สมเด็จกรุวังหน้า ซึ่งกำลังเป็นที่ถกเถียงกันครับ...

ในห้อง 'วิธีดูพระเครื่อง-เครื่องรางของขลัง' ตั้งกระทู้โดย neopass, 22 เมษายน 2009.

  1. neopass

    neopass เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,804
    ค่าพลัง:
    +811
    [​IMG]

    [​IMG]


    วัดชนะสงคราม เดิมชื่อ “วัดกลางนา” สร้างมาตั้งแต่ครั้งสมัยกรุงศรีอยุธยา เนื่องจากรัชกาลที่ ๑ ทรงแต่งตั้งพระราชาคณะฝ่ายรามัญเป็นผู้ดูแล คนทั่วไปจึงเรียกตามภาษามอญว่า “วัดตองปุ” เมื่อกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท ทรงกรีฑาทัพกลับพระนคร หลังจากทรงมีชัยในสงคราม ๙ ทัพแล้ว ได้ทรงทำพิธีสรงน้ำ และเปลี่ยนเครื่องทรงตามพระราชพิธีโบราณที่วัดแห่งนี้ ก่อนเสด็จเข้าพระบรมมหาราชวัง ต่อมาจึงทรงโปรดฯ ให้บูรณะพระอารามใหม่ เมื่อปี พ.ศ. ๒๓๓๐ จากนั้นรัชกาลที่ ๑ ได้ทรงพระราชทานนามว่า “วัดชนะสงคราม”<?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    วัดชนะสงคราม เป็นชื่ออันเป็นมงคลยิ่ง บางท่านถือเคล็ดในวันปีใหม่ ทั้งของฝรั่งและของไทย หรือ ของจีน ก็จะแวะเวียนเข้าวัดเพื่อไหว้พระ เอาฤกษ์เอาชัย สร้างมงคลอุดมฤกษ์ให้กับตนเอง เพื่อให้มีชัยชนะในการทำมาหากิน ในการสอบแข่งขัน ในการกำหราบปรปักษ์ ฯลฯ<o:p></o:p>
    วัดชนะสงคราม เป็นแหล่งกำเนิดพระเครื่องที่ได้ชื่อว่า เป็นของดี ราคาเบา ถึง ๒ ชนิด อันดับแรกได้แก่ พระกรุวังหน้า ที่จะกล่าวถึงในครั้งนี้, อันดับสอง คือ พระผงน้ำมัน พิมพ์พระประจำวันทั้ง ๗ และพิมพ์พระสมเด็จ สร้างเมื่อปี ๒๔๙๓ มีพระเกจิอาจารย์ชื่อดังยุคนั้นร่วมปลุกเสกเป็นพิธีใหญ่<o:p></o:p>
    สำหรับพระกรุวังหน้านั้น เมื่อ ๒๕ ปีก่อน ผู้คนยังรู้จักไม่มากนัก เพื่อนคนหนึ่งเคยเดินเก็บพระนี้อย่างเงียบ ๆ ในสนนราคาเบา ๆ วันหนึ่งเขาเอาออกมาอวด บอกว่าเป็นพระดีมาก นับเป็นครั้งแรกที่ผู้เขียนได้รู้จักพระกรุนี้ พระส่วนใหญ่เป็นพิมพ์เถาวัลย์เลื้อย ขัดสมาธิราบ ที่หายากจริง ๆ คือ ขัดสมาธิเพชร และ พระปิดตา ตอนนั้นราคาเช่าหาแค่หลักร้อยต้น และไม่ค่อยจะมีคนรู้ว่าเป็นพระอะไร ถ้าขยันเดินตลาดพระท่าพระจันทร์ หรือวัดราชนัดดา ตลอดจนแผงขาจรในงานประกวดพระเครื่อง รับรองว่าต้องได้แน่นอน<o:p></o:p>
