วัตถุมงคลยอดขลัง พลังเวทสุดมหัศจรรย์"หลวงพ่อผินะ ปิยธโร"

คุณพรสวรรค์สรรหาช่วยดูกะลาชิ้นนี้ให้หน่อย

(ping)อยากรู้ที่มาที่ไปและประดับความรู้

 

พระสวยๆ.........:boo:

 

รบกวนถามผู้รู้หน่อยนะครับว่า พระพิมพ์ปลดหนี้ (เต่า-วัว) มีกี่พิมพ์ครับ เพราะผมเพิ่งได้มาแต่ยังไม่แน่ใจ เพราะบางที่ที่นำมาลงผมเห็นมี 1 ขีดบ้าง 2 ขีดบ้าง
รบกวนด้วยนะครับ

 

ผมมีแบบ2ขีดตามรูป ครับ

 

ติดตามอ่านมานานแล้วค่ะ เพิ่งมีโอกาสเขียนนี่แระ พระสวยมาก ๆ ค่ะ

 

กราบกราบกราบกลวงปู่ผินะ

 

อยากได้บ้างครับ

อยากบูชาบ้างจัง
แนะนำหน่อยครับ
เกี่ยวกับหน้าที่การ
บูชาอะไรดี

 

เรื่อง ตามรอยหลวงพ่อ ผินะ ฯ ที่ท่าเกย

ขอกราบแทบเท้า พ่อ แม่ ครู อาจารย์ ด้วยเศียรเกล้าฯต่อ หลวงพ่อ ผินะ ปิยธโร ด้วยน้อมจิตรอย่างสูง
ถ้าหากว่า คุณไม่เป็นผู้สร้างสรรค์ ก็จงอย่าเป็นผู้ทำลาย​

ปี พ.ศ ๒๕๑๗ หลังจาก หลวงพ่อ ผินะ ฯ ออกเดินทางจากถ้ำ แก้วสุรการณต์ อ. ลานสกา จ นครศรีธรรมราชก็ได้มุ่งหน้าสู่ทางทิศเหนือของประเทศไทย ไปแวะเวียนที่ วัดตายม แล้วก็ไปที่ วัดวังหลุม จ. พิจิตร ณ ที่ศาลาการเปรียญวัดวังหลุม นี้ หลวงพ่อผินะ ฯ ได้นำศพจากโรงพยามบาล(เรียกอาจารย์ใหญ่)ไปผ่าชำแหระวินิฉัยดูว่า“อะไรเป็นเรา”ตามที่พุทธองค์ สัพพัญญู ตรัสว่า “สัตว์ตัวตนบุคคลเราเขาไม่มี”ก็เหตุที่เกิดขึ้นตอนนี้ก็เปลี่ยนฉายาใหม่เป็น “ผาสุวิหาโร”หลวงพ่อ ผินะ ฯ ก็เดินทางมาที่หนองไผ่ จ. เพชรบูรณ์ บังเอิญ อาว์คำ หาญสาริกิจ น้องชายของบิดา หลวงพ่อ ผินะ ฯ ได้นิมนต์ไปที่ถ้ำท่าเกยเพื่อขอให้ช่วยสร้างวัดท่าเกย ตอนนั้น พระอาจารย์แสวงฯ ได้บูรณะถ้ำท่าเกยอยู่ก่อนแล้ว มีชื่อเรียกว่า[COLOR=#f79646]ถ้ำแสงจันทร์[/COLOR] ที่นี้พระอาจารย์แสวงฯได้ออกจากถ้ำแสงจันทร์ไป ก็มีหลวงพ่อพรฯอยู่ดูแลรักษาถ้ำต่อมา....<o></o>​

 

อันนี้ยกนิ้วให้เลยค่ะ

 

ไม่ทราบว่าดาวหลวงพ่อผินะเขาดูยังไงค่ะว่าจริงหรือปลอม พอบอกจุดสังเกตุบ้างได้ป่าวค่ะ

 

พี่พรสวรรค์ ไม่ทราบว่าพี่มีรูปพระพุทธรูปในถ้ำแสงจันทร์รึเปล่าครับ อยากเห็นนะครับเพราะเป็นพระที่หลวงพ่อสร้างใช่ไหมครับ ผมไม่เคยไปเลย ทั้งๆที่ผมเกิดที่นั้น แต่ผมย้ายมาอยู่ กทม. นานแล้ว

 

