไปอีก โดยไม่ได้คำนึงถึงคำพูด หรือไม่ได้ยึดติดในอักขระพยัญชนะตัวใดเลยแม้แต่น้อยเดียว”

    นั่นคือ เมื่อกล่าวถึงสัจธรรมแล้ว ย่อมลงสู่กระแสเดียวกัน กระนั้นก็ดี คำสอนของหลวงปู่ดูลย์นับได้ว่าเป็นเอกเทศ และเป็นเอกลักษณ์ของท่านเอง บางตอนท่านอาจหยิบยืมคำสอนของเซ็นจาก ‘สูตรเว่ยหล่าง’ และ ‘คำสอนของฮวงโป’ มาชนิดคำต่อคำ ด้วยหลวงปู่เห็นว่า ปราชญ์ท่านได้อธิบายไว้อย่างสมบูรณ์แจ่มแจ้งที่สุดแล้ว แต่หลายๆแห่งท่านก็อธิบายถึงเรื่องอื่นๆไว้มากมายอย่างแจ่มแจ้ง พิสดาร เด็ดเดี่ยว และ อาจหาญ ด้วยภาษาใจของท่านเอง อาทิ เรื่อง อริยสัจ4 จิต-จักรวาล สสารวัตถุ-สิ่งมีชีวิต-สิ่งไม่มีชีวิต ด้วยประสบการณ์ความรู้แจ้งในจิต ในสัจธรรมและธรรมชาติของท่านเอง ซึ่งเจาะทะลุหลักเกณฑ์ทางวิทยาศาสตร์อย่างค้านไม่ได้

    นอกจากนี้ยังเป็นการชี้ให้เห็นว่า การประจักษ์แจ้งแห่งสัจธรรม ไม่จำกัดว่าจะต้องเป็นพระฝ่ายธุดงค์กรรมฐานสายหลวงปู่มั่น หรือ พระเซ็นผู้ไม่รู้หนังสือเยี่ยงท่านเว่ยหล่าง (สังฆปริณายกองค์ที่ 6) ไม่จำกัดว่าจะต้องเป็นเถรวาท หรือ มหายาน เพราะความเป็น “พุทธ” ไม่ได้ขึ้นกับสิ่งเปลือกนอกเหล่านั้น และพุทธที่แท้จริง ไม่ได้มีการจำแนก แตกแยกเป็นนิกายต่างๆ ซึ่งเป็นเพียงปรากฏการณ์ภายนอกของสมมติบัญญัติ และ การบรรลุเห็นแจ้งในสัจธรรม ซึ่งเป็นหัวใจของพระพุทธศาสนานั้น เป็นปรมัตถสัจจะ ความจริงสูงสุด เหนือเหตุผล และล่วงพ้นสมมติบัญญัติ โดยสิ้นเชิง

    โดย พุทธธรรม

    ที่มาจาก http://www.oknation.net/blog/print.php?id=385248

    (smile)
    ....มาทำทฤษฏีนี้ให้เห็นผลกันเถิด....
     
  7. Bull_psi

    Bull_psi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    889
    ค่าพลัง:
    +1,445
    โห นี่ถ้าพี่Tro มาอ่านเจอ ต้องบอกไอน์สไตน์ไม่เที่ยงหนอ ไม่เที่ยงหนอ..
     
  8. anuwats19

    anuwats19 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    121
    ค่าพลัง:
    +16
    ทุกอย่างสำคัญเหมือนกันหมด

    ไม่ว่าทฤษฎีไหน ล้วนแต่เชื่อมโยงด้วยกันทั้งสิ้น

    เหมือนเป็นจิ๊กซอร์ แต่ละชิ้นที่ประกอบขึ้นมาเพื่อไขความลับของเอกภพ

    ซึ่งสุดท้ายจะเห็นว่าทุกอย่างเหมือนกัน

    "เอกภพเป็นจริงและไม่เป็นจริง ซึ่งขึ้นอยู่กับผู้สังเกต"
     
  9. visanu

    visanu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กันยายน 2005
    โพสต์:
    232
    ค่าพลัง:
    +197
    ผมเป้นคนนึงที่นับถือไอสไตน์ เขาเก่งจริง

    แต่ในอนาคตจะทำสงครามกันบนดาวดวงใดดวงนึงไม่ได้แล้วล่ะ
    ไม่งั้นคงระเบิกแหลกลานกันพอดี

    ไอสไตน์ไม่น่ารีบตายเลย

    ถ้าโลกผ่านเทคโนโลยีเคลื่อนย้ายด้วยแสงได้แค่อย่างเดียว
    ตอนนั้นเทคโนโลยีโลกจะก้าวกระโดดจน ความรู้สึกของมนุษย์ตามไม่ทัน
     
  10. โอซารัน

    โอซารัน Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2008
    โพสต์:
    873
    ค่าพลัง:
    +91
    ขุด..........................
     
  11. กุญแจไขปริศนา

    กุญแจไขปริศนา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มกราคม 2009
    โพสต์:
    903
    ค่าพลัง:
    +979
    สมัยนี้มีแต่นักวิทยาศาสตร์ที่พยายามใช้แต่เครื่องมืออันบิดเบือนจากความเป็นจริงอันอยู่กว้างกว่าการใช้เครื่องมือของพวกเขา จะมีสักกี่คนเองที่เชื่อใจในเครื่องมือทางจิต(จินตนาการ)ของเขาเฉกเช่นไอส์ไสตน์
     
  12. tamm16

    tamm16 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กันยายน 2008
    โพสต์:
    218
    ค่าพลัง:
    +466
    ผมเห็๋นด้วยกับกุญแจไขปริศนา แต่ที่แน่ๆ มนุษย์นับวันจะมีแต่ความรุนแรง ขึ้นทุกวันด้วยครับ ไม่เคยคิดว่าสิ่งที่ทำอยู่อะ มันถูกต้องไหม แล้วผลกระทบมันเกิดอะไร รวมถึงมลพิษที่เกิดด้วยเป็นสิ่งที่ไม่ได้คำนึงถึงกันเลยก็ว่าได้

    สำหรับในอนาคตคลื่นลูกที่4 ผมเชื่อว่ายังไม่สามารถชนะความเร็วแสงได้ แต่ผมเชื่อว่านักวิทยาศาสตร์บางคนอาจเริ่มทำเทคโนโลยีที่เป็นอาวุธและการเดินทางไปอวกาศได้ดีกว่าเดิมครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...