น่าเป็นห่วง หลักสูตรพุทธศาสนา จากบางอาจารย์ สอนตายแล้วสูญ ( หลักสูตร ม.1- ม.6)

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย WebSnow, 24 มกราคม 2006.

?
  1. ไม่เห็นด้วย (คิดว่าสอนผิด)

    0 vote(s)
    0.0%
  2. เห็นด้วย (คิดว่าสอนถูก)

    0 vote(s)
    0.0%
  1. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ใจเย็นๆท่านเตชะ เดี๋ยวพอมีเวลาว่าง

    จะเอาของท่านอาจารย์พุทธทาสมาให้อ่าน

    คิดว่าศิษย์ไม่น่าที่จะคิดล้างครูบาอาจารย์นะครับ

    ;aa24
     
  2. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ถือเอาธรรมะอันบริสุทธิ์นั้นว่าเป็นตัวตน เป็นไฉน ??? โดยท่านพุทธทาสภิกขุ...

    แต่ถ้ามีธรรมะก็มีสิ่งป้องกันไม่ให้ต้องมีการกระทำที่น่าละอาย แล้วยิ่งกว่านั้นก็คือ
    เป็นตัวตนแห่งธรรมะที่ไม่รู้จักตาย นี่เรียกว่าเป็นชีวิตนิรันดร
    ผู้ใดมีธรรมะเป็นตัวตน ผู้นั้นเรียกว่ามีชีวิตที่ไม่รู้จักตาย
    ขอให้พยายามมองดูกันในแง่นี้ แล้วมีตัวตนชนิดที่มีชีวิตกันเสียสักที

    เดี๋ยวนี้ชีวิตของคนไม่รู้ธรรมะ คือเป็นปุถุชนคนธรรมดานั้นไม่สดชื่น เรียกว่าวิญญาณนั้นไม่สดชื่น
    ชีวิตในด้านร่างกายเนื้อหนังนั้นยังอยู่ ยังสดชื่นอยู่

    แต่ว่าชีวิตในด้านวิญญาณนั้นไม่สดชื่น เพราะอะไร?
    เพราะว่าไฟ คือ ราคะ โทสะ โมหะ เผาผลาญอยู่เสมอ หรือบ่อยๆ เรียกว่ามันตายเพราะเหตุนี้

    ถ้ามันสดชื่นมันจะปกติ มันจะไม่เปลี่ยนแปลง และมันสดอยู่ด้วยความไม่เร่าร้อน ไม่กระวนกระวาย
    ช่วยจำคำว่า ไม่กระวนกระวายนี้ไว้ให้ดีสักหน่อยเถิด จะเข้าใจพระนิพพานได้
    เดี๋ยวนี้คนยังมีความกระวนกระวายอยู่ตลอดเวลา ดูกันง่ายๆ ก็ตรงที่ว่า

    เมื่อไม่ได้อะไรมาอย่างใจก็กระวนกระวาย เพราะไม่ได้ไม่ได้ของรักของพอใจมาตามที่ตัวต้องการ
    มันก็กระวนกระวายเหมือนกับๆไฟเผาดวงวิญญาณอยู่

    ทีนี้ครั้นได้ของรักของชอบใจมาตามที่ตัวต้องการ มันก็ยังคงกระวนกระวายต่อไปอีกแบบหนึ่ง คือ
    กระวนกระวายด้วยความรักของที่ได้มา หึงและหวงของรักที่ได้มา
    แล้วก็หวาดระแวงต่างๆนานา ด้วยของรักที่ได้มา มีความหวาดกลัวเกี่ยวกับของรักที่ได้มา

    นี้ก็ยังมีความกระวนกระวาย เรียกว่าได้มาสมตามที่ต้องการแล้ว มันก็ยังมีความกระวนกระวาย
    ร้อนอยู่ไปตามเดิม กระวนกระวายทั้งขึ้นทั้งล่อง สมน้ำหน้ามันคนบ้า

    เมื่อมีแต่ความกระวนกระวาย ไม่ได้ตามที่ต้องการก็กระวนกระวาย
    ได้ตามที่ต้องการก็กระวนกระวาย แล้วจะมีความสดชื่นอย่างไรได้
    เราจึงเรียกว่าตายแล้ว มันไม่มีความสดชื่นในความหมายของคำว่าชีวิตเลย
    นี่คนธรรมดาเป็นอย่างนี้ จึงถือว่าเป็นคนตายแล้ว

    แม้จะวิ่งว่อนอยู่ในโลกนี้ตั้งสามพันกว่าล้านคน มันก็ล้วนแต่คนตายแล้ว ไม่นุ่งผ้าด้วยกันทั้งนั้น
    ถ้ามันไม่ถูกกิเลสเผาผลาญแล้ว มันก็ไม่เที่ยววิ่งว่อนไปในโลกให้ยุ่งยากลำบาก
    นี้เรียกว่ากิเลสมันบังคับมันไสหัว มันผลักไสให้ดิ้นไปดิ้นมา มีความกระวนกระวายอยู่เสมอ

    ขอให้มองดูในด้านจิตใจที่ลึกซึ้งอย่างนี้ แล้วให้พบความกระวนกระวาย เร่าร้อน
    อยู่ตลอดเวลาอย่างนี้ว่านี้มันไม่ใช่ชีวิต มันไม่มีชีวิต

    ต่อเมื่อหยุดความกระวนกระวายนั้นเสียได้ จึงจะเรียกว่า มีชีวิต
    นั่นก็คือ พระนิพพาน หรือการบรรลุพระนิพพาน

    ทีนี้พระพุทธเจ้าท่านตรัสสอนว่า มีตนเป็นที่พึ่ง มีธรรมะเป็นที่พึ่ง
    ที่ว่ามีตนเป็นที่พึ่งนั้นให้มีธรรมเป็นที่พึ่ง

    ถ้ามีธรรมะเป็นที่พึ่ง จะเรียกว่ามีตัวตนเป็นที่พึ่งก็ได้
    นี้มันหมายถึงตัวตนที่ได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว
    จากความเป็นตัวตนของคนโง่ของกิเลส ของอวิชชา ที่มีตัวกูของกู อยู่ตามประสาของอวิชชา

    ตัวตนชนิดนี้ได้รับการศึกษา ได้รับการอบรมกล่อมเกลามากขึ้นๆ
    ตัวตนนี้ก็เปลี่ยนไป เป็นตัวตนชนิดที่ตรงกันข้าม คือ ตัวตนของพระธรรม

    ฉะนั้น การที่ท่านสอนให้รู้จักอบรมตัวตนให้ยิ่งขึ้นไป ก็หมายความว่า
    อบรมตัวตนที่เป็นตัวกูของกู อย่างโง่เขลานี้
    ให้สูงขึ้นไปเป็นตัวตนที่สะอาด ปราศจากความยึดมั่นด้วยอุปาทาน
    เหลืออยู่แต่ธรรมะอันบริสุทธิ์ ถือเอาธรรมะอันบริสุทธิ์นั้นว่าเป็นตัวตน



    ;aa24


     
  3. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    คัดลอกจากหนังสือ กระแสแห่งชีวิต การปฏิบัติธรรมที่นำไปสู่นิพพาน
    พระธรรมเทศนาโดย พระธรรมโกศาจารย์ (พุทธทาสภิกขุ)


    [​IMG]

    ;aa24
     
  4. เตชปญฺโญ ภิกขุ

    เตชปญฺโญ ภิกขุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +117
    ตอบข้อข้องใจ โดย เตชปญฺโญ ภิกขุ

