จะรู้ได้ไงว่าเราบรรลุโสดาบันแล้ว

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย Dhamma T-PO, 16 มีนาคม 2010.

  1. 2ชาติตรัสรู้

    2ชาติตรัสรู้ គ្រប់គ្រាន់ รักษาดวงใจ.គ្រប់គ្រាន់

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,696
    ค่าพลัง:
    +1,558
    เชย ฟังว่าเชย มันก็จริงใจ คนคบกัน ต้องมีห่วงใย คำว่ารัก สั้นแต่ยาวไกล..
    รู้เพียงสิ่งเดียว ปราถนาดีให้ไป มากเกินสิ่งใด กว่าเป็นเพื่อนเธอ.....:boo:

    เพิ่มเติม มอบให้แด่ เตชพะโล ที่เอาเพลงเชยของใครก็ไม่รู้มาเปิด แต่คงรู้สึกว่ามันเชยคุณเตชพะโลถึงได้ลบทิ้งไปแล้ว....
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 มีนาคม 2010
  2. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846
    น้าชาติแน่นอน
     
  3. โป

    โป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    183
    ค่าพลัง:
    +256
    มีปรากฏการณ์บางอย่างเกิดขึ้นกับใจ ปรากฏแล้ว ทำให้รู้เห็นความจริงว่า

    ๑. " ใจ " ก่อนหน้าที่จะเห็นปรากฏการณ์นั้น ไม่ใช่เรา ทุกอย่างในโลกแม้กระทั่ง " ใจ "( ก่อนหน้าที่จะเห็นปรากฏการณ์ ) ล้วนมีการเกิดดับ เปลี่ยนแปลง ไม่เที่ยงแท้
    มีอย่างเดียวที่เที่ยงแท้คือ สภาวะธรรมชาติแท้...ที่ก่อนหน้านั้น เราไม่เคยเห็น


    ๒.พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ เป็นความจริงทุกประการ เชื่อถือและเคารพท่านอย่างจริงใจ

    ๓.การปฏิบัติที่เน้นรูปแบบ ท่าทาง ไม่ใช่วิถีทางที่ถูกต้อง ทางที่ถูกต้องอยู่ที่ใจ
     
  4. Sriaraya5

    Sriaraya5 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    3,079
    ค่าพลัง:
    +12,852
    [​IMG]
     
  5. oamiamgod

    oamiamgod เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    241
    ค่าพลัง:
    +3,223
    ไม่ยากเลยครับ ที่จะรู้

    ก็ดูว่าเรามีคุณสมบัติตามนั้นรึป่าว คือ

    1.ยอมรับนับถือพระรัตนไตรอย่างจริงจัง ไม่สงสัยในความดีท่าน
    2.ยอมรับเรื่องความตายได้ นึกถึงว่าถ้า เรา พ่อเรา แม่เรา ตาย เราก็ทำใจยอมรับได้
    3.รักษาศีล 5 อย่างบริสุทธิ์ คือว่าสักข้อก็ไม่คิดจะผิดศีล

    จากประสบการณ์บางท่าน เค้าบอกว่า

    เห็นคนตบยุงนี่ตกใจสะดุ้ง(สะดุ้งจริงๆเลย) ว่าเห้ยเค้าจะฆ่ามันทำไม
    แต่นึกไปก็คิดได้ อ้อไอ้เค้ามันคนธรรมดา ไม่ได้รักษาศีลแบบเรา

    ถ้าเป็นประมาณนี้ ก็มาถูกทางแล้วครับ ตั้งหน้าตั้งตาตัดอีก 7 ข้อที่เหลือให้ได้
     
  6. มิตรตัวน้อย

    มิตรตัวน้อย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    144
    ค่าพลัง:
    +896
    ธรรมแต่ละขั้นแต่ละภูมิ ผู้ได้บรรลุ ท่านว่าเป็น ปัจจัตตัง
    เป็นสิ่งที่รู้เฉพาะตน คือรู้คนเดียว บอกคนอื่นไม่ได้
    คือไม่รู้จะบอกยังไง เช่น กินข้าวอิ่มแล้ว

    "อิ่ม" เป็น ปัจจัตตัง ต่างคนต่างรู้ ไม่ต้องถามใคร

    จะอธิบายก็ต้องเปรียบเทียบหรืออุปมาอุปมัยให้ฟังเท่านั้น

    เจริญธรรม
     
  7. วิมุตติ

    วิมุตติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    2,355
    ค่าพลัง:
    +2,169
    ใช่แล้วครับ...
     
  8. ธัมมนัตา

    ธัมมนัตา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +9,766
    วิธีการพยากรณ์ตนด้วยตนเองได้ว่าเป็นพระโสดาบัน

    [๑๕๗๘] ดูกรคฤหบดี เมื่อใด ภัยเวร ๕ ประการนี้ของอริยสาวกสงบระงับแล้วอริยสาวกประกอบแล้วด้วยโสตาปัตติยังคะ ๔ ประการเหล่านี้ และญายธรรมอันประเสริฐนี้ อันอริยสาวกนั้นเห็นดีแล้ว แทงตลอดดีแล้วด้วยปัญญา เมื่อนั้น อริยสาวกนั้นหวังอยู่พึงพยากรณ์ตนด้วยตนเองได้ว่า เรามีนรก กำเนิดสัตว์ดิรัจฉาน ปิตติวิสัย อบาย ทุคติ วินิบาต สิ้นแล้วเราเป็นพระโสดาบัน มีความไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา เป็นผู้เที่ยงที่จะตรัสรู้ในเบื้องหน้า.


