วิชชาที่จะทำให้อยู่รอดจากยุคสมัยแห่งภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย kananun, 17 กรกฎาคม 2006.

  1. takamura15

    takamura15 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    27
    ค่าพลัง:
    +34
    พึ่งคิดได้ครับ พี่ไม่มาสอนที่พะเยาบ้างหรือครับจะได้ไปฝึกกับพี่บ้างถ้าจะขึ้นมาสอนที่พะเยาเมื่อไหร่บอกนะครับจะได้ชวนญาติไปฝึกด้วย มาเร็วๆ หน่อยก็ดีนะครับกลัวจะใช้งานไม่ทัน
     
  2. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    มีโอกาสคงได้ขึ้นไปสอนสมาธิให้ทางเหนือครับ
     
  3. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    [SIZE=-1]ถอดความการบรรยายธรรม พลังจิตตานุภาพ โดย อ.คณานันท์
    ดังนั้นความเป็นสัมมาทิฐิสำคัญที่สุด เป็นเข็มทิศนำทางสู่เส้นทางแห่งการปฏิบัติธรรมอย่างแท้จริง
    ให้เราทุกคนตั้งจิตอธิษฐาน
    “ขอให้ข้าพเจ้าจงมีจิตที่ตั้งมั่น มั่นคง อยู่ในความเป็นไตรสรณคมน์ ขอให้ดวงจิตของเราทรงอยู่ในความเป็นสัมมาทิฐิ สัมมาสมาธิ สัมมาปัญญา สัมมาปฏิบัติ ตลอดไป ตราบเท่าเข้าถึงซึ่งพระนิพพานเป็นที่สุดด้วยเทอญ” ...
    ขอให้ธรรมจักรจงหมุนจงเดินภายในดวงจิตของทุกคนเพื่อให้เกิดความไพบูลย์ ความเจริญงอกงาม ในความดี ในธรรมะ ขององค์พระสมณโคดมสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
    --เมื่อเรามีความตั้งมั่นในไตรสรณะคมน์ ความลังเลสงสัยในความดี เราปราศจากออกไปจากดวงจิตของเราแล้ว
    เรา ก็มาพิจารณาต่อไปในหนทางแห่งการปิดอบายภูมิ นั้นก็คือ การรักษาศีล การทรงศีลให้บริสุทธิ์ ทานที่มีผลมากคือ สังฆทาน คือทานที่เราให้กับหมู่สงฆ์เป็นส่วนรวม ดังนั้นทานที่เราให้กับสงฆ์เป็นส่วนรวมจึงเป็นทานที่มีอานิสงมีผลมาก
    ส่วน อีกประเภทคือ การให้ทานที่เป็นเลิศ อย่างเช่น เรารู้ว่าเราจะไปกราบพระสุปฏิปัณโณ เรารู้ว่าเราจะไปกราบพระอรหันต์ เราบรรจงทำอาหารที่ปราณีต ซึ่งโดยปกติเรากินของเราเองเราอาจจะกินข้าวราดแกง แต่เรารู้ว่า -การทำทานที่ปราณีต มีอานิสง มีผลเลิศ เราบรรจงทำอาหารอย่างปราณีตเต็มกำลัง หมายถึงอย่างไม่เบียดเบียนตัวเราด้วย คือกำลังของเราทำได้อย่างนี้ แต่เราทำให้ได้ดีให้ปราณีตที่สุดเท่าที่เราจะพึงทำได้ แต่ดีกว่าที่เรากิน ดีกว่าที่เราใช้ และน้อมถวายท่าน
    คราวนี้เวลาอานิสงฆ์ ผลที่จะได้ เวลาเราได้ของ จะได้อะไร เรามักจะได้แต่ของดีๆ ที่เราเองก็ไม่กล้าแม้แต่จะซื้อใช้เอง แต่คนอื่นกลับเอาของดีๆกว่าที่เราจะกล้าซื้อมาให้เรา หรือจับฉลากได้รางวัลดีๆมา ก็ด้วยเหตุแห่งการให้ทานอันปราณีต
    ดังนี้เราได้รู้แล้วว่าปัจจัยในการทำทานมีอะไรบ้าง
    หนึ่งผู้รับ มีความบริสุทธิ์สูง ทานก็มีอานิสงฆ์สูง
    ตัวทาน มีความปราณีตสูง อานิสงแห่งทานก็สูง
    และสุดท้ายคือ ผู้ให้ทาน คือตัวเราเอง
    ทำอย่างไรจึงจะให้ทานมี อานิสงสูงที่สุด นั่นคือ จิตใจของเรา
    ถ้าเราตั้งกำลังใจของเราให้เป็นกำลังใจให้สูงที่สุด ผู้ให้ทานมีความบริสุทธิ์ด้วย อานิสงก็ยิ่งสูงที่สุด ด้วย
    ทำอย่างไรผู้ให้ทานจึงจะมีความบริสุทธิ์สูง
    หนึ่ง เราตั้งกำลังใจว่า ขณะนี้เรากำลังจะทำทาน กำลังจะถวายทาน กำลังจะทำความดี เราย้อนกลับมาพิจารณาจิตเราว่า ตอนนี้ ขณะจิตนี้ ศีลของเราบริสุทธิ์ เราทรงศีลห้าบริสุทธิ์ ไม่ได้ฆ่าสัตว์ ไม่ได้ลักทรัพย์ ไม่ได้ประพฤติผิดในกาม ไม่ได้พูดปด ไม่ได้ดื่มสุรา ทรงอารมณ์ในว่าในขณะที่เราจะถวายทานนี้ เราทรงศีลอยู่อย่างบริสุทธิ์ ดังนี้เรียกว่าศีลเป็นเครื่องรักษาให้เราบริสุทธิ เป็นชั้นที่หนึ่ง
    ชั้นที่สอง เรากำหนดให้เป็นสมาธิ ก็คือเราทรงจิตอยู่ในฌาณ ความบริสุทธิ์ของจิต กำลังของจิตที่เป็นฌาณ ก็เป็นความบริสุทธิ์
    ข้อ ที่สาม เราทรงอารมณ์ใจว่าเราถวายทานเพื่อประโยชน์ เพื่อความสุข จิตของเรา ตั้งจิตว่าเราจะทรงอยู่ในพรหมวิหารสี่ และเราตั้งจิตว่า ทานที่เราจะทำนี้เราปรารถนาที่จะให้สรรพ สัตว์ทั้งหลาย มาร่วมยินดี มาร่วมโมทนา มาร่วมมีส่วนร่วมในบุญกุศลนี้ทุกประการ จิตเราทรงอยู่ในเมตตา ไม่มีขอบเขต แบ่งบุญไม่หวงบุญ
    --มี แต่เมตตา มีแต่ความแบ่งปัน จิตเรามีความบริสุทธิ์มั้ย ? จากนั้นถ้าจะเอาสูงกว่านั้น ......
    20-03-2009, 02:20 PM #2879 kananun
    อา นิสงค์แ้ห่งเมตตามีตั้งแต่ทางโลกไปจนถึงการบรรลุมรรคผลพระนิพพาน ด้วยจิต" เมตตาเจโตวิมุติ"จิตอันบรรลุหลุดพ้นด้วยอำนาจแห่งเมตตาช่วยถอดถอนกิเลส โลภะ โทสะ โมหะ ออกไปจากจิตของเรา มีเมตตาแล้วจิตเรามุ่งช่วยเหลือ สงเคราะห์ผู้อื่น ความโลภก็เบาบางลง มีเมตตาแล้วจิตของเราก็ไม่มุ่งร้ายเบียดเบียนใคร ความโกรธก็เบาบางลง
    มีเมตตาแล้วจิตของเรามองเห็นความเป็นเพื่อนทุกข์เกิดแก่เจ็บตาย ไม่ต่างกันในสังสารวัฏฏ์นี้
    ความหลงโมหะในจิตเราก็เบาบางลง จนบรรลุหลุดพ้นจากอาสวะกิเลสด้วยอำนาจแห่งเมตตาฌาน
    และ หากแม้นเราตั้งจิตปรารถนาซึ่งสัมมาสัมโพธิญาณในอนาคตกาลภายภาคเบื้องหน้า ด้วยอำนาจแห่งเมตตาฌานนี้เองจะเป็นเครื่องหล่อเลี้ยงบารมีหรือกำลังใจของเรา ให้ถึงจุดหมายได้
    [/SIZE]<!-- End main-->
     
