ร่วมแลกเปลี่ยนเคล็ดลับในการประคองศีล 5 กันคะ่

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ren, 22 กรกฎาคม 2009.

  1. ren

    ren เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กันยายน 2005
    โพสต์:
    426
    ค่าพลัง:
    +2,646





    (||)(||)(||)(||)(||)(||)(||)

    ขอบคุณ คุณเดินทาง มากน่ะค่ะ
    สำหรับข้อมูลที่หามาปันกัน

    มีประโยชน์มากค่ะ มองเห็นภาพชัดเจนเลยยยย

    กุศลธรรม 10 ใครถือได้ ก็จะยิ่งดี มากๆๆ ใกล้ความจริงขึ้นเยอะ

    หลวงพ่อฤาษีเคยพูดเกี่ยวกกับระดับความเข้มข้นของการถือศีล
    คล้ายๆ ที่คุณเอามาอ่ะจ้า แต่ยังหาไม่เจอ ไม่รู้ไปอ่านที่ไหน หาได้จะแปะให้อ่านกันน่ะจ๊ะ



    rat_wting


    ศีล เป็นเรื่องที่ดีมากๆคะ่ เปรียบเหมือนดิน หากเราบำรุงดินให้ดี
    จะปลุกอะไรก็ขึ้น ปลุกเมล็ดสมถะ กรรมฐาน 40 ปลุกเมล็ดวิปัสนาเดินปัญญาสู่ความหลุดพ้นก็ขึ้นงอกงามนักแล อธิฐานขอพรพระ โอกาศจะสมหวังก็สูงกว่าคนที่ไม่ได้ถือ ไปไหนทำอะไีีรก็แคล้วคลาดปลอดภัย
    ก็ศีลเปรียบเหมือนประกันชีวิตนะ่คะ่

    ข้อ 1 ประกันว่า ร่างกายเราจะไม่เจ็บไข้ได้ป่วย เป็นโน้นเป็นนี้

    ข้อ 2 ประกันสินทรัพท์คะ่ ของจะได้ไม่หาย ไม่มีใครมาโกง จิกของรักเราไป นอกจากนี้ ยังประกันวินาศภัยให้เราด้วย
    โดยของเราจะไม่วอดวายเพราะไฟใหม้ น้ำท่วม ภัยธรรมชาติต่างๆ

    ข้อ 3 ประกันครอบครัวสุขสันต์ บริวาณเชื่อฟัง

    ข้อ 4 ประกันคำพูด พูออะไรใครก็เชื่อ ขอความช่วยเหลือใคร เขาก็สนับสนุน อันนี้เห็นจะๆ ชาตินี้ไม่รอชาติหน้า เพราะคนพูดจริงทำจริง ไม่โกหกหลอกลวงย่อมเป็นที่เชื่อถือ และนับถือกับทุกๆคน ดังนั้นจะเห็นว่า ข้อนี้แม้ว่าจะยากมากๆๆ แต่มันก็จะส่งผลดีกับเราเร็วมากๆๆ ดีมากกก ๆๆๆๆ

    ข้อ 5 เมาไม่ขับประกันชีวิตแล้วหนึ่งข้อ แต่ว่าตามตำรา เขาก็ว่า ป้องกันสติปัญญาติ๊งต๊อง ปัญญาอ่อน สมองทึบ หัวช้า อ่านหนังสือเท่าไรก็ไม่จำ เหอๆ เหมือนเราเลยยยย

    นอกจากนี้ยังเป็น โภคทรัพย์ ทำมาหากินคล่อง ทรัพย์เข้าทรัำำพย์มา
    เลิศศศศศ เจ้าคะ่

    (||)(||)(||)(||)(||)(||)(||)(||)(||)


    ปล. อ้างอิงจากคำสอนท่านพระครูเกษมธรรมทัต
    เทศน์สอนวันลาสิขาบท
     
  2. เดินทาง

    เดินทาง Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    225
    ค่าพลัง:
    +38
    หิริและโอตตัปปะ แม้ทั้ง ๒ นั้น ย่อมปรากฏในการเว้นจากความชั่ว. จริงอยู่ คนบางคนก้าวลงสู่ธรรมคือ ความละอายในภายใน ย่อมไม่ทำบาป เหมือนอย่างกุลบุตรบางคนผู้กระทำการถ่ายอุจจาระปัสสาวะเป็นต้น เห็นบุคคลแม้คนเดียวที่ตนควรละอาย ก็พึงถึงอาการละอาย พึงแอบแล้ว เป็นผู้ละอายแล้วไม่ทำการถ่ายอุจจาระปัสสาวะ ฉะนั้นคนบางคนเป็นผู้กลัวต่อภัยในอบายแล้วก็ไม่ทำบาปกรรม. <O:p</O:p

    ในหมวดแห่งหิริและโอตตัปปะนั้น มีข้ออุปมาดังนี้.<O:p</O:p

    เปรียบเหมือนก้อนเหล็ก ๒ ก้อน ก้อนหนึ่งเย็นแต่เปื้อนคูถ ก้อนหนึ่งร้อนลุกโพลง ในบรรดาก้อนเหล็กทั้ง ๒ นั้น คนฉลาด รังเกียจก้อนเหล็กที่เย็นแต่เปื้อนคูถ จึงไม่จับ รังเกียจก้อนเหล็กนอกนี้เพราะกลัวความร้อน ในการอุปมานั้น พึงทราบการที่บุคคลก้าวลงสู่ธรรม คือความละอายภายในแล้วไม่ทำบาป เหมือนคนฉลาดไม่จับก้อนเหล็กเย็นที่เปื้อนคูถ เพราะความรังเกียจ, พึงทราบการไม่ทำบาปเพราะกลัวอบาย เหมือนบุคคลไม่จับก้อนเหล็กร้อน เพราะกลัว<O:p</O:p
    ต่อความร้อน ฉะนั้น.<O:p</O:p

    (ข้อความบางตอนจาก...พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณีปกรณ์)<O:p</O:p

    หิริ (ความละอายต่อกุศล) และ โอตตัปปะ(ความเกรงกลัวต่อกุศล) ต่างก็เป็นสภาพธรรมฝ่ายดีด้วยกันทั้งคู่ เกิดพร้อมกันทุกครั้ง เป็นความละอาย และความเกรงกลัวต่ออกุศล กลัวต่อผลของบาปกุศลที่จะเกิดขึ้นเพราะบาปอกุศลนำมาซึ่งความทุกข์ความเดือดร้อนในภายหลัง เมื่อธรรม ๒ ประการนี้เกิดขึ้นทำกิจหน้าที่ของตน กุศลจิตย่อมจะเกิดขึ้นไม่ได้ และที่สำคัญธรรม ๒ ประการนี้ เป็นธรรมคุ้มครองโลก เป็นเครื่องเกื้อกูลให้สัตว์โลกอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข สงบร่มเย็น ปราศจากการเบียดเบียนซึ่งกันและกัน ไม่กระทำในสิ่งที่ไม่ดีทั้งในที่แจ้งและในที่ลับ<O:p</O:p
    อีกประการหนึ่ง เพราะมีความละอายและมีความเกรงกลัวต่อกุศล กลัวต่อภัยคือการเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏฏ์อย่างไม่มีวันจบสิ้น ซึ่งเต็มไปด้วยทุกข์นานาประการ จึงเป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้แต่ละบุคคลได้มีวิริยะอุตสาหะที่จะฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม อบรมเจริญปัญญาสะสมความเข้าใจถูก เห็นถูก เป็นปกติในชีวิตประจำวันบ่อย ๆ เนือง ๆ เพื่อวันหนึ่งข้างหน้าจะเป็นผู้ที่สามารถดับกิเลสทั้งหลาย ทั้งปวงได้ ไม่ต้องมีการเกิดอีกเลยในสังสารวัฏฏ์.

    <O:p</O:p
    **ท่านที่สนใจสามารถติดต่อสอบถาม สนทนาธรรมเพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องยิ่งขึ้นได้ที่มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา เลขที่ ๑๗๔/๑ ซอยเจริญนคร ๗๘ แขวงดาวคะนอง เขตธนบุรี กรุงเทพมหานคร ๑๐๖๐๐ โทรศัพท์ ๐๒๔๖๘ ๐๒๓๙ และที่ www.dhammahome.com **
    ดูในรูปแบบ HTML
     
  3. เดินทาง

    เดินทาง Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    225
    ค่าพลัง:
    +38
    หิริ-โอตตัปปะ
    โดย หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี

    วัดหินหมากเป้ง
    ต.พระพุทธบาท อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย


    วันนี้จะเทศน์ถึงเรื่อง “ความละอายและความกลัวต่อบาป” ให้เข้าใจ เราเคยได้ยินได้ฟัง แต่ฟังเฉยๆ ไม่ค่อยเข้าใจลึกซึ้งถึงธรรมะ ฟังไปๆ ก็เบื่อ แท้ที่จริงธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าแต่ละบทแต่ละบาทมีความหมายลึกซึ้ง เพราะเกิดจากหทัยวัตถุของพระองค์ เป็นเรื่องที่จะให้สำเร็จประโยชน์อย่างยิ่งในธรรมนั้นๆ

    ฉะนั้นจงพากันตั้งใจฟังให้ดี ถ้าฟังไม่ดีจิตวอกแวกไปมันก็เลยจะไม่เข้าใจเสีย ถ้าตั้งใจเด็ดเดี่ยวฟังจริงๆ คงจะรู้ คงจะเข้าใจ เมื่อเกิดความรู้ ความเข้าใจแล้ว จงตั้งใจเอาไปปฏิบัติทดลองดู ถ้าหากว่าไม่ทดลองปฏิบัติดูก็จะไม่สำเร็จประโยชน์ ธรรมจึงเป็นข้อละเอียด

    คำว่า หิริ คือ ความละอายใจ อายมิใช่อายอย่างธรรมดา ที่หนุ่มสาวอายกัน มันอายซึ้งเข้าถึงใจจริงๆ ไม่ใช่อายผิวเผินภายนอก หนุ่มสาวมักอายรูปร่างภายนอก เราคิดจะทำสิ่งใดที่ชั่ว มันละอายขึ้นมาในใจ เพียงแต่คิดเท่านั้น คนอื่นยังไม่เห็นเลยมันเกิดความละอายขึ้นมาแล้ว คิดทำชั่วคืออย่างไร สิ่งใดที่เป็นไปเพื่อความเลวทรามไม่ถูกต้องทางธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าอันนั้นเป็นความเลว

    อะไรที่มันวัดว่ามันถูกหรือไม่ถูก อันนี้ง่ายนิดเดียว คนที่ไม่เคยรู้ถึงคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ก็อาจจะเข้าใจได้ คือถ้าเราทำอะไรลงไป ถ้าหากว่ามันไม่ถูกต้องแล้วมันรู้สึกละอายกระดากในใจตนเอง แต่ตามหลักท่านบอกว่านักปราชญ์ทั้งหลายไม่สรรเสริญ ไม่นิยม นั่นเรียกว่า ผิดจากธรรม

    เราไม่ใช่นักปราชญ์ ไม่ใช่นักรู้ แต่เรารู้ภายในของเราเอง อย่างฆ่าสัตว์ มันคิดกระดากในใจ คือเราไม่ฆ่าสัตว์เพียงคิดจะฆ่าก็กระดากในใจ แต่ผู้ที่เขาฆ่าสัตว์มาจนชินแล้วก็ไม่กระดากเท่าไร เรียกว่า มันไม่มีธรรมในตัว เราคิดจะฆ่าเท่านั้นแหละ มันนึกกระเดียมกระดากในตัว เรียกว่า ของไม่ดีคือบาป คนทั้งหลายไม่นิยม นักปราชญ์ไม่นิยม

    บรรดาคนทั้งหลายย่อมกลัวความชั่ว คนอื่นก็กลัว ตัวของเราก็กระดาก สัตว์ทั้งหลายแม้เดียรฉานไม่รู้เดียงสา เห็นเราทำท่าทางกิริยาอาการลงมือฆ่าให้เห็นมันก็กลัวแล้ว อันนั้นแหละความชั่ว ถ้าหากเราทำดี อันนี้ตรงกันข้าม เป็นมิตรเป็นสหายพวกพ้อง อย่าว่าแต่มนุษย์เลย แม้แต่สัตว์เดียรฉานก็ขุนเชื่องไม่คิดกระดากเป็นมิตรกับเรา เข้าไปในป่ารกมีเสือ หมี ผีร้าย ซึ่งเป็นของดุที่สุด คนกลัวที่สุด ถ้าหากมีเมตตา ไม่ปรารถนาจะทำชั่วช้าแล้ว เขาก็มาสนิทสนมกับเรา ไม่เห็นมีกลัวอะไร นั่นแหละความดี คือความละอายในใจของเรา ไม่กล้าทำชั่ว

    ความละอายนี่แหละเป็นต้นเหตุให้ทำความดี ความดีทั้งหมดเกิดจากความละอายนี้ทั้งนั้น ความไม่ดีเกิดจากความไม่ละอายนั่นเอง ศีล ๕ ข้อมีความละอายเป็นเบื้องต้น เป็นสมุฏฐาน หากว่ามีความละอายในใจแล้วไม่กล้าทำ ศีลข้อนั้นก็งดเว้นได้หมด ลักทรัพย์ก็เหมือนกัน ถ้าหากของตกอยู่ในป่า ไม่มีเจ้าของแต่เราไปหยิบเอา เกิดสงสัยว่าจะมีเจ้าของหรือไม่หนอ แล้วก็คิดกระดากในใจยังไม่กล้าที่จะเอา จนแน่ใจตนเองเสียก่อนว่าไม่มีเจ้าของ

    อย่างลูกไม้ ผลไม้ มันเกิดในป่าไม่มีเจ้าของหวงแหน แน่แก่ใจแล้วว่าไม่มีเจ้าของจึงถือเอาด้วยความสนิทใจ ถ้าหากของที่ตกเช่นเป็นของในบ้านมาตกในป่า เอ๊ะ นี่มันของคนเขาเอามานี่ มันก็ไม่เอา เอาก็ไม่สนิท นั่นแหละมันจะไปลักไป ขโมยได้อย่างไร การประพฤติผิดมิจฉาจาร มุสาวาท ดื่มสุราเมรัย เหมือนกันหมดทุกอย่าง ศีล ๘ ก็เหมือนกัน ถ้ามีหิริอยู่ในใจละอายใจแล้วไม่กล้าทำทั้งนั้น แม้ศีล ๑๐ ศีล ๒๒๗ ก็เหมือนกันหมด

    พูดถึงเรื่อง “ธรรม” ความรู้ตัว ความละอายในตัวนั้นแหละเป็นธรรม ความละอายในตัวเกิดรู้สึกขึ้นมามันเป็นธรรมแล้ว ธรรมเกิดพร้อมกันกับศีล เกิดในที่เดียวกันนั่นแหละ คือเกิดจากหัวใจของคนเรา ไม่ใช่เกิดจากที่อื่น ศีลก็เกิดที่หัวใจนั่นแหละ ที่ละอายแล้วไม่กล้าทำ ธรรมก็เกิดที่หัวใจ ความรู้สึกละอายเกิดขึ้นในที่นั่นเรียกว่า หิริ โอตตัปปะ คือ ความเกรงกลัว เมื่อรู้สึกมีความละอายในใจแล้วเกิดความกลัว กลัวความชั่ว กลัวเขาจะรู้ จะเห็น กลัวจะอับอายขายขี้หน้า กลัวผู้ใหญ่ เช่น พ่อแม่ ครูอาจารย์ หรือผู้บังคับบัญชาท่านจะรู้จะเห็นเอาโทษเอาทัณฑ์ มีความละอาย มีความกลัวละคราวนี้ก็ไม่กล้าทำเท่านั้นเอง

    เมื่อมีหิริโอตตัปปะอย่างนี้แล้ว กฎหมายบ้านเมืองทุกมาตราไม่มีใครกล้าทำผิดหรอก อย่าว่าแต่ธรรมเลย การอยู่ด้วยกันเป็นหมู่คณะ เป็นพรรคเป็นพวกหลายคนด้วยกัน ถ้ามีหิริโอตตัปปะแล้ว ไม่มีอิจฉาริษยาเบียดเบียนซึ่งกันและกันมันก็เป็นสุขเท่านั้น หากคิดผิดประทุษร้ายเกิดความละอายและกลัวขึ้นมา นั่นธรรมเตือนขึ้นมาแล้ว เลยไม่กล้าทำความชั่ว ครั้นทำลงไปก็เป็นเหตุให้เดือดร้อนวุ่นวาย ตนเองเดือดร้อนเพราะทำชั่ว คิดชั่ว แล้วก็เป็นเหตุให้คนอื่นเดือดร้อนอีกด้วย

    เรียกว่า ธรรมแลย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม ผู้ประพฤติสุจริตก็มี หิริโอตตัปปะ อยู่ในตัวนั่นแหละ เรียกว่า ประพฤติธรรมสุจริต ผู้ประพฤติธรรมดีแล้วย่อมนำความสุขมาให้ มันก็สวมหัวใจของเรามาแต่เบื้องต้นนั่นน่ะซี จะสุขที่ไหน สุขแต่เบื้องต้นที่เราประพฤติดี ประพฤติชอบ มันไม่เดือดร้อนวุ่นวาย คนอื่นก็สุข อยู่หมู่มากด้วยกันก็สุข หมู่น้อยก็เป็นสุขด้วยกันทั้งหมด ไม่มีเดือดร้อนวุ่นวาย จึงว่าธรรมอันนี้เป็นของดี

    ธรรมของพระพุทธเจ้าสอน ไม่ใช่เป็นของตื้นๆ ต่ำๆ มีความลึกซึ้งสุดเข้าถึงหัวใจของบุคคล ถ้าปฏิบัติเป็นธรรมแล้วจะอยู่เย็นเป็นสุขด้วยกันหมดทุกคน ฉะนั้นให้ฟังธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ถ้าฟังไม่เข้าใจฟังแล้วก็หายไปเลยไม่สนใจถึงเรื่องธรรมนั้นๆ บางทีเข้าใจว่าธรรมอันนี้เป็นของตื้นต่ำ เลยไม่อยากฟังซ้ำ แท้ที่จริงเราน่ะเป็นคนตื้นฟังไม่ลึกซึ้งถึงธรรมนั้นต่างหาก จึงไม่ซาบซึ้งถึงอรรถธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า

    ถ้าปฏิบัติธรรมซึ้งถึงคำสอนของพระพุทธเจ้าจริงแล้ว มันไม่ใช่แต่เพียงแค่นั้น มันซึ้งเข้าไปอีกจนเหลือที่จะพูดให้คนฟัง ท่านพูดให้คนอื่นฟังแต่เพียงตื้นๆ แล้ว แต่ความลึกซึ้งของธรรมจริงๆ ในหัวใจของผู้ที่เห็นธรรมปฏิบัติธรรมนั้น ไม่สามารถพูดออกมาได้เมื่อฟังแล้ว เข้าใจแล้ว จงตั้งใจฝึกปฏิบัติไปพร้อมๆ กัน เมื่อยังไม่เข้าใจก็ให้ตั้งใจสนใจในเรื่องนั้นๆ หากจะค่อยซาบซึ้งเข้าไปเองหรอก เรื่องเหล่านี้มันอยู่ที่ความสนใจและตั้งใจปฏิบัติตาม



    ................ เอวัง ................


    http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=794
     
  4. เดินทาง

    เดินทาง Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    225
    ค่าพลัง:
    +38
    พระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ)

    [​IMG]ศาลาปฏิบัติกรรมฐาน
    [​IMG]ปัญหาการรักษาศีล


    อยากเป็นพระโสดาบัน
    ผู้ถาม กราบเท้าหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูง อยากจะบรรลุสำเร็จพระโสดาบัน แต่ที่นี้ไม่ดีอยู่ก็คือว่า ศีลข้อสุรานี่เอาไม่อยู่อย่างอื่นดีหมด แต่เวลากินเหล้าแล้ว ผมทำสมาธิดี ใจบุญใยกุศล (เออ หายากนะ)
    หลวงพ่อ เอ ... อย่างนี้เราเรียก “โสดาบันโลหะกุมภี”
    ผู้ถาม อ๋อ ... ลงล่วงเลยแบบนี้
    หลวงพ่อ ใช่ซิ
    ผู้ถาม ไม่มีทางเลยซิครับ
    หลวงพ่อ ละเสียก่อน
    ผู้ถาม ถ้าตัดโสดาบันจริง ๆ นี่ ศีล ๕ ต้องครบเลยหรือครับ
    หลวงพ่อ ครบถ้วน ... ศีล ๕ ครบถ้วยเป็นโสดาบันขั้นต่ำน่ะ สัตตักขัตตุง
    ผู้ถาม ยังต่ำอีกหรือนี่...?
    หลวงพ่อ ยังต่ำมาก ... แค่ สัตตักขัตตุง ต้องกรรมบถ ๑๐ เป็น โกลังโกละ หรือเอกพิชี
    ผู้ถาม ครับ ๆ ๆ อย่างนั้น ก็ไปไล่ศีล ๕ เสียให้ครบก่อน
    หลวงพ่อ อย่าไปไล่ซิ... ไปเอามา
    ผู้ถาม อ๋อ... ต้องรักษา ไม่ใช่ไล่ ปรกติก็จะไปอยู่แล้วซิ ไม่ต้องไล่ก็จะไปอยู่แล้ว


    ไปนิพพานไม่ได้ เพราะชอบกินเหล้า
    ผู้ถาม กราบเท้าหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูง ตอนที่ขึ้นไปนมัสการ พระธาตุดอยตุง หลวงพ่อบวงสรวงเสร็จเรียบร้อยแล้ว หลวงพ่อได้พูดว่า เออ... มีอยู่คนหนึ่งนะ ไปนิพพานไม่ได้ เพราะว่าชอบกินเหล้าอยู่ ผมขอบอกได้เลยคนนั้นไม่ใช่อื่นไกล ที่แท้คือผมเอง ปรกติผมดื่มเป็นประจำเลยครับ ทำไมหลวงพ่อรู้ได้ทั้ง ๆ ที่ไม่เคยบอกเลย
    ที่จะเรียนถามก็คืออย่างนี้ ผมขอบอกหลวงพ่อว่า ตั้งแต่นี้เป็นต้นไปจะขอเลิกดื่ม และจะขอตั้งใจปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ เพื่อไปพระนิพพานชาตินี้ หลวงพ่อจะอโหสิกรรม เพื่อเปิดโอกาสให้ลูกหน่อยเถิดขอรับ
    หลวงพ่อ ไม่ต้องอโหสิกรรม มีผลแน่นอน ไปได้... ถ้าเขาเลิกได้นะ
    ผู้ถาม เลิกปุ๊บ... ปฏิบัติปั๊บ นี่ไปได้
    หลวงพ่อ ไปได้ ๆ ๆ ยังขัด ๆ อยู่แค่นั้นแหละ ขัดอยู่แค่นั้นเอง ... วันนั้นน่ะ
    ผู้ถาม นี่ไม่ต้องไปไกล กลิ่นก็ไม่มี แต่ความจริงเขาบอกนะครับ ก่อนที่จะไปดอยตุง ดื่มเบียร์เข้าไปหน่อยหนึ่ง พอหอมปากแก้หนาว เขาสารภาพแล้วนะ นึกว่าจะดื่มต่อไปนี่เลิกแล้วนะโมทนาด้วย


    พระให้ศีล ๘ ไม่ถูก
    ผู้ถาม กราบเรียนหลวงพ่อที่เคารพ เวลาลูกถวายสังฆทานพระแถวบ้าน พระท่านให้ศีล ๘ ไม่ถูก ลูกอยากทราบว่า ควรจะทำบุญกับท่านอีกไหมเจ้าคะ?
    หลวงพ่อ มันไม่จำเป็นนี่ ท่านให้ไม่ถูกเรารักษาให้ถูก ก็หมดเรื่องหมดราว การที่พระให้ศีลเป็นการศึกษาเท่านั้น ว่าศีลมีอะไรบ้าง ในเมื่อท่านพลาดไปแล้ว นึกได้ข้อนี้ไม่ใช่เป็นอย่างนี้นี่หว่า เรารักษาตามความเป็นจริง ศีลอยู่ที่การปฏิบัติ คือตัวเว้น คือว่า “ศีล” จะมีได้มีศัพท์ว่า เวรมณี
    คำว่า “เว้น” เว้นจากการฆ่าสัตว์ เว้นจากการลักทรัพย์ เว้นจากการร่วมรักกับคู่ครองใช่ไหม... ศีล ๘ เว้นจากมุสาวาท เว้นจากการดื่มสุราเมรัย เว้นจากกินข้าวเวลาบ่าย เว้นจากการทัดทรงดอกไม้และของหอม เว้นจากที่นอนสูงที่นอนต่ำ ที่นอนสูงไปก็ไม่ควรนอน ต่ำเกินไปก็ไม่ควรนอน
    ผู้ถาม ที่ต่ำไม่ควรนอนเพราะอะไรครับ?
    หลวงพ่อ มันต่ำกว่าที่นอน...(หัวเราะ)