    1.อริยสาวกสงบระงับภัยเวร ๕ ประการ หมายถึงอะไร


    ภัยเวร ๕ ประการ ก็คือ บุคคลผู้มีปกติฆ่าสัตว์ ย่อมประสพภัยเวรอันใด ที่เป็นไปในปัจจุบันก็มี ที่เป็นไปในสัมปรายภพก็มี ได้เสวยทุกขโทมนัสที่เป็นไปทางใจก็มี ก็เพราะการฆ่าสัตว์เป็นปัจจัย เมื่ออริยสาวกเว้นจากการฆ่าสัตว์แล้ว ภัยเวรอันนั้นเป็นอันสงบระงับไปด้วยประการฉะนี้ บุคคลผู้ลักทรัพย์ ... บุคคลผู้ประพฤติผิดในกาม ...บุคคลผู้พูดเท็จ ... บุคคลผู้ดื่มน้ำเมาคือสุราและเมรัยอันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท ย่อมประสพภัยเวรอันใด ที่เป็นไปในปัจจุบันก็มี ที่เป็นไปในสัมปรายภพก็มี ได้เสวยทุกข์โทมนัสที่เป็นไปทางใจก็มี ก็เพราะดื่มน้ำเมาคือสุราและเมรัยอันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาทเป็นปัจจัย เมื่ออริยสาวกงดเว้นจากการดื่มน้ำเมาคือสุราและเมรัยเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท ภัยเวรอัน อันนั้นเป็นอันสงบระงับไปด้วยประการฉะนี้ ภัยเวร ๕ ประการเหล่านี้ สงบระงับแล้ว.<O:p</O:p

    2.เป็นผู้ประกอบด้วยโสตาปัตติยังคะ ๔ ประการ
    โสตาปัตติยังคะ ๔ ประการ คือ

    1. เป็นผู้ประกอบด้วยความเลื่อมใสอันไม่หวั่นไหวในพระพุทธเจ้าว่า แม้เพราะเหตุนี้ พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น ...เป็นผู้เบิกบานแล้ว เป็นผู้จำแนกธรรม ๑ <O:p</O:p
    2. ประกอบด้วยความเลื่อมใสอันไม่หวั่นไหวในพระธรรมว่า พระธรรมอันพระผู้มีพระภาคตรัสดีแล้ว ... อันวิญญูชนจะพึงรู้ได้เฉพาะตน ๑ <O:p</O:p
    <O:p</O:p
    3. ประกอบด้วยความเลื่อมใสอันไม่หวั่นไหวในพระสงฆ์ว่าพระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาค เป็นผู้ปฏิบัติดีแล้ว ... เป็นนาบุญของโลกไม่มีนาบุญอื่นยิ่งกว่า ๑ <O:p</O:p
    4. ประกอบด้วยศีลอันพระอริยเจ้าพอใจ ไม่ขาด ไม่ทะลุไม่ด่าง ไม่พร้อย เป็นไทย อันวิญญูชนสรรเสริญ อันตัณหาและทิฐิไม่ถูกต้องเป็นไปเพื่อสมาธิ ๑ <O:p</O:p
    อริยสาวกต้องเป็นผู้ประกอบด้วยโสตาปัตติยังคะ ๔ ประการนี้


    3.ญายธรรมอันประเสริฐ อันอริยสาวกนั้นเห็นดีแล้ว แทงตลอดดีแล้ว

    คือย่อมกระทำไว้ในใจซึ่งปฏิจจสมุปบาทอย่างเดียว โดยอุบายอันแยบคายเป็นอย่างดีว่า เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้ย่อมมี เพราะสิ่งนี้เกิด สิ่งนี้ย่อมเกิด ด้วยประการดังนี้ เมื่อสิ่งนี้ไม่มี สิ่งนี้ย่อมไม่มี เพราะสิ่งนี้ดับ สิ่งนี้ย่อมดับ ด้วยประการดังนี้ คือ เพราะอวิชชาเป็นปัจจัยจึงมีสังขาร เพราะสังขารเป็นปัจจัยจึงมีวิญญาณ ฯลฯความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการฉะนี้ ก็เพราะอวิชชาดับด้วยการสำรอกโดยหาส่วนเหลือมิได้ สังขารจึงดับ เพราะสังขารดับวิญญาณจึงดับ ... ความดับแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการฉะนี้ ญายธรรมอันประเสริฐนี้ อริยสาวกนั้นเห็นดีแล้ว แทงตลอดดีแล้วด้วยปัญญา.<O:p</O:p

    ศีลนั้นต้องตรวจสอบได้ด้วยตนเองว่ามีอยู่ครบหรือไม่ เพราะต้องใช้ใจในการรักษา คนอื่นบอกไม่ได้ ศรัทธา ในพระรัตนตรัยก็เช่นกันเรารู้ในใจของเราว่าเราศรัทธาจริงหรือไม่ และประการสุดท้ายที่สำคัญคือปัญญาที่เข้าใจการเกิดดับ และระงับวงจรของทุกข์ทั้งหลาย คนที่บอกได้คือตัวเราเท่านั้น ตอบได้เองโดยอัตโนมัติว่าละได้หรือยัง ด้วยเหตุนี้จึงไปพึ่งคนอื่นไม่ได้ จึงต้องพึ่งตัวเราเท่านั้น


    <O:p</O:p
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 มีนาคม 2010
  9. Realface

    Realface Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    23
    ค่าพลัง:
    +30
    ไม่มีใครมาทำนายให้หรอกนะครับ ผู้ปฏิบัติย่อมรู้ได้ด้วยตนเอง ใครจะมาพยากรณ์ได้อย่างไร ถ้าพยากรณ์ได้ คนๆนั้นต้องเท่ากันหรือสูงกว่า งั้น อ.ปราโมชก็สูงกว่าหน่ะสิ แล้วคนที่ได้ก็จะไม่ไปยุ่งเรื่องชาวบ้านด้วย ไม่อวดอ้าง
     
  10. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500
    ด้วยข้อผูกมัดหรือความเป็นไปแห่งจิตของผู้ตกกระแสทั้งหลายย่อมเห็นว่า การสร้างตัณหา ให้ผู้อื่นล้วนเป็นบาป ไม่เป็นไปเพื่อความพ้นทุกข์ พระศาสดาจึงทรงห้ามไม่ให้พยากรณ์ใครๆไม่ว่าจะจริงหรือไม่จริง และบัญญัติเป็นพระวินัยขึ้น โดยส่วนตัวผมเห็นว่าการพยากรความเป็นอริยะบุคคลเป็นเรื่องที่ไม่ควรยกมาพูดเลยเพราะ คนฟังได้รับหรือเกิดปิติเพราะศรัทธาในสิ่งที่รับฟังมา และปัญญาจะดับไปขาดสติ เพราะหลงเข้าใจว่าตนนั้นดีแล้วเกิดมานะทิฐิ จะเห็นได้จากเวลาที่มีคนชมเรา เรารู้สึกอย่างไรคงไม่ต่างกัน แต่ต่างกันก็ตรงที่นี่เป็นเรื่องที่ผู้มีศรัทธาในพระพุทธศาสนาย่อมคาดหวังแม้บางคนบอกไม่เคยคาดหวังในใจลึกๆก็คาดหวัง เว้นผู้เป็นอริยะบุคคลจริงๆ เพราะมันไม่มีเหตุต้องกล่าวอะไรกับเรื่องนั้น ลองพิจารณาดูครับ
     
