เรื่องเล่าของหลวงพ่อคุยกับเทวดา ตายแล้วไม่สูญ..แล้วไปไหน

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย Bens, 11 กันยายน 2006.

  1. Bens

    Bens เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มกราคม 2006
    โพสต์:
    227
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,498


    [​IMG]





    ตายไม่สูญแล้วไปไหน


    ความจริง
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. Bens

    Bens เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มกราคม 2006
    โพสต์:
    227
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,498
    เรื่องที่ 2 ประสบการณ์ตายของหลวงพ่อปาน


    เรื่องที่ 2

    ประสบการณ์ตายของหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค อำเภอเสนา จ.พระนครศรีอยุธยา
    <O:p</O:p




    สมัยหลวงพ่อปานอายุ 38 ปี ถึงแม้ว่าท่านเป็นผู้มีความดีประกอบไปด้วยเมตตาปราณี ท่านเป็นพระที่ช่วยป้องกันคนอื่นมามากก็ตาม แต่ขึ้นชื่อว่ากฎของกรรมไม่มีใครหลีกเลี่ยงได้ วันหนึ่งหลวงพ่อปานไปที่วัดประตูสาน จังหวัดสุพรรณบุรี วัดนี้อยู่ทางฝั่งตะวันตกของจังหวัดสุพรรณบุรี เป็นต้นทางที่จะไปวัดป่าเลไลย์ในสมัยนั้น ตอนเย็นท่านเข้าไปอาบน้ำในห้องน้ำ ก็ถอดอังสะ อังสะของท่านมีพระเครื่องอยู่ด้วย แล้วท่านก็ล้มลุกไม่ได้ ท่านถูกบังฟัน เขาใช้คาถา ตั้งใจจะฟันคนไหน เขาก็ฟันผักฟันฟักแฟงก็ตามเขาก็ว่าคาถาจะฟันให้ถูกตรงนั้น เขาฟันวัตถุแต่แผลมันปรากฏในร่างกาย ผิวหนังภายนอกไม่ปรากฏรอยแผล ท่านถูกบังฟันเป็นแผลยาวในอกข้างในและยังเป็นรอยนูน ผลที่สุดก็ต้องหามกันลงเรือแจว หลวงพ่อปาน เวลาไปไหนท่านใช้เรือสัมปันนี มีเก๋ง ทาสีขาวทั้งลำ มีคนแจวหัวแจวท้าย ในขณะนั้นท่านมีอาการใกล้ปางตาย ท่านขอร้องให้พาท่านกลับวัด พอมาถึงวัดบางซ้ายในปรากฏว่าอาการท่านหนักมาก ท่านบอกให้แวะเข้าไปที่วัดบางซ้ายในก่อน ให้หามท่านขึ้นไปบนศาลา ก็อาศัยศาลาท่าน้ำนอนอยู่ แล้วให้ไปตามอาจารย์จาบเป็นหมอและเป็นเพื่อนท่าน ต้องใช้ม้าไปรับกันในสมัยนั้น ที่บางบาลมันไกลมาก<O:p</O:p
    อาจารย์จาบมาถึงจับชีพจรแล้วบอกว่า ท่านปานยังไม่ตาย ไปธุระประเดี๋ยวก็กลับ อาจารย์จาบบอกว่า ยาฉันเป็นยาสูง พระต้องใช้ยาสูง ใช้ยาต่ำไม่ได้ สมัยนั้นเป็นป่า เป็นดง เป็นทุ่ง ตลาดไม่มี ท่านก็เดินไปเด็ดยอดไม้ ยอดมันสูง ท่านก็บอก นี่เขาเรียกยาสูง วันนั้นยังไม่ฟื้นผ่านไปสัก 6-7 ชั่วโมงใกล้รุ่ง หลวงพ่อปานจึงรู้สึกตัวและก็ฉันยาของอาจารย์จาบ เป็นอันว่าท่านก็หาย และก็เล่าความเป็นมาให้ฟัง
    <O:p</O:p
    ขณะที่ท่านเจ็บ เขาก็หามลงเรือ ท่านก็ภาวนาบ้างพิจารณาบ้างให้จิตเป็นสุข ท่านไม่ได้ปล่อยกรรมฐานเลย ต่อมามันเครียดหนักท่านจึงสั่งให้ขึ้นวัดบางซ้ายใน คิดว่าไม่ถึงวัดบางนมโคเพราะจากวัดบางซ้ายในถึงวัดบางนมโคต้องแจวเรือ 2-3 ชั่วโมง หลวงพ่อปานท่านบอกเห็นท่าไม่ไหว ก็ขึ้นไปนอนจับพระกรรมฐานเป็นปกติ ทุกคนในที่นั้นบอกว่าท่านสลบไป แต่ท่านบอกว่าท่านไม่ได้สลบ อทิสมานกายมันออก คือตัวในออกจากตัวนอกมีสภาพเป็นกายเดินออกไปเรื่อยๆ ตามสบายพอไปถึงจุดสุดเขตชั้นดาวดึงส์ใกล้จะเข้าเขตดุสิต เห็นอาคารลิบๆ อยู่ข้างหน้าแพรวพราวระยิบระยับ เป็นสง่าสวยสดงดงามมาก ท่านตั้งใจจะไปสู่อาคารหลังนั้น ปรากฏว่าขณะนั้นก็ได้ยินเสียงเรียกขึ้นว่า “ท่านปาน ท่านปาน หยุดก่อน” ท่านจึงเหลียวหลังมาดูเห็นพระพุทธเจ้ายืนงามสง่าสวยอร่าม มีฉัพพรรณรัศมี 6 ประการ ท่านก้มลงกราบพระองค์ พระองค์ตรัสว่า “จะไปไหน” หลวงพ่อปานตอบว่า “จะไปชั้นดุสิต” พระองค์บอกว่า “คุณปาน คุณยังไปไม่ได้ ภาระใหญ่ของคุณยังมีมาก วัดวาอารามยังสร้างไม่เสร็จและกิจอื่นๆที่คุณต้องทำยังมีอยู่ จงกลับไปปฏิบัติงานให้เสร็จเสียก่อนจึงจะไปได้ สถานที่นี้เธอมีโอกาสจะได้อยู่แน่นอน “หลวงพ่อปานก็บอกว่า ร่างกายมันไม่ดีทนไม่ไหว ทุกขเวทนามันหนักทนไม่ไหวจึงออกมา” พระองค์บอกว่า “หมอจาบเขามารักษาเขามารักษาแผลได้และพิษต่างๆสลายตัวแล้ว กลับลงไปเถอะ”พอสิ้นเสียงของพระพุทธเจ้าก็ปรากฏว่าจิตเข้าร่างพอดี ท่านลืมตาขึ้นใกล้สว่างแล้วของวันใหม่
    <O:p</O:p
    หลวงพ่อปานท่านบอกว่ากฎแห่งกรรม มาจากโทษปาณาติบาตทำให้ร่างกายไม่ดี ในชาตินี้โทษปาณาติบาตของท่านเห็นจะไม่มี และท่านก็บอกอีกว่า “ต่อไปฉันก็ต้องตายด้วยแผลอันนี้แต่เวลานั้นแผลหายไปหมดแล้ว” นับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ท่านก็ไม่มีความประมาทในชีวิตคิดว่าความตายอยู่แค่ปลายจมูก ถ้าสิ้นลมปราณเมื่อไหร่ก็ตายเมื่อนั้น เมื่อหายจากอาการไข้แล้ว ท่านก็เร่งรัดทำความดีหนักขึ้น คือสงเคราะห์บรรดาประชาชนทั้งหลายด้วยการรักษาโรคบ้าง มีใครอดอยากที่ไหนท่านก็นำอาหารการบริโภคไปแจก พระวัดไหนไม่มีกฐินจะรับ ท่านก็ไปทอดกฐินถึง 17 วัด การก่อสร้างก็สร้างคราวเดียว 3-4 วัดพร้อมๆกัน และสำหรับจริยาวัตรนั้นก็สั่งสอนอบรมพระทุกๆ 15 วัน คือวันโกนของกลางเดือนกับวันโกนของวันสิ้นเดือน ท่านจะต้องประชุมพระแนะนำข้อวัตรปฏิบัติตามพระวินัย วิธีที่จะปฏิบัติให้เข้าจุดอย่างง่ายๆ และอุปสรรคในการปฏิบัติพระกรรมฐาน การที่ท่านทำทุกอย่างอย่างนั้นจัดเป็นมหากุศล เพราะการทำบุญที่เป็นส่วนสาธารณชนนั้น เช่นเอาข้าวสารเอาอาหารไปแจกคนยากจน

    เอาเสื้อผ้าไปแจก ถ้าจะเปรียบการให้ประเภทนี้ก็มีความดีคล้ายกับถวายสังฆทานแต่เสมอสังฆทานไม่ได้ เพราะสังฆทานเป็นทานที่หมายเอาพระพุทธเจ้าเป็นประธานมีพระอริยสงฆ์เป็นผู้รับ การที่เราให้กับคน บางทีที่รับเป็นคนมีศีลไม่บริสุทธิ์ อานิสงส์ก็น้อยไปหน่อย แต่ถึงจะน้อยประการใดก็ตามที บุญบารมีประเภทนี้ก็สามารถส่งผลให้เราเข้าถึงพระนิพพานได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าตายในชาติปัจจุบัน ทางที่เราจะไปได้ก็คือสวรรค์ชั้นดาวดึงส์สเทวโลก ตัวอย่าง ท่านอังกุรเทพบุตร ให้ทานแก่คนภายนอกพระพุทธศาสนา ปรากฏว่าตายจากมนุษย์แล้วไปเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์สเทวโลก แต่ว่าสภาพร่างกายไม่ผ่องใสพอ มีศักดาไม่เสมอด้วยเทวดาทั้งหลาย แต่ขึ้นชื่อว่าเป็นเทวดาแล้ว ถึงแม้จะเป็นเทวดาท้ายแถวก็ยังดีกว่ามนุษย์หัวแถวเพราะไม่มีแก่ ไม่มีหิว ไม่มีกระหาย ไม่มีความหนาว ไม่มีความร้อน ไม่มีการป่วยไข้ไม่สบาย จะมีก็เพียงเกิดเป็นเทวดา แล้วก็ตายจากการเป็นเทวดาเท่านั้นเอง
    <O:p</O:p
    ฉะนั้น การบำเพ็ญกุศลทานแก่คนภายนอกพระพุทธศาสนา หรือแก่คนในเขตพระพุทธศาสนาแต่ว่าไม่มีความเคารพในพระพุทธศาสนาอย่างจริงจัง การบำเพ็ญกุศลด้วยจะมีผลน้อยก็ตาม แต่ถ้าทำบ่อยๆก็มากเหมือนกัน เพราะการเกื้อกูลซึ่งกันและกันเป็นปัจจัยให้เกิดความสุขทั้งในชาติปัจจุบันและชาติต่อไป ในชาตินี้ก็มีคนรักเรามากเพราะผู้ให้ย่อมเป็นที่รักของบุคคลผู้รับ ไปทางไหนก็มีแต่คนไหว้คนเคารพ อันตรายก็ไม่มี การเดินทางไปไหนจะตกรถ ตกเรือ จะหัวตายไปในระหว่างทางจะไม่มีสำหรับคนประเภทนี้......<O:p</O:p
     
  3. Bens

    Bens เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มกราคม 2006
    โพสต์:
    227
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,498
    *-*

    [music]C:\Documents and Settings\Belta\My Documents\พระคาถา\รวมMP3เทศและบทเพลงต่างๆ\Original Sound[1]......wma[/music]
     
  4. Bens

    Bens เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มกราคม 2006
    โพสต์:
    227
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,498
    เรื่องที่ 3 ประสบการณ์ตายของพระมหาถาวร (1-8)

    เรื่องที่ 3

    ประสบการณ์ตายของพระมหาถาวร(หลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง)<O:p</O:p

    <O:p





    เรื่องของคนที่ตายไปแล้วกลับมาเกิดใหม่ ระลึกชาติได้ก็ดี ตายชั่วคราวฟื้นขึ้นมาเล่าเหตุการณ์ที่ประสบมาก็ดี ที่เล่าเรื่องทั้งหลายมานี้ก็เพื่อเปลื้องความสงสัยที่บรรดาท่านสาธุชนและท่านปุถุชนทั้งหลาย พากันสงสัยในคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า บางท่านก็พยามยามค้านว่า คนที่ตายแล้วถ้าเกิดจริงตามที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ ทำไมไม่มีใครส่งข่าวคราวให้ทราบบ้างบางท่านก็ว่าเทวดามีจริง ญาติที่เป็นเทวดาทำไมไม่มาช่วยเหลือให้มีความสุขบ้าง เรื่องสงสัยนี้แม้พระที่ท่านเทศน์โปรดประชาชนบางท่านที่เป็นสหายคู่เทศน์กับอาตมาเอง ก็เคยปรารภให้อาตมาทราบว่าท่านสงสัย แต่ท่านรูปนั้นขณะนี้หายสงสัยแล้ว ด้วยได้ให้กำลังใจท่าน โดยขอให้ท่านทดลองปฏิบัติตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า อย่าทำตนเพียงเป็นคนอ่านอย่างเดียว ให้ท่านทำตามด้วย ในที่สุดท่านก็ไม่มีอะไรสงสัยอีก ท่านจะได้อะไรถึงขั้นระดับไหนนั้น เป็นเรื่องที่ท่านเจ้าของอธิบายให้ฟัง เรื่องที่จะบรรยายมาแล้ว ท่านผู้อ่านจะเชื่อหรือไม่เชื่อ ผู้บรรยายก็ไม่มีกฎบังคับอะไร ท่านที่เชื่อก็ลองหาทางปฏิบัติเพื่อพ้นอบายภูมิ สำหรับท่านที่ไม่เชื่อก็ลองคิดว่าฟังหลวงตาแก่เล่านิทานก็แล้วกัน

    เรื่องที่นำมาเล่าสู่กันฟังต่อไปนี้เป็นเรื่องที่ได้มาจากพระมหาถาวร ซึ่งเป็นเพื่อนรักเพื่อนเกลอกับอาตมา เคยร่วมสำนักอุปสมบทแห่งเดียวกัน เคยศึกษาพระปริยัติธรรมร่วมกันมา เคยฝึกพระกรรมฐานในสำนักเดียวกัน เคยร่วมงานบริหารคณะสงฆ์มาด้วยกัน บัดนี้ท่านเลิกทุกอย่างคือ เรื่องงานบริหารหรือแม้กิจนิมนต์ที่เห็นว่าไม่จำเป็นนัก ท่านปลีกตัวออกสู่แดนไพรเพื่อแสวงหาความสุขอันเกิดจากวิเวก คือความสงบสงัดมีร่มไม้ชายป่าเป็นที่อาศัย มีธรรมปีติเป็นอาหารใจ ตังใจปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้น ท่านไม่สนใจในคำนินทาและคำสรรเสริญ ขอท่านทั้งหลายอ่านเรื่องราวของท่านต่อไป ท่านจะได้ทราบถึงการตายของท่านมหาถาวร ท่านตายถึง 8 วาระ เมื่อตายแล้วท่านได้เห็น นรก สวรรค์ พระนิพพาน แล้วท่านมิได้นิ่งนอนใจท่านพยายามฝึกฝนตนเองเพื่อได้ทิพยสมบัติส่วนใดส่วนหนึ่งตามที่ท่านตั้งใจไว้ท่านจึงละทุกอย่าง อาทิ ลาภ ยศ สรรเสริญ และสุข ที่มีอามิสเป็นเชื้อออกสู่ป่าดง ประสงค์เพื่อได้สุขที่มีแต่ความบริสุทธิ์ไม่มีอามิสเป็นเชื้อ ท่านทั้งหลายจะได้ทราบเรื่องของท่านพระมหาถาวร ดังต่อไปนี้