พี่พรสวรรค์ ไม่ทราบว่าพี่มีรูปพระพุทธรูปในถ้ำแสงจันทร์รึเปล่าครับ อยากเห็นนะครับเพราะเป็นพระที่หลวงพ่อสร้างใช่ไหมครับ ผมไม่เคยไปเลย ทั้งๆที่ผมเกิดที่นั้น แต่ผมย้ายมาอยู่ กทม. นานแล้ว

 

เรื่อง ตามรอยหลวงพ่อผินะฯ ที่ท่าเกย

ขอกราบแทบเท้า พ่อแม่ครูอาจารย์ด้วยเศียรเกล้าฯต่อหลวงพ่อผินะ ปิยธโร น้อมจิตต์เป็นอย่างสูงยิ่ง
ถ้าหากว่าคุณไม่เป็นผู้สร้างสรรค์ ก็ขอจงอย่าได้เป็นผู้ทำลาย​

เมื่อเดินทางเข้าสู่ภายในถ้ำท่าเกย(ถ้ำแสงจันทร์)เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ได้สำรวจพบเห็นสิ่งที่เป็นมงคลหลายอย่าง แหละในระหว่างหลวงพ่อผินะฯ ได้เข้าฌานทำความเพียรค้นหาตัวเราเองอยู่นั้น ก็ได้นิมิต เห็นสวรรค์ชั้นต่างๆขึ้น จึงได้คิดปรารภที่จะเปลี่ยนชื่อถ้ำท่าเกยเสียใหม่ว่า “ ถ้ำนิรมิตประดิษฐ์สวรรค์” โดยดำริจัดสร้างตึกกายวิภาค ภายในถ้ำแสงจันทร์แห่งนี้ขึ้น โดยใช้สรรพนามว่า “ พระจริง” หรือชื่อที่เรียกว่า “พระอาจารย์ อายะตะนะ (นะ) ผาสุวิหาโร แห่งถ้ำนิรมิตประดิษฐ์สวรรค์ (ท่าเกย) ต.สามแยก อ.วิเชียรบุรี จ.เพชรบูรณ์ แล้วก็สร้างตึกกายวิภาค ขึ้นภายในถ้ำ โดยอาศัยธรรมบรรยายซ้อนธรรมอยู่ ดังจะอธิบายในตอนต่อไป.<o></o>​

 

เรื่อง ตามรอยหลวงพ่อผินะฯ ที่ท่าเกย

ขอกราบแทบเท้าพ่อแม่ครูอาจารย์ด้วยเศียรเกล้าฯ ต่อหลวงพ่อผินะ ปิยธโร น้อมจิตต์เป็นอย่างสูงยิ่ง
ถ้าหากว่าคุณไม่เป็นผู้สร้างสรรค์ ก็ขอจงอย่าได้เป็นผู้ทำลาย​

