ประเทศไทยจะเกิดอุบัติภัยอย่างที่ทำนายกันจริงๆหรือไม่

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย koymoo, 25 มกราคม 2005.

  1. ปกรณ์

    ปกรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    404
    ค่าพลัง:
    +3,761
    ผมมีเรื่องหนึ่งที่พึ่งรับทราบข้อเท็จจริงเมื่อวันอาทิตย์ที่ ๑๑ เมย.นี้เอง จากหน้าหนังสือพิมพ์ ที่ว่ากลุ่มคนเสื้อแดง มีพระแก้วมรกตสีแดงประดิษฐานที่เวทีของตน ก็นึกในใจว่าปกติขององค์ท่านสีเขียว นึกอย่างไรจึงทำเป็นสีแดงอันนี้น่าคิด เลยทำให้คิดเลยเถิดต่อไปว่า ที่พระอริยสงฆ์ท่านหนึ่งกล่าวว่าหาก พระแก้วมรกตเปลี่ยนเป็นสีแดงเมื่อไหร่ อีกไม่นานจะเกิดภัยพิบัตินั้น สัมพันธ์กับกรณีนี้หรือไม่ เพราะตอนที่ผมได้รับทราบว่าพระท่านกล่าวไว้อย่างนั้น ใจก็คิดว่าพระแก้วท่านจะเปลี่ยนสีได้อย่างไร ก็เลยไม่แน่ใจว่า คำว่าเปลี่ยนสีเป็นสีแดงนั้น ก็คือเหตุการณ์ที่กำลังปรากฎอยู่ในเวลานี้หรือเปล่า.......อันนี้ผมคิดเอาเองนะครับ
     
  2. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    <table id="post3181379" class="tborder" width="100%" align="center" border="0" cellpadding="6" cellspacing="0"><tbody><tr><td class="thead" style="font-weight: normal; border-width: 1px 0px 1px 1px; border-style: solid none solid solid; border-color: rgb(255, 255, 255) -moz-use-text-color rgb(255, 255, 255) rgb(255, 255, 255);">[​IMG] วันนี้, 12:59 AM </td> <td class="thead" style="font-weight: normal; border-width: 1px 1px 1px 0px; border-style: solid solid solid none; border-color: rgb(255, 255, 255) rgb(255, 255, 255) rgb(255, 255, 255) -moz-use-text-color;" align="right"> #1 <input name="plist[3181379]" id="plist_3181379" style="vertical-align: middle; padding: 0px; margin: 0px 0px 0px 5px;" value="0" type="checkbox"> </td> </tr> <tr valign="top"> <td class="alt2" style="border-width: 0px 1px; border-style: none solid; border-color: -moz-use-text-color rgb(255, 255, 255);" width="175"> <!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->Forever In LoVE<!-- google_ad_section_end --> <script type="text/javascript"> vbmenu_register("postmenu_3181379", true); </script>
    ทีมงาน

    [​IMG]

    วันที่สมัคร: Nov 2007
    ข้อความ: 1,261
    Groans: 0
    Groaned at 2 Times in 2 Posts
    ได้ให้อนุโมทนา: 13,750
    ได้รับอนุโมทนา 14,726 ครั้ง ใน 1,204 โพส
    พลังการให้คะแนน: 281 [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]
    [​IMG]

    </td> <td class="alt1" id="td_post_3181379" style="border-right: 1px solid rgb(255, 255, 255);"> <center><!-- google_ad_section_start -->หลัก การทรงงาน ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว<!-- google_ad_section_end -->

    </center>
    <hr style="color: rgb(255, 255, 255); background-color: rgb(255, 255, 255);" size="1"> <!-- google_ad_section_start --> <script type="text/javascript"><!-- zone = "15"; url = "http://ads.palungjit.org"; //--></script> <script type="text/javascript" src="http://ads.palungjit.org/show.js"></script><script language="JavaScript" src="http://ads.palungjit.org/show.php?z=15&w=0&pl=0&ad_type=0&shape=0&c_border=0&c_background=0&c_text1=0&c_text2=0&c_text3=0&c_text4=0&c_text5=0&c_text6=0&c_text7=0&c_text8=0&c_text9=0&c_text10=0&code=1271088955358"></script><link rel="stylesheet" href="http://ads.palungjit.org/files/sticky_note1269462145/styles.css" type="text/css"><table class="sticky_table" border="0"><tbody><tr><td valign="top">[​IMG]ขอ เชิญร่วมสร้างเครื่องบวงสรวงบูชาพระรัตนตรัยถวายวัดท่าซุงในงานกฐินประจำ ปี53.

    โต๊ะ บวงสรวงใช้ชื่อว่า'นำสู่พระนิพพาน'โดยครั้งนี้ขอตั้งชื่อให้ว่านำสู่พระ นิพพานชื่อเป็นเป้าหมายของเราทุกคนในการปฏิบัติธรรม

    โดยจะจัดสร้างใน ครั้งนี้เป็นครั้งแรกของชาวเว็บพลังจิตและจะถวายรวมกับในงานกฐินวัดท่าซุง ประจำเหมือนทุกปี
    </td></tr><tr><td align="right">Hide Box</td></tr></tbody></table>
    <table class="sticky_table_small" border="0"><tbody><tr><td align="right">Show Box</td></tr></tbody></table>

    [FONT=&quot]หลักการทรงงาน ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่ หัว
    [/FONT]
    <o></o>
    [FONT=&quot]“60 ปี ครองราชย์ ประโยชน์ สุข ประชาราษฎร์”

    <o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot](สำนัก งานคณะกรรมการพิเศษ เพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ 2549)[/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]<!--[if gte vml 1]><v:shapetype id="_x0000_t75" coordsize="21600,21600" o:spt="75" o:preferrelative="t" path="m@4@5l@4@11@9@11@9@5xe" filled="f" stroked="f"> <v:stroke joinstyle="miter"/> <v:formulas> <v:f eqn="if lineDrawn pixelLineWidth 0"/> <v:f eqn="sum @0 1 0"/> <v:f eqn="sum 0 0 @1"/> <v:f eqn="prod @2 1 2"/> <v:f eqn="prod @3 21600 pixelWidth"/> <v:f eqn="prod @3 21600 pixelHeight"/> <v:f eqn="sum @0 0 1"/> <v:f eqn="prod @6 1 2"/> <v:f eqn="prod @7 21600 pixelWidth"/> <v:f eqn="sum @8 21600 0"/> <v:f eqn="prod @7 21600 pixelHeight"/> <v:f eqn="sum @10 21600 0"/> </v:formulas> <v:path o:extrusionok="f" gradientshapeok="t" o:connecttype="rect"/> <o:lock v:ext="edit" aspectratio="t"/> </v:shapetype><v:shape id="_x0000_i1025" type="#_x0000_t75" style='width:314.4pt; height:205.2pt'> <v:imagedata src="index.files/image002.jpg" o:title="nailuang[2]"/> </v:shape><![endif]--><!--[if !vml]-->[​IMG]<!--[endif]--><o></o>[/FONT]


    [FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]หลักการทรงงานในพระบาทสมเด็จพระเจ้า อยู่หัว[/FONT] มีดังต่อไปนี้ [FONT=&quot]<o></o>[/FONT]

    [FONT=&quot] 1. [/FONT][FONT=&quot]ศึกษาข้อมูลอย่าง เป็น ระบบ[/FONT] การที่จะพระราชทานโครงการใดโครงการหนึ่งนั้น จะทรงศึกษาข้อมูลรายละเอียด<!--[if gte vml 1]><v:shape id="_x0000_s1026" type="#_x0000_t75" style='position:absolute;margin-left:0; margin-top:0;width:81pt;height:81pt;z-index:-8;mso-position-horizontal:left; mso-position-horizontal-relative:text;mso-position-vertical:top; mso-position-vertical-relative:line' wrapcoords="-169 0 -169 21431 21600 21431 21600 0 -169 0" o:allowoverlap="f"> <v:imagedata src="index.files/image003.gif" o:title="C"/> <o:lock v:ext="edit" cropping="t"/> <w:wrap type="square"/> </v:shape><![endif]--><!--[if !vml]--><!--[endif]-->[FONT=&quot]อย่างเป็นระบบ ทั้งจากข้อมูลเบื้องต้น จากเอกสาร แผนที่ สอบถามเจ้าหน้าที่ นักวิชาการและราษฎรในพื้นที่เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ถูกต้อง เพื่อที่จะพระราชทานความช่วยเหลือได้อย่างถูกต้องและรวดเร็วตรงตามความต้อง การของประชาชน [/FONT]<o></o>

    [FONT=&quot] 2. [/FONT]
    [FONT=&quot]ระเบิดจากข้างใน[/FONT][FONT=&quot] พระองค์ทรงมุ่งเน้นเรื่องการพัฒนาคน ต้องสร้างความเข้มแข็งให้คนในชุมชนที่เราเข้าไปพัฒนาให้มีสภาพพร้อมที่จะรับ เสียก่อน แล้วจึงค่อยออกมาสู่สังคมภายนอก มิใช่การนำเอาความเจริญหรือบุคคลจากสังคมภายนอกเข้า[/FONT]<!--[if gte vml 1]><v:shape id="_x0000_s1027" type="#_x0000_t75" style='position:absolute;margin-left:602.6pt; margin-top:0;width:41.1pt;height:90pt;z-index:-7;mso-position-horizontal:right; mso-position-horizontal-relative:text;mso-position-vertical:top; mso-position-vertical-relative:line' wrapcoords="11340 247 9180 987 7290 1975 3510 2839 270 3826 270 4320 4320 6171 3510 6295 1350 7653 1350 8640 2430 10121 5400 12096 1350 13207 -270 13824 810 16046 1350 18021 3510 19995 5940 21353 6210 21353 8100 21353 11880 21353 18090 20489 18090 19995 21060 16046 21600 13577 19170 12096 21330 10121 15660 6171 17550 4320 17820 1851 15930 741 13770 247 11340 247" o:allowoverlap="f"> <v:imagedata src="index.files/image004.gif" o:title="kapook_dookdik_31650_67483"/> <o:lock v:ext="edit" cropping="t"/> <w:wrap type="square"/> </v:shape><![endif]--><!--[if !vml]-->[​IMG]<!--[endif]-->[FONT=&quot]ไปหาชุมชน หมู่บ้าน ที่ยังไม่ทันได้มีโอกาสเตรียมตัวหรือตั้งตัว [/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]

    [FONT=&quot] 3. [/FONT]
    [FONT=&quot]แก้ปัญหาที่จุดเล็ก[/FONT][FONT=&quot]พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเปี่ยมไปด้วยพระอัจฉริยภาพในการแก้ปัญหา ทรงมองปัญหาในภาพรวม ([/FONT][FONT=&quot]Macro) ก่อนเสมอ แต่การแก้ปัญหาของพระองค์จะเริ่มจากจุดเล็ก ๆ คือ การแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าที่คนมักจะมองข้าม ดังพระราชดำรัสที่ว่า “…..ถ้าปวดหัวก็คิดอะไรไม่ออก…….. เป็นอย่าง นั้นต้องแก้ไขการปวดหัวนี้ก่อน……..มันไม่ได้เป็นการ แก้อาการจริง แต่ต้องแก้ปวดหัวก่อน เพื่อที่จะให้อยู่ในสภาพที่คิดได้…….แบบ Macro นี้เขาจะทำแบบรื้อทั้งหมด ฉันไม่เห็นด้วย……… อย่างบ้านคนอยู่ เราบอกบ้านนี้มันผุตรงนั้น ผุตรงนี้ไม่คุ้มที่จะไปซ่อม…… เอาตกลงรื้อบ้านนี้ระเบิดเลย เราจะไปอยู่ที่ไหน ไม่มีที่อยู่………. วิธีทำต้องค่อย ๆทำ จะไประเบิดหมดไม่ได้ <o></o>[/FONT]

