ตามฝัน วันเดินทาง

เมื่อปุ๊กก้า ไปเยือนพม่า YouTube - เพลงบรรเลง ปี๋ใหม่เมือง (HQ)[/ame]​

กระทู้มหาเจดีย์ชเวซิกอง http://palungjit.org/threads/มหาเจดีย์ชเวซิกอง.158624/​

กระทู้พระมหามัยมุนีย์ http://palungjit.org/threads/พระมหามัยมุนี-แห่งมัณฑะเลย์.158002/​

กระทู้เจดีย์ชเวมอดอร์ http://palungjit.org/threads/เจดีย์ชเวมอดอร์-เมืองหงสาวดี.157912/​

กระทู้พระธาตุอินแขวน http://palungjit.org/threads/พระธาตุอินทร์แขวน.156804/​

กระทู้มหาเจดีย์ชเวดากอง http://palungjit.org/threads/มหาเจดีย์ชเวดากอง.156503/

​

 

ที่พม่าจะมีสภาพภูมิอากาศคล้ายกับบ้านเรา เวลาที่พม่าจะช้ากว่าเรา ครึ่งชั่วโมง อัตราแลกเงินที่แลกกับไกด์พม่าอยู่ที่ 1000 จ๊าด = 40 บาท แบงค์พม่าเก่ามากๆๆๆๆ ขอบอก ทั้งปะ ทั้งแปะ เรียกว่าเยียวยากันสุดชีวิตเลยก้ว่าได้เนื่องจากรัฐบาลของเค้าไม่ได้ผลิดแบงค์ใหม่ๆ ออกมานานมากแล้ว พันธบัตรที่ใช้กันส่วนใหญ่จะเป็นแบงค์พัน แบงค์ห้าร้อย แบงค์ร้อยก้หาได้น้อยเต็มทีแล้ว

การเดินทางไปเที่ยวพม่า ส่วนใหญ่จะเป็นการไปไหว้พระ ทำบุญ แนะนำเพื่อน ๆ ว่า ให้ใส่รองเท้าที่ถอดง่ายที่สุด รองเท้าผ้าใบ คัทชู ถุงเท้า ถุงน่อง ไม่ต้องใส่ไปเลย รองเท้าแบบสวม เหมาะที่สุด เพราะเมื่อเข้าเขตวัดเมื่อไรคุณต้องเดินเท้าเปล่าทันที เวลาไปกับทัวร์เค้าก้จะให้เราถอดรองเท้าไว้บนรถเลย

สำหรับผู้หญิงกางเกงขาสั้น กระโปรงสั้น ใส่เข้าไปไม่ได้นะคะที่สั้นที่สุดที่สามารถใส่ได้คือกางเกงขายาวแบบ 5 ส่วนค่ะ ถ้าจะให้ดีก้เตรียมเป็นกางเกงขายาวไปทั้งหมดเลยจะดีที่สุดค่ะ

วัดบางแห่งจะมีการเก็บค่าธรรมเนียมการนำกล้องถ่ายรูปเข้ามาถ่ายในบริเวณวัด ค่าธรรมเนียมก้อยู่ที่ประมาณ 200 จ๊าด หรือ 500 จ๊าด แล้วแต่แต่ละที่ไม่เท่ากัน

การไหว้พระของชาวพม่าจะใช้ ธูป เทียน แล้วก้มีกระดาษทำเป็นเหมือนฉัตรเงินของบ้านเรา แต่ลักษณะจะไม่เป็นฉัตรซะทีเดียว จะคล้าย ๆ ร่มโค้กอันใหญ่ ๆ มากกว่า ความเชื่อก้คือเพื่อให้ชีวิตร่มเย็นเป็นสุข แล้วก้จะมีธง ซึ่งในธงนั้นจะมีรูปสัตว์ประจำวันเกิด พม่าจะไม่มีสัตว์ประจำปีเกิดเช่น ปีชวด ฉลู แบบบ้านเรา แต่จะมีเป็นสัตว์ประจำวันเกิดแทน โดย
วันอาทิตย์ เป็นครุฑ
วันจันทร์ เป็น เสือ
วันอังคาร เป็น สิงห์
วันพุธ กลางวัน เป็น ช้างมีงา
วันพุธ กลางคืน เป็น ช้างไม่มีงา
วันพฤหัส เป็น หนูหางยาว
วันศุกร์ เป็น หนูหางสั้น
วันเสาร์ เป็น พญานาค