เมื่อหลวงพ่อผินะฯ ให้ช่างปรับพื้นที่เทฐานล่างที่ตั้งตึกกายวิภาคแล้ว ท่านก็ได้นิมิต ว่า ฐานทั้งหมดเป็น ๖ เหลี่ยม อันหมายถึง รูปธาตุทั้ง ๖ คือมหาภูตรูป ๔ และก็อากาศธาตุ กับวิญญาณธาตุ แล้วตรงกลางจะเป็นเสาใหญ่ ๖ เหลี่ยม วัดโดยรอบได้ ๑๐๐ นิ้วฟุต หมายความว่า ธาตุ ๖ ขันธ์ ๕ รูปนามรวามเรียก ว่า ตัวตนบุคคลนี้ จะคงอยู่ได้อย่างนานก็ไม่เกิน ๑๐๐ ปี ต้องมีอันแตกดับ ห่างจากฐานล่างโครงเสาออกไป ด้านละ ๖ ศอก อันหมายถึงการที่จะเชื่อมต่อวิญญาณทั้ง ๖ ตั้งเสารายอีก ๑๒ ต้นเพื่อรองรับคานบนซึ่งทำเป็นเหมือนลูกศร คานบนทั้ง ๑๒ ต้นนั้น ก็เปรียบเสมือน อายะตะนะ ๑๒ ซึ่งจะเสียบปลายศรตรงข้ามกัน ๖ คู่ ได้แก่ ตาต่อกับรูป, หูต่อกับเสียง, จมูกต่อกับกลิ่น, ลิ้นต่อกับรส, กายต่อกับสัมผัส เย็นร้อนอ่อนแข็ง นิ่มนวล, ใจต่อด้วยธรรมารมย์. ท่านหลวงพ่อผินะ ฯ แสดงไว้ว่า ที่ตั้งของร่างกายขันธ์ ๕ รูปนาม ธาตุ ๖ เป็นที่ประชุมกันเป็นโครงสร้างแห่งร่างกาย(เรียกตัวตนเรา) ส่วนด้านล่างที่ติดกับพื้นดินนี้เรียกว่า ปฐวีธาตุ มีองค์ประกอบด้วยส่วนแข็ง ประกอบด้วยธาตุดิน ๒๐ เช่น ผม, ขน, เล็บ, ฟัน, หนัง, เนื้อ, เอ็น, กระดูก, ม้าม, หัวใจ, ตับ, พังผืด, ไต, ปอด, ลำไส้ใหญ่, ลำไส้น้อย,อาหารใหม่, อาหารเก่า, เยื่อมันสมองในกะโหลกศรีษะ กระบอกหู กระบอกตา.<o></o>หลวงพ่อผินะฯ ท่านเปรียบว่าชั้นล่างสุดนี้ เป็นสวรรค์ชั้นที่ ๑. ซึ่งเรียกว่าชั้นจาตุม มีท่านท้าวจาตุมมหาราชเป็นผู้ดูแล เปรียบเป็นเทพเทวา สัตว์ที่มาอุบัติเป็นเทวดาชั้นนี้ ตามตำนานกล่าวว่า “ไม่อาจเกิดเป็นโอปะปาติกะได้” ท่านก็เปรียบเทียบอีกว่า ส่วนฐานล่างของตึกกายวิภาคนี้ เหมือนตัวฅน คือ ตั้งแต่ เท้าขึ้นมาถึงต้นขา(ข้อกระโพก) จรดจะงอยก้น เป็นชั้นที่ ๑.เป็นส่วนที่แข็งแรงรับน้ำหนักมาก ในระหว่างดำเนินการสร้างตึกกายวิภาคอยู่นี้ ก็จะมีสามเณร คอยรับใช้ ๒ รูป คือ สามเณรยศฯ และสามเณรประจวบฯ และก็ฝึกสามเณรทั้ง ๒ รูป ให้เข้าฌานหาเราให้เจอ โดยได้สอนวิชา “ด่าไม่โกรธ” ควบคู่ไปด้วย...<o></o>
<o></o>​

 

เรื่อง ตามรอยหลวงพ่อผินะ ฯ ที่ท่าเกย

ขอกราบแทบเท้า พ่อแม่ครูอาจารย์ด้วยเศียรเกล้า ฯ ต่อหลวงพ่อผินะ ปิยธโร ด้วยน้อมจิตต์คารวะเป็นอย่างสูงยิ่ง.​

