ขอเชิญท่านที่มีความจงรักภักดีและเทิดทูนในสมเด็จพระนเรศวรมหาราช

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย จงรักภักดี, 28 เมษายน 2009.

  1. จงรักภักดี

    จงรักภักดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,229
    ค่าพลัง:
    +2,466
    ขออนุโมทนาและขอบพระคุณคุณmeephoo มากครับ
    อันที่จริงกระทู้นี้เป็นของทุกท่านที่มีความจงรักภักดีฯ
    ร่วมทั้งท่านที่ผ่านเข้ามาครับ ผมเชื่อมั่นว่ามีชาวไทยอีกมากมายที่มีความจงรักภักดีในพระองค์ท่านและต่อสถาบัน
    ผมเพียงแค่เริ่มต้นนับหนึ่งให้เท่านั้น จะต้องมีผู้เข้ามาร่วม
    นับต่อเนื่องกันไปอย่างแน่นอนครับ เพียงแต่ว่ากระทู้
    นี้เข้ามาอยู่ลึกเกินไปหน่อย แต่ก็ถือเป็นความกรุณาครับ
    วันใดที่ท่านเห็นว่าสมควรจะหาสถานที่ที่เหมาะสมให้
    ใหม่ ท่านก็คงจะดำเนินการให้ครับ เราจะรอวันนั้นครับ

    ขออนุญาตยกคำปณิธานในตอนปฐมบทมากล่าวซ้ำอีกครั้ง
    นะครับ

    ขอเชิญชวนทุกท่านที่มีความจงรักภักดีและเทิดทูนในสมเด็จพระนเรศวรมหาราชเจ้า ไม่ว่าท่านจะได้ทราบหรือไม่ทราบ
    ว่าท่านจะได้เคยเป็นใครหรือไม่ได้เป็นใครในครั้งกระนั้น แต่ท่านมีความเคารพเทิดทูนและจงรักภักดีในสถาบันพระมหากษัตริย์และอดีตบูรพกษัตริย์ที่ได้ทรงเสียสละตลอดพระชนม์ชีพเพื่อกอบกู้เอกราชให้กับแผ่นดินไทย ขอเชิญท่านร่วมกันแสดงความจงรักภักดี ด้วยการโพสต์เข้ามาโดยที่ท่านไม่จำเป็นต้องแสดงความคิดเห็นใดๆ ไม่จำเป็นต้องแจ้งนามจริง ,โทรศัพท์ , e-mail address ใดๆทั้งสิ้น
    เพียงแต่ท่านได้ยอมรับและมีความเข้าใจในกติกาและข้อตกลงพื้นฐานดังต่อไปนี้:

    -เป็นศูนย์รวมสำหรับผู้ที่มีความจงรักภักดีและเคารพเทิดทูนในสมเด็จพระนเรศวรมหาราชเจ้า
    -ไม่มีวัตถูประสงค์แอบแฝงอื่นใด
    -ยินดีรับฟังข้อคิดเห็นหรือข้อเสนอแนะที่สุภาพ
    -ข้อความหรือคำศัพท์ที่เกี่ยวข้องกับสถาบันพระมหากษัตริย์ ขอได้โปรดใช้คำราชาศัพท์ให้ถูกต้อง เพื่อเป็นการแสดงความเคารพและเทิดทูน
    -เจ้าของกระทู้จะไม่รับผิดชอบข้อความใดๆที่พาดพิงเบื้องสูงและ/สถาบัน
    -ท่านจะต้องปฏิบัติตาม พรบ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ อย่างเคร่งครัด
    -จะร่วมกันปกป้องและเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์
    -ขอสงวนสิทธิในการที่จะเพิ่มเติมกติกาและข้อตกลงเพิ่มเติมในโอกาสต่อไป

    ๐๐๐ ถ้าสิ้นชาติ สิ้นแผ่นดิน สิ้นกษัตริย์

    เห็นสุดจะยืนหยัดอยู่ได้ ๐๐๐
    <!-- google_ad_section_end -->
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 มิถุนายน 2009
  2. Fort_GORDON

    Fort_GORDON เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2008
    โพสต์:
    286
    ค่าพลัง:
    +488
    ".....เพียงแต่ว่ากระทู้
    นี้เข้ามาอยู่ลึกเกินไปหน่อย...."


    ขออนุโมทนากับทุกท่านครับ และขอเชิญชวนกันเข้ามาช่วยกันนับต่อๆไปนะครับ
     
  3. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,920
    ค่าพลัง:
    +6,434
    ย้อนรอยกรรม ตำนานพระสุพรรณกัลยา

    [​IMG]

    แล้วข้าพเจ้าก็ดึงด้ายสายสิญจน์ ที่เขาทำด้วยแผ่นทองคำ ความยาวห้าคืบ กว้างหนึ่งนิ้ว ลงอักขระคาถา ขณะนี้ ข้าพเจ้ายังนำมาเก็บไว้ ออกจากแขนและขา ของท่านเจ้าหญิงด้วยการเสกคาถาดังๆ ว่า ตัสสะตัสสา คัจฉะคัจฉา อามุมหิโอกาเสติฏฐาหิ เป่าลงไปแรงๆ แล้วด้ายก็ขาดออก ปลิวหายไปเลยไม่มีอีกแล้ว เห็นท่านดีใจเอามากๆ สวมกอดข้าพเจ้าทันที (เรื่องนี้ถ้ามิใช่ฝัน หรือสัมผัสด้วยฝัน อาบัติคงกินตายแน่ๆ เพราะสาวสวยๆ อย่างนี้มากอด ใครเล่าจะทำใจได้ เพราะเราก็ยังมีกิเลสหนาอยู่นี่ แต่มันก็เป็นความฝันเท่านั้น จะเอาจริงเอาจังอะไรกับความฝันเล่า) อันชีวิตทุกชีวิต ก็คือความฝันเช่นกัน และจะเอาอะไรแน่นอนกับชีวิตเล่า ตายไปแล้ว ก็ตกอยู่ในภาวะแห่งความว่างเปล่าทั้งนั้น เอาอะไรไปไม่ได้สักอย่างเดียว แก้ผ้ามาตอนเกิด เมื่อวันตายก็ต้องกลับสภาพเดิม ชีวิตหนอชีวิตคิดดูเถิด ตั้งแต่เกิดถึงตายกลายเป็นผี จะประสพพบโชคและโศกโศกี ตามวิถีของบุญกรรมที่ทำมา จงอย่าครวญโอดโทษใครในยามทุกข์ จงปลุกปลอบดวงใจให้แก่กล้า มิใช่พรหมินทร์อินทร์เซียน เขียนให้มา เรานี้นากระทำไว้ในตนเอง ​


    เรื่องพระนางสุพรรณกัลยา เทพธิดาที่มองเห็นทางฝันนั้น ท่านบอกว่า " ท่านขาท่านเก่งมาก ที่ท่านช่วยแก้เครื่องผูกมัดออกให้ฉัน ฉันจะได้เป็นอิสระเสียที ฉันจะไปอยู่กับท่านตลอดไป ท่านต้องการอะไรบอกฉัน เมื่อท่านจะไปไหนมาไหน หรือทำอะไรบอกฉันด้วย ฉันจะช่วยแบ่งเบา เท่าที่ความสามารถของฉันจะทำได้ และท่านก็จะพ้นภัยภายในเร็วๆ นี้ " พอรู้สึกตัวขึ้นมาจากการหลับฝัน ความทรงจำที่ติดอยู่กับมโนทวาร ก็ยังกัองกังวาลอยู่ที่หูทั้งสองข้าง ของข้าพเจ้าว่า สุพรรณกัลยา สุพรรณกัลยา สุพรรณกัลยา อยู่ไม่ลืมเลือน แม้จะลืมตา หลับตา เดินไป เดินมา ทางตาก็เห็นรูป หูก็ได้ยินเสียงตลอดเวลา เลยเกิดความสุข เอิบอิ่มเบิกบาน ยิ้มแย้มร่าเริงอยู่คนเดียว ข้าวไม่กินน้ำไม่ดื่ม เป็นเวลา 10 คืน 10 วัน ก็ไม่รู้สึกหิว ไม่รู้สึกเพลีย เพราะอิ่มใจ ไม่สนใจอะไรทั้งนั้น เพราะมันเกิดความสุขทางใจเอามากๆ จึงนึกถึงพระคาถา ของท่านอาภัชชราพราหมณ์ว่า ปีติภักสา ภะวิสสามิ เทวานัง อะภัสสรายะถะ คาถานี้เสกน้ำกินบ่อย จะเป็นอาหารทิพย์ ไม่ได้กินก็ไม่หิว อยู่ได้หลายๆ วันแล จำไว้เนอ