  11. Vatairat

    Vatairat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2010
    โพสต์:
    1,675
    ค่าพลัง:
    +2,294
    ผู้ที่พยากรณ์ได้นะค่ะจะต้องได้ธรรมที่สูงกว่าหรือเท่ากันกับคุณค่ะ
    อนุโมทนาสาธุค่ะ ลองเข้าไปดูในหมวดหลวงพ่อฤๅษีลิงดำดูนะค่ะ
    อนุโมทนาสาธุค่ะ
     
  12. 5th-Lotus

    5th-Lotus เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    354
    ค่าพลัง:
    +306
    โซดา ก๊ะ ชาเย็นนนนน


    กร๊ากกกกก แต่งกลอนพาไปได้ ลื่นไหลดี นิ
    ทันเสฯ เป็น อังคาร กัลยาณพงศ์
    ปลอมตัวมา อ๊ะ ปล่าว เจ้าค่ะ

    :cool::cool::cool:


    คิดได้ไงหว่า โซดาบาน
    อิช้าน ช้อบ ชอบ 55555
    ข้าน้อยขอ คาราวะ 1 จอก
    ด้วย โซดา ....กับชาเย็น 555


    [​IMG]








    แหม ?....จขกท. เข้าใจตั้งคำถามดีจัง แฮะ
    ถ้า เป็น อิฉันน้าาา คง จั่วหัว กาทู้ไปว่า

    "ตู จะลู้ ไปทำไมฟระ ว่า ทะลุโสดาบัน อ๊ะ ยัง ?"


    แหม ๆ ก็โสดาบัน เนี่ย มัน แบกแร้วมัน เท่ห์
    เหมือน แบก พัดยศ อ๊ะปล่าวล่ะ
    เฮ้ออออ เอาไปผสมเหล้ากิน ก็มิได้ งิงิ


    สรุป ก้อคือ อิฉัน มะลู้หรอก คร้าาาาา
    ว่า เมื่อไร ไอ้โซดา มันจะบาน ไม่บาน มันจะฟู มิฟู
    อิฉันลู้แค่ว่า หากตูต้อง จับพลัดจับพลู
    ไปแบกลังโซดาหนัก ๆ จนเกิดทุกขัง
    อิฉันจัก วาง ลังโซดานั้นลงเสีย



    แหม๊ ก็มันหนักนี่ค้าาา
    แร้วนู๋จะบ้า แบกไว้ทำห้า อารายล่ะหว่า งิงิ
    ( อันนี้ แค่ ไอเดียนะ แต่ทำจิง ๆ จะทำได้หรือปล่าว ก็มิลู้ 555)


    อืม...สมณะโคดม ทิ้งขวดโซดา
    ไว้ให้พวกทั่นดูต่างหน้า ล่ะหรือ
    อะไร กันแน่ ที่ สมณะโคดมทิ้งไว้ให้สังคมพุทธมามกะ ศึกษา?


    อจินไตย หรือว่า อริยสัจ กับ สติปัฏฐาน ?

    เหอ ๆ รู้แร้วได้อะไร ไม่รู้ แร้วได้อะไร ชะเอิงเอย

    [​IMG]

    ปอลิง

    อ้อขออำภัย ทุกทั่น( ตามมารยาท )
    ที่บังอาจ เอา ทำมะ มาเตะเล่น
    บังเอิญ อิฉัน มันพวกชอบเห็น
    ทำมะ เป็น ลูกตะกร้อ อ่ะค่ะ
    นึกจะเตะ ก็เตะ นึกจะวางก็วาง งิงิ



    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 มีนาคม 2010
  13. ไข่น้อย

    ไข่น้อย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    170
    ค่าพลัง:
    +348
    ถ้ารู้แล้วจะทำอะไรต่อครับ?
     
  14. Ayukawa

    Ayukawa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    256
    ค่าพลัง:
    +573
    ผมcopyมาแปะไว้ให้ลองอ่านดูครับ เผื่ออาจช่วยได้เอามาจากlink นี้ครับ ��������ʴҺѹ
    อารมณ์พระโสดาบัน