ถ้าหากว่าคุณไม่เป็นผู้สร้างสรรค์ ก็ขอจงอย่าเป็นผู้ทำลาย<o></o>​

<o>เมื่อสวรรค์ชั้นแรก เรียก “จาตุม” เป็นภูมิที่อยู่ติดกันกับมนุษย์ อันว่ามนุษย์ ก็มาจากผู้ที่มีจิตใจสูง และมีศีลมีทานสั่งสม และเหตุที่ทำมนุษย์ให้เป็นเทวดา ก็คือผลของการที่มนุษย์มี หิริ .. คือความละอายต่อบาปอกุศลกรรม และโอตตัปปะ..ความเกรงกลัวต่อบาปกรรม ถ้าขึ้นชื่อว่า”ความชั่ว” แล้ว ก็จะไม่ทำโดยเด็ดขาด ประพฤติวัตรปฏิบัติศีล ๕.เป็นต้น เพราะด้วยเหตุดังกล่าว ผู้ที่จะเดินทางก้าวขึ้นสู่สวรรค์ชั้นต่างๆได้ก็ต้องอาศัยศีล ๕. เป็นพื้นฐาน และเจริญปฏิบัติในทางเดินมรรคมีองค์ ๘. เพื่อให้เห็นชัดและจำได้ง่าย หลวงพ่อผินะ ฯ ก็สร้างบันไดขึ้นสวรรค์ชั้นที่ ๒. เรียกสวรรค์ชั้น “ดาวดึงส์” โดยมีบันไดฐานแรกขึ้น ๕ ขั้น หมายถึง ศีล ๕. นำพา, และต่ออีกฐานก็เป็นบันไดขึ้น ๘ ขั้น หมายถึง มรรคมีองค์ ๘. และก็เป็นทางเข้าไปในบริเวณตึกกายวิภาค</o>
ตึกกายวิภาคชั้นที่ ๒ นี้ ประกอบด้วย เสาราย ๖ ต้นโดยรอบ หมายถึง ธาตุ ๖ ภายนอก คือ รูป, เสียง, กลิ่น, รส, สัมผัส, นิกคิด. ภายในจะเป็นเสาค้ำ เรียกแม่ศรีไฟ มี ๑๒ ต้นด้วยกัน เสียบออกจากโคนเสากลาง ไปเสียบค้ำเสารายรอบนอกทั้ง ๑๒ ช่อง ซึ่งหมายถึง ธาตุภายในที่อาศัยต่อเนื่องจากภายนอกเรียก วิญญาณธาตุ คือ จักษุธาตุ กับ จักษุวิญญาณธาตุ, โสตะธาตุ กับ โสตะวิญญาณธาตุ, ฆานะธาตุ กับ ฆานะวิญญาณธาตุ, ชิวหาธาตุ กับ ชิวหาวิญญาณธาตุ, กายะธาตุ กับ กายะวิญญาณธาตุ, มโนธาตุ กับ มโนวิญญาณธาตุ.โดยธรรมแล้ว ชั้นที่ ๒ ของตึกกายวิภาคนี้ ประกอบด้วยองค์ธรรม ธาตุ ๑๘ นั่นเอง.<o></o>
ระหว่างเสาราย ๖ ต้นชั้นที่ ๒ นี้จะมีบ่อเก็บน้ำไว้ใช้อีก ๑๒ บ่อด้วยกัน ก็หมายถึงว่า ส่วนที่เป็นน้ำในร่างกายเรานี้มีด้วยกัน ๑๒ อย่าง คือน้ำดี, เสลด, น้ำเหลือง, เลือด, เหงื่อ, มันข้น, น้ำตา, มันเหลว, น้ำลาย, น้ำมูกคาวปลา, ไขข้อ, เยี่ยว..<o></o>
และจะมีสะพานยื่นออกนอกตัวตึกกายวิภาค ชั้น ๒ (ดาวดึงส์) นี้ เรียกสะพานยื่นไปถ้ำดาวดึงส์ยาว ๑๐ เมตร หมายถึง สัญญา ๑๐ มีเสารองรับ ๑ ต้น มีราวสะพานเป็นลูกกรง ๒ ข้างๆละ ๑๖ ลูก รวมเป็น ๓๒ ลูกเรียกว่าทอดยาวไปสู่อาการ ๓๒.<o></o>
ทีนี้ท่านหลวงพ่อผินะฯ ได้เปรียบเทียบกับสวรรค์ชั้นดาวดึงส์นี้ จะมีความเป็นอยู่อย่างสุขสบาย สนุกสนาน รื่นเริงบันเทิงใจ อิ่มเอมไปด้วยกามคุณต่างๆ เพราะมีอานิสงส์ที่ทำไว้ในชั้นมนุษย์ สวรรค์ชั้นดาวดึงส์นี้ จะมีท้าวสักกะเทวราช เป็นใหญ่ หรืออีกนัยเรียกว่า “พระอินทร์” ขอย้อนศัพท์ความหมายอีกสักนิด คำว่า “อินนะ” แปลความว่า บริโภค หมายความว่ารับเข้า มีด้วยกัน ๓ ประการ คือ.-<o></o>