    ตอนที่เพื่อนผู้เขียนแนะนำให้รู้จักพระกรุนี้นั้น ผู้เขียนได้รับพระมาส่องด้วยแว่นขยาย เห็นว่าเป็นพระเนื้อละเอียด พิมพ์แม้จะตื้น แต่ก็มีความงดงามปราณีตมาก มีความชอบใจ คะเนว่าจะเป็นฝีมือช่างหลวงค่อนข้างแน่ จึงเกิดความสนใจอยากรู้ลึกมากกว่านั้น จึงเดินทางไปที่วัดชนะสงคราม เพื่อสืบเสาะประวัติ ก็ทราบว่า<o:p></o:p>
    พระกรุวังหน้าแตกกรุออกมาเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๙๖ ขณะนั้นพระธรรมทัศนาธร (ทองสุก สุทัสโส) เป็นเจ้าอาวาส ความเป็นมาคือ....วันหนึ่งในช่วงปลายปี พ.ศ. ๒๔๙๖ พระธรรมทัศนาธร ได้รับรายงานจากพระเณรและลูกศิษย์วัดว่า มีคนร้ายลักลอบขุดพระเจดีย์องค์เล็ก จึงได้ให้พระครูพิสิษฐ์วิหารการ (ศิริ อัตตาราโม) ไปตรวจดู พบว่าพระเจดีย์ถูกขุดทำลายไปจนถึงคอระฆัง คนร้ายขนเอาพระทองและเงินในกรุไป ทิ้งไว้แต่พระวัดตะไกรหน้าครุฑ พระหลวงพ่อโต บางกระทิง พระโคนสมอ พระชัย (พระงั่ง) และพระเนื้อชินอีกจำนวนหนึ่งเอาไว้<o:p></o:p>
    เมื่อสำรวจดูพระเจดีย์องค์ใหญ่ที่อยู่ใกล้กัน ก็ไม่พบว่ามีการขุดเจาะทำลาย แต่ทว่าเจดีย์องค์ใหญ่นี้มีสภาพผุพัง ยอดพระเจดีย์หัก จึงรายงานให้พระธรรมทัศนาธรทราบ ท่านไตร่ตรองแล้ว จึงได้ให้พระเณรช่วยกันเปิดกรุพระออก เพราะว่า ถ้าขืนปล่อยทิ้งไว้ พวกมิจฉาชีพต้องมาลักลอบขุดแน่นอน ท่านได้แจ้งไปยังสถานีตำรวจท้องที่ ให้ส่งตำรวจคอยคุ้มครองขณะเปิดกรุ<o:p></o:p>
    เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจไปถึงวัดแล้ว การเปิดพระเจดีย์ก็เริ่มขึ้น พบพระพิมพ์บรรจุอยู่กลางพระเจดีย์มากมายหลายพิมพ์ เมื่อทำการขนออกมา ก็นับจำนวนได้ ๘ ปี๊บ พร้อมทั้งลานทองจารึก แต่สภาพอักขระเลือนลาง อ่านไม่ได้ความชัดเจน จึงได้ขอไปยังกรมศิลปากร ส่งเจ้าหน้าที่ไปร่วมพิสูจน์กำหนดอายุ<o:p></o:p>
    เจ้าหน้าที่กรมศิลป์ ฯ แจ้งว่า เป็นพระพิมพ์ที่สร้างในสมัยรัชกาลที่ ๑ โดยกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท เป็นผู้สร้างบรรจุเอาไว้<o:p></o:p>
    พระกรุวังหน้า มีขนาดราวปลายนิ้วก้อยผู้ใหญ่ มี ๑๑ พิมพ์ คือ พิมพ์ใหญ่ พิมพ์กลาง พิมพ์กลางคะแนน พิมพ์ปิดตา พิมพ์กลางมีประภามณฑล พิมพ์ขัดสมาธิเพชร พิมพ์กลางเครือเถา พิมพ์กลางหูบายศรี พิมพ์กลางฐานขีด พิมพ์เล็กหลังยันต์นะ พระที่พบส่วนใหญ่เป็นพิมพ์สมาธิราบ แต่พิมพ์ที่หายากที่สุด คือ พิมพ์ปิดตา และ พิมพ์ขัดสมาธิเพชร<o:p></o:p>
