เรื่องเล่าของข้าพเจ้าความศักดิ์สิทธิ์พระคาถาชินบัญชร

ในห้อง 'สมเด็จโต พรหมรังสี' ตั้งกระทู้โดย ชัชวาล เพ่งวรรธนะ, 1 ตุลาคม 2008.

  1. loveyoutoo2

    loveyoutoo2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    103
    ค่าพลัง:
    +207
    ขออนุโมทนากับคุณอาครับผม... ^^

    เฮ้อ.... ไม่รู้ว่าจะถามอะไรอาดีครับ แค่รู้ว่าอยากถามมันก็จบแระ


    ....ทุกวันนี้สดชื่น แจ่มใส แต่ไม่ตอลดครับ สลับไปมากับสุขและทุกข์ เมื่อมีอะไรมากระทบส่วนต่างๆ ของร่างกายครับ

    ^.^
     
  2. ชัชวาล เพ่งวรรธนะ

    ชัชวาล เพ่งวรรธนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    843
    ค่าพลัง:
    +4,120
    อยู่กับหนึ่ง รู้ไปที่หนึ่ง โจมตีไปที่ช่องวิญญาณอายตนะหนึ่งด้วยสติ
    พิจารณารูปลักษณะหนึ่ง เห็นธรรมชาติตามจริงชนิดหนึ่ง มีสติรู้หนึ่ง
    อยู่กับผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน

    วันใดวันหนึ่งเมื่ออยู่กับหนึ่งมากเข้า มีสติเครื่องรู้อยู่ย่อมมีปัญญารู้แจ้งตรัสรู้
    ในชั่วขณะที่จิตเห็นจิตหนึ่ง

    ตั๊มจิตถ้าเร็วเวลาผัสสะกระทบเป็นหนึ่งคือสติสิ่งที่รู้คือสติและตั๊มมีตัวคิดตามมาอีกหนึ่ง โยนิโสพิจารณาลงในความละเอียดนะ

    อย่าลืมอบรมสติที่กายและจิต มันเกิดดับเร็วมาก
    รู้แล้วสลับคิด ตรงผัสสะนะแหละ ช่องวิญญาณอายตนะ เข้าไปรู้พอรู้แล้วดับ
    เบื้องต้นมันเร็วเราจะไม่ทันคิดที่คิดตามไปปรุงแต่ง

    อยู่กับหนึ่ง นับที่หนึ่ง จบที่หนึ่งด้วยสติที่เจริญมั่นคงมากขึ้นไม่ช้าไม่นาน
    ย่อมพบจิต
    อนุโมทนาครับ
    พี่อ้อง
     
  3. ชัชวาล เพ่งวรรธนะ

    ชัชวาล เพ่งวรรธนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    843
    ค่าพลัง:
    +4,120
    ใจอยู่กับใจเมื่อจิตตั้งมั่น
    ใจส่งจิตออกนอกไปที่ช่องวิญญาณอายตนะ(ตา หู จมูก ลิ้น กาย )
    ตรงที่ผัสสะกระทบ(รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส)
    มีตัวรู้เกิดขึ้นคือจิตที่เป็นผู้รู้ คิดนึก ปรุงแต่ง(เจตสิก)
    ถ้าจิตประกอบด้วยสติก็คือพุธโธเป็นผู้ตื่นอยู่
    โจมตีไปที่ช่องวิญญาณอายตนะที่ปรากฏจิตเข้าไปรู้

    รู้อารมณ์ที่ปรากฏ แยกจิตออกจากอารมณ์ ควบคุมมันได้ด้วยสติ
    ไม่ช้าไม่นาน จิตก็ย่อมเป็นกลางมากขึ้นและวางอารมณ์ที่ถูกรู้เพราะเห็นความจริง
    จนละคลายทิฎฐิ อุปทานลงในไม่ช้า

    เราทำสมาธิเพื่อสิ่งนี้ สมาธิจึงเป็นสมาธิบริสุทธิ์
    อย่าทำสมาธิเพราะอยากเห็น อยากได้ จะไม่สมหวังดังใจในสัจธรรม

    โจมตีไปที่วิญญาณอายตนะ สัจธรรม ปวงธาตุ ที่ขันธ์แสดงตัวตน
    พบจิตไม่ยึดจิต พบผู้รู้ทำลายผู้รู้ ทำลายตัวตนเพื่อพบความสมบูรณ์
    อนุโมทนาครับ
    อ้อง
     
  4. loveyoutoo2

    loveyoutoo2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    103
    ค่าพลัง:
    +207
    ขอบพระคุณ คุณอามากน่ะครับ ที่อธิบายไปด้วยและแปลศัพท์ให้ด้วย ^.^

    จิตเกิดดับอย่างร็วดเร็วเป็นจริงครับ เช่นน่ะครับ ผมนั่งพิมพ์ตอบอาไป แล้วจุ่ๆ จิตรู้สึกว่าอยากฟังเพลง

    มันแบบว่า พอรู้ทันที มันหายแระ ผมยังไม่ทันจะพูดอะไรในใจเลยครับ มันหายแระ นี่อย่างนี้น่ะครับอา เห็นสาวสวยเหมือนกันครับอา จิตเกิดชอบขึ้นมา รู้เองโดยทันที แล้วมันก็หายไปตอนรู้แหละครับ ยังไม่ทันได้คิดไรเลย มันหายไปเอง

    แล้วเวลาที่คอยรู้สึกน่ะครับอาไม่อึดอัดเหมือนเมื่อก่อนเพราะผมประคองรู้ แต่ปัจจุบันนี้รู้บ้าง เผลอบ้าง ช่างมันครับอา พอเผลอแล้วมันก็รู้ทันที ยังไม่ได้ไตร่ตรองอะไรเลย

    เด่วมาพิมพ์ต่ออีกครับอา ย้ายห้องแปป
     
  5. ชัชวาล เพ่งวรรธนะ

    ชัชวาล เพ่งวรรธนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    843
    ค่าพลัง:
    +4,120
    สร้างอำนาจ ตบะเดชะให้เจ้าที่กันดีกว่า

    ในยุคของสังคมที่เต็มไปด้วยราคะ โทสะ โมหะมากมาย ยุคที่เต็มไปด้วยโลภะ แสวงหาความอยากมีอยากไปไปเสียทุกๆสิ่ง
    ยุคที่คนเต็มไปด้วยความพยาบาทรุนแรง ความโกรธรุนแรง
    เมื่อยามที่สิ้นอายุขัยไปปฏิสนธิจิตวิญญาณจึงหนีไม่พ้นอบาย อสูรกาย
    เปรต สัตว์เดรฉาน

    ในบ้านแต่ละหลังบางบ้านจะมีพระภูมิเทวาอารักษ์ที่มาสถิตย์ตามบุญตามวาสนาบารมี บางท่านก็ชมชอบคนลักษณะเช่นนี้จึงตามมาขออาศัย มาเป็นร่มไม้ใบบุญพึ่งพาอาศัยเหมือนประดั่งญาติมิตร