กามบริโภค, ทรัพย์บริโภค, ปัญญาบริโภค. เพราะเหตุนี้พระอินทร์จึงมีมเหสีถึง ๔ องค์ และมีบริวารอีกมาก และพระอินทร์ก็มักมากในกามราคะอีกด้วย ดังตำนานนิทานที่ว่าเรื่อง<o></o>
พระอินทร์เป็นชู้กับเมียตาฤาษี <o></o>
เรื่องว่า ครั้งหนึ่ง มีฤาษีตนหนึ่ง กำลังต้มน้ำให้สุกเพื่อดื่ม บังเอิญไฟฟืนที่ใช้ต้มน้ำก็ไม่รุกแรงดังใจ แถมเป็นไม้ต้นทองหลางผุๆอีก บังเอิญหม้อน้ำที่ต้มบนไฟนั้น เอียงตกลงไปในกองไฟ ไฟก็มอด ฤาษีก็บ่นว่า “ถ้ามีฅนต้มน้ำให้ก็ดีน๊อ” ทันทีนั้นท่านฤาษีก็หยิบท่อนไม้ทองหลาง โยนไปข้างหน้า ก็ปรากฏเป็นหญิงสาวสวยคราวรุ่นยืนอยู่ตรงหน้า แล้วเอ่ยถามฤาษีว่า<o></o>
“พระเจ้าตาจะให้หนูช่วยทำอะไร?” ฤาษีก็บอกว่า ช่วยต้มน้ำให้ตาหน่อย และอะไรก็ได้ที่ช่วยได้<o></o>
ทีนี้ พระอินทร์ได้เห็นหญิงสาวสวยอยู่ด้วยกับตาฤาษี ก็คิดว่าตาฤาษีมีเมียสาวสวยด้วย พระอินทร์ก็ยินดีในตัวนางหวังเสพสุขกามคุณต่อนาง จึงได้แอบมาพบเธอ ท่านตาฤาษีหรี่ตา ก็เห็นพระอินทร์จะมายุ่งกับท่อนไม้ของท่าน จึงแกล้งนิ่งเฉยเสีย และแล้วพระอินทร์ก็แอบได้เสียกับสาวสวยของตาฤาษีที่เสกด้วยท่อนไม้ เมื่อเสพสมเสร็จ ตัวพระอินทร์ก็เต็มไปด้วยรูปโยนี เต็มหน้าเต็มตัวเต็มหัวเต็มหู ตามแข้งตามขาก็มีด้วย รวมเป็น ๑,๐๐๐. อัน พระอินทร์ก็แอบหลบไป ทีนี้โดยฤทธิ์แล้ว พระอินทร์ปัดเช่นไร รูปโยนีก็มิอาจหายจากกายไปได้ ครั้นใกล้วันที่จะตรวจอุโบสถศีล พระอินทร์จึงได้กลับไปหาตาฤาษี กล่าวขอโทษตาฤาษี และให้ช่วยปลดปล่อยรูปโยนีออกจากรูปร่างพระอินทร์ให้ด้วย ว่า “พระเจ้าตาช่วยด้วย” ตาฤาษีก็จะสอนธรรมให้พระอินทร์ได้ทราบและเข้าใจ จึงเอ่ยว่า “ได้จะช่วยให้” <o></o>
ทีนี้ตาฤาษีก็เพ่งไปที่พระอินทร์ รูปโยนีที่ติดตามตัวหัวหูแข้งขา ก็กลับกลายเป็นลูกตามนุษย์อีก ๑,๐๐๐.ตา ตอนนี้พระอินทร์ก็กลายเป็นท้าว ๑,๐๐๐.ตา หรือที่เรียกว่า “ท้าวสหัสนัย” ทีนี้ก็ใกล้เวลาที่จะไปตรวจอบุโบสถศีล พระอินทร์ก็ยังอายที่มีลูกตามากมาย และก็ไม่อาจลบหายไปได้ จึงกลับไปหาท่านฤาษีใหม่ ไปอ้อนวอนขอร้องท่านตาฤาษีให้ช่วยอีกที เพราะอายประชาชีมาก ท่านตาฤาษีก็ไม่ปฏิเสธ แต่ต้องสัญญาว่า”ต่อไปจะไม่ทำเช่นที่ผ่านมาอีก และก็ต้องเหลือดวงตาหนึ่งดวงเป็นสัญญาลักษณ์ คือ ตาที่หน้าผาก เรียกตาที่สาม เป็นรูปรียาว ดูแล้วคล้ายๆรูปโยนี” เรื่องนี้มีในตำนานบกพร่องประการใดผู้รู้โปรดอภัยด้วย. ด้วยเหตุนี้..หลวงพ่อผินะฯ จึงไม่ได้สร้างของขลังที่เป็นรูปตาพระอินทร์ (รูปโยนี) แม้แต่ชิ้นเดียว. (ยังไม่จบแค่นี้ยังมีต่อหลายตอน).<o></o>
<o>
</o>​

