ศาสนาพุทธ...ห้ามกินเจหรือ

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย อธิมุตโต, 30 กันยายน 2008.

  1. TaeyoLySiS

    TaeyoLySiS เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    383
    ค่าพลัง:
    +278
    บางที การ อ่านระหว่างบรรทัด หรือการอ่านเพียงบางส่วน
    อาจทำให้เกิดความเข้าใจเจตนาในคำสอนคลาดเคลื่อน
    และเกิดข้อสรุปที่คลาดเคลื่อนจากเจตนาเดิมของผู้ใ้ห้คำสอนไปได้


    ตามความเข้าใจของข้าพเจ้า ณ ปัจจุบัน
    จากการอ่านบทความต่างๆ เกี่ยวกับการกินเจ มังสวิรัติ และศาสนาพุทธ

    ข้าพเจ้ามีความเห็นและเข้าใจเป็นไปในแนวทางที่ว่า
    พระพุทธเจ้าท่านไม่ได้ห้ามกิน "เนื้อสัตว์ที่ได้มาอย่างบริสุทธิ์"
    ท่านไม่ได้ตำหนิคนที่กินเนื้อสัตว์และท่านไม่ได้สนับสนุนคนที่ไม่กินเนื้อสัตว์

    ทั้งนี้ การกินหรือไม่กินเนื้อสัตว์ไม่ได้มีผล
    ต่อการบรรลุธรรม

    ข้าพเจ้าได้ครุ่นคิดต่อไปว่า

    บางท่านที่รับประทานมังสวิรัติ
    บ้างก็เพื่อสุขภาพ บ้างก็เพื่อไม่ต้องการเบียดเบียนสัตว์ซึ่งต้องถูกฆ่าเพื่อนำมาเป็นอาหาร
    ซึ่งข้าพเจ้าก็คิดว่าเป็นเจตนาที่ดี และท่านเหล่านั้นสามารถหาอาหารเหล่านั้นมารับประทานได้โดยไม่ลำบากเดือดร้อนตนเองและผู้อื่นทั้งกายใจ ก็ดีไป

    แต่อย่างไรก็ตาม
    หากว่าท่านเหล่านั้นเป็นนักบวชในพระพุทธศาสนาแบบเถรวาทและดำรงชีพอยู่ด้วยการขอ
    แล้วชาวบ้านผู้นำอาหารมาถวาย
    เขาดำรงชีพอยู่ด้วยการกินเนื้อสัตว์ตามวัฒนธรรมของเขามานมนานแล้ว
    สมมติว่า นักบวชในพระพุทธศาสนาไม่กินเนื้อสัตว์
    เมื่อชาวบ้านเขาทราบว่านักบวชที่เขาเลื่อมใสไม่กินเนื้อสัตว์
    เขาก็จะพยายามสรรหาอาหารที่มิใช่เนื้อสัตว์มาถวาย
    คิดดูสิว่ามันจะมีความยุ่งยากลำบากเพียงไรสำหรับชาวบ้านที่ต้องหุงหาอาหารที่มิใช่อาหารที่ตนเองกินและคุ้นเคยอยู่ทุกวันตามอัตภาพ

    บางท่านอาจคิดได้ล้ำลึกต่อไปอีกว่า
    หากไม่มีผู้กินเนื้อสัตว์แล้ว ก็จะไม่มีคนฆ่าสัตว์เพื่อนำมาขายเป็นอาหาร
    ก็จริงอยู่
    แต่เราจะบอกให้คนทั้งโลกงดกินเนื้อสัตว์ซึ่งเขากินมาตามวัฒนธรรมประเพณีและความเคยชิน มันคงไม่ได้ทำกันง่ายๆ เราเพียงผู้เดียวคงเปลี่ยนกระแสโลกไม่ได้
    เราเพียงทำได้แต่เปลี่ยนแปลงตนเอง
    โดยการ "ทำความดี ละเว้นชั่ว(รักษาศีล) ทำจิตใจให้บริสุทธิ์"
    และบอกกล่าวชักชวนผู้อื่นให้เห็นคุณค่าของการทำความดี
    เพื่อมาร่วมกันเปลี่ยนแปลงตนเองไปในทางที่ดีขึ้น มันจะง่ายกว่ามั้ย หุหุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 ตุลาคม 2008
  2. Krailuck

    Krailuck สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    45
    ค่าพลัง:
    +0
    นานา จิตตัง
    ทุกอย่างอยู่ที่ความบริสุทธิ์ใจครับ
     
  3. นักรบโบราณ

    นักรบโบราณ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    309
    ค่าพลัง:
    +973
    ผู้บำเพ็ญ... กินเจ กินมังสวิรัติ เจตนาก็คือต้องการหลีกเลี่ยงการเบียดเบียนชีวิตผู้อื่นทั้งทางตรงและทางอ้อม

    ส่วนนักคิด นักพูด......ย่อมคิด ย่อมพูด ย่อมสงสัยไปสารพัด......สาธุ
     
  4. sunseat

    sunseat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กันยายน 2007
    โพสต์:
    79
    ค่าพลัง:
    +195

    ตั้งสายยังไงก็ตามแต่แนวเพลงที่จะเล่นละท่าน 5555
    ล้อเล่นนะคับๆๆ


    ก็ เห็นด้วยมากคับ เอาพอดีๆ
     
  5. sunseat

    sunseat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กันยายน 2007
    โพสต์:
    79
    ค่าพลัง:
    +195
    ขอความเห้นด้วยครับ
    คิดว่าข้อไหนควรเป็นเจไม่เป็นบ้างครับ
    1.ไข่
    2.นม
    3.ขนมปังไส้เผือก
     
  6. sunseat

    sunseat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กันยายน 2007
    โพสต์:
    79
    ค่าพลัง:
    +195
    แต่ พวกที่เคร่งๆ มาก อย่าง กินน้ำแก้วต่อจากคนที่ไม่ได้กินเจ นับว่า
    เจแตก เหอะๆ มากไป
    แตกแล้วบาป
    บาป มันก็บาปตั้งแต่ก่อนจะกินเจแล้วแหละ
    ต่อให้แตก แตกแล้วบางคนเลิกก็มี (อันนี้สุดยอด)



    ไอ้ล้างท้องก็อีกอัน ล้างเพื่อ? เก็บอุจจาระ แยกไว้ว่าอันนี้เจหรอ ?
     
  7. Panda_01

    Panda_01 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    41
    ค่าพลัง:
    +14
    ไข่ไม่ใช่อาหารเจ แต่มังสวิรัตกินได้ ข้อนี้คือข้อแตกต่างของการกินเจและการกินมังสวิรัติ

    ส่วนนมนี่แล้วแต่ ที่ผมกินอยู่ถือว่านมเปรี้ยวทานได้ คือมันไม่คาว

    ขนมปังไส้เผือก แล้วแต่ว่าเขาทำเ็ป็้นอาหารเจหรือไม่ คือต้องไม่ใช้ไข่ครับ

    ส่วนตัวมองว่าการถือศีลกินเจ เหมือนกับการถือบวชช่วง 10 วัน หรือเหมือนกับ
    ถือศีล 5 ช่วงเข้าพรรษาในการสำรวมกาย วาจา ใจ เพียงแต่เคร่งครัดน้อยกว่า

    ฉนั้นถ้าทั้งปีไม่ค่อยได้ปฏิบัติธรรม ถือศีล ก็สามารถเริ่มต้นจากการกินเจก่อน ปีต่อๆไป ก็เริ่ม ถือศีลกินเจ จากนั้นขยายช่วงกินเจให้มากขื้นเช่นกินก่อนหน้า และหลังจากช่วงเทศกาลแล้ว เพิ่มสวดมนต์ภวนาให้มากขึ้น