    <O:p</O:p

    ก่อนที่ท่านจะเริ่มเข้าสู่ปฏิสนธิในครรภ์มารดา
    <O:p</O:p

    พระมหาถาวร เกิดที่สุพรรณบุรี อำเภอบางปลาม้า ตำบลสาลี หมู่ที่ 2 เกิดวันที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2460 เกิด 07.31 น. บรรดาโหรทั้งหลายเมื่อได้วันเดือนปีเกิดของท่านแล้วโปรดช่วยกันผูกดวงดูด้วยว่า ท่านผู้นี้จะสึกจากพระมาเป็นชาวบ้านอีกหรือไม่ เมื่อท่านเกิด ท่านทราบจากท่านแม่ของท่านเล่าให้ฟังว่า ก่อนที่จะเข้าสู่ครรภ์ ท่านแม่ฝันว่าเห็นพระพุทธรูปองค์หนึ่งเป็นทองเหลืองอร่ามลอยมาทางด้านทิศตะวันออก เข้ามาทางจั่วบ้านทิศเหนือ พระพุทธรูปองค์นั้นนอกจากจะเป็นทองสุกปลั่งแล้วยังมีดาวประดับเต็มองค์ มีแสงสว่างมาก ท่านแม่เห็นเข้าก็วิ่งไปที่พระแล้วกางแขนออกรับ พระพุทธรูปองค์นั้นก็เข้ามาสู่วงแขนอยู่ภายในอ้อมกอดของท่านแม่ แล้วท่านก็ตื่นหลังจากนั้นท่านก็เริ่มตั้งครรภ์ นี่เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อท่านเริ่มเข้าสู่ปฏิสนธิในครรภ์มารดา คราวนี้มาพูดกันถึงเรื่องการตายของท่าน ท่านมีประสบการณ์ตายถึง 8 วาระ ดังต่อไปนี้


    <O:p</O:p

    การตายครั้งที่ 1
    <O:p</O:p

    เวลานั้นฉันอายุ 2 ปีเศษ ย่างเข้า 3 ปี ตั้งแต่อายุปีเศษๆพอพูดได้บ้าง ท่านแม่ก็เกณฑ์แนะนำแกมบังคับว่าก่อนนอนจะหลับต้องภาวนาว่า “พุทโธ” แต่การสอนภาวนาว่า “พุทโธ” ของท่านก็ไม่ต้องพิธีรีตองมาก ไม่ต้องกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก ไม่ใช่หายใจเข้านึกว่า “พุท” หายใจออกนึกว่า “โธ” ถ้าทำอย่านั้นเด็กๆทำไม่ได้แน่ ท่านต้องการคำเดียวคือว่า “พุทโธ” ก่อนจะหลับ จะต้องภาวนาให้ท่านได้ยิน ถ้าหลับก่อนที่จะพูดว่า “พุทโธ” ให้ท่านได้ยิน 3 ครั้ง ไม่ได้ท่านจะปลุกให้ตื่นว่า “พุทโธ” ตามเดิม คือต้องให้ท่านได้ยินว่า “พุทโธ”“พุทโธ”“พุทโธ” เพียงเท่านั้นท่านให้หลับได้
    <O:p</O:p
    พออายุ 2 ปีเศษๆ ใกล้ถึง 3 ปี ฉันป่วยฉับพลัน นั้นก็คือโรคท้องร่วง เมื่อโรคท้องร่วงเกิดขึ้นท่านแม่ก็บอกให้ท่านลุงมารักษา ท่านลุงท่านเป็นทั้งแพทย์แผนปัจจุบันและแผนโบราณเป็นหมอที่มีชื่อเสียงมาก แต่ว่ายาของท่านสู้โรคไม่ได้ ในที่สุดฉันก็ตาย การตายคราวนั้นมีญาติอยู่มาก มีท่านย่ามาพยาบาลอยู่ด้วย เมื่อฉันตายเข้าจริงๆ ท่านย่าก็กลับบ้าน เป็นเวลาใกล้จะ 5 โมงเย็น ที่ฉันรู้ก็เพราะท่านพ่อท่านแม่และท่านย่าเล่าให้ฟัง เด็กคงจำอะไรไม่ได้ เมื่อท่านย่ากลับไปบ้านท่านก็อาบน้ำแต่งตัวแล้วก็จะกินข้าวเย็นอิ่มแล้วจะได้กลับมาฟังพระสวดอภิธรรม แต่พอแต่งตัวเสร็จก็ปรากฏว่าท่านลงจากบ้านวิ่งตื้อมาบ้านฉันทันที บ้านไม่ไกลกัน บรรดาญาติพี่น้องทั้งหลายแปลกใจ ไม่เคยเห็นจริยาของท่านย่าแบบนี้ ทุกคนก็วิ่งตามมามีความรู้สึกว่าท่านย่าอาจจะเสียใจที่ฉันตาย และเรื่องร้ายอาจจะเกิดขึ้นที่บ้านก็ได้ท่านจึงวิ่งมา ท่านย่าขึ้นมาบนบ้านแทนที่ท่านจะนั่งตามปกติ เพราะปกติท่านนั่งพับเพียบ แต่วันนั้นพอขึ้นมาท่านั่งสมาธิ 2 ชั้น แล้วก็ถามว่า “ลูกของกูป่วยไข้ไม่สบายเท่านี้ มึงรักษากันไม่ได้หรือ ทำไมปล่อยให้ลูกกูตาย” ท่านพ่อบอกว่า “คุณแม่ครับ คุณแม่ก็มารักษาด้วยตนเอง มาพยาบาลด้วยตนเองก็ทราบอยู่แล้ว” เสียงท่านผิดจากเดิมเป็นลักษณะของผู้ชาย พูดจาห้าวหาญ บอกว่า “กูไม่ใช่แม่ของมึง กูคือ พระอินทร์ เป็นพ่อของเด็กคนนี้

    เจ้าเด็กคนนี้เป็นลูกของกูมานับเป็นแสนชาติ ทำไมเท่านี้พวกมึงรักษากันไม่ได้หรือ” แล้วท่านก็เรียกหมอคือท่านลุงเข้ามาถามว่า “ทำไมโรคแค่นี้เอ็งรักษาไม่ได้หรือโรคไม่หนักนัก” ท่านลุงบอกว่า “เกินวิสัยของผมแล้วครับ เป็นเร็วเหลือเกิน ยาสู้ไม่ได้” ท่านเลยบอกว่า “ถ้าอย่างนั้นเอ็งก็เอาน้ำมนต์ เมื่อทำน้ำมนต์เสร็จ ท่านก็บอกว่า “เลื่อนเด็กเข้ามาใกล้ๆข้า” เขาก็เลื่อนศพไปใกล้ๆท่านเอามือลูบไปครั้งหนึ่งพร้อมกับเป่า แล้วก็นั่งมองประเดี๋ยวหนึ่ง ท่านก็ลูบไปอีกครั้งแล้วก็เป่าแล้วก็นั่งมองประเดี๋ยวหนึ่ง ท่านก็ลูบไปอีกครั้งแล้วเป่า พอ 3ครั้งท่านก็อมน้ำประเดี๋ยวก็เป่าพรวด เป่าไปครั้งแรกไม่มีอะไรผิดปกติ พอเป่าไปครั้งที่ 2 ปรากฏว่าเด็กที่ตายไปแล้วลืมตาขึ้น ขยับมือได้พอเป่าไปครั้งที่ 3 ปรากฏว่าเด็กลุกขึ้นพูดจาได้ตามปกติ อาการโรคต่างๆที่เป็นหายหมด
    <O:p</O:p
    หลักจากนั้นท่านก็ประกาศว่า “ต่อแต่นี้ไปถ้าเด็กคนนี้เป็นอะไร ถ้าเห็นว่าจะเกินวิสัยที่จะเยียวยาได้ให้จุดธูปบอกท่าน ท่านจะมาช่วยรักษา” แล้วท่านก็มองมาที่เด็ก เรียกเข้ามาใกล้ๆให้หันหน้ามาบอกว่า “เจ้าจำไว้นะ ว่าพ่อนี้คือพ่อของเอ็ง เอ็งเป็นลูกพ่อมานับแสนชาติ พ่อนี้คือพระอินทร์ ต่อนี้ไปถ้ามีความกลัวอะไรเกิดขึ้นหรือมีการขัดข้องอะไรก็ตาม จงนึกถึงพ่อ พ่อจะมาหาทันทีถ้ากลัวผีพ่อจะช่วยขับผี ถ้ากลัวหมาบ้าพ่อจะช่วยขับหมาบ้า”เวลานั้นฉันกลัวทั้งผีทั้งหมาบ้า ปกติกลัวผีมาก สมัยเด็กๆอยู่บนบ้านคนเดียวไม่ได้ ถ้านั่งอยู่ข้างล่างก็นั่งอยู่คนเดียวไกลผู้ใหญ่ไม่ได้กลัว สำหรับสุนัขนี้ ผู้ใหญ่เขาหลอกว่าหมาบ้าจะกัดก็เลยมีอารมณ์กลัวหมาบ้าอีก หลังจากนั้นท่านก็ลาไป ปกติฉันเป็นคนกลัวผี บางวันท่านพ่อท่านแม่ พี่ท่านไปข้างล่างท่านบอก “อยู่ข้างบนนะ อย่าไปไหนเลยอย่าเที่ยวไป อย่าเล่นไป จะหล่นใต้ถุนจะเจ็บ”คำสั่งฉันถือเป็นคำสั่ง ถ้าเป็นคำสั่งสอนของท่านผู้ใหญ่ก็ปฏิบัติตาม เมื่ออยู่คนเดียวก็กลัวผี ถ้าจะลงก็กลัวถูกตี ในที่สุดก็แก้ปัญหาช่วยตัวเองโดนนึกถึงท่านพ่อพระอินทร์

    ว่า “ขอท่านมาช่วยโปรด เวลานี้กลัวผีแล้ว”พอนึกปั๊ปก็เห็นท่านทันที เราเข้าใจกันว่าพระอินทร์ตัวเขียว ท่านก็มาเขียวๆมาแล้วท่านก็บอกว่า “ไม่ต้องกลัว พ่อมาแล้ว ผีมาไม่ได้” และในบางครั้งท่านมีภารกิจท่านมาแล้วท่านก็บอกว่า “พ่อต้องรีบกลับแต่สองคนนี้จะช่วยลูก” สองคนเป็นผู้หญิงสาวและสวยใสชฎาด้วย ทั้งตัวและเสื้อผ้าเต็มไปด้วยเพชรแพรวราวเป็นระยับ หน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส ท่านบอกว่า “คนนี้เป็นแม่ของเจ้ามาหลายแสนชาติเพราะเป็นชายาของพ่อ และคนนี้เป็นพี่สาวของเจ้ามาหลายแสนชาติเหมือนกัน ท่านจะช่วยสงเคราะห์ ต่อแต่นี้ไปถ้าพ่อมีธุระ จะให้แม่กับพี่มา” ก็คุยกันแบบธรรมดา ฉันก็ชอบสวยๆท่านก็ยิ้มแย้มแจ่มใส ท่านถามว่า “นี่สวยไหม ตรงนี้สวยไหมเพชรตรงนี้ดีไหม” ท่านก็ชวนคุย ฉันก็มีความเพลินมีความสุข แต่คุยไม่นานท่านก็จับไปนอนตัก รู้สึกว่าเนื้อของท่านนิ่มกว่าเนื้อของแม่ในชาตินี้มากและมีความอบอุ่นเป็นพิเศษ ท่านลูบไปลูบมาประเดี๋ยวเดียวฉันก็หลับ นี่เป็นเรื่องเทวานุภาพ
    <O:p</O:p
    วันต่อๆมาบางครั้งบางทีฉันอยู่คนเดียวก็มีความรู้สึกว่า มีลุงคนหนึ่งมาอยู่เป็นเพื่อนด้วย ลุงคนนี้เป็นลุงในชาตินี้ ท่านตายไปแล้ว สมัยเมื่อท่านมีชีวิตอยู่ท่านรักฉันมาก และเคยขอท่านพ่อท่านแม่ “คนนี้ขอเป็นลูกฉัน” เพราะท่านไม่มีลูก ท่านพ่อท่านแม่ก็อนุญาตยกให้เป็นลูก บางทีฉันนั่งข้างนอก ท่านก็มานอนอยู่ในห้องมีเสียงกรนให้ได้ยิน จำได้ว่าเป็นเสียงลุง ได้รับกลิ่นตัวก็จำได้ เป็นกลิ่นตัวของท่าน ก็หมดความกลัว บางขณะเดินไปไหนตอนที่ฉันโตเป็นหนุ่มแล้ว เมื่อเกิดความกลัวขึ้นมาก็รู้สึกว่า มีคนเดินตามมาข้างหลังแต่มองไม่เห็นตัว บางทีฉันก็แกล้งบอกว่า “เอ้าเดินข้างหน้าบางสิ เดินข้างหลังอย่างเดียวได้ไง” ก็รู้สึกเหมือนคนเดินหลีกไปทางขวาแล้วเดินไปข้างหน้าและก็มีเสียงคนเดินข้างหลัง บางคราวก็มีเสียงคุยกันจ๊อกแจ๊กหัวเราะต่อกระซิก ลักษณะคล้ายๆเป็นการขบขันเหลือเกินที่กลัว ความจริงฉันเป็นหนุ่มแล้วฉันก็ยังหวาดกลัว<O:p></O:p>
    แต่ลักษณะของฉันเป็นลักษณะของคนดื้อ ถ้าก้าวเท้าก้าวแรกออกแล้วจะไม่ยอมถอยหลังกลับจะไปไหนต้องไปให้ได้มืดค่ำก็ตาม ฉะนั้นเสียงคนติดตามจึงมีอยู่เสมอ มีคราวหนึ่งฉันเดินไปที่ตรงนั้นมันมืดและก็มีสุมทุมพุ่มไม้ พอเข้าเขตนั้นชักไม่ไว้ใจตาก็มองจุดนั้น มือหนึ่งก็ดึงปืนออกจากกระเป๋าอีกมือหนึ่งถือมีดคิดว่าถ้าข้าศึกออกมาก็ยิงกัน ถ้ายิงไม่ออกก็ต้องฟันกัน พอฉันคิดอย่างนั้น ก็มีเสียงหัวเราะครืนทันที จึงถามว่า “ใครมาหัวเราะทำไม ท่านแม่และท่านพี่หรือ “ตอบว่า “น้อง” ถามว่า “น้องมีกี่คน” ตอบว่า “รูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร” ทั้งหมดแสดงให้ปรากฏชัด กลางคืนมืดๆก็เหมือนไฟสว่าง 2000 แรงเทียน เห็นชัดมากหน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส เธอแต่งตัวเป็นนางฟ้าไม่ใช่คน เป็นอันว่าการตายครั้งแรกของฉัน ฉันเป็นเด็กไม่รู้ภาษีภาษา ก็อาศัยคำภาวนา “พุทโธ” โดยไม่ได้ตั้งใจอะไร เป็นการบังคับของท่านแม่ซึ่งเป็นประโยชน์ เวลาที่ฉันตายแล้วฟื้นมาใหม่ ทำให้ฉันรู้จักเทวดา รู้จักพระอินทร์ รู้จักนางฟ้า ฉะนั้นฉันจึงเชื่อว่า เทวดามีจริง ทั้งๆที่เวลานั้นฉันยังไม่เคยฟังเทศน์ที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า เทวดามีจริง