    จึงออกปากพูดเองว่า สุขอะไรอย่างนี้ สุขหนอ สุขหนอ แต่ที่เราสังเกตดูผู้คน คนภายนอกตลอดทั้งเจ้าหน้าที่ ที่ควบคุมดูแลเราอยู่ เขาพูดกันว่า เราเร่งความเพียรทางจิตมากเกินไปเลยเสียสติ คงจะเป็นโรคจิตวิปลาสไปแล้ว ขืนปล่อยไว้นานก็บ้าแน่ๆ บ้าจริงๆ อย่าเข้าไปใกล้มันนะมันจะทำร้ายเอา เพราะเขาเห็นเรานั่งยิ้ม นอนยิ้มอยู่คนเดียว แล้วก็พูดพึมพำว่าสุขหนอๆ (อย่างนี้ก็บ้าละซี) พอถึงวันที่ 25 พฤศจิกายน เดือนเดียวกัน พวกเจ้าหน้าที่ ที่ควบคุมดูแลข้าพเจ้าอยู่ มาตะโกนดังๆ บอกว่าท่านไม่ต้องบ้าหรอก เลิกบ้าเสียที ท่านพ้นโทษ พ้นข้อกล่าวหาทุกอย่างแล้ว ผู้ใหญ่ทางเมืองสยามไทย คือท่านจอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้ร้องขอให้นายกอุนุ ปลดปล่อยท่านแล้ว ท่านจะไปไหนก็ไป ท่านเป็นอิสระแก่ตัวทุกอย่างแล้ว เมื่อข้าพเจ้าได้ยินเข้าก็ยิ้ม ยิ้มแล้วยิ้มอีก ยิ้มไม่เลิก ยิ้มเรื่อยๆ เขาก็ยิ่งหาว่าบ้าหนักเข้าไปอีก ถึงอย่างไรก็ดี อันภาพที่เห็นในทางจิตวิญญาณ มันบันดาลให้เกิดความสุขทางใจ อิ่มใจมากๆ จึง ยิ้ม ยิ้ม ยิ้ม ใครๆ เขาจะหาว่าบ้าก็เอา (อันความยิ้มแย้มแจ่มใส จิตใจ ร่าเริงเบิกบาน ไม่มีทุกข์ เป็นยารักษาโรคขนานเอก) จำไว้เน้อ


    เมื่อมาถึงตอนนี้ท่านผู้อ่าน อ่านแล้วคงจะนึกว่าเรื่องนี้ มันเป็น unbelievable นี่หว่า แต่ข้าพเจ้า ก็เชื่อของข้าพเจ้าอย่างเต็มร้อย หรือท่านจะคิดว่ามันเป็น nearly Impossible แต่ข้าพเจ้าก็เห็นว่า มันเป็นไปได้และมันก็เป็นไปแล้ว เพราะข้าพเจ้าค้นคว้า และเขียนเรื่องนี้ขึ้นมา เพียงเพื่อเสนอแนวคิดในแง่มุมต่างๆ ที่ได้สัมผัสมาด้วยตนเอง ทั้งด้านนามธรรม และด้านรูปธรรม มิใช่จะกะเกณฑ์ให้ท่านเชื่อหรอก ขอบอกว่าอันคนที่เชื่ออะไรง่ายๆ และปฏิเสธอะไรง่ายๆ โดยไม่ดูเหตุผล (คือคนโง่) เพราะสิ่งเร้นลับซับซ้อนต่างๆ ที่มีอยู่ใต้หล้าฟ้ากว้างในโลกนี้ ซึ่งมนุษย์ยังค้นไม่พบ ยังมีมากเหลือที่จะพรรณนา สิ่งนั้นคือเรื่องจิตวิญญาณ

    อันเรื่องราวของพระสุพรรณกัลยา ที่ท่านบอกว่า ท่านเป็นพระธิดาองค์ใหญ่ ในพระมหาธรรมราชานั้น เป็นใครกันแน่ เพราะแต่ไหนแต่ไรมาแล้ว ข้าพเจ้าเองไม่ได้เอาใจใส่ ไม่ได้สนใจ ในเรื่องเกี่ยวกับเจ้าๆ จักรๆ วงศ์ๆ อะไรทั้งนั้น เพราะเหตุว่าข้าพเจ้ามี config ติดอยู่ในใจมาแต่กำเนิด คือไม่ชอบเจ้า เพราะสถานที่ข้าพเจ้าอยู่ไม่ว่าที่ใด จะไม่ไกลจากหมู่บ้านของพวกคณะลิเก อันคนจำพวกนั้นมันจะซ้อม มันจะแสดง มันจะสอนกันแต่เรื่องเจ้า จักรๆ วงศ์ๆ ทุกวี่ทุกวันเป็นประจำ หนวกหูจะตาย เลยเกิดโรคความเกลียด ความชังในระบบเจ้า ของพวกลิเกขึ้นมา เมื่อพวกมันเลิกเล่น เลิกแสดง มันก็มานั่งกินข้าว กับหัวปลาทูกรอบๆ กับหมาอีก นี่แหละหนาโลกแห่งมายา โลกแห่งการสมมุติ แต่มนุษย์ก็ยังมายึดติดกับมัน อนิจจังอนิจจา


    แต่เรื่องของพระนางสุพรรณกัลยา ที่กล่าวมาตลอดนี้ ท่านเป็นเจ้าประเภทไหน ทำไมจึงเป็นภาพที่ติดตา ตรึงใจ ในห้วงแห่งความรู้สึกนึกคิด ของเราตลอดเวลา ก็เพราะท่านได้นำพา ให้เราได้เข้าถึง ได้รับรู้เรื่องโลกวิญญาณ โลกลี้ลับ ในคราวที่ชีวิตตกอับคับขัน จะหันหน้าไปพึ่งใครๆ มนุษย์หน้าไหนไม่ได้อีกแล้ว ขณะที่จิตของเราผ่องแผ้ว เข้าสู่ภวังค์ได้หยั่งรู้ หยั่งเห็นท่านเป็นอุปทายรูป อันเลอโฉมของท่าน และท่านก็นำพาเข้าสู่มิติเก่าๆ ที่เป็นอดีตกาล ซึ่งผ่านมาแล้ว แม้จะนานแสนนาน ก็ได้รับรู้เหตุการณ์ต่างๆ ดังได้กล่าวต่อไป อันมิติสภาวะที่ท่านอยู่ที่ลี้ลับแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นสภาวะที่โปร่งใส ไม่มีพระอาทิตย์ ไม่มีแสงจันทร์ แต่มันสว่าง เนื้อตัวก็เบา เคลื่อนย้ายไปมาไม่ต้องก้าวขา ก็ไปถึงทันใจ นึกอยากได้อะไร สิ่งนั้นก็มาถึง

    อันสถานบ้านเรือนที่เราดู เราเห็นด้วยตา ว่ามีสภาพชำรุดทรุดโทรมนั้น กลับเห็นเป็นของยังใหม่เช่นเดิม แล้วท่านนำพากลับเข้าไป ดูภาวะการณ์ที่ท่านและเรา ถูกกวาดต้อนไปเป็นเชลยนั้น ก็เห็นว่า เราเป็นผู้ชายมีอายุกลางคนแล้ว และมีร่างกายแข็งแรง เป็นผู้ใหญ่อายุมากกว่าท่าน และยังได้ช่วยเหลือ ท่านทุกอย่างที่ท่านขอร้อง แม้แต่พระอนุชาของท่าน คือท่านองค์ดำ และองค์ขาว ก็เห็นท่านเป็นเด็ก จนโตเป็นหนุ่มแน่น และเห็นท่านทั้งสามองค์ อยู่ กิน นอน ด้วยกันตลอดเวลา และพระอนุชาทั้งสอง ท่านก็ใฝ่ใจในการศึกษาศิลปศาสตร์ทุกสาขา และท่านก็เมตตาต่อเราเอามากๆ และบางครั้งเรายังรับทำงานแทนท่าน อันเป็นงานที่ท่านไม่ถนัด เพราะพวกที่ตกเป็นเชลยนั้น คนทุกชั้นก็คือเชลยหมด จึงหมดภาวะแห่งความเป็นนาย เป็นบ่าวกันแล้ว แต่เราเก่งทางสร้างบ้าน สร้างเรือน เราจึงได้ชื่อว่า ขุนอนุรักษ์ ศักดิ์เสนา อันนี้เป็นการสัมผัส ด้วยจิตใจอีกมิติหนึ่ง มิตินี้เป็นมิติที่ละเอียดมาก ที่เรียกว่าตัวแฝงตัวพลังนั่นเอง ยากที่จะอยู่ได้นาน เพราะภาวะการของจิต มันจะถอยออกมา อยู่สู่มิติทางสัมผัสด้วยใจอีกต่อไป
    จากนั้นท่านก็เล่าให้ฟังว่า พวกเราถูกกวาดต้อน มาเป็นเชลย จนฉันโตเป็นสาว ดังที่ท่านเห็นอยู่นี้ อายุราวๆ เบญจเพศ ไอ้เจ้าบุเรงนอง มันก็ปองรัก จะหักด้ามพร้าด้วยเข่า เอาฉันทำเมีย มันทำระร่ำ ระเหรี่ยในทางมายา แต่พระอนุชาของฉันทั้งสองไม่ยินยอม และตัวท่านเองก็ไม่ยอมด้วย ดังนั้นจึงพร้อมกันออกอุบายว่า ขอให้ฉันได้รับอนุญาต จากท่านผู้บังเกิดเกล้า คือบิดามารดาเสียก่อน เพราะประเพณีของไทย ถ้าผู้ใดแต่งงานก่อนได้รับอนุญาต จะอายุสั้น เจ้าบุเรงนองมันตาฝาด ด้วยอำนาจกิเลสตัณหา จึงจัดแจงโยธาไพร่พล พร้อมด้วยตัวเขา และน้องชายทั้งสองของฉัน และตัวท่านเองก็ได้กลับไปด้วย แต่การไปของท่าน เขาให้ไปถึงแค่เขตแดน แล้วเขาสั่งให้สร้างบ้านเรือน อยู่ตรงเมืองมะริด และเจ้าบุเรงนองก็เกรงใจท่านมาก เพราะท่านเป็นผู้ใหญ่ที่เขานับถือ เรียกว่ามือชั้นครู



    [​IMG]