    จุดนี้ถ้าไปเปรียบเทียบกับนักบวช ผู้ถือศีลเป็นปกติ และผู้ตั้งใจปฎิบัติธรรมเข้มข้น คำตอบของการกินเจจะไม่มีนัยยะสำคัญแน่นอน แต่จะมีความหมายสำหรับผู้ต้องการเริ่มต้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป

    การกินเจก็ควรยึดสายกลาง เคยพลาดกินของคาวก็คายออกเท่านั้นไม่ไช่เจแตก ทั้งหมดขึ้นกับการตั้งใจเป็นสำคัญ


    กรณีที่มีปัญหา คือมีผู้ไม่ทานเนื้อสัตว์ แล้วไประบุว่า พระพุทธศาสนาห้ามทานเนื้อสัตว์ พระพุทธเจ้าห้ามทานเนื้อสัตว์(พบหลายที่ หนังสือที่ แม่ชีเขียนก็มี) พระห้ามกินเนื้อสัตว์ ตรงนี้แหละครับที่ไปตรงกับลัทธิเทวทัต

    ตามที่พบมาด้วยตัวเอง คนที่กินเจจะมีีเมตตามากขึ้นครับยิ่งกินเจมาตลอดชีวิตจะเกิดพรหมวิหาร 4 ขึ้นมาเอง

    สรุปกินๆไปเถอะ แล้วอย่าหลงว่าดีวิเศษกว่าพวกไม่กินเจนะครับ
     
  8. DeathStriker

    DeathStriker Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    79
    ค่าพลัง:
    +52
    ไม่ได้กินเจ แต่ชอบกินอาหารเจ อาย่อยดี
     