    <O:p</O:p

    การตายครั้งที่ 2
    <O:p</O:p

    เป็นการตายเมื่อวัยเด็กอายุ 12 ปี ด้วยโรคอหิวาตกโรค โรคนี้แปลตามศัพท์แปลว่า โรคลมที่มีพิษเหมือนงูพิษป่วยก่อนวันตาย 1 วัน ตอนนั้นอยู่ที่จังหวัดสุพรรณบุรี ตำบลสาลี อำเภอบางปลาม้า ตอนบ่ายก่อนวันตาย นักเลงสุราเขาหาหอยโข่งจากกลางนามาพล่ากินกับเหล้า เมื่อเขาทำเสร็จเขาก็เรียกฉัน แต่ทว่าฉันไม่ได้กินเหล้า บ้านฉันทั้งหมดไม่มีใครกินเหล้า ชอบกินหอยโข่งพล่าเนื้ออกรสหวานๆอร่อยมาก เขาพล่าแบบขี้เมา กินเสียจนอิ่มเต็มอัตราศึก เมื่ออิ่มแล้วก็ออกวิ่งแล่น ไม่มีอะไรแสดงว่าท้องจะเสีย แต่ทว่าเวลานั้นชาวบ้านกำลังตายด้วยโรคอหิวาต์กันเกลื่อนกลางคืนหาคนเดินเตร่ไม่ได้ ตำบลและตำบลใกล้เคียงเงียบสงัด สุนัขหอนตั้งแต่ตอนหัวค่ำเกือบตลอดแจ้ง
    <O:p</O:p
    วันรุ่งขึ้นตอนเช้าเวลาเกือบ 9.00 น. ก็เริ่มปวดท้องแล้วก็ถ่ายแบบไม่มีเสียงสะบัด เป็นสัญลักษณ์ของอหิวาตกโรค เมื่อถ่ายครั้งแรกก็เรียนให้ท่านแม่ทราบ ท่านจัดหายามาให้และให้คนรีบไปตามท่านลุงหมอ ท่านลุงหมอมีชื่อเสียงมาก มีความรู้ทั้งแผนโบราณและปัจจุบัน กว่าท่านลุงจะมาท้องก็ถ่ายเป็นวาระที่ 3 มีอาการเพลียมากแรงไม่มี ท้องก็ปวดมากมาถึงผิวหนัง ภายในมีความร้อนมาก ผ้าที่นุ่งต้องวางทาบไว้จะขมวดหรือรัดเข็มขัดก็ไม่ได้ เพราะมันปวดเกินกว่าที่จะทำอย่างนั้นได้ เมื่อท่านลุงมาถึงก็ฉีดยาให้ 1 เข็ม ค่อยมีอารมณ์ใจสบาย เมื่อท่านแม่ให้กินยาแล้วท่านก็นำพระพุทธรูปองค์ที่ฉันรักมากที่สุดไว้ทางขวามือพอมองเห็นถนัด ท่านจุดธูปที่มีกลิ่นหอมมากเห็นจะเป็นธูปแขก หอมชื่นใจจริงๆ พอท่านแม่จัดเรื่องพระเสร็จท่านก็บอกว่า “ลูกภาวนาว่า “พุทโธ” นะลูก ภาวนาไว้และจำรูปพระให้ติดตา เมื่อหลับตาจงนึกถึงภาพพระ เมื่อลืมตาก็จงดูพระไว้ ภาวนาไว้ พระจะช่วยลูกหายเร็วๆ และจะไม่เจ็บท้อง”
    <O:p</O:p
    เมื่อท่านแม่สั่งฉันก็ภาวนา ฉันอยากให้อาการปวดท้องหาย มันทรมานเหลือเกิน ฉันมองดูพระองค์ที่ฉันรัก ฉันรักท่านมาก สีท่านเหลืองอร่าหน้าก็ยิ้มสวย กลิ่นธูปก็หอมตลบ ฉันสบายใจเมื่อหลับตาฉันเห็นภาพพระลอยที่หน้าฉัน ภาวนาไปไม่กี่นาที อาการปวดท้องรู้สึกคลายลงพร้อมกับเห็นภาพพระที่ลอยตรงหน้าสวยมากขึ้นทุกที เดิมเป็นสีเหลืองธรรมดา ต่อมาเพิ่มความสดใสขึ้นทีละน้อยจนเห็นชัด ต่อมาเกิดเป็นแสงประกายคล้ายเพชรอย่างดีที่ถูกแสงไฟ และเป็นประกายแพรวพราวไปทั้งองค์ ใจฉันเพลิดเพลินกับความสวยของภาพพระ เลยลืมความเจ็บปวดเสียสิ้น มันไม่มี ความรู้สึกเจ็บปวดเลย เวลาผ่านไปประมาณ 9.00 น.เศษ ฉันลืมตามองดูคนที่มาและภาพต่างๆ สายตามันสั้นเข้ามาทุกที ชั่วเวลา 2-3 นาที ก็มองอะไรไม่เห็นเลยแต่ใจสบาย สิ่งที่เสียดายมากที่สุดก็คือฉันมองไม่เห็นพระองค์ที่ฉันรัก ฉันเลยหลับตา ความรู้สึกสมบูรณ์ สติสัมปชัญญะปกติอาการปวดไม่มี ฉันเลยคิดเอาว่าเมื่อไม่เห็นก็ไม่เป็นไร ท่านแม่เคยบอกว่าจะอยู่ที่ไหนก็ตาม ถ้าเราภาวนา “พุทโธ” พระท่านจะไปหาทันที ฉันคิดได้ฉันก็เลยภาวนาเรียกพระ ขอให้ท่านมาหาฉันพอภาวนาได้สัก 3 ครั้ง ปรากฏว่าพระมา ท่านไม่ใช่พระพุทธรูปแต่เป็นพระสงฆ์ มีรูปร่างสวยมาก นิ้ว แขนขา ทุกส่วนกลมไปหมด ไม่เป็นเหลี่ยมเหมือนของฉัน ริมฝีปากท่านแดงน้อยๆกำลังน่ารัก เนื้อเต็มไม่มีส่วนบกพร่อง ท่านเห็นฉันท่านยิ้มน้อยๆแต่ท่านไม่พูด ท่านยิ้มตลอดเวลา ปกติฉันชอบคนยิ้ม ฉันเองก็ชอบยิ้มให้คนอื่นที่ฉันพบ แต่ถ้ายิ้ม 3 คราวเขาไม่ยิ้มรับฉันจะไม่ยอมยิ้มให้อีกเลย ตรงนี้ไม่ค่อยดีเป็นเรื่องของคนที่มีกิเลส อย่าเอาไปปฏิบัติตาม
    <O:p</O:p
    ภาพพระท่านสวยขึ้นเป็นลำดับ ต่อมาท่านมีแสงออกจากตัวมี 6 มี มองดูคล้ายพระอาทิตย์ทรงกลดแต่สวยมากกว่าจนเทียบไม่ได้ องค์พระแทนที่จะเป็นสีเหลืองกับมีสีเป็นประกายทั้งองค์ ฉันมองจนลืมตัว มองไปมองมาปรากฏว่าตัวกลายเป็นคน 2 คน คือคนหนึ่งไปยืนอยู่ข้างคนเดิมตัวใหม่นี้สวยกว่าตัวเก่ามาก ฉันมองดูเนื้อฉันใสเหมือนแก้ว มีผ้านุ่งเป็นสีทอง เนื้อสีทอง มีแก้วประดับผ้าทั้งผืน มองดูเนื้อฉันสีทองมาจับแลเป็นสีทองทั้งตัว บนศรีษะมีชฏาทองประดับแก้ว แก้วที่ประดับเสื้อผ้าและชฏามีแสงสว่างออกมาก ฉันลองขยับเขยื้อนตัว มันคล่องแคล่วมีความเบาผิดปกติ การเคลื่อนไหวสะดวกมาก ดูตัวที่นอนฉันก็ทราบว่ามันเป็นตัวของฉันแต่มันไม่สวย น่าเกลียดน่ากลัวมาก ฉันไม่รักมันเลยมันไม่มีลมหายใจ ฉันไม่ชอบและไม่ห่วงมัน ฉันหันไปดูพระท่านหายไปเสียแล้ว เดินวนไปเวียนมาอยู่พักหนึ่ง เห็นมันสบายไม่เจ็บ ไม่ปวด ไม่เมื่อย มีความสบาย ซักอึดอัดใจที่ยืนอยู่บนบ้าน อยากจะลงไปเดินเล่นหลังบ้านเพราะที่นั้นเย็นสบายดี แต่การไปนอกบ้าน ปกติต้องลาท่านแม่ จึงเข้าไปลาท่านไปหลังบ้าน ท่านก็ไม่ยอมพูดด้วยท่านมองแต่เจ้าคนนอนเอามือไปจับตัวท่าน

    ท่านก็ไม่เหลียวมามอง ไปลาท่านลุงท่านก็ทำแบบเดียวกัน เมื่อไม่มีใครสนใจก็เลยถือโอกาสไม่ลา เดินลงบันไดแล้วไปยืนอยู่หลังบ้าน ได้ยินเสียงบางคนบนบ้านร้องไห้ รู้สึกแปลกใจคิดว่าเข้าร้องไห้ทำไม มี่ใครตายสักคน ยืนอยู่หลังบ้านครู่หนึ่งเห็นคนเดินมาจากทิศใต้เป็นแถวยาวเหยียด คิดในใจว่าพวกนี้เขาจะไปไหนกัน เมื่อพวกเขามาใกล้เห็นชาย 4 คนคุมมา คน 4 คนนุ่งผ้าเขียวเหมือนกันตัวใหญ่และสูงมาก พวกที่เดินตามมาหัวแค่เอวเขาเท่านั้นเอง ฉันเห็นเขาตัวใหญ่ก็เลยทำตัวใหญ่และสูงเท่าเขามั่ง ชาย 4 คนนั้น คนหนึ่งเดินนำหน้ามีสมุดข่อยในมืออีกสองคนเดินขนาบข้าง 2 ข้าง คนที่ 4 เดินท้าย แสดงว่าควบคุมกันหนี เมื่อหัวหน้าใหญ่มาฉันก็เข้าไปยกมือไหว้ถามว่า “คุณลุงจะไปไหนกันครับ”
    <O:p</O:p
    คุณลุงมองหน้าฉันแล้วก็เปิดสมุดข่อยแล้วบอกว่า “ชื่อเธอไม่มีในบัญชี เข้าบ้านเถิดหลานเดี๋ยวแม่จะบ่นหา” แล้วก็จูงมือฉันมาที่บันไดบ้าน และกลับไปนำขบวนเดินต่อไป ฉันแปลกใจว่าตาลุงนี่ท่าจะยังไงเสียแล้ว ถามว่าไปไหนกลับมาบังคับเราให้เข้าบ้าน ต้องถามเอาความให้ได้จึงเดินตามออกไปเห็นคนที่เดินผ่านหน้าเป็นคนที่เคยรู้จักกันหลายคนและเขาตายไปหลายวันแล้ว ก็เลยสงสัยว่าเมื่อเขาตายไปแล้วเขามาเดินอยู่ได้อย่างไร พอคนที่ขนาบข้างและคนท้ายมาถึง ฉันก็เข้าไปถามเขาอย่างนั้น เขาก็ทำอย่างเดียวกัน ก็เลยสงสัยใหญ่ เมื่อเขาเดินห่างไปประมาณครึ่งกิโลเมตรฉันก็สะกดรอยตามเขาไป เดินไปทางทิศเหนือไปไม่ได้ไกลนักก็เข้ากอไผ่ มีทางเล็กๆ เดินคดเคี้ยวไปตามทาง ก็มีเขาต่ำขวางทางเป็นระยะๆข้ามเขาลงเขาไปประมาณ 10 ลูก ในที่สุดก็ถึงเขาใหญ่และสูงมากหัวหน้าขึ้นไปถึงยอดเขาก็กางบัญชีออกตรวจพล เมื่อถึงคนสุดท้ายเขาบอกว่าครบ ก็พอดีฉันโผล่ขึ้นไปทั้ง 4 ท่านรู้สึกตกใจมากถามว่า “พ่อหนูมาทำไม” จึงบอกว่า “เมื่อผมถามคุณลุงว่าไปไหน คุณลุงไม่บอกผม ผมก็ต้องตามมาดูให้หายสงสัย” แล้วถามว่า “พวกนั้นเขาไปไหนกันครับ” คุณลุงฟังแล้วก็พากันหัวเราะฟันขาวด้วยแกดำมากแล้วตอบว่า “ลุงไปรับพวกนั้นเขามาส่งนรก” จึงถามท่านว่า “คนที่เอามาส่งนรกเขาทำความผิดอะไร” เขาตอบว่า “คนพวกนี้เคยถูกลงโทษในนรกมาแล้ว เมื่อหมดโทษเขาให้ไปเกิดเพื่อทำความดีกลับทำตนเลวทราม ไม่เครพในศีลธรรมขาดความเมตตาปราณี เมื่อทำชั่วอีกเขาก็นำมาลงโทษอีก”


    <O:p</O:p


    ไปที่สำนักพยายมราช
    <O:p</O:p

    ว่าแล้วก็ชี้ให้ดูทางทิศเหนือต้องลงจากเขาไปก่อนจึงจะถึงแผ่นดินใหม่ นรกไม่ได้อยู่ใต้ดินมพิภพต่างหากจากมนุษย์ มองตามไปเห็นแผ่นดินใหญ่โตกว้างขวาง มีอาคาร 3 หลัง มีคนยืนอยู่ทางด้านซ้ายหลายพันคน มีคนตัวโตๆ อย่างพวกคุณลุงมากมายยืนถือหอกหน้าถมึงทึง อาคารในจำนวน 3 หลัง หลังกลางเป็นใหญ่ที่สุด มีคนเข้าออกไม่ขาดสาย มีคนตัวโตเดินนำเข้าไปทีละกลุ่ม พวกที่สวนออกมามีคนตัวโตเดินนำหน้า เมื่ออกจากอาคารเดินเลี้ยวซ้ายไปทางทิศตะวันออก เรื่องทิศนี้เทียบทางเมืองมนุษย์ สำหรับเมืองนรก สวรรค์ พรหม หรือนิพพาน ไม่มีอาทิตย์เป็นเครื่องวัดทิศทาง เมื่อเห็นคนเข้าออกอาคารหลังนั้นก็สงสัย จึงถามคุณลุงว่า “คุณลุงครับพวกนั้นเขาเข้าไปในบ้านหลังนั้นทำไม และพวกที่ออกมานั้นดูท่าทางอิดโรยหน้าตาเศร้าสร้อยเขาไปทางไหนกัน”
    <O:p</O:p
    คุณลุงหัวหน้าบอกว่า “เมืองนี้เขาเรียกว่าเมืองนรก”แล้วชี้ไปทางคนที่ยืนคอยอยู่หลายพันคนแล้วบอกว่า “ทุกคนที่ยืนคอยนั้น เขาคอยการตัดสินของพยายามราช พวกที่เข้าไปเขาถูกพระยายาราชเรียกตัวและชำระโทษความผิด พวกที่ออกมาและเดินไปทางทิศตะวันออกนั้น พวกนี้พระยายมราชชำระคดีแล้วก็นำไปลงโทษตามความผิด พวกที่ออกมาและเดินไปทางทิศตะวันออกนั้น พวกนี้พยายามราชชำระคดีแล้วก็นำไปลงโทษ” พูดแล้วก็ชี้มือไปทางทิศตะวันออก เมื่อมองตามไปเห็นทุ่งกว้างหาที่สุดมิได้ มีแสงไฟพุ่งขึ้นสูง บริเวณแสงไฟก็ไกลแสนไกลไม่รู้ที่สุดของบริเวณอยู่ที่ไหนท่านบอกว่าตรงนั้นหละที่เรียกว่านรก เป็นสถานที่ลงโทษคนที่ทำความชั่ว เมื่อสิ้นลมปราณแล้วเขาก็นำมาลงโทษกันที่นี่ ถามว่า “เขาลงโทษนั้นเขาทำอะไรบ้าง”ตอบว่า “ลงโทษที่เหมือนกันหมดก็คือ ถูกเผาไฟเหมือนกันแต่ความร้อนของไฟไม่เท่ากัน คนที่ทำชั่วมากไฟมีความร้อนมากกว่าคนที่ทำความชั่วน้อย นอกจากไฟยังมีประหารด้วยอาวุธ แต่ทว่าพวกนี้ไม่มีการตายต้องเจ็บต้องร้อนตลอดเวลา เป็นการลงโทษเพื่อให้เข็ดหลาบ”

