รับตอบข้อสงสัยในการเจริญพระกรรมฐาน

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย Xorce, 26 พฤศจิกายน 2008.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    ถึงคุณ นิตา ครับ

    สวัสดีค่ะ

    พอดีเพิ่งกลับมาจากนั่งวิปัสนาแล้วเกิดความสงสัยในเรื่องการปฎิบัติ คือว่าตอนที่รับกรรมฐานครั้งแรกนั้นเหมือนมีผึ้งทั้งฝูงมาบินด้วยความเร็วรอบลำตัวตอนนั้นความโกรธต่าง ๆ รวมทั้งความปวดเมื่อยจากการนั่งสมาธิหายไปหมด แล้วก็รู้สึกเหมือนปิติมาก ถัดจากวันนั้นร่างกายก็เหมือนมีน้ำไหลจากศรีษะตลอดเวลาเลยค่ะ พอวันถัดมาจากน้ำก็กลายเป็นเหมือนเมือกเหนียว ๆ เป็นอยู่สองวันถึงจะทำใจได้วันต่อมาก็เปลี่ยนเป็นไอเย็น ๆ ค่ะเป็นมาอยู่ 4 วันได้แล้วแต่พอกลับมาบ้านจะไม่ค่อยรู้สึกเท่าไหร่ แต่รู้ว่าเวลาเราเจอเพื่อนและคุยกับเพื่อน หรือไปสถานที่บางที่จะรู้สึกว่าศรีษะหนักอึ้งไปหมดเลย ไม่ทราบว่าอาการแบบนี้จะทำอย่างไรดีคะ แล้วไม่แน่ใจว่าถ้าอยากปฎิบัตต่อไปเรื่อย ๆ ควรทำอย่างไรเพราะคนที่บ้านค่อนข้างกังวลเพราะเราเปลี่ยนไปมาก เลยรู้สึกว่าไม่รู้จะทำตัวอย่างไรให้ที่บ้านยอมรับดีค่ะ ปัจจุบันรู้สึกว่าเขาจะเป็นห่วงความเปลี่ยนแปลงของเรามากค่ะ แล้วก็กลัวว่าอาการต่างๆ บางอย่างจะเกิดจากความคิดฟุ้งซ่านไปเอง

    ต้องขอขอบคุณล่วงหน้านะคะ เพราะปัญหานี้ไม่ค่อยกล้าถามใครเท่าไหร่ค่ะ

    <!-- google_ad_section_end -->ได้ไปฝึกปฏิบัติมาแบบใดครับ
    เป็นพุทโธ ยุบหนอพองหนอ หรือว่าแบบใดครับ

    เราอาจจะวางอารมณ์หนักไปครับ อาจจะเคร่ง หรือเกร็งจนเกินไป
    แล้วที่ว่าเราเปลี่ยนไปนี่เปลี่ยนไปยังไงครับ

    ขอข้อมูลเพิ่มนิดนึงครับ จะได้แนะนำได้ตรงจุดครับ

    จริงๆแล้ว ยิ่งธรรมะของเราสูงขึ้นมากเท่าไหร่
    เราต้องยิ่งทำตัวให้ธรรมดา ทำตัวให้ติดดิน จนคนอื่นๆ ไม่มีทางรู้ได้เลยว่าเราปฏิบัติธรรม

    เพราะถ้าเราฝึกทรงอารมณ์จิตให้มีความสุข ชุ่มเย็น ได้ตลอดเวลาแล้ว
    เท่ากับว่าเราจะสามารถปฏิบัติได้โดยไม่ต้องมีใครรู้ เราก็ทำตัวปกติ แต่จิตทรงเป็นสมาธิตลอด
    ฝึกจิตก็ต้องเน้น รักษาจิต ส่วนกายไม่ต้องไปรักษาหรือระวังมากจนเกินไป
    ถ้าเราปฏิบัติธรรมแล้ว แสดงให้คนอื่นรู้ ยังถือว่าเป็นอุปกิเลส เป็นมานะทิษฐิตัวละเอียดอยู่

    ต้องระวังตรงนี้ด้วยครับ
    แล้วอารมณ์เราจะหนักโดยไม่รู้ตัว กลายเป็นยิ่งปฏิบัติยิ่งทุกข์
    ซึ่งควรจะยิ่งปฏิบัติ ใจยิ่งเบาสบาย ยิ่งมีความสุขมากกว่าเดิม

    อย่างไรให้เราลองปรับอารมณ์ใจใหม่ดูครับ ต้องทำใจให้เบาสบาย

    ตอนนี้การปฏิบัติขอให้ชะลอไว้ก่อนครับ เพราะเดี้ยวอารมณ์จะหนักยิ่งกว่านี้
    รอจนเราใจสบายก่อนครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 สิงหาคม 2009
  2. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    ถึงคุณ boradcard186 ครับ

    ขอถาม...

    ในขณะที่ผมนั่งสมาธิไปพักหนึ่ง แล้วรู้สึกขนลุกซู่มาก ๆ ไปทั้งตัว จากนั้นก็รู้สึกว่าจิตจะเป็นสมาธิมากเลย แต่แค่นิดเดียวเอง หลังจากนั้น จิตก็เริ่มคิดเรื่องต่างๆอีก ผมควรทำยังไงต่อไปดีครับ
    ผมจะมาติดอยู่ที่ตรงนี้ทุกครั้งที่นั่งสมาธิเลย รบกวนช่วยแนะนำหน่อยนะครับ

    ขนลุกเป็นปีติครับ
    ถ้าใจของเราไปสนใจกับปีติ ประเดี้ยวจิตก็จะถอนจากสมาธิ

    สิ่งที่เราต้องทำก็คือ ให้เราภาวนาตามที่เราทำต่อไปเรื่อยๆ
    พอมันขนลุก เราก็ รู้ว่ามันคือปีติ แล้วก็ไม่ต้องสนใจมัน ทำใจเฉยๆ
    ภาวนาต่อตามเดิม เดี้ยวปีติจะหายไปเองครัย

    แล้วเราจับลมหายใจ ภาวนาพุทโธ หรือว่าแบบใดครับ


    สภาวะที่เราต้องการจะเข้าถึงจากการทำสมาธิก็คือ
    สภาวะที่ลมหายใจดับ จิตมีความนิ่ง สงบ หยุด ปราศจากความคิด ตั้งมั่น ลอยนิ่งอยู่เบาๆ
    ซึ่งวิธีที่ง่ายที่สุด ในการเข้าถึงสภาวะนี้ ก็คือการจับลมหายใจ

    พอจับลมหายใจไปเรื่อยๆ ใจของเราจะรู้สึกเบาสบาย ลมหายใจจะค่อยๆ เบาลง ช้าลง จนกระทั่งลมหายใจหยุดนิ่ง
    เสร็จแล้วก็ให้เราประคองอารมณ์จิตที่หยุดนิ่งนี้ เอาไว้ตราบนานเท่าที่เราต้องการ
    แล้วให้อธิษฐานว่า

    ขอให้ข้าพเจ้าสามารถเข้าถึงซึ่งสภาวะจิตที่มีความสงบนิ่ง จิตหยุดนิ่ง ตั้งมั่น ปราศจากลมหายใจนี้ ได้ทุกสถานที่ ทุกเวลา ทุกชั่วขณะจิต ทุกภพชาติ ตราบเท่าเข้าถึงซึ่งพระนิพพานด้วยเทอญ
    อธิษฐานย้ำไว้สามครั้ง

    จากนั้นจึงค่อยถอนจิตออกจากสมาธิช้าๆ

    ลองทำดูครับ

    ขอให้สามารถเข้าถึงซึ่งสภาวะที่ ลมหายใจดับไปนี้ ได้ทุกสถานที่ ทุกเวลา ทุกชั่วขณะจิต ทุกภพชาติ ตราบเท่าเข้าถึงซึ่งพระนิพพานด้วยเทอญ
     