  9. ผู้ป่วยทางจิตวิญญาณ

    ผู้ป่วยทางจิตวิญญาณ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    71
    ค่าพลัง:
    +21
    เถียงกันไปจะได้ประโยชน์อะไรคับ..มีแต่คนนึกถึงแต่ตัวเองทั้งนั้นแล้วจะเข้าใจอะไรได้ ก็เพราะมองอยู่แค่ที่คนไม่ได้มองไปที่สัตว์เลย จิตเมตตาหายไปไหนกันหมดแล้วหนอ ลองใช้ปัญญาตรึกตรองดูเหตุและผลก่อนเถิดทางสายกลางแท้จึงคือสิ่งใด ศีลที่สำคัญที่สุดคือข้อใด แผ่เมตตาท่องว่าอะไรเคยเข้าใจความหมายไหม
    แล้วพระพุทธองค์อุบัติมาเพื่อสิ่ีงใด ปัญญาคือหลักใหญ่ในการรับรู้ไม่ว่าจะศึกษาศาสตร์ใด ลัทธิใด ศาสนาใดก็แล้วแต่ศึกษาแล้วเคยใ้ช้ปัญญาไตร่ตรองหรือป่าว หรือว่าเชื่อเลย อ่านหนังสือธรรมะ ฟังธรรมะ ศึกษาพระไตรปิฎก ศึกษาแล้วเชื่อเลยหรือเปล่า ถ้าหากท่านทั้งหลายศึกษาแล้วมิได้ใช่ปัญญาตรึกตรองเลยท่านก็คงน่าสงสารที่สุด และเป็นเรื่องยากที่จะเข้าใจถึงหลักสัจจธรรมที่พระพุทธองค์ทรงดำรัสไว้ ลองอ่านนี่ดูผมเจอมาเห็นว่าน่าจะกระตุ้นปัญญาของท่านทั้งหลายได้บ้าง ไม่ต้องรู้ว่าผมเป็นใคร ศาสนาอะไร ลัทธิไหน นับถืออะไร
    แต่ผมพิจารณาด้วยปัญญาแล้วก็เห็นว่าบทความนี้น่าจะเป็นต่อทุกคนลองศึกษาดูคับ ขอจงวางทิฐิลงก่อนย้อนมองดูว่า จริงเท็จเป็นเช่นไรคงไม่เสียหลาย
    <meta http-equiv="Content-Type" content="text/html; charset=utf-8"><meta name="ProgId" content="Word.Document"><meta name="Generator" content="Microsoft Word 11"><meta name="Originator" content="Microsoft Word 11"><link rel="File-List" href="file:///C:%5CDOCUME%7E1%5CADMINI%7E1%5CLOCALS%7E1%5CTemp%5Cmsohtml1%5C01%5Cclip_filelist.xml"><!--[if gte mso 9]><xml> <w:WordDocument> <w:View>Normal</w:View> <w:Zoom>0</w:Zoom> <w:punctuationKerning/> <w:ValidateAgainstSchemas/> <w:SaveIfXMLInvalid>false</w:SaveIfXMLInvalid> <w:IgnoreMixedContent>false</w:IgnoreMixedContent> <w:AlwaysShowPlaceholderText>false</w:AlwaysShowPlaceholderText> <w:Compatibility> <w:BreakWrappedTables/> <w:SnapToGridInCell/> <w:ApplyBreakingRules/> <w:WrapTextWithPunct/> <w:UseAsianBreakRules/> <w:DontGrowAutofit/> </w:Compatibility> <w:BrowserLevel>MicrosoftInternetExplorer4</w:BrowserLevel> </w:WordDocument> </xml><![endif]--><!--[if gte mso 9]><xml> <w:LatentStyles DefLockedState="false" LatentStyleCount="156"> </w:LatentStyles> </xml><![endif]--><style> <!-- /* Font Definitions */ @font-face {font-family:"Angsana New"; panose-1:2 2 6 3 5 4 5 2 3 4; mso-font-charset:0; mso-generic-font-family:roman; mso-font-pitch:variable; mso-font-signature:16777219 0 0 0 65537 0;} @font-face {font-family:Tahoma; panose-1:2 11 6 4 3 5 4 4 2 4; mso-font-charset:0; mso-generic-font-family:swiss; mso-font-pitch:variable; mso-font-signature:1627421319 -2147483648 8 0 66047 0;} /* Style Definitions */ p.MsoNormal, li.MsoNormal, div.MsoNormal {mso-style-parent:""; margin:0cm; margin-bottom:.0001pt; mso-pagination:widow-orphan; font-size:12.0pt; mso-bidi-font-size:14.0pt; font-family:"Times New Roman"; mso-fareast-font-family:"Times New Roman"; mso-bidi-font-family:"Angsana New";} p {mso-margin-top-alt:auto; margin-right:0cm; mso-margin-bottom-alt:auto; margin-left:0cm; mso-pagination:widow-orphan; font-size:12.0pt; font-family:Tahoma; mso-fareast-font-family:"Times New Roman";} @page Section1 {size:595.3pt 841.9pt; margin:72.0pt 90.0pt 72.0pt 90.0pt; mso-header-margin:35.4pt; mso-footer-margin:35.4pt; mso-paper-source:0;} div.Section1 {page:Section1;} --> </style><!--[if gte mso 10]> <style> /* Style Definitions */ table.MsoNormalTable {mso-style-name:ตารางปกติ; mso-tstyle-rowband-size:0; mso-tstyle-colband-size:0; mso-style-noshow:yes; mso-style-parent:""; mso-padding-alt:0cm 5.4pt 0cm 5.4pt; mso-para-margin:0cm; mso-para-margin-bottom:.0001pt; mso-pagination:widow-orphan; font-size:10.0pt; font-family:"Times New Roman"; mso-bidi-font-family:"Times New Roman"; mso-ansi-language:#0400; mso-fareast-language:#0400; mso-bidi-language:#0400;} </style> <![endif]-->
    [FONT=&quot]พุทธศาสนากับการกินเนื้อสัตว์[/FONT]​
    [FONT=&quot]สมภาร พรมทา[/FONT] ​
    [FONT=&quot]วารสารพุทธศาสน์ศึกษา ฉบับนี้ตีพิมพ์งานวิจัยขนาดยาวเพียงเรื่องเดียว เนื่องจากผู้วิจัยและบรรณาธิการเป็นคนเดียวกันคือผมเอง[/FONT][FONT=&quot] บทบรรณาธิการฉบับนี้เลยขอถือโอกาสให้ผู้วิจัยได้กล่าวอะไรที่เกี่ยวข้องกับ งานวิจัยนี้ในแง่ที่ไม่เป็นวิชาการเพื่อว่าการอ่านงานวิจัยอาจจะได้อรรถรส มากยิ่งขึ้น ดังนี้[/FONT]​
    [FONT=&quot]งานวิจัยนี้มี ที่มาย่อๆคือ เมื่อต้นปี ๒๕๔๖ นี้ ทางคณะอักษรศาสตร์โดยฝ่ายวิจัยได้ดำริว่าเนื่องในวโรกาสที่สมเด็จพระเทพรัตน ราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีทรงมีพระชนมายุครบรอบ ๔๘ พรรษา คณะอักษร-ศาสตร์ควรที่จะมีกิจกรรมทางปัญญาสำหรับเฉลิมฉลองวโรกาสอันเป็นมงคล นั้น ทางฝ่ายวิจัยเล็งเห็นว่าการทำวิจัยอย่างเป็นโครงการใหญ่ภายใต้กรอบหัวข้อ อะไรสักอย่างแล้วแตกขยายออกเป็นโครงการย่อยหลายๆโครงการน่าจะเป็นประโยชน์[/FONT][FONT=&quot] ที่สุดคณะอักษรศาสตร์ก็ได้โครงการวิจัยดังกล่าวนี้ในนามโครงการชื่อ “เรื่องกินเรื่องใหญ่ในไทยและเทศ” โดยทางฝ่ายวิจัยคิดว่าภาควิชาต่างๆที่มีเปิดสอนอยู่ในคณะอักษรศาสตร์น่าจะมี ส่วนร่วมในรูปของการส่งคณาจารย์ในภาคตนเองมาร่วมทำวิจัยตามที่เห็นว่าสมควร ในแง่ความเกี่ยวเนื่องกับศาสตร์ของภาควิชาของตน ที่ภาควิชาปรัชญานั้นเราสอนปรัชญาอย่างฝรั่งและสอนพุทธปรัชญา