กรรมฐานชำระจิต

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย rinnn, 4 เมษายน 2006.

  1. rinnn

    rinnn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    7,666
    ค่าพลัง:
    +24,025
    <table style="font-size: 12px;" align="center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="560"><tbody><tr style="font-size: 12px;" valign="top"><td style="font-size: 12px;" class="title" height="65" width="278">:<!-- InstanceBeginEditable name="groupname" -->: พุทโธโลยี ::<!-- InstanceEndEditable --></td> <td style="font-size: 12px;" class="txt9" align="right" width="282"><!-- InstanceBeginEditable name="name" -->ธรรมบรรยาย
    กรรมฐานชำระจิต
    พระราชสุทธิญาณมงคล (จรัญ ฐิตธมฺโม)
    เจ้าคณะจังหวัดสิงห์บุรี และ เจ้าอาวาสวัดอัมพวัน อ.พรหมบุรี จ.สิงห์บุรี
    ผู้มีปณิธานมั่นคง และ มีผลงานพัฒนาคนให้สูงด้วยคุณธรรม<!-- InstanceEndEditable --></td> </tr> <tr style="font-size: 12px;" valign="top"> <td style="font-size: 12px;" colspan="2"><!-- InstanceBeginEditable name="txt" --> การที่เรามาแสวงหาพระก็คือ การที่เรามาเจริญพระกรรมฐานให้จิตใจได้อาบน้ำบ้าง เรามาอาบน้ำให้จิตใจสะอาด เหมือนไม่ให้ไฝฝ้ามาขึ้นใบหน้าแต่ประการใด ซึ่งการจะทำได้นั้นยากมาก ก็เพราะเราไม่สนใจ ไม่ใส่ใจ ย่อมเป็นสิ่งยากอยู่ แต่ถ้าเราปฏิบัติจนเคยชินแล้ว มันก็ไม่ยากแต่อย่างใด
    <table style="font-size: 12px;" background="../images/dot01.gif" border="0" cellpadding="10" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr style="font-size: 12px;"> <td style="font-size: 12px;">[​IMG]</td> <td style="font-size: 12px;">ท่านสาธุชนทั้งหลาย พุทธบริษัททุกท่าน การชำระกายเราก็อาบน้ำกันวันละหลายเวลา ซักเสื้อผ้าสะอาดสวยไม่มีด่างดำ ทุกคนต้องการทั้งนั้น แต่ปัญหาอยู่ที่จิตใจนั้น เราไม่ได้ชำระ เราไม่ได้อาบน้ำให้มันเลย จิตใจมันก็อาจเป็นไฝฝ้าอยู่ในจิตใจเรา บ้างตามสมควร</td> </tr> </tbody></table> นี่แหละเราจึงมีความทุกข์ไม่เหมือนกัน ทุกข์กายมันก็ไปถึงทุกข์ใจได้ด้วย เราสะอาดอาบน้ำชำระร่างกายให้มันสะอาดหมดจดแล้ว มันก็สวยในด้านร่างกาย ถ้าจิตใจถูกอาบน้ำไปพร้อม ๆ กันด้วยการบริหารกายบริหารจิตให้อดทน เวลาก็จะได้มีประโยชน์ในชีวิตในกิจประจำวันของท่านทั้งหลายอย่างสมมาดปรารถนา แต่เราก็ไม่เข้าใจ เราอยากจะสวย มีเครื่องเสริมสวย สร้างสรรค์ใบหน้านวลผ่อง สะอาดเหมือนเราแต่งตัวกันฉันนั้น แต่จิตนั้นไม่มีใครไปแต่ง ทำให้จิตใจเลยร้ายไร้สาระ ถึงกายจะสะอาดอย่างไรก็จะหาความสุขไม่ได้เลย แต่ก็ยังดีอยู่ที่เราได้ชำระกายอาบน้ำ แต่งตัว ซักผ้าซักผ่อนสะอาดรีดให้สวยงามก็สามารถรีดให้ได้ แต่มันก็ไม่มีความสุข จิตใจก็ไม่สบาย จะทำอย่างไรดีหนอ จิตใจจึงจะสะอาด อาบน้ำให้จิตใจบ้าง คือ การเจริญพระกรรมฐาน ชำระให้สะอาด มีหนทางเดียวเท่านั้นที่จะทำให้จิตใจสะอาด เกิดความสุข ท่านจะได้ไม่มีความทุกข์ ท่านจะไม่ชอบหรือประการใด อย่าเอาทุกข์ไปไว้ที่จิตใจ ทุกข์กายก็มากหลาย ทุกข์ใจก็มากมี เราจึงสร้างความดีไม่ได้แน่นอนที่สุด
    <table style="font-size: 12px;" background="../images/dot01.gif" border="0" cellpadding="10" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr style="font-size: 12px;"> <td style="font-size: 12px;">ถ้าท่านไม่สร้างสรรค์ อาบน้ำให้จิตใจให้สะอาดแล้วนั้น ท่านจะไม่พบพระที่อยู่ในจิตใจ ไปพบพระแต่ภายนอก ไปเห็นพระสงฆ์องค์เจ้าเรียบร้อยสวยน่าเลื่อมใสน่าศรัทธา แต่จิตใจของเราไม่ประเสริฐพอที่จะไปไหว้พระ ถ้าท่านชำระใจให้สะอาด อาบน้ำให้จิตใจของท่านเหมือนอาบน้ำที่กาย ลงพื้นวาดแผนที่ให้สะอาดหมดจดแล้วก็สวย แต่มันก็ยังไม่น่ารัก สวยกายยังไม่น่ารัก มันอาจจะน่าเกลียดก็ได้ ถ้าเราชำระจิตใจสะอาด อาบน้ำให้มันเหมือนเราอาบน้ำให้ร่างกายสังขารทั้งหลายเหล่านี้ ท่านจะเกิดพระ ใจจะไม่เลอะเทอะ จิตใจจะไม่เปรอะเปื้อน จิตใจจะสะอาด ปราศจากมลทิน ชีวิตนี้จะอยู่ในถิ่นฐานแห่งความสงบ ได้สุขีสร้างความดีให้กับตัวเอง ชีวิตของท่านก็จะแจ่มใส ใจก็จะสะอาด ท่านจะมีทั้งสุขกายสุขใจ ไม่มีความทุกข์กายทุกข์ใจอีกแน่นอนที่สุด</td> <td style="font-size: 12px;">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> ตรงจุดนี้แหละเป็นจุดที่ท่านมาวัดใช่หรือไม่ ไม่ใช่ไปบนบานศาลเกล่า คำว่า "บนบวช" มันตรงกับคำว่า "บ่น" บ่นเป็นหมีกินผึ้งแล้วหาที่พึ่งไม่ได้เลย ถ้าเราพึ่งตัวเองได้ ก็คือ ชำระกาย ชำระร่างกายสังขาร
    เราท่านทั้งหลายเอ๋ย ถ้าท่านเหงื่อหยดลูกคางแล้วไม่อาบน้ำ ท่านจะเป็นอย่างไรบ้าง เสื้อผ้าเหนียวเหนอะหนะ ท่านจะไม่มีความสบายแต่ประการใด ถ้าเราได้อาบน้ำชำระเอาสบู่ถู ขัดเหงื่อขัดไคลให้มันหมดไป เสื้อผ้าซักให้สะอาดหมดจด มันก็สบายกาย แต่จิตท่านยังไม่สบายท่านจะทำอย่างไร บ้านใหญ่โตอย่างกับวัดก็ยังหาความสบายไม่ได้เลย มีแต่ความขัดข้องไปหมด เพราะจิตไม่สะอาด จิตไม่เสบย ขาดความสบาย ถ้าท่านชำระจิตด้วยการเจริญพระกรรมฐาน ชำระกาย สิวฝ้าไม่มีหน้าตาก็ผ่องใส ใจก็สะอาดหมดจด สวยสดงดงาม ใจก็งาม ใจท่านก็ดี ท่านจะไม่เป็นคนใจดำ ท่านจะไม่เป็นคนใจต่ำทรามอีกต่อไป ท่านจะมีแต่ความสุขสนุกในการทำงาน สามีภรรยาก็รักกันด้วยปัญญา