ในส่วนของดอกไม้เค้าจะบูชาพระโดยใช้ดอกไม้เพียง 3 ชนิดเท่านั้น คือใช้เป็นดอกมะลิ โดยนำมาร้อยเป็นพวงเหมือนอุบะของพวงมาลัย แต่จะเป็นมะลิล้วน หรือไม่ก้ต้นชัยชนะ ซึ่งจะมีแต่ใบไม่มีดอกนำมาทั้งกิ่งเลยความยาวประมาณฟุตกว่า ๆ ส่วนชนิดสุดท้าย ติ๊กต๊อก....ติ๊กต๊อก.....ติ๊กต๊อก....แหะ..แหะ...จำไม่ได้แล้วอะ อิอิ ไม่ว่ากันนะ เดี๋ยวถ้าใครได้ไป ไกด์ก้บอกเอง ^___^

เวลาไปถึงวัดชาวบ้านจะนำมาขายให้เรากำละ 500 จ๊าด แต่เท่าที่สังเกตุดูชาวพม่าเองเวลาเข้ามาไหว้จะไหว้มือเปล่า ไม่มีถวายดอกไม้ ธูป เทียน

แผ่นทองคำเปลวที่จะนำมาปิดพระ จะขายอยู่ที่ 4 แผ่น 500 จ๊าด แต่เป็นทองดีมาก ๆ แผ่นใหญ่แล้วก้ปิดง่ายมาก​

 

สภาพอาคารบ้านเรือน ตึกเก่า ๆ ที่สร้างตั้งแต่สมัยที่อังกฤษยังปกครองประเทศพม่า ก้ยังมีให้เห็นอยู่บ้าง







​

 

พิมพ์กระทู้เสร็จรึยังล่ะปุ๊กก้า พี่เข้ามาขวางทางหรือเปล่า..มาคนแรกเลย 55+

 

แหะ...แหะ...ผ่านไป 3 บล็อคยังไม่ได้เข้าสถานที่ท่องเที่ยวเลย สงสัยว่ากว่าจะอ่านกระทู้นี้กันจบคงหู ตา แฉะ อิอิ เอาหล่ะ คิดว่าน่าจะสมควรแก่เวลาแล้วนะ ​

ปุ๊กก้าต้องขออภัยไว้ก่อนนะจ้ะ ว่ารูปอาจจะมีไม่มากเพราะไปคราวนี้ฝนตกทุกวัน ไกด์บอกว่าฝนเพิ่งมาตกได้ 3 วันนี่เอง ถ้าภาพไม่สวยไม่งาม คงไม่ว่ากัน เพราะถ่ายจากกล้องดิจิตอลธรรมดา ถ่ายจากมือน้อยๆ ของปุ๊กก้าเองไม่ใช่ช่างภาพมืออาชีพ เป็นได้แค่ช่างภาพจำเป็น อิอิ ​

​

​

​

พระอะไรไม่ทราบ แต่ที่นี่มีงูเหลือมตัวใหญ่เฝ้าอยู่
ผู้ที่ไปสัมผัสได้มีเฉพาะผู้หญิง
เพราะเขาว่างูเพศเมียตัวนี้ถือศีลบริสุทธิ์ ไม่ยอมให้ชายสัมผัสตัว
ยกเว้นหมองูผู้เดียว ที่สัมผัสได้...​

ที่มา : http://www.ezytrip.com/programme/tour/images/myanmar/myanmar_16.jpg​

Bloggang.com : DAN_KRAB : ¨ҧ?ة?-਴Ղ졒?ҠͭǑ??Ð࢕邇ᡩǨ،ҁ?խǑ??Ð˔?ͨ͹​

 