    การที่หลวงพี่จะบอกว่า "อาตมายังไม่ทราบและจะลองพิสูจน์ดูตามแนวคำสอนของพระพุทธเจ้า" จริงเป็นคำตอบที่สมควรแก่สมณเพศครับ
    หลวงพี่คิดว่า สิ่งที่พระอริยะทั้งหลายท่านได้กล่าวมานี้

    ***************************

    ****คุณ cantona_zดูว่าน่าจะพอสนทนาด้วย ได้ เพราะดูว่าจะเป็นสุภาพบุรุษ มีเหตุผล ไม่ค่อยจะงมงาย คง เป็นคนมีความรู้ทางโลกพอสมควร จะลองสนทนาด้วยสักพัก แต่ถ้าดูว่าจะเหลวก็คงต้อง
    เลิก***

    ***เรื่องการลองพิสูจน์นั้น นั้นจะต้องอยู่ในขอบเขตที่เห็นว่า ไม่เกิดผลเสียเลย และมีประโยชน์จริง ***

    ***ถ้าเราเชื่อมั่นว่าสิ่งใดสิ่งหนึ่งนั้นมีอยู่จริง แต่บังเอิญมันไม่มีอยู่จริงตามที่เราเชื่อ แล้วเราก็พยายามพิสูจน์เพื่อค้นหาว่ามันมีอยู่จริง แต่ก็ไม่พบสักทีเพราะมันไม่ได้มีอยู่จริง แต่เราก็ยังเชื่อว่ามันมี
    อยู่จริง ดังนั้นเราจึงเชื่อว่าเป็นที่ตัวเรา "ที่ยังพิสูจน์ไม่ได้" เพราะอาจฝึกฝนมาไม่พอ หรือมีคุณสมบัติไม่ถูกต้องเป็นต้นก็ได้ เมื่อเป็นดังนี้ก็จะทำให้เรานั้นเสียเวลาไปตลอดทั้งชีวิต เพราะมาจมอยู่กับ
    เรื่องไร้สาระด้วยความโง่เขลา อย่างนี้ผู้มีปัญญาเขาไม่ทำกัน***

    ***แต่ถ้าให้ปฏิบัตที่นี่และเดี๋ยวนี้ โดยได้ผลทันที และทุกคนก็สามารถปฏิบัติได้ อย่างเช่น ให้ปล่อยวางความยึดมั่นถือมั่นในตนเองลง จิตก็จะนิพพาน(สงบเย็น)ทันที อย่างนี้จึงสมควรทดลองพิสูจน์
    เพราะใครๆก็สามารถทำได้ และไม่มีผลเสียหายเลยแม้แต่น้อยนิด***

    ***เรื่องพระอริยะนั้น อยากจะถามว่า "รู้ได้อย่างไรว่าใครเป็นพระอริยะ?" เราเชื่อตามคนอื่น? หรือเชื่อเพราะคิดเดาเอา? หรือเชื่อเพราะดูจากลักษณะภายนอก? หรือเชื่อจากหนังสือ?***

    (www.whatami.net - www.whatami.8m.com = เว็บไซต์นี้อาจเป็นอันตรายต่อความโง่ของคุณ)
     
  5. เตชปญฺโญ ภิกขุ

    เตชปญฺโญ ภิกขุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +117
    ตอบข้อข้องใจ โดย เตชปญฺโญ ภิกขุ

    ปัญญาที่เกิดจากการคิดตามหลักเหตุผลเพียงอย่างเดียวนั้น ในบางกรณีด้วยสาเหตุที่สมมติฐานและข้อมูลที่เรามีอยู่ไม่สมบูรณ์ อาจทำให้เราสรุปอะไรได้ไม่ถูกต้องได้นะครับ
    ผมจึงเรียนหลวงพี่ว่า การที่เรายังพิสูจน์ไม่ได้นั้น ไม่ได้แปลว่ามันไม่มีอยู่ดังที่ผมได้ยกตัวอย่างไปแล้ว
    ***************************
    ***การคิดตามหลักเหตุผลนั้น ถ้าเราเอาเหตุผลจากความจริงที่เราสามารถสัมผัสหรือรับรู้ได้จริงในชีวิตของเราในปัจจุบันนี้เท่านั้นมาพิจารณา ก็จะทำให้ได้ผลสรุปออกมาอย่างไม่มีทางผิดพลาดได้เลยจริงหรือไม่?***

    ***แต่ในทางตรงกันข้าม ถ้าเราเอาสมมติฐานจากการคาดเดา หรือจากตำรา หรือจากคนอื่น เป็นต้น มันก็อาจทำให้ผลสรุปออกมาผิดพลาดได้เสมอ***

    ***ส่วนเรื่องการพิสูจน์นั้น ศาสนาไหน? หรือลัทธิไหนๆเขาก็ท้าให้พิสูจน์คำสอนของเขาเหมือนกัน***

    ***แล้วเรามิต้องไปพิสูจน์นรก-สวรรค์เป็นต้น ของเขาด้วยหรือ?เพื่อให้รู้ว่าของเขามีจริงหรือไม่มีจริง?***

    ***หรือของเขาไม่มีจริง มีแต่ของเราเท่านั้นที่จริง? (ถ้าเชื่ออย่างนี้ก็เข้าข้างตัวเองมากไปหน่อย ไม่เป็นสากล)***

    ***ถ้าเราพิสูจน์ของเขาไม่ได้ เขาก็ต้องบอกว่า "ยังพิสูจน์ไมได้" เหมือนกันกับเราที่กำลังบอกอยู่ขณะนี้***

    ***ถ้าสิ่งนั้นไม่ได้มีอยู่จริง แล้วเราจะพิสูจน์อย่างไรให้เห็นว่า "มันไม่ได้มีอยู่จริง?" ช่วยตอบคำถามนี้หน่อย?***

    ***สิ่งที่ไม่มีอยู่จริงนั้น เราไม่ต้องไปพิสูจน์มันหรอก เพราะมันก็แสดงความจริงออกมาอยู่ตลอดเวลาแล้วว่า "ไม่มีอยู่จริง"***

    ***แต่สมมติสิ่งที่มีอยู่จริง แต่เรายังพิสูจน์ไม่ได้ มันก็มีค่าเท่ากับ "ไม่มี" เหมือนกัน ใช่หรือไม่? เพราะมันไม่มีผลอะไรกับเรา***

    ***อย่างเช่น เมื่อเราทำชั่ว เราก็ได้รับผลไม่ดี(เดือดร้อนและเศร้าเสียใจ)ในปัจจุบันอยู่แล้ว แต่ถ้าทำดี ก็ได้รับผลดี(สุขสงบและสุขใจ)ในปัจจุบันอยู่แล้ว***

    ***ถ้าเราไม่ทำชั่วเราจะไปกลัวอะไรกับนรกใต้ดิน เพราะถึงมันมีเราก็ไม่ไปตกมันแน่ ใช่หรือไม่?***

    ***ส่วนสวรรค์บนฟ้านั้นอย่าไปสนใจ ถ้ามันมี ถ้าเราทำดี เราก็ต้องได้ขึ้นอยู่วันยังค่ำ จริงหรือไม่?***

    ***แต่ต้องระวัง ถ้าเราทำบุญโดยหวังขึ้นสวรรค์ มันจะกลายเป็นบาป(สิ่งเลวร้าย)ที่ละเอียดลึกซึ้งโดยไม่รู้ตัว***

    *** และถ้านรกใต้ดิน-สวรรค์บนฟ้ามีจริง เมื่อเราทำบาป เมื่อตายไปเราจะต้องไปลงนรกใต้ดิน จริงหรือไม่?(อันนี้พวกบ้าบุญคงรับไม่ได้)***