    <O:p</O:p
    ฉันขออนุญาตลงไปดู ทั้ง 4ท่านต่างแสดงอาการเดือดร้อนมากร้องออกมาพร้อมกันว่า “ไม่ได้ หลานลงไปลุงทั้ง 4 คนจะถูกลงโทษอย่างหนัก” จึงถามว่า “เพราะอะไรคุณลุงจึงจะถูกลงโทษและใครเป็นคนลงโทษคุณลุง” ตอบว่า “เพราะกฎของเมืองนี้มีอยู่ว่า คนที่ก่อนจะตายถ้าภาวนา “พุทโธ” หรือ “อรหัง” ถ้าลุงอนุญาตให้เขาไปในแดนนรก ท่านพยายมราชจะลงโทษลุงอย่างหนัก” จึงบอกว่า “เมื่อคุณลุงไม่ได้จับผมไปเอง ทำไมคุณลุงจะต้องถูกลงโทษ ตอบว่า “ไม่ได้ เพราะหลานมาขณะที่ลุงนำคนมา ถ้ามาเองและลงไปเองไม่เป็นไร” พอทำท่าจะเดินลงไป ก็พากันมาขวางกั้นไม่ให้ลงแล้วถามว่า “อยากดูนรกขุมไหน” ถามว่า “นรกมีกี่ขุม” ตอบว่า “นรกขุมใหญ่ มี 8 ขุม นรกบริวารมีขุมละ 16 ขุม ยมโลกียนรกมีอีก 10 ขุม” บอกว่า “อยากดูนรกขุมใหญ่ 1 ขุม จะได้ทราบว่าเขาทำกันอย่างไร” คุณลุงชี้มือบอกว่า “นรกขุมที่ 1 อยู่ตรงนี้” เห็นชัดเหมือนกับยืนดูที่ปากขุม ภาพในนรกขุมนี้ไม่มีอะไรน่าสนุกเลย คนลงไปนอนอยู่ในทะเลเพลิงไฟสูงกว่าหัวหลายเท่า มีสรรพวุธนานาชนิดสับฟันตลอดเวลา เสียงร้องระงมไปหมด ไฟก็ไหม้อาวุธก็ประหารตายก็ไม่ตาย ขนาดถูกหอก 3-4 เล่มแทงทะลุพรุนไปหมดไฟก็เผา ก็ไม่มีใครตาย ถูกฟันตัวขาดมันก็กลับติดกันทันทีไม่รู้จักตาย ดูแล้วก็สลดใจ คุณลุงบอกหมดเวลาแล้วทางเมืองมนุษย์เกือบสว่างแล้วหลานต้องรีบกลับ

    แต่ก็จำทางเดิมไม่ได้ คุณลุงจึงให้คนที่คุมท้ายแถวมาส่ง เขาก็จับขา 2 ขาเอาตัวเหวี่ยงขึ่นบ่าพาแบกวิ่งขึ้นเขาลงเขา พอมาถึงประตูบ้านก็เหวี่ยงเข้าประตูไป ก็มีความรู้สึกทางร่างกายลืมตาขึ้น เห็นคนในบ้านเต็มไปหมด รู้สึกกระหายน้ำจัด เห็นพ่อหนุ่มคนหนึ่งอายุเกือบ 30 ปี นั่งมองอยู่ข้างๆ จึงบอกขอน้ำสักขันจะกินให้สมกับที่กระหาย พอได้ยินเข้าเท่านั้นก็กระโดผลุงข้ามตัวไปร้องเสียงดังว่า “ผีหลอก” ดูเถอะมนุษย์เป็นอย่างนี้ นั่งอยู่ข้างๆตั้งนานไม่กลัว พอฟื้นคืนชีพกลับถูกหาว่าเป็นผี เมื่อทุกคนได้ยินเสียงร้องว่าผีหลอก ก็เข้าใจว่าฟื้นแล้วเพราหลังจากตายแล้วไม่นาน พระผู้ทรงคุณธรรมวิเศษได้ฌานสมาบัติมีศักดิ์เป็นลุงท่านมา ท่านบอกว่าให้ปล่อยร่างกายไว้ตามนั้น เด็กจะฟื้นคืนชีพก่อนสว่าง คนที่อยู่กันเต็มบ้านคืนนั้นเขาอยากเห็นการฟื้น ท่านลุงให้คนเอาน้ำสะอาด(น้ำฝน) 1 ขันใหญ่มาให้ ฉันก็กินจนหมดขัน เมื่อกินแล้วก็ลุกขึ้นคุยตามธรรมเนียมของคนตายแล้วฟื้น อาการป่วยที่เป็นก่อนตายไม่มีอาการปรากฏเลย ร่างกายสบาย ทุกคนต่างก็สนใจเรื่องที่ไปพบมา ต่างก็ถามท่านแม่ว่าเรียนมาจากไหน ท่านแม่ก็บอกว่า “เรียนมาจากหลวงพ่อปาน” วันต่อมาพวกกลัวตายก็พากันไปเรียนเป็นการใหญ่ เมื่อฟื้นคืนชีพแล้ว ความชินอารมณ์ ความมั่นใจในพระพุทธคุณ ทุกวันฉันอยากเห็นพระองค์นั้น ฉันรักอารมณ์อย่างนั้นและฉันก็เก็บรักษามาจนถึงวันบวชพระ ฉันชอบท่องเที่ยวอย่างนั้น ฉันรักพระองค์ที่มีรูปร่างสวยรัศมีสว่างผ่องใส ฉันต้องเห็นท่านทุกวัน บางวันถ้าฉันว่างฉันเห็นท่านวันละหลายชั่วโมง ท่านเป็นพระใจดี ฉันนึกถึงท่านเมื่อไหร่ท่านมาทันที เพียงนึกอยากเห็นท่านเป็นเพชร ไม่ต้องออกปางองค์ท่านก็เป็นเพชรทันที ฉันรักท่านมาก ทุกวันถ้าถูกใครว่าฉันไม่สบายใจ ฉันก็หาที่ปลอดคน เรียกท่านให้มาหา วิธีเรียก ฉันยกมใอไหว้ฟ้าแล้วก็กราบ ภาวนาว่า “พุทโธ” 3 ครั้ง ท่านก็มาหาฉันทันที พอมาท่านยิ้ม
    <O:p</O:p
    เมื่อท่านยิ้มฉันก็หมดความทุกข์ใจ ถ้าฉันอยากไปดูนรก ฉันก็บอกท่านว่า “ผมอยากไปดูนรก” เมื่อท่านแล้วท่านไม่พูดแต่ท่านยิ้ม พอท่านยิ้มฉันก็ไปถึงที่ เคยไปกับท่านลุง 4 คนทันที ไม่ทราบว่าไปได้อย่างไร ฉันคิดว่าอาการยิ้มของท่านเป็นการส่งฉันไป วันเวลาไปไม่แน่นอนจะเป็นกลางวันหรือกลางคืน ดีไม่ดีเวลาที่ฉันกินข้าวคนเดียวหรือดายหญ้าอยู่ ถ้าฉันอยากไปนรกฉันก็วางมีดวางงานเสีย ภาวนาว่า “พุทโธ” 3 ครั้งท่านก็มาหา ฉันก็บอกว่า “ฉันจะไปดูนรก” ท่านก็ยิ้ม ฉันก็ไปนั่งตรงที่ฉันเคยไป เมื่อฉันอยากเห็นนรกขุมไหนเขาทำอะไรกัน ฉันก็เห็นตามใจฉันนึกเหมือนกับฉันไปอยู่ในสถานที่นั้น แต่ทว่าฉันไม่เคยขอให้ท่านพาไปสวรรค์หรือพรหมโลก เพราะฉันไม่มีความรู้ เคยไปนรกก็ไปแต่นรกเท่านั้น แต่เมืองนรกก็มีคนลงไปใหม่ทุกวัน การไปนรกเป็นปกติของฉัน เมื่อท่านแม่กับท่านยายนิมนต์พระมาเทศน์ ท่านชอบเทศน์เรื่องนรกสวรรค์เมื่อเทศน์จบแล้วฉันถามท่านว่า “เคยเห็นนรกสวรรค์หรือเปล่า” ท่านบอกว่า “ไม่เคยเห็น” ถามท่านว่า “เมื่อไม่เคยเห็นแล้วเอาอะไรมาเทศน์” ท่านบอกว่า “อ่านจากตำรา” เมื่อพูดเรื่องที่ฉันไปเห็นมา ท่านหาว่าโกหก เลยเกลียดพระ คิดว่าพระพวกนี้หลอกลวงชาวบ้านหากิน มาเล่าเรื่องนรกสวรรค์ให้ฟัง แต่ตัวเองไม่เคยเห็นเลย เรื่องที่เราเห็นมากลับหาว่าเป็นเรื่องโกหก เลยไม่อยากไหว้พระ ส่วนพระพุทธไหว้กับพระที่เป็นท่านลุง ท่านรู้นรกสวรรค์ องค์นี้ไหว้พระองค์ไหนก็ตามถ้ามาที่บ้านต้องถามว่าเห็นนรกสวรรค์หรือเปล่า ถ้าบอกว่าไม่เห็นไม่ยอมไหว้ ของที่เขาจัดถวายก็ไม่ยอมประเคนเด็ดขาด

    <O:p</O:p
    <O:p</O:p

    การตายครั้งที่ 3
    <O:p</O:p

    เวลานั้นฉันอายุ 14 ปี ฉันอยู่กับเพื่อนรุ่นพี่คนหนึ่งเขาอายุ 19 หรือ 20 ปี เขาเป็นหนุ่มแล้ว ตอนเด็กๆฉันชอบเล่นกีฬา กีฬาบนบก กีฬาในน้ำ นี่ชอบมาก การออกกำลังกายเป็นปกติ วิ่งไม่พอ กระโดดโลดเต้นไม่พอ คว้าจอบมาฟันดิน ปลูกผัก ปลูกหญ้าแล้วก็ตักน้ำรดเอาทุกอย่างไม่มีโอกาสได้ออกกำลังก็แล้วกัน ฉะนั้นเรื่องความเข้มแข็งของร่างกายเป็นของไม่หนักใจ แต่วันนั้นท่านผู้ใหญ่ไม่มีครอยู่เลยไปธุระกันหมด เหลือฉันกับเพื่อนรุ่นพี่เพียงสองคนเท่านั้น อยู่ๆ พอตอนเย็นมันถ่ายท้องอาเจียน ถ่ายพรืดพราด ถ่าย 3 ครั่งเริ่มหมดแรงเพราะในท้องไม่มีอะไรจะถ่ายและก็อาเจียนด้วย ท่านแพทย์ผู้ทรงคุณพิเศษ 2-3 ท่านก็มาให้การรักษา ความจริงโรคอย่างนี้ยาท่านเคยชะงัด แต่ว่าการรักษาวันนั้นไม่มีผลเลย ยากินก็ดี ยาฉีดก็ดี การนวดเฟ้นคั้นบาทาทำกันทุกอย่างไม่มีทางฟื้น ไม่มีทางดีขึ้น โรคไม่คลายตัว ฉันก็เพลีย เพื่อนเขาเป็นหนุ่มกว่ารู้สึกกำลังจะดีกว่า เขาก็เพลียเหมือนกัน ฉันก็เคลิ้มหลับ เวลานั้นเดือน 11 น้ำนอง ปีนั้นเผอิญน้ำท่วมขึ้นมาใกล้พื้นบ้าน ขณะที่เคลิ้มไปพอเพลียจัดๆ เห็นมีเรือลำหนึ่งเป็นลักษณะเรือเดินทะเล เป็นเรือไม้ใหญ่ๆหัวสูงๆ ทาสีขาว เทียบท่ามาหน้าบ้าน ฉันก็นึกในใจว่าคลองมันเล็กและทางเข้าบ้านเรา เรือใหญ่ขนาดนั้นเข้าไม่ได้ แต่เรือลำนี้เข้ามาได้อย่างไร เข้ามาเทียบติดชานบ้าน มีคน 4 คนก้าวขึ้นมาจากรือ คน 4 คนรูปร่างหน้าตาดีมาก ผิวพรรณก็ดี เป็นคนหนุ่มแต่ว่าเครื่องแต่งตัวเหมือนกันหมด คือสีแดง



    กางเกงขายาวสีแดงเสื้อแขนสั้นแค่ศอกก็สีแดง ผ้าโพกศีรษะก็สีแดง แต่ทว่าตอนก้าวขึ้นมาบนบ้านผ้าไม่ได้โพกศีรษะเขาคล้องคอ เป็นผ้ายาวคล้ายๆผ้าขาวม้ายาวแบบนั้นแต่พื้นเป็นสีแดงทั้งหมด พอก้าวขึ้นมาสองคนแรกเข้ามาใกล้ตัวห่างสัก 1 วา อีก 2 คน ยืนชิดริมชานบ้านชิดเรือ พอ 2 คนก้าวเข้ามาบอกว่า “พี่นี่สองคนนี่หว่า” อีกสองคนข้างหลังบอก “รับมาได้เลย ไม่มีพิษไม่มีสงอะไร ไม่ต้องปล้ำกันละง่าย” แต่สองคนที่เข้ามาก่อนมองดูอย่างพินิจพิจารณาสัก 1 นาทีเห็นจะได้ เขามองดูฉันและก็มองดูเพื่อนรุ่นพี่ มองไปมองมาก็บอกว่า “เอาไม่ได้แล้วเราสองคนนี้” อีกคนที่ยืนข้างๆ ถามว่า “เพราะอะไร” เขาเปิดบัญชีปั๊ป “คนนี้เป็นลูกของพระอินทร์ ใครมันวางยาไม่ดูหน้าคน ลูกพระอินทร์นี่เอาไปไม่ได้ ถ้าขืนเอาไปเรามีโทษ” ก่อนที่เขาจะกลับ เขาก็ยกมือไหว้และค้อมหัวลงคล้ายๆแสดงความเคารพ ฉันก็ไม่สนใจเขาจะไหว้หรือไม่ไหว้ก็ตาม ฉันก็เพลียแหงแก๋อยู่แล้ว พอเขาหันหลังกลับก็วิ่งขึ้นเรือบอกสองคน “เร็ว พวกเราจะมีโทษ” อีกสองคนกระโดดขึ้นเรือตาเหลือกลานร้องถามว่า “มีโทษอะไร” คนนั้นก็บอกว่า “คนนั้นลูกพระอินทร์ แล้วใครมันวางยาไม่ได้ดูหน้าดูตาคน นี่เราจะมีโทษกัน คนนี้ไม่มีสิทธิ์ที่จะทำเขาได้เลย” แล้วเรือลำนั้นก็วิ่งจู๊ดหายวับไปกับตา ฉันก็หลับสบายไม่รู้สึกตัว

    <O:p</O:p

    ตอนหลับนั้นประมาณ 2 ทุ่มเศษๆ ตอนนสายสักประมาณ 2 โมงเช้า หรือ 3 โมงเช้าไม่ทราบตื่นขึ้นมาก็รู้สึกว่า ความปวดเมื่อยเสียดท้องหายไปหมด อาการต่างๆที่เป็นอยู่หายหมด ท้องโล่ง มีอาการคล้ายๆกับถ่ายยาอย่างดีมีความรู้สึกอยากจะกินแกงเผ็ดไก่และต้องเผ็ดมากๆ ต่อมาท่านแม่ป่วยก็ไปพักรักษาตัวที่บ้านน้าพลอย ซึ่งเป็นน้องสาวของท่านแม่ ก็ใช้รดน้ำมนต์บ้างกินยาบ้าง ในที่สุดท่านแม่ก็เสียชีวิตเมื่อฉันอายุได้ประมาณ 14 ขวบ