    <!--[if gte vml 1]><v:shape id="_x0000_s1032" type="#_x0000_t75" style='position:absolute;margin-left:0;margin-top:32.5pt;width:37.8pt; height:37.8pt;z-index:-5;mso-position-horizontal:left' wrapcoords="-432 0 -432 21168 21600 21168 21600 0 -432 0"> <v:imagedata src="index.files/image006.gif" o:title="kapook_dookdik_22031_17493"/> <o:lock v:ext="edit" cropping="t"/> <w:wrap type="square"/> </v:shape><![endif]--><!--[if !vml]-->[​IMG]<!--[endif]-->[FONT=&quot] 4. [/FONT][FONT=&quot]ทรงทำตามลำดับขั้น[/FONT][FONT=&quot]“…การพัฒนาประเทศจำเป็นต้องทำ ตามลำดับขั้น ต้องสร้างพื้นฐานคือ ความพอมีพอกิน พอใช้ของประชาชนส่วนใหญ่เป็นเบื้องต้นก่อน ใช้วิธีการและอุปกรณ์ที่ประหยัดแต่ถูกต้องตามหลักวิชาการ เมื่อได้พื้นฐานที่มั่นคงพร้อมพอสมควร และปฏิบัติได้แล้วจึงค่อยสร้างค่อยเสริมความเจริญ และฐานะเศรษฐกิจขั้นที่สูงขึ้นโดยลำดับต่อไป หากมุ่งแต่จะทุ่มเทสร้างความเจริญ ยกเศรษฐกิจให้รวดเร็วแต่ประการเดียว โดยไม่ให้แผนปฏิบัติการสัมพันธ์กับภาวะของประเทศและของประชาชนโดยสอดคล้อง ด้วย ก็จะเกิดความไม่สมดุลในเรื่องต่าง ๆขึ้น ซึ่งอาจกลายเป็นความยุ่งยากล้มเหลวได้ในที่สุด ดังเห็นได้ที่อารยประเทศกำลังประสบปัญหาทางเศรษฐกิจอย่างรุนแรงในเวลานี้…” [/FONT]

    <!--[if gte vml 1]><v:shape id="_x0000_s1033" type="#_x0000_t75" style='position:absolute;margin-left:645.8pt;margin-top:0;width:37.8pt; height:37.8pt;z-index:-4;mso-position-horizontal:right; mso-position-vertical:top;mso-position-vertical-relative:line' wrapcoords="-432 0 -432 21168 21600 21168 21600 0 -432 0" o:allowoverlap="f"> <v:imagedata src="index.files/image007.gif" o:title="kapook_dookdik_22030_55902"/> <o:lock v:ext="edit" cropping="t"/> <w:wrap type="square"/> </v:shape><![endif]--><!--[if !vml]-->[​IMG]<!--[endif]-->[FONT=&quot] 5. [/FONT][FONT=&quot]ภูมิสังคม[/FONT][FONT=&quot]“…การพัฒนาจะต้องเป็นไปตาม ภูมิประเทศ ภูมิศาสตร์และภูมิประเทศทางสังคมศาสตร์ในสังคมวิทยา คือนิสัยใจคอของคนเราจะไปบังคับให้คนอื่นคิดอย่างอื่นไม่ได้ เราต้องแนะนำ เราเข้าไป ไปช่วยโดยที่จะคิดให้เขาเข้ากับเราไม่ได้ แต่ถ้าเราเข้าไปแล้ว เราเข้าไปดูว่าเขาต้องการอะไรจริง ๆ แล้วก็อธิบายให้เขาเข้าใจหลักการของการพัฒนานี้ก็จะเกิดประโยชน์อย่างยิ่ง…” <o></o>[/FONT]

    <!--[if gte vml 1]><v:shape id="_x0000_s1034" type="#_x0000_t75" style='position:absolute;margin-left:0;margin-top:83.15pt;width:75pt;height:75pt; z-index:-3;mso-position-horizontal:left' wrapcoords="-216 0 -216 21384 21600 21384 21600 0 -216 0"> <v:imagedata src="index.files/image008.jpg" o:title="kapook_dookdik_14660_16776"/> <w:wrap type="square"/> </v:shape><![endif]--><!--[if !vml]-->[​IMG]<!--[endif]-->[FONT=&quot] 6. [/FONT][FONT=&quot]องค์รวม[/FONT][FONT=&quot]ทรงมีชีวิตคิดอย่างองค์รวม ([/FONT][FONT=&quot]Holistic) หรือมองอย่างครบวงจร ในการที่จะพระราชทานพระราชดำริเกี่ยวกับโครงการหนึ่งนั้นจะทรงมองเหตุการณ์ ที่จะเกิดขึ้นและแนวทางแก้ไขอย่างเชื่อมโยง ดังเช่น กรณีของ “ทฤษฎีใหม่” ที่พระราชทานให้แก่ปวงชนชาวไทย เป็นแนวทางในการประกอบอาชีพนับเป็นแนวทางหนึ่งที่พระองค์ทรงมองอย่างองค์รวม ตั้งแต่การถือครองที่ดิน โดยเฉลี่ยของประชาชนคนไทยประมาณ ๑๐ – ๑๕ ไร่ เพื่อการบริหารจัดการที่ดิน และแหล่งน้ำอันเป็นปัจจัยพื้นฐานที่สำคัญในการประกอบอาชีพ เมื่อมีน้ำในการทำเกษตรแล้วจะส่งผลให้ผลผลิตดีขึ้น และหากมีผลผลิตเพิ่มมากขึ้น เกษตรกรจะต้องรู้จักวิธีการจัดการและการตลาด รวมถึงการรวมกลุ่ม รวมพลังชุมชนให้มีความเข้มแข็ง เพื่อพร้อมที่จะออกสู่การเปลี่ยนแปลงของสังคมภายนอกได้อย่างครบวงจร นั่นคือ ทฤษฎีใหม่ ขั้นที่ ๑, ๒ และ ๓ <o></o>[/FONT]

    <!--[if gte vml 1]><v:shape id="_x0000_s1035" type="#_x0000_t75" style='position:absolute;margin-left:0;margin-top:27.6pt;width:37.8pt; height:37.8pt;z-index:-2;mso-position-horizontal:left' wrapcoords="-432 0 -432 21168 21600 21168 21600 0 -432 0"> <v:imagedata src="index.files/image009.gif" o:title="kapook_dookdik_22033_10614"/> <o:lock v:ext="edit" cropping="t"/> <w:wrap type="square"/> </v:shape><![endif]--><!--[if !vml]-->[​IMG]<!--[endif]-->[FONT=&quot] 7. [/FONT][FONT=&quot]ไม่ติด ตำรา[/FONT][FONT=&quot] การพัฒนาตามแนวพระราชดำริในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีลักษณะของการพัฒนาที่อนุโลมและรอมชอมกับสภาพธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม และสภาพของสังคมจิตวิทยาแห่งชุมชน คือ [/FONT][FONT=&quot]“ไม่ติดตำรา” ไม่ผูกมัดติดกับวิชาการและ เทคโนโลยีที่ไม่เหมาะสมกับสภาพชีวิตความเป็นอยู่ที่แท้จริงของคนไทย [/FONT]

    <!--[if gte vml 1]><v:shape id="_x0000_s1028" type="#_x0000_t75" style='position:absolute;margin-left:701.6pt;margin-top:0;width:60pt;height:132.6pt; z-index:-6;mso-position-horizontal:right;mso-position-vertical:top; mso-position-vertical-relative:line' wrapcoords="5400 122 2700 976 270 1831 -270 4027 270 6468 2160 7932 7290 9885 5130 10007 4320 10373 4320 12692 7830 13790 6210 14522 6210 15742 4860 17207 5400 17451 12690 17695 11340 19037 9450 19647 8370 19892 8640 20258 10260 20258 10800 19647 12150 19647 15120 18305 15390 16108 14310 15742 8370 15742 13500 14888 14040 14522 11610 13790 14040 12325 14310 11837 15660 10251 17280 9885 21600 8542 21600 7932 18900 5980 18900 3783 17280 1831 14580 1220 7560 122 5400 122" o:allowoverlap="f"> <v:imagedata src="index.files/image005.gif" o:title="kapook_dookdik_31642_21375"/> <o:lock v:ext="edit" cropping="t"/> <w:wrap type="square"/> </v:shape><![endif]--><!--[if !vml]-->[​IMG]<!--[endif]-->[FONT=&quot] 8. [/FONT][FONT=&quot]ประหยัด เรียบง่าย ได้ประโยชน์สูงสุด[/FONT][FONT=&quot]ในเรื่องของความประหยัดนี้ ประชาชนชาวไทยทราบกันดีว่าเรื่องส่วนพระองค์ทรงใช้อย่างคุ้มค่าอย่างไร หรือฉลองพระองค์แต่ละองค์ทรงใช้อยู่เป็นเวลานานดังที่นายสุเมธ ตันติเวชกุล เลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนา เคยเล่าว่า [/FONT][FONT=&quot]“...กอง งานในพระองค์โดยท่านผู้หญิงบุตรี วีระไวทยะ บอกว่าปีหนึ่งพระองค์เบิกดินสอ 12 แท่ง เดือนละแท่งใช้จนกระทั่งกุด ใครอย่าไปทิ้งของท่านนะจะกริ้วเลย ประหยัดทุกอย่างเป็นต้นแบบทุกอย่าง ทุกอย่างมีค่าสำหรับพระองค์หมด ทุกบาททุสตางค์จะใช้อย่างระมัดระวัง จะสั่งให้เราปฏิบัติงานด้วยความรอบคอบ...” <o></o>[/FONT]

    [FONT=&quot] 9. [/FONT]
    [FONT=&quot]ทำให้ง่าย[/FONT][FONT=&quot]Simplicity ด้วยพระอัจฉริยภาพ และพระปรีชาสามารถของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทำให้การคิดค้น ดัดแปลง ปรับปรุง และแก้ไขงานการพัฒนาเป็นไปได้โดยง่าย ไม่ยุ่งยากซับซ้อน และที่สำคัญคือสอดคล้องกับสภาพความเป็นอยู่และระบบนิเวศน์โดยส่วนรวมใช้กฎ แห่งธรรมชาติเป็นแนวทาง ฉะนั้น คำว่า “ทำให้ง่าย”จึง เป็นหลักคิดสำคัญที่สุดของการพัฒนาประเทศในรูปแบบของโครงการอันเนื่องมาจาก พระราชดำริ <o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]
    [/FONT]
    [​IMG]
    [FONT=&quot]10. [/FONT][FONT=&quot]การมีส่วนร่วม[/FONT][FONT=&quot] พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเป็นนักประชาธิปไตย [/FONT][FONT=&quot]“ประชาพิจารณ์” มาใช้ในการบริหาร เพื่อเปิดโอกาสให้[/FONT]<!--[if gte vml 1]><v:shape id="_x0000_s1036" type="#_x0000_t75" style='position:absolute;margin-left:0;margin-top:0; width:75pt;height:75pt;z-index:-1;mso-position-horizontal:left; mso-position-horizontal-relative:text;mso-position-vertical:top; mso-position-vertical-relative:line' o:allowoverlap="f"> <v:imagedata src="index.files/image012.jpg" o:title="kapook_dookdik_14513_79059"/> <w:wrap type="square"/> </v:shape><![endif]--><!--[if !vml]--><!--[endif]-->[FONT=&quot]สาธารณชน ประชาชนหรือเจ้าหน้าที่ทุกระดับได้มาร่วมกัน แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องที่จะต้องคำนึงถึงความคิดของประชาชน ดังพระราชดำรัสความตอนหนึ่งว่า [/FONT]“…สำคัญที่สุดจะต้องหัดทำใจ ให้กว้างขวางหนัก แน่น รู้จักรับฟังความคิดเห็น แม้กระทั่งความวิพากษ์วิจารณ์จากผู้อื่นอย่างฉลาด เพราะการรู้จักรับฟังอย่างฉลาดนั้น แท้จริงคือการระดมสติปัญญาและประสบการณ์อันหลากหลาย มาอำนวยประโยชน์ในการปฏิบัติบริหารงานให้ประสบความสำเร็จที่สมบูรณ์นั่น เอง….” <o></o>