    ภายในบ้านอ้องเองก็จะมีหลายๆท่านที่มาคอยแสดงว่าท่านมีตัวตนอยู่
    แต่ไม่ได้มาในลักษณะของการหลอกหลอนแต่มาโดยสัมผัสแบบอบอุ่น
    เช่นจับมือเบาๆ ตีแขนเบาๆ ตีขาเบาๆ เว้นแต่พวกจอมซนบางวันอาจจะเล่นกระชากผ้าห่ม

    ในโลกแห่งความจริง วิญญาณก็คือพี่น้อง มิตรสหาย ญาติที่มีความเอื้อเฟื้อดูแลซึ้งกันและกันเพียงแต่เรามองเค้าไม่เห็น สัมผัสถึงเค้าไม่ได้

    บ้านที่มีจิตวิญญาณที่ดีจึงมักจะรู้สึกบ้านน่าอยู่ ร่มเย็น น่าอาศัย สงบ
    ไม่วุ่นวาย แต่บ้านไหนที่เข้าไปแล้วอึดอัด เหมือนถูกจ้องมองด้วยแววตาข*********ทึง หนาวๆสันหลัง บ้านหลังนั้นมีแต่วิญญาณพยาบาทวนเวียนอาศัยอยู่

    บ้านบางหลังก็ไม่เกี่ยวกับวิญญาณเลยแต่เป็นตัวเจ้าบ้านที่สร้างกำลังภายในด้วยอารมณ์ที่เต็มไปด้วยความคับแคบ เห็นแก่ตัว ละโมภ อาฆาต พยาบาท จิตที่สัมปยุตต์อารมณ์ชนิดต่างๆจึงเปล่งพลังงานชนิดหนึ่งกระจายอยู่ภายในบ้านและเรียกร้องสื่อวิญญาณที่มีสภาพเช่นเดียวกับเจ้าบ้านต่างทยอยเข้ามาอาศัยเพราะพึงพอใจในนิสัยที่คล้ายคลึงกันและกัน

    คราวนี้มาขอเข้าเรื่องเรามาสร้างตบะ อำนาจ ฤทธิ์ให้แก่เจ้าที่ๆบ้านอันเป็นที่รักของเราดีกว่า

    ให้สังเกตุสุนัขสัตว์เลี้ยงของเรา สิ่งใดที่อยู่ใกล้เค้านานๆ เค้าจะไม่เห่าหรือหวาดกลัวแต่วันใดที่เค้าเห่าหรือแสดงอาการหวาดกลัวโดยหาเหตุไม่ได้ขอให้ทราบเอาไว้ว่ามีแขกที่ไม่ได้รับเชิญนอหเหนือจากเจ้าบ้านกำลังเข้ามาเยือน

    ถ้ายิ่งบ่อย ยิ่งถี่และท่านมีความรู้สึกว่าบ้านที่อาศัยเหมือนกับมีบางสิ่งที่วนเวียนอยู่ภายในถี่มากขึ้นขอให้ทราบว่า ฤทธิ์ อำนาจ ตบะของเจ้าบ้านท่านกำลังถดถอยไปโดยลำดับ

    ขอให้ย้อนมาดูตัวท่านเองด้วยว่าท่านให้สิ่งใดแก่เจ้าบ้านท่านในการสร้างอำนาจ ในโลกแห่งวิญญาณสิ่งบริสุทธิ์แท้คือพลังบุญ อำนาจแห่งการถ่ายโอนด้วยตัวคุณเอง

    คุณทำบุญนึกและอุทิศให้แก่เจ้าบ้าน คุณสวดมนต์เชิญท่านมาสวดมนต์เพื่อฝึกสติร่วม คุณทำสมาธิคุณแผ่อำนาจและอธิษฐานฤทธิ์ให้แก่เจ้าบ้าน สิ่งเหล่านี้คคือการลดน้ำไปยังต้นไม้ให้เจริญเติบโต

    คุณมีต้นไม้ที่เป็นที่ร่มเย็นคุณก็ต้องตอบแทนต้นไม้ด้วยการรดน้ำใส่ปุ๋ยพรวนดิน เอื้อเฟื้อน้ำใจให้กันและกัน ดุจดั่งญาติมิตรสหายที่เกื้อกูลกันอย่างอบอุ่นร่มเย็น

    บ้านก็จะมีแต่ความผาสุขเพราะมีคำว่าการให้ การน่าเคารพ ความอบอุ่น
    ร่มเย็นเหมือนอยู่ใต้ต้นไม้ที่อาศัยชายคาร่วมกัน

    เมื่อเราสร้างอำนาจให้แก่เจ้าที่มากยิ่งขึ้น ความสว่างสดใส กำลังบุญและรัศมีก็ยิ่งมากขึ้นแก่เจ้าที่เจ้าทาง ท่านก็เจริญขึ้นเป็นลำดับเพราะอาศัยบุญเกื้อหนุนกันและกัน

    เมื่ออำนาจท่านมากขึ้น รัศมีท่านแผ่กระจายออกมากขึ้น วิญญาณร้ายๆต่อให้มากมายขนาดไหนก็ย่นย่อต่ออำนาจของเจ้าที่เจ้าทางบ้านท่าน

    ถ้าหากบ้านท่านมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ปวงเทพอารักษ์มากนั่นก็เพราะท่านเปรียบประดุจต้นไม้ใหญ่ที่ร่มเย็นแผ่กิ่งก้านสาขาออกไปจนเหล่าปวงเทพก็มาอาศัยอยู่

    บ้านบางบ้านจึงทำกิจการค้าขายเจริญรุ่งเรือง ร่มเย็นเป็นสุข นั่นก็เพราะ
    การเป็นผู้ให้ของท่านนั่นเอง ท่านได้สร้างสิ่งที่เป็นกำแพงป้องกัน และท่านได้เชื้อเชิญจิตเทพเทวาที่มีจิตเสมอเหมือนท่านเข้ามา

    บ้านใดถ้ามีคนดีๆ อบอุ่นร่มเย็นในบ้านมากแม้ไม่ใช่วิญญาณเพียงแค่เป็นคนธรรมดาแต่จิตใจดีงาม เราจะรู้สึกได้ว่าบ้านนีมีแต่ความรัก ความอบอุ่น ความร่มเย็น

    แต่บ้านใดที่เจ้าของบ้านคับแคบ มีแต่ความละโมภอภิชฌาโลภอยากได้แต่ของคนอื่นๆ เอาเฉพาะคนโลภ คนเห็นแก่ตัวนะครับ

    บ้านนั้นและระแวกของบ้านนั้นๆ ถ้าเจ้าของบ้านคับแคบสุดๆ อ้องบอกได้เลยว่า ระแวกบ้านก็จะมีแต่ความอึดอัด ขัดข้องใจเรียกว่าพอคนๆนี้ย้ายมาอยู่ คนแถวนี้จะรู้สึกถึงความอึดอัดใจทันที

    คนคับแคบจึงเป็นคนไม่ค่อยเอาศาสนา ไม่แสวงหาปัญญา
    มีความทรนงตนว่าเหนือใคร กลัวศาสนาเพราะเสียดแทงใจตน
    ไม่มีพี่ไม่มีน้องไร้ญาติขาดมิตร ถ้ามีก็ไม่มาเยือน