    กินข้าวเกินเวลา
    ผู้ถาม หลวงพ่อเจ้าขา ลูกได้ไปรักษาอุโบสถที่วัดแห่งหนึ่งที่ กรุงเทพฯ บังเอิญตอนนั้นมันเลยเที่ยงไป นาฬิกามันเสีย ลูกก็ไม่ได้ดู กินไปกินมาเลยเวลาเข้าไปบ่ายโมง ตอนนั้นลูกไม่สบายใจเป็นอย่างมากว่า อุโบสถศีลของลูกนี่บกพร่องไปเสียแล้ว ว่าจะกราบขอขมาลาโทษว่า กินข้าวเพลินโดยไม่เจตนา ศีล ๘ ของลูกจะขาดหรือไม่เจ้าคะ?
    หลวงพ่อ ศีลวันนี้ไม่ขาด
    ผู้ถาม ไม่ขาดหรือครับ?
    หลวงพ่อ ไม่ขาด... เพราะวันนี้สมาทานศีล ๘
    ผู้ถาม ศีลวันนี้หรือครับ?
    หลวงพ่อ ใช่... (หัวเราะ) ใช่ ศีลวันนั้นขาดไม่เป็นไร ไม่มีโทษ มันไม่มีโทษถึงอบายภูมินี่ เป็นส่วนธรรม
    ผู้ถาม ได้ยินแว่ว ๆ ว่าเที่ยงสมัยพระพุทธเจ้า ตะวันตรงหัวหรือว่า นาฬิกาตรงเลย ๑๒
    หลวงพ่อ เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ถ้าสมัยพระพุทธเจ้า เอาจริง ๆ ตามพระวินัยนะ พระอาทิตย์ตรงเงาตรงลงมือฉัน ตะวันคล้อยไปไม่เกิน ๒ นิ้ว ถ้าเงาคล้อยเกิน ๒ นิ้ว เป็นอาบัติ ถ้าไม่เกิน ๒ นิ้ว ไม่เป็นอาบัติ เวลานี้เร่งกันมาชั่วโมงหนึ่ง
    ผู้ถาม ถ้าเอาแบบพุทธกาลก็อาจจะเลยเที่ยงได้
    หลวงพ่อ เอาแบบพุทธกาลมันก็ลงมือเที่ยงได้ ไอ้เงา ๒ นิ้วนี่นานนะ
    ผู้ถาม ก็เอาตามสมัยใหม่นะ ๑๒ นาฬิกาเป็นเกณฑ์


    กระเพาะลำไส้ไม่ดี
    ผู้ถาม หลวงพ่อเจ้าขา ลูกตั้งสัจจะไว้กับพระที่ฝั่งธนบุรีว่า จะรักษาศีล ๘ ชั่วชีวิต ลูกก็ทำโดยตลอด บัดนี้ลูกอายุมากแล้ว เพราะทางกรเพาะลำไส้ไม่ดี หมอบอกว่าถ้าขาดอาหารตอนเย็นแล้วจะไปไม่รอด จะขอเรียนถามหลวงพ่อว่า จะคืนสัจจะที่ซอยสายลมกับหลวงพ่อ แล้วให้หลวงพ่อบอกพระพุทธเจ้าอโหสิกรรมได้หรือเปล่าเจ้าคะ?
    หลวงพ่อ เออ... เอาหนัก แฮะ เอาอย่างนี้ซิ ย้ายไปถือ กรรมบถ ๑๐ กินข้าวเย็นได้ ดีกว่าเยอะ เป็นทั้งศีลทั้งธรรม ได้ ๒ อย่าง
    ผู้ถาม แล้วอานิสงส์คงไม่ต่างกันใช่ไหมครับ?
    หลวงพ่อ อานิสงส์แข็งกว่าศีล ๘ อ้าว... จริง ๆ นะ ศีล ๘ เราไม่ค่อยจริงกันนัก แต่ถ้าปกติทุกวันก็ดี นี่มันปรกติไม่ได้นี่ ต้องเป็นบางเวลา ใช่ไหม กรรมบถ ๑๐ เขามีทั้งศีลทั้งธรรม มโนกรรมนี่เป็นธรรมะ แล้วก็สังเกตดูเป็นการตัดกิเลสได้ง่าย ฝึกตัดกิเลสไปในตัวเสร็จ...
    ผู้ถาม เกี่ยวกับข้อไม่กินข้าวนี่ เวลาไปกินเลี้ยงมันเผลอไผลไปตักเข้า กว่าจะรู้ตัวก็เข้าไปครึ่งท้องแล้ว แต่ไม่เจตนานะครับ
    หลวงพ่อ ความจริงถ้าเรารักษาศีล ๘ ไม่ขาดนะ ที่เราสมาทานมัน ๙ ข้อ นัจจะ กับ มาลาคันธะ เวลาเขาบวชพระ บวชเณร เขาแยกนะ เรารักษาแค่ศีล ๘ ทิ้ง วิกาลโภชนา เสีย
    ผู้ถาม อ๋อ.. ก็ดี
    หลวงพ่อ แต่อย่านะ...ลงนรก (หัวเราะ) แหม... ตั้งใจหูผึ่ง
    ผู้ถาม ได้กินข้าวเย็นก็ยังดี
    หลวงพ่อ เอาอย่างนี้ซิ สมาทานกรรมบถ ๑๐ กรรมบถ ๑๐ เป็นคุณสมบัติพระโสดาบันขั้น โกลังโกละ กับ เอกพิชี และสกิทาคามี... หนักมาก
    ผู้ถาม ถ้ารักษาศีล ๘ เดือดร้อน ก็เอากรรบถ ๑๐ ดีกว่านะ


    ถือศีล ๘ กินนมได้หรือไม่
    ผู้ถาม หลวงพ่อเจ้าขา ลูกขอถามเกี่ยวกับเรื่องศีล ๘ ศีล ๘ ที่ลูกรักษาอยู่ปัจจุบันนี่ มีคนเขาพูดว่า นมกินไม่ได้ ไอ้นั่นก็กินไม่ได้ ไอ้นี่ก็กินไม่ได้ ไอ้เรื่องศีล ๘ นี่เกี่ยวกับเรื่องน้ำปานะนี่ เขาอนุญาตแค่ไหน... และที่ไม่อนุญาตเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ?
    หลวงพ่อ เอาอย่างนี้ดีกว่า... เนยใน เนยข้น น้ำมัน นำผึ้ง น้ำอ้อย นมนี่เป็นพวกเนย... กินได้ แต่ว่าอย่ากินนมดิบนะ (หัวเราะ) ใน มหาปเทส อนุโลมจากเนยเป็นนมได้ ใช้ได้จริง ๆ นะ


    รักษาศีล ๘ ซื้อหวยใต้ดิน
    ผู้ถาม กราบเท้าหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูง ลูกรู้จักกับอุบาสกคนหนึ่ง อายุประมาณ ๖๐ ปีเศษ รักษาศีล ๘ มาหลายปีแล้ว เขาบอกกับผมว่า เขาได้พระอนาคามีแล้ว วันหนึ่งลูกเห็นแกซื้อหวยใต้ดิน แล้วก็ล๊อตเตอรี่ธรดา ลูกเกิดความสงสัยว่า ผู้ที่เป็นพระอริยเจ้าขึ้นไป จะซื้อหวยใต้ดินและล็อตเตอรี่รัฐบาลได้หรือเปล่า?
    หลวงพ่อ เขามีขายก็ซื้อได้ แต่ไม่ใช่พระอริยะเบื้องสูง อย่าง พระโสดาบันท่านยังอยากรวย ยังมีความโกรธ ยังมีความหลง แต่ก็ไม่ลืมความตาย อยู่ในขอบเขตของศีล ๕ จะรวยก็ไม่ขาดศีล ๕ คือไม่ลักไม่ขโมยใคร ทีนี้หวยนี่ไม่ได้ลักไม่ได้ ขโมยใคร แต่ว่าถ้าบอกเป็นอนาคามี ไม่ใช่แน่ อนาคามีไม่ทำแบบนั้น ตัดหมดแล้ว พระโสดาบันอาจจะมีแต่ว่าดิ้นรนมากนะ สังเกตอย่างนี้ก็แล้วกัน ถ้าอะไรขัดกับศีล ๕ พรโสดาบันไม่ทำ ถ้าสิ่งใดไม่ขัดกับศีล ๕ พระโสดาบันทำ... จำง่าย ๆ


    ถือศีล ๘ อยากไปนิพพาน
    ผู้ถาม กราบนมัสการพระเดชพระคุณหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูง ขณะนี้ลูกตั้งจิตอธิษฐานว่า ๑. ลูกจะถือศีล ๘ เป็นเวลา ๗ วัน ๒. งดบริโภคอาหารเนื้อสัตว์เป็นเวลา ๗ วัน ๓. เจิรญกรรมฐานให้ครบทั้ง ๗ วัน ลูกตั้งจิตอธิษฐานและจะทำในลักษณะอย่างนี้ การกระทำอย่างนี้จะเป็นบุญ เป็น กุศล เป็น ผลให้ลูกมีโอกาสได้ไปเกิดบนนิพพานได้หรือเปล่าเจ้าคะ?
    หลวงพ่อ ไม่ได้
    ผู้ถาม แหม... นี่ก็ ๗ วัน นี่ก็ ๗ วัน ไปไม่ได้หรือครับ?
    หลวงพ่อ แค่ ๗ วัน ปีมีกี่วัน... เราเกิดกี่ปี... อารมณ์ไม่ทรงตัว
    ผู้ถาม ความจริงนะ ไอ้ ๗ วันน่ะ เอาซ้อมมโนมยิทธิแป๊บเดียว ก็จะ
    หลวงพ่อ ดีกว่าเยอะ


    อยากจะบวชชี
    ผู้ถาม กราบเท้าหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูง ตอนนี้ลูกเปรีบเสมือนผงเข้าตาเขี่ยไม่ออก จึงขอบารมีของหลวงพ่อช่วยแก้ปัญหาให้ลูกด้วยเถอะค่ะ ทางบ้านของลูกมีอาชีพทำสวนผักและขายอาหาร เมื่อเด็ก ๆ ชอบฟังธรรมะ หลังเลิกเรียนบ้าง ก่อนทำสวนบ้าง และไปวัดวันพระ พอจบมหาวิทยาลัยก็ได้ทำงานเป็นเสมียนห้างหุ้นส่วนจำกัดแห่งหนึ่ง ได้มีโอกาสไปถวายผ้าจำนำพรรษาที่วัดใกล้บ้าน โดยวิธีจับฉลากได้เบอร์ ๑ ในใจก็คิดอุทิศให้คุณย่าที่ตายเมื่อปี ๓๑ ท่านเคยรักษาศีลอยู่วัดนี้
    พอปี ๓๒ ก็ถวายผ้าจำนำพรรษาอีก ครั้งนี้ทำให้พ่อแม่ก็จับสลากได้เบอร์นั้นอีก ซึ่งเป็นพระที่ลูกนับถือท่านมาก จึงมีแต่ความปีติสุข เพราะสองปีที่ทำนั้น ทำจนเงินหมดกระเป๋าลูกทำงานมีเวลาว่างมากคือ ทำงานใจระลึกแต่ทุกข์เสมอ หนักเข้าใจร้อนมากคิดแต่เรื่องอิสระ อยากจะออกบวชไม่รู้จะทำเช่นไร ก็เลยไปซื้อผ้านุ่งผ้าห่มไปถวายชี ๑ ชุด โดยไม่เจาะจง คามอยากเข้าไปหาอีกก็เลยลาออกจากงาน อยากจะบวชก็ปรึกษาญาติผู้ใหญ่
    ท่านก็บอกควรทำงานตอบแทนคุณก่อน จึงได้ไปช่วยบ้านทำสวนบ้าง ไปขายของที่ร้านอาหารบ้าง แต่ว่าตัวเองไม่ชอบค้าขายอาหาร เพราะว่ามีผลทำให้สัตว์ตาย ก็เลยช่วยพ่อทำสวน ญาติพี่น้องก็ไม่ชอบบอกว่า เรียนมาแล้วเอความรู้มาทิ้งสวน และข้อนี้ก็เป็นเหตุให้ทางบ้าน ไม่ส่งเสริมให้เด็กเรียนหนังสือ ทีนี้อยากการาบเรียนถามว่า ควรจะทำอย่างไรดี... กับชีวินปานี้เจ้าทะ?
    หลวงพ่อ เออ... คำถามเมื่อกี้นี้ และมีสังฆทานมาคั่นก็ดี ความจริงพระท่านบอก เมื่ออยู่กับพ่อก็บวชซะเลย... ก็แล้วกัน วิธีบวชให้รักษา กรรมบถ ๑๐ ไม่ต้องไปทำอะไร ทำงานก็ได้ กินข้าวเย็นก็ได้ กินข้าวร้อนก็ได้แต่ให้ทรงกรรมบถ ๑๐ ไว้นี่พอแล้วมันไม่ใช่พอเฉยๆ นะ ถ้ากรรมบถ ๑๐ ครบถ้วนนี่เป็นพระโสดาบันเป็นพระอริยเจ้าเลย รู้จักไหม... กรรมบถ ๑๐ มีอะไร... กรรมบถ ๑๐ ก็อย่างนี้นะ
    ทางกาย ๓ อย่าง คือ ๑.ไม่ฆ่าสัตว์ ๒.ไม่ลักทรัพย์ ๓.ไม่ประพฤติผิดในกาม นี่ทางกาย
    ทางวาจามี ๔ อย่าง คือ ๑.ไม่พูดปด ๒.ไม่พูดวาจาหยาบ ๓.ไม่ส่อเสียดให้เขาแตกแยกกัน คือไม่นินทาชาวบ้าน และก็ ๔.ไม่พูดวาจาเพ้อเจ้อ เหลวไหล
    ทางด้านจิตใจ มี ๓ อย่าง คือ ๑. ไม่อยากได้ทรัพย์สมบัติของใครโดยไม่ชอบธรรม ๒. ความโกรธยังมีอยู่ แต่ไม่จองล้างจองผลาญใคร ๓. มีความเห็นตรงตามที่พระพุทธเจ้าทรงสอน
    เท่านี้แหละ...นี่เป็นพื้นฐานของพระโสดาบันนะ ถ้าทำอย่างนี้ได้เต็มที่ คือว่ายังเหลืออีก ๒ อย่างเป็นพระโสดาบัน คือ เคารพพระพุทธเจ้า เคารพพระธรรม เคารพพระอริยะสงฆ์จริง และอีกข้อหนึ่ง มีความรู้สึกว่าชีวิตนี้ต้องตาย ก็แค่นั้น เรามี พระนิพพาน เป็นที่ไป แค่นี้เองเป็นพระโสดาบัน จุดใหญ่อยู่ที่กรรมบถ ๑๐ <A name=down>