ทางภาควิชาจึงเห็นสมควรให้ผมเข้าร่วมโครงการนี้เพราะเชื่อว่าพระพุทธศาสนา น่าจะมีแนวความคิดอะไรที่เป็นประโยชน์ทั้งในเชิงสติปัญญาและเชิงจริยธรรม เกี่ยวเนื่องกับการกิน ผมเองยินดีที่จะทำงานนี้เพราะคิดในเบื้องต้นว่าแม้จะเป็นเรื่องที่แคบและอาจ ไม่สู้มีประเด็นในวิจัยมากนักเมื่อเทียบกับเรื่องอื่นๆใน พุทธปรัชญา แต่การกินก็เป็นกิจกรรมหลักของชีวิตมนุษย์ที่เกี่ยวข้องกับประเด็นด้าน จริยธรรมที่ลึกซึ้งหลายอย่าง เช่นเราต้องกินชีวิตของผู้อื่น ไม่กินก็ไม่ได้เพราะธรรมชาติสร้างมาให้เป็นอย่างนั้น บาปที่ถูกบังคับมาตั้งแต่เกิดเช่นนี้ควรถือว่าเป็นบาปหรือไม่ เราจะมีเสรีภาพที่จะหลุดพ้นไปจากการถูกบงการด้วยกระบวนการทางชีววิทยาเช่น นี้ได้ไหม เป็นต้น ปรัชญาฝรั่งนั้นผมไม่เห็นเขาสนใจที่จะถกกันด้วยเรื่องที่ใกล้ตัวมากๆอย่าง การกินชีวิตผู้อื่น (ผมหมายถึงเนื้อสัตว์) เท่าใดนัก จะมีบ้างก็ในหมู่นักจริย-ศาสตร์สมัยใหม่ไม่กี่คนและวิธีการถกเถียงนั้นก็ยัง ใช้เหตุผลเป็นพื้นดังเช่นที่เคยทำมากันตลอดประวัติศาสตร์ปรัชญาตะวันตก แต่เรื่องใกล้ตัวเช่นนี้พุทธศาสนาและปรัชญาทั้งหลายแหล่ของอินเดียนั้นสนใจ ถกเถียงกันมาเป็นพันๆปีแล้ว และการให้ความเห็นเกี่ยวกับเรื่องเช่นนี้ก็ไม่จำกัดอยู่เพียงแต่การให้ เหตุผลเท่านั้น ผมลงมือทำวิจัยโดยการกำหนดประเด็นหลักๆว่าเมื่อกล่าวถึงทัศนะของพุทธศาสนา เกี่ยวกับเรื่องการกินควรที่จะกล่าวไปในประเด็นใดบ้าง เค้าโครงของงานวิจัยได้ออกแบบให้ครอบคลุมมาถึงกิจกรรมการกินของมนุษย์ในยุค ปัจจุบันที่มีเรื่องการค้าอาหารเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย และดังที่ทราบกันทั่วไป วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (โดยเฉพาะอย่างยิ่งเทคโนโลยีชีวภาพ) ได้มีส่วนสำคัญในการรับใช้ธุรกิจของโลกสมัยใหม่ เนื้อหาของงานวิจัยจึงควรที่จะครอบคลุมมิติการนำวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมา ใช้ในธุรกิจอาหารด้วย[/FONT]​
    [FONT=&quot]ผมเริ่มทำงานวิจัยก็เมื่อย่างเข้าหน้าฝนแล้ว[/FONT][FONT=&quot] ผมมักใช้เวลาระยะหนึ่งในการคิดเวลาที่ทำวิจัยไม่ว่าจะเกี่ยวกับเรื่องใดก็ตามแต่ เป็นการคิดไปเรื่อยๆ โดยไม่กำหนดประเด็น เพื่อให้ความคิดวนเวียนอยู่กับเรื่องนั้นๆ ในช่วงเวลางานกลางวันที่ต้องสอนหนังสือนั้นผมพบว่าไม่เหมาะที่จะคิด บังเอิญเหลือเกินว่าว่ามีบางช่วงเวลาที่เหมาะสำหรับการคิด คือเมื่อกินข้าวเย็นแล้ว ราวๆทุ่มหนึ่งผมชอบออกมาปั่นจักรยานไปตามถนนในหมู่บ้านช้าๆแล้วก็คิดโน่นคิดนี่อยู่บนจักรยานนั้น หมู่บ้านนี้อยู่เขตปทุมธานีค่อนไปทางนครนายก มีบ้านคนอยู่ไม่กี่หลังคาเรือน นอกนั้นเป็นที่ดินเปล่าโล่งๆติดต่อกันเหมือนทุ่ง บ้านผมอยู่ท้ายหมู่บ้าน เวลาปั่นจักรยานไปด้านหลังจึงเหมือนกำลังอยู่กลางทุ่งนาอย่างไรอย่างนั้น คืนหนึ่งผมปั่นจักรยานไปใจก็คิดเรื่องงานวิจัย ภาพที่ผมเห็นเมื่อตอนขับรถกลับบ้านภาพหนึ่งก็แว่บเข้ามาในความคิด เป็นภาพหมูที่ถูกบรรจุอยู่ในซองบนรถบรรทุกขนาดใหญ่ เวลาที่ผมกลับบ้าน บางวันผมต้องหยุดรถเพื่อให้รถบรรทุกหมูเหล่านี้เลี้ยวผ่านหน้าเข้าไปในตรอกข้างทางซึ่งเป็นโรงฆ่าสัตว์ สายตาที่ว่างเปล่าของหมูบางตัวที่ผมมองเห็นขณะขับรถตามรถบรรทุกนั้นมาทำให้ผมเกิดความรู้สึกหลายอย่างบอกไม่ถูก หมูเหล่านี้ถูกเพาะเลี้ยงมาเพื่อเป็นอาหารของคนโดยแท้ สถานที่ที่มันเกิดคือโรงเลี้ยงหมูซึ่งต่อมาจากการค้นคว้าศึกษาผมพบว่าเป็นสถานที่ที่ทำแต่พอให้มันอยู่ได้โดยไม่ตายเท่านั้น พวกมันอยู่ในนั้นระยะหนึ่ง เมื่อ “ได้เวลา” แล้วก็จะถูกขนย้ายใส่รถบรรทุกเข้าโรงเชือด และที่โรงเชือดอีกเช่นกันที่ผมทราบในเวลาต่อมาว่าพวกมันถูกฆ่าในสภาพที่ทารุณโหดร้ายอย่างไร [/FONT]​
    [FONT=&quot]บนท้องฟ้าด้าน ทิศตะวันออกเหนือหัวของผมคืนนั้นคือพระจันทร์ที่เกือบจะเต็มดวง ผมปั่นจักรยานไปตามทาง สายลมอ่อนเจือด้วยไอฝน (ที่ตกมาในช่วงบ่าย) พัดมาเย็นชื่น[/FONT][FONT=&quot] นี่คือด้านที่งดงามของโลก แต่ด้านที่งดงามของโลกเช่นนี้ดูเหมือนจะมีแต่มนุษย์เท่านั้นที่สามารถชื่นชม ได้ จากการศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับอุตสาหกรรมเนื้อสัตว์ที่กระทำกันในโลก ข้อมูลที่พบทำให้ผมเกิดความเศร้าใจไปมากเหมือนกัน เฉพาะที่ประเทศอเมริกา (ซึ่งระบบสถิติเกี่ยวกับเรื่องต่างๆของเขาสามารถเข้าถึงได้ง่ายกว่าที่อื่นๆ ) ปศุสัตว์ถูกฆ่าวันละประมาณ ๓๐ ล้านตัว องค์กรเอกชนที่รณรงค์เรื่องสิทธิของสัตว์ในประเทศนี้องค์กรหนึ่งซึ่งมีเครือ ข่ายกว้างขวางได้ส่งเจ้าหน้าที่ไปสังเกตการณ์โรงฆ่าสัตว์ตามที่ต่างๆทั่ว ประเทศ คนเหล่านี้รายงานว่าการฆ่าสัตว์ในโรงฆ่าสัตว์ส่วนใหญ่กระทำการอย่างผิด กฎหมาย คือฆ่าชำแหละสัตว์ขณะที่มันยังไม่ตาย[/FONT]​
    [FONT=&quot]ท่านผู้อ่านอาจ พอนึกภาพออกว่าในอุตสาหกรรมใดๆก็ตามแต่ เวลาเป็นสิ่งที่มีค่า คนงานในโรงงานต้องทำงานอย่างเป็นเครื่องจักร[/FONT][FONT=&quot] คนฆ่าสัตว์ในโรงฆ่าสัตว์ก็เช่นกัน เขาถูกนายจ้างกำหนดแล้วว่าภายในหนึ่งชั่วโมงจะต้องเชือดวัว หมู หรือเป็ดไก่ให้ได้กี่ตัว สัตว์เหล่านั้นจึงมีความหมายสำหรับคนเหล่านี้แค่เพียงวัตถุ พวกเขาไม่มีเวลามาดูว่าวัวที่ล้มลงเพราะถูกช๊อตด้วยไฟฟ้านั้นตายหรือยัง พอมันล้มลงเขามีหน้าที่เพียงรวบขามันขึ้นมัดแล้วแขวนใส่รอกเลื่อนเข้าไปยัง ห้องถัดไป พนัก งานอีกคนที่ยืนถือมีดรออยู่ ณ ห้องถัดไปนั้นก็ไม่มีเวลาที่จะมาดูว่าวัวตัวนั้นตายหรือยัง เขามีหน้าที่ต้องเชือดคอมันตามภาระงานที่ถูกวางไว้แล้วว่าภายในหนึ่งชั่วโมง จะต้องเชือดให้ได้กี่ตัว คนผ่าท้องล้วงเครื่องในมันก็เช่นกัน สรุปความคือเมื่อสัตว์เหล่านั้นถูกลดฐานะลงเป็นวัตถุแล้ว อะไรๆก็สามารถเกิดกับมันได้ เมื่อผู้สื่อข่าวหนังสือพิมพ์ The Washington Post คนหนึ่งได้แอบถ่ายภาพวัวที่ถูกปาดคอผ่าท้องควักตับไตไส้พุงในขณะที่มันยัง กระพริบตาด้วยความเจ็บปวดแต่ร้องไม่ได้เพราะถูกช๊อตด้วยไฟฟ้าแรงสูงแล้วเอา มาตีพิมพ์ขึ้นปกเป็นข่าวหน้าหนึ่งเมื่อสองสามปีที่แล้ว ก็เกิดกระแสการวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางในหมู่ประชาชน