    เรียกร้องความรักแต่ไม่ให้ความรักแก่ใคร เห็นแก่ตัว ตระหนี่ถี่เหนียว
    กินแบบทำลายร่างกายตนเอง รักอิสระ สันโดษเพราะไม่ชอบควักกระเป๋าจ่ายเงินให้ใคร

    การใช้ชีวิตของคนตระหนี่ภพหน้าก็หนีไม่พ้นหมาบางแก้วที่หวงของ
    เกิดเป็นสัตว์ชนิดนี้อีกนานแสนนาน สัตว์ที่หวงของเกิดมาจากสันดานเดิมที่ฝังเอาไว้ในอดีตกรรม

    บางคนก็ตายไปเฝ้าสมบัติ์ หวงของๆตน ใครเอาไปก็ตามเอาของตนเองคืน นี่มีให้เห็นเสมอๆ

    อ้องจึงบอกพื่อนๆว่าเราสามารถที่จะสร้างตบะอำนาจให้แก่เจ้าที่ได้
    และก็อย่าไปสร้างจริตนิสัยที่ไปทางอบาย มันน่าจะแสนเสียดายภพนี้ที่ได้เจอพระพุทธศาสนา

    หมาบางแก้วที่บ้านอ้องก็อาซิ้มแก่ๆคนหนึ่งที่หวงของ คับแคบ แต่ยังเป็นผู้ให้บ้าง จึงเกิดมาได้เจ้าของเลี้ยงดูพออัตภาพ
    กรรมไม่น่ากลัว แต่ที่น่ากลัวคือความไม่รู้ ไม่เข้าใจนะครับ
    ขออนุโมทนาครับ
    อ้อง
     
  6. loveyoutoo2

    loveyoutoo2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    103
    ค่าพลัง:
    +207
    สวัสดีครับคุณอา

    ข้อความด้านบน อ่านแล้วน่าสนใจดีครับอา

    เอามาเขียนอีกน่ะครับอา ^.^
     
  7. kung_9894

    kung_9894 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    186
    ค่าพลัง:
    +1,584
    ว่าจะถามพี่อ้องพอดีเลยค่ะ

    จริงๆหนูว่าจะถามพี่อ้องตั้งนานแล้วนะคะ
    แต่หนูไม่ทราบว่าจะดีมั้ย พอดีพี่อ้องมาโพสต์กระทู้นี้พอดี ขอแจมนิดนึงนะคะ
    หนูสงสัยค่ะว่า ท่านจะมาปรากฏตัวให้เราเห็นในภาพเหมือนคนปกติได้มั้ย แบบว่าแต่งกายธรรมดาๆเหมือนเราอ่ะค่ะ
    เพราะหนูจะอุทิศบุญให้ท่านบ่อยมากๆ แถมสวดมนต์ก็จะอัญเชิญท่านมาทุกครั้งและเทพเทวดาแถวบ้านด้วยค่ะ
    จนใครๆแถวบ้านพากันเล่าขานกันว่าเจ้าที่บ้านหนูแรง ( เค้าใช้คำว่าแรงจริงๆค่ะ )
    ขนาดบ้านยังไม่ล็อค แต่ไม่มีใครอยู่เลย ยังไม่มีใครกล้าเข้าไป
    บางคนเคยเข้าไปก็เหมือนกับมีคนคอยจ้องอยู่ ต้องรีบออกมา
    ขนาดบ้านสร้างใหม่ทุบหลังเก่าทิ้ง วันที่ไปรื้อบ้านนั้น กุ้งก็ไม่ทราบนึกยังไง
    ก็อธิษฐานที่ศาลพระภูมิว่า ขออนุญาตให้ช่างเค้ามารื้อทิ้งนะเจ้าคะ แล้วจะสร้างใหม่ให้สวยกว่าเดิม
    ช่างบอกว่าคืนวันนั้นมีคนแก่ผู้หญิง 3 คนไปเข้าฝันแล้วบอกเค้าว่า รื้อของเค้าแล้วสร้างใหม่ให้ดีกว่าเดิมนะ 555

    ที่เล่ามาว่าฝันนั้น หนูฝันว่ามีผู้หญิงสวยๆคนหนึ่ง เค้ามาบอกว่าข้าวที่ส่งไปให้น่ะหอมดีนะ เป็นข้าวนวลจันทร์หรือเปล่า
    หนูก็เลยไม่แน่ใจว่าเค้าเป็นท่านพระภูมิหรือเปล่าอ่ะค่ะ เพราะท่านแต่งตัวเหมือนพวกเรา ไม่ได้แต่งชุดไทย คือหนูตักบาตรแล้วอุทิศให้ท่านทุกวันเลยค่ะ

     
  8. ชัชวาล เพ่งวรรธนะ

    ชัชวาล เพ่งวรรธนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    843
    ค่าพลัง:
    +4,120
    การปรากฏแห่งเจ้าที่เจ้าทาง

    ถ้าถามว่าการเห็นนั้นเป็นอย่างไรคงจะตอบได้ว่า...
    แม้อยู่ด้วยกันสามคนหรือมากกว่านั้นแต่การเห็นกลับแตกต่างกันก็ได้
    เพราะสื่อสัมผัส สมาธิ และอำนาจจิตแต่ละคนไม่เสมอเหมือนกัน

    แม้ในภพแห่งสวรรค์แต่ละที่การมองเห็นสภาพทิพย์แม้ปวงเทพเทวาก็แตกต่างกันออกไป สิ่งนี้จึงคือทิพย์อำนาจ พลังของแต่ละคนแตกต่างกันไป ถ้าพูดตรงๆก็คงระดับพลัง
    เช่นถ้าเราจิตหยาบกว่าเราจะเห็นจิตที่หยาบของสิ่งนั้นๆใกล้ๆกับเรา
    ถ้าบางคนจิตละเอียดมากกว่ามีขอบมิติแห่งทิพย์อำนาจมากก็จะรับรู้ในวงละเอียดมากยิ่งขึ้น

    สิ่งเหล่านี้จึงคืออำนาจของศีล สมาธิ คุณธรรม
    คนที่มีอำนาจมากอาจจะสัมผัสหรือแม้กระทั่งสื่อหรือแม้กระทั่งเห็นไปถึงรัศมีคุณธรรมและรูปลักษณะของพรหมองค์นั้นๆ หรือปวงเทพองค์นั้นๆอย่างละเอียดแต่คนที่มี ศีล คุณธรรม สมาธิ น้อยก็จะเห็นระดับมิติของกำลังเทียบเท่าแรงแห่งตน เห็นในรูปหยาบและขอบวงมิติที่หยาบที่สุดเท่ากำลังตนแต่หาเข้าถึงรูปลักษณะ รัศมี คุณธรรมที่ละเอียดลึกกว่านั้นได้

    เราจึงต้องสร้าง ตบะ เดชะ อำนาจ ทุกอย่างสร้างขึ้นมาได้ถ้าได้กระทำนะครับ

    คราวนี้มาพูดถึงพระภูมิเทวากันก่อนนะครับ...
    การปรากฏกายของท่านถ้าเป็นปวงเทพจะใช้นิมิตฝัน หรือการเข้าไปหาถึงเตียงเลยแต่ไม่ใช่ผีแต่เป็นเทพ