  3. Karnta

    Karnta เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    1,239
    ค่าพลัง:
    +1,098
    รบกวนด้วยค่ะ
    ดิฉันนั่งสมาธิมาหลายเดือนแล้ว
    ช่วง2-3เดือนนี้ดิฉันเห็นแสงเป็นดวงๆเหมือนดาวบนฟ้านะค่ะ แต่เห็นในบ้านนะค่ะ จะเห็นดวงเดียว(บ่อย)ช่วงเวลา2ทุ่มถึง4ทุ่ม(บริเวณเดิมๆ) บางคืนเห็น2-3ดวง เห็นช่วงเวลานี้เกือบทุกคืน บางครั้งก็เห็นในเวลากลางวันแต่ไม่บ่อย อยากทราบค่ะว่าคืออะไร และบ้างครั้งดิฉันก็เห็นแสงวิบๆวับๆทางหางตา เป็นครึ่งวงรี จะเกิดประมาณไม่เกิน10นาทีแล้วก็หายไป
     
  4. boradcard186

    boradcard186 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    265
    ค่าพลัง:
    +760
    รบกวนถาม

    ผมมีปัญหาอย่างนี้ครับ ในระหว่างที่ผมนั่งสมาธิ ผมได้อธิฐานว่า ผมอยากเห็นผี ขอให้พระพุทธเจ้าช่วยให้ผมเห็นผีด้วยเถอะ เมื่อผมออกจากสมาธิ และได้หลับไป ในคืนนั้น ตอนใกล้รุ่ง ประมาณ 05.00 น. ผมก็ได้ฝันเห็นผี เห็นภาพฝันได้ชัดเจนและฝันเป็นเรื่องได้นานหลังตื่นนอนมาแล้วยังจำได้แม่นยำ

    ขอถาม..ความฝันนั้น เป็นความฝันที่ผมฝันไปเอง หรือ เกิดจากการขอในขณะนั่งสมาธิครับ

    ขอถามอีกเรื่องนะครับ.... ตอนนี้เวลาผมหลับตา เหมือนมีพระพุทธรูปองค์เล็กๆ ลอยอยู่กลางหน้าผาก มันเกิดจากอะไรครับ หรือว่าผมคิดไปเอง
     
  5. boradcard186

    boradcard186 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    265
    ค่าพลัง:
    +760
    ขอบคุณสำหรับคำตอบนะครับ .....
     
  6. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    ช่วงนี้ผมยุ่งนิดนึง เดี้ยวจะค่อยๆทะยอยมาตอบให้ครับ
    ฝากคำถามเอาไว้ก่อนได้เลยครับ


    อนุโมทนากับการตั้งใจปฏิบัติของทุกๆท่านด้วยครับ
    ขอให้มีพระนิพพานเป็นที่สุดในชาติปัจจุบันกันทุกๆคนด้วยเทอญ
     
  7. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    ถึง makoto12 ครับ

    มาอีกแล้ว ^^; อิอิ มีคำถามคับ

    1.อันนี้สงสัยมานานล่ะคับ ว่า ขึ้นครูนี้ ที่วันนั้นที่ผมไปปฏิบัติในซอยสายลมนี่เรียกว่าได้ขึ้นครูแล้วรึเปล่าคับ

    เป็นการขึ้นครูแล้วครับ
    ยกพานธูปเทียน ดอกไม้สามสี เหรียญมากกว่าสลึง1เหรียญ
    ขอน้อมจิตยกคุณพระพุทธ พระธรรม พระอริยสงฆ์เจ้า ขึ้นเป็นครูบาอาจารย์สูงสุด

    2.เมื่อคืนนี้ จิตนิ่งสงบ แต่ ร่างกายมันก็ยังคงผะอึดผะอมจะพยายามหายใจให้ได้จนหัวเริ่มตึงๆแต่ก็แผ่เมตตาตลอด แต่ก็น้อยกว่า วั้นก่อนๆนี้ อันนี้ยังหนักไปรึเปล่าแต่รู้สึกได้เลยว่า มันวิ๊งๆๆเหว๋อๆๆๆโหว๋งเหว๋งแต่มันเหมือนมีกำลังอะไรสักอย่างที่พร้อมจะพุ้งอ่ะคับ ความรู้สึกเหมือนกับเรานั่งบนเครื่องบินที่กำลังจะขึ้นจากพื้นดินสู่ท้องฟ้า(อาจจะมีแรงอัดหนักกว่า แต่ผมไม่เคยขึ้นเครื่องบินนะแต่ผมก็สัมผัสมันได้ว่าความรู้สึกเป็นแบบนี้) จะว่าไปความรู้สึกนี้มันก็อธิบายยากเหมือนกันนะ คับ อธิบายไม่ถูก เรียกได้ว่า ลมหายใจมันหายเป็นระยะแต่ร่างกายพยายามจะดึงกลับ ไอเราก็ไม่ได้ตั้งใจจะดูลมหรอก แต่ไปดูร่างกายที่มันกระอึกกระอักพยายามหายใจ มันก็เป็นยังงี้ สัก2-3ชั่วโมงแล้วก็เผลอหลับไป(หลักจากที่นั่งกรรมฐาน เปลี่ยนอิริยาบถเป็นนอนดูบ้าง)สงสัยจิตมันเริ่มมีสมาธิลึกขึ้น ก็เป็นได้

    อันนี้หนักไปครับ ถ้าผะอืด ผะอมนี่หนักไปแน่นอนครับ
    จริงๆ นี่ยังมีอารมณ์ที่เราไปพยายามเค้นมันอยู่นิดนึงด้วยครับ ตอนที่บอกว่าจะดันตัวลอยขึ้น
    อันนั้นมีส่วนที่เราพยายามเค้นมันด้วยครับ

    ถ้าจะแก้ผะอืม อะผม
    ให้เราลองหายใจเข้าลึกๆ แรงๆ ซัก 4-5ครั้ง จะช่วยได้ครับ
    บางครั้งมันเป็นเรื่องลมหายใจไม่ลื่นไหล
    ต้องทำขั้นอัดลมน่ะครับ ซัก5ครั้ง ก็พอ แล้วจะดีขึ้นครับ

    เดี๋ยวตอนเย็นจะมาถามต่อคับ ตอนนี้ทำงานก่อน ^^ อนุโมทนาคับ

    ตอนบ่ายก็ตั้งจิตนึกถึงตัวเองแล้วย้อนกลับไป เมื่อวานเมื่อวันก่อนเมื่ออาทิตย์ก่อน ถึงเพียงอาทิตย์ก่อน หลังจากนั้นก็จำเรื่องราวได้แต่ สำคัญๆรายละเอียดจำไม่ได้ล่ะก็เลยกำหนดจิตดูลมตามเดิม

    อันนี้เริ่มเป็นญาณ ระลึกอดีต
    จากหนังสือทิพยอำนาจ พระอาจารย์ ปุสโส เส็ง ท่านเขียนเอาไว้ว่า
    หากเราย้อนไปจนถึงตอนที่เราเป็นทารก จากนั้นย้อนไปช่วงที่อยู่ในครรภ์ แล้วย้อนทะลุก่อนดวงจิตจะเข้ามาในครรภ์ได้
    จะเห็นอดีตชาติของเราได้ชัดเจน ว่างๆก็ลองไปเล่นดูครับ

    มาถึงให้เรา หยุดจิตของเราให้นิ่งก่อน เสร็จแล้ว นึกถึงภาพพระ ให้เห็นพระองค์แย้มยิ้ม
    จากนั้นให้เราแผ่เมตตาจนความสุขเต็มล้นหัวใจของเรา
    แล้วลองย้อนดูไปเรื่อยๆครับ พอจิตเริ่มซ่าน ก็แผ่เมตตาใหม่ แล้วก็ย้อนต่อ ลองเล่นดูครับ