    <table style="font-size: 12px;" background="../images/dot01.gif" border="0" cellpadding="10" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr style="font-size: 12px;"> <td style="font-size: 12px;">ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย พระพุทธเจ้าสอนเป็นสัจธรรมให้บริหารกายเข้มแข็ง ชำระกายอยู่เสมอ ผ้าผ่อนก็ซักอยู่เสมอ นับประสาอะไรผ้าขาวที่นุ่งใส่ ๓ วัน ถ้าไม่ซักมันก็เกิดมัวหมองไม่ผ่องใส จิตใจก็ฉันนั้น เราไม่ได้ชำระใจกันเลย ไม่อาบน้ำที่จิตใจ เราชำระกันแต่ร่างกาย ขัดสีฉวีวรรณให้ผุดผ่อง นี่หรือจะเป็นทองคำธรรมชาติที่หล่อเหลา จิตใจท่านจะไม่มีความสบาย มีแต่ความทุกข์ ไม่อาบน้ำที่จิตใจ หาสันติไม่ได้แล้ว ท่านจะสันติได้อย่างไร หนักก็ไม่เอา เบาก็ไม่สู้ ความรู้ก็ไม่มี ความดีก็ไม่ได้ ท่านจะได้อะไรหรือ</td> </tr> </tbody></table> ขอให้ท่านมีพระติดตัวไปบ้าง พระประจำใจดีกว่าพระประจำบ้าน มีพระประจำจิตมีชีวิตประจำใจ ท่านจะไปเหนือมาใต้ใจก็สว่าง ใจก็ประเสริฐล้ำเลิศทุกประการ จะทำมาหากินอยู่ในถิ่นฐานใด จะไปอยู่บ้านกระท่อมก็จะมีแต่ความสุข ไปอยู่บ้านใหญ่โตก็มีแต่ความสุข ถ้าดีได้มีพระได้ ท่านจะไปอยู่ที่ไหนดีหมด ไม่ต้องไปเลือกที่อยู่ ไม่ต้องเลือกที่ทำมาหากิน ถ้าคนดีอยู่ที่ไหนดีหมด จะขึ้นบ้านใครบ้านนั้นก็เป็นมงคล ส่วนคนที่จิตใจเลว ๆ ใจดำอำมหิตเหี้ยมโหดทารุณดุร้ายฆ่าสัตว์ตัวเป็นให้จำตายนั้น จะขึ้นบ้านใครก็มีแต่ความเดือดร้อน ทุกข์ร้อนใจหาความสุขสนุกไม่ได้เลย
    เดี๋ยวเราก็ตายจากโลกไปแล้ว หาความสบายให้กับจิตใจบ้างไม่ได้เลยหรือ หาความสุขให้กับตัวเองบ้างไม่ได้หรือ แต่ถ้าไปหาความสุขที่มันเจือปนไปด้วยความทุกข์ ไปหาความยากไปหาความลำบากไปให้จิตใจมีทุกข์ ความสุขความเจริญนี้ไม่ยากไม่ลำบากจนเกินไป แต่ก็ยากสำหรับคนที่ไม่สนใจทำความดี ไปสนใจแต่ความชั่ว เอาตัวไม่รอดไม่ปลอดภัย มีแต่กาลีบ้านกาลีเมือง อยู่เมืองไหนก็เดือดร้อนเมืองนั้น เรียกว่าคนกาลีบ้านกาลีเมือง
    <table style="font-size: 12px;" background="../images/dot01.gif" border="0" cellpadding="10" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr style="font-size: 12px;"> <td style="font-size: 12px;">[​IMG]</td> <td style="font-size: 12px;">คนที่ดีมีปัญญา ตกที่ไหนก็งอกที่นั้น จะเป็นเขยใคร สะใภ้ใคร บ้านนั้นจะมีแต่ความเจริญรุ่งเรืองตลอดรายการ คนที่เป็นกาลีบ้านกาลีเมืองไปไหนก็มีแต่ขัดเคืองเคียดแค้นแสนจะคิด เขาเหล่านั้นไม่สามารถจะแผลงฤทธิ์กาลายเพศเป็นเศรษฐีได้ มีแต่กาลีบ้านกาลีเมือง เรียกว่า คนกาลกิณี หาความดีไม่ได้ คนที่เป็นกาลกิณีไปไหนเอาดีไม่ได้ ถ้าไม่เอากาลกิณีออกจากจิตใจ ตัวท่านจะอยู่ที่ไหนก็มีแต่ความทุกข์ ไม่ต้องไปหาตลาดใหญ่ ๆ ทำการค้า ถึงตลาดใหญ่โตก็ไม่มีคนมาซื้อของ แต่ถ้าเราดีจะอยู่ตลาดเล็กเดี๋ยวก็เป็นตลาดใหญ่ ใหญ่ด้วยจิตใจ จิตใจก็งาม จิตใจก็ดี จิตใจก็มีปัญญา แหลมลึกปักอยู่ในสติปัญญาของตนนั้น ตนก็จะได้รุ่งเรืองเจริญด้วยวัฒนาสถาพร ไปอยู่ที่ไหนบ้านเมืองนั้นก็เจริญรุ่งเรือง</td> </tr> </tbody></table> การเจริญพระกรรมฐาน ต้องการเข้าถึงพระพุทธธรรมให้ถึงพระพุทธเจ้า มานั่งใกล้เคียงพระพุทธเจ้า นั่งล้อมวงเรียกว่า พุทธบริษัท ขจัดความชั่ว ที่เรียกว่า พุทธบริษัท เพราะมีพระพุทธเจ้าประจำจิต คือ พระปัญญาคุณ พระวิสุทธิคุณ พระมหากรุณาธิคุณ อุ่นใจไม่มีความท้อแท้ใจ มีแต่ความอดทน อดกลั้น อดออม ประนีประนอมยอมความ หนักนิดเบาหน่อยให้อภัยกันจึงเป็นมณีแก้ว กล่าวแล้วคือพระอภัยมณี สร้างความดีให้แก่ตัวเป็นต้น
    เรามาเจริญพระกรรมฐานต้องการมาสร้างความดี การจะสร้างความดีให้จับจิตจับกาย ทำใจให้ผ่องแผ้วเสมอ ทำใจอย่าให้แตกร้าวระราน ด้วยการเจริญสติปัฏฐาน ๔ จะผ่องแผ้วเมื่อนั้น จะปรองดองเหมือนญาติพี่น้องไม่ทะเลาะกัน ถ้าท่านสร้างแต่ความทุกข์ หาความสนุกแต่ชั่วคราวด้วยการดื่มสุราหาความสุขด้วยการเล่นการพนัน นั่นแหละท่านกำลังเดินไปหาความทุกข์ ไปชอปปิ้งที่โน่นที่นี่ หนักเข้าก็เกรียบ หนักเข้าก็กรอบหมดเงินทองก็หมดเนื้อหมดตัว พัวกันอยู่ในกิเลส กรอบไม่มีขอบเขต
    <table style="font-size: 12px;" background="../images/dot01.gif" border="0" cellpadding="10" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr style="font-size: 12px;"> <td style="font-size: 12px;">ผู้ที่สร้างความดีต้องมีขอบเขต มีระบบมีระเบียบเหมือนแหวนเพชร เอามาหว่านไว้กลางถนน มันจะไม่มีราคา ถ้าท่านนำเอาเพชรมาประดับหัวแหวน มันจะมีราคาค่างวด เช่นเดียวกัน ความดีเอาไว้ที่จิตใจอย่าไปทิ้งไปขว้างกลางถนนหนทาง ท่านจะไร้สาระ ท่านจะขาดเหตุผล ท่านจะไม่มีความดีให้แก่ตน ขอฝากท่านทั้งหลายไว้โดยทั่วหน้ากัน</td> <td style="font-size: 12px;">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> เรามาสร้างความดีต้องละความชั่ว อย่าไปโกรธใคร อย่าไปมองคนในแง่ร้าย ถ้าจิตใจเราไม่ดีก็มองของดีเป็นของชั่วไปหมด มองของชั่วกลายเป็นของดีไปหมด เข้าในหลักโบราณท่านว่าไว้ เป็นสัจธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าแท้แน่นอนที่สุด เห็นกงจักรกลายเป็นดอกบัว เห็นความชั่วกลายเป็นความดี แต่บางท่านจิตใจสะอาดเขาไม่มองดูของสกปรก เขากลัวเสียสายตาของเขา มองในแง่ดีเสมอก็ขอเจริญพรอย่างนั้น