    ลักษณะเป็นพระเนื้อดินที่มีความละเอียดมาก ไม่มีกรวดทราย มีสองสี คือ สีแดงอมน้ำตาล เป็นเนื้อดินเผา กับ สีดำ ซึ่งเป็นพระเนื้อดินดิบผสมผงใบลาน พระบางองค์ลงรักปิดทองมาแต่ในกรุ<o:p></o:p>
    นอกจากนี้ยังพบพระพิมพ์พิเศษ เป็นพระเนื้อดินเผาลอยองค์นั่งขัดสมาธิ ฐานผ้าทิพย์ ลงรักปิดทองมาแต่ในกรุทุกองค์ ขนาดไม่ใหญ่มากสามารถนำมาห้อยคอได้พองาม มี ๒ พิมพ์คือ พิมพ์เศียรโล้น และ พิมพ์เศียรแหลม ที่วงการเรียกว่า “สมเด็จพระบัณฑูร” ซึ่งมีจำนวนไม่มากนัก ปัจจุบันหายากมาก ไม่ค่อยได้พบเห็นกันทั่วไป<o:p></o:p>
    ต่อมาทางวัดนำพระที่พบในกรุพระเจดีย์ใหญ่ ออกมาให้ประชาชนเช่าบูชาที่คณะ ๖ เพื่อนำรายได้มาบูรณะปฏิสังขรณ์วัด ปรากฎว่ามีผู้แห่ไปเช่าบูชาจากวัดเรื่อย ๆ จนกระทั่งปี พ.ศ. ๒๕๑๕ มีพระเหลือจำนวน ๒๐๐ องค์เศษ พอสิ้นปี พ.ศ.๒๕๑๕ พระกรุวังหน้าก็หมดไปจากวัด<o:p></o:p>
    ราคาพระกรุวังหน้าเมื่อ ๒๕ ปีก่อน เมื่อเทียบกับปัจจุบันก็ขึ้นไปไม่มาก (ยกเว้นพระปิดตา กับพระขัดสมาธิเพชร) เมื่อก่อนอยู่ในหลักร้อยต้นถึงกลาง เมื่อสี่ห้าปีที่แล้ว อยู่ในราคาหลักพันต้น คือ พันกว่า ไม่เกินสองพัน แต่มายุคปัจจุบัน ราคาพุ่งพรวดไปหลักพันกลาง คือ สี่พันถึงหกพัน องค์ไหนที่สวยมากชนิดส่งเข้าประกวดแล้วติดรางวัล อาจมีคนสู้ราคาถึงหมื่นบาท จะเห็นได้ว่า พระกรุวัดชนะสงคราม หรือ พระกรุวังหน้านั้น ได้รับความนิยมไม่รุนแรง แต่ไปเรื่อย ๆ ราคาขึ้นไปเรื่อย ๆ ทุกปี ไม่มีราคาตก นับวันราคาก็จะแพงมากขึ้น ตามจำนวนพระที่เหลือให้พบเห็นน้อยมากตามสนามพระ หรือศูนย์พระเครื่องต่าง ๆ<o:p></o:p>
    สำหรับพุทธคุณและประสบการณ์ เรื่องคงกระพันมาเป็นอันดับหนึ่ง เพราะเป็นพระที่สร้างเนื่องในโอกาสที่ทรงชนะสงคราม ซึ่งเชื่อว่า ส่วนหนึ่งคงได้แจกจ่ายทหารหาญไปบ้าง นอกจากนั้นแล้ว ยังมีพุทธคุณด้านเมตตา และโชคลาภ ที่โดดเด่นไม่น้อย เพราะเป็นวิทยาคมที่สำคัญที่พระสายรามัญ หรือ พระมอญ ที่สืบสานวิชามาจากสมเด็จพระพนรัตน์ วัดป่าแก้ว อยุธยา หลายองค์ที่เรารู้จัก ท่านถนัดเป็นอย่างมาก เช่น หลวงปู่เทียน วัดโบสถ์ ปทุมธานี ตลอดจนลูกศิษย์ของท่าน คือ หลวงปู่เส็ง วัดบางนา, หลวงพ่อลมูล วัดเสด็จ ปทุมธานี ฯลฯ หลวงพ่ออุตตมะ วัดวังก์วิเวการาม, หลวงพ่อช้าง วัดเขียนเขตต์ ปทุมธานี, หลวงปู่เย่อ วัดอาษาสงคราม พระประแดง สมุทรปราการ ฯลฯ<o:p></o:p>