    (www.whatami.net - www.whatami.8m.com = เว็บไซต์นี้อาจเป็นอันตรายต่อความโง่ของคุณ)
     
  6. เตชปญฺโญ ภิกขุ

    เตชปญฺโญ ภิกขุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +117
    ตอบข้อข้องใจ โดย เตชปญฺโญ ภิกขุ

    การยึดมั่นว่าจิตวิญญาณ โลกหน้าไม่มี โดยบอกว่าคำสอนดังกล่าวเป็นศาสนาพราหมณ์ หรือเป็นส่วนที่พระพุทธองค์ต้องเอออวย หรือเป็นคำสอนที่พระสาวกเพิ่มเติมขึ้นภายหลังนั้น ล้วนเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยการคิดตามหลักเหตุผลโดยยังไม่ได้ผ่านการพิสูจน์ครับ การปฏิเสธว่าไม่มีโดยยังไม่รู้ ย่อมไม่ใช่สิ่งที่นักปราชญ์พึงกระทำ
    ***********************************************
    ***ความจริงคือ "สิ่งที่เราสามารถพบเห็นได้จริง" เช่น "จิตจะต้องอาศัยร่างกายเพื่อเกิดขึ้นมาเสมอ"***

    ***เมื่อไม่มีร่างกาย ก็ไม่มีจิต เมื่อไม่มีจิตที่จะออกจากร่างกายไปได้ ดังนั้นก็แสดงว่า นรกใต้ดิน และสวรรค์บนฟ้าก็ไม่มี***

    ***ส่วนความเชื่อก็คือ "การยอมรับว่าเป็นจริง" โดยอาจจะยอมรับตามความจริงที่เห็นได้จริง หรือยอมรับโดยไม่มีความจริงมาให้เห็นก็ได้***

    *** เช่น "เชื่อว่าจิตไม่ต้องอาศัยร่างกายก็สามารถเกิดขึ้นมาได้เอง" ซึ่งเป็นการยอมรับโดยไม่มีของจริงมาให้เห็น แต่เชื่อตามตำรา หรือตามคนอื่น หรือเดาเอา(คิอฝันไปเอง)***

    ***เมื่อเชื่อว่าจิตจะออกจากร่างกายได้ ดังนั้น ความเชื่อต่อไปว่า "นรกใต้ดินก็มี และ สวรรค์บนฟ้าก็มี" เป็นต้น ก็ย่อมเกิดขึ้นตามมาเสมอ***

    ***แล้วเราจะเอาอะไร? ระหว่าง ความจริง กับ ความเชื่อ ? ***

    ***ถ้าเอาความเชื่อก็แสดงว่า "ไม่ยอมรับความจริง" อันนี้ก็ไม่ว่ากัน เป็นสิทธิ์ของใครจะเชื่ออย่างไรก็ได้***

    ***หรือจะเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง อันก็ไม่ว่ากันอีก ถ้าจะลังเลใจอยู่อย่างนี้ไปจนตาย***

    ***หรือใครจะไม่สนใจ อันนี้ก็ไม่ว่ากัน ถ้าจะไม่สนใจจะค้นหาความจริงเพื่อให้รู้แจ้งชีวิต***

    ***แต่ถ้าเอาความจริง เราก็จะพบว่า "จิตต้องอาศัยร่างกายเพื่อกิดขึ้นมาเสมอ" (เพราะความจริงมันฟ้องอยู่)***

    *** ดังนั้นก็แสดงว่า จิตเป็นแค่เพียง "สิ่งที่ถูกปรุงแต่ง" หรือสร้างขึ้นมาเท่านั้น***

    ***เมื่อจิตเป็น"สิ่งปรุแต่ง" ดังนั้นจิตจึง ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริง"***

    ***เมื่อเข้าใจและยอมรับว่า "จิตไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริง(ชนิดจะที่เป็นอมตะนิรันดร)"และเพ่ง(มีสมาธิ)อยู่เช่นนี้อย่างแน่วแน่***

    *** จิตก็จะปล่อยวางความยึดมั่นถือมั่นในจิตและทุกสิ่งในโลกลง***

    ***เมื่อไม่ยึดมั่น จิตก็ไม่เป็นทุกข์ เมื่อไม่มีทุกข์ มันก็กลับคืนสู่สภาพเดิมของมัน คือ สงบเย็น (นิพพาน)***

    ***ซึ่งนี่คือข้อพิสูจน์ว่า หลักการนี้สามารถนำมาใช้ดับทุกข์ของจิตใจในปัจจุบันได้จริง***

    (www.whatami.net - www.whatami.8m.com = เว็บไซต์นี้อาจเป็นอันตรายต่อความโง่ของคุณ)
     
  7. เตชปญฺโญ ภิกขุ

    เตชปญฺโญ ภิกขุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +117
    ตอบข้อข้องใจ โดย เตชปญฺโญ ภิกขุ

    มีคุณค่าเพียงพอที่จะทำให้หลวงพี่ลองลดละความยึดมั่นและหันมาลองพิสูจน์ว่า"นิพพานสูญหรือไม่" บ้างมั้ยครับ เน้นนะครับว่า"ลองพิสูจน์" ไม่ได้ให้เชื่อ
    *********************************************************
    ***เราอาจจะยังเข้าใจความหมายของคำว่า "นิพพาน" ไม่ตรงกัน***

    ***ลองอธิบายความหมายของ นิพพาน ตามความเข้าใจหรือตามความเชื่อของคุณมาหน่อย?***

    ***หรือคุณเชื่อว่า นิพพาน เป็นบ้านเป็นเมื่องที่เมื่อบรรลุถึงแล้วจะอยู่ที่นั่นอย่างอมตะนิรันดรอย่างที่เว็บนี้เขาเชื่อกันหรือเปล่า?***

    ***ส่วนนิพพานที่เราทุกคนก็สามารถสัมผัสได้จริงในปัจจุบันก็คือ ความสงบเย็นของจิตที่ไม่ถูกกิเลสแผดเผา***

    ***เมื่อใดจิตไม่ยึดมั่น มันก็นิพพาน แต่ถ้าเผลอกลับมายึดมั่นอีกเมื่อใด มันก็กลับเป็นทุกข์อีกเรื่อยไป***

    ***จนกว่าจะสามารถทำลายความเคยชิน(อนุสัย)ที่ฝังอยู่ในจิตใต้สำนึกให้หมดไปได้อย่างถาวร จิตก็จะนิพพานอย่างถาวร(คือตราบเท่าที่จะยังมีจิตอยู่)ได้***

    ***นี่คือหลักอริยสัจ ๔ โดยสรุป ถ้าเข้าใจว่า "จิตเป็นอนัตตา" เมื่อใด ก็จะเห็นอริยสัจ ๔ อย่างแจ้งชัด***

    ***แต่ตราบใดที่ยังไม่เข้าใจว่า "จิตเป็นอนัตตา" ตราบนั้นก็จะยังไม่เห็นแจ้งอริยสัจ ๔ ***

    ***ซึ่งนี่ก็คือสิ่งที่เราทุกคนก็สามารถเข้าใจได้ และทดลองปฏิบัติได้ โดยไม่ต้องใช้ความสามารถพิเศษอะไรเลย***

    *** เพียงมีความเข้าใจอนัตตา(ปัญญา) มีความตั้งใจมั่น(สมาธิ) และเป็นคนดีมีศีลธรรม(ศีล)บ้าง เท่านั้นก็สามารถปฏิบัติได้แล้วทุกคน***