    การเจริญสตินี้ดีที่สุดแล้ว ถ้าคนใดขาดสติไป รับรองเวลาถูกล้อหน่อยก็โกรธ เดี๋ยวนี้อาตมาไม่ล้อใครแล้ว เลิกล้อเพราะเขาหนักแน่นไม่พอ คนที่หนักแน่นพอ อดทน มีธรรมะสูงแล้ว ถ้าอารมณ์ดีมีปัญญาจะกล่าวร้ายป้ายสีก็ยังสร้างความดีได้ ส่วนคนที่ใจต่ำอารมณ์ขึ้น ๆ ลง ๆ สูง ๆ ต่ำ ๆ เดี๋ยวอารมณ์เลยเดี๋ยวอารมณ์ดีเป็นคนผีเข้าเจ้าสิง เป็นคนลมขึ้นลมลง คบไม่ได้ ถึงความดีก็กลายเป็นคราวร้าย เวลาพูดดีกลายเป็นร้าย อาตมาจึงขอกำหนดจดจำประวัติศาสตร์ต้องบันทึกเป็นหลักฐาน อย่าไปล้อคนอารมณ์ไม่ดี เดี๋ยวจะกลายเป็นเกวียน คนที่ดีแล้วล้อก็ไม่โกรธ ด่าก็ไม่โกรธ
    <table style="font-size: 12px;" background="../images/dot01.gif" border="0" cellpadding="10" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr style="font-size: 12px;"> <td style="font-size: 12px;">[​IMG]</td> <td style="font-size: 12px;">ญาติโยมทั้งหลายเอ๋ย ถ้าเรามีสติสัมปชัญญะกำหนดเจริญพระกรรมฐาน มีสติคงที่คงวาคงศอกได้ ฟังดนตรีไพเราะหมดทุกเพลง ถ้าอารมณ์เสียจิตใจไม่มีสติ ฟังเพลงไม่ไพเราะสักเพลง คนจะพูดเพราะอย่างไรก็หาว่าเขาเยาะเย้ยตลอดรายการ ออกมาอย่างนี้เป็นบทความที่น่าทัศนาชม ถ้าอารมณ์ดีถึงแม้คนเขามาพูดหยาบคายกับเรา แต่เป็นลักษณะให้เราคิด เป็นลักษณะที่พูดมีประโยชน์ เป็นผลงานให้คิด ให้เรามีสติปัญญาในการฟังได้ เพื่อพิจารณาด้วยปัญญาของตน เราจะได้อ่านตัวออก บอกตัวได้ ใช้ตัวเป็น เห็นตัวตาย คลายทิฏฐิ จะได้ดำริชอบ เพื่อประกอบกุศล ได้ผลอนันต์เป็นหลักฐานสำคัญ</td> </tr> </tbody></table> คนที่ถือยศถือศักดิ์ ถือเกียรติยศชื่อเสียงรับรองสร้างความดีได้ยาก ถืออย่างนั้น ถืออย่างนี้ เลี้ยงยากและสอนยาก คนที่ไม่มีทิฏฐิตัดปลิโพธกังวลได้ คนนั้นสอนง่าย คนที่สอนยาก เพราะมีทิฏฐิมาก คนที่ไม่มีทิฏฐิไม่ถือตัว ไม่ดื้อสอนง่าย จะสอนอย่างไรก็ฟัง ปฏิบัติทั้งหมดไม่เคยรังเกียจแต่ประการใด คนประเภทนี้เท่าที่สังเกตมาดีทุกคนดีถึงลูกหลาน ไม่ถือยศถาบรรดาศักดิ์แต่ประการใด
    พระพุทธเจ้าของเรา กระทั่งเป็นจักรพรรดิ มีเงินทองมากมายก่ายกองหลายท้องพระคลัง พระองค์ยังไม่ถือเป็นบทบาทอันนั้นแต่ประการใด พระองค์ได้เสด็จออกบรรพชา ผ้าผ่อนท่อนสไบก็หายาก ไปบังสุกุลผ้าที่เขาทิ้งไว้ เป็นผ้าขี้ริ้ว เอามาซักให้สะอาด เย็บย้อมต่อกันเป็นกระทง พระองค์ยังไม่ถือเลย พระองค์จะไม่ไปขอบิณฑบาตกับพระราชบิดากับพระราชมารดา พระพุทธเจ้าไม่เคยขอใครเลย มีแต่ให้กับช่วยให้โยมเป็นคนดี ไม่ต้องการสอนให้คนเรี่ยไรเดือดร้อนแต่ประการใด นี่เป็นวิสัยของพระพุทธเจ้า สำหรับพระสงฆ์องค์เจ้า ถ้ายึดถือตามหลักพระพุทธเจ้า ก็ให้เขาช่วยเขา ไม่ต้องการจะเบียดเบียนญาติโยม เป็นคำสอนที่ชัดเจนมาก พระองค์ไม่เบียดเบียนตนเอง และไม่เบียดเบียนคนอื่น จะทำอะไรตัวเองก็ไม่เดือดร้อน และทำไปแล้วคนอื่นต้องไม่เดือดร้อนด้วย