วัดพระเขี้ยวแก้ว (Swe Taw Myat, Buddha Tooth Relic Pagada) ซึ่งสร้างขึ้นเพื่อประดิษฐาน พระเขี้ยวแก้วจำลอง ที่ได้มาจากอาณาจักรน่านเจ้า ที่เคยนำมาประดิษฐานที่พุทธมณฑล ​

​

วัดนี้พม่าใช้สถาปัตยกรรมโบราณพุกาม ทำให้วัดนี้สวยงามแปลกตากว่าเจดีย์อื่น ๆ ลักษณะสำคัญของเจดีย์นี้ เป็นเจดีย์ทรงปราสาทแปดเหลี่ยม ยอดบนประดับด้วยทองคำแท้อร่ามตา







ภายในงดงามมาก ... ตรงกลางเป็นบุษบกสีทองงามสง่า
ในบุษบกนี้มีพระเขี้ยวแก้วหรือพระทันตธาตุบรรจะอยู่
โดยมีกล้องวีดีโอถ่ายภาพพระเขี้ยวแก้วมาให้เราดูใกล้ ๆ








รอบ ๆ สุวรรณบุษบกนี้ มีพระพุทธรูปปางต่าง ๆ เป็นพระประจำวันงดงามไม่ใช่น้อย


​

 

เจดีย์โบดาทาวน์ แปลว่า เจดีย์นายทหาร 1000นาย ตามตำนานเล่าขานว่า เมื่อราว 2000 ปีก่อน พระเจ้าโอกะลาปะ กษัตริย์มอญทรงบัญชาให้นายทหารระดับแม่ทัพตั้งแถวถวายสักการะแด่พระเกศธาตุ ที่นายวาณิชสองพี่น้องอัญเชิญมาทางเรือและมาขึ้นฝั่งเมืองตะเกิงหรือดากอง ณ บริเวณนี้ จึงสร้างเจดีย์โบตะทาวน์ไว้เป็นที่ระลึก พร้อมทั้งแบ่งพระพุทธเกศา 1 เส้น มาบรรจุไว้ ก่อนนำไปบรรจุในมหาเจดีย์เวดากองและเจดีย์สำคัญอื่นๆ เจดีย์โบดาทาวน์จึงเป็นหนึ่งในมหาบูชาสถานของชาวมอญและพม่าเรื่อยมา จนกระทั่งเกิดสงครามโลกครั้งที่2 เครื่องบินฝ่ายสัมพันธมิตรได้ทิ้งระเบิดถล่มย่างกุ้ง ทำให้เจดีย์โบดาทาวน์องค์เดิมถูกทำลายพินาศ แต่ในระหว่างการบูรณะได้ค้นพบผอบทรงสถูปบรรจุพระเกศธาตุและพระบรมสารีริกธาตุ​

ครั้นเมื่อเจดีย์โบดาทาวน์องค์ใหม่ สร้างเสร็จในปี พ.ศ. 2496 จึงนำพระเกศธาตุมาบรรจุในมณฑปครอบแก้วใส ประดิษฐาน ณ ใจกลางเจดีย์ และทำช่องทางให้พุทธศาสนิกชนเดินเข้าไปดูและสักการบูชาได้อย่างใกล้ชิด​

​

​

​

​

​

นอกจากนี้ยังมีสิ่งที่น่าชมในอาณาบริเวณเจดีย์โบดาทาวน์คือ พระพุทธรูปทองคำ ประดิษฐานในวิหารด้านขวา ซึ่งเป็นพุทธรูปปางมารวิชัยที่มีพุทธลักษณะงดงามยิ่งนัก ตามประวัติว่าเคยประดิษฐานอยู่ในพระราชวังมัณฑะเลย์ ครั้นเมื่อพม่าตกเป็นอาณานิคมอังกฤษในปี พ.ศ. 2428 ถูกเคลื่อนย้ายไปยังพิพิธภัณฑ์กัลกัตตาในอินเดีย ทำให้รอดพ้นจากระเบิดของฝ่ายสัมพันธมิตรที่ถล่มวังมัณฑะเลย์ ​