    ***แต่ที่ไม่สามารถปฏิบัติได้ก็เพราะมีความเชื่อที่ผิดๆมาขัดขวางหรือปิดบังสติปัญญาเอาไว้***

    ***ซึ่งความเชื่อที่ผิดๆนั้นก็คือความเชื่อที่ว่า "จิตเป็นอัตตา" ที่สามารถออกจากร่างกายที่ตายแล้วไปเกิดใหม่ได้เรื่อยไป ที่ทำให้เกิดความเชื่อเรื่องจิตเวียนว่ายตายเกิดด และเรื่องนรกใต้ดิน สวรรค์บนฟ้า เป็นต้น ขึ้นมา ตามความเชื่อของศาสนาพราหมณ์ที่ปลอมปนอยู่ในพุทธศาสนาในปัจจุบันนี้นั้นเอง***

    (www.whatami.net - www.whatami.8m.com = เว็บไซต์นี้อาจเป็นอันตรายต่อความโง่ของคุณ)
     
  8. เตชปญฺโญ ภิกขุ

    เตชปญฺโญ ภิกขุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +117
    ตอบข้อข้องใจ โดย เตชปญฺโญ ภิกขุ

    ต้นเหตุของปัญหาทั้งหมด

    ***จุดเริ่มต้นของปัญหาทั้งหมดนี้มันเริ่มมาจากจุดเดียว คือจุดที่ว่า "ยอมรับหรือไม่ว่า ทุกสิ่ง(ไม่เว้นสิ่งใดเลย)ที่เกิดขึ้น ต้องเกิดขึ้นมาจากเหตุ?"***​

    ***เพราะนี่คือ ความจริงพื้นฐานของธรรมชาติ ที่เป็นของธรรมดาๆตามธรรมชาติ ที่เราทุกคนก็รู้ๆกันอยู่และยอมรับกันอยู่แล้ว***

    ***แต่ถ้าเราไม่ยอมรับ และบอกว่า "ยังมีบางสิ่ง(ซึ่งสิ่งนั้นก็คือจิต)ที่สามารถเกิดขึ้นมาได้เองโดยไม่ต้องอาศัยเหตุใดๆก็ได้"***

    ***ก็แสดงว่า "ไม่ยอมรับความจริงพื้นฐานของธรรมชาติที่เป็นของธรรมดาๆนี้" โดยไปคิดเพ้อฝันเอาเองว่า "ยังมีสิ่ง(ซึ่งสิ่งนั้นก็คือจิต)ที่เหนือธรรมชาติอยู่ในธรรมชาตินี้อีก" ***

    ***ซึ่งสิ่งเหนือธรรมชาตินี้เรามักเรียกกันว่าเป็นสิ่งมหัศจรรย์ หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ หรืออิทธิปาฏิหาริย์ หรือของวิเศษ หรือผู้วิเศษ หรือพลังเหนือธรรมชาติ นั่นเอง***

    ***ถ้าใครเป็น "คนที่ไม่ยอมรับความจริง" เพราะไม่ยอมรับความเป็นธรรมดาที่ว่า "ทุกสิ่งที่เกิดขึ้น ต้องเกิดขึ้นมาจากเหตุ" ก็ไม่ควรสนทนาด้วย เพราะเริ่มต้นก็มีความเห็นหรือความเชื่อที่ตรงข้ามกันเสียแล้ว ถึงสนทนาไปก็มีแต่ความเห็นที่ขัดแย้งกันเรื่อยไป ไม่มีทางมาเห็นตรงกันได้***

    ***แต่ถ้าใครเป็น "คนที่ยอมรับความจริง" เพราะยอมรับความเป็นธรรมดาที่ว่า "ทุกสิ่งที่เกิดขึ้น ต้องเกิดขึ้นมาจากเหตุ" จึงสมควรที่จะสนทนาด้วย เพราะเป็นคนจริง ที่ไม่บิดพริ้วโลเล ยอมรับเหตุผล ยอมรับความจริง และมีความเป็นมิตรกับทุกคนอย่างเสมอหน้า ซึ่งบุคคลเช่นนี้จัดว่าเป็นผู้ที่มีสติปัญญาเพียงพอที่จะศึกษาให้เกิดดวงตาเห็นธรรมได้ (บุคคลเช่นนี้นับว่าหาได้ยากในโลก)***

    (www.whatami.net - www.whatami.8m.com = เว็บไซต์นี้อาจเป็นอันตรายต่อความโง่ของคุณ)
     
  9. cantona_z

    cantona_z สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    13
    ค่าพลัง:
    +3
    หากคิดตามหลักของหลวงพี่ ผมสรุปเอาเองว่าหลวงพี่ไม่เชื่อว่าจิตสามารถแยกจากกายได้ กายสูญ จิตย่อมสูญ ดังนั้นผมสรุปต่อว่า หลวงพี่กำลังอธิบายว่า เมื่อจิตแยกไม่ได้ การที่จิตจะเิดินทางไปที่ใด ไม่ว่าการถอดจิต หรือชีวิตหลังความตายย่อมเป็นไปไม่ได้

    "ทุกสิ่งที่เกิดขึ้น ต้องเกิดขึ้นมาจากเหตุ"นั้นถูกต้องแน่นอน ธรรมะของพุทธองค์ย่อมถูกในทุกกรณี.....แต่ จิตเกิดจากกายแน่หรือครับ อะไรทำให้หลวงพี่มั่นใจครับ ส่วนตัวผมแต่ก่อนผมมั่นใจว่า จิตเกิดจากกาย แต่เดี๋่ยวนี้.... ผมไม่ทราบจริงๆครับ และผมว่าตัวผมเองขณะนี้ไม่มีความรู้เพียงพอที่จะอธิบายหลวงพี่ได้ว่า ในเรื่องของจิตนั้น เกิดจากที่ใด ผมยกตัวอย่างนะครับ

    โลก จักรวาล และเอกภพเกิดจากอะไร ?
    เกิดจาก singularity ที่มีมวลสารเป็นอนันต์เกิดระเบิดครั้งใหญ่หรือ big bang ทำให้พลังงานและ สสารแยกจากกัน แล้วเย็นลง บลาๆๆๆๆ เกิดเป็นกลุ่มแก๊ส ดวงดาว ที่ว่าง และอื่นๆ

    แล้ว singularity ล่ะ เกิดจากอะไร?
    ไม่ทราบ.......อ้าว ทุกอย่างเกิดจากเหตุไง หาเหตุมาสิ หาไม่ได้นี่นา แสดงว่ามีสิ่งที่เกิดขึ้นโดยไม่มีเหตุสิ บลาๆๆๆๆ

    มีเพราะมีเหตุ จึงมีผล ถ้ามีิผลแต่ยังหาเหตุได้ไม่ครบถ้วนแปลว่า เกิดขึ้นอยู่เองโดยไม่มีเหตุหรือครับ ผมว่าไม่น่าใช่ อัันนี้ผมตอบท่านที่เป็นแนวศรัทธาแก่กล้า

    ผมว่าเรื่องกำเนิดของจิตมันก็เรื่องเดียวกันแหละครับ เพราะจิตและสังขาร คือส่วนประกอบเบื้องต้นของทุกสิ่ง

    จิตอยู่ได้เพราะมีกาย จริงหรือ
    จิตเกิดเพราะกาย จริงหรือ
    การหาเหตุจากผลในเรื่องบางเรื่อง บางทีมันทำได้ยากครับ อย่างที่พุทธองค์บอกว่าเป็นอจิณไตย ผมว่า เรื่องจิตนี่เถียงกันไม่จบหรอกครับ เพราะคนที่เถึยงกันทั้งสองฝ่ายไม่รู้จริงทั้งคู่ ก็ว่ากันไปตามความเข้าใจตัวเอง ทีนี้แหละอัตตามันเกิดไงครับ พอคนอื่นคิดไม่เหมือนเรา ก็บอกเค้าโง่ เราเป็นอัจฉริยะ ว่ากันไปเรื่อยๆ