  4. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    คราวนี้เราลองมาดูว่า เราจะทำสมาธินอนได้อย่างไร
    <!-- Main -->[SIZE=-1]หน้าที่ 126 จากทั้งหมด 145 หน้า
    20-08-2008, 12:15 AM #2502 kananun
    มีติดค้าง เรื่อง สมาธิ"นอน"
    คราวนี้เราลองมาดูว่า เราจะทำสมาธินอนได้อย่างไร
    ก่อนอื่นก็ต้องล้มตัวลงนอนก่อน
    หากถามว่าต้องนอนท่าไหน ก็ต้องตอบว่านอนท่าที่สบาย ไม่กดทับ หายใจสะดวกเข้าไว้
    นอนได้แล้ว เราก็เริ่มจับลมหายใจสบายให้ได้ก่อน จนจิตสงบ
    กำหนด จิตว่า เราจะรักษาศีลห้าให้บริสุทธิ์ กรรมบทสิบสะอาดหมดจด พรหมวิหารสี่ครบถ้วน ทรงสมาธิมั่นคงหลับในสมาธิตั้งแต่หลับจนกระทั่งตื่น
    (ตั้ง กำลังใจแบบนี้ เท่ากับ เราได้รักษาศีลห้า กรรมบทสิบ ได้ครึ่งวัน 7-12ชม. เป็นอย่างน้อย รวมทั้งครูบาอาจารย์ท่านว่า เราได้อานิสงค์ได้ทรงสมาธิเป็นเวลาตั้งแต่หลับไปยันตื่นนอนด้วยเป็นกำไร มหาศาล ปฏิบัติง่าย ได้อานิสงค์สูง เกิดจนตาย 60ปี เท่ากับเราทำกรรมฐาน ร่วม 30ปี เมื่อไปเทียบกับคนที่ฝึกสมาธิแบบนั่งเป็นรูปแบบวันละ 1ชม.นั้นต้องใช้เวลา 360ปี)
    ดังนั้นเมื่อเราไม่ หายใจทิ้ง ก็จงอย่า หลับทิ้งเปล่าๆปลี้ๆ ไปเสีย จงหลับด้วยกำลังใจที่เป็นกรรมฐาน
    เมื่อเข้าใจ และตั้งกำลังใจได้แล้ว
    คราวนี้เราก็จับภาพพระพุทธเจ้าท่านจากนั้น ขอให้ท่านถ่ายทอดธรรมมะสู่ดวงจิตของเรา ให้ซึมลงไปในกระแสจิตดวงใจของเรา
    เริ่มด้วยการพิจารณา ความตาย พิจารณา ร่างกาย ในความเป็นอสุภะ ในความเป็นรังของโรค ในเหตุแห่งความทุกข์
    จากนั้นใช้ปัญญาปล่อยวางคลายความยึดมั่นถือมั่นเกาะเกี่ยวในร่างกาย จนจิตเบาขึ้นสบายขึ้น แผ่เมตตาอีกครั้ง ให้จิตยิ่งเย็น
    จากนั้นขอบารมีพระท่านยกอาทิสมานกายขึ้นไปบนพระนิพพาน
    ขึ้น บนพระนิพพานได้แล้ว ก็ เริ่ม พิจารณาใน บารมีทั้ง สิบทัศน์ ให้ละเอียด แล้วจึง พิจารณา ตัดสังโยชน์สิบอีกครั้งหนึ่ง จนจิตยิ่งสะอาด ขึ้นละเอียดขึ้น
    ดูจิตตัวเองให้ใสสะอาด บริสุทธิ์
    บางท่านจากนั้นก็ ขอบารมีพระท่านสอนธรรมมะเป็นพิเศษ
    บ้าง ซึ่งจะเห็นได้ว่า ท่านเหล่านี้จะก้าวหน้าในธรรมอย่างรวดเร็ว ชนิดที่ตนเองก็ตกใจ
    เนื่องจากธรรมมะที่พระท่านสอนข้างบน ละเอียดลึกซึ้ง ตรง
    วาระจิตเราอย่างยิ่งเป็นธรรมมะเฉพาะตน แก้ไขจุดบกพร่องของเราเอง จนจิตคลายตัวได้
    อย่าง บางท่านช่วงนี้ ติดในอดีตชาติ และเกาะเกี่ยวกับบุคคลมาก ท่านก็ฝากเตือนมา เราไปพระนิพพานได้ ด้วยจิตเราเอง ทุกข์ หรือ สุขอยู่ที่ดวงจิตของเรา ยิ่งปล่อย ยิ่งวาง ยิ่งเบา ยิ่งสุข
    สำหรับบางท่านก็เริ่มออกเดินทาง ไปช่วยยังแดนต่างๆ ภพภูมิต่างๆ ปลดปล่อยภพภูมิต่างๆ ด้วยอำนาจแห่งเมตตาอัปปันนาณญาณ โดยบารมีของพระท่านช่วยสงเคราะห์ด้วย ยามเกิดภัยพิบัติมีผู้คนบาดเจ็บล้มตายหลายแห่งทั่วโลก พวกนี้เขาก็ไปแผ่เมตตาจิตปลดปล่อยภพภูมิที่ตกค้างเป็นสัมภเวสีให้ได้ โมทนาบุญในเมตตาและกระแสบุญ กระแสที่ขออาราธนาพุทธบารมีลงมา โปรดดวงวิญญานเหล่านั้น ให้ไปจุติยังภพภูมิที่ดีกว่า
    การทำกรรมฐาน นอน จึงมีความสำคัญที่ไม่อาจมองเห็นด้วย ตาเนื้อดังนี้ ชาวบ้านเขาอาจมองว่า ไอ้เจ้านี่ขี้เกียจไม่เห็นปฏิบัติเลย นอนเรื่อย แต่ที่จริงพวกนี้เขาไปถึงไหนถึงไหนกันแล้วก็ไม่รู้
    เมื่อเราทำให้เป็นปกติทุกๆคืนก็ไม่ใช่เรื่องยาก เรื่องหนักหรือเกินกำลังของเรา
    การใช้ปัญญาบารมี ก็คือ การทำเรื่องยากให้กลับง่าย ทำเรื่องที่คนมองข้ามให้กลายเป็นเรื่อง ที่สร้างบารมีได้สูง
    "หาก บุญกุศลใดอันบังเกิดขึ้นจากผลแห่งการปฏิบัติที่พระพุทธเจ้าครูบาอาจารย์ท่าน ได้เมตตาสั่งสอนข้าพเจ้ามีเพียงใด ขอให้ธรรมมะปฏิบัติเหล่านี้จงเจริญยิ่งกว่า ในดวงจิตของทุกๆท่านด้วยเทอญ"
    [/SIZE]<!-- End main-->
     