    อยากจะบวชพระ
    ผู้ถาม กราบเท้าหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูง ไม่ทราบว่าเป็นเพราะเหตุใด อยากจะบวชให้มันตลอดรอดฝั่ง ตลอดชีวิตชีวัง... แต่ไม่สมความปรารถนา เพราะบิดามารดาแกไม่ยอมอนุญาต แกจะให้เรียนต่อ ผมมีความเสียใจเป็นอย่างมาก อยากจะปรึกษาหลวงพ่อว่า จะแก้ไขอย่างไรจึงจะให้พ่อแม่อนุญาต หรือไม่ก็วิธีใดวิธีหนึ่งขอรับ?
    หลวงพ่อ เอาอย่างนี้ดีกว่านะ การบวช... คิดจะบวชไม่สึก โดยมากมันบวชไม่นานนะ
    ผู้ถาม พวกอธิษฐานพูดอย่างนี้หรือครับ?
    หลวงพ่อ โอ้โฮ...ร้อยทั้งร้อยเลย บางทีไม่เต็มพรรษาจะไปแล้ว ขนาดชั้นเอกนะ มาจากผักไห่ ผมบวชไม่สึกครับ พอครึ่งพรรษาจะไปแล้ว เอาอย่างนี้ดีกว่า การบวชหรือไม่บวชการบวชนี่มีโทษมาก ถ้าไม่บวชมีโทษน้อย สิกขาบทของพระ ๒๒๗ นี่มันยังไม่พอนะ อภิสมาจารอีก ธรรมะอีกหลายส่วนที่ลงนรกน่ะ การไม่บวชเพียงแค่ศีล ๕ เท่านั้น ฉะนั้น ก็ขอให้ฝึกมโนมยิทธิ ตั้งใจรักษาศีล ๕ ให้ครบถ้วน ตั้งใจรักษากรรมบถ ๑๐ ให้ครบถ้วนพอแล้ว ดีกว่าพระบวชห่วย ๆ ตั้งหลายแสนเท่า
    ผู้ถาม เป็นพระนี่ ลงนรกง่ายกว่า
    หลวงพ่อ โอ... บานเจ้าเลย เวลานี้ ๙๙ เปอร์เซ็นต์ ไม่ได้เหลือนะ



    <A href="http://www.larnbuddhism.com/grammathan/toppanha.html#_Toc89187363" target=_blank>http://www.larnbuddhism.com/grammathan/toppanha.html#_Toc89187363
    อนุโมทนาครับ[​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 กรกฎาคม 2009
  5. เดินทาง

    เดินทาง Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    225
    ค่าพลัง:
    +38
    นำเนื้อหามาลงเยอะเกรงใจคนอ่านเกรงใจเจ้าของกระทู้ด้วยครับ
     
  6. ren

    ren เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กันยายน 2005
    โพสต์:
    426
    ค่าพลัง:
    +2,646


    ยินดีคะ ไม่ต้องเกรงใจกันน่ะจ๊ะ
    ยังคิดนิยม คุณเดินทาง อยู่ในใจว่า น่ารักมากๆ นำบทความดีๆ
    มาเสริมให้ตลอด


    เป็นกำลังใจให้คะ สำหรับการประคับประคองศีล๕
    เรื่องบางอย่างที่เราเคยตั้งสัจจะแต่ด้วยกำลังใจเรายังอ่อน
    และไม่สมารถทรงไว้ได้ก็ไม่สายคะ ที่จะเริ่มต้นใหม่ พยายาม พยายาม และพยายามไปเรื่อยๆ

    เมื่อใจเราตั้งมั่นที่จะทำความดี ตั้งมั่นที่จะประคองศีล เดวศีลก็จะจับเป็นอารมณ์จะทำผิด จะละเมิด ตัวหิริโอตะปะก็จะทำหน้าที่ของมันอย่างอัตโนมัติเลยยยย


    ตัวเราเองก็เหมือนกัน ใช่ว่าจะดี ใช่ว่าจะทำได้นะ ก็ยังแย่อยู่มาก
    บางทีตั้งใจทำอะไร แล้วก็ทำไม่ได้ทุกทีเลย ขี้เกียจๆๆ อยู่นั้นแหละ


    การเดินทางที่แสนยาวไกลขอแสงแห่งธรรมนำทางไปจนถึงฝั่งฝันนะค่ะ




    ;aa13;aa13
     
  7. เดินทาง

    เดินทาง Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    225
    ค่าพลัง:
    +38
    ว่าด้วยองค์แห่งวาจาสุภาษิต ๕ ประการ

    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย วาจาประกอบด้วยองค์ ๕ ประการ
    เป็นวาจาสุภาษิต ไม่เป็นทุพภาษิต และเป็นวาจาไม่มีโทษ วิญญูชนไม่
    ติเตียนองค์ ๕ ประการเป็นไฉน ? คือ วาจานั้นย่อมเป็นวาจาที่กล่าวถูก
    กาล ๑ เป็นวาจาที่กล่าวเป็นสัจ ๑ เป็นวาจาที่กล่าวอ่อนหวาน ๑ เป็น
    วาจาที่กล่าวประกอบด้วยประโยชน์ ๑ เป็นวาจาที่กล่าวด้วยเมตตาจิต ๑
    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย วาจาประกอบด้วยองค์ ๕ ประการนี้แล เป็นวาจา
    สุภาษิต ไม่เป็นทุพภาษิต และเป็นวาจาไม่มีโทษ วิญญูชนไม่ติเตียน.


    ลักษณะของ "วาจาสุภาษิต"
    พูดด้วยจิต เมตตา พาสุขสันต์
    พูดคำจริง คำสุภาพ ซาบซึ้งครัน
    พูดสร้างสรรค์ เสริมสร้าง ทางไมตรี

    พูดให้ถูก เวลา และกาละ
    ถูกเทศะ และเหตุการณ์ สถานที่
    ประมวลรวม เรียกว่า "วาจาดี"
    ครบถ้วนมี ผลเลิศ เกิด"มงคล"

    จึงควรเอ่ย วาจาสุภาษิต
    จักเกิดมิตร มากเพิ่ม เสริมกุศล
    ควรเอ่ยคำ ไพเราะ เสนาะกมล
    ควรฝึกฝน พูดแต่ แง่ดีงาม๚


     
  8. จีโอ14

    จีโอ14 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2009
    โพสต์:
    194
    ค่าพลัง:
    +262
    ศีล 5 ไม่ยากเลย..เพราะเข้าใจจึงไม่ยาก..ที่ยาก..เพราะไม่เข้าใจ

    ใว้ทีหลังจะมาแลกเปลี่ยนประสบการณ์นะ..ตอนนี้ง้วงแล้ว..ไปละ
     
  9. ren

    ren เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กันยายน 2005
    โพสต์:
    426
    ค่าพลัง:
    +2,646



    he llo _carhe llo _carhe llo _car


    แล้วจะรอน่ะค่ะ ^_^
     
  10. gonfil

    gonfil ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    29
    ค่าพลัง:
    +26
    เคยคิดว่าข้อมุสานี่ยากจริงๆ แล้วก็ไปเปิดไฟล์คำสอนของหลวงพ่อฤาษีลิงดำฟัง

    ชุดอุทุมพริกสูตร เจอตอนที่ท่านสอนว่า ให้ค่อยๆทำไป วันนี้ทำไม่ได้พลาดไปก็เอาใหม่ ให้

    ตั้งสัจจะอธิษฐานไปว่าเราจะไม่พลาดแล้วก็พยายามทำให้ได้ พลาดอีกก็เอาใหม่ กิเลสเรา

    สั่งสมกันมานาน ต้องค่อยๆทำไป ค่อยๆละไป แล้วจะทำได้เอง (ไม่ได้คัดคำพูดหลวงพ่อ

    มาเป๊ะๆแต่ประมาณนี้ค่ะ)
     
  11. gonfil

    gonfil ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    29
    ค่าพลัง:
    +26
    อยากให้ลองหาหนังสือ "ทางเข้าสู่สายพระนิพพาน" ของหลวงพ่อฤาษีมาอ่านกันค่ะ

    หลวงพ่อสอนเป็นเหตุเป็นผลมากค่ะ เรื่องการปฏิบัติ ทั้งเรื่องการรักษาศีลและการละ

    สังโยชน์ อ่านแล้วสำหรับเราเหมือนจะมีหลักให้จับในการปฏิบัติ โมทนากับทุกท่านที่

    พยายามปฏิบัติเพื่อความดีด้วยนะคะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 กรกฎาคม 2009
  12. 5th-Lotus

    5th-Lotus เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    354
    ค่าพลัง:
    +306
    อ่ะ แวะเอามาให้อ่านเพิ่มเติม
    เพราะไม่แน่ใจว่า หมาในปาก มันอยากจะให้อิฉัน เพ่นพ่าน อยู่แถวเวบนี้ นานไหม
    มัวมา ติดเนต อยู่แถวนี้ เดินจงกรม ทั้งอู้ทั้งเลท
    ทำเอา ผจก.ส่วนตัว อย่าง คุณนายหิริโอตตัปปะ บ่นแว้ด ๆ ใส่ นู๋บัวฯ ใหญ่เล๊ยยย5555

    -------------------------------------------------


    ศีล ข้อสาม ที่เคยเขียนไว้ที่ ในกระทู้
    มันเกินไปแล้ว ผู้หญิงสมัยนี้___เด็กๆมันก็ไม่เว้น
    http://topicstock.pantip.com/religious/topicstock/2009/01/Y7467757/Y7467757.html#20
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 สิงหาคม 2009
  13. 5th-Lotus