    หลวงพี่แน่ใจได้อย่างไรว่าจิตเกิดจากสังขารครับ หลวงพี่ไม่เคยคิดว่า จิตเป็นเหตุและสังขารเป็นผลบ้างเหรอครับ อันนี้ผมไม่ได้สรุปนะครับ ผมแค่คิดไปเรื่อยๆ



    ผมจะบอกหลวงพี่ว่าผมน่ะปฏิเสธเรื่องพวกนี้หัวชนฝามากกว่าหลวงพี่อีก ผมจบวิศวะจากมหาลัยชั้นนำของประเทศ เรื่องวิทยาศาสตร์ผมไม่น้อยหน้าใคร แต่เชื่อมั้ยครับ ว่าหลายๆเรื่อง วิทยาศาสตร์ที่ว่าแน่ก็อธิบายไม่ได้ เค้าบอกว่าศาสนาพุทธเป็นวิทยาศาสตร์ ไม่จริงหรอกครับ ศาสนาพุทธคือการนำความจริงของธรรมชาติมาอธิบาย และวิทยาศาสตร์คือการพยายามอธิบายธรรมชาติ มันจึงสอดคล้องกัน

    สำหรับตัวผมเองนั้นจุดที่ทำให้ความเชื่อว่าชีวิตหลัีงความตายไม่มีจริงอยู่ได้ถูกสั่นคลอน ด้วยการที่นักวิทยาศาสตร์ได้ค้นหาเรื่อง กำเนิดของจักรวาล โครงสร้างอนุภาค การแปรสภาพระหว่างสสารกับพลังงาน กลศาสตร์ควอนตัม ผลที่ได้กลับได้มีแนวโน้มสอดคล้องกับ เนื้อหาภายในพระอภิธรรมอย่างมหัศจรรย์ ยิ่งค้น ยิ่งสอดคล้อง ยิ่งกลายเป็นว่าวิทยาศาสตร์ปัจจุบันตามหลังศาสนาพุทธเป็นพันๆปี
    น่าแปลกที่ไม่เคยมีคำสอนใดๆ ไม่ว่าศาสนาหรือตำราเล่มใดเมื่อ 2500 ปีก่อนกล่าวถึงธรรมชาติในลักษณะนี้ เกือบทั้งหมดเริ่มด้วยคนสร้างโลกคือ พระเจ้า เทพ ผี ปลา ยักษ์etc ผมไม่คิดว่าอัจฉริยะบุคคลผู้หนึ่งจะพบความจริงนี้ด้วยการคิด ตรึกตรองใช้สมอง หลักเหตุหลักผล จนรู้แจ้งเพียงอย่างเดียว มีความเป็นไปได้หรือไม่ที่พระพุทธองค์ค้นพบความจริงเบื้องลึกด้วยจิตของท่าน สำรวจจนรู้แจ้งในทุกสรรพสิ่ง ดังที่กล่าวว่าทรงเป็นสัพพัญญู

    หากเพียงเพื่อการที่จะให้คนเรียนรู้เพื่อรู้จักเข้าใจสภาพจิตใจตน ทำความดี ละเว้นความชั่ว และละวางกิเลสที่เกิดขึ้นชั่วแล่นเพื่อเกิดนิพพานชั่วขณะนั้น ผมคิดว่า พระไตรปิฏก 84000 ธรรมขันธ์มีมากเกินไป คำสอนหลายๆอย่างในพระสูตรไม่มีก็ได้ โดยเฉพาะพระอภิธรรมนอกจากเรื่องอิทัปปจจยตาแล้ว แทบตัดทิ้งได้ สมถะกรรมฐานในระดับที่เกินอุปจาร เช่น ฌานและอรูปฌานไม่มีความสำคัญใดๆเลย

    ผมคิดว่าเป็นไปได้มากที่สิ่งที่พระุพุทธองค์ค้นพบคือความจริงที่มีใน ธรรมชาติในทุกด้าน ทั้งด้านที่เห็นได้ง่ายและในด้านลึก ผมเชื่อว่าสิ่งที่หลวงพี่คิดว่าทั้งหมดเป็นอยู่นั้น เป็นเพียงความจริงครึ่งเดียว คือความจริงเบื้องหน้า หรือปัจจุบัน

    หากพระพุทธองค์ไม่ทรงค้นพบความจริงในเบื้องลึก ชาดกทั้งหลายที่พุทธองค์เล่าว่าชาติโน้น ชาตินี้ท่านเกิดเป็นอะไร ย่อมกลายเป็นการโกหกคำโต ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ใดๆ และทำให้่ผู้รับฟังไขว้เขวได้ง่าย

    ผมอยากถามหลวงพี่ดังนี้ครับ

    ตอนนี้หลวงพี่และผม ในด้านธรรมะแล้วต่างเป็นผู้ไม่บรรลุทั้งคู่ (ผมเชื่อว่างั้นนะครับ แต่ถ้าหลวงพี่จะบอกว่าหลวงพี่บรรลุแล้วก็สุดแท้แต่) หากเทียบธรรมะของพระพุทธองค์เป็นกล่องที่คลุมด้วยกระจกเงา หลวงพี่เห็นเฉพาะด้านเงาสะท้อนออกมาจึงบอกว่าภายในกล่องไม่มี แถมหลวงพี่ยังเอาไปสอนคนอื่นว่า มันไม่มีอยู่ ใครที่เชื่อว่ามีน่ะมันโง่ ถ้ามีก็พิสูจน์ได้ไปแล้ว ต้องอัจฉริยะอย่างอาตมานี่สิของแท้ หลวงพี่คิดว่าหลวงพี่ทำถูกต้องหรือไม่ครับ

    ผมเองก็เห็นเฉพาะข้่างนอกครับ ยังไม่เห็นข้างในเหมือนกัน แต่ผมไม่ได้ปฏิเสธความเป็นไปได้ ผมแค่คิดว่าผมยังไม่รู้ ยังไม่เพียงพอ และน่าจะเริ่มต้นเรียนรู้ตามแนวทางที่ครูที่ดีที่สุดได้สอนไว้ คือพระธรรม

    ผมจึงขอเรียนย้ำหลวงพี่อีกครั้งว่ามันไม่เป็นการเสียหายที่หลวงพี่จะปรับความคิดใหม่ ลองค้นคว้าศึกษาในด้านเชิงลึกของจิตดูบ้าง มีอะไรเสียหายหรือครับ
    หลวงพี่เคยนั่งสมาธิหรือไม่ครับ เคยอยู่ในสภาวะที่เรียกว่าฌานหรือเปล่าครับ ถ้าไม่เคยหลวงพี่รู้ได้อย่างไรครับว่ามันไม่มี ผมคิดว่าเราโตๆกันแล้วน่าจะคุยกันตามหลักเหตุผลได้