    มีบางคนคงสงสัยว่า ฉันเองจะต้องไปทำไม เพราะปกติข้าศึก จะไม่จับเอาผู้หญิงที่ไม่พ้นนิติภาวะ ไปเป็นเชลย จึงขอตอบว่า เหตุที่ฉันจะต้องไปเพราะ น้องของฉันทั้งสองพระองค์ เขาติดพันฉันมาก ฉันเป็นทั้งพี่จริง และพี่เลี้ยง ฉันเลี้ยงดูเขามาตั้งแต่เยาว์วัย ในคราวที่เราร่อนเร่มา อย่างเมื่อยล้า น้องคนเล็กไม่ยอมเดิน ฉันต้องอุ้มกระเตงคนเล็ก ไว้ที่เอวข้างขวา จูงคนโตด้วยมือซ้าย ตอนข้ามน้ำ ท่านยังเห็นว่าขำแท้ๆ ท่านจึงทำจำแลง แกะสลักรูปของฉันอุ้มน้อง เพื่อล้อเลียนไว้ดูเล่น ขอให้ท่านเอากลับไปด้วยนะ เอาไว้ไปดูเล่นเป็นขวัญตา และของที่เราเคารพบูชา ที่ท่านเอาเก็บไว้ ก่อนออกเดินทางกลับ คือ พระนารายณ์ และพระแม่อุมา ที่พวกเราสักการะบูชา ก็ให้ท่านเอากลับไปด้วย และของเหล่านั้น ข้าพเจ้าก็นำเอากลับมาเก็บรักษาไว้ เท่าทุกวันนี้ นี่แหละคือสักขีพยาน ในด้านรูปธรรมที่พอยืนยันได้ ....



    ทางสายธาตุเอาเรื่องราวมาจาก ((( ©͹Í¡Ã??ӹҹ?Ðʘ?Ã??х’ ))) - ?̓촍?҅Ԣ?

    ไม่แน่ใจว่าควรจะนำเนื้อหามาลงในกระทู้นี้ต่อหรือไม่เพราะสายธาตุเองก็คัดลอกมาอีกที อายเหมือนกัน ไม่ได้พิมพ์เอง ^^
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 มิถุนายน 2009
  4. Fort_GORDON

    Fort_GORDON เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2008
    โพสต์:
    286
    ค่าพลัง:
    +488
    "ทางสายธาตุเอาเรื่องราวมาจาก ((( ©͹Í¡Ã??ӹҹ?Ðʘ?Ã??х’ ))) - ?̓촍?҅Ԣ?

    ไม่แน่ใจว่าควรจะนำเนื้อหามาลงในกระทู้นี้ต่อหรือไม่เพราะสายธาตุเองก็คัดลอกมาอีกที อายเหมือนกัน ไม่ได้พิมพ์เอง ^^<!-- google_ad_section_end --> "

    -ขออนุโมทนาและขอบพระคุณในทุกเรื่องราวอันมีคุณค่ายิ่งที่คุณทางสายธาตุได้กรุณานำมาแบ่งปันเป็นวิทยาทานครับ
    อาจจะมีหลายๆท่านที่ได้เคยทราบเรื่องบ้างแล้วและก็คง
    จะเกือบลืมหรือลืมไปเกือบหมดแล้ว แต่จำนวนผู้ที่ยังไม่
    เคยได้ทราบเรื่องราวของพระองค์ท่านน่าจะมีจำนวนมากกว่ามากทีเดียวนะครับคุณทางสายธาตุ ประวัติศาสตร์
    ดูจะกล่าวถึงพระพี่นางสุพรรณกัลยาไว้น้อยมาก หนังสือของหลวงปู่โง่นก็เขียนและพิมพ์ไว้นานมากแล้ว คงจะหาอ่านกันยาก
    ฟอร์ทอยากจะคิดว่า เป็นหน้าที่ของพวกเรากระมังครับที่จะ
    ต้องหยิบยกเรื่อ่งราวของพระองค์ท่านขึ้นมาเพื่อให้อนุชน
    ไทยได้รับรู้และรับทราบพระราชภาระอันยิ่งใหญ่และพระ
    เกียรติคุณของพระองค์ท่านที่พวกเราชาวไทยสมควรจะได้
    จดจำและรำลึกถึงอย่างมิมีวันลืม
     
  5. ศรัทธา_พิสุทธิ์

    ศรัทธา_พิสุทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    138
    ค่าพลัง:
    +205
    ขออนุโมทนาค่ะ เห็นด้วยอย่างยิ่งค่ะว่าเป็นหน้าที่ของพวกเราและคนไทยทุกคนด้วยค่ะ
     
  6. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,920
    ค่าพลัง:
    +6,434
    สมัยเด็กๆ จะมีละครผู้ชนะสิบทิศ ถ้าจำไม่ผิดจะเป็นพระเอกจะเป็นคุณไชยา จำนามสกุลไม่ได้

    เล่นที่ช่อง 4 บางขุนพรหม ตอนเล็กๆสัญญายังดีล่ะมัง ตอนนั้นยังไม่เข้าประถม เห็นนักแสดงพม่าทีไร
    มือเท้าจะเย็น เหมือนคนกำลังจะเป็นลม เพราะกลัว ไม่รู้ทำไมเกิดมาก็กลัวพม่า เห็นผู้หญิง ผู้ชาย ฉากเป็นพม่าไม่ได้ กลัวมาก

    เล่าเรื่องเล็กๆน้อยๆส่วนตัวไว้ พอผ่อนคลายกันนะคะ

    เคยไปไหว้พระนเรศวร พระเอกาทศรถ พระพี่นางสุพรรณกัลยา ที่วัดวรเชษฐ์ ไปครั้งแรกต้นปีนี้
    จำได้ไปก่อนวันบวงสรวง วันอาทิตย์ที่ 11 มกราคม 2552
    เป็นเพราะต้นปีนี้อากาศยังหนาวอยู่ พอไปถึงวัด 11 โมงเช้า ยังไม่มีแดดเลย

    ไปกับพี่สะใภ้และหลานสองคน และเพื่อนบ้านอีกคน ไปถึงก็เวียนทักษิณาพระปรางค์ประธานเลย
    เพื่อถวายความเคารพสูงสุดต่อดวงพระวิญญาณพระมหากษัตริย์ผู้เกรียงไกรแห่งสยามประเทศ พระนเรศวรมหาราช
    จากนั้นก็ขึนไปวางดอกไม้ตรงชานพักขั้นแรกของพระปรางค์ จังหวะเดียวกับพายุลมหนาวหอบเข้ามาเสียงอู้ๆๆ ลมแรงมาก
    ความเชื่อส่วนตัว คิดว่าเป็นพระกฤษดาภินิหารของพระองค์ท่านที่ให้ลูกหลานดีใจว่าท่านรับรู้แล้ว สาธุ

    อยู่วัดจนเย็น เพราะไม่มีแดดเลยทั้งวัน ได้พบหลวงพ่อสิงห์ทน
    ได้รับแผ่นดุริยมนตรากลับมาฟัง อะไรๆเกิดขึ้นหลังจากวันนั้นอีกหลายอย่างเป็นอัศจรรย์

    เหลือเชื่อ แม้แต่ตัวข้าพเจ้าเองยังไม่อยากจะปลงใจเชื่อ จึงไม่เล่านะคะ ขอเก็บไว้คนเดียวก่อน
    แต่ขอยืนยันว่าบทสวดสอนเจ้ากรรมนายเวร ของพระอาจารย์ สิงห์ทน นราสโภ
    แจ๋วจริงๆ ค่ะ 55 ใช้ภาษาชาวบ้านกับพระกับเจ้าซะแล้ว แจ๋วจริงๆ

    พี่คนหนึ่งที่นับถือกันลงมาจากสุรินทร์ ไปหาหลวงพ่อแล้วได้รับแจกซีดี
    พี่คนนี้เอาไปอัดใส่ iPod เพื่อจะได้ติดตัว ฟังทุกวัน แจ๋วจริงๆค่ะพี่คนนี้

    http://palungjit.org/threads/%E0%B8%94%E0%B8%B8%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%A2%E0%B8%A1%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%B2.2430/

    เอาเสียงสวดดุริยมนตรามาฝาก เผื่อว่ามีใครผ่านไปผ่านมากระทู้นี้ สนใจนะคะ เสียงสวดมีพลังมากค่ะ

    ทางสายธาตุจะนำเรื่องของย้อนรอยกรรม พระพี่นางสุพรรณกัลยามาลงต่อให้จบ ทีละเล็กละน้อย

    เพื่อถวายสักการะแด่พระพี่นาง ผู้ได้เสียสละอย่างยิ่งอย่างที่สุด
    ต้องตัดสินพระทัยครั้งสำคัญเอาพระชนม์ชีพเข้าแลกกับความสุขของแผ่นดิน
    สมเด็จพระพี่นาง สุพรรณกัลยา

    ด้วยเกล้า ด้วยกระหม่อม ขอเดชะ
    ทางสายธาตุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 มิถุนายน 2009
  7. Fort_GORDON

    Fort_GORDON เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2008
    โพสต์:
    286
    ค่าพลัง:
    +488
    โมทนา สาธุ ครับ ฟอร์ทจะคอยติดตามไม่ให้พลาดสายตาเลยครับ ได้ลองสอบถามญาติผู้ใหญ่เกี่ยวกับละครช่อง
    4 บางขุนพรหม ทราบว่ามีละครดีๆและนักแสดงเด่นๆอยู่
    หลายท่าน เช่นคุณอารีย์ นักดนตรี คุณกนกวรรณ ด่านอุดม
    ฯลฯ ส่วนที่คุณทางสายธาตุเอ่ยชื่อ คุณไชยา นั้น คงจะ
    เป็นคุณไชยา สุริยัน พระเอกหนังไทยในยุคนั้น เสียดาย
    ฟอร์ทเกิดไม่ทัน ไม่งั้นคงจะได้มีโอกาสดูละครดีๆของทาง
    ช่อง 4 บ้างนะครับ
     