    มาต่อกันเลยตอนเย็นผมเดินกลับบ้าน ก็ปรกติไม่มีอะไรคนก็ผ่านไปผ่านมาเยอะแยะ ก็ไม่มีอะไร แต่ พอดีผมลืมตั้งจิต จำได้ก็เลย ดูิจิตและทำสมาธิตอนนั้นเลย สมาธิก็เกิดตอนที่ผมเดิน แล้วพอดี ผมเหลือบไปมอง สุนัขตัวนึงเห็นหน้า ตอนนั้น ก็เดินผ่านก็ไม่ได้เอะใจอะไรสักพัก ภาพติดตา และเหมือนกับ ภาพที่มันติดตานั้นมัีนค่อยๆไหลย้อน เหมือนภาพซ้อน แต่ เห็นไม่ชัด และก็มีผู้ชายอีกสองคนที่ผมตั้งจิตและก็มองพวกเค้า ภาพก็ติดตา เป็นเหมือนตอนที่ผมมองสุนัขตัวนั้นเลย อันนี้มันคืออะไรเหรอคับ งง

    ติดตา หรือติดใจครับ
    ถ้าติดตาเนื้ออย่าไปสนใจ
    ถ้าติดใจ คือ เห็นด้วยใจชัดคล้ายตาเนื้อ อันนี้เป็น การเห็นด้วยจิตครับ


    แล้ว พอเดินไปซื้อของเสร็จกลับมามือไม่ว่างเลยกำหนดจิตไปกราบศาลพระภูมิเจ้าที่เหมือนทุกครั้ง ก็ไม่เอ๊ะใจอะไร สักพักก็เดินผ่าน ภาพติดตาอีกในดวงจิต มันรู้สึกว่า ศาลที่ผมกำหนดจิตไปกราบนั้น มีแสงด้วยสีขาวมีสีเหลืองแซมอยู่เปล่งประกาย ทุกทีไม่เห็นนิก็ตกใจนิดหน่อย(มือถือของอยู่ไหว้ไม่ได้ก็เลยกำหนดจิตไปกราบ)

    อันนี้ก็เห็นด้วยจิตครับ
    จริงๆ นึกจิตกราบศาลพระภูมินี่เป็นมโนมยิทธิอยู่แล้ว

    ให้เราทำเพิ่มด้วยว่าเวลากราบเรานึกว่าบุญของเราทั้งอดีต ปัจจุบัน อนาคต มารวมกันเป็นดอกบัวแก้ว
    แล้วน้อมถวายต่อท่านด้วยจิตของเรา ถือว่าท่านจะได้โมทนาในบุญของเราด้วย

    อนุโมทนาครับ ผมยังไม่รู้เลยว่าร่างกายมันจะทนได้เท่าไหร่สำหรับอาการ ผะอืดผะอม ของร่างกายที่พยายามจะหายใจ แต่ผมก็มีกำลังใจมากพอ คือตายก็ตายไม่เป็นไรอย่างน้อยก็ได้อยู่ในศีลในธรรมในกรรมฐาน และก็จะค่อยๆปรับให้อารมณ์ให้ได้เบามากขึ้นเรื่อยๆเหมือนกับขัดเกลาจิตให้มันค่อยๆแหลมคม แต่ก็คงต้องฝึกเรื่องการดูลมและกำหนดภาพอีกสักระยะ จึงจะดีกระมั่ง ~~;

    อันนี้อารมณ์หนักครับ ไม่ต้องไปทนมัน ไม่งั้นเราจะแย่เอา
    ให้เราสลายอาการนี้ทิ้ง อย่าไปสัมผัสกับมันอีก
    ลองอัดลมดูครับ ซัก4-5ครั้ง แล้วจะหายอย่างรวดเร็ว

    ขอให้เจริญก้าวหน้ายิ่งๆขึ้นไปทั้งทางโลก ทางธรรม และรักษาความสุขจากสมาธิ ที่ได้เข้าถึงแล้ว ได้ตลอดไปตราบเท่าเข้าถึงซึ่งพระนิพพานด้วยเทอญ
     
  8. นายเมธี12

    นายเมธี12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    620
    ค่าพลัง:
    +540
    อนุโมทนาบุญคับ ตอนนี้ ข้าพเจ้าได้เข้าถึงอารมณ์ของเมตตาอุปัชชานะณานได้แล้ว หมดข้อสงสัยครับ อารมณ์ และจริตของข้าพเจ้าไปทาง เมตตาอปปัชานะฌาน หลังจากที่ค้นหาจริตตัวเองมานาน หลายเดือน ส่วนตัวเป็นคนชอบของสวยๆงามๆละทิ้ง โลกียะ กามะฉันฑะ ราคะ ไม่ได้ขาดไม่ได้หมด ก็หันไปดู อสุภะแทน ก็ได้บ้างไม่ได้บ้าง เอามันทั้งสวยและไม่สวยตีกันยุ้งไปหมดแต่ตอนนี้ ได้พบจริตตัวเองแล้ว อนุโมทนาบุญคับ และปฏิบัติตามที่ อ.เล็กได้เคยพูดถึงข้าพเจ้าก็โหลดมาฟังมาปฏิบัติซึ้งได้เข้าถึงต้นฌานบ้างแล้ว ตอนนี้อารมณ์ของข้าพเจ้า เข้าอารมณ์ที่มีความรู้สึกชุ่มเย็นสบายเบา มากๆ มีความสุขมากๆ ไม่อยากทำอะไร และ ที่สำคัญไม่อยากจะออกจากสมาธิเลยครับ มีความสุขมากๆอย่างบอกไม่ถูก ถึงจะยังไม่ได้มโนเต็มกำลังก็ตาม(ถอดกายทิพไม่ได้)แต่ก็มีความสุขเพิ่มขึ้น ^^; อนุโมทนากับคุณชัดที่ให้คำปรึกษามาโดยตลอด ตอนนี้หมดข้อสงสัยแล้วคับ จะมาเป็นกำลังใจให้กับคนปฏิบัติครับ อนุโมทนาบุญด้วยครับ แต่ก็ไม่หมดไปเสียทีเดียว ถ้าหากมีคำถามอีกก็อาจจะรบกวนอีกเป็นบางเรื่อง นะคับ อนุโมทนาบุญด้วยครับ

    ขอให้บารมีทุกๆคนทุกๆท่านเพิ่มพูลเข้าถึงพระธรรมได้โดยฉับพลันด้วยเทอญ สาธุๆ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 27 สิงหาคม 2009
  9. ณ.