    บทสรุปส่งท้าย ขอย้ำว่า พระกรุวัดชนะสงคราม หรือ พระกรุวังหน้า ที่วงการเขายอมรับ คือ มีต้นกำเนิดมาจากวัดชนะสงคราม แตกกรุเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๙๖ จากเจดีย์ใหญ่ (ปัจจุบันยังหลงเหลือเจดีย์ใหญ่ที่คาดว่าจะมีพระกรุวังหน้าบรรจุอยู่เหมือนกันอีก ๑ องค์ แตกกรุเมื่อไร คงได้ฮือฮากันทั้งวงการพระ) เป็นพระที่น่านำมาสักการะบูชาติดตัวอย่างมาก เพราะผ่านการสร้างมาอย่างดี ทั้งรูปแบบพิมพ์ทรงที่เป็นฝีมือช่างหลวง หรือ ช่างสิบหมู่ และการปลุกเสกจากพระเกจิรุ่นเก่า ซึ่งส่วนใหญ่น่าจะเป็นพระรามัญ หรือ พระมอญ มีอายุมากกว่า ๒๐๐ ปี (สงครามเก้าทัพเกิดขึ้นเมื่อปี พ.ศ. ๒๓๒๘) มีความเข้มขลังกว่า “พระเชียร์” ที่สร้างสุกเอาเผากินในยุคสมัยนี้เป็นไหน ๆ และที่ดีเยี่ยมที่สุด และสุดยอดก็คือ ชื่อกรุที่พระวัดนี้ขึ้นหรือแตกออกมา เป็นของวัด “ชนะสงคราม” อันเป็นมงคลนาม ใครที่ทำอะไรมักล้มเหลว ไม่สำเร็จ แข่งขันกับใคร หรือต่อสู้กับใครแล้ว “แพ้” ตลอด ลองหามาขึ้นคอสักองค์นะครับ แล้วต่อไป ท่านจะเป็น “ผู้ชนะ” และทำอะไร “สำเร็จ” ตลอดกาล<o:p></o:p>
    สำหรับพระกรุวังหน้า ที่มีผู้นำมาเผยแพร่ในเวปไซด์ให้คนเช่าบูชา องค์ละ ๑ – ๒ พันบาทนั้น ผู้เขียนขอเรียนให้ทราบว่า “วงการเขาไม่ยอมรับ” ก็จะให้ยอมรับได้อย่างไร ในเมื่อที่มาที่ไปไม่ชัดแจ้ง ถ้าเป็นพระกรุวังหน้าจริง ต้องมีรายละเอียดของการแตกกรุ หรือขึ้นจากกรุ ว่าแตกกรุเมื่อไร ที่ไหน มีการตรวจสอบจากกรมศิลปากรหรือไม่ นิทานนิยายที่นำมาอ้างว่า กรมเจ้าท่า สร้างถวายสมเด็จโตปลุกเสก หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรปลุกเสก ในสมัยรัชกาลที่ ๔ – ๕ ในสมัยรัชกาลที่ ๔ – ๕ ระหว่างปี พ.ศ.๒๔๐๕ ถึง ๒๔๒๘ โดยช่างสิบหมู่ของวังหน้าองค์สุดท้าย คือ กรมพระราชวังบวรวิชัยชาญ <o:p></o:p>