ต่อมาในปี 2488 พระพุทธรูปองค์นี้ถูกจัดไปแสดงที่พิพิธภัณฑ์วิกตอเรียและแอลเบิร์ต นอกจากพระพุทธรูปทองคำแล้ว ยังมี พระเขี้ยวแก้ว ซึ่งเก็บรักษาไว้ในตู้กระจก อยู่ใกล้ๆกับวิหารพระทองคำ และด้านซ้ายมื้อจะมีรูปปั้น นัตโบโบยี หรือ เทพทันใจ ซึ่งชาวมอญและพม่านิยมมากราบไหว้บูชา ด้วยเชื่อว่าอธิษฐานขอสิ่งใดแล้วจะสมปรารถนาทันใจ​

​

ในระหว่างการบูรณะ ก้ได้มีการค้นพบพระพุทธรูปทองคำ ต่าง ๆ มากมาย รวมทั้งเหรียญกษาปณ์ เครื่องเงิน ที่เคยบรรจุอยู่ในพระเจดีย์ ทางรัฐบาลจึงนำมาจัดแสดงไว้ในตู้กระจก พร้อมทั้งมีเหล็กดัดป้องกันไว้ด้วย​

​

​

​

​

​

​

​

​

​

ที่มา : ?š҃?鹋҃ٻ??ⴂ Google ʓ˃Ѻhttp://www.oceansmile.com/Picture50/Phama22-26Jun50/600/DSC_0106.jpg ​

 

วิธีการสักการะรูปปั้นเทพทันใจ (นัตโบโบยี)

เพื่อขอสิ่งใดแล้วสมตามความปราถนาก็ ให้เอาดอกไม้ ผลไม้ โดยเฉพาะมะพร้าวอ่อน กล้วย หรือผลไม้อื่นๆมาสักการะ นัตโบโบยี จะชอบมาก จากนั้นก็ให้เอาเงินจะเป็นดอลล่า บาท หรือจ๊าด ก็ได้ (แต่แนะนำให้เอาเงินบาทดีกว่าเพราะเราเป็นคนไทย) แล้วเอาไปใส่มือของนัตโบโบยีสัก 2 ใบ ไหว้ขอพรแล้วดึกกลับมา 1 ใบ เอามาเก็บรักษาไว้ จากนั้นก็เอาหน้าผากไปแตะกับนิ้วชี้ของนัตโบโบยี

ตามความเชื่อของชาวพม่าเชื่อว่า จะต้องไปกราบสักการะ เทพทันใจให้ครบทั้ง 3 แห่ง และอธิษฐานขอในสิ่งเดียวกันทั้ง 3 ที่ จึงจะสมความปราถนา เป็นโชคดีของปุ๊กก้าจริง ๆ ที่ในทริปนี้ก้ได้มีโอกาสมากราบสักการะครบทั้ง 3 แห่งแล้ว

ไกด์บอกว่ามีดาราจากประเทศไทยเยอะมากที่มากราบสักการะขอพรจากเทพทันใจ



​

 

สาธุจ้ะ สมดังที่อวยพรนะจ้ะ ขอให้อะเดียวจงเจริญเช่นกัน ^__^

 

ปุ๊กก้าเหนื่อยแล้วอะ ขอพักหน่อยนะ เดี๋ยวมาเขียนต่อ ^__^

 

พระพุทธไสยาสน์เจาทัตยี (พระตาหวาน)





เหตุที่ได้ชื่อว่า พระตาหวาน เพราะพระพุทธรูปองค์นี้ มีดวงตาที่สวยงามที่สุดซึ่งทำจากการเป่าแก้วโดยบริษัทที่ผลิตแก้วเพียงแห่งเดียวในประเทศพม่าเป็นผู้ทำถวาย ซึ่งจะถวายทั้งดวงตาและขนตา