    ณ. เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มกราคม 2006
    โพสต์:
    3,387
    ค่าพลัง:
    +9,080
    อาจารย์Xorce ฝากแจ้ง
    เนื่องจากตอนนี้คอมฯ ชำรุด ต้องนำไปซ่อม
    ทำให้อาจจะมาตอบข้อติดขัดในธรรมได้ล่าช้า
    ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยค่ะ
     
  10. choosake

    choosake เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    482
    ค่าพลัง:
    +647
    รับทราบครับ ^_^
     
  11. DrBoy_Ongarj

    DrBoy_Ongarj Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กันยายน 2007
    โพสต์:
    10
    ค่าพลัง:
    +30
    ปรึกษาปัญหาธรรมมะครับ

    สวัสดีครับคุณ Xorce
     
  12. DrBoy_Ongarj

    DrBoy_Ongarj Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กันยายน 2007
    โพสต์:
    10
    ค่าพลัง:
    +30
    ปรึกษาปัญหาธรรมมะครับ

    สวัสดีครับคุณ Xorce

    ผมชื่อบอยนะครับ
     
  13. DrBoy_Ongarj

    DrBoy_Ongarj Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กันยายน 2007
    โพสต์:
    10
    ค่าพลัง:
    +30
    ถามปัญหาธรรมครับ

    สวัสดีครับคุณ Xorce
    ผมชื่อบอยนะครับ ขอเกรินนำนิดนึงครับ<?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    เรื่องธรรมะศึกษามานานครับ เรื่อง ทาน ศีล ปฏิบัติมานาน ถือศีล 5 ตลอดเวลา แต่ผมเป็นนักปฏิบัติสมาธิมือใหม่นะครับยังไม่ผ่านขณิกสมาธิด้วยซ้ำ ผมศรัทธาพระพุทธเจ้ามากครับเพราะหลักธรรมของท่านช่วยผมหลุดออกมาจากวิกฤตชีวิตได้ เลยตั้งใจศึกษาหลักธรรมของท่าน แต่เมื่อศึกษาไปในระดับนึงแล้วจะเริ่มไม่เข้าใจความหมายในหลักธรรมขั้นสูง ว่ามันหมายความว่ายังไง ผมได้ฟังธรรมจากพระอาจารย์รูปนึงซึ่งได้เทศน์เกี่ยวกับหลักธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงสอน เรื่องเกี่ยวกับหนทางไปสู่นิพพาน ว่าใช้หลักธรรมใดในการที่จะเป็นการเดินอยู่ในเส้นทางสู่นิพพาน ท่านพูดหลักธรรมขั้นสูงพอสมควรซึ่งผมไม่ค่อยรู้จักคำบาลีต่างๆนั้นเท่าไหร่ ผมเข้าใจเพียงแต่ว่าหากอยากไปให้ถึงนิพพานต้องทิ้งสถานที่เกิด โดยการละขันธ์5 ท่านให้ฝึกดูจิต ดูการเกาะขันธ์ของจิต ดูการเกิดและดับของจิตที่ไปเกาะขันธ์นั้นๆ ซึ่งผมก็นำมาใช้ ซึ่งก็ใช้ได้จริงๆ เห็นอย่างที่ท่านได้บอกว่ามันไม่เที่ยงเกิดและก็ดับไป ไม่ว่าเรื่องสุขหรือทุกข์จิตไม่เคยคงทน เกิดและดับเสมอ ยิ่งฝึกฝนการมองจิตยิงเห็นมันได้เร็วขึ้น ใช้มันละอกุศลได้เร็วและดีขึ้นเรื่อยๆ เริ่มเห็นทุกอย่างเป็นอนิจจัง แต่ก็ยังอยู่ในแค่ระดับจินตมนปัญญาเท่านั้น ยังไม่ถึงภาวนามนปัญญา ผมไม่รู้หรอกครับว่าภาวนามนปัญญามันเป็นยังไงแล้วมันต่างยังไงกับจินตมนปัญญา แตมีหนังสือหลายเล่มที่พูดถึงเรื่องนี้และก็พยายามชี้ให้ผมเห็นว่าสิ่งที่ผมได้เป็นเพียงจิตมนปัญญาเท่านั้น ผมเลยสนใจในการฝึกสมาธิ
    เดิมทีผมก็เข้าใจว่าการมองดูจิตนั้นเป็นการวิปัสสนาด้วย แต่เท่าที่ค้นคว้าตอนนี้รู้สึกผมจะเข้าใจผิด เห็นเขาว่าจะต้องทำสมถะสมาธิก่อนแล้วใช้กำลังของสมถะ มา วิปัสสนา และถ้าจะเข้าวิมุติหรือนิพพาน เป็นพระอรหันต์จะต้องมีอย่างน้อย ฌาน 1 แล้วใช้ฌาน 1 ในการทำวิปัสสนาเพื่อให้เกิดปัญญา คำๆนี้ทำให้ผมสงสัยในคำว่าวิปัสสนามากครับ ผมเริ่มไม่มั่นใจว่าสิ่งที่ผมเข้าใจมันถูกไหม ว่าวิปัสสนาหมายถึง การใช้ปัญญาดูให้เห็นความเป็นจริงของธรรมชาติ ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้นทำไมต้องใช้ฌาน 1 ด้วย ทั้งที่ ฌาน 1อย่างน้อยก็ต้องมีจิตที่นิ่งเป็นอารมณ์เดียวแล้ว ตอนนั้นจะไปมองธรรมชาติของอะไร ดูจิตหรอ? มันนิ่งแล้วจะดูทำไม คือสงสัยครับ ว่าเมื่อถึงตอนนั้นแล้วจริงๆ เราจะใช้ฌาน 1 ทำอะไรที่เรียกว่าวิปัสสนาใช้ปัญญาเห็นความจริง อันนี้เป็นคำถามที่ค้างคาใจครับ
    แต่ตอนนี้ผมเป็นเพียงขณิกสมาธิเท่านั้น ยังไม่ถึง อุปจาร อัปมา ฌานไม่ต้องพูดถึง แต่อย่างไรก็ตามผมก็อยากมีอาจารย์ครับ เพราะผมไม่แน่ใจวิธีการปฏิบัติของผมว่ามันถูกต้องไหม ตอนนี้ผมใช้วิธีอานาปานสติ ดูลมหายใจ ซึ่งผมใช้แล้วไม่ค่อยได้นาน ผมมักจะใช้วิธีการดูจิตเข้าช่วย พอมันเริ่มออกนอกสมาธิไปคิดเรื่องอื่นผมจะพยายามดู และวางอุเบกขากับเรื่องนั้น แล้วค่อยกลับมาดูลมหายใจใหม่ ซึ่งทีแรกผมคิดว่าการดูจิตคือวิปัสสนา ผมยังไม่ถึงฌานเลยผมควรจะตามดูจิตให้เห็นการเกิดดับหรือควรจะเพ่งที่คำภาวนาเพื่อเข้าเข้าฌานให้ได้ก่อนแล้วค่อยมาดูจิต ควรทำแบบไหน ซึ่งตอนนี้ผมแก้ไม่ตก ผมใช้เพียงแค่ความคิดตัวเองซึ่งไม่รู้ว่าถูกหรือผิด อยากได้ผู้รู้เพื่อให้คลายนิวรณ์ของความสงสัยจะได้ทำให้ถูกทางครับ
    รบกวนหน่อยครับ<o:p></o:p>
     
  14. นายเมธี12

    นายเมธี12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    620
    ค่าพลัง:
    +540
    เรื่องคอมถ้าหากให้ช่วยเหลืออะไรได้ ก็พอจะช่วยได้นะครับ ^^ ถามมาได้เลยเรื่องคอม อนุโมทนาบุญครับ
     
  15. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    ถึงคุณ Ta WHK ครับ

    ขอบคุณเจ้าของกระทู้ คุณ Xorce มากๆ ค่ะ หลังจากถามไปแล้ว ก็เลยไม่ค่อยกล้านั่งสมาธิเลย หุหุหุ แต่ว่าจะกลับไปทำใหม่ค่ะ เป็นคนที่เข้าสมาธิลึกเหรอป่าวไม่แน่ใจค่ะ แต่บางทีนั่งแล้วไม่กี่นาทีเองก็แบบว่าไม่ได้ยินอะไรเลยเป็นประจำ บางทีคิดว่านั่งนานมาก แต่พอออกมา ก็แค่ไม่กี่นาทีเลย ก็ยังงงอยู่เหมือนกัน เห็นด้วยว่าที่บอกว่าชอบออกจากสมาธิเร็วๆ เพราะบางทีรู้สึกว่าจะมีคนเดินเข้ามา ลืมตามาก็มีจริงๆ หรือไม่ก็เสียงโทรศัพท์ มีครั้งนึงออกแบบรวดเร็ว ต้องใช้เวลาสองสามวันในการเข้าสมาธิได้อีก เพราะจิตอาจจะกระเทือน