    อ้างเป็นตุเป็นตะจากนักเขียนที่ชื่อ ประถม อาจสาคร ซึ่งวงการพระเครื่องไม่มีใครยอมรับผลงานการเขียนของนักเขียนผู้นี้มาแต่ไหนแต่ไร ภายหลังมาอ้างว่า คุณพายัพ คำพันธ์ ยอมรับว่า มีพระกรุวังหน้าจริง ครับ ที่คุณพายัพ นายกสมาคมพระเครื่อง ยอมรับนั้น เป็นพระกรุวังหน้า ที่วงการเขานิยมกันครับ ไม่ใช่ พระกรุวังหน้า ที่อ้างว่าสร้างโดยกรมเจ้าท่า ในสมัยรัชกาลที่ ๔ – ๕ ที่พวกนั้นนำมาเผยแพร่ ด้วยการล่อหลอกให้ทำบุญ ถ้าใครติดใจสงสัยเรื่องนี้ โทร.ไปหา หรือ จะไปหาคุณพายัพ ได้ที่ พันธุ์ทิพย์พลาซ่า งามวงศ์วานได้ทุกเวลา<o:p></o:p>
    ผู้ที่นำมาเผยแพร่ดูเหมือนจะให้ความเชื่อถือนักเขียนที่ชื่อ ประถม อาจสาคร มาก ถึงกับยกย่องเป็นครูบาอาจารย์ เรียกอาจารย์ทุกคำ ซึ่งผมอ่านไปถึงตอนหนึ่ง ที่ผู้เขียนอ้างว่า ประถม อาจสาคร มีส่วนร่วมในการลบผงให้กับในหลวง ฯ ในคราวสร้างพระสมเด็จจิตรลดา เมื่อ ปี พ.ศ. ๒๕๐๔ - ๒๕๐๕ ดังข้อความที่ผมจะคัดลอกมาให้อ่าน ดังนี้<o:p></o:p>
    อาจารย์ประถม อาจสาคร ท่านเริ่มรู้จักพระ สร้างพระพิมพ์ให้กับหลวงปู่ทิม วัดระหารไร่ ตั้งแต่อายุ ๑๗ - ๑๘ ปี แต่สิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่านั้น ท่านมีส่วนในผงสมเด็จจิตรดา ประมาณปี พ.ศ.๒๕๐๔ - ๒๕๐๕ ทางสำนักพระราชวัง ได้ขอให้หลวงปู่เฮียง วัดป่า ชลบุรี (ท่านชื่อเฮี้ยง ครับ ไม่ใช่ เฮียง) ท่านลบผงให้ แต่หลวงปู่เฮียงท่านมีภารกิจมาก จึงไม่มีเวลา หลวงปู่เฮียงท่านจึงได้ให้อาจารย์ประถม มาช่วยลบผงให้ อาจารย์ประถมท่านได้ไปอาศัยอยู่ที่กระท่อมหลังป่าช้าวัดป่า ๓ เดือน ลบผงให้จนเสร็จ อาจารย์ประถม ท่านเคยบอกผมว่า ท่านลบผง อย่างชำนาญ แต่กว่าจะลบได้ ๓ ช้อนชา ต้องใช้เวลา ถึง ๓ ชั่วโมง ลบจนถึงนิพพานสูญ เพราะฉะนั้น ในผงสมเด็จจิตรดานั้น มีส่วนผสมของผงที่อาจารย์ประถมท่านลบให้ด้วย ปัจจุบันท่านอาจารย์ประถม ท่านอายุ ๘๕ ปี (ท่านเป็นฆารวาส) และยังมีชีวิตอยู่ รวมระยะเวลาที่ท่านทำพระ , ลบผงวิเศษ, รู้จักหลวงปู่เทพโลกอุดร, พระพิมพ์ของหลวงปู่เทพโลกอุดร (พระวังหน้า) ก็เป็นระยะเวลา ๖๗ ปี <o:p></o:p>
    ครับ ถ้าคนที่ไม่เคยอ่าน หรือรู้เรื่องการสร้างพระสมเด็จจิตรลดา ของในหลวง ร.๙ มาก่อน ก็คงจะเข้าใจตามข้อความที่เขียน และให้ความเชื่อถือ ให้เครดิตผู้เขียน และ ประถม อาจสาคร เป็นอย่างมาก แต่ถ้าใครได้อ่านข้อเขียนของผมในหัวข้อเรื่อง “พระที่ในหลวง ร.๙ ทรงสร้าง” หรือ อ่านเรื่องราวเกี่ยวกับพระสมเด็จจิตรลดา ที่สามารถ Serch หาได้จาก Google ก็จะทราบได้ทันทีว่า <o:p></o:p>