    พี่ลำเภา พี่วงษ์ และท่านพ่ออยู่ป่าที่จังหวัดชัยนาท แล้วนำศพท่านแม่มาเผาที่วัดสาลี ตำบลสาลี อำเภอบางปลาม้า จังหวัดสุพรรณบุรี หลังจากนั้นฉันก็มาอยู่กับท่านยายที่บ้านหน้าวัดเรไร ในคลองบางระมาด อำเภอตลิ่งชัน จังหวัดธนบุรี ในสมัยนั้นท่านยายปลูกบ้านใหม่สองห้องให้อยู่ตามลำพัง ช่วงนี้เป็นช่วสงที่ฉันฝึกฝนตนเองเป็นช่างไฟฟ้าและช่างเครื่องยนต์กลไกต่างๆ จนบ้านที่อยู่รกไปหมด และเวลาว่างก็ไปเรียนระนาดเอกกับ คุณหลวงประดิษฐ์ไพเราะ (ศร ศิลปะบรรเลง) ก็เลยเป็นนักระนาดกับเขาด้วย
    <O:p</O:p




    การตายครั้งที่ 4
    <O:p</O:p

    เมื่อปี พ.ศ. 2487 ฉันอายุ 27 ปี ตอนนั้ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 จำพรรษาและเป็นครูสอนบาลีอยู่ที่วัดประยูรวงศาวาส จังหวัดธนบุรี วันนั้นวันที่ 2 มกราคม ขณะนั้นอากาศ<O:p></O:p>
    หนาวจัด ก็มีพระท่านทำยาขนานหนึ่ง ทุกองค์ฉันแล้วรู้สึกสบาย ฉันก็อยากจะมีกำลังร่างกายปลอดโปร่งอย่างเขาบ้างเพราะเป็นนักเทศน์แล้วด้วย ก็ขอท่านฉัน พอฉันเข้าไปเดี๋ยวเดียวท้องก็ถ่าย 3 ครั้งหมดแรง คราวนี้ตามันเริ่มสั้นเข้ามาทีละหน่อยๆสายตามองไกลๆมันเห็นสั้นเข้ามาๆจนจนกระทั่งพระกับเณรนั้งข้างๆ 2-3 องค์ ไม่เห็นพอไม่เห็นก็หมดความรู้สึกภายนอก ใครจะไปใครจะมาก็ไม่เห็นหมด ใครพูดก็ไม่ได้ยินหมด แต่ความรู้สึกในขณะนั้นมันเป็นความรู้สึกแตกต่างกับที่ตายมาแล้ว คือมันยังไม่ตายจริงอย่างที่ชาวบ้านเขาเรียกสลบ


    แต่ความจริงสลบมันไม่มีความรู้สึก ฉันเข้าใจว่ากำลังจิตเป็นฌานมากกว่า เพราะพอตามองไม่เห็น ฉันก็เริ่มจับพระกรรมฐานคือ เริ่มจับอารมณ์เดิม พอจิตเป็นสมาธิ จิตมันก็โปร่งสบาย ฉันนึกถึงพระพุทธเจ้าของฉันก่อน เราจะไปสวรรค์ได้ ไปพรหมได้ ไปพระนิพพานได้ จงอย่าลืมเพราะอาศัยพระพุทธเจ้าเท่านั้น ถ้าไม่มีพระพุทธเจ้า แล้วเราจะรู้ธัมมะธัมโมได้อย่างไร ฉะนั้นเราต้องเกาะต้นเค้ากันไว้ก่อน ฉันยึดพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์ ปกติฉันเห็นพระพุทธเจ้าอยู่ตลอดเวลา คือพระพุทธรูปทองคำที่ฉันชอบ และก็กราบพระพุทธเจ้าที่ท่านมาปรากฏพระองค์หลังจากการตายครั้งที่ 3 ท่านสวยมากจับจิตจับใจ เพราะฉันชอบพระพุทธเจ้าสวยๆเห็นท่านทุกเวลา เดินบิณฑบาตฉันเห็นตลอด นั่งอยู่ไม่มีใครกวนเห็นตลอด เวลาดูหนังสือเห็นท่านอยู่บนศีรษะเลย จิตใจสว่างจำอะไรได้ดี เวลาป่วยไข้ไม่สบาย ท้องถ่ายครั้งแรกฉันนึกในใจว่า อาการอย่างนี้มาอีกแล้ว ก็เลยจับอารมณ์เบาๆ ฉันไม่ได้ทำอารมณ์หนักฉันภาวนาพุทโธ หายใจเข้า พุท หายใจออกโธ ใจก็จับพระรูปพระโฉมของพระพุทธเจ้าที่เคยเห็นชัดเจนมาก และพระองค์ก็ทรแย้มพระโอษฐ์แต่ไม่เคยพูด

    <O:p</O:p
    ต่อมาความรู้สึกภายนอกหมด อารมณืภายนอกดับไม่รู้สึก ตาไม่เห็นหูไม่ได้ยิน แต่มีความรู้สึกว่า ฉันหนั่งอยู่ในโพรงๆหนึ่งซึ่งมีความสว่าง ฉันพิจารณาว่าถ้ำหรือโพรงๆนี้มันคืออะไรก็ปรากฏว่าร่างกายฉันเองเหมือนกับถ้ำหรือโพร่งใหญ่มากขนาดยืนต่อตัว 2-3 คนก็ไม่ถึง ฉันไปนั่งอยู่ตรงกลางของส่วนอก สภาพของตัวเองเป็นพรหม ใสชัดมาก สวยสดงดงามกว่าการตายครั้งก่อน ฉันนึกในใจว่าไอ้ถ้ำนี้หรือว่าเปลือกๆ นี้เราอาศัยมันมานานแล้ว เราควรจะอยู่หรือไป ก็คิดอีกทีว่า ถ้าอยู่ดีกว่าเก่าก็จะอยู่ ถ้าอยู่แล้วไม่ดีกว่าเดิมเราจะไม่อยู่ เสียเวลาเปล่าๆจึงนึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตั้งจิตอธิฐานว่า “ข้าพระพุทธเจ้าควรจะอยู่หรือควรจะไป” ก็เห็นวิมานพรหมชั้นที่ 11 ชัดเจน และบนอาการศมีเทวดาและพรหมและพระอริยะเต็มไปหมด แพรวพราวเป็นระยับ สดชื่นเหลือเกิน แต่ว่าทุกท่านไม่มีใครกวักมือเรียกเพียงแต่ยิ้ม ท่านสหัมบดีพรหม ยืนข้างหน้าบอกว่า “จงใคร่ครวญให้ดีก่อนว่าจะอยู่หรือจะไป” ฉันเลยนึกถึงพระพุทธเจ้า ตั้งจิตอธิฐาน “ถ้าข้าพระพุทธเจ้าควรจะอยู่ขอให้ฉัพพรรณรัศมี 6 ประการ พุ่งมาบนเพดาน ถ้าหากว่าไม่ควรอยู่ ควรจะไป ขอไม่เห็นอะไรปรากฏเลย”


    พออธิฐานเสร็จก็มีรัศมี 6 ประการพุ่งมาเป็นแสงรุ้งเต็มเพดานแผ่ยู่พักหนึ่งก็หายไป ฉันคิดว่าท่านบอกว่าควรอยู่ จึงตัดสินใจว่า “หากฉันจะอยู่ต่อไปถ้าสมณธรรมของฉันจะดีกว่าเดิม ก็ขอเห็นฉัพพรรณรัศมี 6 ประการพุ่งมาแล้ววนเป็นทักษิณาวัตร ถ้าหากว่าอยู่แล้วสมณธรรมของฉันไม่ดีกว่านี้ ก็ขอรัศมี 6 ประการจงอย่าปรากฏ” พออธิฐานเสร็จก็ปรากฏว่า มีรัศมี 6 ประการพวยพุ่งมาใหม่เป็นทักษิณาวัตร สวยสดงดงามมาก อยู่ประมาณ 10 นาที ฉันก็ชื่นใจ พอรัศมี 6 ประการหายไปก็ปรากฏว่ามีเทวดาองค์หนึ่งคือ ท่านพระอินทร์ท่านแต่งชุดสีขาว นุ่งผ้าธรรมดาเป็นผ้าผืน มีผ้าสไบเฉียงออกสีขาว ท่านเอายามาให้ก้อนหนึ่งเหมือนก้อนดินบอกว่า “คุณฉันยาก้อนนี้โรคจะหาย การที่คุณรับเทศน์ไว้ที่จังหวัดสมุทรสงครามวันมะรืนนี้ ไม่ต้องนิมนต์ใครไปแทน คุณไปเองได้ร่างกายจะดีเป็นปกติ” รับยามาฉันรสเหมือนดิน หลังจากนั้นก็มีความรู้สึกตัว ลืมตาขึ้นมาก็มองเห็นคนหลายคน ประเดี๋ยวหนึ่งกำลังก็ปรากฏหายจากโรคเป็นปลิดทิ้ง แต่ว่าเพื่อนพระบอกว่าเวลาสิ้นไป 8 ชั่วโมงเศษ ฉันก็รอดตายมาได้ การตายครั้งที่ 4 นี้มีประโยชน์ที่มีการเข้าใจว่าการเข้าฌานตายเป็นอย่างไร และการตายมันก็เหมือนกับความฝันนั้นแหละ เราอย่าไปนึกกลัวมันเลย ร่างกายมันก็เหมือนเปลือกนอก เมื่อทิ้งอัตภาพแล้วมันก็จะกองอยู่จิตก็เคลื่อนไปตามวาสนาบารมี

    <O:p</O:p
    <O:p

    </O:p

    การตายครั้งที่ 5
    <O:p</O:p

    พอถึงปี 2500 ฉันอายุย่างเข้า 40 ปี บวชพรรษาที่ 19 หลวงพ่อปานท่านมาบอกก่อนว่าอีก 3 ปี คุณจะป่วยหนักงานก่อสร้างมั้งหมดขอให้เบาตัว คราวนี้ป่วยหนักเลยเข้าโรงพยาบาลกรมแพทย์ทหารเรือ เพราะหลายชายอยู่ที่กรมแพทย์ทหารเรือและก็มีหลายๆ คนรูจักกัน เวลานั้นหมอประกอบเป็นผู้อำนวยการ พักอยู่ที่ตึก 1 เป็นห้องพิเศษ ทุกวันพอถึงเวลาจวนจะ 2 ทุ่ม จะมีอาการแน่นท้อง เสียดหน้าอก มันแน่นขึ้นมาๆจนกระทั่งหายใจไม่ออก แต่ตอนกลางวันไม่เป็นไร ป่วยคราวนี้ฉันรู้ตัวว่าฉันแก่แล้ว คิดว่าคราวนี้ฉันตายแน่ พอคืนวันที่ 3 ก็คิดว่าคืนนี้มันคงจะเอาอีก ก็ตั้งท่าสู้พอถึงเวลาใกล้จะ 2 ทุ่มก็เรียกจ่าพยาบาลมาให้ไขเตียงในท่านั่ง แล้วให้จ่าออกจากห้องปิกประตูใส่กุญแจหน้าห้องด้วย


    วันนี้ฉันตั้งท่าสู้โดนเอาสติจับสมาธิ จับอานาปานุสสติกรรมฐานแล้วก็ปลงว่า ขั้น 5 คือร่างกายมันจะพังเราไม่ต้องการมันอีก ทรัพย์สินของเราไม่มี ญาติพี่น้องไม่มี พ่อแม่ไม่มี ที่พึ่งอื่นของเราไม่มีนอกจากคุณพระรัตนตรัย เวลานี้เราต้องการคุณของพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์ ธรรมใดที่พระพุทธเจ้าทรงเห็นแล้ว เราต้องการเห็นธรรมนั้น คิดในใจเพียงเท่านี้เองไม่ได้ทำอะไรมากหรอก พอ 2 ทุ่งตรงแทนที่อาการปวดเสียดมันจะมา กลับเห็นมีพรหมองค์หนึ่งมายืนอยู่ข้างหน้า แสงสว่างมากมีความสวยสดงดงาม ท่านคือ ท่านสหัมบดีพรหม ท่านบอกว่า “พระพุทธเจ้าให้มานิมนต์ไปดฝ้า”ก็เดินตามท่านไป เวลาออกจากตัวรู้สึกว่าร่างกายฉันสวยกว่าการตายทุกครั้งที่ผ่านมา มีความบางกว่า มีความเบากว่า เครื่องประดับประดาก็สวยสดงดงาม ท่านพาเดินลัดเลาะไปตั้งแต่โลกันตมหานรกขึ้นมาอเวจีมหานรก ขึ้นมาเรื่อยๆเห็นนรกทุกขุม เรื่อยมาถึงแดนเปรต แดนอสุรกาย แดนสัตว์เดรัจฉาน แดนมนุษย์ แดนสวรรค์ตั้งแต่ชั้นที่ 1 ถึงชั้นที่ 6 แดนพรหมทุกชั้นถึงพรหมชั้นที่ 16 กับอรูปพรหมอีก 4 ชั้น


    ที่ท่านพาผ่านไปอย่างนั้นท่านต้องการให้ชมว่า คนเราถ้าทำชั่วก็ต้องตกนรกแบบนี้ เป็นเปรตแบบนี้ เป็นอสุรกายอย่างนี้ เป็นสัตว์เดรัจฉานแบบนี้ ถ้าทำดีเล็กน้อยก็เป็นคนบ้าง เป็นเทวดาเป็นนางฟ้าบ้าง เป็นพรหมบ้าง พอสุดทางพรหมชั้นที่ 16 ท่านสหัมบดีพรหมก็บอกว่า “ผมมีหน้าที่พาท่านมาแค่นี้ ต่อจากนี้ไปไม่ใช่หน้าที่ของผม ท่านต้องเดินไปคนเดียว” ถามท่านว่า “ไปทางไหน” ท่านก็ชี้ทางให้ไปก็เห็นทางไปโตนัก พอย่างเท้าก้าวไปสู่ทาง ทางก็ใหญ่พรึบเป็นแผ่นดินๆ หนึ่งแต่เป็นแก้วผสมทอง สวยสดงดงามมาก พอออกจากเขตพรหมชั้นที่ 16 ก็รู้สึกว่าหมดแรงเหมือนคนที่เป็นไข้หนักตื่นขึ้นมาใหม่ๆเดินโผเผๆไม่มีแรง เมื่อเดินตรงไปก็พบสถานที่แห่งหนึ่งเหมือนวัด มีกำแพงคล้ายๆแก้วผสมทองมีหน้าบันคล้ายคลึงหน้าบันของวัดท่าซุงที่หน้าโบสถ์ แต่สวยวิจิตรพิสดารมากกว่า มีซุ้มประตูเป็นทางเข้า พื้นที่เดินเป็นแก้วผสมทองเดินเข้าไปพอเห็นหอระฆังหลังหนึ่ง มีอารอยู่ 3 หลังใหญ่มากหลังหนึ่งเป็นหลังทึบคล้ายๆกับวิหารแก้ว อีก 2 หลังโปร่งคล้ายๆ กับมณฑปหน้าวิหารแก้วทั้ง 2 มณฑป ไม่เหมือนกันเปี๊ยบแต่โปร่งคล้ายๆกัน สว่างไสววิจิตรตระการตามาก มองไปด้านทิศตะวันออกเห็นสระโบกขรณีมีน้ำใส มีแท่นแก้ว มีต้นไม้แก้ว ตอนนั้นมีความรู้สึกว่าวัดอะไรสวยจริงๆไม่เคยเห็น เงียบสงัดหาคนไม่ได้ เดินไปเดินมาก็หมดแรง จึงไปนอนที่หอระฆังหันหน้าไปทางทิศตะวันออก ก้เห็นพระองค์หนึ่งมีฉัพพรรณรังสีรัศมี 6 ประการพวยพุ่งออกมาจากกาย ท่านเดินมาทางด้านกำแพงทิศตะวันออกซึ่งไม่มีประตูเข้า พอท่านเดินมาถึงกำแพง กำพงก็ขาดออกไปพอท่านเดินผ่านเข้ามา กำแพงก็ชนติดกัน พอเห็นก็จำได้ทันทีว่าพระองค์นี้คือ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะเคยเห็นบ่อย ท่านเดินมานั่งข้างๆ ฉันก็ลงจากพื้นของหอระฆังทองคำผสมแก้วท่านก็นั่งบนแท่น ฉันก็ก้มกราบท่านที่พระบาท