    ท่านจะมาปรากฏถ้าเป็นปวงเทพจะมาเหมือนกลุ่มควันสีขาวหรือสีแห่งคุณธรรมแต่ยังเป็นเพียงกลุ่มควันเท่านั้นยังไม่ปรากฏรัศมีสว่างนำเข้ามา
    ถ้าเป็นแสงสว่างนำเข้ามา รัศมีจ้าปรากฏก่อนรูปกายท่านจะปรากฏโดยมากจะเป็นปวงเทพเทวาสูงขึ้นไปครับ

    ถ้าเป็นกลุ่มควีนสีดำขุ่นมัวเข้ามาโดยมากอสูรกายล้วนๆและมาไม่ดีทั้งสิ้นบางทีก็มากวนเอาคนในบ้านด้วยเช่นกัน
    จนบางครั้งเราอดที่จะน้อยใจเจ้าที่เจ้าทางว่าท่านไม่ได้ดูแลเราหรืออย่างไร จริงๆแล้วพวกวิญญาณขาจรชั้นต่ำพวกนี้จะเล่นทีเผลอรีบเข้ามาและรีบออกไป มากันแบบแทคทีม

    บางครั้งอ้องเองก็สงสัยเพราะอะไร ในปัจจุบันคนที่มีสื่อ มีศีล มีสมาธิ มีคุณธรรมยิ่งมีมากขึ้น วิญญาณต่างๆกลับหาทางจ้องที่จะเข้าถึงตัวให้ได้

    สิ่งที่อ้องได้รับคำตอบคือ
    ในมิติแห่งภูตนั้นกำลังขาดแคลนเสบียงบุญอย่างหนัก
    สมัยอดีตคนยังเข้าวัด ยังรู้จักรักษาศีล ทำสมาธิ อุทิศกุศล แผ่เมตตา
    การบูชา การทำเปรตพลีให้กับโลกวิญญาณที่หิวโหย

    แม้ในศาสนาอื่นๆก็มีการกระทำเช่นว่านี้

    แต่ปัจจุบันสิ่งเหล่านี้กลายเป็นความงมงาย ความไร้สาระเพ้อเจ้อหลอกลวงให้หลงกลัว ให้หลงสวรรค์กลัวนรก คนที่เริ่มเข้าสู่ยุคไอทีกลับเริ่มทิ้งห่างจากการอุทิศให้ปวงญาติ การบูชา การถวายอาหาร การทำเปรตพลี การแผ่เมตตา

    สิ่งเหล่านี้เรียกว่าแทบจะหายไปและผู้รับก็เริ่มไม่บริสุทธิ์มากยิ่งขึ้นแถมผู้ให้ทาน ทำบุญก็ลดลงไปมากขึ้น โลกแห่งวิญญาณ มิติภูตจึงเริ่มเข้าสู่กลียุค
    สัตว์โลกที่ตายลงไปเรื่อยๆเริ่มจะเข้ามาสู่วังวนแห่งโลกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้นั่นคือ ทำทุกอย่างเพื่อแย่งชิงบุญ ทาน อุทิศ การแผ่เมตตา
    วิญญาณที่อยู่ใกล้โลก วนเวียนกับโลกก็ยิ่งมากยิ่งขึ้น ไม่ปลดปล่อยตัวตน ไม่มีแสงสว่างชี้นำทางแม้ปวงญาติที่มีชีวิตก็ไม่ใส่ใจ ไม่อุทิศ

    ก็กลายเป็นวิญญาณเร่ร่อนแสวงหาบุญ ที่หาได้น้อยลงทุกที
    คนดี คนมีศีล คนเจริญสมาธิ คนทำบุญทำทาน จะถูกการแย่งชิงและการเข้าถึงยิ่งกว่าสมัยอดีตอย่างมากมาย

    เพราะปัจจุบันมนุษย์ยิ่งตายมากขึ้นก็กลับกลายเป็นอสูรกาย เปรต สัตว์เดรฉานมากจนไม่ต้องบอกว่าเพราะอะไร ไม่ต้องพูดถึงนรกภูมิ

    ส่วนการไปสุขคติภพ ยิ่งหาได้น้อยแสนน้อย แม้คนที่เราเห็นเป็นคนดีแท้ๆยังไปอบาย นั่นก็เพราะสื่อต่างๆที่มีอยู่มากมายทำให้เกิดการสะสมภพ สะสมเชื้อในราคะ โทสะ โมหะอย่างรุนแรงและมากมายทั้งสิ้น

    อย่าคิดว่าเราดีแล้วเราจะตายแล้วไปดี แม้อ้องเองก็ยังรู้ว่ามีโอกาสไปนรกได้อยู่ทุกเมื่อถ้าประมาทไม่ฝึกตนเองเสียแต่ตอนนี้

    เวลาตายจิตมันจะอ่อนล้า จะมีสภาพลมแปรปลวนตีย้อนเข้ามา ความแข็งทื่อ มึนงง จะปรากฏ ถ้าเราไม่ฝึกตนเอง ฝึกที่จะตายอย่างสง่าผ่าเผย ปล่อยวางทุกอย่างลง มันจะตายแล้วก็สู้กับมรณะด้วยสติ
    คตินิมิตอารมณ์ที่ดีจะปรากฏ เราก็จะตายดีไปดี

    ถ้าภพหน้าเราไปดี ไปสุขคติ เสร็จแล้วถ้าเราใช้บุญ ภพต่อไปก็ไปตามกรรม ไม่พ้นนรก เปรต อสูรกาย สัตว์อีกเป็นแน่ การเกิดเป็นมนุษย์จะน้อยกว่าอบาย เพราะเชื้อสะสมมันต่างมากมายมหาศาล

    ดังนั้นมีทางเดียวคือภพนี้หาโอกาสที่หาไม่ได้ตลอดอสงขัยกัลป์คือเกิดเป็นคน เจอพระพุทธศาสนา เข้าใจพระธรรม ก็อย่าไปเสียเวลารอเอาดีชาติหน้าเลย ไม่ได้กินหรอก ขนาดพร้อมขนาดนี้ยังไม่ทำให้ถึงพร้อม

    การพลัดวันประกันพรุ่งก็จะสร้างนิสัยจนเดือดร้อนไปอีกนานแสนนาน

    ดูพระภูมิเทวาท่านเป็นตัวอย่างนะ ท่านก็ยังมีทุกข์และมีระยะเวลาแห่งภพมีอายุขัย ดังนั้นท่านจึงอิงแอบกับเจ้าบ้านที่น่ารัก มีศีล มีคุณธรรม
    มีความน่าเคารพ มีการเกื้อกูล เป็นผู้ให้และนึกถึงท่านเสมอๆในการทำบุญทำทาน อุทิศแผ่เมตตา อธิษฐาน

    เมื่อเราให้ความเคารพเจ้าที่เจ้าทางด้วยความรักประดุจญาติ ท่านก็จะรักเราประดุจดั่งญาติเช่นกัน เมื่อเราเกื้อกูลท่าน ท่านก็จะเกื้อกูลเสมอเหมือน