อีกทั้งพระบาทก้มีภาพมงคล 108 ประการ พระบาทจะซ้อนกันซึ่งจะแตกต่างกับพระพุทธรูปของไทย












ลืมบอกไป อิอิ เพิ่งนึกออกอะ ถ้าใครทราบแล้วก้ดี แต่ถ้าใครยังไม่ทราบก้รู้ไว้เพื่อประดับความรู้จะได้ปฏิบัติได้ถูกต้องนะจ้ะ

แหะ..แหะ.. คือว่าปุ๊กก้าเพิ่งรู้ตอนที่มาเที่ยวทริปนี้นี่เองว่า ในการกราบสักการะบูชาพระพุทธรูปต่าง ๆ เราควรจะเริ่มด้วยนะโม 3 จบ แล้วตามด้วยบทพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ แหะ..แหะ..ทุกทีท่องนะโมอย่างเดียวเองอะ แต่ไม่เป็นไรรู้ตอนนี้คงยังไม่สายเกินไป ^__^​

 

จะคอยติดตามอ่านนะจ๊ะ หนูปุ๊ก....

 

พระมหาเจดีย์ชเวดากอง​

​

ในเรื่องความสวยงามของเจดีย์ชเวดากองนี้คงไม่ต้องอธิบายอะไรกันให้มากความ ^__^ ​

ภาพบริเวณโดยรอบตัวเจดีย์ปุ๊กก้าอาจจะไม่ได้เอามาลงให้ดูมากนัก หากใครอยากชม ลองกลับไปดูกระทู้ที่เคยทำไว้เมื่อคราวก่อนแล้วกันนะจ้ะ​

ในส่วนของกระทู้นี้ปุ๊กก้าจะลงรูปที่ได้ไปพบไปเจอมาแล้วกันนะจ้ะ ​

พอเข้าไปที่นี่แล้วก้จะมีลิฟต์ให้ขึ้นไปถึงข้างบนด้วย สำหรับผู้สูงอายุมีบริการรถเข็นให้ด้วย พอโผล่ออกจากลิฟต์เดินไปได้หน่อยนึง จะเจอต้นศรีมหาโพธิ์ขนาดใหญ่ ใบของต้นศรีมหาโพธิ์จะต่างจากใบโพธิ์ทั่ว ๆ ไปคือที่ปลายจะมีหางแหลม ๆ ยาวออกมาเห็นได้ชัดเจน


​

​

แหะ..แหะ...จะสังเกตุเห็นกันไม๊เนี่ย
​

แรกเริ่มเดิมทีเจดีย์ชเวเดกองยังไม่สูงตระหง่านและสวยงามเช่นทุกวันนี้ จะมีลักษณะตามภาพที่เห็นด้านล่างนี่เอง แต่หลังจากที่มีการบูรณะกันมาเรื่อย ๆ เพิ่มความสูงของเจดีย์ขึ้นเรื่อย ๆ จึงเป็นดังเช่นปัจจุบัน


​

ที่นี่วันที่ปุ๊กก้าไปฝนตกพรำ ๆ จะว่าไปก้พรำทุกวันเลยทริปนี้ พรำมากพรำน้อยก้ว่ากันไปแล้วแต่ดวง อิอิ นั่น นั่น นอกเรื่องอีกแล้ว ^__^​

เริ่มใหม่......เทค 2....เริ่ม.....ที่นี่ปุ๊กก้าได้เห็นความสวยงามอีกรูปแบบหนึ่งของชนชาวพม่า ในความเป็นพุทธศาสนิกชน ชาวพม่าแสดงออกได้อ่อนน้อมและละเมียดละไม กว่าคนไทยมากนัก แหะ..แหะ...พูดแบบนี้จะโดนเบิ๊ดโหลกป่าวอะ อย่านะ....อย่านะ...คงต้องยอมรับความจริงกันงานนี้ อิอิ​