    5th-Lotus เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    354
    ค่าพลัง:
    +306
    ส่วนนี่ ข้อ 4
    ข้อ 4 มุสาวาทา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ,
    (ข้าพเจ้าขอสมาทานสิกขาบท คือเจตนาเป็นเครื่องงดเว้นจากพูดเท็จ )
    " เออ แล้ว รู้ไหม ว่า
    อะไร เป็นสาเหตุให้ คนเรา ต้อง ปากหมา
    ทำไมชอบทำร้ายคนอื่น ด้วยคำพูดเชือดเฉือน
    แล้วเก็บสิ่งดี ๆ ที่คิด เอาไว้ในใจ
    เอาไว้วันหลังจะเล่าให้ฟัง ..."
    เมื่อ สิบปีก่อน เพื่อนคนหนึ่งเคยเมล์ มาถามหนูบัวฯแบบนี้
    ตอนนั้นก็ งง ๆ นิดหน่อย ไม่รู้มันจะมาไม้ไหน
    แต่ครั้นจะ เล่าถึงอานิสงค์ ของศีลข้อ 4 ให้มันฟังก็กระไรอยู่
    คนที่ เห็น งานของราชการ นิทานของพระ
    และ การบ้าน ของเด็กมัธยม
    เป็นเรื่องอ่อนหัดทางการตลาด อย่างมัน
    ขืน เธอ เลคเชอร์ เรื่องศีล ข้อ 4 ให้ฟัง
    มีหวังโดนมันเฉ่ง เป็นแน่
    (ไอ้หมอนี่ยิ่งปากจัดชนิดกัดไม่ปล่อยเสียด้วย )
    หนูบัวฯ จึง ปลอบมันเรื่อยเปื่อย ไปว่า
    " สำหรับ หนูบัวฯ น่ะ เธอคิด ว่า
    ในโลกแห่งความเป็นจริง
    คนที่อ่อนโยน ...
    มักจะถูกคนอื่นมองว่า อ่อนแอ และ ถูก รังแก เสมอ
    ถ้าไม่อยากตกเป็นเหยื่อ บางครั้ง เราก็ต้องทำตัวเอง
    ให้กลายเป็น ผู้ล่าที่ป่าเถื่อน เหมือนกัน
    ด้วยเหตุนี้มั้งคนบางคนเลยต้องปากหมา
    เจ้าพี่ชายนอกไส้ เคยสอนเธอว่า
    ชีวิตคนเราย่อมแตกต่างกันไป
    บางคนอ่อนไหวราวใบไม้
    บางคนแข็งแกร่งกว่าใคร ๆ
    บางคนแล้วแต่ใจให้นำพา
    หากพบคนที่อ่อนแอ
    จงอย่าแค่มองเห็นว่าไร้ค่า
    จงพยุงเพื่อฉุดเขาลุกขึ้นมา
    วันหนึ่งข้างหน้าเขาอาจเติบโต
    โดยส่วนตัว หนูบัวฯ คิดว่า
    บางคนอาจเข้มแข็งพอที่จะกระโดดออกจากเปลือกที่ห่อหุ้มตัวเองได้
    แต่ก็ยังมีคนอีกมากมายที่ต้องซ่อนตัวอยู่ในเปลือก
    ตราบจนวาระสุดท้ายของชีวิต
    กลไกการป้องกันตัวเองแบบง่าย ๆ ตามทฤษฎี จิตวิทยาไง
    หากไม่ทำอย่างนั้น เขาคงอยู่ในโลกเบี้ยว ๆ ใบนี้ไม่ได้หรอก "
    หลังจาก หนูบัวฯ ตอบกลับไปอย่างนั้น
    เธอกับมันก็มัวคุยกันเรื่องอื่นเพลิน
    จนไม่ได้คุยกันถึงเรื่องนี้อีก
    ซึ่งถึงตอนนี้ เธอก็เลยยังไม่มีโอกาส ฟังมันเล่าเลย
    ว่า ทำไม คนเราถึงต้อง ปากหมา ?
    หนูบัวฯ เองก็ไม่แน่ใจเหมือนกันนะ ว่า
    ตัวเอง ปากหมา หรือเปล่า
    เมื่อก่อนเวลาที่เธอพูดอะไรออกไป
    เพื่อนผู้หญิงในคณะ ก็มักจะโวยวายออกมาว่า
    " ช่วยด้วย ๆ ใคร๊ ก็ได้ ไปเอา ตระกร้อ มาครอบปากมันที๊ "
    ส่วนอาจารย์ที่คณะก็เคยเอ่ยรับประกันคุณภาพปากของเธอ
    ด้วยการประกาศต่อหน้าเพื่อนทั้งชั้นเรียน ร่วม เจ็ดสิบชีวิต ว่า
    " เด็กคนนี้ มีศิลปะ ในการพูด การถาม "
    และ อาจารย์ คนเดียวกันอีกนั่นแหล่ะ
    ที่เอ็ดเสียงเขียวใส่เธอ ต่อหน้าสาธารณชน
    " บัวฯ นี่เธอจะเรียนเภสัช หรือ จะไปเป็น ตลกคาเฟ่ ! "
    จำได้ว่า ตอนถือศีล 5 และ หัดเดินจงกรม ใหม่ ๆ
    เคยมีคนถามหนูบัวฯ นะ ว่า ศีล ข้อไหน ถือยากที่สุดสำหรับเธอ
    หนูบัวฯตอบเขาไปว่า เธอรักษาศีลได้ทุกข้อ
    แต่ ข้อมุสาฯ นี่ รักษาลำบากกว่าเพื่อนนะ
    เพราะมันไม่ใช่แค่ ไม่พูดเท็จ
    แต่มันรวมการพูด ส่อเสียด
    การพูดแล้วไปกระทบทำให้คนอื่นรู้สึกไม่ดีด้วย
    ปกติการสุมหัวนินทาชาวบ้าน
    เป็นอาหารจานโปรดของหนูบัวฯ นะ
    ซึ่งธอมักจะบริโภคมันบ่อย ๆ จนติดเป็นนิสัย
    แต่ก็ไม่รู้โชคดี หรือโชคร้าย
    ทุกครั้งที่อ้าปากจะนินทาใคร
    เขาคนนั้นก็มักจะมาอยู่ ให้นินทาระยะเผาขนเสมอ
    บางทีกะลังเม้าส์เพลิน ๆ
    เขาคนนั้นก็เดินผ่านเฉยเลย
    ทำเอาคนนินทาต้องกุมขมับ
    ตายแหล่ว เสียงตู รึ ก็ สิบแปดหลอด ซะด้วย
    เขาจะได้ยินไหมเนี่ย ?
    หรือบางทีแค่อ้าปากพูดชื่อใครสักคน
    ( เพื่อเอามาเป็นเหยื่อในการนินทา )
    เขาเหล่านั้นก็โผล่หน้ามาอยู่แถวนั้นเสมอ
    จนเกิดอาการระแวงเลยไม่มีโอกาส นินทาใคร
    อย่างเป็นจริงเป็นจังเท่าไร
    ตอนหลัง หนูบัวฯ ยังมานั่งขำเลยนะ ว่า
    ดวงของเธอคงไม่ถูกโฉลก กับการนินทาคนเป็นแน่
    พอคิดจะอ้าปากนินทาใครก็ไม่เคย ประสบความสำเร็จเล๊ย
    คงต้องขอบคุณ กรรมเก่าแต่ปางก่อน
    ที่มักจะบันดาลให้หนูบัวฯ นินทาใครไม่ขึ้น
    จากการสังเกต พอเธอคิดจะนินทาใคร สิบครั้ง
    ก็มักจะสัมฤทธิ์ผล แค่ สามครั้ง เท่านั้น เฮ้อ
    วันหนึ่งหนูบัวฯ มีเรื่องผิดใจ
    กับเพื่อนที่ทำงานเพราะพูดจาไม่ถูกหูกัน
    ตกเย็น พอเธอไปเดินจงกรม
    ใจมันก็เลยหมกมุ่นอยู่กับเรื่องนี้
    เนื่องจากเธอเป็นพวกชอบสนุกที่รักสงบ
    การมีเรื่องโกรธเคืองกับใคร จึงเป็นอะไรที่แย่มาก ๆ
    ขณะที่ตีนมันเดินจงกรมไปเรื่อย ๆ
    ใจมันก็ฟุ้งซ่านไปใหญ่
    วูบหนึ่งใจมันก็เกิดความคิดว่า
    อัน ลมปาก นี้ ช่างมีพิษสงร้ายจริงหนอ
    คนส่วนใหญ่ จะชอบพอ หรือ ทะเลาะกัน
    ก็เพราะ มันเนี่ยแหล่ะ
    จริงหรือ ที่ กรรมเป็นเครื่องบอกเจตนา
    แล้วทำไม วจีกรรม ที่ออกจากปากเราด้วยเจตนาอย่างหนึ่ง
    ถึงถูกคนฟัง แปลความ และ เห็น เป็น เจตนา อีกอย่างไปเล่า
    หรือว่า วจีกรรม ที่เกิด ใช้เป็นตัวบ่งชี้ เจตนาไม่ได้
    เพราะเจตนาของคนพูดก็ย่อมมีการปรุงแต่ง
    เฉกเช่น เดียวกับการรับผัสสะของคนฟัง
    เมื่อไรที่ มี เสียง เกิดขึ้น
    เวทนาก็จะถูกปรุงแต่งไปตาม จริต แห่งตน

    คำพูดเตือนใจ อันหนึ่งที่เธอชอบมาก คือ
    คำพูดถ้ายังอยู่ในปาก เราจะเป็นายของมัน
    แต่เมื่อไดก็ตามที่มันหลุดออกจากปากเราไปแล้ว
    มันจะกลายเป็นนายของเรา
    ตราบใดที่เรายังอ้าปาก วจีกรรมจะยังเกิดเสมอ
    ที่สำคัญ เมื่อเราปรุงแต่งถ้อยคำ แล้ว นำมันออกจากปาก
    เราไม่สามารถคาดคะเนได้เลย ว่า
    คนฟังจะเกิดการปรุงแต่ง
    และรู้สึกอย่างไรกับวจีกรรมที่เราสร้างขึ้น
    เฮ้อ ... เดินจงกรมไป ก็นึกถึงความน่ากลัวของ วจีกรรม ไป
    สุดท้าย หนูบัวฯ ก็นึกอยากเป็นหญิงใบ้ที่พูดไม่ได้ขึ้นมาซะงั้น
    เข้าใจเลยนะ ว่า ทำไม พระเตมีย์ ถึงไม่ยอมพูด
    ตอนนั้นเอง ที่ หนูบัวฯ ตัดสินใจว่า
    ต่อไป หนูบัวฯ จะงดการสร้าง วจีกรรม จะพูด เท่าที่จำเป็น
    ซึ่งมันก็ไม่ยากหรอกนะ
    ขอแค่หุบปากซะ วจีกรรมก็ไม่เกิด
    ศีลข้อ 4 ของหนูบัวฯ ก็จะไม่ด่างพร้อย
    เธอเคยทำได้มาแล้วสมัยอยู่มัธยม
    ทำไมเธอจะหวนกลับไปใช้ชีวิตแบบนั้นอีกไม่ได้

    ยิ่งถือศีลไปด้วย เดินจงกรมไปด้วย
    รู้สึกว่า จิตมันไวขึ้นนิดหน่อยนะ
    สำรวมมากขึ้นโดยอัตโนมัติ
    เธอเปลี่ยนจากคนที่ พูดจาเจื้อยแจ้ว แง้ว ๆ ได้ตลอดเวลา
    มาเป็น ผู้หญิงที่พูดช้า ๆ เนิบ ๆ โดยอัตโนมัติ
    จากที่เคยโล้งเล้ง พูดจาตลกโปกฮาประจำ
    ก็เปลี่ยนเป็น เจ้าหญิงกลัวดอกพิกุลทองจะร่วง โดยไม่ต้องฝืน
    มันเป็นไปเองน่ะ พูดน้อยลง หนักไปทางยิ้ม ๆ ซะมากกว่า
    เรียกว่า หน้ามือเป็นหลังเท้าเลย
    โชคดีที่ จริตของเธอ มันค่อนข้างว่านอนสอนง่าย
    คิดอะไร อยากจะทำอะไร ตั้งใจแบบไหน
    มันก็เออออด้วยไม่เคยขัด
    แต่คนที่อึดอัดดันเป็นคนรอบข้างซะนี่
    ก็ใครบ้างล่ะจะไม่แปลกใจ
    จากคนที่ใคร ๆ ก็ บอกว่า
    "ขาดหนูบัวฯ ซะคน
    ห้องยาเงียบบบบบบบบบบ อย่างกับป่าช้า"
    (แต่เดี๋ยวนี้ ถึงมี เธอ อยู่ ก็ยังเงียบบบบบบบบบบ เป็นป่าช้าอยู่ดี )
    จำได้ว่า ตอนตั้งใจจะตัด วจีกรรม นั้น
    ก็เปรย ๆ บอกชาวบ้านชาวช่องเหมือนกัน
    ( กลัวพวกมันจะตกใจ ที่ จู่ ๆ หนูบัวเปลี๊ยนไป๋ )
    เธอจึงบอกกับ น้องดล ( ผู้ก่อตั้งชมรมคนรักพี่หนูบัวฯ )ว่า
    ช่วงนี้ เธอจะหัดตัดวจีกรรม จะพูด เท่าที่จำเป็น
    จึงอาจ เปลี่ยนลุคส์ เป็น สาว งามขรึม ไป นิดนึงนะ
    ขอจงอย่ากังวลเลย หากเห็นเธอ ซึม ๆ เซื่อง ๆ ไปบ้าง
    พ่อน้องชายนอกไส้ ฟังแล้วอึ้งไปพักใหญ่
    แล้วก็ อ้อม ๆ แอ้ม ๆ แสดงความไม่เห็นด้วย บอกเธอว่า
    " ผมว่าพี่บัวฯ เป็นอย่างเดิม ก็ดีอยู่แล้ว ไม่เห็นต้องเปลี่ยนเลย "