    <O:p</O:p
    ท่านก็ถามว่า “ในชีวิตเธอคิดไหมว่าจะมานิพพาน” ก็กราบทูลตามความเป็นจริงว่า “ไม่เคยคิดพระเจ้าข้า” ท่านถามว่า “ทำไม” ก็ตอบว่า “เขาบอกวนิพพานสูญ ข้าพระพุทธเจ้าไม่ทราบว่านิพพานอยู่ไหน ก็เลยไม่คิดว่าจะไป คิดอย่างเดียวว่า ถ้าตายแล้วไม่ต้องการขันธ์ 5 ไม่ต้องการความเกิดอีก” ท่านถามว่า “ที่เธอนั่งอยู่นี่เขาเรียกว่าอะไร” ก็ตอบว่า “ไม่ทราบพระพุทธเจ้าข้า” ท่านก็ถามต่อว่า “ตั้งแต่ภุมเทวดา อากาศเทวดาทั้งหมด พรหมทั้งหมด เธอรู้จักไหม” ก็ตอบว่า “ท่านสหัมบดีพรหมพาผ่านมาแล้วทุกจุดผ่านมาถึงพรหมชั้นที่ </O:p
    “นิพพานัง ปรมัง สุขขัง” แปลว่า “นิพพานเป็นสุจอย่างยิ่ง”

    <O:p</O:p
    และ “นิพพาน ปรมัง สุญญัง” แปลว่า “นิพพานเป็นธรรมอันว่างอย่างยิ่ง” หมายความว่า “สูญจากกิเลส”

    <O:p</O:p
    “สูญ” แปลว่า “ว่าง” คือว่างกิเลส ว่างจากความชั่วทั้งหมด ขอให้เธอจงมีความเข้าใจว่า “นิพพานไม่มีทางสูญ” ท่านถามอีกว่า “เธอคิดจะมานิพพานไหม” ก็ตอบว่า “ไม่คิดพระพุทธเจ้าข้า” ท่านถามว่า “ทำไม” ก็ตอบว่า “เพราะวิปัสสนาญาณยังอ่อนพระพุทธเจ้าข้า” ท่านก็บอกว่า “จริง เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ชาตินี้เธอจะมานิพพานได้หรือไม่ได้ ลองดูแล้วกัน” ท่านก็เนรมิตไม้ขึ้นมา 10 ท่อนยาวประมาณแค่ศอก เป็นแบบไม้ไผ่แล้ววางไว้ ท่านก็เรียกพระมา 9 องค์ พระไม่รู้จักมาจากไหนโผล่ผลุบผลับก็มาถึง จำได้ว่าองค์ที่ 3 คือ หลวงพ่อปาน วัดบางนมโค แต่ละองค์มาถึงต่างก็นมัสการพระพุทธเจ้า แล้วก็หยิบไม้ไปคนละอัน เหลืออีกอันหนึ่งพระพุทธเจ้าท่านบอกว่า “อันนี้เป็นของเธอ เธอยกไม่อันนี้”ก็นึกในใจว่ายกไม่ไหวแต่ก็เกรงใจท่าน จึงเข้าไปยกไม้ทั้งท่าเต็มที่ แต่พอยกเข้าจริงๆ ปรากฏว่าไม้เบามากเบาเหมือนกระดาษ ฉันก็มีกำลังทันทีแล้วก็เดินตามพระไป พอเดินไปสัก 10 ก้าว ท่านก็เรียกกลับมาบอกว่า “วางไม้เสียก่อน เธอยังไปไม่ได้ วิปัสณาญาณยังอ่อน” ก็กราบท่าน ท่านบอกว่า “เธอสนใจสมถภาวนามากเกินไป วิปัสสนาญาณน้อย โดนที่เธอคิดว่าปรารถนาพุธภูมิ จะปรารถนาพุทธภูมิหรือสาวกภูมิก็ตาม วิปัสสนาญาณต้องควบคู่กับสมถภาวนา คือต้องให้สม่ำเสมอกัน และอีกประการหนึ่งเธอก็มีความจำเป็นจะต้องลาจากพุทธภูมิ” ก็บอกท่านว่า “ไม่ตั้งใจจะลา” ท่านบอกว่า “เธอตั้งใจจะลาหรือไม่ตั้งใจจะลาก็ตามถึงเวลานั้นมันต้องลา” ก็เลยถามท่านว่า “จะลาเพื่ออะไร” ท่านบอกว่า “ลาเพื่อช่วยกัน ถ้ายังปรารถนาพุทธภูมิอยู่อย่างนี้ก็สนใจเฉพาะฌานโลกีย์ ฌานโลกีย์ยังช่วยตัวเองไม่ได้ เพราะถ้าพลาดเมื่อไหร่ก็ลงอบายภูมิเมื่อนั้น ดูตัวอย่างพระเทวทัต เธอต้องกลับไปเพื่อปฏิบัติวิปัสสนาญาณให้เต็มขั้น หลังจากนี้เป็นต้นไป 4 ทุ่มตรง


    ถ้ามีแขกอยู่จงเลิกรับแขก เข้าที่นอนบูชาพระ ฉันจะไปสอนอริยสัจจนกว่าเธอจะได้ผล และจงอย่าลืมนะ อารมณ์ที่เธอคิดนั้นเป็นอารณ์ของพระอรหันต์ หมายความว่า การที่เธอจะมานิพพานได้ นี่เธอคิดว่าพ่อแม่ พี่น้อง เพื่อนฝูง ทรัพย์สินต่างๆไม่สามารถช่วยเราได่เมื่อเธอจะตาย ไม่มีอะไรเป็นประโยชน์ สิ่งที่เป็นประโยชน์คือ คุณพระรัตนตรัยและเธอไม่ต้องการร่างกายเพราะมันป่วยไข้ไม่สบาย มีความทุกข์อยู่เสมอ ขึ้นชื่อว่าความเกิดไม่ต้องการอีก อันนี้เป็นอารมณ์ของพระอรหันต์ ทุกคนถ้าคิดอย่างนี้เป็นอารมณ์ มานิพพานได้ทุกคน”


    <O:p</O:p
    ในที่สุดก็ลาท่านกลับ พอฟื้นเวลาผ่านไปตั้ง 2 ทุ่มถึงใกล้สว่าง พอตอนเช้าก็มีจ่าพยาบาลมาเคาะประตู นำอาหารมาให้ กินข้าวกินปลาเสร็จ กำลังจิตก็มีความสุขสงัด ที่เขาเรียกว่า สังขารุเปกขาญาณ คือเจริญวิปัสสนาญาณควบคูกับสมถภาวนา การไปนิพพานมาแล้วครั้งหนึ่ง ทีหลังนึกถึงพระนิพพานปั๊ปก็ถึงเมื่อนั้น พอถึงเวลาเช้ามืดก็กลับลงมา จิตใจก็เป็นสุข ไม่มีความห่วยใยในทรัพย์สินแม้แต่ร่างกายก็คิดว่าถ้ามันตายเมื่อไหร่ เราก็มีความสุขเมื่อนั้น
    <O:p</O:p
    <O:p</O:p




    การตายครั้งที่ 6
    <O:p</O:p

    การตายครั้งที่ 6 เป็นปีพ.ศ. 2511 ตอนนี้มาอยู่วัดท่าซุงเป็นปีแรก สถานที่อยู่ที่ซึ่งท่านเจ้าอาวาสนิมนต์มาบอกว่าจะสร้างกฏิให้หังหนึ่ง ไปๆมาๆกุฏิของท่านมีแต่พื้นกับหลังคา ก็ต้องมาทำเองเป็นกระต็อบเพิงหมาแหงน กถฎิเวลานี้นำมาสร้างอยู่ในสระข้างโบสถ์ แต่ขยายกว้างออกไปและสวยกว่าเก่า เดิมทีเดียวทำแค่ปุๆปะๆแค่พออยู่ได้ยาวแค่ 6 ศอก กว่าง 4 ศอก วันนั้นฉันก็นอนที่กระต็อบโคนโพธิ์ ตอนนั้นมีเตียงอยู่หนึ่งเตียง ก็นอนตะแคงขวา กำลังทางร่างกายก็น้อยลวไปทีละนิดๆ ในที่สุดก็ใกล้จะหมดแรง สายตาที่มองยาวออกไปมันก็เริ่มสั้นเข้ามาทีละน้อยๆจนกระทั่งเห็นสั้นเข้ามาห่างจากร่างกายประมาณสัก 2 วา อาการอย่างนี้มันเคยมีมากับฉันคืออาการเพลีย แต่ว่าอาการป่วยคราวนี้ของฉันไม่ได้ยั้งตัว หมายความว่าฉันเผลอไปเมื่ออายุ 12 ปีมาครั้งหนึ่งแล้ว เกือบจะต้องถูกจับไปสอบสวนที่สำนักของท่านพยายมราช ฉะนั้นการภาวนาฉันไม่มีหยุด การพิจารณาก็ดีถือเป็นปกติ


    เวลาไหนต้องการภาวนาก็ภาวนา เวลาไหนต้องการพิจารณาก็พิจารณา เมื่ออาการไม่ดีเกิดขึ้น ฉันก็นึกถึงร่างกายว่า ดีไม่ดีมันก็ตายวันนี้แหละ มันจะตายเมื่อไรก็ช่างเราเตรียมพร้อมไว้เพื่อจิตเป็นสุข มีความรู้สึกว่าร่างกายเราประคบประหงมมันเท่าไหร่มันก็ดีไม่ได้ เลิกกันเสียทีนะ เอ็งจะตายก็ตายเถอะ ก็เลยบอกว่า “มึงพังเสียได้ก็ดี กูจะได้มีความสุขเจ้าตัณหาเอ๋ย ฉันเป็นทาสแกมา 50 ปีแล้ว ความดีนิดหนึ่งของแกไม่มีสำหรับฉันเลย ไอ้ร่างกายนี้แกเข้ามา และเวลานี้ข้าก็มีความเบื่อหน่ายร่างกายที่แกให้ แกจะต้องการร่างกายของแกคืนไปก็เชิญ ฉันไม่มีความปรารถนาร่างกายเลวๆอย่างนี้” พอจิตคิดเท่านี้ ไอ้ตัวสั้นของสายตามันก็หยุดมันไม่สั้นเข้ามาอีก กายมันเพลียแต่ใจไม่เพลียไปด้วย การยิ่งเพลียเพียงใดจิตใจยิ่งแจ่มใสมากขึ้น ความสว่างของจิตมากขึ้นกว่าเก่า แพรวพราวเป็นระยับ

    <O:p</O:p
    แต่ก็แปลกอย่างหนึ่ง ในอากาสไม่เห็นมีใครเลย ไม่เห็นเทวดา ไม่เห็นพรหม ไม่มีใครทั้งหมด ก็มีความรู้สึกว่าถ้าอย่างนี้มันคงไม่เอาจริง แต่ในใจนั้นอยากให้มันเอาจริง เมื่อสายตายาวออกไป ร่างกายก็เริ่มมีกำลัง จึงคิดในใจว่า “ตัณหาเอ๋ย เจ้าทำไมถึงหลอกเราอย่างนี้ เจ้าคิดหรือว่าเราต้องการเจ้า เราเบื่อเจ้า เราเกิดมาหลายอสงไขยกัปเพราะเป็นทาสของเจ้า ไม่มีความดีสำหรับเราเลย ความจริงเราไม่ต้องการร่างกายเลวๆของเจ้า เมื่อไหร่เจ้าจะมาทวงเจ้าร่างกายของเจ้าตัวนี้ไป” มันนึกอยู่คนเดียว พอนึกๆไปก็เลยทำใจหยุด จะนึกไปทำไม มันจะอยู่ก็อยู่ มันจะตายก็ตาย มันตายเมื่อไหร่เราไปบ้านเมื่อนั้น ใจฉันก็จับอยู่ที่บ้านสวยแจ๋ว มีความสวยงามมากมีความสุข ในระหว่างนั้นเองก็เห็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีพระวรกายใหญ่มาก ถ้าพระพุทธรูปหนังตัก 4 ศอก ต้องถึง 10 องค์ ถึงจะเท่ากับพระวรกายของพระองค์ เวลานั้นเห็นชัดเจนแจ่มใสแพรวพราวเป็นระยับลอยอยู่ข้างหน้าไม่ไกลจากฉันนัก ท่านลอยต่ำกว่าหลังคากระต๊อบหลังนั้น แต่เวลานั้นภาพหลังคาไม่ปรากฏ เห็นแต่พระพุทธเจ้าทรงแย้มพระโอษฐ์ แล้วตรัสว่า “สัพเกษี อาการเพียงเท่านี้ เธอเป็นทุกข์มากเหรอ” ก็ตอบพระองค์ว่า “ข้าพระพุทธเจ้า ไม่ทุกข์พระพุทธเจ้าข้า” ท่านตรัสว่า “ไม่ทุกข์ ทำไมถึงมีการท้ายทายกับตัณหา” ตอบพระองค์ว่า “การที่ท้าทายตัณหานั้นก็เพราะข้าพระพุทธเจ้าไม่ต้องการตัณหาและไม่ต้องการสมบัติของตัณหา เวลานี้สมบัติของตัณหาแต่ละชื้นไม่ต้องการเลย

    มีความต้องการอย่างเดียวคือบ้านหลังนั้น” พระองค์ก็ทรงยิ้มแล้วตรัสว่า “อาการป่วยเท่านี้ อาการทุกขเวทนาเพียงเท่านี้อย่าบ่นนะ ทำใจให้สบาย จิตไม่ยึดถืออะไรทั้งหมด สลัดทุกอย่าง กามตัณหา วิภวตัณหา สลัดให้หมด จงเข้าใจในทุกข์ของโลก คนที่เกิดมาในโลก ใครก็ตาม พระอรหันต์ก็ตาม พระพุทธเจ้าก็ตาม ก็ป่วยเหมือนกันร่างกายของข้าพระพุทธเจ้าก็ป่วย ร่างกายของพระอรหันต์ก็ป่วย ร่างกายของเธอจะไม่ป่วยไม่ได้” หลังจากนั้น พระพุทธเจ้าก็ตรัสว่า “เธอจงรักษากำลังใจอย่างนี้ให้ปกติเป็นเอกัคคตารมณ์ คือมีอารมณ์อันเดียวที่เราต้องการอย่างนี้ ถ้าพลาดพลั้งลงอบายภูมิ เจ้าหนี้ของเธอที่ยังไม่ได้ชำระหนี้เฉพาะคน สัตว์ไม่คิด เท่านี้เธอดู” ท่านก็ชี้ไป ฉันก็เห็นหัวคน ขัดเฉพาะหัววางเรียงพื้นที่จากแนวของคลอง วางเป็นระเบียบเรียบร้อยจนสุดของพื้นที่ของวัดท่าซุงด้านเหนือสุดเลย และก็ไม่ได้วางชั้นเดียว ต็มพื้นที่หมด