จากการไปสัมภาษณ์เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องโดยผู้สื่อข่าวคนเดียวกันนี้ ดูเหมือนว่าทุกคนจะเห็นคล้ายกันว่าทารุณกรรมเช่นนี้คงเกิดต่อไป เพราะการฆ่าสัตว์สมัยนี้เกิดภายในระบบ ทุนนิยมที่ทุกอย่างต้องรีบร้อนและเป็นเงินเป็นทองหมด รัฐก็ไม่มีกำลังคนพอที่จะควบคุม ผมเห็นข่าวคนตะวันตกประท้วงร้าน อาหารฟาสต์ฟู้ดดังๆที่เรารู้จักกันดีว่าฆ่าสัตว์ป้อนร้านอาหารตัวเองอย่าง โหดร้ายทารุณแล้วก็อดคิดไม่ได้ว่า ปัจจัยสำคัญอันหนึ่งที่ทำให้เกิดทารุณกรรมแก่สัตว์เหล่านี้ก็มาจากการที่เรา ชอบไปอุดหนุนร้านอาหารเหล่านี้นั่นเอง ยิ่งคนกินมาก ร้านก็ต้องเร่งผลิตให้ทัน วัว หมู เป็ด ไก่ ที่ถูกเลี้ยงและฆ่าส่งร้านก็ต้อง “รีบเร่งตาย” มากยิ่งขึ้น ผมอ่านพบในหนังสือพิมพ์ไม่นานมานี้ว่า มีผู้ประท้วงบริษัทฟาสต์ฟู้ดชื่อดังที่มีสาขาอยู่ทั่วโลกบริษัทหนึ่งว่า ลวกไก่ทั้งที่มันยังเป็นๆอยู่ ผมไม่ทราบว่าทำไมเขาจึงต้องทำเช่นนั้น จะเพื่อให้ไก่ของตนเองกินอร่อยกว่าคนอื่นหรือไม่ก็ไม่ทราบ หรือว่ารีบเสียจนไม่มีเวลามาดูว่ามันตายหรือยัง แต่ข่าวนั้นบอกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ไม่ใช่อุบัติเหตุ และไม่ได้เกิดกับไก่เพียงตัวสองตัว แต่เกิดกับไก่แทบทั้งหมดในโรงครัวของบริษัทที่ว่านั้น [/FONT]​
    [FONT=&quot]แล้วสิ่งที่ผม รู้สึกอยู่ในใจก่อนหน้านั้นว่ามนุษย์เราช่างเอาเปรียบสัตว์อื่นเสียเหลือ เกินก็ประดังเข้ามาสูงสุดเมื่อเกิดการระบาดของไข้หวัดนกในบ้านเราที่ทำให้ รัฐบาลสั่งฆ่าไก่ทั่วทั้งประเทศ[/FONT][FONT=&quot] ภาพไก่เป็นๆที่ถูกจับยัดลงกระสอบมัดปากโยนขึ้นรถบรรทุกแล้วเอาไปฝังทั้งเป็น นั้นชวนให้เราหดหู่ใจเป็นที่สุด[/FONT]​
    [FONT=&quot]ทั้งหลายทั้ง ปวงที่ผมเล่ามานี้คือสิ่งที่เกิดขึ้นและกำลังเป็นอยู่และจะเป็นต่อไปอีกนาน เท่านาน จิตใจของมนุษย์นั้นผมเชื่อว่าพัฒนาไปมากตามวันเวลา เดิมนั้นเราอาจถูกสร้างมาให้เป็นผู้ล่าเหมือนกับสัตว์บางชนิดเช่นเสือ แม้วันนี้เราจะยังเป็นผู้ล่าที่ได้ปรับเปลี่ยนรูปแบบการล่าให้ดูโหดร้ายน้อย ลง แต่เราก็มีจิตใจที่พัฒนาไปถึงระดับที่พร้อมจะรู้สึกว่าต่อไปนี้เราจะต้องถาม คำถามกันตรงๆเกี่ยวกับสิ่งที่เราเป็นอยู่ ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเกิดจากการบงการของธรรมชาติหรือไม่ก็ตาม พระพุทธศาสนาตามความรู้สึกของผมนั้นมีจุดแข็งตรงที่เป็นศาสนาที่สอนให้เรา ตั้งคำถามเกี่ยวกับรากเหง้าของเราเองชนิดถึงรากถึงโคน การตรัสรู้ของพระพุทธเจ้านั้นยิ่งน่าสนใจตรงที่เป็นผลมาจากการทรงทดลองข้อ ปฏิบัติที่สำคัญๆที่อ้างกันว่าจะช่วยให้ผู้ปฏิบัติหลุดพ้นทุกอย่างก่อน เมื่อทรงพบว่าหลักปฏิบัติเหล่านี้ไม่ได้ช่วยให้พ้นทุกข์ได้จริงจึงทรงแสวงหา แนวทางใหม่ด้วยพระองค์เอง[/FONT][FONT=&quot] หลักปฏิบัติอันหนึ่งที่น่าสนใจก็คือหลักปฏิบัติเกี่ยวกับอาหาร ผมเข้าใจว่านักพรตอินเดียสมัยนั้นบางพวกคงมองว่าอาหารหรือสิ่งที่เรากินเข้า ไปนี่แหละคือที่มาของบาปที่สำคัญๆเช่นการฆ่า การกินจึงเป็นที่มาของความเศร้าหมองของชีวิตมากกว่าการบริโภคอย่างอื่น เมื่อเป็นเช่นนั้นสิ่งที่มนุษย์จะต้องเอาชนะในเชิงจริยธรรมก็คือเรื่องการ กินนี่เอง ลัทธิเกี่ยวกับอาหารเหล่านี้สอนว่าชีวิตจะบริสุทธิ์ได้ก็ด้วยอาหาร และได้สอนว่าเพื่อให้ชีวิตบริสุทธิ์ เราพึงกินอะไรบ้างและกินอย่างไร ทรงทดลองกินสิ่งต่างๆที่ลัทธิเหล่านี้สอน ซึ่งรวมถึงการกินอุจจาระและปัสสาวะของตนเอง แต่ที่สุดก็ไม่ทรงพบว่าวัตรอันเคร่งครัดเกี่ยวกับอาหารเหล่านี้ เป็นหนทางแห่งความหลุดพ้นแต่อย่างใด[/FONT]​
    [FONT=&quot]การตรัสรู้ของ พระพุทธองค์นั้นเกิดภายหลังที่ทรงเลิกการปฏิบัติวัตรที่เข้มงวดเกี่ยวกับ เรื่องอาหารที่กล่าวมานี้ ซึ่งท่านผู้อ่านก็คงทราบว่าการที่ทรงเลิกเช่นนั้นสร้างความผิดหวังแก่นักบวช ห้าคนที่คอยปรนนิบัติพระองค์อยู่ด้วยความเชื่อว่าจะต้องทรงค้นพบหนทางสู่ ความหลุดพ้นแน่นอน เมื่อได้ตรัสรู้แล้วก็มิได้ปรากฏว่าทรงปฏิบัติพระองค์เป็นพิเศษเกี่ยวกับ เรื่องอาหารแต่อย่างใด คำถามแรกที่สุดที่ผมถามตัวเองก่อนจะลงมือทำงานวิจัยก็คือ พระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ทั้งหลายฉันเนื้อสัตว์หรือไม่ จากการค้นคว้าก็พบว่ามีหลักฐานหลายแห่งในพระไตรปิฎกภาษาบาลีของนิกายเถรวาท ที่ทำให้สรุปได้ว่าพระพุทธองค์ไม่ทรงปฏิเสธเนื้อสัตว์ที่ไม่อยู่ในข่ายถูก ห้ามตามพระวินัย พระอรหันต์นั้นก็เช่นกัน คือไม่ปฏิเสธเนื้อสัตว์ที่บริสุทธิ์อันได้แก่เนื้อสัตว์ที่ท่านไม่ได้เห็น ว่าเขาฆ่ามาเพื่อท่าน ไม่รู้ว่าเขาฆ่ามาเพื่อท่าน หรือไม่ได้สงสัยว่าเขาฆ่ามาเพื่อท่านอย่างเป็นการเฉพาะ[/FONT][FONT=&quot] ดูเหมือนว่าพระไตรปิฎกของฝ่ายเถรวาทนั้นจะถือว่าหากเนื้อสัตว์นั้นเป็นของ ที่วางขายตามตลาด แล้วมีคนซื้อมาปรุงเป็นอาหารถวายพระสงฆ์ พระสงฆ์ก็สามารถรับมาฉันได้ และในการฉันนี้ พระสงฆ์ไม่ถือว่าได้ก่อบาปในแง่ที่เป็นเหตุปัจจัยของการที่สัตว์ถูกฆ่าแต่ อย่างใด ถ้าถือเอาตามที่กล่าวมานี้ ชาวพุทธที่เป็นคฤหัสถ์อย่างผมหรือท่านผู้อ่านบางท่านก็ไม่เห็นจะต้องเดือด ร้อนเวลาที่ต้องกินเนื้อสัตว์ เพราะเราไม่ได้ฆ่าเอง ถ้าเรากินอย่างมีสติ กินอย่างใช้ปัญญา คือกินเพื่อให้กายได้ดำรงอยู่เพื่อทำสิ่งที่มีคุณค่าในชีวิตเพื่อตนเองและ โลก เราก็ไม่เห็นจะต้องคิดมากอะไรอีก[/FONT]​
    [FONT=&quot]แต่เหตุผลในย่อหน้าที่เพิ่งผ่านมานั้นก็ไม่ช่วยให้ผมหายคลางแคลงใจในบางเรื่องลงได้ ความคลางแคลงใจนี้ไม่ได้มาจากความคิดที่ลึกซึ้งอะไรเลย แต่มาจากจินตนาการเชิงสมมติง่ายๆที่ว่า สมมติว่าวันหนึ่งมีมนุษย์ต่างดาวมายึดโลกเอาไว้แล้วเลี้ยงมนุษย์ไว้กินอย่างเดียวกับที่เราเลี้ยงสัตว์เวลานี้[/FONT][FONT=&quot] พวกมันเพาะเลี้ยงเราไว้ในโรงเลี้ยง ให้อยู่อย่างสัตว์ ลูกเราจำนวนหนึ่งเกิดได้สองสามสัปดาห์ก็ถูกพรากจากพ่อแม่ไปฆ่าเป็น “มนุษย์หัน” เหมือนกับที่เราทำกับลูกหมูที่เรียกว่า “หมูหัน” เวลานี้ แรกๆพวกมันก็กินเราโดยไม่ตั้งคำถามในทางจริยธรรมแต่อย่างใด แต่ผ่านไประยะหนึ่งก็มีบางคนเริ่มตั้งคำถามว่าที่กินมนุษย์เช่นนี้ถูกต้องหรือไม่ ศาสนาของมนุษย์ต่างดาวนั้นศาสนาหนึ่งสอนว่าถ้าฆ่ากินเองก็ผิด แต่ถ้ากินที่เขาฆ่ามาแล้วไม่เป็นไร นักบวชในศาสนานี้พยายามสอนว่าอย่าได้คิดมาก เพราะมีสิ่งที่สำคัญมากกว่านั้นที่จะต้องทำในชีวิต ถ้าเอาเวลามาคิดมากในเรื่องเล็กๆน้อยๆเช่นการกินคน ก็จะเสียเวลาและอาจไม่ต้องทำอะไรเลยในชีวิต [/FONT]​