    [FONT=&quot] 11. [/FONT][FONT=&quot]ประโยชน์ส่วนรวม[/FONT][FONT=&quot] การปฏิบัติพระราชกรณียกิจ และการพระราชทานพระราชดำริ ในการพัฒนาและช่วยเหลือพสกนิกรของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงระลึกถึง ประโยชน์ของส่วนรวมเป็นสำคัญ [/FONT]<o></o>

    [FONT=&quot] 12. [/FONT][FONT=&quot]บริการรวมที่จุดเดียว[/FONT][FONT=&quot] One-Stop Services ทรงเน้นใน เรื่องการสร้างความรู้ รัก สามัคคีและการร่วมมือร่วมแรงใจกันด้วยการปรับลดช่องว่างระหว่างหน่วยงานที่ เกี่ยวข้อง ที่มักจะต่างคนต่างทำและยึดติดกับการเป็นเจ้าของเป็นสำคัญ ให้แปรเปลี่ยนเป็นการรวมมือกันแนวพระราชดำริ ในการดำเนินบริหารของศูนย์ศึกษาการพัฒนาอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ที่มีอยู่ทั้ง 6 ศูนย์ ทั่วทุกภูมิภาคของประเทศ นับเป็นรูปแบบใหม่ของการบริหารราชการแผ่นดินของประเทศไทยอย่างแท้จริงการ พึ่งตนเอง <o></o>[/FONT]

    [FONT=&quot] 13. [/FONT][FONT=&quot]ทรงใช้ธรรมชาติช่วย ธรรมชาติ[/FONT][FONT=&quot] ทรงเข้าใจถึงธรรมชาติและต้องการให้ประชาชนใกล้ชิดกับธรรมชาติทรงมองอย่าง ละเอียดถึงปัญหาธรรมชาติ หากเราต้องการแก้ไขธรรมชาติ จะต้องใช้ธรรมชาติเข้าช่วยเหลือ อาทิ การแก้ไขปัญหาป่าเสื่อมโทรมได้พระราชทานพระราชดำริ การปลูกป่า โดยไม่ต้องปลูก ปล่อยให้ธรรมชาติช่วยในการฟื้นฟูธรรมชาติ [/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]

    [FONT=&quot] 14. [/FONT][FONT=&quot]ใช้อธรรมปราบอธรรม[/FONT][FONT=&quot]แนวปฏิบัติที่สำคัญในการแก้ปัญหาและปรับปรุงเปลี่ยนแปลง สภาวะที่ไม่ปกติให้ เข้าสู่ระบบที่เป็นปกติ เช่น การนำน้ำดีขับไล่น้ำเสีย หรือเจือจางน้ำเสียให้กลับเป็นน้ำดี ตามจังหวะการขึ้นลงตามธรรมชาติของน้ำ การบำบัดน้ำเสียโดยใช้ผักตบชวาซึ่งมีตามธรรมชาติ ให้ดูดซับสิ่งสกปรกปนเปื้อนในน้ำ ดังพระราชดำรัสว่า [/FONT][FONT=&quot]“ใช้อธรรมปราบอธรรม” <o></o>[/FONT]

    [FONT=&quot] 15. [/FONT]
    [FONT=&quot]ปลูกป่าในใจ คน[/FONT][FONT=&quot] พระราชดำรัสตอนหนึ่งความว่า [/FONT]“….เจ้าหน้าที่ป่าไม้ควรจะปลูก ต้นไม้ลงในใจ คนเสียก่อน แล้วคนเหล่านั้นก็จะพากันปลูกต้นไม้ลงบนแผ่นดินและรักษาต้นไม้ด้วยตนเอง” <o></o>

    [FONT=&quot] 16. [/FONT][FONT=&quot]ขาดทุนคือกำไร[/FONT][FONT=&quot] ขาดทุน คือ กำไร ([/FONT][FONT=&quot]Our loss is our gain…) การเสีย คือ การได้ ประเทศก็จะก้าวหน้า และการที่คนอยู่ดีมีสุขนั้น เป็นการนับที่เป็นมูลค่าเงินไม่ได้...ต่อพสกนิกรชาวไทย “การให้” “การเสียสละ” เป็นการกระทำอันมีผล เป็นกำไร คือความอยู่ดีมีสุขของราษฎร.... [/FONT]

    [FONT=&quot] 17. [/FONT][FONT=&quot]การพึ่งตนเอง[/FONT][FONT=&quot]“…การช่วยเหลือสนับสนุนประชาชน ในการประกอบอาชีพ และตั้งตัวให้มีความพอกินพอใช้ ก่อนอื่นเป็นสิ่งสำคัญยิ่งยวด เพราะผู้มีอาชีพ และฐานะเพียงพอที่จะพึ่งพาตนเองได้ ย่อมสามารถสร้างความเจริญในระดับสูงขั้นต่อไป…” <o></o>[/FONT]

    [FONT=&quot] 18. [/FONT]
    [FONT=&quot]พออยู่พอกิน[/FONT][FONT=&quot] การพัฒนาเพื่อให้พสกนิกรทั้งหลายประสบความสุขสมบูรณ์ในชีวิต ได้เริ่มจากการเสด็จฯไปเยี่ยมประชาชนทุกหมู่เหล่าในทุกภูมิภาคของประเทศ ได้ทอดพระเนตรความเป็นอยู่ของราษฎรด้วยพระองค์เอง จากนั้นได้พระราชทานความช่วยเหลือให้มีความอยู่ดีกินดี มีชีวิตอยู่ในขั้น [/FONT][FONT=&quot]“พออยู่พอกิน” ก่อน แล้วจึงขยับขยายให้มีขีดสมรรถนะที่ก้าวหน้าต่อไป ดังพระราชดำรัสความตอนหนึ่งว่า “ ถ้าโครงการดี ในไม่ช้า ประชาชนก็ได้กำไร จะได้ผลราษฏรจะอยู่ดีกินดี ขึ้น จะได้ประโยชน์ไป...” [/FONT]

    [FONT=&quot] 19. [/FONT]
    [FONT=&quot]เศรษฐกิจพอ เพียง[/FONT][FONT=&quot] เป็นปรัชญาที่พระราชดำรัสชี้แนะแนวทางการดำเนินชีวิตแก่พสกนิกรชาวไทยมาโดย ตลอด มานานกว่า 25 ปี ตั้งแต่ก่อนเกิดวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจ และเมื่อภายหลังได้ทรงย้ำแนวทางการแก้ไขเพื่อให้รอดพ้น และสามารถดำรงอยู่ได้อย่างมั่นคง และยั่งยืนภายใต้กระแสโลกาภิวัตน์ และความเปลี่ยนแปลงต่าง ๆโดยยึดหลักทางสายกลางพอเพียง พอประมาณด้วยเหตุผล มีระบบภูมิคุ้มกันในตัวที่ดีสำนึกในคุณธรรม มีความซื่อสัตย์ สุจริตดำเนินชีวิตด้วยความอดทนมีสติปัญญา รอบคอบ [/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
    [FONT=&quot]
    [/FONT]
    [FONT=&quot] 20. [/FONT][FONT=&quot]ความซื่อสัตย์ สุจริต และกตัญญู[/FONT][FONT=&quot]“…คนที่ไม่มีความสุจริต คนที่ไม่มีความมั่นคง ชอบแต่มักง่าย ไม่มีวันจะสร้างสรรค์ประโยชน์ส่วนรวมที่สำคัญอันใดได้ ผู้ที่มีความสุจริตและความมุ่งมั่นเท่านั้นจึงจะทำงานสำคัญยิ่งใหญ่ที่เป็น คุณเป็นประโยชน์แท้จริงได้สำเร็จ….”พระราชดำรัส เมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม 2522 ผู้ที่มีความสุจริตและบริสุทธิ์ใจ แม้จะมีความรู้น้อยก็ย่อมทำประโยชน์ให้แก่ส่วนรวมได้ มากกว่าผู้มีความรู้มากแต่ไม่มีความสุจริต ไม่มีความบริสุทธิ์ใจ….” พระราชดำรัสเมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2533[/FONT]

    [FONT=&quot] 21. [/FONT][FONT=&quot]ทำงานอย่างมีความสุข[/FONT][FONT=&quot] พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระเกษมสำราญและทรงมีความสุขทุกคราที่จะช่วย เหลือประชาชน ซึ่งเคยรับสั่งครั้งหนึ่งว่า...ทำงานกับฉัน ฉันไม่มีอะไรจะให้ นอกจากการมีความสุขร่วมกัน ในการทำประโยชน์ให้กับผู้อื่น... [/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]

    [FONT=&quot] 22. [/FONT][FONT=&quot]ความเพียร[/FONT][FONT=&quot] :พระมหาชนก พระบาทสมเด็จอยู่หัว ทรงเริ่มทำโครงการต่างๆในระยะแรกที่ไม่มีความพร้อมในการทำงานมากนัก และทรงใช้พระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ทั้งสิ้น แต่พระองค์ก็มิได้ท้อพระราชหฤทัย มุ่งมั่นพัฒนาบ้านเมืองให้บังเกิดความร่มเย็นเป็นสุข[/FONT]

    [FONT=&quot] 23. [/FONT][FONT=&quot]รู้ รัก สามัคคี[/FONT][FONT=&quot] พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีพระราชดำรัสในเรื่อง รู้ รัก สามัคคี มาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นคำสามคำ ที่มีค่าและมีความหมายลึกซึ้ง พร้อมทั้งสามารถปรับใช้ได้กับทุกยุด ทุกสมัย [/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]

    [FONT=&quot]รู้ การที่เราจะลงมือทำสิ่งใดนั้น จะต้องรู้เสียก่อน รู้ถึงปัจจัยทั้งหมด รู้ถึงปัญหาและรู้ถึงวิธีการแก้ปัญหา [/FONT][FONT=&quot]<o></o>[/FONT]

    [FONT=&quot] รัก คือความรักที่เมื่อเรารู้ครบด้วยกระบวนความแล้วจะต้องมีความรัก ความพิจารณาที่ จะเข้าไปลงมือปฏิบัติแก้ไขปัญหานั้น ๆ[/FONT]

    [FONT=&quot] สามัคคี สามัคคี แต่การที่จะลงมือปฏิบัตินั้น ควรคำนึงเสมอว่าเราจะทำงานคนเดียวไม่ได้ ต้องทำงานร่วมมือร่วมใจเป็นองค์กร เป็นหมู่คณะ จึงจะมีพลังเข้าไปแก้ ปัญหาให้ลุล่วงไปด้วยดี



    [/FONT]
    อ้าง อิง :

    <!-- google_ad_section_end -->
    __________________
    <!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->
    ภัย พิบัติและการเตรียมการ
    + แจ้งข่าว กิจกรรมการสอนสมาธิของพี่เล็ก kananun +<!-- google_ad_section_end -->
    <hr style="color: rgb(255, 255, 255); background-color: rgb(255, 255, 255);" size="1"> Last edited by Forever In LoVE; วันนี้ at 01:06 AM.
    </td></tr></tbody></table>
     