    ตอนแรกหลายคนนึกว่า หนูบัวฯ ทำเล่น ๆ
    แต่พอผ่านไป สี่ห้า วัน แล้วเห็นว่า
    เธอยังคงบำเพ็ญตน เป็น สาวงามขรึม ได้อยู่ ไอ้พวกนั้นก็เริ่มขยาด
    แถมไอ้เจ้าดล น้องชายนอกไส้ก็รี่เข้ามาแสดงความคับข้องใจ
    ( เพราะขาดคนลับฝีปากด้วย ) มันบ่นพึม
    " ผมว่ามันแปลก ๆ ผมไม่เห็นด้วยเลย ที่ พี่บัวฯ จะทำงี้
    กลับมาเป็นแบบเดิมดีกว่า ผมว่า มันทะแม่ง ๆ
    ตั้งแต่พี่พูดว่า จะตัด วจีกรรมแล้ว "
    ฟังไอ้น้องชายนอกไส้มันพูด หนูบัวฯ ก็ได้แต่ขำ ๆ
    จะไม่ให้ขำได้ไงล่ะ เมื่อวันเกิดปีก่อน ( ตอนยังไม่ถือศีล )
    ไอ้หนูดล คนนี้แหล่ะ ที่เขียนอวยพร ให้เธอว่า
    " ขอให้พี่บัวฯ เป็นคนแบบนี้ ตลอดไปนะครับ "
    จริง ๆ เธอก็อยากจะเอาหลักไตรลักษณ์
    เรื่องความไม่เที่ยง มาเลคเชอร์ให้น้องมันฟังนะ
    แต่เด็กวัยรุ่นใจร้อน อย่างมัน คงไม่เข้าใจหรอก
    และเพราะเธอชอบหนังสือแนวจิตวิทยา
    บางครั้งเธอก็เลยไปควานหามาอ่าน
    ทั้ง ๆ ที่ มันไม่ใช่วิชาบังคับเลือกที่จำเป็นต้องรู้
    สิ่งที่หนังสือเหล่านั้นสอนเธอ คือ
    ทฤษฎีจิตวิเคราะห์ของฟรอยด์กับแรงกระตุ้นของจิตใต้สำนึก
    การหาเหตุปัจจัย ที่ขับเคลื่อนพฤติกรรม ของคนรอบตัว
    ทั้งในแง่ ความคิด การกระทำ คำพูด และ ตัวหนังสือ
    เธอสนุกกับการมองความเป็นไปของผู้คน
    แล้วนำ สิ่งที่เขาแสดงออกมาวิเคราะห์เสมอ
    แต่บางครั้งเธอก็มัวเล่นเกมส์วิเคราะห์ชาวบ้านเสียเพลิน
    จนลืมที่จะย้อนกลับมาวิเคราะห์ตัวเอง
    มาเมื่อเธอเริ่มคิดจะถือ ศีล ข้อ 4 อย่างจริงจังนั่นแหล่ะ
    เธอจึงเริ่มคิดได้ และเริ่มหันกลับมามองตัวเองมากขึ้น
    โดยเฉพาะ ก่อนที่เธอจะอ้าปาก พูดอะไรออกไป
    เธอต้องคิดเสียก่อนว่า เจตนาของเธอนั้น คือ อะไร
    พูดแล้วอาจจะกระทบความรู้สึกคนอื่นอย่างไร
    และ สมควรไหมที่จะพูด ?
     
  14. 5th-Lotus

    5th-Lotus เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    354
    ค่าพลัง:
    +306
    แถมตอนหลัง เธอไปอ่านเจอ
    การพูดที่ไม่ควรพูด
     
  15. ren

    ren เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กันยายน 2005
    โพสต์:
    426
    ค่าพลัง:
    +2,646
    เรียนท่านประธานค่ะ

    piggi


    อิฉันขอค้านค่ะ ค้าน ค้าน ค้าน

    ขอให้คุณหนูบัว เปลี่ยนสรรพนามใหม่ได้ไหมค่ะ
    จากหนูบัว เป็น คุณนายบัวดีกว่า

    คุณนายบัว กับ คุณหญิงแม่หิริโอตตัปปะ

    จะได้สมน้ำสมเนื้อ

    อิอิ แวะมาแซวจ๊าาาาาา hello8hello8

     
  16. 5th-Lotus

    5th-Lotus เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    354
    ค่าพลัง:
    +306
    เข้ามาบอกว่า
    คำว่า หมาในปาก ที่อิฉันใช้ในที่นี้
    หมายถึง หมาในปากของอิฉัน นะเจ้าคะ
    บ่ เกี่ยวข้องกับผู้ใดเด้อ
    ขออนุญาต แก้ตัว เอ๊ย ชี้แจงไว้ก่อน
    เพิ่งมาอ่านทวน ข้อความ คห. 57
    เลยไม่อยากให้ใครอ่านแล้ว
    ปรุงแต่งไปในทางอื่น ที่ไมตรงกับอิฉัน ^ - ^

    ----------------------------------

    และ ไหน ๆ วันนี้ ก็ หาเรื่องอู้ ไม่ไปเดินจงกรมรอบโรงบาลแล้ว
    เอาข้อความ มาโพสต่อ ดีกว่า
    ( เผื่อ จะเป็นการ ทิ้งทวน หุหุ )

    ----------------------------------------------
    สำหรับตอนนี้....
    หนูบัวฯ เธอก็เริ่มปรับตัวกับการถือศีล 5 ได้แล้วล่ะ
    เพราะ ศีล แปลว่า ปกติ
    ถ้าพยายามทำสร้างคุ้นเคยกับมันบ่อย ๆ
    ไม่ช้ามันก็จะกลายเป็นความเคยชินที่เป็นปกติ
    และสามารถทำได้โดยไม่ฝืนจริตของตน
    หนูบัวฯ เคยได้ยิน คำว่า ต่อศีล ครั้งแรกในชีวิต เมื่อ ปีก่อน
    คนที่พูดให้ฟัง ไม่ใช่ พระ แต่เป็น หัวหน้าฝ่าย
    ซึ่งคุยเล่นให้ฟัง ก่อนทำงาน ว่า ตอนที่พี่เขาบวชนั้น
    เวลาพระภิกษุ เผลอพลาด ทำศีลขาด
    เค้ามีการ ต่อศีล กันด้วยนะ
    พี่เค้าพูดแค่นั้นแหล่ะ
    แต่มันก็ช่วยให้หนูบัวฯ เล่นบท" ครูพักลักจำ "
    นำคำว่า ต่อศีล ของ พี่เค้ามาใช้ในปีต่อมา เมื่อเริ่มถือศีล
    เธอ set โปรแกรมใส่หัวตัวเองว่า
    ทุก ๆ คืน เธอต้องหมั่นทบทวนศีล และ ต่อศีล เสมอ
    แต่ก็ยังมีปัญหานิดหน่อย ตรงที่เธอความจำสั้นเหมือนปลาทอง
    เลยจำไม่ได้ว่า ในแต่ละวัน เธอทำผิดศีล ทำศีลขาดตอนไหนบ้าง
    ซึ่งปัญหานี้ มันทำให้เธอลำบากใจเหมือนกัน
    จนกระทั่งวันหนึ่ง ระหว่างเดินจงกรม ( รอบโรงพยาบาล )
    เจ้า กุศลจริต ตัวดี ก็มากระซิบข้าง ๆ หูว่า
    ถ้าจำ กรรมที่ตัวเองก่อ ไม่ได้
    ทำไม ไม่ลองจด กรรมที่ก่อ ไว้ ลงในสมุดโน๊ต ดูล่ะ
    เวลาทวนศีลจะได้ไม่ต้องมานั่งนึก
    นั่นเป็นที่มาของ สมุดโน๊ตที่เธอมักจะพกติดตัว
    เพื่อจด กรรม ที่ก่อขึ้น ในปัจจุบันขณะ
    ปัญหาต่อมาคือ แล้วจะเขียน กรรม เหล่านั้น
    ลงในสมุดโน๊ต ทันทีได้อย่างไร
    โดยไม่ต้องให้ชาวบ้านมารับรู้เรื่องราวการผิดศีลของเรา
    เพราะ บางครั้งถ้าเขารู้ เขาอาจว่า เธอประหลาด
    และ ก็มันเสี่ยงกับการถูกประณามนะ
    ถ้าสิ่งที่เธอขียนอย่างซื่อสัตย์ นั้น มันมีพาดพิงถึงเขาเข้า
    โชคดีอยู่อย่าง ที่เธอนึกขึ้นมาได้ว่า
    สมัย มัธยมเธอ เคยคิด รหัสเฉพาะ แทนพยัญชนะ 44 ตัว
    สำหรับใช้ เขียนไดอารี่ไว้ เมื่อสมัย มัธยมปลาย
    ตอนนั้นน้องชายมันชอบแอบอ่าน ไดอารี่ ของเธอ แล้วเอามาล้อ
    เธอเลยคิดค้น ภาษา รหัส ป้องกันมันอ่าน
    แต่ตอนหลัง พอมาอยู่มหาลัย
    พวกสอดรู้สอดเห็นมีไม่มากนัก
    เธอเลยไม่ได้ใช้ ภาษารหัส เหล่านั้น เท่าไร
    นอกจากเก็บเอาไว้เขียน สิ่งที่ไม่อยากให้ใครรู้
    พอมาถึงตอนนี้ เมื่อเธอ คิดจะ จดกรรม
    เธอจึงรื้อฟื้น รหัสอักษรพวกนี้มาใช้อีกที
    ซึ่ง รหัสพวกนี้ก็ช่วยป้องกัน
    ความอยากรู้อยากเห็นของชาวบ้านได้ค่อนข้างดี
    เวลาเธอ หยิบสมุดมา จดกรรม ยิก ๆ
    แล้วชาวบ้านก็มักจะเหลือบตามาแอบอ่าน
    และเมื่ออ่านไม่ออก
    บางคน อดใจไม่ไหว
    ก็ถามด้วยความอยากรู้ว่า จดอะไรอยู่
    เธอก็แค่ยิ้ม ๆ ไม่ปริปากพูด

    ตอนนั้น เธอไม่รู้จะเรียก สมุดโน๊ตจดกรรม นี้ว่า อะไร
    แต่เคยอ่านเรื่องใบสารภาพบาปในศาสนาคริสต์มาบ้าง
    เธอจึง หลับหูหลับตา เรียกมันว่า สมุด สารภาพบาป
    แต่ตอนหลัง มัน ดัน กลาย เป็น สมุดดูจิต ไปได้ไงก็ไม่รู้ เฮ้อ
    ( ไว้มีโอกาสจะเล่าเรื่องนี้ ให้ฟัง เจ้าค่ะ ^ - ^ )

    เอาเป็นว่า พอหนูบัวฯ เริ่ม ถือศีลจนเห็นว่า
    มันเป็น...ปกติ... เป็นความเคยชิน
    เหมือนการกินข้าว และ การก้าวเดินแล้ว
    เธอก็เริ่มเบนความสนใจ
    จากเรื่องของการระวัง กายกรรม และ วจีกรรม
    หันมาตรวจทาน มโนกรรม เป็นลำดับต่อไป
    เธอเริ่มสนใจจะถือ พรหมวิหาร 4
    แต่ไม่ได้ถือเพราะอยากเกิดเป็น พรหม หรอกนะ
    เธอก็แค่ อยากขัดเกลากิเลสตัณหา ออกจากใจเท่านั้น
    มันคงรู้สึกดีเป็นบ้า ถ้าดวงจิตของเธอสกปรกน้อยลงไปบ้าง
    แต่การถือหลักพรหมวิหาร นี่มันยากนะ
    ยากกว่า การถือศีลเยอะเลย
    จนเดี๋ยวนี้ก็ยังถือไม่ค่อยจะได้
    คงต้องใช้เวลาอีกนานเลย
    กว่าเธอจะทำได้และเห็นเป็นความเคยชิน
    ส่วนเรื่องศีลที่ถือนี่ ก็ใช่ว่า
    หนูบัว ฯ จะถือได้ บริสุทธิ์ผุดผ่อง 100 % นะ
    ก็มีพลั้งมีเผลอบ้าง ( โดยเฉพาะ ข้อ 4 วจีกรรม ) ขาดประจำเล๊ย เฮ้อ
    แต่ก็ลดลงไปแยะ เท่าที่สติมันเตือนทันนั่นแหล่ะ
    พอเริ่มถือศีล 5 จนเห็นเป็นเรื่อง ปกติ
    เจ้ากุศลจริตจอมบงการ ก็มาแง้ว ๆ ข้างหู อีกแล้ว
    หนูบัวฯ จ๋าาาาาาาา ศีล 5 ก็พอจะถือ ได้แล้ว
    ถือ ศีล 8 เพิ่มเติมดีไหมจ๊ะหนูบัวฯ
    เอ ?หรือจะถือ ศีล 10 ดี
    ฟังมันพูดแล้ว เธอก็เลยได้แต่ทำตาปริบ ๆ
    สุดท้ายก็หลงคารมมันอีกตามเคย
    ใจอ่อน ยอมไปเสิร์ช คำว่า ศีล 8 ใน กูเกิ้ล
    เพื่อดูลาดเลานิดหน่อย
    พออ่านรายละเอียดเรื่อง ศีล 8 ( และศีล 10 )
    แล้วเธอก็เริ่มสงสัย
    ถ้าศีล 5 คือการลดการเบียดเบียนผู้อื่นแล้ว
    ศีล ข้อที่ 6 ถึง 10 นี่ เท่าที่อ่าน
    มันก็คงเป็นการ ลดการเบียดเบียนตัวเองสินะ
    เป็นการลดสิ่งที่จะกระตุ้นกิเลสตัณหาในใจตน งั้นสิ
    อ่านไปอ่านมา เสร็จสรรพ
    เธอก็ส่ายหน้าดิกใส่เจ้ากุศลจริต
    บอกมันไปว่า ยังก่อนใจเย็น ๆ
    ยังไม่ถึงเวลาจะถือ
    ไม่ใช่ทำไม่ได้นะ แต่ยังไม่อยากทำ
    รู้สึกว่า มันยุ่งยาก ไปหน่อย
    เธอชอบอะไรที่มันง่าย ๆ มากกว่า
    ไอ้ไม่ให้ดู มหรสพ เนี่ย ทำได้อยู่นะ
    เพราะปกติก็ไม่ชอบดูละคร นักหรอก
    ชอบดู discovery กับ สารคดี มากกว่า
    ยิ่งวันไหน นั่งพิมพิ์ข้อเขียน
    ต้องใช้สมาธิ ยิ่งๆไม่เปิด ทีวีดูเลย
    งดการเสพกาม นี่ก็ไม่ยาก เท่าไร
    แต่ห้ามนอนฟูกนี่ยังไม่อยากทำนะ
    ยังอยากนอนสบาย ๆ บนฟูกนุ่ม ๆ อยู่
    และอีกอย่าง ในเมื่อมีฟูกของเดิมอยู่แล้ว
    ก็จะไปขวนขวาย เปลี่ยนแปลงที่นอนทำไม
    มีอย่างไร ก็นอนอย่างนั้น
    อยู่แบบ ง่าย ๆ กับทางสายกลางดีกว่า
    ยิ่งห้ามใส่เครื่องหอม ยิ่งแล้ว
    ทำไม่ได้หรอกนะ สงสารคนรอบข้าง
    จะให้เธอ ปล่อยเต่า ให้ใครดม ได้ไงล่ะ
    (แต่ก็ไม่แน่นะ ถ้า โรลออนที่ซื้อมาหมด
    อาจจะลองใช้สารส้มแบบลูกกลิ้งดู)
    ส่วน งดกินอาหารยามวิกาลนี่...
    เป็นตายร้ายดีไง ก็ ไม่ทำ !
    จำไม่ได้หรือไง ว่า
    เพราะถูกบังคับเรื่องนี้แหล่ะ
    เลยเป็นเหตุปัจจัยสำคัญ
    ที่ทำให้เธอต้อง "แหกค่ายปฏิบัติธรรม " เมื่อ ปีที่แล้ว