    ผู้เขียน หรือ ประถม อาจสาคร ไม่ใครก็ใคร หรือ ทั้งสองคนร่วมกัน “โกหกคำโต” เพราะพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ฯ พระองค์ทรงสร้างพระสมเด็จจิตรลดาครั้งแรก เมื่อ ปี พ.ศ. ๒๕๐๘ จำนวน ๒๐๐ องค์ และมวลสารที่ใช้ในการสร้าง จากบันทึกของปลัดกระทรวงมหาดไทยในขณะนั้น ที่เป็นผู้รวบรวมมวลสาร (ไม่ใช่ สำนักพระราชวัง เพราะนี่เป็นพระราชกรณียกิจส่วนพระองค์) ผมอ่านตั้งหลายครั้งหลายครา โดยเฉพาะมวลสารที่มาจากจังหวัดชลบุรี รับรองได้ว่า ไม่มีรายการผงวิเศษใด ๆ จาก หลวงปู่เฮี้ยง วัดป่า ฯ ที่ผู้เขียนอ้างว่า ประถม อาจสาคร เป็นผู้ลบผง มีแต่รายการผงธูปที่ประชาชนบูชาพระพุทธสิหิงค์จำลอง ของวัดป่า ฯ ซึ่งก็เหมือนกับจังหวัดอื่น ๆ ทั่วไป แต่เพียงอย่างเดียว<o:p></o:p>
    โกหกคำโต อย่างนี้ ถ้าจับไม่ได้ ไล่ไม่ทัน ไม่มีหลักฐานยืนยัน ก็คงจะยืนกระต่ายขาเดียว หรือ ไม่ก็สาบถสาบานให้ใครต่อใครเชื่อถือในคำพูด ในความบริสุทธิ์ใจของตน แต่ถ้าจับได้ไล่ทัน จะบ่ายเบี่ยงอย่างไร ? ก็คงต้องติดตามกันต่อไป การที่อ้างเอาสถาบันพระมหากษัตริย์ มาสร้างความเชื่อถือ หลอกลวงผู้คนนั้น มันน่าเข้าข่ายหมิ่นเบื้องสูง แม้จะอ้างว่า เอาเงินที่ได้ไปทำบุญ แต่ก็นั่นแหละครับ คนบาปในคราบนักบุญ มีเยอะครับในสังคมยุคปัจจุบัน อยากให้ผู้อ่านทุกท่าน นึกตรึกตรอง พิจารณาใคร่ครวญให้ดีก่อนที่จะเชื่ออะไรต่อมิอะไร ไม่เช่นนั้นแล้วท่านจะตกเป็นเหยื่อ เข้าข่ายคำพังเพยที่ว่า “คนโง่ ย่อมเป็นเหยื่อของคนฉลาด”<o:p></o:p>
    พุทธศาสนสุภาษิต หรือ คำสอนของพระพุทธองค์ ท่านทรงตรัสสอนว่า<o:p></o:p>
    นัตถิ อะการิยัง ปาปัง มุสาวาทิสสะ ชันตุโน.<o:p></o:p>
    แปลตามตัวว่า คนมักพูดมุสา จะไม่พึงทำความชั่ว ย่อมไม่มี หรือแปลง่าย ๆ เป็นภาษาคำพูดแบบไทย ๆ ก็คือ คนเราน่ะนะ ลองพูดจาโกหกพกลมอยู่เสมอล่ะก็ มักจะทำความชั่วอื่น ๆ ที่เหลือได้ทั้งนั้น ไอ้ที่จะไม่ทำชั่วนั้นน่ะ ไม่มีหรอก<o:p></o:p>
    ดังนั้น ถ้าใครจะให้ผมยกย่องให้เกียรติ นับถือคนประเภทที่ได้ชื่อว่า “คนชั่ว” ผมคงทำใจไม่ได้อย่างแน่นอน เพราะผมจะยอมรับนับถือเฉพาะคนดีมีศีลธรรม ถึงแม้จะต้อยต่ำ ยากจนก็ไม่สำคัญ ถ้าผู้นั้นได้ชื่อว่าเป็น “คนดี”
    ----------------------------------------------------------------------