  3. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    <table id="post3181573" class="tborder" width="100%" align="center" border="0" cellpadding="6" cellspacing="0"><tbody><tr valign="top"><td class="alt2" style="border-width: 0px 1px; border-style: none solid; border-color: -moz-use-text-color rgb(255, 255, 255);" width="175">SOMPOCHT<!-- google_ad_section_end --> <script type="text/javascript"> vbmenu_register("postmenu_3181573", true); </script>
    สมาชิก

    [​IMG]

    วันที่สมัคร: Jan 2009
    ข้อความ: 178
    Groans: 0
    Groaned at 0 Times in 0 Posts
    ได้ให้อนุโมทนา: 2,567
    ได้รับอนุโมทนา 1,032 ครั้ง ใน 161 โพส
    พลังการให้คะแนน: 66 [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]


    </td> <td class="alt1" id="td_post_3181573" style="border-right: 1px solid rgb(255, 255, 255);"> <!-- google_ad_section_start -->สวัสดีครับผม พักอยู่บ่อวิน ทำงานอยู่อิสเทริน์ซีบอร์ด
    มีอยู่ครั้งหนึ่งช่วงพักเบรคที่โรงงานก็นอนเล่นกับม้าหินอ่อนนอนจับลมหายใจ เข้าออกพอเคลิ้มๆเหมือนจะหลับแต่ไม่หลับก็ได้ยินเสียงพูดใกล้ๆหู ว่าน้ำจะมาทางแผนกที่ผมทำงานอยู่ นึกว่าเพื่อนมาพูดก็เลยลืมตาดู มืดและเงียบไม่มีใครอยู่สักคน
    </td></tr></tbody></table>
     
  4. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    ขอให้ทุกๆคนมั่นคงในความดี มั่นคงในความเป็นหนึ่งเดียวกันของคนในชาติ ความเข้าถึงพระไตรสรณะคมม์ตระหนักถึงผืนแผ่นดินแห่งพระพุทธศาสนาที่พระมหากษัตริย์ไทยทรงได้ถวายไว้เป็นพุทธบูชา และจงเทิดทูนองค์พระมหากษัตริย์ท่านไว้เหนือเศียรเกล้า

    ไม่ว่าเหตุการณ์อะไรจะเกิดขึ้นฉับพลันหรือรุนแรงเพียงใด อย่าหวั่นไหว อย่าให้ใจเราเกิดอคติ จงหนักแน่นมั่นคงใน หลักธรรม หลักความกตัญญูต่อแผ่นดินไว้

    ความดี บุญกุศล ความกตัญญูกตเวทิตาจะรักษาตัวเราให้ปลอดภัย
     
  5. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,193
    พญานาคมาเตือนให้เร่งปฏิบัติธรรม

    [​IMG]

    <!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->Chayutt<!-- google_ad_section_end --> สมาชิก

    ขออนุญาตทิ้งงานไปซักระยะก่อนนะครับ
    เพราะช่วงนี้ทั้งเบื้องบนและเบื้องล่างท่านจี้มาเหลือเกินครับ

    เบื้องบน คือ ผู้มาจากข้างบนโน่น
    เบื้องล่าง คือ ผู้มาจากข้างล่าง
    ที่บางท่านก็เคยแอบมาบวชในพระพุทธศาสนาเรา
    แต่ตอนนอนหลับ เผลอเผยตัวจริงออกมา ก็เลยถูกให้ลาสิกขาหนะครับ

    พวกท่านมาเร่ง มาเร้า สื่อสารเข้ามาในฝันผมบ่อยขึ้นครับพักนี้
    เลยว่าจะขอพักรบทางทฤษฎีไปก่อนสักระยะ
    หันมาเอาด้านปฏิบัติให้มันรู้แล้วรู้รอดไปเลยก่อน

    เพราะท่านบอกว่า "ถึงเวลาที่จะเปิดให้แล้ว" ครับ
    เลยต้องรีบคว้าโอกาสนี้ไว้ซะหน่อยหนะครับ

    แล้วค่อยเจอกันใหม่นะครับ

    ชยุต<!-- google_ad_section_end -->


    ที่มา http://palungjit.org/threads/การเตรียมการอพยพมนุษย์โลก-เพื่อช่วยเหลือระหว่างการชำระโลก-ของมิตรจากต่างพิภพ-และข้อมูลอื่นๆจากสาธารณรัฐเช็ก.193101/page-47
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 01-5.jpg
      01-5.jpg
      ขนาดไฟล์:
      119.2 KB
      เปิดดู:
      1,075
  6. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,193
    ดินถล่มทำรถไฟอิตาลีตกรางดับนับสิบ

    [​IMG]

    รถไฟโดยสารอิตาลี เกิดอุบัติเหตุตกรางเนื่องจากดินถล่มในเขตภูเขาทางตอนเหนือของประเทศ ใกล้กับเมืองเมราโนและโบลซาโน ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 11 คน บาดเจ็บอีกกว่า 20 คน

    สำนักข่าวต่างประเทศรายงานเมื่อ 12 เม.ย.ว่า เกิดเหตุดินถล่มใกล้เมืองเมราโน ทางเหนือของอิตาลี ทำให้รถไฟโดยสารตกรางคร่าชีวิตผู้คน 11 คน บาดเจ็บกว่า 20 คน โดยเหตุดินถล่มครั้งนี้ เกิดหลังจากท่อระบายน้ำขนาดใหญ่แตกระเบิด ทำให้กลุ่มดิน ก้อนหิน เศษซากอื่นๆและน้ำจำนวนมาก ไหลหล่นทะลักตกลงมาทับขบวนรถไฟที่กำลังแล่นมาพอดีจนตกรางดังกล่าว

    เหตุเกิดเมื่อเวลา 09.30 น. ตามเวลาท้องถิ่น เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างเร่งเคลียร์พื้นที่และช่วยเหลือผู้ประสบเหตุ แต่ไม่ทราบแน่ชัดว่าขณะเกิดเหตุ มีผู้คนอยู่บนรถไฟเป็นจำนวนเท่าไหร่

    ไทยรัฐออนไลน์ วันจันทร์ที่ 12 เมษายน พ.ศ.2553

    ผู้ว่าเปรูชี้โลกร้อนทำธารน้ำแข็ง'ระเบิด'เจ็บครึ่งร้อย

    [​IMG]

    ผู้ว่าการแคว้นอังกัชชี้ เปรูเจอภาวะโลกร้อนเล่นงาน หลังจากที่ธารน้ำแข็งขนาดใหญ่ระเบิดแตกลงบริเวณริมตลิ่งมีผู้บาดเจ็บ 50 บ้านเรือนเสียหาย 20 หลัง...

    เมื่อวันที่ 12 เมษายน เอเอฟพีรายงานว่า ชาวเปรูประสบเหตุบาดเจ็บราว 50 คน บ้านเรือนเสียหายเกือบ 20 หลังจากธารน้ำแข็งขนาดใหญ่เปราะและระเบิดแตกตกลงบริเวณริมตลิ่งแม่น้ำฮูอัลกาลา ที่เรียกว่าทะเลสาบ “512 เลค” ทางตอนเหนือของแคว้นอังกัช ในประเทศเปรู

    นายเซซาร์ อัลวาเรซ ผู้ว่าการแคว้นอังกัชเผยถึงสาเหตุที่เชื่อว่าเกิดจากภาวะโลกร้อน จนทำให้ธารน้ำแข็งละลายแยกจากกันแล้วร่วงลงทะเลสาป เชื่อมโยงกับสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงบนเทือกเขาแอนเดส ในเปรู ที่ธารน้ำแข็งหดหายไปสามส่วนตลอดช่วง 30 ปีที่ผ่านมา ตามรายงานเมื่อปี 2552 ของธนาคารโลกที่เตือนภัยดังกล่าว และบนยอดเขาที่มีหิมะปกคลุมอาจเหือดแห้งถาวรภายในเวลา 20 ปี หากยังไม่มีมาตรการป้องกันภาวะโลกร้อน

    ไทยรัฐออนไลน์ วันจันทร์ที่ 12 เมษายน พ.ศ.2553

    'ฮิลลารี'อวยพรสงกรานต์-หวังไทยปรองดอง

    [​IMG]

    รัฐมนตรีต่างประเทศของสหรัฐฯ หวังสงกรานต์นี้จะเป็นเวลาแห่งการเริ่มต้นใหม่และความสามัคคีปรองดอง พร้อมเชื่อมั่นในสายสัมพันธ์ที่แข็งแรงและยืนยาวระหว่างสหรัฐฯกับไทย....

    เอเอฟพีีรายงานว่า นางฮิลลารี ร็อดแฮม คลินตัน รัฐมนตรีต่างประเทศของสหรัฐฯ เผยเมื่อวันอาทิตย์ที่ 11 เม.ย. หลังเกิดเหตุการณ์นองเลือดปะทะกันระหว่างกลุ่มผู้ประท้วงกับเจ้าหน้าที่ของ รัฐบาลไทย จนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต 21 ศพ บาดเจ็บกว่า 800 ราย ซึ่งถือว่ารุนแรงสุดในรอบ 20 ปีว่า เนื่องในโอกาสวันสงกรานต์ อันเป็นวันปีใหม่ของไทยกำลังจะมาถึงในห้วงแห่งปัญหา รัฐบาลสหรัฐฯ ก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่า ในปีใหม่นี้จะเป็นเวลาแห่งการเริ่มต้นใหม่และความสามัคคีปรองดอง

    รวมถึงการเฉลิมฉลองเทศกาลสงกรานต์ ซึ่งจะเป็นโอกาสของคนไทยอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากับครอบครัว มิตรสหายและเพื่อนบ้านใกล้เรือนเคียงส่งเสริมประเพณีและวัฒนธรรม ขณะที่ ประเทศไทยคงเดินหน้าในการแก้ไขปัญหาบ้านเมืองด้วยวิถีที่แตกต่างต่อไป รัฐบาลสหรัฐฯ ก็ยังคงเชื่อมั่นในสายสัมพันธ์ที่แข็งแรงและยืนยาวระหว่างสหรัฐฯกับ ประเทศไทย เพื่อนที่เก่าแก่สุดของเราในเอเชีย จึงขออวยพรให้ประเทศไทยและคนไทยทั่วโลกจงมีสันติภาพในปีใหม่

    ที่มา http://www.thairath.co.th
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 เมษายน 2010
  7. ดอนdon

    ดอนdon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    1,580
    ค่าพลัง:
    +3,291
    ปภ.สรุปยอดอุบัติเหตุสงกรานต์ 675 ครั้ง ตาย 44 (ไทยรัฐ)

    นายอนุชา โมกขะเวส อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กรรมการและเลขานุการศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนน กล่าววันนี้ (13 เมษายน) ถึงสถิติอุบัติเหตุทางถนน ช่วงเทศกาลสงกรานต์ วันที่ 12 เม.ย. เกิดอุบัติเหตุรวม 675 ครั้ง น้อยกว่าปีที่แล้ว 343 ครั้ง หรือร้อยละ 33.69 ผู้เสียชีวิต 44 ราย น้อยกว่าปีที่แล้ว 32 ราย หรือร้อยละ 42.11 บาดเจ็บ 726 ราย น้อยกว่าปีที่แล้ว 377 ราย หรือร้อยละ 34.18 ส่วนสาเหตุที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุสูงสุด ได้แก่ เมาสุรา ร้อยละ 45.48 รองลงมา คือ ขับรถเร็วเกินกำหนด ร้อยละ 20.30 ยานพาหนะที่เกิดอุบัติเหตุสูงสุด ได้แก่ รถจักรยานยนต์ ร้อยละ 85.74