  5. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    การวางอารมณ์ใจในการปฏิบัติธรรมของเราในแต่ละวันครับ
    <!-- Main -->[SIZE=-1]หน้าที่ 125 จากทั้งหมด 145 หน้า
    14-08-2008, 05:34 PM #2484 kananun
    การวางอารมณ์ใจในการปฏิบัติธรรมของเราในแต่ละวันครับ ปฏิบัติแบบไม่ต้องยึดรูปแบบ ปฏิบัติแบบอยู่บ้าน อยู่ที่โรงเรียน ที่ทำงาน
    โดยไม่ให้มีใครรู้ว่าเราปฏิบัติธรรมครับ
    เริ่ม ต้นตั้งแต่ที่เราตื่น (จิตตื่นขึ้นจากการนอนหลับ) บางท่านจะมีอาการที่จิตถอนลอยขึ้นช้าๆ หูเริ่มค่อยๆได้ยินเสียงรอบตัวค่อยๆดังขึ้น แบบนี้ เป็นอาการที่หลับอยู่ในฌานอย่างสมบูรณ์ครับ
    ส่วนโดยทั่วไปก็จะค่อยๆตื่นขึ้น ค่อยๆรู้สึกตัว
    เมื่อ รู้สึกตัวแล้ว ก็ให้เราตั้งสติก่อน (หากไม่ตั้งสติ จิตมันก็จะเลยไปเลย) จากนั้น ผู้ที่ได้มโนมยิทธิแล้ว ก็ยกอาทิสมานกายขึ้นไปกราบพระพุทธเจ้าบนพระนิพพาน เป็นการระลึกนึกถึงพุทธานุสติและอารมณ์พระนิพพาน
    จากนั้นก็พิจารณาธรรม ในหัวข้อที่เราเอง รู้สึกสบาย ไม่หนักเกินไปตามภูมิธรรม ไล่เรียงลำดับให้ไปจนถึงละเอียด
    -ตั้งใจว่าเรานี้ วันนี้เราจะสร้างความดี และรักษาใจเราให้มีแต่ความคิดที่ดีให้ได้ตลอดทั้งวัน (พื้นฐานที่สุด)
    -พิจารณา ในส่วนของศีลห้าว่าเราจะรักษาเอาไว้ให้ได้ตลอดวัน รักษากรรมบทสิบให้ได้ รักษาอารมณ์ใจในเมตตาพรหมวิหารสี่เอาไว้ให้จิตเราเย็นอยู่ตลอดเวลา
    -พิจารณาว่า เราอาจ"ตาย"เมื่อไรก็ได้ เราจะไม่ประมาทในชีวิต ไม่ประมาทในความดี ไม่ประมาทในการปฏิบัติธรรม(เริ่มเป็นวิปัสนาญาณ )
    -พิจารณาธรรมเพื่อละในสังโยชน์ทั้งสิบประการ
    -พิจารณาในบารมีทั้งสามสิบทัศน์ ตั้งใจในกำลังใจที่จะทรงบารมีได้อย่างเต็มอัตรา
    เมื่อ พิจารณาในฌานแล้ว สำหรับท่านที่ได้มโนมยิทธิ ส่วนใหญ่พระท่านก็จะเมตตาบอกสอนเวลานี้ สำหรับผมเองพระท่านชอบมาบอกงานในช่วงเวลาตื่นแบบนี้เนื่องจากเราได้พักผ่อน เต็มที่แล้ว มีความสดชื่น ทรงลมหายใจสบายเป็นสมาธิได้ง่าย
    ครั้นเมื่อตื่นนอนแล้ว
    สำหรับ การอาบน้ำแปรงฟันล้างหน้า ถ่ายหนักถ่ายเบา เราก็พิจารณาธรรมไปด้วย ในข้อกายคตาในส่วนของ ความสกปรก ไม่สะอาด ความเสื่อมในร่างกายของเรา ด้วยจิตที่เบาๆสบายๆให้จิตคลายจากความยึดมั่นถือมั่นในร่างกายลง
    พอทานอาหาร
    ก่อน ทานข้าวทุกมื้อ เราก็นำอาหารไปถวายพระด้วยความเป็นทิพย์เสียก่อน จากนั้นก็มาพิจารณาอาหาเรปฏิกูลสัญญา และความเป็นธาตุสี่ อธิฐานให้อาหารที่ทานเป็นอาหารทิพย์หล่อเลี้ยงธาตุขันธ์เพื่อการบำเพ็ญธรรม ทำความดี
    พอออกเดินทางไปธุระ ระหว่างเดินทาง เราก็จับลมหายใจสบายทรงสมาธิจิตไป ตอนขับรถเราก็ทำได้ ทรงลมหายใจที่หายไปจนเป็นฌานสี่ใช้งาน จิตยิ่งตั้งมั่นมีสมาธิเต็มอัตรา หรือเรานั่งรถ
    ก็พิจารณาไปในคนสัตว์ ว่าทุกข์อย่างไร เขาเห็นทุกข์ไหม เราเห็นเราก็หาทางออกจากทุกข์ ด้วยธรรม