    <table style="font-size: 12px;" background="../images/dot01.gif" border="0" cellpadding="10" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr style="font-size: 12px;"> <td style="font-size: 12px;">บางคนมาอยู่นั่งกรรมฐาน ต้องขอประทานโทษโปรดอภัยอาตมา บางคนถืออย่างโน้นถืออย่างนี้ อย่าถือเลย บางคนจะให้เหมือนโรงแรมคงไม่ได้หรอกนะ จะเอาอยู่เย็นเป็นสุขเหมือนบ้านเราคงไม่ได้ เพราะวัดปฏิบัติวัดอารมณ์อย่างเดียว วัดธรรมะ วัดจิตวัดใจ วัดนอกวัดใน เอาตาชั่งขึ้นมาดู เอาตราชูเข้ามาชั่ง วัดแล้ววัดเล่าเฝ้าแต่วัด นี่ซิถึงจะถูกต้อง โยมจะได้ของดีประจำตัวไป เพราะของดีนี้มันไม่ใช่อยู่นอกตัวเรา ดีในตัวอย่าไปเอาคนอื่นมาดี ข้างนอกมันไม่มีดีเท่าดีในตัว คนเราดีในตัวใช้ได้แล้ว ไปเหนือมาใต้ จะขึ้นเครื่องบินไปสหรัฐอเมริกาก็ไม่ต้องแบกหามความดีไป ความดีมันอยู่ที่จิตใจ</td> <td style="font-size: 12px;">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> เรามาเจริญพระกรรมฐานเพื่อต้องการความดีใส่ตัว จะได้ไม่พัวพันด้วยกิเลส ไปเหนือมาใต้มีแต่ของดี ถ้าจิตใจท่านดีแล้วดีหมด จะไปค้าขายที่ไหนรวยทั้งหมด จะมีดี จิตใจเป็นแร่ธาตุสามารถดึงดูดของดีเข้าบ้านเราได้ ฟ้าผ่าต้องมีแร่ใต้ดิน กระแสไฟบวกลบคูณหารมีพลังงานให้เกิดแสงสว่างได้ ของดีอยู่ที่จิตใจเป็นแร่ธาตุ ถ้าจิตใจท่านดีแล้วจะดึงดูดจิตนำของดีเข้าบ้าน เงินไหลนองทองไหลมา ถ้าจิตเราไม่มีแร่ จิตไม่ดีจิตชั่ว มันจะดึงเอาทรัพย์สมบัติพันพัวออกจากบ้านไป สิริมิ่งขวัญอยู่ในบ้านมันก็ดึงไปออกนอกบ้านหมด จะไม่มีความดีเลย
    ยกตัวอย่างให้เห็นบางบ้านสามีไม่เอาไหนเลย ภรรยาดี หนักเข้าภรรยาก็อยู่กับสามีไม่ได้ ต้องแยกบ้านไปเพราะสามีไม่เอาเหนือเอาใต้ ตบตีภรรยาเรื่อย ภรรยาก็สวดมนต์ไหว้พระ ทำบุญ สามีไม่เห็นด้วย มีลูกด้วยกัน ๓ คน ยังต้องเลิกกันแยกไปแล้ว เพราะมันไม่ตรงกัน จะไปว่าเขาไม่ดีก็ไม่ได้ มันดีคนละอย่าง สามีเขาดีอย่างหนึ่ง ภรรยาดีอีกอย่าง แต่ความดีของภรรยามีคนรับรอง เทพเจ้ารับรอง ภรรยาทำบุญ ไม่ด่าว่าใคร ไม่เคยว่าร้ายป้ายสีใคร ไม่เคยนินทาใครเลย แต่สามีบังคับภรรยาไม่ให้ทำบุญ ภรรยาก็มานั่งกรรมฐาน สามีเขาตามมา ภรรยาก็ส่งซองให้บอกว่าให้จบก่อนแล้วจะถวายหลวงพ่อ ฝ่ายสามีเอาเท้าเขี่ยเลย นี่เรื่องที่เกิดที่วัดอัมพวัน ความรู้ระดับปริญญาโท สหรัฐอเมริกา อาตมาบอกคนนี้ไร้มารยาทใช้เท้า เลยบอกโยมต้องขอประทานโทษไม่ต้องประเคน อาตมาจะให้พรโยมเดี๋ยวนี้ เงินหนึ่งหมื่นบาท สตางค์เดียวไม่ขอรับ เดี๋ยวให้พรไป สามีมานั่งอยู่หน้าตาเหมือนยักษ์ อาตมาดูคนออก โยมนั่งกรรมฐานไป กลับไปสามีไล่แห่อย่างไรก็แยกไป เพราะไม่ตรงสเปค ไม่เข้าไซเกิ้ลกันเลย สามีเกรดอะไร เอ บี ซี ดี หรือเกรดอะไร