    ท่าน สาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย เวลานี้ท่านทั้งหลายได้สมาทานศีล สมาทานพระกรรมฐานแล้ว ต่อไปนี้ขอได้โปรดฟังคำแนะนำ อารมณ์ของพระ โสดาบัน
    สำหรับวันนี้จะได้พูดถึงอารมณ์ของท่านที่ ทรงความเป็นพระโสดาบัน ท่านทั้งหลายจะได้ทราบไว้ว่า คนที่เป็นพระโสดาบันแล้วมีอารมณ์เป็นยังไง ส่วนใหญ่คนทั้งหลายมักจะมีความรู้สึกว่า คนที่เข้ามาเจริญพระกรรมฐาน หรือสมถภาวนา หรือ วิปัสสนาญาณ และเริ่มเข้ามาเจริญแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างจะต้องตัดหมดนั้นเป็นความรู้สึกผิดของท่านผู้มีความคิดอย่าง นั้น
    ความจริงการเจริญพระสมณธรรมมีอารมณ์เป็นขั้น ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ท่านที่ทรงจิตเป็น ขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิหรือ อัปปนาสมาธิ สำหรับอัปปนาสมาธินี้หมายถึงอารมณ์ฌาน ตั้งแต่ฌานที่ 1 ถึงฌานที่ 8 อารมณ์ประเภทนี้จะระงับได้เพียงนิวรณ์ 5 ประการ แต่ก็เป็นเพียงระงับเท่านั้นไม่ใช่ตัด ถ้ายังมีความประมาทจิตคิดชั่ว ฌานก็สลายตัว เป็นอันว่าผู้ทรงฌานโดยเฉพาะอย่างยิ่งฌานโลกีย์ ยังไม่มีความหมาย ในการเจริญสมณธรรมในพระพุทธศาสนา ถึงแม้ว่าท่านผู้นั้นจะได้มโนมยิทธิก็ดี ได้อภิญญา 5 ในอภิญญา 6 ก็ดี ได้ 2 ในวิชชาสามก็ดี ก็ยังไม่มีความหมายในการตัดอบายภูมิ ท่านที่จะตัดอบายภูมิได้จริง ๆ ก็คือ ตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไป
    คำ ว่า พระโสดาบัน แปลว่า ผู้เข้าถึงกระแสพระนิพพาน
    ฉะนั้น พระโสดาบันก็ยังตัดอะไรไม่ได้หมด เป็นแต่เพียงว่ามีอารมณ์ชนะสังโยชน์ 3 ประการเบื้องต้น แต่เพียงอย่างอยาบเท่านั้น อารมณ์ชนะสังโยชน์ 3 ประการเบื้องต้นก็คือ 1. สักกายทิฏฐิ ที่มี ความรู้สึกว่าสภาพร่างกายหรือว่าขันธ์ 5 เป็นเรา เป็นของเรา เรามีในขันธ์ 5 ขันธ์ 5 มีในเรา เฉพาะอย่างยิ่งในด้านสักกายทิฏฐินี้ พระโสดาบันลดลงมาได้เพียงเล็กน้อย ยังมีความรู้สึกว่าร่างกายเป็นเรา เป็นของเราอยู่ แต่ทว่ามีอารมณ์ไม่ประมาท มีความรู้สึกอยู่เสมอว่าเราจะต้องตาย ที่ท่านกล่าวว่าบรรดาพระ โสดาบันกับพระสกิทาคามี เป็นผู้ทรงศีลบริสุทธิ์ มีสมาธิเล็กน้อย คำว่าสมาธิเล็กน้อย คือ อารมณ์สมาธิของท่านผู้เจริญฌานสมาบัติ มีอารมณ์ตั้งแต่ปฐมฌานขึ้นไป ยังไม่ถึงฌาน 4 ก็สามารถจะเป็นพระโสดาบันได้
    สำหรับ ที่ว่ามีปัญญาเล็กน้อย ก็เพราะว่ายังไม่สามารถตัดขันธ์ 5 ได้เด็ดขาดด้วยกำลังของจิต ยังมีความรู้สึกว่าร่างกายเป็นเรา เป็นของเรา แต่ทว่าความรู้สึกของท่านมีความดีอยู่หน่อยหนึ่งว่าเราจะต้องตาย ยังไง ๆ ก็ต้องตายแน่ เหมือนกับที่เปสการีมีอารมณ์คิดถึงคำสั่งสอนของสมเด็จพระธรรมสามิสร ที่ทรงตรัสว่า
    ชีวิตเป็นของไม่เที่ยง แต่ความตายเป็นของเที่ยง ท่านทั้งหลายจงอย่ามีความประมาทในการสร้างความดี
    นี่ ความรู้สึกของพระโสดาบันในด้านสักกายทิฏฐิ มีอยู่จุดนี้เข้าใจไว้ด้วย มีคนพูดกันว่าถ้าเจริญสมถกรรมฐาน วิปัสสนากรรมฐาน จะต้องสามารถระงับทุกขเวทนาได้หมด ไม่เจ็บ ไม่ป่วย ไม่ร้อน ไม่หนาว นี่ไม่ใช่ความจริง ร่างกายยังมีความรู้สึก ร่างกายยังมีมีจิตเป็นเครื่องรักษา ร่างกายยังมีวิญญาณรู้การสัมผัส ถึงแม้ว่าพระอรหันต์ก็ดี พระพุทธเจ้าก็ดีก็ยังรู้สึก รู้สึกเจ็บ รู้สึกปวดเหมือนกัน
    นี่ว่ากันถึงอารมณ์ของพระ โสดาบัน เมื่อจิตเข้าถึงพระโสดาบันแล้ว มีความไม่ประมาทในชีวิต มีความรู้สึกเสมอว่าเราจะต้องแก่ เราจะต้องตาย แล้วก็ขึ้นชื่อว่าความตายนี้ไม่มีนิมิตเครื่องหมาย ไม่ใช่ว่าจะไป กำหนดอายุการตายว่าต้องตายเท่านั้นเท่านี้ จะตายตั้งแต่ความเป็นเด็ก หรือ ความเป็นหนุ่มเป็นสาว ความเป็นคนแก่ อาการที่จะตาย อาจจะด้วยโรคภัยไข้เจ็บ อาจจะตายด้วยอุบัติเหตุ หรือตายเช้า ตายสาย ตายบ่าย ตายเที่ยง ตายกลางคืน ตายดึก ตายหัวค่ำก็เอาแน่นอนไม่ได้