  8. ศรัทธา_พิสุทธิ์

    ศรัทธา_พิสุทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    138
    ค่าพลัง:
    +205
    พูดถึงวิกช่อง 4 บางขุนพรหม อดจะขอแจมด้วยไม่ได้
    คุณแม่ชอบดูละครช่อง 4 มากค่ะ อาจจะเป็นเพราะมี
    เพียงช่องเดียวหรือเพราะฝีมือเขาดีจริงๆไม่ทราบ ไอ้เรา
    ก็ยังเด็กก็อาศัยใบบุญผู้ใหญ่ได้ดูไปด้วย รู้สึกว่าผู้ชนะ
    สิบทิศดังมากจริงๆค่ะ ดังตั้งแต่เป็นหนังสือนิยายของ
    ยาขอบ คุณผู้ใหญ่ทั้งหลายดูจะชื่นชมกับชื่อของจะเด็ด
    มากทีเดียว ตอนนั้นคงไม่ได้คิดกันว่าไผเป็นไผดอก
    นะคะ แล้วช่อง 4 นำคุณไชยามาเล่นเป็นจะเด็ด ดูจะ
    เหมาะสมจริงๆค่ะ จำภาพได้ว่าหน้าคุณไชยาจะออกไป
    ทางขาวๆกลมๆ โพกหัวเป็นจะเด็ดแล้ว ดูจะเป็นต้นแบบ
    เลยทีเดียวค่ะ ส่วนดาราดังๆของช่อง 4 ยุคนั้น ยังมี
    กัณทรีย์ นาคประภา ฉลอง สิมะเสถียร เอ ! คลับคล้ายคลับคลาว่าคุณ สวลี ผกาพันธุ์ ก็เป็นอีกท่านหนึ่งนะคะ
     
  9. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,920
    ค่าพลัง:
    +6,434
    หากพูดถึงช่อง 4 บางขุนพรหมเมื่อไหร่ จะระลึกถึงอีกท่านหนึ่งทันที

    ผู้การ การุณย์ เก่งระดมยิง พิธีกรผู้มากความสามารถ มีคุณดำรง พุฒตาลเป็นผู้ช่วยพิธีกร

    ชอบค่ะ คุณไชยา สุริยัน หน้าขาวๆ กลมๆ แม้จะเห็นเป็นขาวดำ ก็มองออกว่าหน้าขาวอมชมพู ^^


    ก่อนจะเข้าสู่เรื่องย้อนรอยกรรม พระพี่นางสุพรรณกัลยา ขอเริ่มต้นเรื่องที่
    สงครางช้างเผือก เพราะพม่าสร้างเรื่องขอช้างเผือกมาเพื่อหาทางก่อสงครามกับไทยให้ได้
     
  10. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,920
    ค่าพลัง:
    +6,434
    สงครามช้างเผือก .....

    เมื่อปีพศ.๒๑๐๖ พระเจ้าหงสาวดีได้ส่งเครื่องราชบรรณาการ
    มาถวายสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ เพื่อจะทูลขอช้างเผือก ๒ ช้าง
    (เนื่องจากกรุงศรีอยุธยามีช้าง เผือกอยู่ ๗ ช้าง) นับว่าเป็นกลอุบาย
    เพื่อจะหาเรื่องยกทัพมาตีไทย ขุนศึกและเสนาบดี
    จึงแบ่งออกเป็นสองฝ่าย


    ฝ่ายแรกเห็นด้วยที่จะประทานช้างเผือก ๒ ช้าง
    เพื่อป้องกันการเกิดศึกสงครามเพราะว่า
    พระเจ้าหงสาวดีบุเรงนองมีความชำนาญการศึกมาก

    ฝ่ายที่สองไม่เห็นด้วยที่จะประทานช้างเผือก
    (มีพระราเมศวร พระยา จักรี พระสุนทรสงคราม)
    เพราะจะเป็นการอ่อนข้อให้ ในวันข้างหน้า
    พระเจ้าหงสา วดีจะต้องเอาไทยเป็นเมืองขึ้น

    สรุปก็คือให้หรือไม่ให้ก็จะตี

    --------------------------------------------------------------
    สมเด็จพระมหาจักรพรรดิทรงมีพระราชดำริไม่ประทานช้างเผือก
    แล้วมีพระราชสาสน์ตอบกลับไปดังนี้

    “ช้างเผือกย่อมเกิดสำหรับบุญบารมีของพระเจ้าแผ่นดินผู้เป็นเจ้าของ
    เมื่อพระเจ้าหงสาวดีได้บำเพ็ญธรรมให้ไพบูรณ์
    คงจะได้ช้างเผือกมาสู่บารมีเป็นมั่นคงอย่าได้ทรงวิตกเลย”

    และรับสั่งให้เตรียมไพร่พลพร้อมรบอย่างเข้มแข็ง
    --------------------------------------------------------------

    ทางฝ่ายพระเจ้าหงสาวดีได้ยกทัพรวมพลที่เมืองเมาะตะมะ
    จัดทัพใหญ่ออก เป็น ๕ ทัพ มีเจ้าเมืองเชียงใหม่ควบคุมกองเรือเสบียง
    ล่องลงมาถึงเมืองตาก รวมไพล่พลเป็นจำนวนประมาณ ๕ แสนคน
    --------------------------------------------------------------

    ส่วนทางอยุธยาได้เตรียมพลพร้อมรบและเรือรบจำนวนมาก
    เพื่อป้องกันการโจมตีจากทัพหลวงของหงสาวดี ทางด่านเจดีย์สามองค์

    แต่ผิดคาดพม่ายกทัพ มาทางด่านแม่ละเมา
    เข้าตีกำแพงเพชรได้เมืองแล้วแยกทัพไปตีสุโขทัย
    เนื่องด้วยทางสุโขทัยมีกำลังน้อยกว่ามาก
    แต่ก็สู้รบเป็นสามารถในที่สุดก็ถูกยึดเมือง

    จากนั้นพม่าจึงล้อมเมืองพิษณุโลก
    พระมหาธรรมราชาก็ต่อสู้เป็นสามารถเช่นกัน
    แต่เกิดไข้ทรพิษขึ้นในเมืองและเสบียงอาหารก็หมดจึงยอมจำนน


    หลังจากที่พม่าได้หัวเมืองฝ่ายเหนือแล้วจึงบังคับให้
    พระมหาธรรมราชาและเจ้าเมืองถือน้ำกระทำสัตย์
    ให้อยู่ใต้บังคับของพม่า พร้อมทั้งสั่งให้ยกทัพตามลงมา
    เพื่อตีกรุงศรีฯด้วย

    --------------------------------------------------------------

    กองทัพพม่ายกมาประชิดเขตเมืองใก้ลทุ่งลุมพลี
    พระมหาจักรพรรดิทรงให้กองทัพบก เรือ
    ระดมยิงใส่พม่าเป็นสามารถ แต่สู้ไม่ได้จึงถอย

    ทางพม่าจึงยึดได้ป้อมพระยาจักรี(ทุ่งลุมพลี)
    ป้อมจำปา ป้อมพระยามหาเสนา(ทุ่งหันตรา)
    แล้วล้อมกรุงศรีฯอยู่นาน

    พระมหาจักรพรรดิทรงเห็นว่าพม่ามีกำลังมาก
    การที่จะออกไปรบเพื่อเอาชัย คงจะยากนัก
    จึงทรงสั่งให้เรือรบนำปืนใหญ่ล่องไปยิงทหารพม่า
    เป็นการถ่วงเวลาให้ เสบียงอาหารหมดหรือเข้าฤดูน้ำหลาก
    พม่าคงจะถอยไปเอง แต่พม่าได้เตรียมเรือรบและปืนใหญ่
    มาจำนวนมากยิงใส่เรือรบไทยพังเสียหายหมด
    แล้วตั้งปืนใหญ่ยิงเข้ามา ในพระนครทุกวัน
    ถูกชาวบ้านล้มตาย บ้านเรือน วัด เสียหายมาก


    ทางพระเจ้าหงสาวดีจึงมีสาสน์มาว่า
    จะรบต่อไปหรือยอมเป็นไมตรี เนื่องด้วยทางไทยเสียเปรียบมาก
    พระมหาจักรพรรดิจึงทรงยอมเป็นไมตรี
    ทำให้ฝ่ายไทยต้องเสียช้างเผือกจาก ๒ ช้าง เป็น ๔ ช้าง
    และทุกปีต้องส่งช้างให้ ๓๐ เชือก พร้อมเงิน ๓๐๐ ชั่ง
    จับตัวพระยาจักรี ไปเป็นตัวประกัน นอกจากนี้
    ยังจะขอเก็บภาษีอากรจากเมืองมะริดที่ขึ้นกับไทยอีกด้วย


    ขณะนั้นสมเด็จพระนเรศวรทรงพระชมมายุได้ ๙ พรรษา
    ถูกนำเสด็จไปประทับที่กรุงหงสาวดีเพื่อเป็นองค์ประกันด้วย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 มิถุนายน 2009
  11. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,920
    ค่าพลัง:
    +6,434
    สมัยอยุธยา ทำไมพม่าจึงหมายปองสยามเป็นประเทศราชนัก