    นายอนุชา กล่าวต่อว่า สรุปอุบัติเหตุทางถนนสะสม 3 วัน เกิดอุบัติเหตุรวม 1,605 ครั้ง น้อยกว่าปีที่แล้ว 633 ครั้ง หรือร้อย 28.28 ผู้เสียชีวิตรวม 139 ราย น้อยกว่าปีที่แล้ว 41 ราย หรือร้อยละ 22.78 ผู้บาดเจ็บรวม 1,718 ราย น้อยกว่าปีที่แล้ว 796 ราย หรือร้อยละ 31.66 จังหวัดที่เกิดอุบัติเหตุสะสมสูงสุด ได้แก่ จ.เชียงราย 72 ครั้ง รองลงมา ได้แก่ จ.เชียงใหม่ 61 ครั้ง

    [​IMG] จังหวัดที่ยังไม่เกิดอุบัติเหตุ ได้แก่ จ.ยโสธร

    [​IMG] จังหวัดที่มีผู้เสียชีวิตสะสมสูงสุด ได้แก่ กรุงเทพฯ เชียงใหม่ และนครราชสีมา จังหวัดละ 6 ราย รองลงมา ได้แก่ นครศรีธรรมราช บุรีรัมย์ พิษณุโลก ระยอง และลพบุรี จังหวัดละ 5 ราย

    [​IMG] จังหวัดที่ไม่มีผู้เสียชีวิตในช่วง 3 วัน มี 19 จังหวัด

    [​IMG] จังหวัดที่มีผู้บาดเจ็บสะสมสูงสุด ได้แก่ จ.เชียงราย 76 ราย และจังหวัดที่ยังไม่มีผู้บาดเจ็บได้แก่ จ.ยโสธร
     
  8. ทองอ้วน

    ทองอ้วน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    98
    ค่าพลัง:
    +135
    ภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้น ที่ใกล้จะมาถึงนั้น ส่วนตัวผม รู้สึกว่าน่าจะมาจากน้ำ นะครับ เพราะว่า น่าจะถึงเวลาชำระล้างกันได้สักทีนะครับ คงไม่นานนะครับ
     
  9. บัวรองพุทธบาท

    บัวรองพุทธบาท เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    194
    ค่าพลัง:
    +745
    น่าคิดมากจริงๆ ครับ



     
  10. วรเดช

    วรเดช เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    1,753
    ค่าพลัง:
    +6,146
    <TABLE border=5 borderColor=#728dac cellPadding=0 width=725 bgColor=#e2e2e2 align=center><TBODY><TR><TD bgColor=#ecfae0>มติ4:1ยุบประชาธิปัตย์ปธ.เสียงข้างน้อย </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE border=5 borderColor=#728dac cellPadding=0 width=725 align=center><TBODY><TR><TD bgColor=#ffffff><TABLE class=A14 border=0 cellSpacing=0 cellPadding=3 width="100%" align=center><TBODY><TR bgColor=#cccccc><TD vAlign=center> </TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE border=0 cellSpacing=2 cellPadding=2 width="95%"><TBODY><TR><TD class=A14 vAlign=top><TABLE border=0 cellSpacing=2 cellPadding=2 bgColor=#f5f5f5 align=center><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD align=middle></TD></TR></TBODY></TABLE>
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE border=0 cellSpacing=2 cellPadding=2 width="95%"><TBODY><TR><TD class=A14 vAlign=top>คมชัดลึก :มติกกต.ยุบพรรคปชป.คดีเงินบริจาค 258 ล้าน และ คดีเงินพัฒนาการเมือง 29 ล้าน เผย มติยุบปชป.ปธ.กกต.เป็นเสียงข้างน้อย ด้าน"วีระ" ประกาศชัยชนะ เสื้อแดงสะใจเฮลั่นราชประสงค์

    12เม.ย.) เวลา 18.00 น. ผู้สื่อข่าวรายงาน ว่า


    ผู้สื่อข่าวรายงานว่า คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้ประชุมพิจารณาสำนวนคดีเงินบริจาคพรรคประชาธิปัตย์ 258 ล้านบาท และการใช้เงินกองทุนเพื่อการพัฒนาพรรคการเมือง 29 ล้านบาทที่พรรคประชาธิปัตย์มีการได้รับและอาจดำเนินการผิดวัตถุประสงค์ตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง มีมติเป็นเอกฉันท์ให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์โดยส่งเรื่องให้อัยการสูงสุดพิจารณาว่าจะส่งฟ้องหรือไม่ ก่อนจะยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญพิจารณายุบพรรค

    ทั้งนี้มติกกต.พิจารณายุบพรรคประชาธิปัตย์ 4 ต่อ 1 เสียง ในคดีเงินบริจาคเข้าพรรคประชาธิปัตย์ 258 ล้านบาท และมีมติเป็นเอก ฉันท์ 5 ต่อ 0 เสียงในคดีเงินกองทุนเพื่อพัฒนาพรรคการเมือง 29 ล้านบาท การพิจารณาของกกต.เร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้ว่าจะมีการพิจารณาในวันที่ 20 เมษายนนี้


    นายธนิศร์ ศรีประเทศ รองเลขาธิการกกต.ด้านกิจการพรรคการเมืองและการออกเสียงประชามติ แถลงผลการประชุม กกต.วาระพิเศษ ว่า

    ภายหลังจากนายอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธาน กกต.ในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมือง ได้รับความเห็นกรณีคดีเงินบริจาค 258 ล้านบาท และเงินกองทุนสนุบสนุนพรรคการเมือง 29 ล้านบาท ที่พรรคประชาธิปัตย์ถูกกล่าวหาว่าอาจกระทำการเข้าข่ายความผิดตามพ.ร.บ.พรรคการเมืองจากคณะทำงานของนายทะเบียนพรรคการเมืองในวันเดียวกันนี้ ที่ประชุม กกต.จึงได้พิจารณาทันที


    นายธนิศร์ กล่าวต่อว่า

    ที่ประชุมกกต.พิจารณาใน 2 ข้อกล่าวหาโดยข้อกล่าวหาแรกกรณีพรรคประชาธิปัตย์รับเงินบริจาคจากบริษัททีพีไอ โพลีน จำกัด (มหาชน) ผ่านทางบริษัท เมซไซอะ บิสิเนส แอนด์ ครีเอชั่น จำกัด เป็นจำนวนเงิน 258 ล้านบาท โดยทำสัญญาสื่อว่าจ้างทำสื่อโฆษณาประชาสัมพันธ์ต่างๆเป็นนิติกรรมอำพราง เพื่อหลีกเลี่ยงการรายงานการรับบริจาคเงินตามที่กฎหมายกำหนดอาจเข้าข่าย กระทำผิดตามมาตรา 66 (2) (3) แห่งพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง 2541 และมาตรา 94 (3) (4) (5) แห่งพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง 2550 โดยที่ประชุมมีมติคะแนนเสียงข้างมากให้นายทะเบียนพรรคการเมืองแจ้งต่ออัยการสูงสุดพร้อมด้วยหลักฐาน เพื่อให้อัยการสูงสุดยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งยุบพรรคประชาธิปัตย์ต่อไปตามาตรา 95 ของกฎหมายพรรคการเมือง


    นายธนิศร์ กล่าวว่า

    ส่วนข้อกล่าวหาที่สอง กรณีมีผู้แจ้งข้อกล้าวหาว่า พรรคประชาธิปัตย์ไม่ได้ใช้จ่ายเงินที่ได้รับจากเงินกองทุนสนับสนุนพรรคการเมืองจากสำนักงาน กกต.ให้เป็นไปตามบทบัญญัติตามกฎหมายและการจัดทำการใช้จ่ายและการจัดทำการรายงานใช้จ่ายเงินสนับสนุนพรรคการเมืองไม่ถูกต้องตามความเป็นจริง ที่ยื่นต่อ กกต.อันเป็นการเข้าข่ายตามมาตาม มาตรา 62 และ 65 ของ พ.ร.บ.พรรคการเมือง 2541 และมาตรา 82 และ 93 ของ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง 2550 โดยที่ประชุม กกต.มีมติเอกฉันท์ให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์ โดยใช้มติเสียงข้างมากแจ้งต่ออัยการสูงสุดเพื่อส่งศาลรัฐธรรมนูญยุบพรรคประชาธิปัตย์ ตามมาตรา 95 ของพ.ร.บ.ประกอบรับธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง 2550


    นายธนิศร์ กล่าวว่า

    สำหรับขั้นตอนจากนี้กกต.ได้มอบให้นายทะเบียนพรรคการเมืองดำเนินการรวบรวมพยานหลักฐานทั้งหมดตามความเห็นแจ้งต่ออัยการสูงสุด เมื่ออัยการสูงสุดได้รับเรื่องแล้วจะจะต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 30 วัน แต่หากเห็นว่าหลักฐานยังไม่เพียงพอก็ต้องแจ้งกลับมายังนายทะเบียน เพื่อตั้งคณะทำงานร่วมกัน แต่หากเห็นว่ายังไม่ได้ข้อยุติ นายทะเบียนพรรคการเมืองก็สามารถส่งเรื่องไปให้ศาลรัฐธรรมนูญได้โดยตรง ทั้งนี้การพิจารณาของนายทะเบียนครั้งนี้ใน 2 ประเด็นก็เห็นว่า คดีดังกล่าวอาจมีการกระทำความผิดจึงเห็นว่าเป็นเรื่องสำคัญจึงส่งให้ที่ประชุม กกต.พิจารณา เพื่อแจ้งข้อกล่าวหาทั้ง 2 ประเด็น


    รายงานข่าวจาก กกต.แจ้งว่า

    การยุบพรรคประชาธิปัตย์ แบ่งเป็นสองกรณี คือ 1.กรณีเงินบริจาค 258 ล้านบาท ที่ พรรคประชาธิปัตย์อ้างว่าจ้างบริษัท แมสไซอะ บิซสิเนส แอนด์ ครีเอชั่น จัดทำป้ายประชาสัมพันธ์ ซึ่งอาจข้าข่ายนิติกรรมอำพรางนั้น ในกรณีนี้มีมติ เป็น 4 ต่อ 1 สมควรเสนออัยการสูงสุดเพื่อส่งต่อให้ศาลรัฐธรรนูญพิจารณายุบพรรคประชาธิปัตย์ โดยเสียงข้างน้อยหนึ่งเสียง นั้นคือ นายอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธาน กกต. และนายทะเบียนพรรคการเมืองโดยตำแหน่ง

    อย่างไรก็ตามมีข้อสังเกตว่า ตามกฎหมาย การนำเสนอให้กกต.พิจารณานั้น นายทะเบียนพรรคการเมืองต้องทำความเห็นเสียก่อน แต่เหตุใด นายอภิชาตจึงเป็นเสียงข้างน้อย โดยเรื่องนี้ในขั้นตอนการนำเสนอนายอภิชาตระบุว่ากรณีดังกล่าวเป็นเรื่องเกี่ยวกับข้อกฎหมาย และมีข้อเท็จจริงเบื้องต้นที่อาจมีมูล รวมถึงมีหลักฐานข้อมูลที่ซับซ้อน จึงเห็นควรให้ที่ประชุม กกต. ร่วมกันพิจารณาว่าสมควรเสนอศาลรัฐธรรมนูญเพื่อยุบพรรคหรือไม่ ในที่สุด กกต.อีกสี่คนจึงมีมติให้เสนอศาลรัฐธรรมนูญเพื่อพิจารณาต่อไป