    ลองฝึกทำสมาธิโดยที่ยังลืมตาอยู่สิครับ
    ลองจับลมหายใจเอาไว้เสมอๆ ภาวนาเอาไว้เสมอๆยามว่าง

    เดี้ยวอ่านแล้วลองทำตามเลยครับ
    หรือลองซ้อมหยุดความคิด หยุดจิตของเรา หยุดเลยครับ
    ให้มีความนิ่ง หยุด จากความคิด จากความฟุ้งซ่าน ลองสัมผัสอาการหยุด ความสงบ นิ่ง ความสบาย จากการไม่ต้องคิด ความสุขจากการได้พักจิต
    แล้วลองย้อนมาดูลมหายใจของเรา จะเห็นว่าลมหายใจของเราคล้ายกับดับไป
    หรือหายใจเบาลง

    อธิษฐานกำกับด้วยว่า
    ขอให้ข้าพเจ้าสามารถเข้าถึงซึ่งอารมณ์จิตที่หยุดนิ่ง ปราศจากความคิดนี้ ได้ทุกสถานที่ ทุกเวลา ทุกชั่วขณะจิต ทุกครั้งที่ข้าพเจ้าต้องการ ตราบเท่าเข้าถึงซึ่งพระนิพพานด้วยเทอญ
    อธิษฐานย้ำไว้สามครั้ง

    แล้วให้เราลองซ้อมหยุดให้ได้แบบนี้เสมอๆ เวลาว่างๆ

    เคยลองทำคล้ายกับเมตาอัปมาณาญาณ ที่แนะนำมาค่ะ แต่ของเรานึกเป็นฟองสีขาวๆ ใสๆ แต่ไม่ได้ทำบ่อย เดี๋ยวจะลองทำดู ขอถามอีกนิดค่ะ ว่าหลังจากที่เรากลับมารู้สึกตัวแล้ว แต่ยังไม่ได้ออกจากสมาธิ เราแผ่เมตตาก่อนแล้วค่อยขอพรได้มั้ยคะ ขอพรจากท่านที่เราแผ่เมตตาให้เขาน่ะค่ะ ขอบคุณค่ะ

    เอาเป็นคลื่น วงน้ำ แผ่กระจายออกจากตัวเราก็ได้
    คราวนี้เราหยุดความคิดของเราให้นิ่งก่อน แล้วค่อยดึงความสุข ความรักความเมตตา ความชุ่มเย็น ให้หลั่งไหลเหมือนสายน้ำ เข้ามาจนเต็มหัวใจของเรา แล้วแผ่กระจายออกไปยังทุกๆทิศทาง สัมผัสกับความชุ่มเย็น ให้เรามีความสุขอย่างถึงที่สุด

    พอรู้สึกตัวแล้วให้เราแผ่เมตตา ก่อนได้เลยครับ
    เราก็ตั้งใจว่าเราขอแผ่เมตตาให้กับเทพพรหมเทวดา ทุกๆท่านทุกพระองค์ เทวดาที่ท่านดูแลเราก็ดี พระภูมิจเที่ เจ้าที่ เจ้าทางก็ดี ยักษ์ คนธรรพ์ นาคาราชก็ดี ครุฑทั้งหลายก็ดี
    ขอให้ท่านมีความสุข ความชุ่มเย็นยิ่งๆขึ้นไป<!-- google_ad_section_end --> เข้าถึงซึ่งพระนิพพานได้โดยไว
    และขอให้ท่านเมตตาปกป้องคุ้มครองให้ข้าพเจ้าตั้งมั่นอยู่ในหนทางแห่งสัมมาทิษฐิตลอดไป ตราบเท่าเข้าถึงซึ่งพระนิพพานด้วยเทอญ

    ยิ่งเราปรารถนาให้ผู้อื่นได้เข้าถึงซึ่งพระนิพพานมากเท่าไหร่ ตัวเราเองก็ยิ่งใกล้พระนิพพานมากเท่านั้น
    ดังนั้นเวลาแผ่เมตตาต้องตั้งจิตด้วยว่า ผู้ใดที่ได้สัมผัสกับความสุข ความสว่าง ความเย็น จากเมตตานี้
    ขอให้เข้าถึงซึ่งพระนิพพานได้โดยฉับพลันทันใดด้วยเทอญ
     
  16. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    ถึงคุณ DMZ Zone ครับ

    ขอถามนะครับ

    ผมนั่งสมาธิกำหนดลมหายใจเข้าออกพร้อมภาวนา พุทธโธ แต่ก่อนหน้านี้ผมก็นั่งได้ปกติดีไม่มีอะไร
    แต่ช่วงระยะ 1 เดือน ที่ผ่านมานี้ผม นั้งไม่เกิน5 หน้าทีจะหลับ บางครั้งหลับเลยและก็สดุงจะคืนสติมานั้งต่อ แล้วก็พยายามจะไม่ให้หลับอีก ซึ่งเกิดความสงสัยสำหรับผมมาก ทั้งที่เมื่อก่อนไม่เป็นแม่จะเหนื่อบจากการทำงานก็ตาม
    จึงอยากขอคำแนะนำจากท่าน เพื่อไปแก้ไขในการปฏิบัต ครับ ขออนุโมทนา

    ต้องขอให้ช่วยอธิบายว่า หลับแบบไหนครับ

    เราหลับแบบเราหงายหลังลงไปเลย หรือเรานั่งนิ่งๆ แต่สติหายไป แล้วซักพักจึงรู้สึกตัวใหม่

    ประมาณว่าพุทโธ ไปเรื่อยๆ เรารู้สึกว่าไม่อยากจะพุทโธแล้ว ก็เลยปล่อยพุทโธ
    พอใจสบายๆ ไปอีกซักพักนึง จึงรู้สึกว่าเคลิ้มๆ จนวูบไป

    ถ้าลักษณะอย่างนี้ จะมีสองแบบ
    แบบแรก คือ ตกภวัง ถ้าตกภวัง พอจิตถอนออกมา จิตจะรู้สึกว่ามีความฟุ้งซ่านนิดๆ ร้อนหน่อยๆ จะรู้สึกเหนื่อย หรือจิตหมองๆไปหน่อย

    แบบสอง คือ จิตเข้าเป็นฌาณละเอียด พอจิตถอนออกมาจะรู้สึกว่า มีความสงบสบาย คล้ายกับเราได้หลับพักผ่อนมาเป็นระยะเวลานาน

    ลองดูว่าเป็นแบบไหนครับ
    สำหรับวิธีแก้ เราลองเพิ่มการจับลมหายใจควบกับพุทโธ หรือนึกถึงภาพของพระพุทธเจ้าให้เห็นเนื้อพระวรกายของพระองค์เป็นเพชรดูครับ

    ลำดับของสมาธิจะไล่แบบนี้ครับ

    -คำภาวนา เช่น พุทโธ สัมมาอรหัง นะมะพะธะ
    -คำภาวนาหาย หันมาจับลมหายใจ
    -ลมหายใจไหลลื่น เนียนนุ่ม พริ้วไหว
    -ลมหายใจค่อยๆ เบาลง ช้าลง แต่ยังลื่นไหล สบายใจ
    -ลมหายใจช้าลงๆ ใจสบายขึ้น ได้พักผ่อนมกาขึ้น จนลมหายใจหยุดไป
    -พอลมหายใจหายไป กันมาดูจิต สัมผัสความนิ่ง อารมณ์นิ่งการหยุดของจิต ความสุขจากการไม่ต้องคิดของจิต นิ่ง ลอยเบาๆ เป็นความนิ่ง สบาย