    อยุธยา เป็นเมืองหลวงของอาณาจักรสยามอยู่ระหว่างปี ค.ศ. 1351-1767 คือจากกลางคริสตศตวรรษที่ 14 ถึงครึ่งหลังของศตวรรษที่ 18 ก่อนที่เมืองหลวงนี้จะถูกทำลายโดยสงคราม และได้ย้ายลงมาตั้งอยู่ ณ กรุงธนบุรีและกรุงเทพฯ อยุธยาถือได้ว่าเป็นทั้งเมืองหลวงและเมืองท่า ที่เจริญรุ่งเรืองมากที่สุดเมืองหนึ่งในภูมิภาค และมีลักษณะสำคัญ 2 ประการ คือ

    ในด้านหนึ่ง อยุธยาเป็นเมืองหลวงที่มีพื้นฐานอยู่กับภาคพื้นแผ่นดิน คือมีความอุดมสมบูรณ์ด้วยข้าว อาหารจากสัตว์และปลา และผลผลิตทางการเกษตร ตลอดจนผลิตภัณฑ์จากป่า ซึ่งมีลักษณะคล้ายคลึงกับอาณาจักรโบราณในแถบนี้ ที่รุ่งเรืองและมีมาก่อนหน้า เช่น พุกาม อังกอร์ และชวากลางเป็นต้น

    ในอีกด้านหนึ่ง อยุธยาก็เป็นเมืองหลวง ที่มีสถานที่ตั้งที่ทำให้มีฐานทางทะเล อยู่ในเส้นทางการค้าหลักของเอเชีย เป็นศูนย์กลางของการค้า การแลกเปลี่ยนสินค้า ดังเช่นอาณาจักรทางทะเลก่อนหน้านั้น เช่น ฟูหนาน ศรีวิชัย หรือในระยะเวลาเดียวกัน เช่น มะละกา ฮอยอัน บันเทน-ปัตตาเวีย มะนิลา




    <CENTER class=mosimage style="BORDER-TOP-WIDTH: 0px; BORDER-LEFT-WIDTH: 0px; BORDER-BOTTOM-WIDTH: 0px; BORDER-RIGHT-WIDTH: 0px">[​IMG] </CENTER><CENTER class=mosimage_caption style="BORDER-TOP-WIDTH: 0px; BORDER-LEFT-WIDTH: 0px; BORDER-BOTTOM-WIDTH: 0px; TEXT-ALIGN: center; BORDER-RIGHT-WIDTH: 0px">Manila-Acapulco Galleon</CENTER><CENTER class=mosimage_caption style="BORDER-TOP-WIDTH: 0px; BORDER-LEFT-WIDTH: 0px; BORDER-BOTTOM-WIDTH: 0px; TEXT-ALIGN: center; BORDER-RIGHT-WIDTH: 0px"></CENTER>
    อยุธยา สถาปนาขึ้นมาในยุคเดียวกับการเกิดใหม่ของราชวงศ์หมิงในประเทศจีน (Ming Dynasty 1368-1644) และด้วยนโยบายของราชสำนักของจักรพรรดิหมิง ที่ให้ความสนใจต่อดินแดนทางบกภาคพื้นดินด้านทิศเหนือของตน การย้ายเมืองหลวงจากนานกิงไปปักกิ่ง

    การไม่ให้ความสำคัญกับภาคพื้นทะเลและกับระบบการค้าอย่างเป็นทางการของรัฐ ก็ทำให้การค้าของเอกชนชาวจีนรุ่งเรืองขึ้นมาแทน ในขณะเดียวกันบรรดาอาณาจักรต่างๆในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อาทิเช่น มะละกา อยุธยา และเวียดนาม ก็สามารถเข้ามาทำการค้าขาย ทำการส่งสินค้าเข้าและออก

    (โดยอิงกับระบบบรรณาการจิ้มก้องของจีน Tributary System) แลกเปลี่ยนถ่ายเทสินค้ากันในช่วงที่มีความเจริญรุ่งเรืองเป็นอย่างมากในคริสต์ศตวรรษที่ 15 และ 16 รวมทั้งในระยะเวลาต่อจากนั้นด้วย ดังที่รู้จักกันในนามของ Age of Commerce ในเอเชีย



    สถานการณ์ของการค้าขายของเมืองท่าในยุคนั้น ก็ยังตรงกับยุคสมัยที่ชาวยุโรปจำนวนมากได้หลั่งไหลเข้ามา เพื่อเก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากการค้าเครื่องเทศ และผ้าแพรไหม กับเครื่องสังคโลกอีกด้วย นี่เป็นยุคของ The Age of Discovery ของโปรตุเกส สเปน ฮอลันดา อังกฤษ ฯลฯ ที่ต่างก็ตั้งสิ่งที่เรียกว่า Seaborne Empires คือ ยึดเมืองท่าและตั้งให้เป็นสถานีการค้าของตนจากอินเดีย ข้ามทะเลอันดามัน มาสู่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ยึดได้จากมะละกา ถึงปัตตาเวีย ถึงมะนิลา เพื่อติดต่อไปยังจีน เกาหลี ริวกิว และญี่ปุ่น รวมทั้งข้ามมหาสมุทรปาซิฟิคไปยังลาตินอเมริกาด้วย




    ในแง่ของภาคพื้นดินหรือทางบกนั้น อยุธยาได้แสดงแสนยาภาพขยายอาณาเขตของตนขึ้นไปยึดครองอาณาจักรสุโขทัยทางทิศเหนือ พยายามเข้าไปรุกรานในล้านนา กับทั้งยังได้พิชิตอาณาจักรพระนครหลวง ของกัมพูชาทางทิศตะวันออก รวมทั้งในบริเวณที่ราบสูงโคราชอีกด้วย

    และจากการที่ได้คุมผืนแผ่นดินอย่างกว้างขวางนี้ ก็ทำให้อยุธยาสามารถคุมและมีผลิตผลทางการเกษตร เช่น ข้าว อาหารแห้ง ของป่า ไม้ราคาแพงที่เป็นที่ต้องการของตลาดภายนอก เช่น ไม้ฝาง ไม้หอม หนังสัตว์ เช่น กวาง เขาสัตว์และงาช้าง



    ดังนั้น ในทางภาคพื้นทะเล อยุธยาก็ขยายแสนยานุภาพของตน เข้าไปควบคุมชายฝั่งทะเลจากด้านที่ติดกัมพูชา คือ เมืองจันทบุรี ข้ามมายังด้านของเพชรบุรี เมืองกุย (ประจวบ) ไล่ลงไปยังศูนย์กลางสำคัญ คือ นครศรีธรรมราช จนถึงปัตตานี และในบางสมัยก็พยายามข้ามเลยไปยังทะเลฝั่งตะวันตก คือ ทางด้านอันดามัน เพื่อควบคุมทวาย มะริด ตะนาวศรี ในดินแดนของมอญและพม่า และพยายามคุมใต้ลงไปอีกถึงยังรัฐเคดะห์ ตลอดจนมะละกาในแหลมมลายูอีกด้วย



    กล่าวโดยย่อ อยุธยาได้เข้ามาแทนที่อาณาจักรเก่า เช่น ฟูหนานและเจนละ (Funan-Chenla) หรือแม้แต่ศรีวิชัย โดยการควบคุมทะเลและเส้นทางการค้าระหว่างโลกด้านตะวันออกและตะวันตก ระหว่างทะเลจีนตอนใต้กับมหาสมุทรอินเดีย สามารถเก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากการค้าเครื่องเทศ (โดยเฉพาะอย่างยิ่งพริกไทย) และการค้าผ้าแพรไหมกับเครื่องสังคโลกกับจีน ญี่ปุ่น และริวกิว รวมทั้งยังได้นำเข้าโลหะเงิน เมื่อการค้าของโลกเอเชียได้ถูกผนวกเข้ากับสิ่งที่เรียกว่า Manila-Acapulco Galleon Trade ที่ข้ามมหาสมุทรแปซิฟิคไปยังเม็กซิโกในลาตินอเมริกา (ก่อนที่จะข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกไปยังสเปนอีกด้วย)



    ดังนั้น ในความเป็นเมืองท่าของอยุธยา ก็เป็นผลพลอยได้มาจากสถานที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ บนเส้นทางของการค้าโบราณของเอเชียนั่นเอง สามารถทำการค้าส่งออกและนำเข้า กลายเป็นจุดแลกเปลี่ยน (export-import goods)

    และที่น่าสนใจยิ่งก็คือการใช้ลูกเรือจีน วิชาความรู้และเทคนิคของเรือจีน หรือ สำเภา (junks) เป็นหลักในการทำการค้าทางทะเล รวมทั้งมีการจัดระบบของการค้าในรูปของการผูกขาดของรัฐ/หลวง/กษัตริย์ (state-royal monopoly of trade) การเก็บภาษีอากรเป็นผลิตภัณฑ์ เช่น “ร้อยชักสิบ” หรือ 10 % ของสินค้านำเข้า

    และในของส่วนสินค้าที่จะส่งออก ก็เป็นการเก็บภาษีมาในรูปของ “ส่วย” ไม่ว่าจะเป็นข้าวปลาอาหาร หรือของป่า และก็มีการตั้งตำแหน่งของหน่วยงานราชการที่ดูแลเรื่องของการผูกขาดการค้าทางทะเลนี้ เช่น จัดตั้งกรมพระคลัง (สินค้า) หรือ กรมท่า มีการแบ่งเป็นกรมท่าซ้าย กรมท่าขวา เป็นต้น