    ฉะนั้น พระโสดาบันจึงไม่ประมาทในชีวิต คิดว่าถ้าเราจะตายก็เชิญ แต่เราจะตายอยู่กับความดี อารมณ์ของพระโสดาบันที่จะคัดค้านคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระชินศรีนั้นไม่มี คือว่าเป็นคนไม่สงสัยในคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า นี่เป็นอันดับที่ 2 ที่เรียกว่า วิจิกิจฉา พระโสดาบันตัดสังโยชน์ตัวที่ 2 ได้ คือ ความสงสัย ที่เรียกว่า วิจิกิจฉา ขึ้นชื่อว่าความสงสัยในคำสอนของพระพุทธเจ้าไม่มีในพระโสดาบัน เกิดขึ้นด้วยกำลังของปัญญา ที่พิจารณาหาความจริงว่า
    พระธรรม คำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นปัจจัยให้เกิดความสุข
    และ อันดับ 3 สีลัพพตปรามาส พระโสดาบันย่อมทรงศีลบริสุทธิ์ตาม ฐานะของตัว คำว่า ฐานะของตัวก็หมายความว่า ถ้าเป็นฆราวาสก็มีศีล 5 เป็นปกติ มีศีล 5 บริสุทธิ์อยู่ตลอดเวลา ไม่มีเจตนาในการทำลายศีล รักษาศีลบริสุทธิ์ ไม่ทำลายศีลด้วยตนเอง ไม่ยุให้บุคคลอื่นทำลายศีล แล้วก็ไม่ยินดีเมื่อบุคคลอื่นทำลายศีลแล้ว เป็นอันว่าพระโสดาบันเป็นผู้มีความทรงอารมณ์อยู่ในศีลเป็นสำคัญ หนักหน่วงในเรื่องของศีล ยอมตัวตายดีกว่าศีลขาด
    ที่ กล่าวมานี้หมายความว่า สังโยชน์ 3 ประการนี่ พระโสดาบันปฏิบัติมีจิตเข้าถึงตามนี้ นี่ก็พูดกันไปว่าก่อนที่จะเข้าถึงความเป็นพระโสดาบันจากโลกียะเป็นโลกุตตระ ตอนนี้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเรียกว่า โคตรภูญาณ ขณะเมื่ออารมณ์จิตของท่านผู้ปฏิบัติเข้าถึงโคตรภูญาณ
    คำว่าโคตรภู ญาณ นี่ก็หมายความว่า จิตของท่านผู้นั้น ยังอยู่ในระหว่างโลกียะกับโลกุตตระ
    แต่ทว่าอารมณ์ ตอนนี้จะไม่ขังอยู่นาน บางท่านจิตจะทรงอยู่เพียงแค่ชั่วโมงหนึ่ง หรือไม่ถึงชั่วโมง และบางท่านก็อยู่ถึงอาทิตย์สองอาทิตย์ถึงเป็นเดือนก็มี สุดแล้วแต่ความเข้มแข็งของจิต ในช่วงที่จิตเข้าถึงโคตรภูญาณ ท่านกล่าวว่า ในขณะนั้นอารมณ์จิตของนักปฏิบัติ จะมีความรักพระนิพพานอย่างยิ่ง คือมีความรู้สึกอยู่เสมอว่ามนุษย์โลกก็ดี เทวโลกก็ดี พรหมโลกก็ดี ไม่เป็นแดนแห่งความสุข ถ้าเราเกิดเป็นมนุษย์ มันก็ทุกข์ตลอดเวลา ถ้าเกิดเป็นเทวดาก็พักทุกข์ชั่วคราว หรือ พรหมก็เช่นเดียวกัน ถ้าหมดบุญวาสนาบารมีแล้วก็จะต้องจากเทวดา จากพรหมมาเกิดเป็นคนบ้าง บางรายก็เกิดเป็นสัตว์นรก เป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์เดรัจฉาน เป็นอันว่าเขตทั้ง 3 จุด ไม่มีความหมายสำหรับใจ
    จิต ใจของท่านที่มีอารมณ์เข้าถึงโคตรภูญาณ ใจมีความต้องการอย่างเดียวคือ พระนิพพานเป็นปกติ
    แต่ทว่าพอจิตพ้นจากโคตรภูญาณไป แล้ว ก้าวเข้าสู่ความเป็นพระโสดาบันเต็มที่ ที่เรียกว่า โสดาปัตติ ผล ตอนนี้อารมณ์จิตของท่านละเอียดขึ้นมานิดหนึ่ง นอกจากจะ รักพระนิพพานเป็นอารมณ์ แล้วก็มีความรู้สึกว่าทุกสิ่งทุกอย่างในโลก มันเป็นของธรรมดา
    การนินทาว่าร้ายที่จะปรากฏขึ้น กับบุคคลผู้ใดกล่าวถึงเรา จิตดวงนี้มีความรู้สึกว่า ธรรมดาของคนที่เกิดมาในโลกมันเป็นอย่างนี้ ความป่วยไข้ไม่สบายเกิดขึ้น การพลัดพรากจากของรักของชอบใจเกิดขึ้น มีความรู้สึกหนักไปในด้านของธรรมดา แต่ทว่าธรรมดาของพระโสดาบัน ยังอ่อนกว่า ธรรมดาของพระอรหันต์มาก
    ฉะนั้น ท่านที่เข้าถึงความเป็นพระโสดาบัน จึงยังมีความรักในระหว่างเพศ ยังมีการแต่งงาน ยังมีความอยากรวย ยังมีความโกรธ ยังมีความหลง ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่า ท่านกล่าวไว้แล้วว่า พระโสดาบันมีสมาธิ เล็กน้อย และก็มีปัญญาเล็กน้อย หากว่าท่านทั้งหลายจะถามว่า ถ้าคนยังมีความรักในเพศ ยังมีการแต่งงาน ยังมีการอยากรวย ยังมีความโกรธ ยังมีความหลงก็ดูเหมือนว่าพระโสดาบันก็คือ ชาวบ้านธรรมดา
    แต่ ความจริงไม่ใช่อย่างนั้น ความรักในระหว่างเพศก็ดี ความอยากรวยก็ดี ความโกรธก็ดี ความหลงก็ดี ของพระโสดาบันอยู่ในขอบเขตของศีล เรารักในรูปโฉมโนมพรรณ มีการแต่งงานกันได้ระหว่างสามีภรรยาของตนเอง ยอมเคารพในสิทธิซึ่งกันและกัน จะนอกใจสามีและภรรยา ขึ้นชื่อว่า กาเมสุมิจฉาจาร จะไม่มีสำหรับพระโสดาบัน จะทำให้ครอบครัวนั้นมีอารมณ์เป็นสุข