    [FONT=&quot]ศาสนาใน จินตนาการสมมตินั้นผมยอมรับว่าสอนมีเหตุผลทีเดียว แต่เป็นเหตุผลสำหรับมนุษย์ต่างดาวด้วยกัน ไม่ใช่เหตุผลสำหรับพวกเราที่เป็นสัตว์ที่พวกเขาเลี้ยงไว้เพื่อฆ่ากินเป็น อาหารเลย[/FONT][FONT=&quot] สำหรับพวกเรา การที่เราถูกฆ่ากินเช่นนั้นไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยเลย เมื่อเรามองไปที่ลูกเล็กๆของเราที่กลายสภาพเป็น “มนุษย์หัน” บนโต๊ะอาหารที่เขาทำถวายนักบวช ลูกเราก็คือลูกเราไม่ว่าจะถูกกินโดยใคร นักบวชในศาสนาของมนุษย์ต่างดาวนั้นอาจสามารถทำใจให้อยู่เหนือความยึดติดใน อาหารได้ คือเวลาที่กินลูกเราท่านไม่รู้สึกว่าท่านกำลังกินอะไรทั้งสิ้น ท่านมีใจอยู่เหนือรสชาติของอาหาร ถามว่าการที่ลูกของเราถูกกินโดยนักบวชที่ใจบริสุทธิ์เช่นนี้ได้ช่วยให้เรา ที่เป็นเหยื่อของความชั่วร้ายนั้นรู้สึกดีขึ้นกับศาสนานั้นหรือไม่ คำตอบคือไม่ แต่ถ้านักบวชในศาสนานั้นปฏิเสธที่จะบริโภคเนื้อมนุษย์อย่างแข็งขัน และสอนพวกเขาเองว่าไม่ควรกินเนื้อมนุษย์ ถ้าอย่างนี้เราอาจจะรู้สึกดีกับศาสนานั้น[/FONT]​
    [FONT=&quot]ดูเหมือนว่า พุทธศาสนานิกายมหายานนั้นจะคิดไปในทำนองเดียวกับเรื่องที่ผมสมมติขึ้นมาข้าง ต้นนั้น ถามว่าพุทธศาสนาเป็นศาสนาของมนุษย์เท่านั้น หรือว่าเป็นศาสนาของหมู วัว เป็ด ไก่ ด้วย[/FONT][FONT=&quot] คำตอบคือเราชาวพุทธไม่ว่าจะเป็นนิกายไหนก็ล้วนแต่เชื่อว่าพระพุทธศาสนาเป็น ศาสนาของสรรพสัตว์ ไม่เฉพาะมนุษย์เท่านั้น แต่เหตุผลในทางจริยธรรมที่พุทธศาสนาฝ่ายเถรวาทใช้ในบางกรณีนั้นถูกมองจาก ฝ่ายมหายานว่าดูจะเป็นเหตุผลที่คิดในกรอบของมนุษย์เท่านั้น เหตุผลในเรื่องการกินเนื้อสัตว์ของฝ่ายเถรวาทนั้นฝ่ายมหายานมองว่ารวมอยู่ใน เหตุผลที่คิดเฉพาะในกรอบของมนุษย์เท่านั้น ซึ่งตรงนี้ก็จะขัดกับการยอมรับว่าพุทธศาสนาเป็นศาสนาของสรรพสัตว์ พระพุทธเจ้าตามที่ปรากฏในพระสูตรของฝ่ายมหายานเช่น “ลังกาวตารสูตร” นั้นแตกต่างจากพระพุทธเจ้าตามที่ปรากฏในพระสูตรของฝ่ายเถรวาทอย่างกลับหน้า มือเป็นหลังมือในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการกินเนื้อสัตว์เลยทีเดียว พระพุทธเจ้าของฝ่ายมหายานนั้นตรัสไว้ชัดเจนว่า หากทรงเสวยเนื้อสัตว์ด้วยพระองค์เอง หรือสาวกของพระองค์ได้รับการอนุญาตให้กินเนื้อสัตว์ว่าไม่ผิดศีลธรรม สิ่งนี้ก็จะทำลายความน่าเชื่อถือทั้งหมดของพุทธศาสนาลงหมดสิ้น ทำไมพระพุทธเจ้าของฝ่ายมหายานจึงตรัสเช่นนั้น ก็เพราะการอนุญาตให้กินเนื้อสัตว์ย่อมเท่ากับปฏิเสธว่าพระพุทธศาสนาไม่ใช่ ศาสนาของสรรพสัตว์ หากแต่เป็นศาสนาของมนุษย์เท่านั้นนั่นเอง แต่ในแง่ประวัติศาสตร์ นักวิชาการด้านพุทธศาสนาเห็นพ้องต้องกันว่าวรรณกรรมต่างๆเช่นพระสูตรของ ฝ่ายมหายานนั้นน่าจะไม่ใช่บันทึกคำสอนของพระพุทธเจ้าจริงๆ ดังเช่นพระสูตรของฝ่ายเถรวาท ดังนั้นน้ำหนักของพระพุทธวจนะในพระสูตรของฝ่ายมหายานจึงไม่สู้แข็งขันนักใน สายตาของฝ่ายเถรวาท จะอย่างไรก็ตาม หากเราไม่คิดในกรอบทางวิชาการ แต่คิดพ้นไปจากนั้น ก็อาจมีบางคนสงสัยว่าในความเป็นจริงพระพุทธองค์จะเสวยเนื้อสัตว์หรือ หมายความว่า แม้จะค่อนข้างชัดว่า “พระพุทธเจ้าตามคัมภีร์” จะเสวยเนื้อสัตว์ แต่อาจเป็นไปได้ใช่ไหมว่า “พระพุทธเจ้าพระองค์จริง” (ซึ่งไม่มีทางที่เราที่เป็นคนรุ่นหลังจะรู้จัก) จะไม่ได้เป็นอย่างที่คัมภีร์บรรยายไว้ ปัญหานี้เป็นปัญหาโลกแตก แต่เป็นปัญหาโลกแตกที่ผมคิดว่าสมควรที่เราชาวพุทธจะช่วยกันขบคิด ใน “กาลาม-สูตร” ซึ่งพระพุทธเจ้าตามคัมภีร์ทรงแสดงแก่เรานั้นมีความตอนหนึ่งว่า “อย่าเพิ่งปลงใจเชื่อเพียงเพราะว่าเรื่องนั้นๆมีอยู่ในคัมภีร์” ข้อความนี้อาจใช้เป็นเส้นเชือกสาวไปหาพระพุทธองค์จริงในความมืดมิดก็เป็นได้ ปัญญาที่จะจับว่าอะไรคือสาระหลักๆของพุทธศาสนาคือเครื่องมือในการสาวหาพระพุทธองค์จริง ซึ่งแน่นอนว่าจะกระทำโดยไม่อาศัยคัมภีร์ไม่ได้ แต่คัมภีร์นั้นก็ต้องตีความ ไม่ใช่เชื่อตามนั้นตะพึดไป[/FONT]​
    [FONT=&quot]งานวิจัยของผม ชิ้นนี้ไปไม่ไกลขนาดนั้น เพราะเป็นงานวิชาการ ไม่ใช่นิยาย สิ่งที่ผมทำเป็นหลักก็คือไปดูว่าตามหลักฐานที่ปรากฏในคัมภีร์นั้นพุทธศาสนา ที่เก่าแก่ที่สุดอันได้แก่พุทธศาสนาเถรวาทกล่าวถึงเรื่องการกินเอาไว้อย่าง ไร โดยเน้นไปที่เรื่องการกินเนื้อสัตว์ สิ่งที่ผมพยายามทำก็คืออธิบายว่าทำไมฝ่ายเถรวาทจึงไม่ปฏิเสธการกินเนื้อ สัตว์ ซึ่งทั้งหมดผมตีความว่ามาจากการที่พุทธศาสนาเถรวาทมีกรอบหรือสมมติฐานทาง จริยธรรม ([/FONT][FONT=&quot]ethical assumption) แบบหนึ่ง และตามการตีความของผมเหตุผลที่อยู่เบื้องหลังการไม่ปฏิเสธเนื้อสัตว์ของฝ่าย เถรวาทนี้ “ฟังดูดีภายในกรอบสมมติฐานที่ว่านั้น” ทีเดียว แน่นอนว่าฝ่ายมหายานก็มีกรอบสมมติฐานอีกแบบหนึ่ง จึงมองเรื่องการกินเนื้อสัตว์ต่างไปจากฝ่ายเถรวาท และก็เช่นเดียวกัน เหตุผลของฝ่ายมหายานก็ “ฟังดูดีภายในกรอบสมมติฐานที่ว่านั้นเช่นกัน”[/FONT]​
    [FONT=&quot]ท้ายที่สุดปัญหาการกินเนื้อสัตว์ก็ยังไม่ยุติ เพราะเราอาจเถียงกันต่อไปได้ว่ากรอบสมมติฐานของใครฟังดูดีกว่ากัน ผมคิดว่าถ้าเอามนุษย์เป็นตัวตั้ง เรื่องนี้ไม่มีวันจบ แต่ถ้าเอาผู้เสียหายคือสัตว์เป็นตัวตั้ง เราอาจพบคำตอบ เหมือนเรามองไปที่มนุษย์ต่างดาวสองพวกที่เถียงกันด้วยเรื่องการกินเนื้อมนุษย์ เถียงอย่างไรก็ไม่จบ แต่ถ้าพวกเขามองมาที่พวกเราแล้วเอาพวกเราเป็นตัวตั้ง คราวนี้ปัญหาควรที่จะจบลงได้แล้ว [/FONT] ​
    [FONT=&quot]คืนนั้น... ผมจูงจักรยานเข้าบ้าน ลมฝนเริ่มพัดผ่านแรงขึ้น สายฝนพรำโปรยปราย ดวงจันทร์หายไปหลังหมู่เมฆสีดำ... โลกนี้ ชีวิตนี้มีหลายสิ่งเข้าใจยากเหลือเกิน[/FONT][FONT=&quot]...[/FONT]​
    <o:p> </o:p>