    ตลอด จนแผ่เมตตาไปในทิศทั้งปวง ไปไหนมาไหน เจอผู้ใดก็ให้จิตเขาเย็นตามจิตเรา ไปไหนก็ปรารถนาให้ที่นั้นมีความเจริญรุ่งเรืองมีศานติสุข สงบร่มเย็น มีแต่รอยยิ้มและมิตรไมตรีต่อกัน
    19-08-2008, 12:29 AM #2498 kananun เมื่อเราทำงาน สิ่งใด เราก็ตั้งกำลังใจก่อนว่า
    งานที่เราทำเป็นสัมมาอาชีวะหรือไม่
    และหากงานที่เราทำ ทรงคุณประโยชน์ต่อส่วนรวมก็ให้เรายิ่งมุมานะทำด้วยความเพียรและความมุ่งมั่นยิ่งขึ้นไปอีก
    ความทุกข์ การกระทบใจใดๆ เราก็นำมาใช้เป็นบทเรียนในธรรมของเราในทุกๆอย่าง เห็นทุกข์และเห็นธรรมไปพร้อมๆกัน
    ทำ ตัวเหมือนดาบที่ยิ่งถูกกระหน่ำตี (ด้วยความทุกข์ ปัญหา และอุปสรรคทั้งปวง) เราก็ยิ่งแกร่ง คมกล้า (ทั้งด้วยบารมี กำลังใจและวิปัสนาญาณ) ดาบดีๆถูกตี เป็นแสนๆครั้ง เราเป็นดาบดี ก็ย่อมพบความทุกข์อุปสรรคมากเป็นธรรมดา
    ผ่านมาถึงการใช้เวลาก่อนเข้านอน
    -จับลมสบายก่อน
    -แผ่เมตตา
    -ทรงภาพพระ
    -ตั้งกำลังใจในมรณานุสติว่าหากเราตายไปในคืนนี้เราจะไปไหน
    -ใช้มโนมยิทธิขึ้นไปบนพระนิพพาน กราบพระท่าน
    -สำหรับท่านที่กำลังใจเป็นสาวกภูมิ
    ก็ขอให้ตั้งใจว่า
    เราขออยู่บนพระนิพพานนี้
    หากแม้เราตายไปในคืนนี้ก็ดี หรือตายวันใดก็ดี เราขออยู่บนพระนิพพานนี้กับพระพุทธเจ้าท่าน
    -สำหรับท่านที่เป็นพุทธภูมิ ก็จงกราบพระพุทธเจ้า สมเด็จองค์ปฐม และพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ แผ่เมตตาอัปปันนาณฌาน อธิฐานจิตว่า
    "การที่ข้าพเจ้าจุติลงมาสร้างทศบารมี ปรารถนาถึงซึ่งสัมมาสัมโพธิญาณครั้งนี้ กายเนื้อของข้าพเจ้า มีข้อจำกัด ในการสร้างบารมี
    แต่ด้วยกำลังใจอันเป็นปรมัตถบารมีของข้าพเจ้านั้น ปรารถนารื้อขนมวลหมู่สรรพสัตว์ไม่มีที่สุดไม่มีประมาณให้ได้เข้าถึงซึ่งพระนิพพาน
    ด้วยพุทธบารมีของพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ ได้ทรงเป็นกำลังให้ข้าพเจ้า
    แยกอาทิสมานกายออกไปจำนวนมากมายมหาศาลยิ่งกว่า
    ดวงดาวทั้งอนันตจักรวาล กระจายออกไป โปรด ไปสงเคราะห์ ไปช่วยเหลือ ไปสั่งสอน มวลหมู่สรรพชีวิตทุกๆดวงจิตทั่วอนันตจักรวาลทั้งสามไตรภพ ด้วยเทอญ"
    จากนั้นก็แยกอาทิสมานกายออกไป โดยมีร่างหนึ่งทรงตัวไว้กับพระพุทธองค์บนพระนิพพาน
    จาก นั้นก็ปล่อยกายเนื้อพักผ่อนไปตามประสามันไป กายจริงเราออกไปสร้างความดี อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยหยุดพัก ทำมันทั้งทางโลก ทางธรรม อะไรขึ้นชื่อความความสุข ความดี เราทำให้เพื่อส่วนรวมเอาไว้เสมอ
    คืนนี้ และคืนต่อๆไปพบกันข้างบนครับ
    ขอ ให้ทุกๆท่านทรงกำลังใจได้สูงสุดในความดี ในภูมิธรรมแห่งตนได้เจริญยิ่งขึ้นไปไม่ถอยกลับ มีแต่สูงขึ้นไปจนถึงที่สุดแห่งทุกข์คือพระนิพพานด้วยเทอญ
    [/SIZE]<!-- End main-->
     