    ระบบการค้าผูกขาดของรัฐ/หลวง/กษัตริย์นี้ ได้ดำเนินสืบทอดกันมาจนสมัยธนบุรี/กรุงเทพฯ ก่อนที่จะมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในสมัยรัชกาลที่ 4 (1851-1868) และที่ 5 (1868-1910)




    เพราะอยุธยาร่ำรวย รุ่งเรืองมากนั่นเอง จึงเป็นที่หมายปองนัก มีย่านการค้าใหญ่ งดงาม คึกคัก อยู่ในเกาะเมือง เรือสำเภา เรือฝรั่ง จอดทอดสมอกันเต็มลำน้ำเจ้าพระยา แม้จะอยู่ในยามสงคราม การค้าระหว่างประเทศก็ดำเนินไปมิได้หยุด
    อาณาจักรนี้จึงเป็นศูนย์กลางการค้าของภูมิภาคแถบนี้เลยในสมัยนั้น หรือแม้แต่ในสมัยนี้ก็ตาม ไทยเราก็ยังเป็นศูนย์กลางของย่านนี้อยู่จริงไหมคะ

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 มิถุนายน 2009
  12. ศรัทธา_พิสุทธิ์

    ศรัทธา_พิสุทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    138
    ค่าพลัง:
    +205
    ....ส่วนทางอยุธยาได้เตรียมพลพร้อมรบและเรือรบจำนวนมาก
    เพื่อป้องกันการ
    โจมตีจากทัพหลวงของหงสาวดี ทางด่านเจดีย์สามองค์


    แต่ผิดคาดพม่ายกทัพ มาทางด่านแม่ละเมา
    เข้าตีกำแพงเพชรได้เมืองแล้วแยกทัพไปตีสุโขทัย
    เนื่องด้วยทางสุโขทัยมีกำลังน้อยกว่ามาก
    แต่ก็สู้รบเป็นสามารถในที่สุดก็ถูกยึดเมือง .....

    -แสดงว่าการข่าวของเราในครั้งกระโน้นคงผิดพลาดนะคะ
    คงยังไม่รู้เขารู้เราเลยถูกพม่าบุกเข้ามาถึงอยุธยา
     
  13. ศรัทธา_พิสุทธิ์

    ศรัทธา_พิสุทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    138
    ค่าพลัง:
    +205
    "...อาณาจักรนี้จึงเป็นศูนย์กลางการค้าของภูมิภาคแถบนี้เลยในสมัยนั้น หรือแม้แต่ในสมัยนี้ก็ตาม ไทยเราก็ยังเป็นศูนย์กลางของย่านนี้อยู่จริงไหมคะ..."

    -ชัดเจนเลยค่ะ นี่ถ้าเราสามารถขุดคอคอดกระได้เมื่อไหร่ล่ะก็ เมื่อนั้น
    ...เลยค่ะ โครงการถึงได้มีอันต้อง
    ล้มไปทุกครั้ง?


    <!-- google_ad_section_end -->
     
  14. Fort_GORDON

    Fort_GORDON เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2008
    โพสต์:
    286
    ค่าพลัง:
    +488
    "เราจำเป็นต้องเรียนรู้ประวัติศาสตร์ เพราะประวัติศาสตร์

    จะสอนเรา...."

    จำได้ว่าคุณครูท่านหนึ่งเคยสอนไว้นานแล้ว ทันทีที่อ่าน

    ข้อเขียนของคุณพี่ทางสายธาตุ และคุณพี่ศรัทธา_พิสุทธิ์

    ก็พลันนึกขึ้นมาได้เลยครับ ขอขอบคุณสำหรับข้อเขียน

    ดีๆครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 มิถุนายน 2009
  15. จงรักภักดี

    จงรักภักดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,229
    ค่าพลัง:
    +2,466
    -อนุโมทนากับคุณฟอร์ท ครับ ประวัติศาสตร์เป็นครูสอนเราจริงๆ เริ่มต้นแผนสงครามช้างเผือก บุเรงนองก็ใช้วิธีแหย่ให้
    คนไทยเราเริ่มแตกแยกกันเอง ดังที่คุณทางสายธาตุได้กรุณาร้อยเรียงไว้ ต้องขออนุญาตตัดตอนมากล่าวถึง...
    "นับว่าเป็นกลอุบาย
    เพื่อจะหาเรื่องยกทัพมาตีไทย ขุนศึกและเสนาบดี

    จึงแบ่งออกเป็นสองฝ่าย


    ฝ่ายแรกเห็นด้วยที่จะประทานช้างเผือก ๒ ช้าง
    เพื่อป้องกันการเกิดศึกสงครามเพราะว่า
    พระเจ้าหงสาวดีบุเรงนองมีความชำนาญการศึกมาก

    ฝ่ายที่สองไม่เห็นด้วยที่จะประทานช้างเผือก
    (มีพระราเมศวร พระยา จักรี พระสุนทรสงคราม)
    เพราะจะเป็นการอ่อนข้อให้ ในวันข้างหน้า
    พระเจ้าหงสา วดีจะต้องเอาไทยเป็นเมืองขึ้น ..."


    -ทุกท่านก็คงจะพอเข้าใจและมองภาพออกกันแล้วนะครับ อยุธยาเข้มแข็งนักก็วางแผนหาเหตุให้ทะเลาะกันเสีย เมื่อแตกแยกกันแล้วจะคิดอ่านทำอะไรต่อไปก็คงจะง่ายเข้า
    พระเจ้าบุเรงนองนั้นเป็นทั้งนักวางแผนและนักการทหารชั้นยอด
    เรามาติดตามคุณทางสายธาตุกันต่อไปดีกว่าครับ

    .........................................................

    ไทยรวมกำลังตั้งมั่น จะสามารถป้องกันขันแข็ง
    ถึงแม้ว่าศัตรูผู้มีแรง มายุทธ์แย้งก็จะปลาตไป
     
  16. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,920
    ค่าพลัง:
    +6,434
    พระราชมารดาแห่งมหาราช

    คัดมาจากหนังสือ .. " วาระสุดท้ายและสิ่งที่เป็นอมตะของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช อยู่ที่ไหน...? "
    เรียบเรียงโดย พลตรี พิจิตร ขจรกล่ำ และคณะ (หน้า 126-127) ย่อหน้าสุดท้าย

    เช้าวันต่อมาก่อนเสด็จไปเมืองสุโขทัย ได้เสด็จไปที่สระน้ำหลังพระราชวังจันทน์ แล้วเล่าให้มุขมนตรีฟังว่าเคยเล่นว่ายน้ำกับพระเชษฐาธิราชที่นี่กับเด็กๆลูกข้าหลวงซึ่งเป็นเพื่อนกัน ถ้าวันใดมาว่ายน้ำเล่น พระเชษฐาธิราชก็จะขอร้องให้พระราชมารดาทำขนมมาแจกเพื่อนๆและหุงหาอาหารมากินด้วยกัน

    ด้วยพระราชมารดาก็เมตตาทำให้ทุกครั้ง พระราชมารดาสอนว่าคนเราต้องมีเพื่อน ท่านสอนว่ากำลังคนเพียงคนเดียวไม่สามารถผลักขอนไม้ให้กลิ้งได้แต่หากร่วมมือกันหลายๆคน ก็อาจผลักขอนไม้ใหญ่ให้กลิ้งได้ ฉันใดก็ดี การรบทัพจับศึกก็ต้องมีเพื่อนเป็นนักรบด้วยกัน ต้องรู้ใจกันตั้งแต่วัยเยาว์ ดังนั้นเด็กๆในเมืองพิษณุโลกในวัยใกล้เคียงกันจึงเป็นเพื่อนพระเชษฐาธิราชกันหมดทุกคนและได้เข้ามาเรียนหนังสืออักษรธรรมกับปู่ครู และเรียนขี่ม้า รำดาบ รำทวน กันตั้งแต่เล็กๆ

    พระราชมารดามักจะโปรดให้พระธิดาและพระโอรสเข้าไปสอนในเวลาค่ำ ซึ่งพระราชบิดาก็จะมานั่งอยู่ด้วยเสมอ ทรงสอนให้ได้รู้ถึงภัยคุกคามของพระราชอาณาจักร กับความรับผิดชอบต่อประชาชน หากเกิดข้าศึกมาประชิดเมืองขึ้นแล้ว ต้องต่อสู้ทุกคน ไม่ว่าชายหรือหญิงก็ต้องช่วยกัน เพราะโอกาสตายมีเท่าๆกัน โดยไม่เลือกชนชั้นและเป้าหมายหลักของข้าศึกก็คือบุคคลระดับผู้นำของชาติหรือของเมืองนั้นๆ

    ลูกๆ ทุกคนในฐานะผู้นำ ต้องพยายามฝึกฝนตนเองให้มีความรู้ในศิลวิทยาทุกแขนงและมีความสามารถในการใช้อาวุธ ใช้คน การใช้คนนั้นต้องมีเมตตาธรรม ไม่ใช่ปกครองแบบทารุณกรรม วันหนึ่งผู้คนที่ทนการข่มเหงไม่ไหวก็จะลุกขึ้นมาก่อการและจับฆ่าทิ้งเสีย