    ดังนั้นการทำสมาธิในขั้นสมถะ หรือความสงบทั้งหมด เราต้องการให้เข้าถึง อารมณ์จิตที่หยุดนิ่ง หยุดคิด มีความสุขสงบ จากการได้พักจากความคิด

    แต่ส่วนมาก พอเราภาวนากันจนคำภาวนาเริ่มหาย ใจเริ่มสบาย พอคำภาวนาหายไป
    เราก็ เอ้ย เราลืมภาวนานี่นา ก็ย้อนกลับมาภาวนาใหม่ มันก็เลยถอนเข้าถอยออก ตรงปากทางอยู่
    ซึ่งจริงๆ พอคำภาวนาหาย เราก็ปล่อยเลยครับ หันมาจับลมหายใจ หรือว่า มาดูอาการนิ่งของจิตแทน

    ลองไปทำดูนะครับ

    ขอให้เข้าถึงซึ่งความสงบ สะอาด สว่าง รู้ติ่นจากภายใน ของจิต ได้อย่างง่ายดาย ได้โดยฉับพลันทันใด ด้วยพุทโธ อัปปมาโณ บารมีของพระพุทธเจ้าอันไม่มีที่สิ้นสุดไม่มีประมาณด้วยเทอญ
     
  17. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    ถึงคุณ Karnta ครับ

    รบกวนด้วยค่ะ
    ดิฉันนั่งสมาธิมาหลายเดือนแล้ว
    ช่วง2-3เดือนนี้ดิฉันเห็นแสงเป็นดวงๆเหมือนดาวบนฟ้านะค่ะ แต่เห็นในบ้านนะค่ะ จะเห็นดวงเดียว(บ่อย)ช่วงเวลา2ทุ่มถึง4ทุ่ม(บริเวณเดิมๆ) บางคืนเห็น2-3ดวง เห็นช่วงเวลานี้เกือบทุกคืน บางครั้งก็เห็นในเวลากลางวันแต่ไม่บ่อย อยากทราบค่ะว่าคืออะไร และบ้างครั้งดิฉันก็เห็นแสงวิบๆวับๆทางหางตา เป็นครึ่งวงรี จะเกิดประมาณไม่เกิน10นาทีแล้วก็หายไป

    อันนี้อย่าไปติดมากครับ
    ถ้าเกิดว่าเป็นอาการที่เกิดทางกายทุกอย่าง
    ไม่ว่าจะเป็นปีติ หรือ เห็นแสงสว่าง ด้วยตาเนื้อ หรืออะไรก็ตามที่เป็นอาการที่เกิดทางกาย
    ให้เราอย่าไปสนใจครับ ทำสมาธิต่อไป

    เพราะถ้าเราไปสนใจมากเกินไป จิตจะเกิดความฟุ้งซ่านจนไม่เป็นสมาธิ
    หรือถ้าเราไปเพ่งอาการที่เกิดมากไป จะทำให้อารมณ์หนักได้

    ถ้าสนใจความสว่าง ก็ต้องให้ดวงจิตของเราเกิดความสว่างไสว ทรงเป็นกสิณแสงสว่าง
    นึกเป็นภาพของพระพุทธองค์ทรงแย้มยิ้ม เปล่งฉัพพรรณรังสี
    นภาพในจิตของเราเกิดความสว่างไสวถึงที่สุด

    แล้วปฏิบัติแบบใดครับ จับลมหายใจ พุทโธ หรือว่าแบบไหนครับ
     
  18. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    ถึงคุณ boradcard ครับ

    รบกวนถาม

    ผมมีปัญหาอย่างนี้ครับ ในระหว่างที่ผมนั่งสมาธิ ผมได้อธิฐานว่า ผมอยากเห็นผี ขอให้พระพุทธเจ้าช่วยให้ผมเห็นผีด้วยเถอะ เมื่อผมออกจากสมาธิ และได้หลับไป ในคืนนั้น ตอนใกล้รุ่ง ประมาณ 05.00 น. ผมก็ได้ฝันเห็นผี เห็นภาพฝันได้ชัดเจนและฝันเป็นเรื่องได้นานหลังตื่นนอนมาแล้วยังจำได้แม่นยำ

    คราวหลังลองขอให้เห็น สภาวะของพระพุทธเจ้าบนพระนิพพานดูสิครับ

    ขอถาม..ความฝันนั้น เป็นความฝันที่ผมฝันไปเอง หรือ เกิดจากการขอในขณะนั่งสมาธิครับ

    เกิดจากการตั้งจิตขอบารมีพระครับ ถ้าไม่เชื่อเราเอาอีกที
    คราวนี้ขอให้เห็นพระพุทธองค์ท่านเมตตามาโปรดสงเคราะห์เราเลย

    ขอถามอีกเรื่องนะครับ.... ตอนนี้เวลาผมหลับตา เหมือนมีพระพุทธรูปองค์เล็กๆ ลอยอยู่กลางหน้าผาก มันเกิดจากอะไรครับ หรือว่าผมคิดไปเอง<!-- google_ad_section_end -->

    ถูกครับ อันนี้เป็นกสิณ บวกกับพุทธานุสติกรรมฐาน นึกถึงพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์

    เราตั้งจิตขอบารมีพระท่าน แล้วเห็นภาพพระที่หน้าผากของเรา
    พระองค์ทรงแย้มยิ้มอย่างถึงทึ่สุด และมีแสงสว่างเป็นลำแสงเพชร
    ส่องสว่างจากองค์พระ แผ่กระจายสว่างวาบเป็นเพชรประกายระยิบระยับไปทั้งจักรวาลครับ
    เป็นการเปิดญาณรู้เห็นของเราด้วยบารมีของพระพุทธเจ้า
    อ่านแล้วทำตามได้เลยครับ เห็นจักรวาลเรืองแสงสว่างเป็นสีทองบ้างสีเพชรบ้าง
    สว่างไปหมด

    สามารถกำหนดให้เห็นภาพพระลอยอยู่เหนือศรีษะ ในหน้าผาก และในอกพร้อมๆกันสามองค์
    และแผ่แสงสว่างเป็นเพชรพร้อมกันไปทั้งจักรวาล ส่องสว่างไปสุดลูกหูลูกตา เป็นเพชรระยิบระยับทั้งหมด

    ลองทำดูครับ

    ขอให้สามารถทรงภาพพระพุทธเจ้าได้อย่างชุดเจนแจ่มใส ถึงที่สุด ได้โดยฉับพลันทันใด ได้อย่างง่ายดาย ได้ตลอดไป ตราบเท่าเข้าถึงซึ่งพระนิพพานด้วยเทอญ
     
  19. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    ถึงคุณ makoto12 ครับ

    อนุโมทนาบุญคับ ตอนนี้ ข้าพเจ้าได้เข้าถึงอารมณ์ของเมตตาอุปัชชานะณานได้แล้ว หมดข้อสงสัยครับ อารมณ์ และจริตของข้าพเจ้าไปทาง เมตตาอปปัชานะฌาน หลังจากที่ค้นหาจริตตัวเองมานาน หลายเดือน ส่วนตัวเป็นคนชอบของสวยๆงามๆละทิ้ง โลกียะ กามะฉันฑะ ราคะ ไม่ได้ขาดไม่ได้หมด ก็หันไปดู อสุภะแทน ก็ได้บ้างไม่ได้บ้าง เอามันทั้งสวยและไม่สวยตีกันยุ้งไปหมดแต่ตอนนี้ ได้พบจริตตัวเองแล้ว อนุโมทนาบุญคับ และปฏิบัติตามที่ อ.เล็กได้เคยพูดถึงข้าพเจ้าก็โหลดมาฟังมาปฏิบัติซึ้งได้เข้าถึงต้นฌานบ้างแล้ว ตอนนี้อารมณ์ของข้าพเจ้า เข้าอารมณ์ที่มีความรู้สึกชุ่มเย็นสบายเบา มากๆ มีความสุขมากๆ ไม่อยากทำอะไร และ ที่สำคัญไม่อยากจะออกจากสมาธิเลยครับ มีความสุขมากๆอย่างบอกไม่ถูก ถึงจะยังไม่ได้มโนเต็มกำลังก็ตาม(ถอดกายทิพไม่ได้)แต่ก็มีความสุขเพิ่มขึ้น ^^; อนุโมทนากับคุณชัดที่ให้คำปรึกษามาโดยตลอด ตอนนี้หมดข้อสงสัยแล้วคับ จะมาเป็นกำลังใจให้กับคนปฏิบัติครับ อนุโมทนาบุญด้วยครับ แต่ก็ไม่หมดไปเสียทีเดียว ถ้าหากมีคำถามอีกก็อาจจะรบกวนอีกเป็นบางเรื่อง นะคับ อนุโมทนาบุญด้วยครับ