    สิ่งที่ผมทำไม่ใช่เพื่อใครแต่เพื่อเตือนสติให้ทุกคน ศึกษาธรรมบำเพ็ญธรรมต้องใช้ปํญญาอย่าใช้ความเชื่อเพราะถ้าใช้ความเชื่อท่านอาจเดินผิดทางอย่างไม่รู้ตัว
     
  10. นักเดินธรรม

    นักเดินธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มกราคม 2009
    โพสต์:
    998
    ค่าพลัง:
    +2,393
    กินอะไรก็เป็นขี้...กินไปเหอะ เพราะเดี๋ยวขี้นั้นก็กลับมาให้กินอีก...ในผักก็มีขี้ ในเนื้อก็มีขี้...กินไปเหอะ..อร่อยดี
     
  11. OLDMAN AND A CAR

    OLDMAN AND A CAR เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    824
    ค่าพลัง:
    +2,752
    ....การกินเจ แม้ไม่ทำให้บรรลุธรรมได้ ก็ จริง อยู่ ..แต่หากท่านใดปฎิบัติได้ มักจะ เป็นผู้มีอารมณ์ เยือกเย็น และ โรคภัยไข้เจ็บ ไม่ค่อยเบียดเบียน อาหารเจ หากปรุงรสได้เก่ง ก็ อร่อยดี ไปอีกแนวหนึ่ง ผมเองก็ เคยเห็นแมว และ สุนัข ทานเจมาแล้ว เหมือนกัน เมื่อคราวไปเยือน สหายธรรม ที่เป็น ครอบครัวทานเจ..บุคคลใดที่ทาน เจ จนชินแล้ว จะไม่หวนกลับมาทานเนื้อสัตว์ใดๆอีก เพราะ ทนกลิ่นสาปสาง และ กลิ่นคาวเลือดสัตว์ ไม่ได้ ไม่ใช่ว่า พวกเขา จะยกตนข่มท่าน..ซึ่ง ก็ เหมือนๆกับ บุคคล ที่ชินกับ ทานอาหารปกติ ที่มีเนื้อสัตว์ เจือปน จะให้ทานเจ ก็ ไม่อร่อย และ ไม่มีกำลัง และ ไม่ทราบเลยว่า อาหารที่เป็นเนื้อสัตว์ นั้น มีกลิ่นคาว อย่างไร...