    ลองดูสิครับ วิธีการคงไม่ต้องบอก เพราะหลวงพี่ชำนาญพระไตรปิฏกอยู่แล้ว มีอะไรที่เป็นผลเสียจากการลองแบบนี้หรือครับ ต่อให้ไม่พบอะไรอย่างเลวร้ายก็แค่เสมอตัว ดีกว่ามานั่งเถียงฆราวาส การที่จะบอกสไตล์ว่า โอ๊ยก็อาตมาฉลาดกว่าคนอื่น อาตมารู้อยู่แล้วล่ะว่ามันไม่มีแล้วอาตมาจะเสียเวลาพิสูจน์ทำไม ผมว่าหลักการนี้มันแปลกๆอยู่นะครับ ฆราวาสบางท่านศรัทธาแก่กล้าหน่อย เขาก็ว่าเอา กลายเป็นผลเสียต่อจิตเขาไปซะอีก เป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ผมว่าคงไม่ดีนักต่อการหลุดพ้นจากกิเลสของหลวงพี่ ไม่น่าเสียเวลามากหรอกครับ ตอนนี้หลวงพี่เป็นพระ ต้องใช้เวลาทำอะไรมากกว่าเรื่องการละซึ่งกิเลสหรือครับ


    ส่วนสำหรับข้อมูลที่ผมว่าวิทยาศาสตร์ไล่ตามศาสนานั้น หลวงพี่ลองเข้าไปอ่านที่ http://www.doodaw.com ดูก็ได้ครับ ผมว่าเป็นบทความที่ผู้เริ่มต้นและไม่มีความรู้ด้าน physics มากนักสามารถอ่านได้พอเข้าใจ แล้วหลวงพี่ลองย้อนไปเทียบกับพระอภิธรรมของเราดูว่ามีความสอดคล้องกันเช่นไร น่าแปลกใจหรือไม่
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 มิถุนายน 2009
  10. cantona_z

    cantona_z สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    13
    ค่าพลัง:
    +3
    เพิ่มเติมนิดนึง

    ผมคิดว่ามีความเป็นไปได้ที่จะมีนิพพานหลังความตายครับ ผมเองก็ไม่ทราบครับว่าเป็นสภาพใด แต่ผมไม่คิดว่านิพพานเป็นบ้านเมือง เห็นกุฎิเป็นแก้ว เป็นทองคำ etc ครับ
    ผมว่ามันไม่ค่อยจะสอดคล้องกับหลักการของพุทธศาสนาเท่าไหร่ เหมือนกับละกิเลสเพื่อให้ได้ซึ่งกิเลส มันแปลกๆอยู่

    แต่ที่ผมคิดว่าเป็นไปได้เพราะพระพุทธองค์เน้นย้ำเกี่ยวกับ ชาติ ภพ กรรม วัฎสังสาร มากจนเกินความจำเป็นหาก นิพพานหลังความตายไม่มีอยู่จริง แต่อยู่ในสภาพใดนั้น ไว้ถ้าผมได้เป็นพระอรหันต์แล้วจะมาบอกครับ
     
  11. cantona_z

    cantona_z สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    13
    ค่าพลัง:
    +3
    พอดีขี้เกียจไล่อ่านช่วงหน้ากลางๆ หลวงพี่มีความเห็นอย่างไรเกี่ยวกับพระอภิธรรมครับ พอจะช่วยอธิบายตามที่หลวงพี่เข้าใจให้ผมฟังหน่อยได้ไหมครับ
     
  12. cantona_z

    cantona_z สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    13
    ค่าพลัง:
    +3
    เรื่องพระอริยะ ตอบตามตรงว่าเชื่อตามคนอื่น บวกกับได้อ่านคำสอนของบางท่านครับ ยังไม่เคยเจอตัวและได้พบปะพูดคุย ซักท่านเลยครับ
    แล้วหลวงพี่ล่ะครับ เคยเจอพระอริยะบ้างหรือยัง ไม่ทราบว่าดูอย่างไรครับ
     
  13. เตชปญฺโญ ภิกขุ

    เตชปญฺโญ ภิกขุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +117
    ตอบข้อข้องใจโดย เตชปญฺโญ ภิกขุ

    "ทุกสิ่งที่เกิดขึ้น ต้องเกิดขึ้นมาจากเหตุ"นั้นถูกต้องแน่นอน ธรรมะของพุทธองค์ย่อมถูกในทุกกรณี.....แต่ จิตเกิดจากกายแน่หรือครับ
    อะไรทำให้หลวงพี่มั่นใจครับ
    -------------------------------
    ***การศึกษาสิ่งใด เราต้องศึกษาจากของจริงเท่านั้น จึงจะทำให้เราเกิดความเข้าใจและเห็นแจ้งได้อย่าแท้จริง***

    ***การศึกษาจิต ก็ต้องศึกษาจากจิตของเราจริงๆ เราจึงจะเห็นแจ้ง***

    ***ถ้าเราไปศึกษาจากตำรา หรือจากคนอื่น หรือมานั่งคิดเดาเอา จะไม่มีทางเข้าและเห็นแจ้งได้***
    -----------------------------
    -แล้ว singularity ล่ะ เกิดจากอะไร?
    ไม่ทราบ.......อ้าว ทุกอย่างเกิดจากเหตุไง หาเหตุมาสิ หาไม่ได้นี่นา แสดงว่ามีสิ่งที่เกิดขึ้นโดยไม่มีเหตุสิ
    -------------------------------
    ***อันนี้เราไม่จำเป็นที่จะต้องไปรู้มันก็ได้ เพราะไม่เป็นประโยชน์แก่การศึกษาเพื่อดับทุกข์ของเรา***

    ***ส่วนสิ่งที่ควรรู้ว่ามันเกิดจากเหตุหรือไม่ก็คือ จิต ของเราเอง ***
    -----------------------
    จิตอยู่ได้เพราะมีกาย จริงหรือ
    จิตเกิดเพราะกาย จริงหรือ
    การหาเหตุจากผลในเรื่องบางเรื่อง บางทีมันทำได้ยากครับ อย่างที่พุทธองค์บอกว่าเป็นอจิณไตย ผมว่า เรื่องจิตนี่เถียงกันไม่จบหรอกครับ
    เพราะคนที่เถึยงกันทั้งสองฝ่ายไม่รู้จริงทั้งคู่ ก็ว่ากันไปตามความเข้าใจตัวเอง ทีนี้แหละอัตตามันเกิดไงครับ พอคนอื่นคิดไม่เหมือนเรา ก็
    บอกเค้าโง่ เราเป็นอัจฉริยะ ว่ากันไปเรื่อยๆ
    หลวงพี่แน่ใจได้อย่างไรว่าจิตเกิดจากสังขารครับ หลวงพี่ไม่เคยคิดว่า จิตเป็นเหตุและสังขารเป็นผลบ้างเหรอครับ อันนี้ผมไม่ได้สรุปนะครับ
    ผมแค่คิดไปเรื่อยๆ
    -------------------------------------------
    ***ถ้าเราศึกษาจากจิตของเราเอง มันก็จะไม่มีทางผิดพลาด***