​

ที่ลานกลางแจ้งแห่งนี้ในวันที่ปุ๊กก้าไปฝนตกเปียกเฉอะแฉะไปหมด แต่คนพม่าก้ก้มลงไปกราบพระเกศาธาตุที่ประดิษฐานอยู่ในเจดีย์โดยไม่กลัวเปียกกันเลย คนที่มาไหว้ต่างพากันไปหาผ้าเช็ดพื้นมาเช็ดทำความสะอาดบริเวณโดยรอบเจดีย์กันอย่างพร้อมใจ ถ้าเป็นเราคนไทยคงตัวใครตัวมัน...อุ๊บส์.....​

แล้วเวลาเค้ากราบพระ ชาวพม่าจะกระทำด้วยความนอบน้อมเป็นอย่างมาก บริเวณโดยรอบเจดีย์มีศาลา มีที่นั่งเต็มไปหมด จะว่าไปแล้วทุกวัดที่ไปด้วยซ้ำที่ปุ๊กก้าจะเห็นคนพม่าเป็นจำนวนมากมานั่งสวดมนต์ นั่งสมาธิกัน ต่างคนต่างนั่งด้วยนะ ทำด้วยความตั้งใจมาก ซึ่งที่เมืองไทยเราปุ๊กก้าเห็นน้อยมากที่จะมีแบบนี้​

​

​

อาณาบริเวณของพระเจดีย์นี้จะมีศาลา (เอ....เรียกว่าอารัยหนอ) ที่หลัก ๆ อยู่ 4 แห่งซึ่งจะเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปเป็นพระพุทธเจ้าทั้ง 4 พระองค์ที่ได้ตรัสรู้ไปแล้วในกัปป์นี้​

​

​

​

 

มาให้กำลังใจน้องรัก อ่านแบบลวกๆก่อนนะ เดี๋ยวจิตใจดีๆแล้วจะมานั่งอ่านให้หนำใจเลยจ๊ะ ภาพสวยสดงดงามมากเลยจ๊ะ น้องหนูทำให้พีอุ้มอยากไปมากๆเลยจ๊ะ

 

ขอบคุณจ้าพี่สร้อย อิอิ เป็นอีกคนนึงที่ต้องมาอ่านกระทู้เค้าจนจบนะ เพราะบอกให้เค้ามาเขียน 555+

 

555+ มีอ่านแบบลวก ๆ ด้วยหยอ อิอิ แย้วตอนนี้ไมจิตใจไม่ดีอะจ้ะพี่อุ้มจ๋า เด๋วคราวหน้าไปกันไม๊อะ ^__^

 

ทองที่พม่าเยอะน๊ะคับ.....สร้างหุ้มเจดีย์ได้เป็นองค์..ไม่รู้เอามาจากไหนเยอะขนาดนั้น...^//^

 

​

ที่บริเวณโดยรอบพระเจดีย์จะมีพระประจำวันเกิดให้สักการะ คนพม่าเมื่อมาถึงวัดแล้ว จะไปกราบพระพุทธก่อน แล้วจึงเดินไปกราบพระและ เทพประจำวันที่ตนเกิดเพื่อสรงน้ำทั้งพระและเทพ​

เป็นการบูชาด้วยการชำระล้างด้วยน้ำใสสะอาดบริสุทธิ์ หวังให้ชีวิตของเจ้าตัวนั้นร่มเย็นใสสะอาดเหมือนน้ำที่สรงพระ เหมือนองค์พระที่สะอาดผุดผ่องนั้นด้วยใครเกิดวันใดก็ไปกราบบูชาตามวันของตน บ้างก็สรงเฉยๆ บ้างก็ขัดสีฉวีวรรณให้องค์พระ​

การสรงน้ำพระประจำวันเกิด มีวิธีการหลายอย่าง ที่องค์พระจะมีจอกเล็กๆวางไว้หลายใบ ก็ตักแล้วรด ตักแล้วรดไป.. บางคนก็สรงตามจำนวนอายุของตน (แล้วบวก 1 ) ​