 

สวยๆ

เกี่ยวกับสมเด็จ09ก้อมีประสบการณ์เยอะครับ ไม่ค่อยได้คุยในเวป
คุยนอกเว็ปได้นะครับประสบการณ์ต่างๆ0899883183

 

สำหรับคนอยากมีเคดิท......:boo:

 

เรื่อง ตามรอยหลวงพ่อผินะฯ ที่ท่าเกย

ถ้าคุณไม่เป็นผู้สร้างสรรค์ ก็จงอย่าเป็นผู้ทำลาย<o></o>​

<o>ท่านหลวงพ่อผินะฯ ได้เปรียบเทียบตึกกายวิภาคชั้นที่ ๒ นี้ไว้เสมือนตัวตนตั้งแต่โคนขาขึ้นมาและตั้งแต่ก้นขึ้นมาถึงหน้าท้อง ช่วงชายโครง จะมีอวัยวะอยู่ภายในเช่น ตับ,ไต ,ไส้,พุง, ม้าม, กระเพาะขี้, กระเพาะเยี่ยว, เนื้อสะโพก, และพวงสวรรค์, เนินสวรรค์, เพื่อเป็นที่ให้ทราบชัด หลวงพ่อผินะฯ ก็ได้นำอุปกรณ์ในการสอนคือ ชื้นส่วนจากศพที่นำมาจากโรงพยาบาล (เรียกอาจารย์ใหญ่) ตัวอย่าง เช่นตับ หลวงพ่อผินะฯ ก็ได้นำเอา ตับ ของสัตว์แต่ละชนิด ใส่ภาชนะเรียงกันให้บรรพชิตและคฤหัสถ์ได้ชมและอธิบายว่า ตับทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นตับ วัว, ตับควาย, ตับหมู, ตับเป็ด, ตับไก่,หรือตับมนุษย์ ฯลฯ.จะมีหน้าที่ในกานดูดซึมซับธาตุอาหารในลำไส้ ในกระเพาะอาหาร ในกล้ามเนื้อ ในส่วนต่างๆของร่างกายเหมือนๆกันทั้งหมดไม่คนหรือสัตว์....<o></o></o>​

 

เรื่อง ตามรอยหลวงพ่อผินะฯ ที่ท่าเกย

ถ้าคุณไม่เป็นผู้สร้างสรรค์ ก็จงอย่าเป็นผู้ทำลาย<o></o>​

<o>ไต..หลวงพ่อผินะฯ ก็อธิบายขยายความว่า ไต มีหน้า ที่ในการขับถ่ายสิ่งของที่เสียภายในร่างกายออกมา.. </o>ลำไส้ หลวงพ่อผินะฯ ได้ อธิบายชี้แจงให้ทราบว่า ไส้คนเรานี้ยาวโดยประมาณ ๒๔ ฟุตคือตั้งแต่ คอ ถึงกระเพาะอาหารยาว ๑ ฟุต จากกระเพาะอาหารเป็นลำไส้แก่ ๒๐ ฟุต เป็นลำไส้อ่อน๒ ฟุต มีไส้ติ่งด้วย ต่อไปเป็นลำไส้ใหญ่ (กระบอกขี้)อีก ๑๐ นิ้วฟุต.. (สำหรับเก็บอาหารที่จะขับถ่ายออกมาเป็นอุจจาระ) ภายในลำไส้นี้ ก็จะมีเสลดอยู่เต็ม ไปหมด ม้าม..ห้อยอยู่ติดตับ แลบมานิดหน่อย มีหน้าที่ในการกลั่นเลือดที่ออกมาจากตับไปเป็นเลือด ข้นขาว เป็นอสุจิ แล้วส่งไปตามท่อเก็บเชื้อ อสุจิ บริเวณที่ขาหนีบที่สองข้าง กระบอกขี้... (ลำไส้ใหญ่เก็บกากอาหารเมื่อไฟธาตุเผาผลาญอาหารให้ย่อยสลายไปแล้ว..)กระเพาปัสสาวะ..( เยี่ยว ) น้ำในร่างกาย เมื่อใช่ประโยชน์เสร็จแล้ว ก็จะถูกขับออกจากร่างการ โดยทางผิวหนังบ้าง ออกทางช่องปัสสาวะบ้าง ส่วนเหลือก็เก็บอยู่ที่กระเพาะปัสสาวะ..เนื้อสะโพก...บริเวณก้นสะโพกนี้จะเป็นบริเวณที่มีเนื้อมากที่สุด...<o></o>​