  6. พัฒนาตน

    พัฒนาตน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    202
    ค่าพลัง:
    +1,282
    [​IMG]
    ช่วงนี้ไม่ค่อยมีโอกาสได้ปฎิบัติเท่าที่ควร แต่ยังดีที่จิตยังเตือนตนเองอยู่บ้าง พยามมองทุกสิ่งให้เป็นชีวิต การเกิด และ ดับ ไม่หลงทางโลกมากเกินควร คงต้องใช้ปัญญาให้มากว่านี้ซะแล้วเรา......*-*
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 กุมภาพันธ์ 2010
  7. สุริยันจันทรา

    สุริยันจันทรา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    766
    ค่าพลัง:
    +4,588
    อนุโมทนากับทุกท่านที่ตั้งใจปฏิบัติด้วยครับ

    ทุกเวลาทุกนาทีที่เรายังหายใจให้เป็นการเจริญสติอยู่ตลอด
    _____________________________________________

    ใจมีสติอยู่กับกายผลลัพท์เท่ากับปกติ(ศีล)
     
  8. ปูเเว่น

    ปูเเว่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,614
    ค่าพลัง:
    +6,697
    วันนี้ปูเดินทางไปกราบหลวงปู่เณรคำ ฉัตติโก ที่บ้านศาลาธรรม อ.สามโคก จ.ปทุมธานีค่ะ ตอนไปกราบขอบารมีพระและหลวงปู่ ให้เดินทางปลอดภัยและไปสถานที่ให้ถูกค่ะ เพราะไม่รู้จักทาง และไม่รู้จักบ้าน อาศัยโบกแท็กซี่ไปค่ะ พอขึ้นถามคนขับว่ารู้จักวัดไผ่ล้อมหรือวัดปทุมทองไหม คนขับบอกไม่รู้จัก รู้จักแต่อ.สามโคกค่ะ
    คราวนี้ก็นึกจะทำอย่างไร คนขับก็ช่วยคิดบอกไว้ถามวินมอเตอร์ไซด์น่าจะรู้จัก พอเข้าเขต อ.สามโคก ก็ถามวินรถรับจ้าง พี่เขาแนะนำอธิบายชัดเจน ทำให้เริ่มใจชื้นว่าไม่หลงแล้ว ก็ไปตามเส้นทางที่พี่วินมอเตอร์ไซด์บอกจนมาถึงจุดสังเกตที่จะเข้าบ้าน ก็ไม่เห็น คนขับกำลังจะขับเลยพอดีมีคนมาถามว่าจะไปไหนกัน บอกจะมากราบหลวงปู่เณรคำ พี่เขาบอกให้เข้าซอยนี้ไป มีรถวิ่งเข้าไปหลายคันแล้ว ก็เข้าไปตามที่พี่เขาบอก ในที่สุดก็ถึงที่หมายค่ะ เหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้ปูเกิดศรัทธาและเชื่อในบารมีพระอย่างมากค่ะ
    พุทธบารมี ธรรมะบารมี สังฆบารมี ไม่มีประมาณจริงๆค่ะ

    ขอตัดช่วงมาเวลาสิบเอ็ดโมง หลวงปู่ได้แสดงธรรมและสอนสมาธิ มีคำสอนของท่านอยู่ตอนหนึ่ง ปูได้ฟังแล้วทำให้นึกถึงคำสอนของอาจารย์คณานันท์ ขออภัยอาจจะจะจำไม่หมดคือ " ถ้าเราทำให้อยู่ในกุศลจิตเป็นประจำ กรรมจะค่อยคลายตัวและเบาบางลง " อาจารย์เคยสอนปูอยู่บ่อยๆ ว่าให้คิดดี พูดดี ทำดี อยู่ตลอด ไม่ต้องไปดูใคร ให้ดูใจของเราเอง ถ้าคนอื่นเขาทำดีเราพร้อมที่จะโมทนายินดีอย่างจริงใจได้ไหม หรือจะอิจฉาริษยาเขา ที่เห็นเขาได้ดีกว่าตัวเรา และถ้ามีคนมาทำให้เราเจ็บใจ เราพร้อมที่จะอภัยให้เขาจากใจอย่างไม่มีความลังเลได้ไหม

    อาจารย์สอนให้ปูได้คิดต่อไปอีกว่าถ้าเราทำดี คิดดี พูดดี (ไม่หวังผลตอบแทน) เมื่อถึงเวลาเราเดือดร้อนก็จะมีคนเข้ามาให้ความช่วยเหลือ โดยเราเองก็นึกไม่ถึง พอปูได้ฟังหลวงปู่ท่านสอน ก็ทำให้เข้าใจอาจารย์คณานันท์ที่ได้สอนไว้ค่ะ

    กราบขอบพระคุณอาจารย์มากค่ะได้เมตตาแนะนำสั่งสอนสิ่งดีๆมากมายให้กับลูกศิษย์ค่ะ
     
  9. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    ธรรมมะของพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ ย่อมสรุปรวมใน

    ทำจิตให้เกิดกุศล


    คือ คิดแต่สิ่งที่เป็นบุญ เป็นกุศล คิดเชิงบวก ทั้งต่อตัวเราและต่อผู้อื่น(ส่วนใหญ่ลืมคิดดีกับคนอื่น พอคนอื่นดี เราก็เกิดอกุศลจิต ที่เรียกว่า อิจฉาและขยายเป็นริษยา ดังนั้นจิตจึงไม่สะอาดจริง กิเลสชอบมาหลอกว่าเป็นความหวังดี ดังนั้นจิตเลยไม่หมดชั่วซะที มัวไปคล้ายหวังดีกับคนอื่นอยู่)


    ละอกุศลจิตออกไปจากใจ

    สิ่งใดที่เป็นอกุศล เป็นเครื่องทุกข์ใจ เรื่องชั่ว เรื่องบาป เรื่องอกุศล คิดลบ คิดระแวง คิดริษยา คิดอาฆาตพยาบาท เราละออกไปจากจิตใจ และละในอารมณ์ใจที่เราคิดชั่ว คิดระแวง คิดลบกับผู้อื่นด้วย

    คิดง่ายๆว่า เมื่อจิตเราคิดชั่ว หากเราตายไป ตอนนี้ เราไปไหน เมื่อมีสติระลึกได้ก็สลายล้างอารมณ์ลบออกไปจากจิตใจ ในจิตเรามีเพียงอารมณ์อันเป็นกุศลคิดดี คิดบวกเท่านั้น

    กำหนดว่าใจเรามีไว้คิด ไว้ทรงแต่ในความดี สมองเรามีไว้เพื่อคิดดี คิดบวก คิดกุศลเท่านั้น

    ทำจิตใจให้ผ่องแผ้วผ่องใสเบิกบาน

    อันอารมณ์ใจที่มีกุศล ละอกุศลนั้น เราทำให้สะอาด โดยละกิเลส โลภ โกรธ หลง นิวรณ์ห้าประการ สังโยชน์สิบอันเป็นเครื่องร้อยรัดใจเราไว้ออกไป

    แต่บางครั้ง จิตมีกุศลปราศจากอกุศลก็จริง แต่ จิตมันเฉยๆ บ้าง ซึมๆบ้าง นิ่งๆบ้าง

    จิตที่ผ่องแผ้วนั้นต้องทรงใน พรหมวิหารสี่ เมตตาฌานให้ จิตเราเปล่งประกาย เกิดอารมณ์ใจที่เปล่งประกายเอิบอิ่มเป็นน้ำหล่อเลี้ยงจิตใจเราไว้