    <table style="font-size: 12px;" background="../images/dot01.gif" border="0" cellpadding="10" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr style="font-size: 12px;"> <td style="font-size: 12px;">นี่ต่อหน้าอาตมา อาตมาจดจำจะไม่รับเงิน โยมนั่งร้องไห้ อาตมาบอกเอาหละหลวงพ่อจะให้พรเต็มที่แต่จะไม่รับสตางค์ เพราะสตางค์นี้สามีทำด้วยใช่ไหม แล้วเอาเท้าเขี่ยซองขาดไปหน่อย อาตมาไม่จับซองเพราะเดี๋ยวจะมีเชื้อมาติดมืออาตมา ไร้มารยาทเหลือเกิน สามีภรรยาน่าจะจบด้วยกัน มองเห็นได้ชัดไม่ได้เกรงใจอาตมาเลย</td> </tr> </tbody></table> พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระองค์ท่านพระราชทานสังฆทานที่วัดอัมพวันหลายครั้ง ราชองครักษ์บอกว่า ก่อนเอามาพระองค์ท่านจะจบก่อน อธิษฐานจิตแล้วจึงพระราชทานสังฆทานมา อธิษฐานด้วยจิตบริสุทธิ์ ได้มาด้วยบริสุทธิ์ ทานท่านบริสุทธิ์ เจตนาบริสุทธิ์ ท่านจะได้บุญบริสุทธิ์ อาตมาได้ตำราที่วัดเยอะมาก มีแปลก ๆ สามีจะมานั่งกรรมฐาน ภรรยาไม่ให้มาแต่เป็นส่วนน้อย ภรรยาเขาพูดบอกอย่าไปเชียวนะ คนไปที่วัดเป็นพัน เดี๋ยวสามีจะไปชอบคนอื่นแล้วทิ้งเขา เอา พูดแปลก ๆ ตำราต้องบันทึกไว้ สามีก็เชื่อด้วยเพราะภรรยาเขาเป็น สวญ. เป็นใหญ่ กับอีกอย่างไม่ให้ภรรยามานั่งกรรมฐาน บอกไม่ต้องมาทำบุญหรอกของเราเยอะแยะไปแล้ว อย่างนี้ก็มีเหมือนกัน จะตรงกันจริง ทั้งสามีภรรยา คู่สร้างคู่สมอบรมกันมาว่าอย่างไรก็ว่าตามกัน จะทำบุญก็ทำด้วยกัน จะไปเหนือมาใต้ก็ไปด้วยกัน
    บางคู่อาตมาเห็นใจ มาวัดด้วยกันทั้งคู่สามีภรรยา หนักเข้าก็เอาลูกมานั่งกรรมฐานว่าอะไรก็ว่าตามกัน มันมีความสุขจริง ๆ ไม่มีความทุกข์แต่ประการใด มีแต่ความเจริญรุ่งเรืองเท่านั้น อาตมาเห็นหลาย ๆ อย่าง ประวัติศาสตร์ต้องจารึกสอนอนุชนรุ่นหลังต่อไป
    <table style="font-size: 12px;" background="../images/dot01.gif" border="0" cellpadding="10" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr style="font-size: 12px;"> <td style="font-size: 12px;">[​IMG]</td> <td style="font-size: 12px;">ฉะนั้นการมาเจริญพระกรรมฐานเพื่อต้องการชำระใจ ใครจะว่าอย่างไรท่านอย่าไปสนใจได้ไหม ใครจะพูดหยาบคายก็ไม่ต้องสนใจ บางคนก็ชอบให้หลอก ยั่วยุและพูดเย้าแหย่และชอบให้พูดยกยอมันไม่เป็นความจริงหรอก