พวงสวรรค์ (เครื่องเพศชาย) ประกอบด้วยลึงค์หัวเห็ด และลูกอัณฑะอีก ๒ ลูก เนินสวรรค์ (เครื่องเพศหญิง) จะมีเนินสวรรค์อยู่ระหว่างขาหนีบทั้งสองข้างไปถึงรูทวาร จะเป็นรอยบุ๋มมีร่อง เหนือร่องจะมีตุ่มสวรรค์ (เรียกเม็ด) ลึกไปอีกนิดจะเป็นรูเข้ารูออก เรียกว่า “ ช่องคลอด”สะพานที่ยื่นออกจากตัวตึกกายวิภาคที่ชั้น ๒ นั้น เปรียบเหมือนท่อองค์กำเนิด มุ่งเข้าไปสู่ถ้ำสวรรค์ ซึ่งมีลูกกรง ๒ ข้างๆ ๑๖ ลูกรวมเป็น ๓๒ ลูกหมายถึงทางเดินไปสู่อาการ ๓๒ เมื่อเดินทางไปถึงถ้ำสวรรค์ ก็จะพบตุ่มน้ำ ๑ ตุ่มด้านหน้าท่านบอกว่า “อย่าไปกระทบตุ่มเดี๋ยวตุ่มแตก” สะพานนี้เรียกว่าสะพานพาไปเกิด หรือทางที่ทำให้เกิด เปรียบเหมือนองค์ชาติ ซึ่งมีหน้าที่พายีนส์ไปสู่ไข่เช่นนั้น ท่านหลวงพ่อ เปรียบว่า ถ้าเป็นของมนุษย์ เรียกย่อว่า องค์กำเนิด, พ่อหัวหอม, หรือ “พ่อฅนทั้งโลก” ฅนเราจะเกิดจากลึงค์ทั้งนั้น เว้นแต่ตำนานพระเจ้าสิบชาติ ตอนพระเจ้าเสวยชาติเป็น “สุวรรณสาม” นั้น จะเกิดจากฝ่ามือบิดาลูบท้องมารดา เพราะบิดาและมารดาเป็นฤาษีทั้งคู่ เพราะเหตุนี้ หลวงพ่อผินะฯ จึงได้สร้างสัญญาลักษณะองค์กำเนิดขึ้น ทำด้วยไม้ต่างๆกัน ต่างปี พ.ศ. ต่างแห่ง และต่างสถานที่ก็จะไม่ซ้ำแบบกัน เพื่อเป็นอนุสรณ์เตือนใจเราท่านทั้งหลายส่วนเรื่อง “ลึงค์พระอินทร์” จะมีลักษณะคล้ายๆหัวชะมด นั้น สร้างขึ้นตามนิมิต ท่านเล่าว่า ลึงค์พระอินทร์เป็นพิเศษมากคือ มีหู, มีตา, มีปาก, มีจมูก, มีลิ้น, มีฟันมีเขี้ยว. ที่สำคัญมีเมียมาก, มีทรัพย์มาก,และมีปัญญามากด้วย ท่านจึงให้เป็น “ เทวตานุสสติ “ และฝากผู้มีปัญญาพิจารณาด้วย.

​

 