    จุดที่ลืมคือ ลืมทำจิตให้ผ่องใส จิตใจยิ้มอิ่มเอิบจากภายในนั้นเอง

    เมื่อจิตอิ่มเต็มทรงไว้เป็นปกติ ไม่ช้ากิเลสก็ลดน้อยถอยลงไปเอง

    เมื่อเข้าใจ เข้าถึงธรรม ทรงธรรมเอาไว้เป็นปกติ

    ปฏิบัติธรรมอย่างง่ายที่สุดก็รักษา สามประการนี้นั่นแล

    ขอให้ท่านทั้งหลาย ทรงอารมณ์จิตอันประกอบไปด้วยมหากุศล สิ่งใดเป็นบุญเป็นความดีเราทำให้ยิ่ง พิจารณาให้มาก

    ละอารมณ์จิต คิดอกุศล คิดชั่ว คิดลบ ตินั่น ตินี่ ปรามาสพระปรามาสครูบาอาจารย์ ออกไปจากใจกำหนดว่าไม่มีที่ว่างในใจของเราในความชั่วอย่างสิ้นเชิง

    และทำจิตใจเราให้ผ่องใสเปล่งแสงสว่างความงดงามออกไป จนจิตปราโมทย์เบิกบานในสายธารแห่งธรรมที่หล่อเลี้ยงให้ดอกบัวแก้วเปล่งแสงแห่งเมตตาจิต เมตตาธรรมออกไปไม่มีประมาณตลอดไปตราบจนถึงซึ่งพระนิพพานด้วยเทอญ


     
  10. Nakamura

    Nakamura Moderator ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กันยายน 2005
    โพสต์:
    2,002
    ค่าพลัง:
    +17,625
    วันที่ 14/02/53

    ตรุษจีนปีนี้ที่บ้านก็ไหว้เจ้า ก็ทำตามแบบฉบับดั้งเดิมตามประเพณี แล้วก็ขอบารมีพระฯท่านอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้แก่บรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้ว ขอให้ได้รับส่วนบุญส่วนกุศลที่ข้าพเจ้าได้บำเพ็ญมาดีแล้วตั้งแต่อดีต ปัจจุบัน และอนาคตที่จะบำเพ็ญต่อไป ขอให้ท่านไปสู่ภพภูมิที่ดียิ่งขึ้นไปตราบเท่าเข้าสู่พระนิพพาน กรรมใดที่เคยล่วงเกินท่านไม่ว่าจะเป็นทางกาย วาจา ใจ ด้วยเจตนาก็ดี ไม่เจตนาก็ดี ก็ขอให้ท่านอโหสิกรรมด้วยตราบเท่าเข้าสู่พระนิพพาน

    แล้วก็ได้พาคุณแม่ไปทำบุญที่สำนักสงฆ์แห่งหนึ่งที่คุณแม่เคยไปบวชชีพราหมณ์ พร้อมทั้งถวายพระบรมสารีริกธาตุ เหรียญทำน้ำมนต์ไว้แจกผู้ป่วย และได้ทำการรักษาเท้าพระสงฆ์รูปนึง ซึ่งเป็นญาติกับคุณแม่ เส้นข้อเท้าพลิกเดินไม่ค่อยได้ ก็ขอบารมีพระท่าน ทรงอารมณ์อยู่ในพรหมวิหารในระหว่างทำการรักษา หลังจากถวายการรักษาแล้วก็เดินได้เป็นปกติอย่างน่าอัศจรรย์ครับ ^^

    เนื่องจากตรุษจีนปีนี้ตรงกับวันวาเลนไทน์พอดีซึ่งเป็นวันแห่งความรัก หลังจากสวดมนต์ ทำสมาธิแล้วก็ได้แผ่เมตตาอัปปมาณฌาน อธิฐานจิตขอให้ทุกดวงจิตมีความรักความเมตตาต่อกัน ผู้คนช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกัน มีพรหมวิหารประจำจิตประจำใจ ขอให้ผู้ที่เป็นมิจฉาทิฐิได้กลับกลายเป็นสัมมาทิฐิ ตั้งมั่นอยู่ในไตรสรณคมน์ เพื่อที่จะช่วยกอบกู้โลกนี้ให้เกิดความสันติสุข และช่วยจรรโลงพระพุทธศาสนาให้เจริญรุ่งเรืองตั้งมั่นสืบไปตราบดวงจิตดวงสุดท้ายเข้าสู่พระนิพพาน

    ขอถวายบุญกุศลทั้งหมดเป็นพุทธบูชาฯ และร่วมโมทนาบุญทั้งหมดในพระพุทธศาสนา อุทิศให้กับทุกดวงจิตครับ

    _/\_
     
  11. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    โมทนาบุญด้วยจ้า

    ขอให้จิตใจที่งดงามเบิกบานสว่างกระจายออกไปจากหัวใจทุกๆดวงครับ
     
  12. ตุ๊กตาแก้ว

    ตุ๊กตาแก้ว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    557
    ค่าพลัง:
    +3,265
    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="94%" align=center><TBODY><TR><TD class=postbody vAlign=top><HR>[​IMG]

    แสงส่องใจ

    มาฆบูชา
    วันแห่งความรักอันสูงส่งบริสุทธิ์
    ในพระพุทธศาสนา

    สมเด็จพระญาณสังวร
    สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
    รับสั่งว่า

    ถ้าจะถือว่ามีวันแห่งความรัก ก็ต้องถือวันมาฆบูชา
    วันที่พระพุทธเจ้าทรงประกาศความรักอันบริสุทธิ์สูงส่ง

    วันมาฆบูชา – วันแห่งความรัก

    วันที่พระจันทร์เต็มดวง เสวยมาฆฤกษ์ ในเดือนสาม

    ด้วยทรงมีความรักบริสุทธิ์สูงส่ง ไม่มีเสมอเหมือน พระพุทธองค์จึงทรงแผ่พระมหากรุณาได้กว้างใหญ่ไพศาลไม่มีขอบเขต ทั้งแก่พรหมเทพ มนุษย์สัตว์ ปรากฏแจ้งชัดใน พระโอวาทปาติโมกข์ ที่ทรงแสดงในวันมาฆบูชา

    พึงไม่ทำบาปทั้งปวง
    พึงทำกุศลให้ถึงพร้อม
    พึงรักษาจิตของตนให้ผ่องใส

    บาปย่อมก่อให้เกิดทุกข์โทษภัยแก่ผู้ทำและผู้อื่น
    พระพุทธองค์จึงทรงเตือนไม่ให้ทำ

    กุศลย่อมเป็นคุณแก่ผู้ทำและผู้อื่น
    พระพุทธองค์จึงทรงเตือนให้ทำ

    จิตผ่องใสคือจิตไกลได้จากกิเลสโกรธหลง ที่มีอยู่เต็มโลก
    ย่อมให้ความสงบสุขอย่างยิ่งจนถึงเป็นบรมสุข
    พระพุทธองค์จึงทรงเตือนให้รักษาจิตของตน