    บ้านใด ท่านใด ที่สำรวมในศีล สมาธิ คุณธรรม อุทิศ บ้านนั้นเจ้าที่จะเพิ่มมากขึ้นเป็นลำดับ สงบ ร่มรื่น ร่มเย็นมากจนเรารู้สึกว่าบ้านน่าอยู่ น่าสบาย ไปไหนก็จะโดนตามไปด้วยเรียกว่าเทพคุ้มครองรักษาให้ปลอดภัยอันตรายหรือแม้กระทั่งอาจจะมีสื่อในการเตือนภัยและปกป้อง

    ท่านทั้งหลายให้ปลอดภัยทั้งคนและวิญญาณร้ายต่างๆโดยอาศัยอำนาจ
    คุณธรรม ศีล ของตัวท่านเองที่สร้างเอาไว้เป็นวิบาก ปวงเทพก็จะใช้วิบากที่ดีของท่านเป็นความศักดิ์สิทธิ์มารักษาท่านเพราะหนุนนำกันและกันนั่นเองครับ

    อนุโมทนาสาธุ
    อ้องครับ
     
  9. SONICx

    SONICx เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    113
    ค่าพลัง:
    +225
    สิ่งที่ได้รู้ จากพี่อ้องนี้ ช่างมีคุณค่าดีแท้ ..
     
  10. SONICx

    SONICx เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    113
    ค่าพลัง:
    +225
    ผีบรรพบุรุษขอส่วนบุญ...

    หลายวัน หลายคืนที่ผ่านไปที่ได้เพียรปฏิบัติทั้งสมถะ และวิปัสนา สิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นบ่อยมากหลังจากล้มตัวลงนอนจับลมหายใจ เกือบทุกวันที่ถูกดูดเข้าไปในภวังค์ ( ไปไม่รอดซักวัน ) พอซักพักก็จะไปโผล่อีกที่หนึ่งที่แปลกออกไป แต่ละวันก็ซ้ำที่บ้าง ไม่ซ้ำที่บ้าง แต่การไปที่เหล่านั้นชัดเจน แจ่มใส ยังกับมีชีวิตปกติประจำวัน เป็นภาวะที่พี่อ้องบอกว่าเป็นตื่นในฝันหรือปล่าวก็ไม่รู้
    แต่....... เกือบจะทุกครั้งที่ไปที่ต่างๆนั้น พอใกล้จะกลับมา ก็ต้องผ่านฝูงวัว ฝูงควาย จำนวนมาก ตัวเล็กบ้าง ตัวใหญ่บ้าง ที่มาห้อมล้อม คอยชะเง้อ บางตัวเดินมาใกล้ๆ เอาหัวมาดันหลังบ้าง แต่พอกำหนดจิตถาม ก็ไม่ยอมตอบ ดูแววตาเศร้าหมองมีีแต่ชะเง้อมองอย่างรอคอย ความหวัง ในครั้งที่ยังไม่ได้มาปฏิบัติฝูงวัว ฝูงความเหล่านี้ก็จะมาบ้าง เวลาที่ตั้งใจจะไปทำสังฆทานบ้าง หรือไปถวายภัตราหารเช้าบ้าง แต่พอปฏิบัติแบบเอาจริง เอาจัง เขาเหล่านั้นมาแสดงให้เห็นเกือบทุกคืนก็ว่าได้ จริงอย่างที่พี่อ้องบอก ที่ว่าในมิติภูตนั้น กำลังเกิดกลียุค อย่างหนัก ที่เหล่าเปรต สัตว์นรก ขาดบุญ กุศลที่มาหล่อเลี้ยงดวงจิต ต้องแย่งชิงกัน แม้จะน้อยนิดก็ตามแต่
    ทุกวันนี้สิ่งที่ผมต้องทำคือการเข้าสมาธิให้เต็มกำลังแล้วแผ่เมตตา เป็นวงคลื่นแห่งกำลังขยายออกไปตามกำลังสมาธินั้นไปให้ท่านเหล่านั้น จนบางวันเกิดปิติเต็มขั้น สัมผัสได้ถึงคำขอบคุณ กับสิ่งที่ท่านเหล่านั้นได้รับ.. และใจก็รู้ได้ทันทีว่า เมตาอัปปมาณฌานที่พี่อ้อง สัมผัสนั้นมันสุขมากขาดไหน ซึ่งส่วนใหญ่ผมได้แค่เมตตาอุปจารสมาธิก็สุขขนาดนี้ เพราะไม่รู้ว่าการเข้าฌาน 4 ในอุเบกขา ในพรมวิหารธรรมนั้นทำอย่างไร...
    โมทนาบุญครับ ขอให้แผ่เมตตาให้กับบรรพบุรุษท่านด้วยนะครับ ท่านเหล่านั้นลำบากมาก
    หนุ่ยครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 มกราคม 2010
  11. ชัชวาล เพ่งวรรธนะ

    ชัชวาล เพ่งวรรธนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    843
    ค่าพลัง:
    +4,120
    ขันธ์ของใจอันละเอียด

    ขันธ์ (รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ)
    ขันธ์ภายนอกคือเวลาเราตื่น เราจะรู้สึกถึงกายหยาบเป็นรูปร่างเราปรากฏ
    มีความยินดี ยินร้าย มีความคิดนึกปรุงแต่งตลอดเวลา

    ขันธ์ภายใน เวลาเราหลับ เราก็มีรูปแห่งกายปรากฏแต่เป็นรูปละเอียดไม่มีมหาภูตรูป๔ ธาตุหยาบ(ดิน น้ำ ไฟ ลม)ครอบงำ ยังมีความยินดีเพลิดเพลินปรากฏ มีความคิดนึกปรุงแต่งปรากฏ

    ขันธ์จึงเป็นตัวการที่นำไปเกิดถ้าจิตยังยึดขันธ์

    ขันธ์ของใจอันละเอียด...
    ในขณะที่เราทำสมาธิแต่จิตกลับตกเข้าภวงัค์ก็กลายเป็นฌานปรากฏ
    มันจะมีภพที่จิตเข้าไปปรุงแต่งไม่ได้ เป็นไปตามกำลัง ขอบวงมิติภพที่จิตได้ดิ่งเข้าไป

    คนที่เข้าฌานจะรู้สึกจิตมันดิ่งเข้าไป สุข สบายอยู่อย่างนั้น ละเอียดปานนั้น สะอาดสดใส ผ่องใส งดงาม จิตที่เสวยอารมณ์ชนิดนี้คือสมมุติเทพ
    ที่จะมีอายุขัยยาวนานในภพหน้าหลังจากสิ้นอายุขัยและจิตที่ได้สร้างเชื้อสะสมเข้าไปยึดอารมณ์ในช่วงสุดท้ายของสมมุติมรณะ

    ความเป็นเทพ เป็นพรหมจะปรากฏเพราะขันธ์ของใจอันละเอียด
    ตบะ อำนาจ เดชะ เราสร้างขึ้นมาใหม่ได้ด้วยความเพียร
    ถ้าเราฝึกอบรมอยู่ทุกวันก็ได้สร้างเสบียงและคุณธรรมที่จะเจริญมากขึ้น