    ดังเช่นพระเจ้ากรุงหงสาวดีที่ชื่อพระเจ้าสุวรรณเอกฉัตร (ตะเบงชะเวตี้) ผู้เป็นราชบุตรของมังกินโย ซึ่งเคยยกทัพมาล้อมกรุงศรีอยุธยา จนทำให้คนไทยต้องสูญเสียพระสุริโยทัยและพระบรมดิลก เขาก่อกรรมทำเข็ญแก่คนไทย ในบั้นปลายแห่งชีวิตก็เสียพระสติ กรรมเวรที่เขาเคยก่อขึ้นตามมาทันให้เห็นในขณะยังมีชีวิตอยู่ ในที่สุดก็ถูกองครักษ์เข้าลอบปลงพระชนม์ระหว่างการเสด็จประพาสป่า ในขณะที่ทรงถ่ายทุกข์ ถูกฟันในดาบเดียวพระเศียรขาดกระเด็นออกจากพระวรกาย พระโลหิตพุ่งกระจายแดงฉาน พระโลหิตก็ส่งกลิ่นคาวคละคลุ้งไปทั่งบริเวณและสวรรคตในกลางป่า

    ลูกๆ จึงต้องเรียนรู้ในหลักพิชัยสงคราม มีความพร้อมและตื่นตัว สดับข่าวสารต่างเมืองตลอดเวลา แลพิจารณาให้ถ่องแท้ด้วยข่าวสารจะเป็นสิ่งบอกเหตุให้ได้ทราบถึงเหตุอันจะเกิดขึ้นในกาลเบื้องหน้า ลุกของพ่อและแม่ทุกคนต้องแสดงความกล้าหาญ นำทหารเข้าสู่สมรภูมิ ไม่ใช่ทำตัวแบบเต่าหดศีรษะอยู่แต่ในกระดอง ทุกสิ่งต้องแลกด้วยชีวิต ไม่ใช่ได้มาด้วยการนั่งเสวยสุข แต่อยู่บนความทุกข์ของประชาชน

    ที่ถูกที่ควรนั้นต้องแบกทุกข์ของประชาชนและปัดเป่าทุกข์นั้นให้ได้ แม้จะได้เพียงเล็กน้อย ทุกข์นั้นก็จะเบาบางลง ประชาชนจะอยู่เย็นเป็นสุข พ่อและแม่นี้แม้จะตายจากลูกๆ ไปแล้วก็จะมีความสุขด้วย หากลูกปฎิบัติตนได้อย่างที่แม่กล่าวสอนนี้แล้วไซร้ ลูกของแม่ทั้งสามจึงสมควรเป็นลูกเป็นหลานของพระมหากษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยา



    แม้ไม่อยู่ในพงศาวดารแต่ทางสายธาตุก็อ่านหมด นำมาประกอบเพื่อให้เข้าใจน้ำพระทัยเสียสละของทุกพระองค์
     
  17. ศรัทธา_พิสุทธิ์

    ศรัทธา_พิสุทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    138
    ค่าพลัง:
    +205
    ขออนุโมทนาค่ะ

    ขอแทรกด้วยข่าวมุทิตาจิตต่อพระอาจารย์ปารมี เผื่อท่านใด
    จะเคยเป็นลูกศิษย์ของท่านจะได้ไม่พลาดค่ะ
    "พระอาจารย์ปารมี สุรยุทโธ เจ้าอาวาสวัดพุทธธรรมสถาน
    ผาซ่อนแก้ว เขาค้อ เพชรบูรณ์ ได้รับสมณศักดิ์พระฐานานุกรมเป็นพระครูสังฆรักษ์ คณะศิษยานุศิษย์ขอเชิญร่วมแสดงมุทิตาจิตในวันเสาร์ที่ 27 มิถุนายน นี้ค่ะ"
     
  18. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,920
    ค่าพลัง:
    +6,434
    เสียกรุงครั้งแรก

    ปีพศ. ๒๑๑๒ ในรัชกาลสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ พม่าผู้รุกรานยังพยายามจะตีไทยให้ได้ จากพงศาวดารได้กล่าวไว้ว่า
    ถึงแม้บุเรงนองจะเก่งในการศึก แต่ไม่เคยรบชนะไทยด้วยการนำทหารเข้าประจันบานเลย แต่จะใช้เล่ห์เหลี่ยมและอุบาย ต่างๆ
    เข้าช่วยเสมอ จึงใช้วิธีทำให้ไทยแตกแยกเป็น ๒ ฝ่าย โดยพม่ายกพระมหาธรรมราชาให้เป็นใหญ่ทางเหนือ
    หลังจากพระมหาจักรพรรดิทรงเสด็จออกผนวช พระมหินทราธิราชขึ้นครองราชย์และทรงคิดกำจัดพระมหาธรรมราชา
    จึงส่งสาสน์ ไปถึงพระไชยเชษฐาผู้ครองกรุงศรีสัตนาคนหุตให้ยกทัพมาตีพิษณุโลก ทางพระมหาธรรมราชาจึงขอทหาร
    จากเมืองหงสาวดีและกรุงศรีฯขึ้นมาช่วยป้องกันเมือง พระมหินทร์ฯทรงแกล้งส่งพระยาสีหราชเดโชยกทัพไปช่วย
    แท้จริงแล้วให้ร่วมกับ ทัพพระไชยเชษฐาตีพิษณุโลก แต่ว่าพระยาสีหราชเดโชแปรพักไปเข้ากับพระมหาธรรมราชา
    แล้วทูลความจริงให้ทราบ พระมหาธรรมราชาจึงรับสั่งป้องกันเมืองไว้ ประจวบเหมาะกองทัพหงสาวดียกมาช่วยทัน
    กองทัพพระไชยเชษฐาจึงถอยกลับเวียงจันทร์
    ---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
    เมื่อเหตุการณ์เริ่มบานปลาย พระมหาจักรพรรดิทรงลาผนวช แล้วเสด็จขึ้นครองราชย์อีกครั้ง ทรงยกทัพขึ้นมาเมืองพิษณุโลก
    รับพระวิสุทธิกษัตรีพร้อมด้วยโอรส ธิดาของ พระมหาธรรมราชา(ขณะนั้นอยู่กรุงหงสาวดี) ลงมาเป็นองค์ประกันอยู่ที่กรุงศรีอยุธยา
    ---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
    ทางพระมหาธรรมราชาเมื่อทราบว่าพระอัครชายาและโอรสธิดาถูกจับเป็นองค์ ประกันก็ทรงวิตกยิ่งนัก
    แล้วรีบส่งสาสน์ไปยังพระเจ้าหงสาวดีให้ยกทัพมาตีกรุงศรีอยุธยารวมทั้งหมด ๗ ทัพ มีกำลังพลร่วม ๕ แสนคน
    ยกทัพมาทางด่านแม่ละเมาเข้าเมืองกำแพงเพชร ฝ่ายกรุงศรีอยุธยาเมื่อทราบว่าหัวเมืองทางเหนือเป็นของพม่าแล้ว
    จึงเตรียมรบอยู่ที่พระนคร นำปืนนารายณ์สังหารยิงไปยังกองทัพพระเจ้าหงสาวดีที่ตั้งอยู่บริเวณทุ่งลุมพลี ถูกทหาร ช้าง ม้า
    ล้มตายจำนวนมาก พม่าจึงถอยทัพมาตั้งที่บ้านพราหมณ์ให้พ้นทางปืน แล้วพระเจ้าหงสาวดีจึงเรียกประชุมการศึก
    ---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

    พระมหาอุปราชเห็นสมควรให้ยกทัพเข้าตีไทยทุกด้านเพราะมีกำลังมากกว่า แต่พระเจ้าหงสาวดีไม่เห็นด้วยเพราะกรุงศรีอยุธยา
    มีทำเลดี มีน้ำล้อมรอบ จึงสั่งให้ตีเฉพาะ ด้านตะวันออก
    เพราะคูเมืองแคบที่สุด พม่าพยายามจะทำสะพานข้ามคูเมืองแต่ ถูกทหารไทยยิงตายเป็นจำนวนมาก ( ศพแล้วศพเล่าที่นำดินมาถมสะพาน )

    ---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

    ระหว่างการสงคราม สมเด็จพระมหาจักรพรรดิทรงประชวรและสวรรคต ในเวลาต่อมา พระเจ้าหงสาวดีได้โอกาส
    จึงสั่งให้ทหารเข้ามาตีพระนครด้านตะวันออก พร้อมๆกัน ฝ่ายไทยมีพระมหาเทพนายกองรักษาด่านอย่างเต็มสามารถ
    ทำให้พม่าล้มตายจำนวนมาก จึงถอยข้ามคูกลับไป ไม่ได้ด้วยฝีมือต้องใช้เล่ห์กล พระเจ้าหงสาวดีจึงถามพระมหาธรรมราชาว่า
    จะทำอย่างไรให้ชนะศึกโดยเร็ว

    ---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

    พระมหาธรรมราชาทรงแนะว่าพระยารามเป็นแม่ทัพ สำคัญให้ได้ตัวมาการยึดพระนครจักสำเร็จ จึงมีสาสน์มาถึงพระอัครชายาว่า
    .... การศึกเกิดจากพระยารามที่ยุยงให้พี่น้องต้องทะเลอะกัน ถ้าส่งตัวพระยารามมาให้พระเจ้าหงสาวดีจะยอมเป็นไมตรี
    ทางสมเด็จพระมหินทร์ฯ ทรงอ่านสาสน์แล้ว ปรึกษากับข้าราชการต่างๆจึงเห็นสมควรสงบศึกเพราะผู้คนล้มตายกันมากแล้ว
    สมเด็จพระมหินทร์ฯทรงรับสั่งให้ส่งพระสังฆราชออกไปเจรจาและส่งตัวพระยาราม ให้พระเจ้าหงสาวดี(บุเรงนอง)เพื่อเป็นไมตรี