    ความรักของพระบรมศาสดา
    ที่ในวันมาฆบูชาทรงประกาศ
    เป็นความรักสัตว์โลกที่สูงสะอาด
    กราบละอองพระพุทธบาทเป็นพระพร

    (สมเด็จพระญาณสังวร)
    สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
    </TD></TR><TR><TD></TD></TR></TBODY></TABLE>




    จาก http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=11047
     
  13. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    มีคำถามมาเรื่องการฝึกกสิณครับ

    ช่วงนี้มีหลายท่านฝึกอยู่

    หวังว่าจะเกิดประโยชน์ต่อทุกท่านที่สนใจครับ


    ---------------------------------------------------

    สวัสดีครับ อ.คณานันท์
    ผมขอสอบถามเพิ่มเติมเรื่อง อาโลกสิณ ครับ คือว่า ตอนนี้ผมกำลังเจริญ อาโลกสิณอยู่ ในช่วงเวลาที่นอนหลับ ผมจะฝันเห็น ดวงแสงสว่างอยู่บ่อยๆ บางทีต้องสะดุ้งตกใจตื่น
    เพราะว่า ในจิต หรือในความฝัน เห็นเป็นดวงแสงสว่าง ดวงใหญ่ๆ สีขาว สว่างเจิดจ้า ตอนที่กำลังนอนหลับอยู่พอภาพดวงแสงสว่างปรากฏผมจะรู้สึกตัว มีสติและตื่นขึ้นมาทันที
    พอรู้ตัวว่าเกิดเห็นดวงแสงสว่าง ผมจึงเพ่งดวงแสงสว่างในจิต จับเป็นอาโลกสิณ ทำสมาธิแล้วหลับต่อไป อาการแบบนี้เกิดขึ้นกับผมบ่อยมากๆ จนนับครั้งไม่ถ้วนแล้วครับ คือว่าก่อนนอน
    ผมนอนสมาธิทุกๆวันเลย อาการแบบนี้บางทีตอนที่นั่งสมาธิ จับภาพพระ หรือเพ่งอาโลกสิณ แล้วเข้าถึงสมาธิที่ลึกสุดๆก็จะเห็นได้เหมือนกัน คล้ายกับเป็นภาพในความฝัน
    คลึ้มๆคล้ายหลับไป แต่รู้สึกตัวว่าเห็น แต่ว่าจะเห็นได้ไม่นานครับ เป็นภาพแว็บๆเข้ามาในจิตประมาณ 5-10 วินาที หรือบางที่อาจจะนานกว่านั้น แต่ว่าผมไม่รู้สึกตัว
    เพราะว่าจิตกำลังแนบแน่นกับอารมณ์สมาธิ ถ้าเป็นตอนที่นั่งสมาธิอยู่ ตอนนั้น หู จะไม่ได้ยินเสียง ร่างกายไม่รู้สึกตัว สมองไม่ได้คิดอะไรเลย เหลือแต่ดวงแสงสว่างอย่างเดียว
    แล้วพอเรารู้สึกตัวว่าเห็น ภาพดวงแสงสว่างก็จะหายไป แต่ว่ากว่าจะเกิดอาการแบบนี้ได้ ในช่วงเวลากลางวัน หรือในช่วงเวลาที่ตื่นอยู่
    ผมก็ทำสมาธิหนักอยู่เหมือนกัน ผมพยามเข้าฌานสี่ให้ได้ตลอดทั้งวัน ผมอยากเรียนถาม อ.คณานันท์ ว่าอาการแบบนี้เรียกว่าอะไรครับ แล้วผมควรจะปฏิบัติต่อไปอย่างไรดี
    การเจริญกสิณทั้ง 10 กอง ทุกกองจะต้องเกิดอาการแบบนี้หรือเปล่าครับ ขอคำแนะนำด้วยครับ
    ขอบคุณมากครับ
    เป็นโอภาสครับ แสงนิมิตรจากอาโลกกสิณติดตาติดใจ จนเกิดเป็นฌานในอุคคหะนิมิต

    ก็กำหนดรู้ และพยายามกำหนดให้ภาพที่ปรากฏเป็นแก้วเป็นเพชรประกายพรึก

    และทรงภาพแก้วแสงสว่างประกายพรึกนั้น เป็นฌานในปฏิภาคนิมิต

    กสิณทั้งสิบกองนั้น อุคคหนิมิต และปฏิภาคนิมิต นั้นปรากฏภาพเสมอกันแต่มีคุณสมบัติแห่งธาตุละเอียดของธาตุต่างกัน

    เช่น ปฏิภาคนิมิตของกสิณไฟ มีคลื่นความร้อนแผ่ออกมา

    ปฏิภาคนิมิตของกสิณน้ำ มีความไร้รูปเปลี่ยนทรง ซ่อนในความนิ่ง มีความเย็น ความเปียกของน้ำให้รู้สึก

    เป็นต้น ซึ่งเราต้องมีญาณ มีความรู้สึกของจิตที่ละเอียดมากๆจนจับได้ จนถึงเอานิมิต กสิณสิบลูกมาวางสลับในจิต เรากำหนดรู้จากคลื่นแห่งจิตนี้ ได้ว่า ลูกนี้กสิณอะไร

    ย่อขยาย ย้ายกองเล่นสลับฌานคล่องตัว

    กสิณนี่ต้องฝึกสลับ ฝึกเปลี่ยน ฝึกบังคับ ฝึกทรงเอาไว้ครับ

    ขอให้ก้าวหน้าเจริญในธรรมปฏิบัติกันทุกๆท่านครับ
     
  14. อารมณ์สุนทรีย์

    อารมณ์สุนทรีย์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    522
    ค่าพลัง:
    +1,740
    ทรง ๔ ธาตุพร้อมกัน หรือ ทั้ง ๑๐กองพร้อมกัน

    กำหนดเคลื่อนย้ายไปใหนมาได้ พร้อมๆกัน สับเปลียนมั่วซั่ว แต่รู้ว่ากองใหนกองใด

    กำหนด ความสว่างอุคคหะนิมิตได้ ให้ไล่ความสว่างของแต่ละกอง แล้วกำหมดย้ายไปมา

    กำหนด เปลียนเป็นรูปต่างๆ เช่นพญานาค มังกร เสือ จระเข้ ฯลฯ ดังมีชีวิต

    กำหนด ไปกลับ สลับเปลียน อารมณ์กสิณ เข้าณาน1-2-3-4 สลับไปมา 4-3-2-1 กลับไปวกไปวนมา