    ในขณะที่ร่างกายเราแข็งแรงก็อย่ามัวปล่อยวันให้ผ่านพ้น
    ฝึกอบรมกายและจิตจนจิตคลายยึดอารมณ์ทุกข์ก็ไม่ปรากฏ
    เมื่ออบรมจนสติเป็นมหาสติ ศีล สมาธิ ปัญญา ย่อมสมบูรณ์ในไม่ช้า
    อนุโมทนาครับ
    อ้องครับ
     
  12. loveyoutoo2

    loveyoutoo2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    103
    ค่าพลัง:
    +207
    สวัสดีตอนเช้าสายๆครับ คุณอา ^^

    อาครับ อันว่าเรื่อง ญานนี้ เมื่อมองเป็นสิ่งไร้สาระแล้ว ไม่ต้องการมันแล้ว

    มันจะวกกลับมาหาเราเอง ผมเชื่ออาน่ะ


    ผมเริ่มตื่นเต้นกับสิ่งนี้อะครับอา แต่ผมไม่ยึดครับ คือ มีตื่นเต้น โดย ไม่มีครับคุณอา มิช้านานความจริงจะปรากฏครับ


    ^.^
     
  13. SONICx

    SONICx เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    113
    ค่าพลัง:
    +225
    เรียน พี่อ้อง... ผมจะทำอย่างไร เวลาถอดกายในออกมามันถึงจะมีกำลัง มีอำนาจ
    เมื่อคืนผมก็ถอดกายในออกไปครับ ไปเดินบริเวณรอบๆบ้าน แล้วก็มายืนอยู่ที่ถนนหน้าบ้าน เห็น หญิงวัยกลางคนกับลูกสาว เข้ามาหาผมเลยเข้าไปคุยด้วย แต่ไม่ทันจะซักถามเลย มีชาย 2 คน ใส่ชุดสีขาว เสื้อแขนยาวสีขาว กางเกงขายาวสีขาว เดินตามถนนมา ในความรู้สึกตอนนั้นเหมือนเข้าใจว่าเขาเป็นคล้ายๆ ผู้ดูแลหมู่บ้าน มาไล่ให้ผมกลับเข้าบ้าน ผมก็เหมือนโดนพลังผลัก ผมสู้เขาไม่ได้ กำลังก็อ่อน เลยถอยเข้าบ้าน แล้วเข้าไปในบ้านขึ้นบันใด พอขึ้นบันได กลับมองเห็น 2 คนนั้นเดินตามเข้ามาในบ้าน เขายังมองมาที่ผม เหมือนบอกให้รีบไป ผมเดินเข้าห้องนอนก็สะดุ้งตื่น ผมจะทำยังไงจึงจะพอมีพลัง คือผมอยากพูด อยากคุย กับท่านเหล่านั้น คืออยากเรียนรู้ในมิติภูตนี้ และอีกอย่างที่อยากรู้คือ ในมิติที่ใกล้กับเรานี้เขาแบ่งการปกครองกันยังไง แล้วทำไมเขาสามารถเข้ามาในบ้านผมได้ เจ้าที่เจ้าทางที่บ้านทำไมท่านไม่ป้องกัน หรือท่านทั้ง 2 นี้เป็นเจ้าที่ บ้านผมเอง....งง ..
    หนุ่ยครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 มกราคม 2010
  14. loveyoutoo2

    loveyoutoo2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    103
    ค่าพลัง:
    +207
    คุณน้าครับ


    รู้อยากสิครับ จะได้ หายอยาก ^.^
     
  15. ชัชวาล เพ่งวรรธนะ

    ชัชวาล เพ่งวรรธนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    843
    ค่าพลัง:
    +4,120
    ทำตนให้เป็นวิญญาณ จิตต้องคุยกับจิต

    ทำตัวให้เป็นปกติซิ

    เวลาที่เราทำสมาธิอย่างที่บอกเอาไว้เสมอๆคือรักษาอารมณ์ อย่าไปตื่นเต้น อย่าไปเร่งรีบ อย่าไปกดดันตนเอง อย่าไปตั้งใจ อย่าไปเพ่ง กดๆเข้าไป อย่าใช้ตาข่ม ตัดอยากเพื่อหายอยากโดยไม่ใส่ใจ

    ทำตัวให้เป็นปกติ แล้วรักษาฐานที่มั่นคงเอาไว้แบบสบายๆ ไม่ต้องไปรีบร้อนกลัวว่าจะได้ความรู้น้อย หรือจะพบเห็นน้อย

    สมาธิยิ่งถ้าตื่นเต้น หวั่นไหว ความปกติของจิตจะสั่นคลอนมีตัณหาแทรกซึม จิตจะซัดส่ายแทนที่จะรวมกำลังอย่างต่อเนื่อง

    สมาธิย่อมถูกอกุศลคือโลภะจิตแทรกซึม ความบริสุทธิ์ของจิต
    กำลังของจิตย่อมถูกทำลายลง

    หนุ่ยทำตัวสบายๆนะแบบธรรมชาติ ทำตัวตามปกติเลย เหมือนระหว่างวันที่หนุ่ยคุยกกับเพื่อนนะแหละ ไม่ไปเร่งรีบ ไปเพ่ง ไปกดดันนะ

    จิตนะต้องคุยกับจิต ถ้าติดที่กายเนื้อนะแล้วเห็นนะ คุยกันไม่ค่อยรู้เรื่อง เหมือนคนหลับฝันแล้วเจอญาติมาหา เห็นแต่คุยกันไม่ได้ สื่อกันไม่ได้เลย ดังนั้นจิตต้องคุยกับจิต

    และจิตนั้นต้องอยู่ในสภาพที่ปกติธรรมดาของจิต ราบเรียบ ใสกระจ่าง
    ถ้าจิตมันกระเพื่อมเป็นวงๆ ความใสกระจ่างจะถูกคลื่นวงบดบัง

    ดังนั้นอย่าตื่นเต้น ทำใจสบายๆ สิ่งเหล่านี้เราสามารถฝึกระหว่างวันคือ
    เวลาที่เราใช้ชีวิตประจำวันใดๆก็ตาม ให้อบรมกายอบรมจิตเพื่อสติมั่นคงไง

    เวลาดีใจ หรืออยากจะรู้อะไรมากๆ ให้ทันจิตด้วยสติ เพื่อหยุกการกระเพื่อมหวั่นไหวในอารมณ์นั้นๆ
    ดีก็ไม่หวั่นไหว ชั่วก็ไม่คล้อยตามไป
    อยู่ที่ฐานจิต รักษาความเป็นกลางเอาไว้

    ถ้าฝึกเช่นนี้ไปเรื่อยๆ ต่อไปเวลาที่จิตมันไปสร้างรูปละเอียดภายนอกอีก
    หนุ่ยจะได้อยู่ในภพนั้นๆได้นานขึ้นและการพูดคุยแบบสบายๆและรักษาฐานจิตตนเองเอาไว้ สมาธิก็จะใสกระจ่างได้นานยิ่งขึ้น

    คำว่าอยากให้หยุดอยากเป็นคำคมคือไม่ใส่ใจในอารมณ์นั้นๆทำตัวตามปกติเหมือนรู้ว่าแขกมาเยือน(รู้อยาก)ที่น่าตื่นเต้นแต่เราไม่ใส่ใจแขก เมื่อจิตไม่ใส่ใจแขกจิตมันจะ(หายอยาก)ไปเอง
    ให้
    เราจะรักษาฐานจิตแจ่มใสอยู่ภายในเอาไว้...