    ***จิต คือ สิ่งที่รู้สึกนึกคิดได้ ใช่หรือไม่?****

    ***ก็ดูจากความรู้สึกนึกคิดของจิต ก็จะเข้าใจและเห็นแจ้งจิตได้***

    ***แต่ถ้าเราไปเชื่อจากตำราหรือจากคนอื่น มันก็ไม่ใช่ของจริงที่เราจะเห็นแจ้งได้เอง***

    ***พระพุทธเจ้าก็ทรงสอนให้เราศึกษาจากกายและจิตใจของเราเอง***
    ---------------------------------------
    ตอนนี้หลวงพี่และผม ในด้านธรรมะแล้วต่างเป็นผู้ไม่บรรลุทั้งคู่ (ผมเชื่อว่างั้นนะครับ แต่ถ้าหลวงพี่จะบอกว่าหลวงพี่บรรลุแล้วก็สุดแท้แต่)
    หากเทียบธรรมะของพระพุทธองค์เป็นกล่องที่คลุมด้วยกระจกเงา หลวงพี่เห็นเฉพาะด้านเงาสะท้อนออกมาจึงบอกว่าภายในกล่องไม่มี
    แถมหลวงพี่ยังเอาไปสอนคนอื่นว่า มันไม่มีอยู่ ใครที่เชื่อว่ามีน่ะมันโง่ ถ้ามีก็พิสูจน์ได้ไปแล้ว ต้องอัจฉริยะอย่างอาตมานี่สิของแท้ หลวงพี่
    คิดว่าหลวงพี่ทำถูกต้องหรือไม่ครับ
    ------------------------------------
    ****ถ้าไปเชื่อในสิ่งที่ตัวเองยังไม่พบเห็นด้วยตัวเอง อันนี้มิโง่กว่าคนที่ไม่เชื่อ ใช่หรือไม่?***
    ----------------------------------
    ผมจึงขอเรียนย้ำหลวงพี่อีกครั้งว่ามันไม่เป็นการเสียหายที่หลวงพี่จะปรับความคิดใหม่ ลองค้นคว้าศึกษาในด้านเชิงลึกของจิตดูบ้าง มีอะไร
    เสียหายหรือครับ

    ------------------------------
    ***ศึกษาจิต ก็ต้องศึกษาจากจิตของเราเอง ถ้าไปคิดคำนวณตามตำราก็ไม่มีทางเห็นแจ้งจิต***

    -------------------------
    หลวงพี่เคยนั่งสมาธิหรือไม่ครับ เคยอยู่ในสภาวะที่เรียกว่าฌานหรือเปล่าครับ ถ้าไม่เคยหลวงพี่รู้ได้อย่างไรครับว่ามันไม่มี ผมคิดว่าเรา
    โตๆกันแล้วน่าจะคุยกันตามหลักเหตุผลได้
    ----------------------------
    ***ถ้าตอบไปใครจะเชื่อ นี่เป็นคำถามที่คนมีปัญญาเขาไม่ถามกัน***

    ***ถึงตอบไป คนถามจะรู้ได้อย่างไรว่าคนตอบ เขาตอบจริง?***
    -----------------------------
    "ทุกสิ่งที่เกิดขึ้น ต้องเกิดขึ้นมาจากเหตุ"นั้นถูกต้องแน่นอน ธรรมะของพุทธองค์ย่อมถูกในทุกกรณี
    ---------------------------------
    ***ถ้าอย่างนั้นก็แสดงว่า จิตก็ต้องเกิดมาจากเหตุ ****

    ***แล้วอะไรคือเหตุให้เกิดจิต ????****

    ***แล้วเหตุของจิตนั้นจะสามารถตั้งอยู่อย่างถาวร(อมตะนิรันดร)ได้หรือไม่?***

    ***แล้วอะไรคือเหตุของเหตุที่ทำให้เกิดจิต? เราต้องพิจารณาให้ลึกซึ้ง ไม่ใช่คิดติ้นๆ***

    ***เมื่อจิตเกิดจากเหตุ ก็แสดงว่า จิตเป็นอนัตตา***

    **แล้วเราเข้าใจ "อนัตตา" ตามหลักวิทยาศาสตร์แล้วหรือยัง?***
    ---------------------
    พอดีขี้เกียจไล่อ่านช่วงหน้ากลางๆ หลวงพี่มีความเห็นอย่างไรเกี่ยวกับพระอภิธรรมครับ พอจะช่วยอธิบายตามที่หลวงพี่เข้าใจให้ผมฟังหน่อยได้ไหมครับ
    ------------------------
    ***อภิธรรมเป็นเรื่องที่แต่งขึ้นในภายหลังพุทธปรินิพพาน***

    ***เป็นการจำแนกจิตออกเป็นดวงๆ โดยไม่จำเป็นต้องไปรู้ และยังดับทุกข์ไม่ได้ มีแต่โวหารไพเราะเท่านั้น อีกทั้งยังเชื่อเรื่องจิตออกจากร่างได้***
    -----------
    เรื่องพระอริยะ ตอบตามตรงว่าเชื่อตามคนอื่น บวกกับได้อ่านคำสอนของบางท่านครับ ยังไม่เคยเจอตัวและได้พบปะพูดคุย ซักท่านเลยครับ
    แล้วหลวงพี่ล่ะครับ เคยเจอพระอริยะบ้างหรือยัง ไม่ทราบว่าดูอย่างไรครับ
    -------------
    ***พระอริยะนั้นต้องค้นหาภายในตัวเอง ถ้าไปหาที่อื่นก็มีแต่จะถูกหลอก***
    --------------
    (www.whatami.net - www.whatami.8m.com = เว็บไซต์นี้อาจเป็นอันตรายต่อความโง่ของคุณ)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 มิถุนายน 2009
  14. cantona_z

    cantona_z สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    13
    ค่าพลัง:
    +3
    แล้วแต่หลวงพี่เห็นสมควรแล้วกันครับ ผมเองหมดความสามารถแล้ว อนุโมทนาครับ
     
  15. เตชปญฺโญ ภิกขุ

    เตชปญฺโญ ภิกขุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +117
    ตอบข้อข้องใจโดย เตชปญฺโญ ภิกขุ

    ***การศึกษาธรรมะนั้น ไม่จำเป็นต้องมีสมาธิสูงๆก็ได้ ไม่จำเป็นต้องเรียนรู้มากๆก็ได้***

    ***ของเพียงเป็นคนรักเหตุผล ยอมรับความจริง ก็ศึกษาให้เกิดดวงตาเห็นธรรมได้แล้ว***

    ***โดยจุดเริ่มต้นมันอยู่แค่จุดเดียว คือ "ยอมรับหรือไม่ว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้น ต้องเกิดขึ้นมาจากเหตุ(และปัจจัย-เหตุย่อยๆที่มช่วยสนับสนุน)เท่านั้น"

    ***"ถ้ายอมรับ" แล้วพิจารณาทุกสิ่งโดยเฉพาะจิต ก็จะพบ "อนัตตา" และบรรลุธรรม(มีดวงตาเห็นธรรม)ได้โดยไม่ยาก***

    ***แต่ "ถ้าไม่ยอมรับ" ก็จะเป็นความดื้อรั้นอย่างเห็นได้ชัด เพราะแสดงว่าไม่ยอมรับความจริง ที่ใครๆที่พอมีความรู้อยู่บ้างเขาก็ยอมรับกันทั้งนั้น***

    ***คนดื้อรั้นก็จะเชื่อตามคนอื่นบ้าง ตามตำราบ้าง ตามการคาดเดาของตัวเองบ้าง ไปเรื่อย ซึ่งจะไม่มีทางเข้าใจว่า "ทุกสิ่ง(รวมทั้งจิต) เป็นอนัตตา" ได้***

    ***คนที่มีความรู้ทางโลก คงเข้าใจได้ไม่ยาก แต่ที่ไม่เข้าใจเพราะถูก "ความเชื่อ" ที่ยึดถือไว้อย่างเหนียวแน่น มาปิดบังเอาไว้***

    ***ถ้าเป็นคนต่างชาติ ที่เขาไม่ยึดติดในศาสนาใดเลย แต่เข้าใจหลักวิทยาศาสตร์ เขาจะยอมรับโดยง่าย ไม่เชื่อลองเอาหนังสือของอาตมาไปให้คนหัวแข็งชาวต่างชาติเขาศึกษาดู***