    สำหรับกรณีที่สองนั้น เป็นกรณีเงินบริจาค 258 ล้านบาท กกต.แม้จะมีมติเป็นเอกฉันท์เห็นควรพิจารณายุบพรรค แต่ในข้อเท็จจริงนั้นยังมีความเห็นต่างกันในรายละเอียด เพราะกรรมการบางคนเห็นว่าเรื่องดังกล่าวกกต.สามารถเสนอให้ศาลรัฐธรมนูญพิจารณาได้โดยตรง ตามกฎหมายพรรคการเมืองมาตรา 93 อีกทั้งเห็นว่าเรื่องดังกล่าวหากส่งอัยการอาจทำให้ข้อมูลคลาดเคลื่อนได้ เพราะเป็นกรณีที่เกี่ยวข้องกับกฎหมายที่ กกต.มีอำนาจและเป็นผู้ทีดูแลแต่ต้น แต่ท้ายที่สุดแล้ว กกต.ก็มีมติให้เสนออัยการสูงสุดเพื่อพิจารณาความเรียบร้อย หากอัยการสูงสุดพิจารณาแล้วเห็นว่า เป็นอำนาจของ กกตง ก็จะแจ้งมา แต่หากเห็นว่าถูกต้องตามขั้นตอนกคงจะเสนอเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญตามกระบวนการต่อไป


    ผู้สื่อข่าวรายงานว่า

    ในเบื้องต้นวันนี้กกต. ยังไม่มีวาระพิจารณาเรื่องดังกล่าว มีแต่เพียงนัดกันเพื่อหารือนอกรอบถึงความคืบหน้า แต่เมื่อประชุมในช่วงเช้า ก็มีผู้ถามถึงความคืบหน้า ซึ่งประธานกกต.แจ้งว่าคณะทำงานได้พิจารณาเสร็จแล้วกกต.ผู้อื่นจึงถามว่าสามารถพิจารณาวันนี้ได้หรือไม่ โดยประธาน กกต. ก็รับว่าสามารถนำเข้าพิจารณาได้เลยจึงมีการนัดลงมติในเวลา 15.00 น. และมีมติดังกล่าวออกมา


    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD><CENTER>ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์คมชัดลึก
    [​IMG]</CENTER></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  11. ดอนdon

    ดอนdon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    1,580
    ค่าพลัง:
    +3,291
    คนไทย ติดสุรา อันดับ 1 ในโลก

    [​IMG]








    นายแพทย์วีระพันธ์ สุพรรณไชยมาตย์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลขอนแก่น เปิดเผยถึงการเกิดอุบัติเหตุและการเตรียมพร้อมในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ว่า สถานการณ์การเกิดอุบัติเหตุจราจรทางถนน ประเทศไทยยังครองอันดับ 1 ใน 5 ของโลก ที่เกิดความเสียหาย และสูญเสียทางเศรษฐกิจ จากการเกิดอุบัติเหตุ โดยมีผู้บาดเจ็บจากอุบัติเหตุเฉลี่ยปีละ 6 แสนคน ในจำนวนนี้ 1 แสนคนกลายเป็นคนพิการ และเป็นภาระของรัฐ ส่วนความเสียหายทางเศรษฐกิจนั้น หากคำนวณจากช่วง 10 ปีที่ผ่านมาประเทศไทย มีมูลค่าความเสียหายถึง 2 แสนล้านบาท คิดเป็น 2.8% ของจีดีพี ซึ่งไม่นับคลื่นความทุกข์ ที่เกิดกับญาติ เพื่อนฝูง และคนรอบข้างของเหยื่อที่ประสบอุบัติเหตุ อีกทั้งพื้นฐานของคนไทย ไม่มีสำนึกด้านความปลอดภัย เป็นคนมักง่าย ไม่มีวินัย และเห็นแก่ตัว กลายเป็นรากเหง้าของปัญหาการเกิดอุบัติเหตุ โดยเฉพาะเกิดจากการขับขี่รถจักรยานยนต์ ไม่สวมหมวกนิรภัย

    กระทั่งในปี 2547 จึงได้มีการป้องกันและแก้ไขปัญหาอุบัติเหตุอย่างจริงจัง เริ่มต้นจากมาตรการสวมหมวกนิรภัย เพื่อความปลอดภัยในการขับขี่ จนถูกผลักดันให้เป็นวาระแห่งชาติ โดยมีเครือข่ายความร่วมมือจากหลายหน่วยงานประสานการทำงานเข้าด้วยกัน <?XML:NAMESPACE PREFIX = O /><O:p></O:p>
    <O:p> </O:p>
    “สอจร.ได้ร่วมกันวางยุทธศาสตร์ ซึ่งเรียกว่ายุทธศาสตร์ 5 E ประกอบด้วย
    การบังคับใช้กฎหมาย (Enforcement)
    ให้การศึกษา (Education)
    การช่วยเหลือฉุกเฉิน (Emergency Medical Service)
    ด้านวิศวกรรมจราจร (Engineering)
    ด้านการมีส่วนร่วม (Empowerment)

    และจังหวัดขอนแก่น ก็เป็นต้นแบบของระบบบริการการแพทย์ฉุกเฉิน ได้ดำเนินการป้องกันและลดอุบิตเหตุทางถนนอย่างต่อเนื่องตามยุทธศาสตร์ 5 หลัก และในปี 2552 จะเพิ่มความเข้มข้นด้านการวิจัยและประเมินผล (Evaluation) ให้มากขึ้น” นายแพทย์วีระพันธ์ กล่าว<O:p></O:p>
    <O:p> </O:p>
    ผู้อำนวยการโรงพยาบาลขอนแก่น กล่าวถึง อุบัติเหตุจังหวัดขอนแก่น ว่า การเกิดอุบัติเหตุทางถนนในพื้นที่ นับวันทวีความรุนแรงมากขึ้น ผู้บาดเจ็บเฉลี่ยวันละกว่า 200 คน ตายวันละ 2-3 คน โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลต่างๆ อยากให้ทุกคนที่ใช้ถนนร่วมกันอย่างระมัดระวัง เพราะอุบัติเหตุเกิดขึ้นได้ทุกเวลา คนเดินถนนก็ต้องระวังรถ คนขับรถต้องไม่เมาแล้วขับ เพื่อความปลอดภัยของผู้โดยสาร ซึ่งในเทศกาลสงกรานต์ปีที่ผ่านมา มีคนเจ็บเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล ซึ่งได้รับอุบัติเหตุจากการเมาแล้วขับ เป็นคนเดินถนน 9% คนขับรถ 37% ผู้โดยสาร 19% จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่คนใช้รถ ใช้ถนนต้องมีวินัย และปฏิบัติตามกฎจราจร จะทำให้การเกิดอุบัติเหตุทางถนนลดลงได้<O:p></O:p>
    <O:p> </O:p>
    ทางด้าน นายแพทย์วิทยา ชาติบัญชาชัย รองผู้อำนวยการโรงพยาบาลขอนแก่น ในฐานะประธานคณะทำงานสนับสนุนการดำเนินงานป้องกันและแก้ไขปัญหาอุบัติเหตุจราจรทางถนนในระดับจังหวัด (สอจร.) กล่าวว่า

    ปัจจุบันคนไทย 1.8 ล้านคน หรือ ร้อยละ 4.1 และ เป็นประเทศที่มีคนติดสุรามากที่สุดในโลก เป็นสิ่งที่น่าห่วงมาก อีกทั้งการใช้รถจักรยานยนต์ก็เพิ่มมากขึ้น ขณะนี้ทั้งประเทศมีการใช้รถจักรยานยนต์ประมาณ 22 ล้านคัน อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นบนท้องถนน ก็เกิดจากการใช้รถจักรยานยนต์มากที่สุด รองลงมาคืออุบัติเหตุจากรถยนต์โดยสารสาธารณะ เฉลี่ยเดือนละประมาณ 100 คัน เป็นอุบัติเหตุหมู่ มีทั้งคนเจ็บ พิการ ตาย ซึ่งรถเหล่านี้หลังเกิดอุบัติเหตุมักจะพบว่า ไม่มีถังดับเพลิง ไม่มีฆ้อนทุบกระจก ประตูฉุกเฉินล็อค โดยเฉพาะรถโดยสารสาธารณะสองชั้น การต่อเติมไม่มีความมั่นคงแข็งแรง เมื่อเกิดอุบัติเหตุ ผู้โดยสารที่นั่งอยู่ชั้นสอง จะบาดเจ็บและเสียชีวิตมากที่สุด สอจร. มีเครือข่ายในการทำงานอยู่ในทุกจังหวัด ร่วมกันดำเนินการการป้องกัน และแก้ไข ปัญหาอุบัติเหตุจราจรทางถนน

    การใช้มาตรการ 3ม 2ข 1ร การบังคับใช้กฎหมายที่เข้มข้น และการมีส่วนร่วมของสถาบันการศึกษา องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ชุมชน เอาใจใส่กับเรื่องการป้องกันและแก้ไขปัญหาอุบัติเหตุจราจร เป็นการทำงานแบบบูรณาการงานในแนวราบ เพื่อสร้างการพัฒนาอย่างยั่งยืน ซึ่งผลที่เห็นก็คือความเสียหายลดลงชัดเจนความพร้อมรับมืออุบัติเหตุทางถนนในช่วงเทศกาล <O:p></O:p>
    <O:p> </O:p>
    นายแพทย์วิทยา กล่าวว่า โรงพยาบาลขอนแก่นพร้อมอยู่แล้ว อย่างไรก็ตาม อยากให้ประชาชนผู้ใช้รถใช้ถนนทุกคนทราบว่า หากเกิดอุบัติเหตุ จนมีผู้ป่วยวิกฤติฉุกเฉิน ขอให้นึกถึงการแจ้งเหตุกับทีมกู้ชีพ คือ 1669 ซึ่งขณะนี้มีหน่วยกู้ชีพระดับสูง 43 หน่วย ระดับพื้นฐาน 115 หน่วยขององค์กรปกครองท้องถิ่นกระจายทั่วทั้งจังหวัด มีบุคลากร 5 ระดับ ดูแลผู้ป่วย ณ จุดเกิดเหตุทั้งสิ้น 3,241 คน มีรถพยาบาลที่ขึ้นทะเบียนทั้งสิ้น 225 คัน เพราะการใช้ทีมกู้ที่ได้มาตรฐานจะทำให้ผู้ป่วยมีโอกาสรอดจากความพิการและการเสียชีวิตได้สูง ซึ่งเป็นกระบวนการรักษาขั้นต้นก่อนถึงโรงพยาบาล นอกจากนี้ทางโรงพยาบาล มีลานเฮลิคอปเตอร์อยู่ชั้นบนของตึกอุบัติเหตุ-ฉุกเฉิน เตรียมพร้อมรับมือสถานการณ์กับผู้ป่วยฉุกเฉิน ซึ่งสามารถปฏิบัติการรักษาได้ทันที นอกจากนี้โรงพยาบาลขอนแก่น กำลังดำเนินโครงการ “โรงพยาบาลปลอดอุบัติเหตุ” โดยเจ้าหน้าที่จะคอยให้ความรู้ ด้านการป้องกันอุบัติเหตุ ให้กับผู้ป่วยนอกที่รอการรักษาพยาบาล ญาติผู้ป่วยที่มานั่งรอ และบุคคลอื่นๆ ที่เข้ามาใช้บริการของโรงพยาบาล เป็นการรณรงค์ป้องกันอุบัติเหตุอีกทางหนึ่ง
     
  12. ดอนdon

    ดอนdon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    1,580
    ค่าพลัง:
    +3,291
    ประวัติประเพณีสงกรานต์