    เอาให้มันได้ทุกท่าเลย ต้องบังคับได้

    อันนี้ของผมนะครับ อย่าไปเชื่อ ทำดูก่อน
     
  15. ปูเเว่น

    ปูเเว่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,614
    ค่าพลัง:
    +6,697
    [​IMG]

    นำมาจากห้องแกลอรี่ค่ะ
     
  16. ดั่งจันทรา

    ดั่งจันทรา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    217
    ค่าพลัง:
    +693
    ขอถาม อ.คณานันท์ ครับ
    การที่เราอนุโมทนาบุญบารมีของพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระปัจเจกฯ ไล่ลงมาจนมารดาบิดา ครูอาจารย์ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ พระโพธิสัตว์ พระจักรพรรดิราช และทุกๆดวงจิตในจักรวาลนี้ที่ทำคุณงามความดี บุญบารมีทุกๆอย่างเป็นเอนกประการไม่ทราบว่าเราจะได้ส่วนแห่งบุญบารมีของท่านเหล่านั้นมากน้อยเพียงใด หรือว่าขึ้นอยู่กับสมาธิช่วงที่เราอนุโมทนาครับว่าแผ่ไปได้ไกลเท่าไร รบกวน อ.แนะนำการโมทนาบุญที่ได้ผลดีด้วยครับ
     
  17. Nakamura

    Nakamura Moderator ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กันยายน 2005
    โพสต์:
    2,002
    ค่าพลัง:
    +17,625
    ขออนุญาติตอบแทนระหว่างรออาจารย์คณานันท์มาตอบนะครับ

    การที่เราจะโมทนาบุญคุณพระรัตนตรัย ใน พุทธบารมี ธรรมบารมี สังฆบารมี อันไม่มีประมาณนั้น ต้องทำจิตใจเราให้เข้าถึงคุณพระท่าน และทำจิตใจให้บริสุทธิ์เพื่อรองรับบุญทั้งหมดของท่าน อุปมาได้ดังนี้ ถ้าใจของเรามีขนาดแค่สระน้ำ ก็สามารถรองรับน้ำได้เพียงขนาดปริมาณขอบเขตของสระน้ำแห่งนั้น แต่ถ้าใจของเรามีขนาดใหญ่ไม่มีประมาณดั่งท้องมหาสมุทรก็สามารถรองรับน้ำอันไม่มีประมาณได้มากฉันนั้น เปรียบกับบุญที่เราได้โมทนาบุญทั้งหมดในพระพุทธศาสนาก็ต้องทำใจของเราให้ใสบริสุทธิ์มีเมตตาอันไม่มีประมาณด้วยฉันนั้น

    ขอให้ทุกท่านมีจิตใจใสสะอาดบริสุทธิ์ มีเมตตาอันไม่มีประมาณ เพื่อที่จะรองรับบุญทั้งหมดของคุณพระรัตนตรัยอันไม่มีประมาณตราบเท่าเข้าสู่พระนิพพานทุกผู้ทุกนามด้วยเทอญ _/\_
     
  18. ลิงเมืองละโว้

    ลิงเมืองละโว้ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    709
    ค่าพลัง:
    +1,521
    สาธุ อนุโมทนากับทุกท่านที่สนใจในธรรมทั้งมวลด้วยครับ

    เมื่อใดจิตเข้าถึงพระรัตนตรัยโดยแท้จริง
    เมื่อนั้นธรรมอันประเสริฐจักบังเกิดแก่จิต
    แลทุกสรรพสิ่งจักประจักษ์แก่จิตผู้นั้น
    อันบังเกิดดวงตาธรรมโดยแท้บ่้มีสิ่งปรุงแต่ง
     
  19. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    พรหมวิหาร 4โดยหลวงพ่อฤาษีลิงดำ
    1 .หมั่นเอาจิตจดจ่อ พิจารณาพรหมวิหาร 4 ให้เนื่องๆ ด้วย พยายามให้เกิดแก่อารมณ์ของตนเองสำคัญ เมตตาภายในให้เต็มเสียก่อน จึงค่อยเมตตาภายนอก 2.ที่จิตของเจ้ามีความวุ่นวายอยู่ในขณะนี้ เพราะพรหมวิหาร 4 อ่อน ไม่เมตตาจิตของตนเอง จึงยังอารมณ์ให้เบียดเบียนตนเองอยู่มิขาด เจ้าจงอย่าทิ้งกรรมฐานบทนี้ พยายามทำควบคู่ไว้กับมรณาและกายคตา และ อสุ
    ภะและอุปสมา โดยอาศัยอานาปานุสสติเป็นพื้นฐานยังจิตให้มีกำลัง
    อ่านต่อได้ที่
    http://palungjit.org/showthread.php?t=173941
     
  20. เสขะ บุคคล

    เสขะ บุคคล เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,240
    กระทู้เรื่องเด่น:
    54
    ค่าพลัง:
    +4,023
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=4QyJxinflLI]YouTube - พิจารณาสังขาร.wmv[/ame]

    ทำมาฝากเพื่อนๆ ....
    จะได้ไม่ลืมความตายกัน .....
    !!! คำเตือนใจไม่แข็งห้ามดูเนอะ !!! ..... :boo:
    ใครรู้สึกว่าช่วงนี้เพลิดเพลิน เอร็ดอร่อยเหลือเกินก็ดูหลายๆรอบละกันเนอะ .... :boo:

    บุญกุศลอันใดที่พึงบังเกิดจากการเผยแพร่ธรรมทานชุดนี้ ขอแผ่ให้กับ ทุกสรรพดวงจิต ที่ถูกนำมา ยกมาใช้ ในสื่อธรรมะชุดนี้ ทั้งที่เสวยความสุขอยู่ก็ดี เสวยความทุกข์อยู่ก็ดี ขอท่านทั้งหลายจงได้รับบุญกุศลแห่งธรรมทานนี้ทุกประการ เช่นเดี่ยวกับทุกสรรพดวงจิต ที่ได้พิจารณาสื่อธรรมะนี้

    ขอท่านทั้งหลายให้ได้พบพระรัตนตรัยเป็นสรณะทุกภพชาติ เข้าถึงธรรมะ และบรรลุธรรมได้โดยง่าย แม้ไม่เข้าสู่พระนิพพานเพียงใด ขอคำว่าอดยาก ยากจนอย่างได้เกิดขึ้น และให้เข้าถึงพระนิพพานอัญเป็นบรมสุขโดยเร็วพลันด้วยเทอญ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 25 กุมภาพันธ์ 2010

แชร์หน้านี้

Loading...