    และประการที่ 2 พระโสดาบันยังมีความโกรธ ท่านโกรธจริง พูดเป็นที่ไม่ถูกใจท่านก็โกรธ ทำให้ไม่เป็นที่ไม่ถูกใจท่านก็โกรธ แต่ทว่าพระโสดาบันมีแต่อารมณ์โกรธ ไม่ประทุษร้ายให้เขามีการบาดเจ็บ และไม่ฆ่าคนหรือสัตว์ที่ทำให้ตนโกรธ ให้ถึงแก่ความตาย เป็นอันว่าความโกรธหรือความพยาบาทของท่าน อยู่ในขอบเขตของศีล จิตโกรธแต่ว่าไม่ทำร้าย คือ แตกต่างกับคนธรรมดาตรงนี้
    สำหรับ ด้านความหลงของพระโสดาบัน ที่ขึ้นชื่อว่าหลง เพราะยังมีความรักในเพศ ยังมีความอยากรวย เมื่อสักครู่นี้ข้ามคำว่าอยากรวยไป การอยากรวยของพระโสดาบัน คือ ต้องการความรวยในด้านสุจริตธรรมเท่านั้น เรียกว่า การทุจริตคิดร้ายคดโกงบุคคลอื่นใด ไม่มีในอารมณ์จิตของพระโสดาบัน ประกอบอาชีพด้วยความสุจริต เพราะอาศัยยังรักในความสวยสดงดงาม คือ รูปสวย เสียงเพราะ กลิ่นหอม รสอร่อย สัมผัสระหว่าเพศยังมีอยู่ ยังมีความอยากรวย ยังมีความโกรธ ยังมีความหลง เพราะว่ายังคิดว่าทุกสิ่งทุกอย่างในโลก ยังมีของสวยของงาม การถือตัวถือตนแบบนี้ จึงเชื่อว่ายังมีความหลง แต่ความหลงของพระโสดาบันนั้น ไม่สามารถจะนำบุคลผู้นั้น ในเวลาแล้วไปสู่อบายได้
    จุดนี้ขอบรรดาท่านทั้งหลายผู้รับฟัง จงจำไว้ว่า ความจริงอารมณ์ของพระโสดาบันนั้น ไม่แตกต่างกับชาวบ้านธรรมดาเท่าไรนัก ชาวบ้านธรรมดา ยังมีความรักในเพศ ยังมีสามี ภรรยา แต่ทว่ายังมีการนอกใจภรรยา สำหรับพระโสดาบันไม่มี ชาวบ้านอยากรวยก็ยังมีการคบคิดกันคดโกง การโกงมีการยื้อแย่งฉกชิงวิ่งราวดูทรัพย์ สำหรับพระโสดาบันนี่ ถ้าต้องการรวยก็รวยด้วยการสุจริต หากินด้วยความชอบธรรม ต่างกันตรงนี้
    พระ โสดาบันยังมีความโกรธ ชาวบ้านโกรธแล้วก็ปรารถนาจะประทุษร้าย ถ้ามีโอกาสก็ประทุษร้ายบุคคลที่เราโกรธ ถ้าสามารถจะฆ่าได้ก็ฆ่า สำหรับพระโสดาบันมีแต่ความโกรธ การประทุษร้ายไม่มี การฆ่าการประหารไม่มี นี่ต่างกันกับชาวบ้าน
    พระโสดาบันยังมีความหลง ตามที่ได้กล่าวมาด้วยอาการที่ผ่านมาแล้ว แต่ทว่าพระโสดาบันก็ไม่ลืมคิดว่า เราจะต้องตาย เมื่อเราตายแล้ว เราจะต้องพลัดพรากจากของรักของชอบใจ ตอนนี้พระโสดาบันไม่เสียใจ ไม่เสียดาย ถือว่าถ้าตายเราจะมีความสุข นี่ขอท่านทั้งหลายจำอาการอารมณ์จิตที่เข้าถึงพระโสดาบันไว้ด้วย
    ตอน นี้จะขอพูดอีกนิดหนึ่งถึงอารมณ์ความจริงของพระโสดาบัน ที่เรียกกันว่า องค์ ของพระโสดาบัน
    คำว่า องค์ ก็ ได้แก่ อารมณ์จิตที่ทรงไว้อย่างนั้นอย่างแนบแน่นสนิท นั่นก็คือ
    1.พระ โสดาบันมีความเคารพในพระพุทธเจ้าอย่างจริงใจ ไม่คลายในความเคารพในพระพุทธเจ้า ไม่ว่าจะมีเหตุผลใด ๆ เกิดขึ้น ใครจะมาจ้างให้รางวัลมาก ๆ ให้กล่าวว่าพระพุทธเจ้าไม่ใช่พระพุทธเจ้า พระธรรมไม่ใช่พระธรรม พระสงฆ์ไม่ใช่พระสงฆ์ แม้แต่พูดเล่นพระโสดาบันก็ไม่พูด ทั้งนี้เพราะว่าอะไร เพราะว่าท่านมีความเคารพในพระพุทธเจ้า มีความเคารพในพระธรรม มีความเคารพในพระอริยสงฆ์อย่างจริงใจ แต่ทว่าระวังให้ดี ถ้าพระสงฆ์เลว พระโสดาบันไม่ใส่ข้าวให้กิน
    ตัวอย่าง ภิกษุโกสัมพี มี ความประพฤติชั่ว ตอนนั้นฆราวาสที่เป็นพระอริยเจ้านับหมื่น ไม่ยอมใส่ข้าวให้กิน เพราะถือว่าเป็นโจรปล้นพระพุทธศาสนา เป็นผู้ทำลายความดี ไม่ใช่ว่าเป็นพระอริยเจ้าแล้วละก็ จะเมตตาไปเสียทุกอย่าง ท่านเมตตาแต่คนดีหรือว่าบุคคลผู้ใดมีความประพฤติชั่วท่าน แนะนำแล้วสามารถจะกลับตัวได้ พระโสดาบันก็เมตตา ถ้าเขาชั่วแนะนำแล้วไม่สามารถจะกลับตัวได้ พระโสดาบันก็ทรงอุเบกขา คือ เฉยไม่สงเคราะห์ โปรดจำอารมณ์ตอนนี้ไว้ให้ดี
    2. ในประการต่อไป พระโสดาบันมีศีลบริสุทธิ์ ขอพูดย่อให้สั้น เพราะองค์ของพระโสดาบันก็คือ
    (1) มีความเคารพในพระพุทธเจ้า
    (2) มีความเคารพในพระธรรม
    (3) มีความเคารพในพระอริยสงฆ์
    นี่จัดเป็นองค์ที่มี 3 ประการ
    (4) และสิ่งที่จะแถมขึ้นมาก็คือรักพระนิพพานเป็นอารมณ์ ทำทุกสิ่งทุกอย่างไม่หวังผลตอบแทน ไม่หวังความดีมีชื่อเสียงในชาติปัจจุบัน มีความรู้สึกต้องการอยู่อย่างเดียวว่าเราทำความดีทุกอย่างเพื่อพระนิพพาน เท่านั้น อารมณ์จิตตอนนี้ขอบรรดาท่าพุทธบริษัทภิกษุ สามเณรทุกท่านต้องจำไว้ จงอย่าไปคิดว่าพระโสดาบันเลอเลิศไปถึงอารมณ์อรหันต์โดยมากมักจะคิดว่าอารมณ์ ของพระอรหันต์เป็นอารมณ์ของพระโสดาบัน ก็เลยทำกันไม่ถึง นี่เป็นการคิดผิด ความจริงการเป็นพระโสดาบันเป็นง่าย มีอารมณ์ไม่หนักที่หนักจริง ๆ ก็ คือ ศีลอย่างเดียว