    ประเพณีสงกรานต์ถือเป็นวันขึ้นปีใหม่ของไทย ซึ่งยึดถือปฏิบัติสืบเนื่องกันมาแต่โบราณ และเป็นวัฒนธรรมประจำชาติที่งดงามฝังลึกอยู่ในชีวิตของคนคำว่า “สงกรานต์” มาจากภาษาสันสกฤต แปลว่า ผ่านหรือเคลื่อนย้าย หมายถึง การเคลื่อนไทยมาช้านาน
    การย้ายของพระอาทิตย์เข้าไปจักรราศีใดราศีหนึ่ง จะเป็นราศีใดก็ได้ แต่ความหมายที่คนไทยทั่วไปใช้ หมายเฉพาะวันและเวลาที่พระอาทิตย์เคลื่อนเข้าสู่ราศีเมษในเดือนเมษายนเท่านั้น


    ตำนานเกี่ยวกับกำเนิดวันสงกรานต์
    กล่าวไว้ว่า ก่อนพุทธกาลมีเศรษฐีครอบครัวหนึ่ง อายุเลยวัยกลางคนก็ยังไร้ทายาทสืบสกุล ซึ่งทำให้ท่านเศรษฐีทุกข์ใจเป็นอันมาก ข้างรั้วบ้านเศรษฐีมีครอบครัวหนึ่ง หัวหน้าครอบครัวเป็นนักเลงสุรา ถ้าวันไหนร่ำสุราสุดขีด ก็จะพูดเสียงดังแสดงวาจาเยาะเย้ยเศรษฐีสบประมาทในความมีทรัพย์มาก

    แต่ไร้ทายาทสืบสมบัติเสมอ วันหนึ่งเศรษฐีจึงถามว่ามีความขุ่นเคืองอะไรจึงแสดงอาการเยาะเย้ยและสบประมาท เฒ่านักดื่มจึงตอบ ถึงท่านมั่งมีสมบัติมากก็จริง แต่เป็นคนมีบาปกรรมท่านจึงไม่มีบุตร ตายไปแล้วสมบัติก็ตกเป็นของผู้อื่นหมด สู้เราไม่ได้ถึงแม้จะยากจนแต่ก็มีบุตรคอยดูแลรักษายามเจ็บไข้ และรักษาทรัพย์สมบัติเมื่อเราสิ้นใจ
    นับแต่นั้นมา เศรษฐียิ่งมีความเสียใจ จึงพยายามไปบวงสรวงพระอาทิตย์และพระจันทร์ เพียรพยายามตั้งจิตอธิษฐานขอบุตร ทำเช่นนี้เป็นเวลาติดต่อกันถึงสามปี ก็ไม่ได้บุตรดังที่ตนปรารถนาจนวันหนึ่งเป็นวันนักขัตฤกษ์สงกรานต์ ท่านเศรษฐีก็พาข้าทาสบริวารของตนมาที่โคนต้นไทรใหญ่ต้นหนึ่ง ที่อยู่บนฝั่งแม่น้ำที่อาศัยของนกทั้งหลาย ท่านเศรษฐีให้บริวารล้างข้าวสารด้วยน้ำสะอาดถึง 7 ครั้ง แล้วจึงหุงข้าวสารนั้น เมื่อสุกแล้วยกขึ้นบูชาพระไทร เทพเหล่านั้นเกิดความสงสาร จึงขึ้นไปเฝ้าพระอินทร์ ทูลขอบุตรแก่เศรษฐี พระอินทร์จึงบัญชาให้เทพบุตรองค์หนึ่งชื่อ “ธรรมบาล” ลงมาเกิดในครรภ์ของภรรยาเศรษฐี เมื่อครบกำหนดภรรยาเศรษฐีก็คลอดบุตรเป็นชาย เศรษฐีจึงตั้งชื่อว่า ธรรมบาลกุมาร เพื่อตอบสนองพระคุณเทพเทวา เศรษฐีจึงสร้างปราสาทสูง 7 ชั้น ถวายเทพต้นไทร
    เมื่อธรรมบาลกุมารเจริญวัยขึ้น เป็นเด็กที่มีปัญญาเฉียบแหลม รอบรู้ และวัยเพียง 7 ขวบก็เรียนจบไตรเพท ยังมีเทพองค์หนึ่งชื่อ “ท้าวกบิลพรหม” ได้ยินกิตติศัพท์ทางสติปัญญาอันยอดเยี่ยมของเด็กน้อย จึงคิดทดลองภูมิปัญญาโดยการเอาชีวิตเป็นเดิมพันจึงถามปัญหา 3 ข้อ ถ้ากุมารน้อยแก้ปัญหาทั้ง 3 ข้อได้ กบิลพรหมจะตัดศีรษะของตนบูชา ถ้าธรรมบาลแก้ไม่ได้ ก็จะต้องเสียหัวเพื่อยอมรับความพ่ายแพ้ ปัญหานั้นมีว่า
    1. ตอนเช้าราศีคนอยู่แห่งใด
    2. ตอนเที่ยงราศีของคนอยู่แห่งใด
    3. ตอนค่ำราศีของคนอยู่แห่งใด
    เมื่อได้ฟังปัญหาแล้ว ธรรมบาลไม่อาจทราบคำตอบในทันทีได้ จึงผลัดวันตอบปัญหาไป
    อีก 7 วัน ครั้นเวลาล่วงจากนั้นไป 6 วัน ธรรมบาลกุมารก็ยังคิดหาคำตอบปัญหานั้นไม่ได้ จึงหลบออกจากปราสาทหนีเข้าป่า และไปนอนพักเอาแรงใต้ต้นตาล ขณะนั้นบนต้นตาลมีนกอินทรีคู่หนึ่งอาศัยอยู่ นางนกถามสามีว่า “พรุ่งนี้เราจะไปหาอาหารที่ไหน” นกสามีก็ตอบว่า “พรุ่งนี้เราไม่ต้องบินไปไกล เพราะจะได้กินเนื้อธรรมบาลกุมาร ซึ่งจะถูกท้าวกบิลพรหมตัดหัว เนื่องจากแก้ปัญหาไม่ได้” นางนกถามว่า “ปัญหานั้นว่าอย่างไร” นกสามีตอบว่า ปัญหามีอยู่ 3 ข้อ และหมายถึง
    ข้อหนึ่ง ตอนเช้าราศีของมนุษย์อยู่ที่หน้า คนจึงต้องล้างหน้าทุกๆ เช้า
    ข้อสอง ตอนเที่ยงราศีคนอยู่ที่อก มนุษย์จึงต้องเอาเครื่องหอมประพรมที่อก
    ข้อสาม ตอนค่ำราศีคนอยู่ที่เท้า มนุษย์จึงต้องล้างเท้าก่อนเข้านอน

    ธรรมบาลกุมาร ได้ยินการไขปัญหาของนกอินทรี และจำจนขึ้นใจ ทั้งนี้เพราะธรรมบาลรู้ภาษานก จึงกลับสู่ปราสาทอันเป็นที่อยู่แห่งตน รุ่งขึ้นเป็นวันครบกำหนดแก้ปัญหา ท้าวกบิลพรหมมาฟังคำตอบ ธรรมบาลกุมารกล่าวแก้ปัญหาตามที่นกอินทรีคุยกันทุกประการ ท้าวกบิลพรหมจึงเรียก ธิดาทั้ง 7 ของตนอันเป็นบริจาริกาคือหญิงรับใช้ของพระอินทร์มาพร้อมกัน แล้วบอกว่าตนจะตัดเศียรบูชาธรร
    มบาลกุมาร แต่ถ้าเอาศีรษะพ่อวางไว้บนแผ่นดินก็จะลุกไหม้ไปทั้งโลก ถ้าจะโยนขึ้นไปบนอากาศ อากาศจะแห้งแล้งฟ้าฝนจะหายไปสิ้น ถ้าทิ้งลงไปในมหาสมุทร น้ำในมหาสมุทรจะแห้งแล้งไปเช่นกัน จึงสั่งให้ นางทั้ง 7 คน เอาพานมารองรับศีรษะ แล้วจึงตัดศรีษะส่งให้นางทุงษธิดาคนโต นางทุงษจึงเอาพานรับเศียรบิดาไว้แล้วแห่ประทักษิณรอบเขาพระสุเมรุ 60 นาที แล้วอัญเชิญไปไว้ในมณฑปถ้ำคันธุรลี เขาไกรลาส บูชาด้วยเครื่องทิพย์ พระเวสสุกรรมก็เนรมิตโรงประดับด้วยแก้ว 7 ประการ ชื่อภควดี ให้เป็นที่ประชุมเทวดา เทวดาทั้งปวงก็เอาเถาฉมูนวดลงมาล้างในสระอโนดาต 7 ครั้ง แล้วก็แจกกันเสวยทุกๆ องค์ ครั้นครบ 365 วัน โลกสมมุติว่าเป็นหนึ่งปีเป็นสงกรานต์ ธิดา 7 องค์ ของเท้ากบิลพรหมก็ผลัดเวรกันมาเชิญพระเศียรของพระบิดาออกแห่ประทักษิณรอบเขาพระสุเมรุทุกปี แล้วจึงกลับไปเทวโลก
     
  13. วสุธรรม

    วสุธรรม พลังรักอมตะ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    2,323
    ค่าพลัง:
    +8,220
    [​IMG]
     
  14. ดอนdon

    ดอนdon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    1,580
    ค่าพลัง:
    +3,291
    น้ำจากเขื่อนภูมิพล-สิริกิติ์เกือบหมด

    วันอังคาร ที่ 13 เมษายน 2553 เวลา 7:19 น
    [​IMG][​IMG] [​IMG] [​IMG]<SCRIPT type=text/javascript src="http://s7.addthis.com/js/250/addthis_widget.js?pub=xa-4a38f0f6636e48fa"></SCRIPT> ​


    <TABLE id=ext-gen5 class=x-tabs-strip border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0><TBODY><TR id=ext-gen4><TD style="WIDTH: 72px" id=ext-gen10 class=" on">เนื้อหาข่าว</TD><TD style="WIDTH: 57px" id=ext-gen16>รูปภาพ</TD></TR></TBODY></TABLE>

    [​IMG]
    [​IMG]




    ปีหน้า'น้ำประปา'วิกฤติ

    เมื่ออากาศย่างเข้าสู่ฤดูร้อน หลาย ๆ คนมักจะนึกถึงความแห้งแล้งที่จะเกิดขึ้นตามมา หากเป็นคนที่อยู่ตามพื้นที่ต่างจังหวัด หรือพื้นที่รอบนอกเมืองจะมีความคาดหวังถึงปริมาณน้ำที่จะใช้ในภาคเกษตรกรรม การเพาะปลูกพืชผัก แต่หากเป็นคนเมืองหลวงจะนึกถึงปริมาณน้ำที่จะได้นำมาใช้ในการอุปโภคบริโภค ซึ่งที่ผ่านมาก็มีอย่างเพียงพอไม่เคยขาดแคลน