    เจ้ากุศลจริต ฟังการแจกแจงฉอด ๆจากหนูบัวฯ เสร็จ
    ก็ทำตาปริบ ๆ ตอบกลับเสียงอ่อย ๆ ว่า
    แหม ? ถ้ายังถือศีล 8 ไม่ได้
    ก็เลือกทำเฉพาะข้อที่ทำได้ไปก่อนสิ หนูบัวฯก้อ
    เลือก ถือศีล 6 ศีล 7 ไปก่อนก็ได้
    เลือกในแนวทางปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ
    เท่าที่จริตตัวอื่นของเธอยอมรับได้ไปก่อนก็ไม่เสียหายอะไรนี่
    ถือศีลข้อไหนได้ก็ถือไปก่อนสิจ๊ะ
    อืม....ฟังคำโน้มน้าวของ แม่กุศลจริต
    แล้วเธอชักคล้อยตาม แฮะ
    ทว่า เธอไม่ได้หยุด แค่การศึกษา ศีล 10
    เธอเริ่ม คิดต่อยอด ไปเรื่อย
    จนข้ามขั้นไปสนใจที่จะศึกษา ศีล 227 !
    เปล่าหรอกนะ หนูบัวฯ ไม่ได้ลามปาม
    เหิมเกริม จนคิดจะตีตัวเสมอด้วย สมณะ หรอก
    เพียงแต่เจ้าความอยากรู้อยากเห็นแบบเด็ก ๆ
    ทำให้เธอสนใจที่จะเรียนรู้ทุก ๆ สิ่ง รอบ ๆ ตัว
    และอยากจะนำแนวทางดี ๆ มาปฏิบัติบ้าง ก็เท่านั้น
    พระพุทธเจ้า ท่านไม่ได้จดสิทธิบัตรเรื่อง ศีล 227 ข้อไว้นี่หน่า
    เพียงแต่ว่า ท่านสอนเรื่อง ศีล ไว้หลากหลาย
    เพื่อให้คนเราสามารถนำไปปฏิบัติได้โดยสะดวก
    ตามโอกาส กาล สถาน ภูมิรู้ และ จริตแห่งตน
     
  17. 5th-Lotus

    5th-Lotus เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    354
    ค่าพลัง:
    +306
    อืม....ก่อนหน้าที่จะถือศีล 5
    เธอเคยสงสัยมานานแล้วว่า
    เวลาผู้ชายบวชเป็นพระ
    เค้าจำ ศีล ทั้ง 227 ข้อได้อย่างไรกัน ?
    เพราะ มันแยะเหลือเกิน
    คนความจำสั้นอย่างเธอ
    คงจำได้ไม่หมดแน่ ๆ
    วันหนึ่ง เธอเห็น ไอ้เจ้าดล น้องชายนอกไส้
    เพิ่งลาสิกขาบท หมาด ๆ เธอก็เลยถามมันว่า
    ตอนบวชนั้น พระท่านสอนอะไรบ้าง
    ท่านสอนให้สำรวม และ ปฏิบัติตัวอย่างไร
    เธออยากรู้ ว่า ศีลทั้ง 227 ข้อ มีอะไรบ้าง
    แล้ว ดลอ่านและจำได้ ทั้งหมดไหม ?
    น้องมันตอบว่า
    " หลวงพี่ท่านไม่ได้สอนผมหรอกว่า ศีล 227 มีอะไรบ้าง
    ท่านก็แค่สอนให้ผมสำรวมกิริยา อาการ
    เวลาเดินให้ก้มมองที่พื้นนิ่ง ๆ
    อย่าสอดส่ายสายตาล่อกแล่ก
    เวลาหัน ก็ให้หันทั้งตัว แบบพญาคชสาร
    อย่าหันเฉพาะหัวกับคอเหมือนสุนัข
    ห้ามสาดน้ำจากภาชนะ เพราะอาจจะไปถูกสัตว์ตัวเล็กตัวน้อยเข้า "
    นั่นคือสิ่งที่ หนูบัวฯ ได้เรียนรู้จาก อดีตทิดสึกหมาด ๆ
    ซึ่งสิ่งที่ได้รู้ ก็ เลยมีผลต่อเธอบ้าง เล็กน้อย
    ( โดยเฉพาะเรื่องของการสาดน้ำอย่างระมัดระวัง )
    มาตอนหลังพอเริ่ม ถือศีล 5
    แล้วประคับประคองมันอย่างง่อน ๆ แง่น ๆ เต็มที
    เธอก็อดไม่ได้ ที่จะถาม เจ้าน้องชายนอกไส้ อีกว่า
    " ดล ตอนดลเป็นพระ ดลรักษาศีล ได้ครบ 227 ข้อเลยเหรอ
    ของพี่แค่ถือศีล 5 พี่ยังถือไม่ค่อยจะได้เลย "
    เจ้านพดล ฟังแล้ว หัวเราะแหะ ๆ แล้วบอกเธอว่า
    " ผมคงถือไม่ครบหรอกพี่ ผมก็แค่พยายามสำรวมอินทรีย์ เท่านั้น "
    " อ้าว แล้วเธอรู้ไหม ว่า ศีล 227 มีอะไรบ้าง
    ถ้าเธอไม่รู้แล้วตอนนั้นเธอจะปฏิบัติได้อย่างไร
    คนที่บวชเป็นภิกษุต้องถือศีล 227 ข้อไม่ใช่หรือ "
    พอหนูบัวฯ ย้อนถามประมาณนั้น มันก็ได้แต่หัวเราะ
    แล้วส่ายหน้าดิกโดยไม่ปริปากพูดอะไรอีก
    ทำเอาเธออ่อนใจไม่รู้จะถามเรื่อง ศีล 227 ข้อนี้กับใครอีก

    ต่อมา หนูบัวฯก็นึกได้ว่า คุณสมานพ่อบังเกิดเกล้าของเธอนั้น
    ก็เคยบวชนี่นา พ่อเคยอวดอย่างภาคภูมิใจว่า
    สมัยที่พ่อบวชนั้น งานบวชของพ่อยิ่งใหญ่อลังการมาก
    ทั้งเงาะคว้านยัดไส้ บายศรีสู่ขวัญ ครูแหล่เสียงทอง ราคาแพงลิบ
    แถมยังมีการถ่ายรูปสี ในงาน ต้องส่งฟิล์มไปล้างถึงบางกอก อีกด้วย
    สิ่งนี้เป็นความภาคภูมิใจของพ่อ
    ที่มักจะเล่า ถึง งานบวชที่ดังกระฉ่อนไปทั้งตำบล ให้เธอฟังเสมอ ๆ
    และที่พ่อมักจะภูมิใจยิ่งกว่านั้น คือ
    การที่ พระครูที่วัดดอยฯ ( จำชื่อเต็ม ๆ ของวัดไม่ได้ )
    เห็น ...แวว.... พหูสูตรของพ่อ เลยคิดหมายมั่นปั้นมือ
    ชวนให้พ่อศึกษาทางธรรมต่อ
    เพื่อจะได้เปรียญเก้า ประโยค
    เพื่อจะได้เป็นครูบา
    พระครูรูปนั้น จึง ตั้งฉายาตอนบวช ให้พ่อเป็นนัย ๆ ว่า
    เขมปัญโญ แปลว่า ผู้มีปัญญาเฉียบแหลม
    น่าเสียดายที่ความกตัญญูต่อบุพการี
    ทำให้พ่อต้องสึกมาทำงานหาเงินเลี้ยงย่าผู้ชรา
    แล้วก็วางมือจากการปฏิบัติธรรมไปโดยสิ้นเชิง
    เมื่อ ระลึกได้ดังนั้น
    เธอก็รี่ เข้าไปตั้งปุจฉา กับพ่อบังเกิดเกล้า ของเธอ
    ว่า พ่อ ๆ ในฐานะที่พ่อเคย บวชก่อนเบียด มาบ้าง
    ตอนพ่อ เป็นพระ พ่อถือศีลได้ครบ 227 ข้อไหม ?
    อดีตพระ เขมปัญโญ ผู้มีปัญญาเฉียบแหลม แห่งวัดดอยฯ
    นิ่งไปพักใหญ่ ก่อนตัดสินใจตอบอย่างกล้าหาญ ว่า
    " ถือไม่ครบหรอก 227 ข้อน่ะ ใครมันจะไปถือได้
    พ่อถือได้แค่ ศีล 8 แค่งดอาหารยามวิกาล ไม่นอนบนฟูก
    งดดูมหรสพ งดใช้เครื่องหอม เท่านั้น
    ตอนอยู่ วัด ก็นั่งอ่าน หนังสือธรรมะ
    อ่าน ลีลาวดี อ่าน กามนิตวาสิฏฐี ไปตามเรื่อง "
    อ้าว ฟังคำวิสัชชนาของคุณพ่อ แล้ว
    หนูบัวฯ ก็ได้แต่ งง ๆ (และผิดหวังหน่อย ๆ)
    พ่อไม่ได้ให้ความกระจ่างแจ้งอะไรแก่เธอเลย
    แถมยังทำให้สงสัยหนึ่ง ผุดขึ้นมาในใจอีกด้วย
    ถ้าตอนบวชเป็นพระ พ่อถือศีลไม่ครบ 227
    คุณย่าที่ตายไปจะเกาะชายผ้าเหลือง ของใคร
    ขึ้นสวรรค์ได้ล่ะเนี่ย ?
    เธอได้แต่ปลง แล้ว พยายามทำความเข้าใจ ว่า
    การร้างลาจากร่มกาสาวพัตร์ ไปเนิ่นนาน
    คงมีผลทำให้ ปัญญาอันแหลมคม
    ของอดีตพระ เขมปัญโญ ต้อง ทู่ลง เล็กน้อย
    เลยวิสัชนาตอบเธอได้แบบไม่ค่อยจะเคลียร์