    ..สำหรับ ผม เอง ทานได้ทั้ง ๒ สองชนิด อยู่กับ ครอบครัว เจ ก็ ทานเจ อยู่บ้านตนเอง ก็ ทาน ไปเรื่อยตามแต่จะหาได้... เลือกมากๆ กลัวอด แต่ยอมรับว่า อาหารมีเนื้อสัตว์นั้น มีกลิ่นคาวเนื้อสัตว์จริงๆ....และ กำลังลดการทานเนื้อสัตว์ลงไปเรื่อยๆ...เพราะ เริ่มติด เสน่ห์อาหารมังสะวิรัต ขึ้นทุก ปี.....
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 มิถุนายน 2009
  12. Fai3iola

    Fai3iola เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    181
    ค่าพลัง:
    +319
    กินบางโอกาส
    เพื่อลดการเบียดเบียนค่ะ ^^
     
  13. สายลมสีขาว

    สายลมสีขาว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    154
    ค่าพลัง:
    +144
    พระพุทธเจ้าไม่ได้บอกนะครับว่าห้ามกินเจ เพียงแต่พระพุทธเจ้าท่านไม่เน้นเพราะไม่ใช้เรื่องสำคัญไม่ใช้แก่นในการบรรลุนิพพาน ใครอยากกินเจท่านก็บอกว่ากินไป ใครไม่อยากกินท่านก็ไม่บังคับ แต่คนกินเจได้บุญนะครับหากกินด้วยเมตตาจิต ไม่ใช้กินไปเครียดไป ก็ถือได้ว่าการกินเจคือการทำบุญอย่างหนึ่งที่จะส่งผลดีต่อชีวิตครับ เหมือนการใส่บาตรอะครับ ใครประสงค์จะใส่บาตรก็ใส่ ใครไม่ประสงค์ใส่ท่านก็ไม่บังคับ การกินเจก็เป็นแนวทางสร้างบุญแนวทางหนึ่งแค่นั้นเองครับ ทำก็ได้ ไม่ทำก็ไม่ได้ แค่นั้นเอง การสร้างบุญบารมีมันสร้างได้หลายแบบนี้นะครับ จะสร้างบุญแบบอื่นก็ได้

    แต่คนที่กินสัตว์ไม่ถือว่าบาปนะ หากไม่ได้อนุโมทนากับการฆ่า ถือซะว่าเขาเอาเนื้อสัตว์มาวางไว้ กินก็อิ่ม ไม่กินเนื้อก็เน่าเสียไป

    ผมคิดเห็นถูกผิดประการใดก็ชี้แนะด้วยนะครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 มิถุนายน 2009
  14. amakig

    amakig Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กันยายน 2007
    โพสต์:
    82
    ค่าพลัง:
    +69
    คือพระท่านนะใครถวายอาหารอะไรมาก็ได้แแถมห้ามติเตียนคนมาถวายอาหาร
    ถ้าเป็นประโยชน์ต่อร่างกายท่านกินหมดแหละคับ
    แต่ถ้าพระอยากกินสัตว์ชนิดนี้แล้วบอกญาติโยมให้ไปหามาอันนี้สิผิดวินัยแน่ๆบาปด้วย
     
  15. x:xน่oe

    x:xน่oe เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    95
    ค่าพลัง:
    +112
    กินเจมา 5ปีแล้ว

    ปีนี้ตรงกับวันนี้17ตุลาคม นะค่ะ


    แหะๆๆๆ ถือศีล กินเจ กันเยอะๆนะ
     
  16. สองโลก

    สองโลก สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    20
    ค่าพลัง:
    +12
    ทำไมอาหารเจถึงผลิตออกมามีแต่เป็นรูปร่าง สัตว์ เยอะจัง กุ้ง หอย ปู ปลา เหมือนจริงๆ แสดงว่าเราชอบกินเนื้อสัตว์. หรือเปล่า?
     
  17. บุญพิชิต

    บุญพิชิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    686
    ค่าพลัง:
    +418
    คิดในทางที่ดีผมว่า เป็นอุบายให้คนที่ชอบกินเนื้อสัตว์หันมากินเจครับ
    อาศัยหลักความเคยชิน

    . เรามาหาสาเหตุที่ทำให้มนุษย์กินไม่เลือก ผมว่าเกิดจากจิตใจที่ไม่
    รู้จักพอ หิวก็กินไม่หิวก็กิน เลยทำให้ต้องกินหลายๆอย่างเพราะเบื่อ
    สังเกตุ เวลาเราหิวจัดๆข้าวราดซีอิ๊วยังอร่อยเลย ถ้าเราต้องเลือกกินอาหารสอง
    จานระหว่าง ผัดผักบุ้งกับเนื้อสุนัขราดซ้อส คุณจะกินอย่างไหน
    คุณต้องเลือกผัดผักบุ้งแน่นอน แต่ถ้าเปลี่ยนเนื้อสุนัขเป็นเนื้อวัวโกเบญี่ปุ่น
    คุณจะกินอะไร พอสรุปได้ว่า การจะกินอะไรของมนุษย์นั้นเกิดจาก ความ
    อยาก ความโลภ ฉะนั้นจะกินอะไรอย่างไหนก็เลือกกันเองแล้วกัน
     
  18. kim_potter

    kim_potter เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2008
    โพสต์:
    131
    ค่าพลัง:
    +137
    อย่างนี้ทุกที เห็นกระทู้เกี่ยวกับการกินเจทีไรก็อย่างนี้ทุกที

    ส่วนใหญ่ไม่ค่อยมีใครเห็นด้วย เห็นด้วยก็มีบ้างเล็กน้อย

    เพราะอะไร ก็เพราะคนส่วนใหญ่กินเนื้อกันจนชิน กินมาตั้งแต่เกิด เปลี่ยนความคิดได้คงยาก

    ทำไมเราชอบเห็นประโยคนี้ในกระทุ้แบบนี้ "ถ้ากินเจแล้วก็ยังมีกิเลส ถ้ากินเจแล้วทำตัวไม่ดี ถ้ากินเจแล้ว... ถ้า... สารพัด ถ้า...


    ทำไมต้องมี ถ้า ทำไมต้องมี งง งงมากกกกค่ะ

    กินเจแล้วมีกิเลส กับ การกินเนื้อแล้วยังมีกิเลส อย่างไหนได้บุญเยอะกว่ากันนะ

    แต่บ้างก็ว่า การกินเจไม่ได้ทำให้บุญเพิ่ม เพียงแค่ไม่ได้เบียดเบียนสัตว์เท่านั้น ซึ่งก็เป็นเรื่องดี

    เราก็เป็นคนหนึ่งทีกินเจมามากกว่าสิบปีแล้ว และเห็นว่าการกินเจไม่ได้ทำให้ใครหรือตัวเองเดือดร้อนเลยค่ะ

    และเราก็ไม่ดูถูกคนที่กินเนื้อด้วยค่ะ

    การกินเจ ช่วยให้ผู้ที่กินนั้นมีความเมตตาต่อสัตว์มากขึ้น มีความสงสารสัตว์อยากปกป้องสัตว์มากขึ้น
    คนกินเจว่าจริงไหมคะ?

    เราขออนุโมทนาบุญกับทุกท่านที่กินเจด้วยนะคะ

    ส่วนผู้ที่ไม่ได้กินก็อย่าได้ดูถูกดูหมิ่นคนกินเจเลย เพราะบางทีเราอาจจะได้บาปโดยมิรู้ตัวนะคะ
     
  19. Temper45

    Temper45 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2004
    โพสต์:
    272
    ค่าพลัง:
    +441


    ก็แสดงว่า เขาไม่ได้เข้าใจศาสนาพุทธ มั้ง 5555
     

แชร์หน้านี้

Loading...