    ขอบพระคุณ http://www.lekpluto.org/home.php ที่เอื้อเฟื้อความรู้นี้มาครับ

    เอามาให้อ่านไม่ได้มีเจตนาจะให้แตกแยกนะครับ....

    ผมเองก็ดูพระไม่เป็น ถ้าเปรียบเป็นคน ผมเองก็เด็กทารกที่พึ่งจะหัดพลิกตัว..

    เพื่อจะเริ่มคลาน พอดีผมมีเวลาว่างเยอะ เลยนั่งหาข้อมูลเรื่องพระเครื่องไปเรื่อยๆ

    พอดีไปเจอบทความอันนี้เข้า เลยขอก๊อปข้อความมาให้อ่านกันครับ.....
     
  2. zeedflower

    zeedflower สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    37
    ค่าพลัง:
    +14
  3. ขอบพระคุณ

    ขอบพระคุณ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    138
    ค่าพลัง:
    +362
    ขอบคุณๆ zeedflower มากครับ ที่แนะนำลิงค์นี้มา เพื่อนๆสมาชิกเข้าไปดู ได้เห็นตัวอย่างมีหลายพิมพ์ เจอที่ไหนก็ให้พิจรณาให้รอบครอบ นะคร๊าบบบบบ
     
  4. callmeletter

    callmeletter เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มกราคม 2007
    โพสต์:
    487
    ค่าพลัง:
    +1,077
    โอ้วสุดยอดครับ ตามลิงค์ กรุวังหน้านี่รวมพิมพ์พระยอดนิยมสมัยนี้เอาไว้หมดเลย ตั้งแต่หลวงปู่ทวด หลวงพ่อเงิน ไล่มาจนพิมพ์ปากน้ำก็มี โดยเฉพาะเบญจภาคี นี่มีทุกพิมพ์ สายตรงกรุวังหน้าอย่าง พี่มันตรัย มีครบหรือยังครับ ^^
     
  5. vptech

    vptech เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    204
    ค่าพลัง:
    +179
    ดนตรีมันก็อย่างนีแหละครับเขาต้องเล่นกันเป็นวง ถ้ายังงี้ก็จบ "ลิเกเลิก"
     
  6. cornell

    cornell เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,079
    ค่าพลัง:
    +880
    มีหลวงพ่อเงินด้วย งง???????
     
  7. มันตรัย

    มันตรัย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    8,346
    ค่าพลัง:
    +8,189
    ตอนนี้สมเด็จเก๊มือผีกรุวังหน้า ถือว่า "ช้อยเก็บฉาก" แล้วสำหรับเวปพลังจิต และเวปพระที่อื่นที่เป็นพระแบบสากล เมื่อมีคนยเอาพระสมเด็จเก๊มือผีกรุวังหน้าไปลงโชว์หรือขาย ก็มักจะถูกอัปเปหิหรือถูก โยนออกมา ขอบคุณเจ้าของกระทู้ด้วยครับ ที่เอาพระวังหน้าของจริงมาให้ชมและทราบเป็นองค์ความรู้ครับ
     
  8. พี เสาวภา

    พี เสาวภา ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    37,990
    ค่าพลัง:
    +146,269
    IMG_0206.JPG IMG_0207.JPG

    โคนสมอวังหน้าพิมพ์ห้อยพระบาท เนื้อชิน

    กราบขออนุญาตเจ้าของกระทู้ เอามารวมที่เดียวกันน่ะครับ

    พระโคนสมอเนื้อแบบนี้ ที่เป็นมาตรฐาน และเรียกกันว่า พระโคนสมอวังหน้าด้วยครับ

    ถ้าจะมีพระที่ต้องห้อยแค่องค์เดียวแล้วไปตีกันจริงๆ แนวบู้สุดฤทธิ์ แนะนำองค์นี้ เนื้อนี้น่ะครับ

    พระนี้มีอยู่ในคอ ท่านที่เป็นผู้ใหญ่หลายคนในสยามประเทศนี้หลายท่าน บางท่านใหญ่มากๆๆๆๆๆ แบบฟังแล้วอึ้งตอนๆได้ยินทีแรก ( หลายสิบปีมาแล้ว ) แต่เป็นที่พอจะทราบกันในวงการพระเครื่อง พระพิมพ์นี้สวยๆพอดูได้ ถึงสวยมาก ถูกกว้านเก็บไปจากสนามพระนานมาแล้ว ถ้าพอหลงอยู่ก็ อาจจะเป็นพิมพ์อื่น เนื้ออื่น หรือ ระเบิด สึกเหลือแต่แก่น...แหะๆ

    ถ้าเลี่ยมทองล่ะก้อ หลายบาททีเดียว แต่มีคนเลี่ยมทองแขวนคอน่ะครับ คอคงตึงทีเดียว

    ผมก็ตามเก็บมาได้หลายองค์ในระยะหลายสิบปี แต่ถูกหักคอไปซ่ะหมด แบบมาไวไปไว ที่สวยๆน่ะ หก องค์ แต่ที่ไม่สวยอีกหลายองค์ ตอนนี้เหลือแค่สององค์นี้ ที่กั้กไว้ คัดเก็บไว้ องค์อื่นๆ จะระเบิดมากน้อย ให้ต่อเขาไปแบบตัดใจ หลายปียังไม่ลืมภาพพระยังคิดถึงอยู่...เหอๆ