    และ พอความอยากรู้เรื่อง ศีลของสงฆ์ มันจุกอก
    สาวก กูเกิ้ล อย่างเธอ จึงยึดเอา เสิร์ชเอนจิ้น เป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ
    หนูบัวฯเสิร์ช หาคำว่า "ศีล 227 ข้อ + พระภิกษุ " ไป
    ซึ่ง ก็ได้ข้อมูลมานิดหน่อย แต่ก็แค่คร่าว ๆ
    สิ่งเหล่านั้น มันไม่ได้ละลายความอยากรู้ ในหัวเธอเลย
    มันเป็นแค่การจำแนกคร่าว ๆ
    เป็นหมวด ๆ ของศีล ทั้ง 227 ข้อ
    เธอต้องการรู้มากกว่านี้
    ต้องการหลักปฏิบัติที่จำแนกเป็นข้อ ๆ
    พร้อมด้วยมูลเหตุปัจจัยที่มาของการบัญญัติ
    เพื่อจะได้นำมาประมวลผล วิเคราะห์ สังเคราะห์
    และ บูรณาการ ว่า ศีลข้อนั้น จริตของเธอเห็นดีด้วยหรือไม่
    จริตของเธอยอมรับที่จะปฏิบัติตามได้หรือยัง
    และที่สำคัญ มันเหมาะ กับ กาล สถาน และโอกาส สำหรับเธอไหม ?
    น่าเสียดายที่เธอหา ฐานข้อมูลตรงนี้ไม่ได้
    ก็เลยหยุดไว้ที่ ศีล 5 ก่อน
    ถ้าไงต่อไป อาจถือศีล 6 ศีล 7 ตามแต่กำลัง ^ - ^
    อืม.... เวลาอ่านเจอคำพร่ำรำพันของลูกผู้หญิง
    ประมาณ เสียดายที่เกิดเป็นสตรี
    จึงไม่ได้บวช ไม่ได้อยู่ในร่มกาสาวพัตร์
    เธอจะรู้สึก แปลก ๆ
    และ ไม่ ค่อยเข้าใจความรู้สึกของคนเหล่านั้นเท่าไร
    ข้อแตกต่างทางเพศไม่เคยเป็นปัญหาในการถือศีล สำหรับเธอเลย
    ไม่รู้สินะ หนูบัวฯ เชื่อมั่นเสมอว่า
    ไม่มีอะไร ที่เกินความตั้งใจของคนน่ะ
    จะศีล 5 หรือ ศีล 227 ถ้ามีความตั้งใจจริง
    ใครก็ถือได้ทั้งนั้นทุกอย่างมันอยู่ที่ใจ
    ไม่ใช่อยู่ที่ สบง จีวร สังฆาติ หรือ เครื่องนุ่งห่มภายนอก
    จะอยู่วัด หรือ อยู่ บ้าน ก็ทำได้ทั้งนั้น
    เพียงแต่ถ้าอยู่ที่บ้าน อาจต้องเจอความท้าทายมากหน่อย ก็เท่านั้น

    น่าเสียดายที่ความตั้งใจของเธอ
    มันไม่ค่อยจะแรงกล้าสักเท่าไร
    เธอเป็นคนมักน้อย เกินกว่าที่จะคิด โปรเจค
    เรื่องมาถือ ศีล 227 ข้อ กันเถอะ
    จริตเธอยังขี้เกียจเกินไป ยังรักความสบายเกินไป
    ไว้วันไหนอารมณ์ดี ๆ ปล่อยวางได้มากขึ้น
    ไม่แน่บางทีเธอ อาจหยิบ ศีล 227 มาทบทวนดู
    ว่าอยากถือหรือเปล่า ?
    จริง ๆ หนูบัวฯ มองข้ามช็อต ไปถึง ศีลของภิกษุณีด้วยซ้ำ
    เปล่านะ ไม่เคยมีศรัทธา จนอยากบวช
    ( ความคิดนี้ ไม่เคยมีอยู่ในหัว )
    แต่อยากรู้ อยากลอง อยากดู และ วิเคราะห์ว่า
    ศีลเพิ่มเติมที่ ภิกษุณี ต้องถือนั้น
    มันเอื้อประโยชน์ต่อข้อจำกัดแห่งขันธ์ 5 ในผู้หญิงอย่างไร
     
  18. จีโอ14

    จีโอ14 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2009
    โพสต์:
    194
    ค่าพลัง:
    +262
    มันกรรมอะไรหนอ..จะพิมพิ์ก็มาง้วงอีกแล้ว..

    (ต้องหาแพะ..) ..คุณหนูบัว..นี้แหละ..อ่านจนง้วง..

    แฮม..ยาวได้ใจ..คุณหนูบัวครับ..เอาไปรวมเล่ม..ออกเป้นหนังสือ..ขายได้เลยนะเนี้ย..

    ราตรีสวัสดิ์ก่อนละ..ครับ
     
  19. worathepj

    worathepj Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    96
    ค่าพลัง:
    +71
    การรักษาศีล 5 นั้นพระเดชพระคุณหลวงพ่อฤาษีลิงดำ สอนไว้ว่า ต้องมีพรหมวิหาร 4 เป็นตัวหล่อเลี้ยง ศีลจึงจะบริสุทธิ์ ทุกข้อ ต้องประกอบด้วยเมตตา กรุณา (ลองคิดตามด้วยครับ) มุทิตา อุเบกขา หลายคนถามว่ารักษาศีลจะมีอุเบกขาอย่างไร ผมจะเล่าจากความเข้าใจ ผมกล้าพูดเลยผมนี่แหละศีลบริสุทธิ์ และเข้าใจในศีลจริง ๆ แต่อย่าเพิ่มพยากรณ์ผมว่าผมเป็นพระโสดาบันนะ ไม่ใช่นะ คือ คนที่ทรงศีล กับ รักษาศีลถ้าพิจารณาให้ดีจะรู้ว่าต่างกันมาก คนที่ทรงศีลนั้นหมายเอาคนที่ รักษาจนเป็นหนึ่งเดียวกันกับศีล ขยับปั้บนี่รู้เลยว่าศีลจะขาด และมีความสุขเยือกเย็นในระดับหนึ่ง เพราะศีลได้รักษาเราแล้ว จึงเรียกว่าทรงศีลหรือผู้มีศีลบริสุทธิ์ (พูดง่าย ๆคือ มีเจตนาละเว้นการละเมิดศีล) ส่วนผู้รักษาศีลนี่ยังไกลนัก แต่ก็จัดว่ามีความดี เพราะพยายามละเว้น แต่ไม่ได้หมายความว่าบริสุทธิ์ เพราะศีลยังไม่ถึงใจ หรือยังไม่เป็นหนึ่งเดียวกับศีล ยกตัวอย่าง บางคนเผลอฆ่าสัตว์ตายโดยไม่เจตนา ถ้าคนมีศีลบริสุทธิ์ จะมีอุเบกขา ครับ เพราะเจตนาไม่มี แล้วก็แผ่เมตตา ขออโหสิกรรมกันไป แต่ผู้ยังรักษาจะมีความฟุ้งซ่านครับ ว่าสงสัยศีลขาดแล้วมั้ง ฉะนั้น ให้สังเกตุตามนี้ แล้ว หลวงพ่อท่านบอกว่าจริง ๆแล้วศีลมีข้อเดียวครับ คือ ตัวเจตนา พระพุทธเจ้าก็ตรัสว่า เจตนาหังภิขเว (แปลเองนะผมไม่เก่งบาลี แค่ย่อมาให้อ่าน พอเข้าใจ ไม่ต้องละเอียดเพราะคนรู้กว่าผมก็มีอยู่) ศีลจะขาดหรือไม่ขาดมันอยู่ที่เจตนาครับ ทุกวันนี้ผมไม่ฟุ้งซ่านในศีล ครับ แถมอีกนิดนึงครับ กรรมบท 10 นี่ แท้จริงก็คือศีล 5 ละเอียด คน ศีลบริสุทธิ์ อย่างพระโสดาบัน เรื่องกรรมบท 10 นี่ยังเผลอครับ โดยเฉพาะเรื่องวาจา พูดง่ายๆ คือพระโสดาบันคือชาวบ้านชั้นดีครับ แต่อย่าไปยั่วโมโหท่านนะ เตะได้นะครับ ด่าได้นะครับ แต่ไม่ละเมิดศีล เอาเป็นว่าไปค้นคว้าเอาจากห้องคำสอนหลวงพ่อฤาษีลิงดำเองละกัน เพราะผมมันยังโง่อยู่รู้แค่ศีล แต่ กันไว้ก่อนเดี๋ยวผู้รู้บางท่านจะค้านเอา ไปค้นคว้ามาก่อนค่อยแย้งผมนะครับ
    ปล. ที่โพสต์นี่ไม่ได้อวดรู้นะครับ แต่แลกเปลี่ยนความรู้ ผมมีคติอยู่อย่างหนึ่ง เอาครูบาอาจารย์เป็นเข็มทิศ ท่านว่าอย่างไร ก็ทำตามนั้น และเป็นหน้าที่เราที่จะต้องปฏิบัติให้เกิดผลตามที่ครูบาอาจารย์สอน ไม่ใช่ตั้งหน้าตั้งตาสงสัย ถ้าถึงแล้วมันต้องเป็นไปตามนั้น ครูผมคือพระรัตนตรัยครับ ผมยังโง่อยู่ต้องศึกษายิ่งขึ้นไปอีก อธิบายได้แค่ศีล นอกนั้นรู้แต่ไม่อธิบายเพราะยังไม่ถึง แหะ ๆ
     
  20. prayut.r

    prayut.r เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    150
    ค่าพลัง:
    +1,707
    แต่ก่อนมั่นใจในศีล 5 มากเลยครับ พอยิ่งโตขึ้นศีลก็ยิ่งแตก
    ข้อ 1 ค่อนข้างมั่นใจมากเพราะไม่ชอบอย่างแรง (แต่เด็กๆ ชอบฆ่าแมลงสาบคิดทีไรจิตก็ตกทุกทีครับ)

    ข้อ 2 เรื่องขโมยนี่ก็ไม่เคยมีในหัว (แต่ตอนเด็กๆ จำได้ว่าที่คิดขโมยจริงๆมีครั้งเดียวขโมยเหรียญของน้าไปซื้อของเล่น แค่ครั้งเดียวจริงๆ (มั้ง))

    ข้อ 3 เรื่องนี้ตอนเด็กๆ ไม่เคยปรากฏ (แต่ดูหนังอย่างว่าบาปป่าวไม่ทราบครับ) แต่พอโตมาทำงานนี่เข้าขั้นแย่มากๆ ผิดเต็มๆ มีแฟนอยู่คนหนึ่งก็อยู่กันก่อนแต่ง คราวนี้แฟนไปนอกประมาณเกือบ 2 ปีเราก็ดันไปมีใจให้คนใหม่อีก แล้วก็เข้าอีหรอบเดิมอยู่กันก่อนแต่งอีก ตอนนี้ก็ไม่อยากผิดศีลนี้อีกแล้ว แต่เราก็สงสารผู้หญิงอ่ะครับ ตอนนี้ก็ยังคิดไม่ตกว่าจะทำอย่างไรดี (แต่ที่เล่ามาก็ยังไม่ได้แต่งงานนะครับ เพราะกลัวการมีคู่)แต่ตอนนี้ก็อยู่กับคนหลังคนเดียวนะครับ คนแรกผมก็บอกความจริงเขาไปว่าผมมีคนอื่นอยู่ (เลวได้ใจจริงๆเลย)

    ข้อ 4 นี่ก็คงผิดตรงพูดเพ้อเจ้อนี่แหละครับ ส่วนปัจจุบันก็ผิดกับการโกหกเรื่องในข้อ 3 นั้นแหละครับ

    ข้อ 5 นี่ก็ไม่เคยผิดเลยจนมาทำงานนี่แหละ (ผมเป็นพวกประเภทแพ้แอลกฮอล์ด้วยครับกินเยอะๆ ถึงจะเป็น) ยอมรับว่ากินแต่กินเพราะหัวหน้ารินให้ก็ต้องกิน เหมือนโดนบังคับกลายๆ แต่ตั้งแต่เกิดมากินเหล้าไม่เคยเมาเลยครับ เพราะถ้าเขารินให้เราต้องกิน แต่ถ้าไม่มีใครมองหรือบังคับ เราก็ไม่กิน (เรียนสายช่างแล้วต่อวิศวะแล้วไม่กินเหล้าได้ถือว่าเก่งมากแล้วนะผมคิดเอาเอง)

    ทำให้คิดถึงคำพูดพระเลยครับว่า ถ้าเราผิดสักข้ออีกที่เหลือยังไงก็ตามมาแน่ เช่นผมผิดข้อกาเม ตามมาด้วยข้อมุสา โดยอัตโนมัติ แล้วในใจก็คิดว่าเรานี่ ขโมยของรักของพ่อแม่เขามาด้วยนะ ผิดไปเต็มๆ ดอก 3 ข้อ

    ตอนนี้ก็ได้แต่คิดว่าพยายามไม่นึกถึงสิ่งที่เราทำผิดมาแล้วและก็พยายามทำให้น้อยลงๆ จนไม่ต้องทำได้เลยยิ่งดี แต่คงยากเพราะเรายังต้องใช้ชีวิตอยู่ในสิ่งแวดล้อมเดิมๆอยู่นี่ครับ

    ใครมีปัญหาแบบผมบ้าง(หรือผมจะเลวสุดๆอยู่ในนี้คนเดียวหว่า?) แนะนำหน่อยครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...