    กุฏิอะไรไม่เห็นทั้งนั้น เห็นแต่หัวคนวางเป็นระเบียบ สูงกว่ายอดโพธิ์หนึ่งเท่าหรืออาจจะเป็นหนึ่งเท่าเศษ ท่านบอกว่า “คนทั้งหมดนี้เธอฆ่ามาในอดีต และเวลานี้กรรมที่เธอทำกับเขาทุกคน เธอยังไม่ได้ใช้หนี้ เวลานี้เธอกำลังใช้หนี้เศษกรรมส่วนอื่น ส่วนใหญ่นี่ยังไม่ได้ใช้” จึงได้กราบเรียนถามท่านว่า “การสร้างบาปขนาดนั้น ทำไมไม่ไปอบายภูมิ” ท่านก็ตรัสว่า “ทุกชาติหลังจากนั้นมาพันเศษ เธอเป็นนักรบก็จริงแหล่แต่ทว่าก็เป็นนักบุญด้วย” นักรบก็เป็น นักบุญก็เป็น ดังนั้นเวลาว่างก่อนรบก็ทำบุญ เวลาไปรบจิตก็นึกถึงพระเป็นที่พึ่ง กลับมาจากการรบก็ทำบุญ และก็ชอบเจริญสมาธิ นักรบจะต้องใช้อาวุธฟาดฟันกัน โดยเฉพาะใช้มีดใช้ดายใช้หอกต้องหนังเหนียวทุกคน จะหนังเหนียวได้ต้องอาศัยคุณพระคุ้มครอง ฉะนั้นจิตใจจึงนึกถึงพระเป็นปกติและเวลาจะตาย จิตใจนึกถึงพระเป็นปกติ อย่างนี้เป็นอารมณ์ฌาน อาศัยกำลังฌานก็หนีบาปไปทุกครั้งพันชาติเศษ แล้วสมเด็จพระบรมเชษฐ์ก็ทรงให้โอวาทว่า “นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป เธอจงถือกำลังใจสังขารุเปกขาญาณเป็นอารมณ์ อะไรจะเกิดขึ้นกับร่างกายก็เฉยไว้ เขาจะชก็เฉย เขาจะด่าก็เฉย แล้วร่างกายจะเจ็บไข้ไม่สบาย ก็ทำใจสลายๆเฉยๆ ยอมรับนับถือกฎของธรรมดา คิดว่าร่างกายของเราต้องการเป็นอย่างนั้น อย่าใช้อารมณ์ฝืนกฎของธรรมดาเท่านี้ อารมณ์จิตของเธอจะเป็นสุข หัวคนที่ปรากฏทั้งหมดนี่นับแสน กรรมอันนี้ไม่สามรถตามเธอทัน เธอมีโอกาสจะไป บ้าน ของเธอตามความประสงค์”



    <O:p</O:p

    <O:p</O:p

    การตายครั้งที่ 7
    <O:p</O:p




    เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2523 อาการตายคราวนี้แปลกไม่มีโรค ตอนเช้าลงมาจากกุฏิชั้น 2 ตื่นขึ้นมาล้างหน้าเสร็จก็หยิบเอกสารสำหรับทำงานลงมาที่ ตึกอินทราพงศ์ หวังจะทำงานเมื่อฉันเช้าเสร็จ พอวางเอกสารเสร็จก็อยากเข้าห้องส้วม พอนั่งในส้วมปั๊ปมันไม่ขี้ไม่เหยียว มันมืดไปหมด ไม่ใช่หน้ามืดอย่างเดียว มันมืดไปทั้งหมดแม้แต่ยกมือขึ้นก็มองไม่เห็นมือ แต่ว่าจิตใจเป็นสุข ก็คิดว่าอาการอย่างนี้ควรเป็นอาการของความตาย ถ้าตายในเวลานี้ก็ไม่เห็นจะแปลกอะไรจิตใจเราเป็นสุขเราก็ไปนิพพานนั่งอยู่นานสักครู่ก็คิดในใจว่าโลกนี้ ตั้งแต่พระพุทเจ้าอุบัติมาแล้วก็ไม่เคยมีพระอรหันต์องค์ไหนนิพพานบนโถส้วม ถ้าเราตายบนโถส้วมก็จะเก่งกว่าพระอรหันต์ทั้งหมด และลูกศิษย์ของเราก็มีมาก ถ้าเราทราบว่าอาจารย์ตายบนโถส้วมก็จะขายขี้หน้าเขา เลยลุกจากโถส้วม ก็มองไมเห็นอะไรเลย เอามือคลำข้างฝา คลำราวผ้าออกมา พอถึงหน้าประตูห้องบันทึกเสียง พื้นห้องปูพรหมก็เอนกายนอนลงตรงนั้น พอเอนกายลงไปแล้ว จิตก็ออกจากร่างไปติดอยู่แค่พระจุฬามณีเจดียสถาน ในบริเวรสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ทั้งหมดเต็มไปทั้งเทวดา นางฟ้า พรฟม และพระอรหันต์ทั้งหมด


    ทะลุไปพระนิพพานไม่ได้ หาทางไปไม่ได้ เห็นพระพุทธเจ้าก็เข้าไปกราบท่าน ท่านก็ถามว่า “จะไปไหน” บอกท่านว่า “จะไปพระนิพพานครับ” ท่านบอกว่า “ฉันให้แกตายปี พ.ศ. 2525 ปีนี้พ.ศ. 2523 นี่แกตายไม่ได้” ก็บอกท่านว่า “ตายได้หรือไม่ได้ก็มาแล้วจะไป” ท่านก็เลยบอกว่า “เอาอย่างนี้ก็แล้วกันกลับลงไปก่อน สัญญาเดิมปี 2525 ถ้าฉันปล่อยให้เธอไปอยู่ถึง 2525 ฉันจะเอาเธอไว้ไม่ได้ ฉะนั้นปีนี้ 2523ฉันต้องทำให้เธอตายชั่วคราวก่อนให้ถือว่าเป็นการเกิดใหม่” ไอ้เราก็ยังไม่กลับ ท่านก็มาด้วยก็เลยต้องมา ในเมื่อพระพุทธเจ้าท่านมาด้วยก็ต้องมา เมื่อเข้าร่างกายก็ค่อยๆลืมตาขึ้น มันก็ยังมืดอยู่จึงหลับตาต่อไปอีกสักครู่หนึ่งจึงค่อยๆลืมตาขึ้นก็ค่อยๆสว่างท่านบอกว่า “ให้ถือว่าวันเกิดใหม่ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปนะ ฉันต่อให้อีก 10 ปี”



    <O:p</O:p
    <O:p</O:pการตายครั้งที่ 8
    <O:p</O:p

    วันที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2523 มีอาการผิดปกติ ไปนั่งรับแขกฉันหมากเข้าไปรู้สึกยันเวลานั้นเวลาประมาณสักบ่าย 2 โมง 3 นาที จำไม่ได้แน่นอนนัก กำลังรับแขกอยู่ก็เกิดปวดอุจจาระ ก็ลุกไปส้วม มันอยากจะอาเจียน ก็หยิบขันน้ำมารองอาเจียน พออาเจียนเท่านั้นมันหมดความรู้สึกตัว แต่มีความรู้สึกว่าตัวออกไปนั่งคุยอยู่ข้างนอกกับเทวดา 2 องค์ เป็นท่านอินทกะทั้งสองท่าน คือ ท่านบุเรงนอง กับ ท่านปิยะยาวี คุยกันแบบสบาย ร่างกายเป็นอย่างไรไม่รู้เรื่องเลยออกไปเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ พอกลับเข้ามาในตัวอีกทีก็รู้สึกว่า เสมหะนองเถือกเต็มพื้นไปหมด มันก็ไม่มีแรง นั่งรวบรวมกำลังใจอยู่นิดหนึ่ง ประตูก็ใส่กลอน พอมีแรงนิดหน่อยก็ค่อยๆ เกาะราวผ้าไปถอดกลอน ก็พอดีพระสมุห์บัญชาเรียกพระปลัดวิรัชว่า วิรัชๆ เร็วๆ วิรัชเร็วๆ จากนั้นก็ไม่รู้เรื่องเลยปรากฏว่าพอมารู้อีกทีก็เขานวดมือแล้ว ตอนออกตอนแรกพระท่านบอกว่า “เป็นการออกไปจากร่างกายเพราะร่างกายมันหนัก ถ้าไม่ออกไปจากร่างกาย มันจะหายใจไม่ทัน เสมหะออกมา มันจะขาดใจตายตอนนั้น” พระท่านกลัวจะตาย


    ท่านเลยดึงจิตวิญญาณออกไปเสียข้างนอก พอออกมาตอนหลังท่านเรียกว่าสลบ เพราะไม่รู้สึกอะไรเลย ไอ้ตัวสลบกับออกไปข้างนอก มันไม่เหมือนกันเพราะสลบไม่มีความรู้สึก ต่อมารู้สึกตัวเขานวดกันไปนวดกันมา ก็พอดีจ่าปัญญากับคุณบังเอิญ สองสามีภรรยาหวังจะมาเยี่ยมก็มาพบอาการหนักเข้า ทุกคนก็วิ่งกันวุ่นวาย กำนันสมนึกบอกว่าคนร้องไห้กันหลายคนมันน่าจะร้องไห้เพราะไม่มีความรู้สึกแล้ว พอยกออกไปเหมือนกับคนตาย แต่พออาการคลายตัวขึ้นมันก็ปรากฏว่า มีความรู้สึกว่ามีแรงนิดหน่อย มีอาการสดชื่น เขานวดบ้าง เขาบีบบ้าง เขาทำอะไร ก็ตาม ความสดชื่อก็ปรากฏ อีกสังครู่ก็เริ่มลุกขึ้นเดินได้...”
    <O:p</O:p
    “ในที่สุดหลวงพ่อพระราชพรหมยานท่านก็มรณภาพเมื่อวันศุกร์ที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2535 เวลา 16.10 น. ที่โรงพยาบาลศิริราช ได้มีพิธีสวดพระอภิธรรมเป็นเวลา 100 วัน พระศพท่านอยู่ในโลงแก้ว ประดิษฐานอยู่ในวิหาร

    </O:p</B>
     
  5. Bens

    Bens เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มกราคม 2006
    โพสต์:
    227
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,498
    เรื่องที่ 4 การบรรลุมรรคผลของท่านอัญญษโกณฑัญญะกับท่านสุภัททะปริพาชก

    เรื่องที่ 4<O:p</O:p

    การบรรรลุมรรคผลนิพพานของท่านอัญญาโกณทัญญะกับท่านสุภัททะปริพาชก<O:p</O:p

    <O:p</O:p






    “...เมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประกาศว่า พระองค์จะนิพพานที่ระหว่างนางรังทั้งคู่ที่เมืองกุสินารามหานคร พระอานนท์ก็ทัดทานว่า เมืองกุสินาราเป็นเมืองเล็ก การนิพพานที่นั้นจะไม่เหมาะสม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ตรัสว่าเหมาะ เพราะเมืองกุสินาราเป็นเมืองของพระเจ้าจักรพรรดิ และคนที่เป็นจักพรรดิในเมืองนั้นก็คือ ตถาคต ฉะนั้นเมืองใดที่เคยมีพระจักพรรดิเมืองนั้นถือว่าเป็นเมืองที่มีความสำคัญ เมืองที่พระอานนท์ท่านเสนอก็คือเมืองราชคฤห์กับเมืองพาราณสีการที่องค์สมเด็จพระบรมครูตรัสแก่พระอานนท์ว่า เมืองกุสินารามหานครเมื่อก่อนนี้เป็นมหาประเทศเป็นเขตที่อยู่ของพระเจ้าจักรพรรดิปกครองโลกนั้นเป็นเหตุอย่างหนึ่ง แต่เนื้อแท้จริงๆการที่พระองค์จะทรงไปนิพพานที่นั่นก็เพื่อหวังจะไปโปรดบริษัทคนสุดท้าย เพราะคนที่เกิดมาจะได้บรรลุมรรคผลบางคนก็พระอรหันต์สอนได้ แต่บางท่านพระอรหันต์สอนไม่ได้เพราะวิสัยตรงเฉพาะพระพุทธเจ้า ท่านผู้นั้นคือ ท่านสุภัททะปริพาชก
    <O:p</O:p
    เวลากลางคืนก่อนที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะเข้าสู่พระนิพพานในวันรุ่งขึ้นเวลาใกล้รุ่งอรุณ ก็ปรากฏว่ามีท่านๆหนึ่งคือ สุภัททะปริภาชก ต้องการจะเข้าไปกราบทูลถามปัญหากับพระพุทธเจ้าพระอานนท์ก็ทรงห้ามไว้ เพราะเวลานี้สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประชวนหนัก ท่านอย่าไปรบกวนพระองค์เลย ขณะที่พระอานนท์พูดกับท่านสุภัททะปริพาชก พระพุทธเจ้าได้ทรงสดับด้วยทิพโสตญาณ เมื่อพระองค์ทรงทราบก็บอกพระอานนท์ให้ปลอยเข้ามา “ว่าการที่ตถาคตมาที่นี่ ก็มาเพราะลูกชายคนนี้เท่านั้น” จะเห็นว่าตอนก่อนจะมาพระองค์ตรัสอย่างหนึ่ง ถ้าตรัสว่าจะมาโปรดสุภัททะปริพาชก ก็คงจะต้องถูกทัดทาน พระองค์จึงให้เหตุผลคนละอย่าง เพราะพระพุทธเจ้าทรงทราบว่า สุภัททะปริพาชก พระสาวกสอนไม่ได้ เป็นคนมีอารมณ์แข็ง ก่อนที่จะมาเกิดชาตินี้เป็นพี่น้องกับ ท่านอัญญาโกณฑัญญะเป็นน้อง ท่านสุภัททะปริพาชกเป็นพี่ แต่ท่านอัญญาโกณฑัญญะเวลาทำบุญจะเริ่มทำบุญตั้งแต่แรกนา ส่วนพี่ชายคือท่านสุภัททะปริพาชกทำบุญเมื่อขนข้าวเข้ายุ้งเสร็จแล้ว
    <O:p</O:p
    ฉะนั้น เมื่อเวลาสำเร็จมรรคผล ท่านอัญญาโกณฑัญญะจึงได้บรรลุมรรคผลก่อนคนอื่นทั้งหมดสำหรับพี่ชายทำบุญเมื่อเก็บข้างเสร็จแล้ว จึงบรรลุมรรคผลหลังสุดคือพระพุทธเจ้าจะนิพพาน เป็นอันว่าท่านสุภัททะปริพาชกก็เข้ามา พระองค์จึงถามถึงความประสงค์แล้วก็ตรัสว่า “เวลานี้ตถาคตป่วยมากแล้วนะ เวลาก็ใกล้จะสว่างมากแล้ว เมื่อใกล้สว่างตถาคตก็ต้องนิพพาน ฉะนั้นการถามปัญหาของเธอจงงดไว้ จงฟังเทศน์เถิด”
    <O:p</O:p
    พระพุทธเจ้าก็ทรงเทศน์ปรารภขันธ์ 5 ว่า “จงอย่าสนใจกับร่างกายของเรา อย่าสนใจร่างกายของบุคคลอื่น อย่าสนใจกับวัตถุธาตุใดๆทั้งหมด เพราะทุกอย่างมันเป็นอนิจจัง ไม่เที่ยง ถ้าเราเข้าไปยึดแล้ว ก็เป็นทุกขัง เป็นทุกข์ ในที่สุดมันก็พัง ต้องเป็นอนัตตา ดึงมันไว้ไม่อยู่ ฉะนั้นขอเธอจงปรับใจของเธอให้เข้าใจถึงเรื่องนี้ให้รู้ตามความเป็นจริง” รวมความว่า ไม่สนใจในรูปโดยเฉพาะอย่างยิ่งคือรูปของเรา
    <O:p</O:p
    เมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศน์จบประเดี๋ยวเดียว ท่านสุภัททะปริพาชกก็ไปปฏิบัติ สักครู่เดียวก็สำเร็จอรหัตผล...”
     