    นี่เป็นหลักสำคัญของสมาธิ ถ้ายิ่งไม่ใส่ใจหนุ่ยจะค้นพบความละเอียดของจิตมากกว่าการถอดกายละเอียดอีกมากนักคือละสิ่งละเอียดเพื่อพบความละเอียดยิ่งกว่า
    ละสิ่งหยาบเพื่อประโยชน์ที่ดีกว่าและท้ายสุดจะพบคำว่าใจปรากฏที่หาที่ตั้งไม่ได้ไม่ใช่ทั้งภายนอกและภายใน เพราะรูปลักษณะไม่ปรากฏอีก
    เหลือเพียงใจที่เด่นดวงเช่นนั้น จึงไม่มีจุด ตำแหน่งของกายปรากฏ

    ภพของใจที่ละเอียดทำสมาธิเข้าไปอยู่กับเค้าเรื่อยๆก็คือสมมุติเทพอายุขัยมากมายมหาศาลในยามสิ้นอายุขัยจุติจิตการปฏิสนธิจิตถ้าจับยึดอารมณ์ในสมาธิที่เคยฝึกเคยสร้างก็จะกลายเป็นสมมุติเทพ

    ถ้าพึงปรารถนาในนิพพานสมบัติ์ ก็ต้องสร้างจินตมยปัญญาให้มาก
    และภาวนาให้มาก เมื่อยามที่ปฏิสนธิจิตในภพหน้าก็สามารถใช้ปัญญานำเพื่อพ้นทุกข์ได้เช่นกัน

    อนุโมทนาครับ
    พี่อ้อง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 พฤศจิกายน 2009
  16. SONICx

    SONICx เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    113
    ค่าพลัง:
    +225
    ขอบคุณครับพี่ .. สำหรับคำแนะนำ
    ยังมีปัญหาอีกอย่าง คือ เมื่อกำหนดสมาธิเวลานอน จิตมันออกไปสร้างรูปละเอียดภายนอกเกือบทุกวัน แต่จิตออกตอนไหนไม่รู้เลย ไม่รู้ว่าผมเข้าใจถูกมั้ย คือ กำลังสติยังอ่อนไม่ต่อเนื่อง เลยทำให้ไม่รู้จุด ตำแห่ง เวลาที่จิตออกไปสร้างรูปละเอียดภายนอก
    ขอคำชี้แนะด้วยครับ
    หนุ่ยครับ
     
  17. ชัชวาล เพ่งวรรธนะ

    ชัชวาล เพ่งวรรธนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    843
    ค่าพลัง:
    +4,120
    จิตที่ตกภวังค์และมีกำลังตามรู้สติในช่วงหลับ
    หนุ่ยช๊าตไฟมากเท่าไหร่กำลังก็มากเท่านั้นเน๊อะ
    ตามรู้ได้นานมากเท่าไหร่ แล้วก็ผ่อนคลายช่วงภวังค์ถี่

    ในจุดที่ภวังค์ถี่จะมีตัวเผลอกับตัวซึมๆทื่อๆมันจะเพิ่มอำนาจมากตามลำดับ
    ตรงนี้เราจะเผลอและหลับไป
    ภวังค์ถี่เป็นจุดหลักที่จิตจะเข้าไปอีกมิติภพหนึ่ง

    ต้องเข้าใจนิดว่า สมาธิในท่านอน สติน้อย กำลังสมาธิน้อย
    แต่ถ้านอนแล้วมีสติรู้อยู่ปล่อยให้กายหลับนั่นก็ไม่ธรรมดานะ
    สมาธิจะมีกำลังมาก

    ยามที่ออกไปภายนอกเวลาเดินให้รู้สึกว่าเดิน อย่าส่งจิตซักส่ายสอดส่ายหาความน่าสงสัย อยู่กับฐานในอิริยาบท

    ถ้าหนุ่ยเตือนตนเองเวลาออกไปภายนอก
    หนุ่ยจะสร้างพลังจิต กำลังสมาธิในกายละเอียดดีกว่าถูกกายหยาบเสียอีก

    อยู่กับอิริยาบท แม้ระหว่างวันถ้าหนุ่ยยืนเดินนั่งนอน มีสติตามรู้ หนุ่ยจะรู้ไปถึง
    สมาธิและกายมันจะเบา บางคนจะหนักไม่เหมือนกัน แต่สติจะถี่ยิบ เห็นคำว่าช้าลง หดสั้น เห็นการกระเพื่อมและหดตัวดับไป

    อย่าลืมฐานจิต ถ้าออกไป อย่าพึ่งรีบร้อนแต่สร้างกำลังภายนอกต่อเลย
    และถ้าจิตเริ่มมีกำลังมากขึ้นก็ใช้อธิษฐานฤทธิ์เอา

    ถ้าส่งจิตซัดส่ายสมาธิจะหดกำลัง ทำตัวสบายๆเหมือนเดินเล่นตามปกติแต่ตามรู้อิริยาบท สิ่งที่รู้สึกคือกำลังมันจะเพิ่มเข้ามาเรื่อยๆ จนหนุ่ยรู้สึกเองว่า

    ถึงเวลานั้นจะทำอะไรก็ทำได้แล้ว อยากทำอะไรก็ทำ อยากไปก็ไป อยากเจอก็เจอแต่ยามพูดคุยกับสิ่งใดอย่าส่งจิตไหลไปหาเค้าจนลืมฐานจิตเดิม รักษาความรู้สึกแจ่มใสอยู่เสมอ ไม่ตื่นเต้น ไม่หวั่นไหว

    จริงๆเรื่องการถอดกาย ไม่พ้นทุกข์จะทำให้เราติด แต่คนที่ออกไปเองอย่างหนุ่ยก็เพราะวิบากเก่าของเดิม มันจะออกก็ออกเอง ไม่จำเป็นต้องจำจุดออกหรอก

    ทุกครั้งมันออกเอง จิตมันรู้ทางเค้าอยู่แต่สติเรายังมีกำลังน้อยเลยไม่เห็น แต่ถ้าเข้าไม่ได้ให้จำเอาไว้ว่า

    เราทำสมาธิในอารมณ์ใด เช่นดูลมก็ต้องระลึกถึงลม มันจะวูบเข้าตรงช่องวิญญาณนั้นๆ ออกจากถ้ำนั้นก็เข้าช่องนั้น