เรื่อง ตามรอยหลวงพ่อผินะฯ ที่ท่าเกย

ถ้าคุณไม่เป็นผู้สร้างสรรค์ ก็ขอจงอย่าเป็นผู้ทำลาย​

จากชั้นที่ ๒ ของตึกกายวิภาค จะมีบันได ขึ้นไปชั้นที่ ๓ มี๑๐ขั้นหมายถึงทางไปสู่พระสัทธรรม ๑๐ ชั้นนี้จะประกอบไปด้วย เสากลางรูป ๖ เหลี่ยม เสารายก็จะมี ๖ ต้น เทคานรับสัมผัสทั้ง ๖ต้น เป็น ๖ เหลี่ยม แบ่งได้เป็น ๖ ช่องใหญ่ แต่ละช่องมีลูกกรงอยู่ ๕ ลูกด้วยกัน ความหมายก็คือ มีธรรม ๕ หมวด อธิบายรวมกันได้แก่..<o></o>
อายะตะนะ ภายใน ๖ (อินทรีย์ ๖) เครื่องต่อภายใน.<o></o>
อายะตะนะ ภายนอก ๖ (อารมณ์ ๖) เครื่องต่อภายนอก.<o></o>
วิญญาณ ๖ ความรู้แจ้งในอารมณ์.<o></o>
ผัสสะ ๖ การกระทบที่ให้เกิดความรู้สึก.<o></o>
เวทนา ๖ ความรู้สึก หรือ เสพอารมณ์.<o></o>
๑. อายะตะนะ ภายใน ๖ หรืออินทรีย์ ๖ คือ จักขุนทรีย์(ตา), โสตินทรีย์ (หู), ฆานินทรีย์ (จมูก), ชิวหินทรีย์ (ลิ้น), กายินทรีย์ (กาย), มนินทรีย์ (ใจ).<o></o>
๒.อายะตะนะ ภายนอก ๖ หรืออารมณ์ ๖ คือ รูปารมณ์ (รูป), สัททารมณ์ (เสียง), ฆันทารมณ์ (กลิ่น), รสารมณ์ (รส), โผฏฐัพพารมณ์ (ทางกาย), ธัมมารมณ์ (ทางใจ)
๓. วิญญาณ ๖ หรือ จิตที่รับรู้ทางอายะตะนะ ๖ คือ จักขุวิญญาณ (รู้ทางตา), โสตวิญญาณ (รู้ทางหู), ฆานวิญญาณ (รู้ทางจมูก), ชิวหาวิญญาณ (รู้ทางลิ้น), กายวิญญาณ (รู้ทางกาย), มโนวิญญาณ (รู้ทางใจ).
๔. สัมผัส ๖ หรือ การกระทบทางอายะตะนะ ๖ คือ จักขุสัมผัส (สัมผัสตา), โสตสัมผัส (สัมผัสหู), ฆานสัมผัส (สัมผัสจมูก), ชิวหาสัมผัส (สัมผัสลิ้น), กายสัมผัส (สัมผัสกาย), มโนสัมผัส (สัมผัสใจ).
๕. เวทนา ๖ หรือ ความรู้สึกที่เกิดขึ้นจากการสัมผัสทางอายะตะนะ มี ๖ ด้วยกัน คือ.
เวทนาที่เสวยอารมณ์ทางตา (จักขุสัมผัสสชาเวทนา),<o></o>
เวทนาที่เสวยอารมณ์ทางหู (โสตสัมผัสสชาเวทนา),<o></o>
เวทนาที่เสวยอารมณ์ทางจมูก (ฆานสัมผัสสชเวทนา).
เวทนาที่เสวยอารมณ์ทางลิ้น (ชิวหาสัมผัสสชเวทนา),<o></o>
เวทนาที่เสวยอารมณ์ทางกาย (กายสัมผัสสชาเวทนา)<o></o>
เวทนาที่เสวยอารมณ์ทางใจ (มโนสัมผัสสชาเวทนา).<o></o>
เมื่อองค์ธรรมที่เจริญแก่กล้าในชันนี้แล้ว ก็มีองค์ธรรมที่ประกอบการเจริญต่ออีก ๒๒ อย่าง คือ อินทรีย์ ๒๒ อันได้แก่<o></o>
จักขุนทรีย, โสตินทรีย, ฆานินทรีย, ชิวหินทรีย, กายินทรีย, มนินทรีย, อิตถินทรีย, ปุริสินทรีย, ชีวิตตินทรีย, สุขขินทรีย, ทุกขินทรีย, โสมานัสสินทรีย, โทมานัสสินทรีย, อุเบกขินทรีย, สัทธินทรีย, วิริยินทรีย, สตินทรีย, สมาธินทรีย, ปัญญินทรีย, อะนัญญะตัญญัสสามีตินทรีย, อัญญินทรีย, อัยยษตาอินทรีย. <o></o>
หลวงพ่อผินะฯ ท่านเปรียบเทียบกับตึกกายวิภาคชั้นที่ ๓ นี้ ว่า เป็นช่วงระหว่าง พุงขึ้นมาถึงหัวไหล่ คือตั้งแต่ชายโครงสุดสองข้างขึ้นมา จะมีซี่โครงข้างละ ๑๐ ซี่ และซี่โครงลอยอีกข้างละ ๒ ซี่ พร้อมกระดูกหน้าอกกลางต่อซี่โครงทั้งหมด ๑ ชิ้น รวมเป็น ๒๕ ชิ้นด้วยกัน ภายในจะมีที่ตั้งของ หัวใจ ๑ ลูก และก็มีปอด อยู่คับซี่โครงทั้งสองข้าง โดยข้างขวาจะมี ๓ ช่วง ข้างซ้ายจะมี ๒ ช่วง รวมปอดมี ๕ ช่วง ทรวงอกก็จะมีหลอดเลือด ทั้งเส้นเลือดดำและเส้นเลือดแดง จากปอดและหัวใจ พร้อมเส้นเลือดใหญ่ ส่วนหลอดอาหารก็ลงไปสู่กระเพาะอาหาร ดังนี้โดยประมาณ.<o></o>​