  6. Bens

    Bens เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มกราคม 2006
    โพสต์:
    227
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,498
    เรื่องที่ 5 พระอัสสชิพระสาวกรุ่นแรกของพระพุทธเจ้าก่อนที่จะนิพพานมีทุกขเวทนาอย่างหนัก

    เรื่องที่ 5

    พระอัสสชิพระสาวกรุ่นแรกของพระพุทธเจ้าก่อนที่จะนิพพานมีทุกขเวทนาอย่างหนัก<O:p</O:p




    <O:p</O:p
    คืนที่ 4 มกราคม 2532 เวลาประมาณ 22.00 น. อากาศก็เริ่มร้อน อาตมามีอาการปวดท้องอย่างหนักมีอาการคล้ายเป็นบิด รู้สึกอุจจาระแข็งมาก เพราะไปซอยสายลมทุกคราวโรคที่มีอยู่ก็ทวีขึ้น 3-4 เท่า เนื่องจากต้องนั่งเครียจทั้งวันและมีอาการพูดตลอดเวลาที่รับแขก ต้องใช้ขันติอย่างหนัก ถ้าถามว่า “ใช้ได้อย่างไร” ก็ขอตอบว่า “ใช้ได้เท่าที่พึงจะใช้ได้ ถ้าเกินวิสัยจริงๆก็ลุกไม่ขึ้นเหมือนกัน” ดูอย่างท่าน อัสสชิ ซึ่งเป็นสาวกรุ่นแรกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก่อนที่นิพพาน ท่านก็เป็นโรคกระเพาะอย่างหนัก ทั้งปวดทั้งเสียด อึดอัดทนไม่ไหวท่านจึงคิดในใจว่าเวลานี้เราเสื่อมจากความดีแล้วหรือ จึงให้พระไปตามพระพุทธเจ้ามา เมื่อองค์สมเด็จพระจอมไตรเสด็จมาท่านจะลุกมาจากที่นอน พระพุทธเจ้าตรัสว่า “อัสสชิ นอนตามนั้นเถิด ตถาคตจะนั่งในที่ที่เขาจัดให้นั่งตามสมควร” ท่านก็กราบทูลพระองค์ว่า “เวลานี้ทุกขเวทนาหนักพระเจ้าข้าข้าพระพุทธเจ้าทนไม่ไหว” พระพุทธเจ้าทรงมีพระพุทธฏีกาตรัสว่า “อัสสชิ เธอระงับกายสังขารไม่อยู่หรือ” หมายถึงใช้อานาปานุสสติ กำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก

    ถ้าจิตเป็นสมาธิตามสมควร ทุกขเวทนาจะคลายตัว ท่านก็กราบทูลว่า “ทนไม่ไหวพระเจ้าข้า ระงับไม่อยู่ ความดีที่ข้าพระพุทธเจ้าได้มาแล้ว คงจะสลายตัวไปแล้ว” พระพุทธเจ้าจึงตรัสถามว่า “อัสสชิ เธอถือว่าร่างกายเป็นของเธอหรือ” ท่านก็ตอบว่า “ไม่ใช่พระเจ้าข้า” พระองค์ถามว่า “หรือว่าเธอเห็นว่าเธอมีในร่างกาย” พระอัสสชิก็ตอบว่า “ไม่ใช่พระเจ้าข้า” ก็รวมความว่า ท่านอัสสชิยังถือว่าร่างกายไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเรา เมื่อท่านตอบอย่างนั้นแล้วพระพุทธเจ้าก็มีพุทธฏีกาตรัสว่า “อัสสชิ ความดีของเธอไม่เสื่อม ความดียังทรงตนอยู่” หลังจากนั้นพระอัสสชิพอองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่นานก็นิพพาน แสดงให้เห็นว่าขันติมันจะทนได้ก็แค่พอทนไหว ถ้าเกินกำลังเมื่อไหร่ อาตมาก็เช่นเดียวกับพระอัสสชิ แต่ทว่าเป็นพระอรหันต์ในสมัยตอนต้นพุทธกาล เป็นพระอรหันต์ที่มีกำลังยิ่งยวดมาก เพราะยังไม่มีใครเป็นตัวอย่างเป็นแบบฉบับของพระอรหันต์

    ฉะนั้นการเป็นพระอรหันต์เวลานั้นต้องใช้กำลังใจสูงมาก มีความฉลาดมาก มีความอดทนมาก มีความแข้มแข็งมากขอให้บรรดาท่านพุทธบริษัท มีความเข้าใจในร่างกายเป็นสำคัญวิปัสสนาญาณทุกข้อก็คือร่างกาย ให้พิจารณาร่างกายตามความเป็นจริงว่า ร่างกายเป็นโทษร่างกายเป็นทุกข์ร่างกายน่าเบื่อหน่ายร่างกายนี้เราควรจะวางเฉย เพราะขืนเอาจิตใจติดตามร่างกายคิดว่า ร่างกายจะไม่แก่มันก็ต้องแก่ คิดว่าร่างกายจะไม่ป่วยไข้ไม่สบายมันก็ต้องป่วย คิดว่าร่างกายจะไม่มีทุกขเวทนามันก็ทุกข์ ถ้ากำลังใจเราฝืนเราก็มีทุกข์ กำลังใจเราไม่ฝืนก็ไม่มีทุกข์ ยอมรับมัน ถ้าความแก่เข้ามาถึงก็ยอมรับความแก่ เมื่อความป่วยเข้ามาถึงก็ยอมรับว่าธรรมดาของร่างกายมันจะป่วย ความตายจะเข้ามาถึงก็ยอมรับว่าเป็นธรรมดาของร่างกายมันต้องตาย และก็พยายามหนีร่างกายด้วยการคิดว่า ขึ้นชื่อว่าร่างกายนี้จะมีกับเราชาติเดียวเป็นชาติสุดท้าย ต่อไปการเกิดมีร่างกายที่ประกอบไปด้วยทุกความทุกข์อย่างนี้เราจะไม่มีอีก<O:p</O:p
     
  7. mayongnes

    mayongnes เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 เมษายน 2006
    โพสต์:
    180
    ค่าพลัง:
    +2,449
    ขอบคุณครับ
     
  8. wong3210

    wong3210 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    553
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +3,392
    พุทธศาสนสุภาษิตเกี่ยวกับความตาย

    <TABLE style="WIDTH: 582px; HEIGHT: 574px" width=582><TBODY><TR vAlign=top><TD width="53%">
    ชีวิตของสัตว์เหมือนภาชนะดิน ล้วนมีความสลายเป็นที่สุด
    </TD><TD width="2%">
    </TD><TD width="45%">
    สพฺพํ เภทปริยนฺติ เอวํ มจฺจาน ชีวิตํ
    ที.มหา. ๑๐/๑๔๑
    </TD></TR><TR vAlign=top><TD>
    ทรัพย์สักนิดก็ติดตามคนตายไปไม่ได้
    </TD><TD>
    </TD><TD>
    น มิยฺยมานํ ธนมนฺเวติ กิญฺจิ
    ม.ม. ๑๓/๔๑๒
    </TD></TR><TR vAlign=top><TD>
    ทั้งคนมีคนจน ล้วนมีแต่ความตายเป็นเบื้องหน้า
    </TD><TD>
    </TD><TD>
    อฑฺฒา เจว ทฬิทฺทา จ สพฺเพ มจฺจุ ปรายนา
    ที.มหา. ๑๐/๑๔๑
    </TD></TR><TR vAlign=top><TD>
    </TD><TD>
    </TD><TD>
    </TD></TR><TR vAlign=top><TD>
    ทั้งเด็ก ทั้งผู้ใหญ่ ทั้งเขลา ทั้งฉลาด
    ล้วนไปสู่อำนาจแห่งความตาย ล้วนมีความตายเป็นเบื้องหน้า
    </TD><TD>
    </TD><TD>
    ทหรา จ มหนฺตา จ เย พาลา เย จ ปณฺฑิตา
    สพฺเพ มจฺจุวสํ ยนฺติ สพฺเพ มจฺจุปรายนา

    นัย- ที.มหา. ๑๐/๑๔๑
    </TD></TR><TR vAlign=top><TD>
    </TD><TD>
    </TD><TD>
    </TD></TR><TR vAlign=top><TD>
    ผู้เลี้ยงโคย่อมต้อนฝูงโค ไปสู่ที่หากินด้วยพลองฉันใด
    ความแก่และความตาย ย่อมต้อนอายุของสัตว์มีชีวิตไปฉันนั้น
    </TD><TD>
    </TD><TD>
    ยถา ทณฺเฑน โคปาลา คาโว ปาเชติ โคจรํ
    เอวํ ชรา จ มจฺจุ จ อายุ ํ ปาเชนฺติ ปาณินํ

    ขุ.ธ. ๒๕/๓๓
    </TD></TR><TR vAlign=top><TD>
    </TD><TD>
    </TD><TD>
    </TD></TR><TR vAlign=top><TD>
    ห้วงน้ำที่เต็มฝั่ง พึงพัดต้นไม้ซึ่งเกิดที่ตลิ่งไปฉันใด
    สัตว์มีชีวิตทั้งปวง ย่อมถูกความแก่และความตายพัดไปฉันนั้น
    </TD><TD>
    </TD><TD>
    ยถา วาริวโห ปูโร วเห รุกฺเข ปกูลเช
    เอวํ ชราย มรเณน วุยฺหนฺเต สพฺพปาณิโน

    (เตมิยโพธิสตฺต) ขุ.ชา.มหา. ๒๘/๑๖๔
    </TD></TR><TR vAlign=top><TD>
    </TD><TD>
    </TD><TD>
    </TD></TR><TR vAlign=top><TD>
    กาลย่อมล่วงไป ราตรีย่อมผ่านไป ชั้นแห่งวัยย่อมละลำดับไป ผู้เล็งเห็นภัยในมรณะนั้น พึงทำบุญอันนำสุขมาให้
    </TD><TD>
    </TD><TD>
    อจฺเจนฺติ กาลา ตรยนฺติ รตฺติโย
    วโยคุณา อนุปุพฺพํ ชหนฺติ
    เอตํ ภยํ มรเณ เปกฺขมาโน
    ปุญฺญานิ กยิราถ สุขาวหานิ.

    (นนฺทเทวปุตฺต) สํ. ส. ๑๕/๘๙.
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    (f) ขออนุโมทนาต่อ เรื่องเล่าของหลวงพ่อด้วยครับ สาธุ สาธุ สาธุ (f)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 13 กันยายน 2006
  9. pattarawat

    pattarawat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    1,671
    ค่าพลัง:
    +7,982
    ขอบคุณคุณ pasaway007 นะครับ ดีมากเลยครับ ผมชอบอ่านเรื่องประมาณนี้ครับ จะได้เตือนตนเองอย่าได้ประมาท อนุโมทนา สาธุ ครับ
     
  10. tippavan

    tippavan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    160
    ค่าพลัง:
    +1,583
    อนุโมทนาค่ะ การให้ธรรมทานเป็นเลิศกว่าธรรมทั้งปวง นิพพานะปัจจโยโหตุ


    หน่อย
     
  11. Bens

    Bens เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มกราคม 2006
    โพสต์:
    227
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,498
    เรื่องที่ 7

    เรื่องที่ 7
    พระติสสะเป็นโรคพุพองทั้งตัวพระพุทธเจ้าเสด็จมาเช็ดน้ำเหลืองให้แล้วเข้านิพพานในวันนั้น
    บุพกรรมของพระติสสะ
     
  12. Bens

    Bens เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มกราคม 2006
    โพสต์:
    227
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,498
    เรื่องที่ 8

    เรื่องที่ 8

    ท่านปุตตะภิกขุ(โอภาสี)ได้บรรลุอรหัตผลเข้าสู่พระนิพพาน<O:p</O:p
    <O:p</O:p



     
  13. Bens

    Bens เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มกราคม 2006
    โพสต์:
    227
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,498
    เรื่องที่ 9

    เรื่องที่ 9
    ท่านเจ้าคุณเทพประสิทธินายกมรณภาพแล้วไปพระนิพพาน<O:p</O:p

    <O:p</O:p
     
  14. Bens

    Bens เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มกราคม 2006
    โพสต์:
    227
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,498
    เรื่องที่ 10

    เรื่องที่ 10
    หลวงพ่อจันทร์ หลวงพ่อใหญ่ หลวงพ่อขนมจีน(เส็ง) หลวงพ่อเล่งกับหลวงพ่อไล้อดีตเจ้าอาวาสวัดท่าซุงไปพระนิพพาน<O:p</O:p
    <O:p</O:p

     
  15. Bens

    Bens เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มกราคม 2006
    โพสต์:
    227
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,498
    เรื่องที่ 11

    เรื่องที่ 11



    หลวงปู่ดู่ วัดสะแก จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
    <O:p</O:p





    ...พระอรหันต์ทุกองค์ไม่มีองค์ไหนประมาทชีวิต ยกตัวอย่างพระอรหันต์ที่มรณภาพแล้วให้ฟังองค์หนึ่งว่า พระองค์นี้ก็คือ หลวงปู่ดู่ วัดสะแก จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ใครไปคุยกับท่าน ท่านก็คุยธรรมะ ถ้าใครไปชมท่าน ท่านก็บอกว่าท่านยังเลวอยู่ หลวงปู่ท่านบอกท่านไม่มีอะไรดีเลย แต่เวลาตายแล้ว หลวงปู่ดู่ท่านไม่ไปนรก สวรรค์ก็ไม่ไป พรหมโลกก็ไม่ไป ท่านไปนิพพาน ที่พูดอย่างนี้ไม่ใช่ไปพยากรณ์นะ คือพระองค์ไหนก็ตามคิดว่าตัวเองไม่ดี องค์นั้นเป็นพระที่ดีที่สุด ที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า “บุคคลใดมีความรู้สึกตัวเองว่าเป็นพาล ตถาคตกล่าวว่าบุคคลนั้นเป็นบัณฑิต” คำว่า “พาล” แปลว่า “โง่” คือรู้ตัวเองว่าไม่ดี<O:p</O:p
    ทีนี้หลวงปู่ดู่ท่านคิดว่าตัวท่านเป็นพาล แต่อารมณ์จิตของท่านผ่องใส ท่านเห็นแต่ความไม่ดีของร่างกาย หมายถึงร่างกายทุกส่วนมันไม่ดี...”<O:p></O:p>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 14 กันยายน 2006
  16. Bens

    Bens เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มกราคม 2006
    โพสต์:
    227
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,498
    เรื่องที่ 12

    เรื่องที่ 12


    หลวงพ่อวัดปากน้ำภาษีเจริญมรณภาพแล้วท่านไปพระนิพพาน
    <O:p</O:p



    <O:p</O:p
     
  17. Bens

    Bens เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มกราคม 2006
    โพสต์:
    227
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,498
    เรื่องที่ 6

    เรื่องที่ 6


    พระวักกลิบวชเพราะต้องการเห็นความสวยของพระพุทธเจ้าแต่ไม่สนใจปฏิบัติธรรม พระพุทธเจ้าทรงขับแล้วเป็นพระอรหันต์<O:p</O:p
    <O:p</O:p
     
  18. Bens

    Bens เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มกราคม 2006
    โพสต์:
    227
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,498
    เรื่องที่ 13

    เรื่องที่ 13

    หลวงพ่อเขียนถึงการมรณภาพของหลวงปู่คำแสน วัดดอนมูล จ.เชียงใหม่<O:p</O:p
    <O:p</O:p
     
  19. Bens

    Bens เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มกราคม 2006
    โพสต์:
    227
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,498
    เรื่องที่14

    <O:p</O:p
    เรื่องที่ 14<O:p</O:p
    สมเด็จพระพุฒาจารย์ วัดสุทัศน์ ท่านบอกว่าท่านแก่แล้วไม่รู้จะไปไหนเลยตั้งใจไปพระนิพพาน
    <O:p</O:p
     
  20. Bens

    Bens เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มกราคม 2006
    โพสต์:
    227
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,498
    เรื่องที่ 15

    เรื่องที่ 15

    สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงลาพุทธภูมิ เมื่อวันที่ 29 มกราคม 2533
    <O:p</O:p
    <O:p</O:p
     

แชร์หน้านี้

Loading...