แต่หากว่าไม่ไหว ไกด์บอกว่าให้สรงแบบนี้คือ ถ้าสมมุติว่าเราอายุ 25 ก้เอา 2 + 5 = 7 แล้วบวกอีก 1 เป็น 8 คือสรงน้ำพระ 8 จอก เทพ 8 จอก แล้วจึงมาสรงน้ำสัตว์ประจำวันเกิดอีก 8 จอก​

​

นอกจากพระประจำวันเกิดแล้วก้ยังมีพระพุทธรูปต่าง ๆ ให้กราบสักการะมากมาย ที่เจดีย์ชเวดากองนี้เองที่เราได้มีโอกาสมากราบเทพทันใจองค์ที่ 2 ของทริปนี้ แต่..แหะ..แหะ...ไม่มีรูปอะ องค์ท่านอยู่กลางแจ้งแล้วมีเป็นห้องกระจกคลุมไว้ หยดน้ำเกาะเต็มกระจกเลย ถ่ายรูปไม่เห็นจ้ะ​

​

​

​

​

​

 

การดูแลรักษาเจดีย์ชเวดากอง ในทุกๆ 50ปี จะนำยอดฉัตรของพระเจดีย์ลงมาบูรณะ และอนุญาตให้ประชาชน นำเครื่องสักการะ คือ เครื่องประดับอัญมณี แก้ว แหวน เงินทอง เพชร นิล จินดา มาถวายเป็นพุทธบูชา เพื่อขึ้นติดไว้บนยอดฉัตรของพระเจดีย์ บางคนก้ถวายเป็นชุดเลยน๊า มีทั้งสร้อยคอ สร้อยข้อมือ ต่างหู แหวน เพชรเม็ดบนสุดมีน้ำหนัก 76 กะรัต พอยามค่ำคืนไกด์จะพาไปที่ที่นึง ที่นี่สามารถมองเห็นประกายเพชรที่ต้องแสงไฟเป็นประกายระยิบระยับได้ด้วยตาเปล่าเลย จุดนึงจะเห็นประกายเพชรเป็นสีขาว พอย้ายมาอีกที่นึงจะเปลี่ยนเป็นสีเขียว ย้ายมาอีกที่นึงจะเปลี่ยนเป็นสีแดง ย้ายมาอีกที่นึงจะเปลี่ยนเป็นสีฟ้า















มีสิ่งที่น่าสนใจอีกอย่างนึงก้คือระฆังใบนี้ หนักประมาณ 10 กว่าตันจมอยู่ใต้แม่น้ำ เมื่อครั้งที่อังกฤษยังปกครองพม่าอยู่ อังกฤษพยายามทำทุกอย่างเพื่อที่จะเอาระฆังใบนี้ขึ้นมาจากน้ำให้ได้ แต่ทำยังไงก้ไม่สามารถจะนำขึ้นมาได้ผลสุดท้าย ก้ต้องล้มเลิกความคิดไป

เมื่อชาวพม่าเห็นว่าอังกฤษไม่สนใจที่จะเอาระฆังใบนี้ขึ้นจากน้ำแล้วจึงไปขอต่อรัฐบาลอังกฤษว่า ชาวพม่าอยากจะขอนำระฆังใบนี้ขึ้นมาจากน้ำเอง ฝ่ายอังกฤษเห็นว่า ตัวเองทำทุกวิถีทางแล้วยังเอาขึ้นมาไม่ได้ แล้วชาวพม่าจะนำขึ้นมาได้อย่างไร จึงแกล้งเอ่ยปากอนุญาติไป

เมื่ออังกฤษอนุญาติแล้ว ชาวพม่าจึงจุดธูปเทียน อธิษฐานต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เค้าเคารพนับถือ เพื่อขอนำระฆังขึ้นมาจากน้ำ จากนั้นใช้เพียงแค่ไม้ไผ่ทำเป็นแพแล้วไปสอดไว้ที่ใต้ระฆัง แพไม้ไผ่ก้ลอยขึ้นมาเหนือน้ำ ยังความอัศจรรย์ให้กับอังกฤษเป็นอย่างมาก



​

 

วันนี้ขอพักก่องน๊า พรุ่งนี้มาเขียนต่อจ้ะ