    ***ลองอ่านหนังสือ "พุทธศาสนาสำหรับผู้เริ่มต้น" ของอาตมาที่แก้ไขใหม่ดู และลองเอาไปให้ชาวต่างชาติเขาศึกษาดู แล้วถามว่าเขาคิดเห็นอย่างไร? www.whatami.net/for/bud.html ***

    ***(ต่อไป อาตมาอาจจะถูกลบชื่อออกจากสมาชิกเวบนี้ เพราะสอนเรื่องที่เว็บมาสเตอร์ เขาเห็นว่าเป็น "มิจฉาทิฎฐิ" ซึ่งคงจะไมได้พบกันอีก)***
    ----------------------------------------------

    (www.whatami.net - www.whatami.8m.com = เว็บไซต์นี้อาจเป็นอันตรายต่อความโง่ของคุณ)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 มิถุนายน 2009
  16. ลัก...ยิ้ม

    ลัก...ยิ้ม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 เมษายน 2005
    โพสต์:
    3,409
    ค่าพลัง:
    +15,762
    ขอโมทนาบุญทุก ๆ ท่านที่มีความปรารถนาดีและหวังช่วยกันค้ำชู สืบต่อพระพุทธศาสนา

    และส่วนใหญ่ก็จะจบลงตรงที่การวางอุเบกขา และไม่สามารถที่จะนำความกระจ่าง(ความสว่าง ความจริงอันงดงามของพระธรรม)สู่ท่านห่มเหลืองได้ อันอาจจะเนื่องจากจิตท่านบอด....เวรกรรม

    ขอให้พวกเราผู้เป็นพระพุทธศาสนิกชนโดยแท้และด้วยจิตอันศรัทธาแรงกล้า โปรดจงรวมตัวและปรองดองสามัคคีกันไว้ ร่วมแรง ร่วมใจช่วยกันค้ำชูพระศาสนาของพวกเราต่อไปเถิด
     
  17. เตชปญฺโญ ภิกขุ

    เตชปญฺโญ ภิกขุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +117
    ตอบข้อข้องใจโดย เตชปญฺโญ ภิกขุ

    ***ถ้ากล่าวว่า "ทุกสิ่งที่เกิดขึ้น ต้องมาจากเหตุปัจจัย" อย่างนี้จะเป็น สัมมาทิฎฐิ หรือ มิจฉาทิฎฐิ***

    (www.whatami.net - www.whatami.8m.com = เว็บไซต์นี้อาจเป็นอันตรายต่อความโง่ของคุณ) ​
     
  18. เตชปญฺโญ ภิกขุ

    เตชปญฺโญ ภิกขุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +117
    อัตตา - ของพราหมณ์ ***** อนัตตา - ของพุทธ

    อัตตา - ของพราหมณ์ ***** อนัตตา - ของพุทธ


    เราต้องศึกษาความหมายของคำว่า อัตตา ของพราหมณ์ให้เข้าใจ จึงจะเข้าใจคำว่า อนัตตา ของพระพุทธเจ้า

    อัตตา ตามความหมายของศาสนาพราหมณ์ เขาหมายถึง ตัวตนที่เที่ยงแท้ถาวร ที่เป็นอมตะ หรือไม่ตาย หรือจะคงอยู่ไปชั่วนิรันดร โดยเขาสอนว่า จิต หรือ วิญญาณ ของคนเรานี้เป็น อัตตา ที่จะสามารถออกจากร่างกายที่ตายไปแล้วได้

    ส่วนพระพุทธเจ้าตรัสรู้ อนัตตา คือค้นพบว่า "ไม่มีสิ่งใดที่จะเป็น อัตตา" ตามความเชื่อของศาสนาพราหมณ์ได้

    เท่ากับว่า จิต หรือ วิญญาณ ของคนเรานี้ไม่ใช่ตัวตนที่เที่ยงแท้ถาวร ชนิดที่จะออกจากร่างกายที่ตายแล้วและไปเกิดยังร่างกายใหม่ๆได้

    ดังนั้นก็เท่ากับว่า นรกใต้ดิน และ สวรรค์บนฟ้า ผี เทวดา นางฟ้า เป็นต้น ก็ไม่มีตามไปด้วย

    และความเข้าใจเรื่องนี้ก็จะทำให้มองเห็นความว่างจากตัวตน (สุญญตา) อันจะทำให้เกิดปัญญาที่จะนำมาใช้ร่วมกับสมาธิ เพื่อดับทุกข์ ตามหลักอริยสัจ ๔ ของพระพุทธเจ้า

    ขอให้ช่วยกันนำคำสอนที่แท้จริงของพระพุทธเจ้าให้กลับมาสู่พุทธศาสนา อย่ามีแต่ชื่อ "พุทธ" ส่วนเนื้อหากลับเป็น "พราหมณ์" อย่างเช่นในปัจจุบัน

    (www.whatami.net - www.whatami.8m.com = เว็บไซต์นี้อาจเป็นอันตรายต่อความโง่ของคุณ)
     
  19. dhamaskidjai

    dhamaskidjai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มกราคม 2009
    โพสต์:
    1,855
    ค่าพลัง:
    +5,727
    ที่ รร มปลายไม่ได้สอนแบบนี้
    แต่สอนแบบ
    ประวัติชมพูทวีป
    กาลามาสูตร
    อรินสัจ 4
    ก็ถูกอะนะ
    แต่แบบ อย่างให้มีเรื่องปฎิบัติบ้าง
     
  20. ธรรมะสวนัง

    ธรรมะสวนัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,305
    ค่าพลัง:
    +1,255
    อัตตาของพราหมณ์-อัตตา(ที่พึ่ง)ของพุทธ

    เป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปว่า สิ่งใดที่จะเป็นอัตตาได้นั้น
    สิ่งนั้นจะต้องมีคุณลักษณะที่อาจยกมาแสดงได้ ๔ ประการ ดังนี้คือ
    ๑.นิจฺโจ (เที่ยงแท้)
    ๒.ธุโว (คงทน)
    ๓.สสฺสโต (ถาวร)
    ๔.อวิปริณาม (ไม่แปรผันเป็นอย่างอื่น)


    ในศาสนาพราหมณ์นั้น ถือว่าพระพรหมมีอายุยืนยาวมาก
    เมื่อเปรียบเทียบกับสัตว์อื่นที่เวียนว่ายตายเกิดอยู่ในภพภูมิต่างๆด้วยกันแล้ว แตกต่างกันมากมาย
    กล่าวคือสัตว์อื่นได้เวียนเกิดแล้วตาย, เกิดแล้วตายเป็นจำนวนหลายสิบหลายร้อยครั้งแล้ว
    แต่พระพรหมก็ยังคงดำรงตนอยู่ในสภาพเช่นนั้น
    จึงเกิดความประมาทขึ้นและเข้าใจว่าตัวเองไม่ตาย และได้บัญญัติเรียกตนเองว่าเป็นอัตตาขึ้น


    ผู้ที่นับถือศาสนาพราหมณ์เรียกพระพรหมว่าเป็นมหาตมัน (อัตตาใหญ่)
    และเข้าใจว่าสัตว์อื่นๆทั้งหลายล้วนแต่แตกแยกออกมาจากพระพรหมทั้งสิ้น
    เมื่อปรารถนาจะกลับไปเป็นพระพรหมอีก ก็ต้องลงมือบำเพ็ญตบะ, ทำฌานสมาบัติไว้
    ครั้นตายลงเมื่อใด ก็จะได้กลับไปรวมอยู่กับพระพรหมซึ่งเป็นสภาพธรรมที่เป็นอัตตา อีกในที่สุด.



     

แชร์หน้านี้

Loading...