    เอาเป็นกีฬา เครื่องเล่น ที่พักผ่อน ที่หยั่งเข้าไปรู้ สวรรค์นรก กรรมต่างๆ
    เพื่อเตือนตนไม่ประมาท แต่ถ้าบอกว่า วิเศษ เก่งคงไม่มีนะ เพราะคำเหล่านี้แสดงถึงทิฎฐิ เราทำเพื่อรู้กรรม และจะได้เป็นผู้ไม่ประมาท ได้แค่นี้จริงๆ
    แล้วเราจะได้มาอบรมกายและจิตที่เป็นทางพ้นทุกข์เพราะเชื่อในสิ่งที่เราเข้าไปรู้ในสิ่งที่มนุษย์น้อยคนนักยากจะหยั่ง

    อนุโมทนานะหนุ่ย อย่าติดนะ(เอาเป็นเครื่องเล่น ที่พัก ที่รู้กรรม)
    พี่อ้อง
     
  18. โมกลา

    โมกลา สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    32
    ค่าพลัง:
    +24
    สวัสดีค่ะ

    เพิ่งตามอ่านมาจนถึงหน้านี้ และฝึกทดลองปฏิบัติตามดู ตอนนี้ทำได้แค่กายหลับจิตตื่น
    (ไม่ทราบว่าเข้าใจถูกไม๊)คือมีอาการกายไม่มีความรู้สึก แต่ไม่ได้ยินเสียงกรน อยู่ในอาการนี้ไป โดยนอนดูความเคลื่อนไหวของจิตไปจนหลับ แล้วก็จะเริ่มมีอากรสั่นสะเทือนเบาๆไล่ไปทั่วทั้งร่างกาย เมื่อเวลากายจะตื่น (อธิบายความรู้สึกยากเหมือนกัน) รู้ว่ามีความฝํนแต่จำได้บ้างไม่ได้บ้าง

    ไม่ทราบว่าคุณอ้องจะมีคำแนะนำอย่างไรบ้างในการปฏิบัติให้ก้าวหน้าขึ้นไปเรื่อยๆ
    ขอบคุณข้อเขียน ที่คุณอ้องสละเวลามาให้ความรู้กับผู้อ่านกระทู้ทุกคน
    กระทู้นี้ให้ประโยชน์กับโมกลาเป็นอย่างมาก (ตามมาจากเรื่อง ตื่นในฝัน)
    ขอบคุณค่ะ
     
  19. supatach

    supatach เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    1,638
    ค่าพลัง:
    +6,666
    สวัสดีครับคุณอ้อง เพิ่งจะเข้ามาอ่านกระทู้นี้ รู้สึกได้เลยว่า คงได้รับความรู้มากมายในการปฏิบัติ เบื้องต้น ขอไล่อ่านตั้งแต่หน้าแรกก่อนนะครับ เมื่อกี้อ่านดูคราวๆ
    ต้องขออนุญาติหากมีปัญหามีข้อสงสัย จะขอถามเป็นระยะๆนะครับ
    ถ้าสะดวกมี msn ผมขอแอดด้วยได้ไหมครับ
    ขอบคุณครับ

    ป.ล. ผมมือใหม่หัดปฏิบัติครับผม
     
  20. ชัชวาล เพ่งวรรธนะ

    ชัชวาล เพ่งวรรธนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    843
    ค่าพลัง:
    +4,120
    ตอบคุณโมกลา

    กายหลับแต่จิตตื่น แม้เราทำสมาธิก็เป็นเช่นนั้นครับ
    เวลานอนดูกายมันหลับไป บางครั้งกายมันก็กรนบางครั้งก็ไม่กรน
    แต่เราจะรู้ว่าสภาวะกายมันนิ่งจนสงบไปแล้วโดยดูได้จากลมหายใจ
    ที่ละเอียดมากยิ่งขึ้น ความสงบของจิตก็มากยิ่งขึ้นเป็นลำดับ

    กายหลับแต่จิตตื่นรักษาจิตแจ่มใสภายในที่ฐานอารมณ์ที่ไปวางเอาไว้
    จิตตะจดจ่อไม่คลาดสายตา
    วิมังสาใส่ใจในรายละเอียดที่ปรากฏเสมอด้วยสติ

    สติเป็นผู้รู้อยู่ครับ

    ่ช่วงที่จะตื่นมันสั่นสะเทือนเบาๆเป็นเพราะจิตกำลังเข้าไปรวมที่กายหยาบเหมือนเดิมหลังจากเข้าไปปรุงแต่งตนเองภายในภวงัค์ในช่วงหลับมันทิ้งกายหยาบ
    พอตื่นจึงมีความเป็นตัวตนปรากฏ กายหยาบปรากฏ
    แต่ขันธ์นอก(กายหยาบ)ขันธ์ใน(กายละเอียด)เหมือนกันคือจิตยังยึดขันธ์ มีความยินดียินร้ายปรากฏ มีรูปลักษณะปรากฏ

    จุดของภวังค์เป็นจุดกำเนิดชาติภพคือเวลาตายจิตมันจะวิ่งเข้าหาภวังค์เพื่อทิ้งกายหยาบที่เสื่อมลงไปตามกาลเวลา จิตมันจะทิ้งทันทีและจะไปวิ่งหาอามณ์ใหม่ ภพใหม่ เพื่อยึดอารมณ์นั้นๆเป็นภพ สันตติการส่งต่อจะสืบเนื่องโดยมีคตินิมิตอารมณ์มั่นหมายปรากฏ

    การที่อ้องให้ฝึกก่อนตาย...
    คือให้รู้จักปล่อยวางในยามนอน ไม่ใช่เอาแต่คิด เอาแต่ปรุงแต่งเพ้อฝัน
    ปล่อยวางลง แล้วฝึกว่าเราจะตื่นอีกไม๊ในวันพรุ่ง...

    คืนนี้เราหลับก็เหมือนคนที่ตาย...
    ถ้าตายแบมีสติก็ไปดี
    ถ้าตายแบบหลงแม้หลับก็เคียดแค้นผูกโกรธถ้าตายไปก็ลงนรก
    ถ้าตายแบบฝันปรุงแต่งไปด้วยราคะโลภตายไปก็ไปเป็นอสูรกาย เปรต
    ถ้าตายไปในขณะเอาแต่นึกคิดวุ่นวายไม่ปล่อยวางก็เป็นสัตว์เดรฉาน

    ดังนั้นที่อ้องให้พวกเราฝึกฌานหลับดูลมหายใจแบบสบายๆแล้วหลับไป
    ช่วงที่หลับไปบางวันเราจะรู้สึกกำลังและจะตื่นในฝันได้ หรือวิ่งเล่นและอยากจะทำอะไรก็ได้ตามจิตที่มีกำลัง

    จิตที่เข้าไปเสวยภพละเอียดเหล่านี้คือพรหมและสมมุติเทพเจ้าทั้งหลาย
    แค่เรานอนทุกวันแล้วปล่อยวางตามรู้ลมจนหลับไปก็แค่นั้น
    ยามที่เราตายด้วยอำนาจ ด้วยการฝึกอบรม เตือนตนมาก่อน

    เราจะตายอย่างสง่าผ่าเผย ตายอย่างมีสติ สุขคติภพย่อมปรากฏครับ
    อนุโมทนาครับ
    คุณโมกลา
    อ้องครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...