    แต่พระเจ้าหงสาวดีตบัตสัตย์ไร้สัจจะวาจาไม่ยอมเป็นไมตรี แต่กลับบอกว่าจะต้องยอมแพ้และเป็นเชลย
    ทำให้สมเด็จพระมหินทร์ฯทรงพิโรธโกรธแค้นในการกลับกลอกของบุเรงนองอย่างมาก

    ทรงรับสั่งให้ขุนศึกทั้งหลายรักษาพระนครอย่างเข้มแข็ง ทางฝ่ายพม่าก็เห็นว่างานนี้ก็ยัง ตีกรุงศรีอยุธยาไม่ได้
    จึงส่งพระมหาธรรมราชามาเกลี้ยกล่อมให้ยอมแพ้ แต่ถูกทหารไทยเอาปืนไล่ยิงจนต้องหนีกลับไป
    ด้วยความเจ้าเล่ห์ของพระเจ้าหงสาวดีจึงคิดอุบายจะใช้เจ้าพระยาจักรีที่จับตัวได้ ตอนสงครามช้างเผือกเป็นใส้ศึก

    อนิจจา..พระยาจักรียอมเนรคุณแผ่นดินไทยยอม เป็นใส้ศึกให้พม่า

    โดยวางแผนจำคุกพระยาจักรีในค่ายด้านตะวันออก
    แล้วแกล้งปล่อยให้หนีในตอนกลางคืน(มีเครื่องพันธนาการโซ่ล่ามมาด้วย) รุ่งเช้าพม่าทำทีเป็นตามหาแต่ไม่พบ
    เลยจับตัวผู้คุมมาตัดหัวเสียบไว้ริมแม่น้ำเพื่อให้ไทยหลงกล สมเด็จพระมหินทร์ฯทรงดีพระทัยที่พระยาจักรีหนีมาได้
    จึงทรงแต่งตั้งให้เป็นผู้บังคับบัญชาการรบแทนที่พระยาราม แผนชั่วร้ายจึงเริ่มขึ้น

    ---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

    พระยาจักรีได้ใส่ร้ายให้พระศรีสาวราชว่าเป็นกบฏจึงถูกสำเร็จโทษ นอกจากนี้
    พระยาจักรียังได้ย้ายแม่ทัพที่รบเก่งๆเอาไปไว้ในตำแหน่งที่ไม่สำคัญทำให้การป้องกันพระนคร เริ่มอ่อนแอ
    แผนชั่วร้ายได้ดำเนินมา ๒ เดือนเมื่อเห็นว่าได้เวลาอันควรพระยาจักรีจึงให้สัญญาณแก่พม่าเข้าตีกรุงศรีอยุธยาทุกด้าน
    ในที่สุดไทยจึงเสียกรุงแก่พม่าเพราะมีใส้ศึกคนขายชาติ (มิได้เสียกรุงเพราะ ความสามารถทางการรบ )
    รวมเวลาที่พม่าล้อมกรุงศรีฯเอาไว้ ๙ เดือน

    คนทรยศต่อแผ่นดินยังมี พระยาพลเทพอีกหนึ่งคน ตามคำบอกกล่าวของ ชาวกรุงเก่าว่า
    “ เมื่อพระเจ้ากรุงศรีฯเห็นว่าทัพเริ่มแตกจึงรับสั่งให้ทหารปิด ประตูเมืองและรักษาหน้าที่เชิงเทินเอาไว้ให้มั่น ต่ทางพระยาพลเทพผู้ทรยศ
    ได้แอบส่งอาวุธ เสบียงอาหารให้พม่า พร้อมทั้งรับปากว่าจะเปิดประตูเมือง ทางด้านตะวันออกให้เมื่อพม่าบุกเข้าตี


    ไทยทะเลาะกันเองเมื่อไร เมื่อนั้นเราก็จักอ่อนแอ เราชาวไทยเจ็บปวดกับอดีตที่เสียกรุงมากเพียงใด
    โดยเฉพาะตอนเสียกรุงครั้งที่สอง ยิ่งเจ็บพวกเราก็ต้องยิ่งรักและสามัคคีกันให้มากเพียงนั้น
    เหมือนที่องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงให้พระบรมราโชวาทให้เราชาวไทย รู้รักสามัคคี

     
  19. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,920
    ค่าพลัง:
    +6,434
    พระพี่นางสุพรรณกัลยาทรงแลกองค์เองพระอนุชาธิราช

    หลังจากที่ไทยได้เสียกรุงแก่พม่าแล้ว (หลังจากพระมหาจักรพรรดิสวรรคต ๕ เดือน)
    พระเจ้าหงสาวดี(บุเรงนอง)ได้ให้พระมหาธรรมราชาปกครองกรุงศรีอยุธยา ซึ่งขึ้นต่อกรุงหงสาวดี
    -------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

    การรบครั้งนั้นถึงแม้จะชนะแต่พม่าก็เสียไพล่พลเป็นจำนวนมากมาย
    จึงกวาดต้อนชาวเมืองไปเป็นเชลยจำนวนมากเหลือไว้เพียง ๑๐๐๐ คน
    ส่วนสมเด็จพระมหินทร์ฯและพระญาติรวมทั้งข้าราชการได้ถูกนำตัวไปไว้ยังเมืองหงสาวดี
    แต่สมเด็จพระมหินทร์ฯทรงประชวรและสวรรคตระหว่างทาง
    พระมหาธรรมราชาได้ขอสมเด็จพระนเรศวรเพื่อมาช่วยราชการ
    ขณะนั้นพระองค์ มีพระชนมายุ ๑๕ พรรษา
    -------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

    พระเจ้าบุเรงนองยินยอมแต่ต้องแลกกลับพระสุพรรณกัลยาณีซึ่งเป็นพระพี่นางสมเด็จพระนเรศวร
    โดยนำไปเป็นพระชายาและองค์ประกันแทน
    ทางด้านพระยาจักรีผู้ทรยศ ในพงศาวดารได้กล่าวว่า
    พระเจ้าบุเรงนองได้ให้เป็นเจ้าเมืองพิษณุโลก แต่ทางพระยาจักรีไม่ต้องการ จะขอไปรับราชการที่กรุงหงสาวดี
    ฝ่ายบุเรงนองเลี้ยงพระยาจักรีไว้ไม่นานเพราะว่าพระยาจักรีทรยศแม้กระทั่งแผ่นดินเกิด
    จึงพาลหาข้อผิดกล่าวโทษเพื่อประหารชีวิตเสีย

    ( นี่เป็นกรรมตามสนองในครั้งที่พระยาจักรีให้ร้ายพระศรีสาวราชน้องยาเธอ จนถูกสำเร็จโทษ )
    -------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

    กรุงศรีฯตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบและอ่อนแอกว่าพม่ามาตั้งแต่สงครามช้างเผือกปี พ.ศ. 2106 จนถึงปี 2112 จึงเสียกรุงฯ

    ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2106 นั่นคือ 6 ปีก่อนเสียกรุง กรุงศรีฯก็ต้องส่งช้างอย่างน้อย 180 เชือก
    เงินอีก 1,800 ชั่งโดยประมาณ เพื่อไปบรรณาการพระเจ้าบุเรงนอง

    จนกระทั่งเมื่อเสียกรุงฯครั้งที่ 1 แล้วนั้น พม่าได้กวาดทรัพย์สิน เชลย ช้าง ม้า
    ไปอีกมากจนแทบจะไม่เหลืออะไร เหลือคนไว้เพียง 1,000คน

    กรุงศรีฯในเวลานั้นไม่อยู่ในสภาพที่จะต่อรองอะไรได้

    สมเด็จพระนเรศวรทรงประสูตรปีพ.ศ. 2098 ดังนั้นเมื่อตอนเสียกรุง
    พระองค์ท่านทรงมีพระชนมายุเพียง 15 ชันษา ยังอ่อนเยาว์เกินกว่าจะต่อกรกับพระเจ้าบุเรงนอง
    พระพี่นางสุพรรณกัลยาประสูตรเมื่อ พ.ศ. 2095 ขณะนั้นพระพี่นางทรงมีพระชนมายุ 18 ชันษาและทรงพระสิริโฉม
    พระพี่นางจึงต้องตัดสินพระทัยครั้งยิ่งใหญ่และสำคัญ เพราะไม่มีทางอื่นให้ท่านทรงเลือกแล้ว
    ท่านต้องทรงแลกพระองค์เองกับพระอนุชาคือสมเด็จพระนเรศวรมหาราช

    ยังมีเกล็ดประวัติศาสตร์เกี่ยวกับการเมืองไทยภายใน ครั้งเมื่อสมเด็จพระนเรศวรทรงหนีจากหงสาวดีมากรุงศรีฯแล้ว
     
  20. Fort_GORDON

    Fort_GORDON เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2008
    โพสต์:
    286
    ค่าพลัง:
    +488
    "...ไทยทะเลาะกันเองเมื่อไร เมื่อนั้นเราก็จักอ่อนแอ เราชาวไทยเจ็บปวดกับอดีตที่เสียกรุงมากเพียงใด
    โดยเฉพาะตอนเสียกรุงครั้งที่สอง ยิ่งเจ็บพวกเราก็ต้องยิ่งรักและสามัคคีกันให้มากเพียงนั้น
    เหมือนที่องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงให้พระบรมราโชวาทให้เราชาวไทย รู้รักสามัคคี..."

    -ขออนุโมทนาครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...