    ต่อไปนี้ขอพูดถึงอาการของพระโสดาบันที่จะพึง ได้ พระโสดาบันจัดเป็น 3 ขั้น คือ
    1.สัตตักขัตตุง สำหรับ ที่ท่านเป็นพระโสดาบันมีอารมณ์ยังอ่อน จะต้องเกิดและตายในระหว่างเทวดาหรือพรหมกับมนุษย์อีกอย่างละ 7 ชาติ เป็นมนุษย์ชาติที่ 7 และเข้าถึงความเป็นอรหัตผล
    2. ถ้ามีอารมณ์เข้มแข็งปานกลาง ที่เรียกกันว่า โกลังโกละ อย่าง นี้จะทรงความเป็นเทวดาหรือมนุษย์อีกอย่างละ 3 ชาติครบเป็นมนุษย์ชาติที่ 3 เป็นพระอรหันต์
    3.สำหรับพระโสดาบันที่มีอารมณ์เข้มแข็งเรียก ว่า เอกพิชี นั่นก็จะเกิดเป็นเทวดาอีกครั้งเดียว มาเกิดเป็นมนุษย์แล้วก็เป็นพระอรหันต์
    4.ที่พูดตามนี้ หมายความว่า ท่านผู้นั้นเมื่อเป็นพระโสดาบันแล้วเกิดใหม่ไม่ได้พบพระพุทธศาสนา จะต้องฝึกฝนตนเองอยู่เสมอทุกชาติ แต่ว่าความเป็นมิจฉาทิฏฐิในชาติต่อ ๆไป จะไม่มีแก่พระโสดาบัน เพราะว่า พระโสดาบันไม่มีสิทธิที่จะไปเกิดเป็นสัตว์นรก เป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์เดรัจฉาน จะเกิดได้แค่ช่วงแห่งความเป็นมนุษย์กับเทวดาหรือพรหมสลับกันเท่านั้น
    เป็น อันว่าพระโสดาบันนี่ ถ้าท่านทั้งหลายพิจารณาให้ดีแล้ว ก็มีความรู้สึกว่าเป็นของไม่ยาก
    หากว่าท่านจะถามว่า พระโสดาบันทั้งสัตตักขัตตุง โกลังโกละ และเอกพีชี มีอารมณ์ต่างกันอย่างไร
    ก็ จะขอตอบว่า พระโสดาบันขั้นสัตตักขัตตุง มีจริยาคล้ายชาว บ้านธรรมดามาก ยังมีอารมณ์รุนแรงในความรัก ยังมีอารมณ์รุนแรงในความโลภ ในความโกรธ ในความหลง แต่ทว่าเป็นผู้มั่นคงในศีล ไม่ละเมิด
    สำหรับ พระโสดาบันขั้นโกลังโกละ ขั้นโกลังโกละนี้มีอารมณ์เยือกเย็นมาก หรือว่ามีความมั่นในคุณพระรัตนตรัย มีศีลมั่นคงมาก ความจริงเรื่องศีลนี่มั่นคงเหมือนกัน แต่ว่าจิตท่านเบาบางในด้านความรัก ความโลภ ความโกรธ ความหลง ความคำนึงถึงอารมณ์อย่างนี้มีอยู่แต่ก็น้อย ถ้ามีคู่ครองเขาจะโทษว่า กามคุณท่านจะลดหย่อนลงไป ความสนใจในเพศ ความสนใจในความโลภ อารมณ์แห่งความโกรธ อารมณ์แห่งความหลงมันเบา กระทบไม่ค่อยจะมีความรู้สึก
    สำหรับพระโสดาบันขั้น เอกพีชี ในตอนนี้อารมณ์ของท่านผู้นั้น จะมีอารมณ์ธรรมดาอยู่มาก ขอท่านทั้งหลายโปรดอย่าลืมว่า พระอริยเจ้าจะเป็นฆราวาสก็ดี จะเป็นพระก็ดี จะเป็นเณรก็ดี จะเป็นคนมีจิตละเอียด ไม่ขัดคำสั่งผู้บังคับบัญชา และไม่ขัดคำสั่ง ไม่ฝ่าฝืนกฎระเบียบวินัยและกฏหมาย อันนี้เป็นอารมณ์ของพระโสดาบัน ที่ท่านทั้งหลายจะพึงทราบ
    สำ หรับเอกพิชีนี่ ความจริงมีอาการจิตใจใกล้พระสกิทาคามี แต่ทว่าสิ่งที่จะระงับไว้ได้นั้น กดด้วยกำลังของศีล มีความรู้สึกว่าเราจะต้องประคับประคองศีลของเราให้แจ่มใสอยู่เสมอ มองดูความรักในระหว่าเพศ หรือว่าความร่ำรวย หรือว่าความโกรธ หรือหลงในระหว่างเพศ หลงในสภาวะต่าง ๆ เห็นว่าเป็นของไร้สาระ มีอารมณ์เบาในความปรารถนาในสิ่งนั้น ๆ แต่ทว่าก็ยังมีความปรารถนาอยู่
    เอา ละ บรรดาสาวกขององค์สมเด็จพระบรมครู เมื่อพูดมาถึงจุดนี้ วันนี้คงไม่ได้อารมณ์แห่งการปฏิบัติ แต่ทว่าอารมณ์แห่งการปฏิบัติ ในความเป็นพระโสดาบันท่านฟังกันมาแล้วสองคืน ผมเองมีความรู้สึกว่า ท่านทั้งหลายคงจะรู้สึกว่าง่ายสำหรับท่าน แต่ถ้าหากว่าเห็นว่าอารมณ์ของพระโสดาบันยากนี่ ถ้าเป็นพระเป็นเณร ผมไม่ถือว่าเป็นพระเป็นเณร ผมถือว่าเป็นเถน เถนในที่นี้หมายความว่ามี สระเอ นำหน้า มีถอถุง และ นอหนู เขาแปลว่าหัวขโมย คือ ขโมยเอาเพศของพระอริยเจ้ามาหลอกลวงชาวบ้าน ตามปกติพระกับเณรนี่ต้องทรงศีลบริสุทธิ์อยู่แล้ว
    เอาละ พุดไปเวลามันเกินไป 1 นาที ก็ขอพอไว้แต่เพียงนี้ หวังว่าท่านทั้งหลายคงจะเข้าใจ ต่อแต่นี้ไปขอท่านทั้งหลายตั้งกายให้ตรง ดำรงจิตให้มั่น จะอยู่ในอิริยาบถใดก็ตาม นั่งก็ได้ ยืนก็ได้ เดินก็ได้ นอนก็ได้ตามอัธยาศัย ทรงกำลังใจควบคุมความเป็นพระโสดาบันของท่านไว้ จนกว่าจะถึงเวลาที่ท่านเห็นว่าสมควร สวัสดี
     