    ขอให้บารมีทุกๆคนทุกๆท่านเพิ่มพูลเข้าถึงพระธรรมได้โดยฉับพลันด้วยเทอญ สาธุๆ

    ให้ความรักที่แท้จริง ที่เกิดจากเมตตา ความสุข ความชุ่มเย็น ที่เต็มล้นหัวใจของเรา
    ชำระล้าง ชะโลมล้างดวงจิตของเรา ให้สลาย คลาย จากความรักที่ยังเนื่องด้วยกิเลสตัณหา ซึ่งเป็นรักไม่แท้
    ให้ดวงจิต ให้หัวใจของเราเบิกบาน เอิบอิ่ม เติมเต็มด้วยรักแท้ ที่เรามีแต่ทุกๆคนในจักรวาลนี้เสมอกัน
    อันเกิดขึ้นจากเมตตาอัปปมาณฌาณ และรักษาความงดงามในดวงจิตของเรานี้ได้ตลอดไป ตราบเท่าเข้าถึงซึ่งพระนิพพานด้วยเทอญ<!-- google_ad_section_end -->
     
  20. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    ถึงคุณ DrBoy ครับ

    ผมชื่อบอยนะครับ ขอเกรินนำนิดนึงครับffice:eek:ffice" /><O:p></O:p>

    สวัสดีครับ ยินดีที่ได้รู้จักครับ ผมชื่อ ชัด นะครับ

    เรื่องธรรมะศึกษามานานครับ เรื่อง ทาน ศีล ปฏิบัติมานาน ถือศีล
    5 ตลอดเวลา แต่ผมเป็นนักปฏิบัติสมาธิมือใหม่นะครับยังไม่ผ่านขณิกสมาธิด้วยซ้ำ ผมศรัทธาพระพุทธเจ้ามากครับเพราะหลักธรรมของท่านช่วยผมหลุดออกมาจากวิกฤตชีวิตได้ เลยตั้งใจศึกษาหลักธรรมของท่าน แต่เมื่อศึกษาไปในระดับนึงแล้วจะเริ่มไม่เข้าใจความหมายในหลักธรรมขั้นสูง ว่ามันหมายความว่ายังไง ผมได้ฟังธรรมจากพระอาจารย์รูปนึงซึ่งได้เทศน์เกี่ยวกับหลักธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงสอน เรื่องเกี่ยวกับหนทางไปสู่นิพพาน ว่าใช้หลักธรรมใดในการที่จะเป็นการเดินอยู่ในเส้นทางสู่นิพพาน ท่านพูดหลักธรรมขั้นสูงพอสมควรซึ่งผมไม่ค่อยรู้จักคำบาลีต่างๆนั้นเท่าไหร่ ผมเข้าใจเพียงแต่ว่าหากอยากไปให้ถึงนิพพานต้องทิ้งสถานที่เกิด โดยการละขันธ์5 ท่านให้ฝึกดูจิต ดูการเกาะขันธ์ของจิต ดูการเกิดและดับของจิตที่ไปเกาะขันธ์นั้นๆ ซึ่งผมก็นำมาใช้ ซึ่งก็ใช้ได้จริงๆ เห็นอย่างที่ท่านได้บอกว่ามันไม่เที่ยงเกิดและก็ดับไป ไม่ว่าเรื่องสุขหรือทุกข์จิตไม่เคยคงทน เกิดและดับเสมอ ยิ่งฝึกฝนการมองจิตยิงเห็นมันได้เร็วขึ้น ใช้มันละอกุศลได้เร็วและดีขึ้นเรื่อยๆ เริ่มเห็นทุกอย่างเป็นอนิจจัง แต่ก็ยังอยู่ในแค่ระดับจินตมนปัญญาเท่านั้น ยังไม่ถึงภาวนามนปัญญา ผมไม่รู้หรอกครับว่าภาวนามนปัญญามันเป็นยังไงแล้วมันต่างยังไงกับจินตมนปัญญา แตมีหนังสือหลายเล่มที่พูดถึงเรื่องนี้และก็พยายามชี้ให้ผมเห็นว่าสิ่งที่ผมได้เป็นเพียงจิตมนปัญญาเท่านั้น ผมเลยสนใจในการฝึกสมาธิ

    เดิมทีผมก็เข้าใจว่าการมองดูจิตนั้นเป็นการวิปัสสนาด้วย แต่เท่าที่ค้นคว้าตอนนี้รู้สึกผมจะเข้าใจผิดเห็นเขาว่าจะต้องทำสมถะสมาธิก่อนแล้วใช้กำลังของสมถะ มา วิปัสสนา และถ้าจะเข้าวิมุติหรือนิพพาน เป็นพระอรหันต์จะต้องมีอย่างน้อย ฌาน 1 แล้วใช้ฌาน 1 ในการทำวิปัสสนาเพื่อให้เกิดปัญญา

    ต้องได้ฌาณจริงๆครับ ถ้าไม่ได้ฌาณ ไม่มีสิทธิ์บรรลุธรรมครับ ในพระไตรปิฏก หรือวิสุทธิมรรคก็มีแจงไว้ชัดเจนครับ

    คำๆนี้ทำให้ผมสงสัยในคำว่าวิปัสสนามากครับ ผมเริ่มไม่มั่นใจว่าสิ่งที่ผมเข้าใจมันถูกไหม ว่าวิปัสสนาหมายถึง การใช้ปัญญาดูให้เห็นความเป็นจริงของธรรมชาติ ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้นทำไมต้องใช้ฌาน 1 ด้วย ทั้งที่ ฌาน 1อย่างน้อยก็ต้องมีจิตที่นิ่งเป็นอารมณ์เดียวแล้ว ตอนนั้นจะไปมองธรรมชาติของอะไร ดูจิตหรอ? มันนิ่งแล้วจะดูทำไม คือสงสัยครับ ว่าเมื่อถึงตอนนั้นแล้วจริงๆ เราจะใช้ฌาน 1 ทำอะไรที่เรียกว่าวิปัสสนาใช้ปัญญาเห็นความจริง อันนี้เป็นคำถามที่ค้างคาใจครับ
    แต่ตอนนี้ผมเป็นเพียงขณิกสมาธิเท่านั้น ยังไม่ถึง อุปจาร อัปมา ฌานไม่ต้องพูดถึง แต่อย่างไรก็ตามผมก็อยากมีอาจารย์ครับ เพราะผมไม่แน่ใจวิธีการปฏิบัติของผมว่ามันถูกต้องไหม ตอนนี้ผมใช้วิธีอานาปานสติ ดูลมหายใจ ซึ่งผมใช้แล้วไม่ค่อยได้นาน ผมมักจะใช้วิธีการดูจิตเข้าช่วย พอมันเริ่มออกนอกสมาธิไปคิดเรื่องอื่นผมจะพยายามดู และวางอุเบกขากับเรื่องนั้น แล้วค่อยกลับมาดูลมหายใจใหม่ ซึ่งทีแรกผมคิดว่าการดูจิตคือวิปัสสนา ผมยังไม่ถึงฌานเลยผมควรจะตามดูจิตให้เห็นการเกิดดับหรือควรจะเพ่งที่คำภาวนาเพื่อเข้าเข้าฌานให้ได้ก่อนแล้วค่อยมาดูจิต ควรทำแบบไหน ซึ่งตอนนี้ผมแก้ไม่ตก ผมใช้เพียงแค่ความคิดตัวเองซึ่งไม่รู้ว่าถูกหรือผิด อยากได้ผู้รู้เพื่อให้คลายนิวรณ์ของความสงสัยจะได้ทำให้ถูกทางครับ
    รบกวนหน่อยครับ<O:p></O:p><!-- google_ad_section_end -->