แต่พูดตรงไปตรงมาเป็นความจริงที่ถูกต้องและออกมาเป็นรูปแบบอย่างนั้น โยมอย่าไปโกรธใครเขาเลย</td> </tr> </tbody></table> การเจริญพระกรรมฐานเพื่อต้องการชำระใจ ใครจะว่าอย่างไรอย่าไปสนใจได้ไหม ใครจะพูดหยาบคายก็ไม่ต้องสนใจ บางคนก็ชอบให้หลอก ยั่วยุและพูดเย้าแหย่และชอบให้พูดยกยอมันไม่เป็นความจริงหรอก แต่พูดตรงไปตรงมาเป็นความจริงที่ถูกต้องและออกมาเป็นรูปแบบอย่างนั้น โยมอย่าไปโกรธใครเขาเลย
    การเจริญพระกรรมฐานต้องการไม่ให้อยู่ว่าง ต้องว่างอันเดียวคือว่างกิเลส อย่าว่างงาน เป็นผลงานให้แก่ชีวิตของท่านอย่างแน่นอน มีลูกอยู่ใกล้ชิดลูกหน่อยนะโยมนะ ติดตามผลงานของลูก เดี๋ยวจะติดยาเสพย์ติด เป็นผู้นำลูกแล้วต้องไปติดตามดูลูกด้วย จะเสียหายลูกจะไปรักเพื่อนมากกว่ารักพ่อแม่ เดี๋ยวนี้ลูกกับพ่อแม่ไม่ค่อยรักกัน ลูกเขาไปรักเพื่อนฝูง พ่อแม่ก็เจ๊าะแจ๊ะบ่นตลอดรายการ กินข้าวก็บ่นลูก ลูกดูหนังสือก็บ่นลูก เลยลูกก็ไม่ผูกพันกับพ่อแม่ไปรักเพื่อน น่าเสียดายกลับไปหลงยาเสพย์ติด ถ้าโยมโชคร้ายลูกไปคบอันธพาล ลูกจะเสียหาย ถ้าโยมโชคดีมีบุญวาสนา ลูกจะได้เป็นใหญ่เป็นโต ไปคบบัณฑิต นี่แหละคบพาลได้ผิด คบบัณฑิตให้ผล คบคนชั่วทำตัวให้อับจน คบคนดีให้ผลจนวันตาย เมาเพศหมดค่า เมาสุราหมดความสำคัญ เมาการพนันหมดตัว เมาเพื่อนชั่วหมดดี ก็ขอฝากญาติโยมด้วย ถ้าท่านเจริญพระกรรมฐานจะเห็นด้วย
    <table style="font-size: 12px;" background="../images/dot01.gif" border="0" cellpadding="10" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr style="font-size: 12px;"> <td style="font-size: 12px;">ญาติโยมผู้ปฏิบัติกรรมฐาน ถ้าอารมณ์ดีก็มีปัญญา ถ้าอารมณ์ไม่ดีอย่าไปทำงาน จะดีใจหรือเสียใจ ทำอารมณ์ให้ดีแล้วจึงไปทำงาน งานจะดีขึ้น ขอฝากไว้ ที่อาตมาพูดอย่างง่าย ๆ ท่านพอจะเข้าใจ แต่วิธีปฏิบัตินี้ยาก แต่ถ้าเราปฏิบัติจนเคยชิน มันก็ง่ายมากขึ้นไม่ยากแต่ประการใด</td> <td style="font-size: 12px;">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> ฉะนั้นการเจริญพระกรรมฐาน ต้องการตั้งสติสร้างอารมณ์ให้อยู่ในตัวเอง อดทน ใครจะว่าอย่างไรอย่าไปสนใจคนอื่น เราต้องการมาแสวงหาของดี จะมาเอาของชั่วไปทำไมเล่า ของไม่ดีอย่าไปคิด เพียงแต่กำหนดให้มันหายไป แสวงหาของดี ของชั่วอย่าไปเอา เราต้องทิ้งของชั่ว ละชั่ว ประพฤติดีประพฤติชอบ เรามาทำบุญก็ละบาปเสีย อย่าเอาบาปใส่ใจไปเลย เดี๋ยวบาปต่อบาป บุญต่อบุญ บุญย่อมก่อให้เกิดความสุขความเจริญ จึงควรได้มีโอกาสชำระทั้งกายและจิตไปพร้อม ๆ กัน ท่านจะเกิดความสุขดังที่ได้ชี้แจงแสดงมา...
    </td></tr></tbody></table>
     

แชร์หน้านี้

Loading...