    IMG_0208.JPG

    องค์ซ้ายนี้เป็นเนื้อแบบมาตรฐานของเขา คือ เนื้อชินกรอบๆ จะระเบิดมาจากข้างใน มากน้อย องค์นี้สภาพดีที่สุดที่ผมเคยเห็น เลยเก็บไว้ให้ลูกหลานดู


    IMG_0209.JPG

    องค์ขวานี้มาแปลกเพราะเนื้อแก่ตะกั่ว มีไขซะด้วย เลยระเบิดน้อย เป็นของแปลก แห่มาหลายตา แบบว่าเขาดูแท้กันทั้งตลาด แต่จะใครทักเก็ล่ะก็ ไม่ว่ากัน ประชาธิปไตย เห็นแตกต่าง แต่ไม่แตกแยกครับ ทำงานเพื่อชาติ สังคมด้วยกันได้ ผมเคารพความเป็น คนของทุกท่าน...แหะๆ แต่องค์นี้เมื่อเนื้อแปลก ราคาเลยมาแรงซื้อมาแบบหลับตาควักเงิน กัดฟันซื้อ คิดว่าเอาไว้คุ้มบ้านเรือน...อิอิ

    เนื้อชินระเบิดนี้ ถ้าดม จะมีกลิ่นคล้ายสนิมเหล็กน่ะครับ ผมไม่มาบรรยายในนี้ล่ะ ใช้บรรยายด้วยภาพ ที่ไม่บรรยายเพราะไม่ทราบว่าท่านใส่อะไรลงไป ถ้าให้เดาคือพวกแร่ ที่มีส่วนผสมของเหล็ก ( เหล็กน้ำพี้ ??? เหล็กอาถรรพ์??? อะไรสักอย่าง ) ทำให้เกิดสนิมแปลกๆ และเกิดระเบิด ป่นเป็นผง กินตัวเอง

    ค้นประวัติ และเท่าที่พอทราบจากพวกพี่ๆเขาเล่ามา และผมเองเกิดไม่ทันท่าน พระโคนสมอนี้ ไม่ใช่พระของยุคอยุธยาที่ขนมาที่ กรุงเทพมหานคร อมรรัตนโกสินทร์ น่ะครับ พวกนั้นน่ะส่วนใหญ่เนื้อดิน แต่น่าจะหล่อในยุค ต้นรัตนโกสินทร์นี่แหละ และน่าจะเป็นฝีมือ ช่างหลวง คนที่เป็นประธานน่ะก็ไม่ใช่สามัญชน คุณๆ ผมๆ แต่จะเป็นท่านไหน พวกท่านก็ไปเดากันเองน่ะครับ เพราะถ้าไม่นั่งทางใน จับพลัง ก็ต้องอ้าง ตามหลักฐานที่มี หรือ คนเก่าๆเล่าต่อกันมา ว่าพระพิมพ์นี้เขาเรียกกันมาว่า พระโคนสมอวังหน้า พิมพ์ห้อยพระบาท ครับ

    ส่วนจะมีเนื้ออื่น พิมพ์อื่น อันนี้ผมไม่ทราบจริงๆ แต่เห็นในสนามอยู่ ผมเก็บแค่พิมพ์นี้พิมพ์เดียว

    ความเก่าของผิวพรรณ พิมพ์ทรง มีให้ดูในธรรมชาติ และขนาดจริงๆใกล้เคียงกัน แต่พิมพ์หนึ่ง จะเล็กกว่าอีกพิมพ์นิดหนึ่งน่ะครับ องค์ซ้ายจะเล็กกว่าองค์ขวาหน่อยหนึ่ง น้ำหนักก็เบากว่าหน่อย แต่ถ้าห้อย ต้องเป็นคนตัวใหญ่ๆหน่อยครับ

    ขอร่วมแจมแค่นี้แหละครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 พฤษภาคม 2009
  9. neopass

    neopass เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,804
    ค่าพลัง:
    +811
    เห็นเถียงกันตั้งหลายกระทู้แล้วครับ...ซึ่งจริงๆแล้วผมก็ดูไม่เป็นหรอกครับ

    ได้แต่ศึกษาตามอาจารย์ มันตรัยนี่แหละ....อะไรที่ผมทำลงไปแล้วท่านสมาชิกคิดว่าดี

    ผมก็ขอส่งความดีที่ผมได้ทำกลับไปเพื่อนๆพี่ๆ สมาชิกทุกคนด้วยครับ.....
     

แชร์หน้านี้

Loading...