    ผมจะรวบธรรมะให้เข้าใจได้ง่ายที่สุดนะครับ
    ก่อนอื่นนะครับ
    เราจะต้องทำทั้งสองตัว คือทั้งสมถะ วิปัสสนา

    เนื่องจากสมถะ เปรียบเหมือนกับกำลัง และวิปัสสนา เปรียบเหมือนกับความคมของมีด
    ซึ่งหากเราจะตัดเชือกหรือกิเลส สังโยชน์ให้ขาด เราจะต้องใช้ทั้งพละกำลัง และมีดที่คม
    พอจะเห็นภาพไหมครับ ดังนั้นถ้ามีดคม แต่ว่าเราอ่อนเปลี้ยเพลียแรง มันก็ตัดเชือกไม่ขาด


    สมถะ คือความสงบ ของจิต ซึ่งเป็นอารมณ์ที่เราต้องการ
    ทำทั้งที เราตีขึ้นฌาณ4ไปเลย ซึ่งก็ไม่ได้ยากมาก หากเรารู้อารมณ์ที่ถูกต้อง
    ฌาณ4นั้น มีอารมณ์ที่ เราจับลมหายใจไปเรื่อยๆ แล้วเราสัมผัสได้ถึงความชุ่มเย็น ความเบาเนียนนุ่มของลมหายใจ จนใจของเรารู้สึกสบาย
    พอใจของเราสบายมากขึ้นๆ ลมหายใจจะช้าลง เบาลง จนหยุดไป
    พอลมหายใจหยุดไปแล้ว ก็ให้เราประคองความนิ่ง อารมณ์หยุดนิ่ง หยุดคิด หยุด ตั้งมั่น ลอยนิ่งๆ เบาๆของจิตเอาไว้

    แล้วเราก็แผ่เมตตาเสงบความสุขให้เต็มหัวใจของเรา พอจิตของเรามีความสุขอย่างถึงขีดสุดของความสุข
    เราจึงค่อยวิปัสสนา

    วิปัสสนา คือ การทำให้ใจของเรา เกิดอารมณ์สบาย

    สบาย เพราะว่า เราเห็นถึงความเป็นธรรมดาของโลก ความเป็นธรรมดาของธรรมชาติ
    ความเป็นธรรมดาของการถูกคนอื่นด่า ถูกคนอื่นว่า ของการเจ็บป่วยไม่สบาย ของความสกปรกของร่างกาย
    พอใจของเราเห็นว่าเรื่องพวกนี้มันก็เรื่องธรรมดาๆนี่เอง เราก็จะไม่ทุกข์กับมัน
    พอคนด่าเรา เราไม่ทุกข์ ร่างกายเราป่วยเราไม่ทุกข์ เราไม่ปรารถนาในร่างกายของบุคคลอื่นที่สกปรกด้วยน้ำเลือดน้ำเหลือง เราก็จะมีอารมณ์จิตที่เบาสบาย มีความสุข

    และพอเราเห็นแล้วว่าการเกิด นั้นก็ต้องพบแต่เรื่องที่ไร้แก่นสารแบบนี้
    เราก็จะมีจิตปรารถนาในพระนิพพาน
    อารมณ์ของวิปัสสนาญาณ จึง
    1.เห็นความเป็นธรรมดาและวางได้ซึ่งเรื่องที่ปกติจะทำให้เราทุกข์ พอเห็นว่ามันก็เรื่องธรรมดา ของการเกิดจึงไม่ทุกข์อีก
    2.ปรารถนาในพระนิพพาน รักในพระนิพพานอย่างถึงที่สุด

    อารมณ์ของพระโสดาบัน มีอยู่4ข้อ หากเราแน่วแน่ในอารมณ์นี้ ถือว่าเราเข้าใกล้พระนิพพาน
    1.เราเคารพ เรานอบน้อม ต่อพระพุทธ พระธรรม พระอริยสงฆเจ้า อย่างถึงที่สุด อย่างสุดขั้วหัวใจ ศรัทธาถ้าเต็มร้อย พระโสดาบันต้องได้เกินร้อยไปอีกหลายเท่า
    2. ศีล5บริสุทธิ์ตลอดไป ตราบเท่าเข้าถึงซึ่งพระนิพพาน
    3.คิดเสมอว่าเราจะตายได้ทุกวัน ไม่ประมาทต่อความตาย
    4.รักพระนิพพานถึงที่สุด คิดเลยว่า ถ้าเราตาย ณ ขณะจิตใด เราจะไปพระนิพพานเพียงจุดเดียวเท่านั้น ที่อื่นเราไม่ยอมไป

    หากกำลังอ่านที่ผมเขียนอยู่นี้ หากตายขึ้นมา ก็ตั้งจิตขอไปพระนิพพานเพียงจุดเดียว

    อารมณ์ที่ใช้ในการเข้าถึงซึ่งพระนิพพาน มีอยู่ว่า
    หากเราตายจากชาตินี้เมื่อไหร่ จะเกิดเป็นมนุษย์ เป็นเทวดา เป็นพรหม เป็นอะไรมันก็ทุกข์
    ต้องกลับมามีร่างกาย มาทำงาน มาถูกเขาด่าใหม่
    เราปรารถนาพระนิพพานคือความไม่เกิด เพียงจุดเดียว
    องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประทับอยู่ที่ใด หากเราตายเราจะไปขออยู่กับพระพุทธองค์บนพระนิพพานเพียงจุดเดียวเท่านั้น
    พระพุทธองค์อยู่ที่ไหนเราจะไปที่นั่น ที่อื่นเราไม่ยอมไปทั้งนั้น นอกจากพระนิพพาน

    สรุป อีกที

    -จับลมหายใจ ด้วยอารมณ์เบา สบาย
    -ลมหายใจช้าลง จนหายไป จิตนิ่ง ปราศจากความคิด หยุด ลอย เบา
    -ดึงความรักความเมตตาให้เต็มล้นหัวใจ แผ่สว่างไปทั้งจักรวาล ปรารถนาห้ทุกดวงจิตได้ถึงซึ่งพระนิพพาน
    -เคารพพระรัตนตรัยให้ถึงที่สุด
    -มีศีล5บริสุทธิ์
    -เราตายได้ทุกเวลา
    -ตายเมื่อไหร่ เราจะขอไปอยู่กับพระพุทธเจ้าบนพระนิพพานเพียงจุดเดียวเท่านั้น

    ถ้าทำได้แบบนี้ แล้วแน่วแน่ถึงที่สุด ตายเมื่อไหร่ เรามีพระนิพพานเป็นที่ไปอย่างแน่นอน

    หวังว่าจะทำให้เราเห็นขั้นตอนในการปฏิบัติได้ชัดเจนขึ้นครับ

    ขอให้รักษาศีล5ได้ตลอดไป เข้าถึงซึ่งพระนิพพานได้โดยฉับพลันทันใดในชาติปัจจุบันนี้ด้วยเทอญ
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...