  15. innertruth

    innertruth Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    81
    ค่าพลัง:
    +64
    ไม่ชอบเลย ... พูดจาถากถางส่อเสียด ... ศีลห้ายังรักษาไม่ได้ แล้วจะเอาอะไรกะธรรมะ
     
  16. Mr.Boy_jakkrit

    Mr.Boy_jakkrit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    2,063
    ค่าพลัง:
    +2,676

    เป็นอย่างนี้ต่อไปซักหน่อยเดี๋ยวก็มี เข็มกลัด หรือเครื่องวัตถุแสดงขั้นปฏิบัติสิเนี่ย..


    อืมม..

    เข็มกลัดโสดาบัน
    ป้ายแขวนคอ..ฯล

    เหอ..เหอ..
     
  17. albertalos

    albertalos เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2006
    โพสต์:
    2,462
    ค่าพลัง:
    +1,137
    ให้ดูว่าตอนนี้รู้ตัวไหมว่าใจของตนเป็นอย่างไรกายของตนเป็นอย่างไร
    ท่ายังทุขอยู่ก้ขอให้เพียรพยามต่อไปครับ ท่ารู้ว่าทั้งกายและใจเป็นสุขอยู่ตลอดเวลา แม้พลัดพลากแม้เจอกับสิ่งที่พอใจและไม่พอใจ ก้น่าจะวัดได้บ้างนะครับ ว่าใจเรายอมรับต่อสิ่งที่เป็นไปอย่างไรดิ้นรนทุขทนแค่ไหน
    แต่ท่าจะวัดเป็นลำดับขั้นก้คงต้องศึกษาและปติบัติครับและรุ้ได้ด้วยตนเอง
     
  18. นายตถาตา

    นายตถาตา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มกราคม 2010
    โพสต์:
    829
    ค่าพลัง:
    +705
    จะรู้ไปเพื่อประโยชน์อันใดเล่า
     
  19. ถิ่นธรรม

    ถิ่นธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    1,824
    ค่าพลัง:
    +5,398
    การบรรลุธรรมขั้นแรก ต้องเกิดดวงตาเห็นธรรม ซึ่งมีองค์ 5 คือ จักขุ ญาณ ปัญญา วิชชา แสงสว่าง ถ้าหลับตาแล้วยังมืดอยู่ก็แสดงว่ายังไม่ใช่ เมื่อได้ดวงตาเห็นธรรมแล้วปฏิบัติต่อไปใจจะสะอาดบริสุทธิ์ขึ้น แสงสว่างก็มากขึ้น ทำให้ธรรมจักขุสำหรับเห็นสังโยชน์เบื้องต่ำอันเป็นเครื่องร้อยรัดก็บังเกิดขึ้น เมื่อเห็นแล้วปัญญาปรากฏให้เห็นโทษภัยและหนทางที่จะละสังโยชน์นั้น เมื่อรู้เห็นทางมรรคผลก็ดำเนินตามความรู้นั้นคือวิชชาอันเป็นเครื่องละสังโยชน์ 3 เมื่อละสังโยชน์เบื้องต่ำได้เด็ดขาดแล้ว ญาณอันเป็นเครื่องรู้ถึงความเป็นโสดาบันก็ปรากฏขึ้น ทันทีที่บรรลุโสดาบันผู้ปฏิบัติพึงรู้ได้ด้วยตนเองว่าเป็นพระโสดาบันแล้ว ไม่ต้องให้ใครมาพยากรณ์อีก
     
  20. โป

    โป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    183
    ค่าพลัง:
    +256
    หากหลับตาเพื่อประสงค์ให้เห็นแสงสว่างนั้น มีสองวิธีคือ

    ๑.ใช้เปลือกตา บีบกดลูกตาตนเอง เพื่อให้บริเวณที่ถูกกดเกิดแสงสว่าง

    ๒.นึกถึงแสงสว่างให้ปรากฏกับใจ อันเป็นแนวทางของการฝึกกสิณสีขาว

    วิธีแรกผิดอย่างสิ้นเชิง

    วิธีที่สองหากบอกว่าทำเพื่อให้จิตสงบ อันเป็นแนวทางของการทำสมาธิอย่างนั้น" ใช่ " ครับ

    แต่หากบอกว่า เมื่อมีแสงสว่างมากขึ้น จะมองเห็นสังโยชน์เครื่องร้อยรัด และเกิดปัญญาหาทางละสังโยชน์นั้น ผมก็เห็นว่าผิดอยู่ดีครับ

    วิธีการละสังโยชน์คือการละคลายความยึดมั่นถือมั่นในทุกๆสิ่ง จากหยาบไปละเอียด

    จากกายเข้าไปสู่ใจ แม้มีบางวิธีที่ลัดตัดตรงเข้าไปในใจโดยตรง ไม่ผ่านกายก็ตาม

    แต่ก็ต้องละความยึดมั่นถือมั่นของใจในตอนท้ายอยู่ดี


    การดวงตาเห็นธรรม( พระโสดาบัน ) เป็นกระบวนการดำเนินไปของจิตที่กำเนิดขึ้นเองในสองสามขณะจิต

    เกิดแล้วความถือมั่นในใจตัวเองก่อนดวงตาเห็นธรรมสิ้นไป

    มีใจที่มีความรู้สึกใหม่ขึ้นมา รู้แล้วว่าเราไม่มีในเรา แต่ยังต้องอาศัยเป็นพาหนะข้ามฟากไป
     

แชร์หน้านี้

Loading...