    แต่ในปีนี้สถานการณ์ภัยแล้งของประเทศไทยน่าเป็นห่วงกว่าทุกปี เริ่มส่งสัญญาณอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่ช่วงปลายปี 2552 โดยข้อมูลจาก กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ณ วันที่ 29 มี.ค. ที่ผ่านมา รายงานมีพื้นที่ประสบภัยแล้งที่ได้ประกาศเป็นพื้นที่ภัยพิบัติกรณีฉุกเฉินแล้ว 59 จังหวัด 470 อำเภอ 3,096 ตำบล 25,798 หมู่บ้าน คาดว่าพื้นที่การเกษตรจะได้รับความเสียหาย รวม 154,576 ไร่ ประชาชนได้รับความเดือดร้อน 7,592,019 คน 2,022,250 ครัวเรือน ซึ่งพื้นที่ที่ได้กล่าวมาเป็นพื้นที่ตามชนบททั้งสิ้น ส่วนในเมืองหลวงมีพื้นที่เกษตรกรรมน้อย คนเมืองกรุงจึงไม่ค่อยรับรู้ถึงปัญหาความเดือดร้อนจากภัยแล้งมากนัก ยกเว้นเมื่อใดถึงคราวเกิดปัญหาไม่มีน้ำดิบมาผลิตน้ำประปาให้ได้ใช้กันอย่างชุ่มฉ่ำเหมือนในทุกวันนี้ เมื่อนั้น จึงจะรู้ซึ้งถึงคำว่า “แล้งน้ำ”

    การประปานครหลวง (กปน.) หน่วยงานโดยตรงทำหน้าที่ผลิตน้ำประปา ให้บริการผู้ใช้น้ำในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล ได้ขอจัดสรรน้ำจากกรมชลประทาน เพื่อใช้ผลิตน้ำประปาในช่วงฤดูแล้งของปีนี้ คือ ตั้งแต่เดือน พ.ย.-เม.ย. เป็นยอดรวม 6 เดือน แบ่งเป็นทางด้านฝั่งลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาจำนวน 800 ล้านลูกบาศก์เมตร และฝั่งลุ่มแม่น้ำแม่กลองอีก 240 ล้านลูกบาศก์เมตร ซึ่งหากไม่เพียงพอ กปน. สามารถแจ้งขอรับการจัดสรรเพิ่มได้อีก โดยแหล่งน้ำที่ถูกจัดสรรมาผลิตน้ำประปานี้ กรมชลประทานจะปล่อยน้ำออกจากเขื่อน หลัก ๆ ของประเทศที่อยู่ต้นน้ำ ซึ่งจะจัดสรรลงมาพร้อมกับน้ำที่แบ่งให้เกษตรกรตามจังหวัดต่าง ๆ ที่อยู่ในเขตชลประทานได้ใช้ในภาคเกษตรกรรมด้วย

    สำหรับปริมาณน้ำในเขื่อนหลักที่ใช้ในการผลิตน้ำประปาของปีนี้ แยกเป็นด้านตะวันตกของกรุงเทพฯ ในลุ่มแม่น้ำแม่กลอง รับน้ำมาจากเขื่อนศรีนครินทร์ และเขื่อนวชิราลงกรณ จังหวัดกาญจนบุรี มาตามแม่น้ำแม่กลอง ก่อนสูบเข้าผลิตน้ำประปาที่โรงผลิตน้ำมหาสวัสดิ์ โดยปริมาณน้ำในเขื่อนศรีนครินทร์ ณ วันที่ 1 เม.ย. ที่ผ่านมา มีปริมาณน้ำที่นำมาใช้ได้ 4,450 ล้านลูกบาศก์เมตร จากน้ำที่มีทั้งหมด 14,000 ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็น 25% ส่วนเขื่อน วชิราลงกรณ มีปริมาณน้ำใช้ได้ 2,180 ล้านลูกบาศก์เมตร จากน้ำที่มีทั้งหมด 6,600 ล้านลูกบาศก์เมตร รวมเป็นมีปริมาณน้ำที่นำมาใช้ได้ 6,630 ล้านลูกบาศก์เมตร

    อีกด้านคือด้านตะวันออกของกรุงเทพฯ ในลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา รับน้ำจากเขื่อนภูมิพล จังหวัดตาก เขื่อนสิริกิติ์ จังหวัดอุตรดิตถ์ และเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ จังหวัดลพบุรี ผ่านจังหวัดพื้นที่ภาคกลางรวม 22 จังหวัด ก่อนเข้าสู่คลองประปาที่สถานีสูบน้ำสำแล ไหลมาตามคลองประปา และสูบเข้ากระบวนการผลิตน้ำตามโรงงานผลิตน้ำต่าง ๆ โดยปริมาณน้ำในเขื่อนภูมิพล ณ วันที่ 1 เม.ย. มีปริมาณน้ำที่สามารถนำมาใช้ได้ 1,627 ล้านลูกบาศก์เมตร จากปริมาณน้ำที่มี 5,427 ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็น 12% ซึ่งมีปริมาณน้ำลดลงจากปีก่อน 1,047 ล้านลูกบาศก์เมตร ส่วนเขื่อนสิริกิติ์ มีปริมาณน้ำที่นำมาใช้ได้ 1,050 ล้านลูกบาศก์เมตร จากปริมาณน้ำในเขื่อนที่มี 3,900 ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็น 11% ลดลงจากปีก่อน 1,650 ล้านลูกบาศก์เมตร และเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ มีปริมาณน้ำที่นำมาใช้ได้ 301 ล้านลูกบาศก์เมตร จากน้ำที่มีในเขื่อน 304 ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็น 31% ลดลงจากปีก่อน 120 ล้านลูกบาศก์เมตร รวมเป็นมีปริมาณน้ำที่นำมาใช้ได้ 2,978 ล้านลูกบาศก์เมตร

    นายเจริญ ชัยกิตติศิลป์ ผู้ว่าการ กปน. เปิดเผยว่า ปริมาณน้ำในเขื่อนหลัก ๆ ปีนี้เกือบทุกที่มีน้อยลงกว่าปีที่แล้ว สำหรับการผลิตน้ำประปาด้านฝั่งตะวันตกของกรุงเทพฯ ที่ใช้น้ำจากลุ่มแม่น้ำแม่กลอง มีปริมาณน้ำที่ใช้ได้จากเขื่อนศรีนครินทร์และเขื่อนวชิราลงกรณรวมทั้งสิ้น 6,630 ล้านลูกบาศก์เมตร เมื่อเทียบกับน้ำที่ กปน. ขอรับการจัดสรรไปจำนวน 240 ล้านลูกบาศก์เมตร ถือว่ามีจำนวนมากเพียงพอไม่เป็นปัญหา ส่วนการผลิตน้ำประปาด้านฝั่งตะวันออกของกรุงเทพฯ ที่ใช้น้ำจากลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา มีปริมาณน้ำที่ได้จากเขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ และเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ รวมทั้งสิ้น 2,978 ล้านลูกบาศก์เมตร ถือว่ามีปริมาณน้อยมาก เมื่อเทียบกับปริมาณน้ำที่ กปน.ขอจัดสรรไปมากถึง 800 ล้านลูกบาศก์เมตร และยังมีปริมาณน้อยกว่าปีก่อน ๆ อีกด้วย ทั้งนี้ทางกรมชลประทานได้ยืนยันว่า สามารถ จัดสรรน้ำได้เพียงพอทั้งภาคเกษตรกรรม และให้ กปน.นำมาผลิตน้ำประปาได้ตามความต้องการ แต่จากการติดตามการปล่อยน้ำของ กรมชลประทานล่าสุด ณ เดือน มี.ค. ที่ผ่านมา พบว่า มีการปล่อยน้ำมากถึงวันละ 55 ล้านลูกบาศก์เมตร ส่วนในเดือน เม.ย. จะมีการปล่อยน้ำวันละ 30 ล้านลูกบาศก์เมตร ทำให้ในสิ้นเดือน เม.ย. นี้ จะเหลือน้ำที่นำมาใช้ได้จากเขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ และเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ รวมกันอยู่ที่ 1,800 ล้านลูกบาศก์เมตร โดยกรมชลฯ จะปล่อยน้ำวันละ 30 ล้านลูกบาศก์เมตร รวมเดือนละ 600 ล้านลูกบาศก์เมตร ซึ่งจะมีน้ำใช้เพียงพอถึงเดือน ก.ค. นี้

    “ณ ตอนนี้กรมชลฯ ให้ความมั่นใจว่าจะปล่อยน้ำให้ใช้ได้วันละ 30 ล้านลูกบาศก์เมตร ซึ่งหากเป็นไปตามที่กรมชลฯ รับรองก็จะไม่มีปัญหาต่อกระบวนการผลิตน้ำประปา เว้นแต่จะมีการสูบน้ำของจังหวัดทางผ่านออกไปทำนาปรังเป็นจำนวนมากจนน้ำเหลือน้อย หรือหากทางกรมชลฯ ปล่อยน้ำลงมาน้อยกว่าวันละ 20 ล้านลูกบาศก์เมตร ก็จะส่งผลกระทบต่อการผลิตน้ำประปา เพราะน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาจะถูกน้ำทะเลหนุน ทำให้น้ำมีความเค็ม ซึ่งนอกจากทำให้ผู้ใช้น้ำในการอุปโภคบริโภคทั่วไปได้รับผลกระทบแล้ว ยังอาจส่งผลกระทบถึงภาคอุตสาหกรรมอื่น ๆ อีก”

    นายเจริญ กล่าวว่า จากสถานการณ์น้ำในขณะนี้ถือว่าอยู่ในภาวะน่าเป็นห่วง แม้จะมีสภาพความแห้งแล้งไม่มากเท่ากับเมื่อปี 2537 ซึ่งถือเป็นปีที่แล้งมาก โดยมีปริมาณน้ำเหลือ ณ สิ้นเดือน มี.ค. ในเขื่อนภูมิพลเพียง 700 ล้านลูกบาศก์เมตร และในเขื่อนสิริกิติ์เหลือเพียง 300 ล้านลูกบาศก์เมตร ทำให้กรมชลฯ ปล่อยน้ำได้เพียงวันละ 10 ล้านลูกบาศก์เมตร เกิดภาวะน้ำทะเลหนุนสูงเกือบถึงสถานีสูบน้ำสำแล แต่ยังโชคดีที่ในปีนั้นฝนตกลงมาเร็วและมีปริมาณน้ำฝนมาก ทำให้ปัญหาแล้งหมดไป ขณะที่ในปีนี้มีการคาดการณ์กันว่า ฝนจะมาช้ากว่าปกติ ซึ่งจะยิ่งส่งผลให้ภาวะแห้งแล้งนี้ยาวนานออกไปอีก แม้กรมชลฯ จะยืนยันว่ามีน้ำใช้เพียงพอ แต่หากใช้น้ำกันจนหมดก็จะไม่เหลือน้ำต้นทุนไว้ใช้ในปีหน้า ซึ่งอาจทำให้สถานการณ์น้ำในปีหน้าประสบปัญหาน่าเป็นห่วงมากยิ่งขึ้นไปอีก เพราะปกติในแต่ละปีจะมีน้ำในเขื่อนหลัก ๆ เหลือไว้เป็นน้ำต้นทุนปีละประมาณ 2,000 ล้านลูกบาศก์เมตร ซึ่งการแก้ปัญหาเรื่องนี้ นอกจากจะต้องมีการบริหารจัดการการใช้น้ำให้มีประสิทธิภาพแล้ว รัฐบาลจะต้องให้ความรู้เรื่องการชลประทานแก่เกษตรกร อย่างจริงจัง เพื่อให้เกิดการใช้น้ำอย่างมีประสิทธิ ภาพสูงสุด ส่วนคนเมืองหลวงที่มีน้ำประปาใช้ไม่ขาดแคลน ก็จะต้องช่วยกันใช้น้ำอย่างประหยัด

    ภายใต้สถานการณ์ ภาวะโลกร้อน ก่อเกิดภัยพิบัติตามมามากมาย หากวันนี้ทุกคนยังไม่รีบปรับตัว ร่วมมือกัน อนาคตคงไม่มีใครช่วยได้.
     
  15. bamrung

    bamrung เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 เมษายน 2006
    โพสต์:
    834
    ค่าพลัง:
    +1,524
    โหร คมช.ทำนายไว้ว่าปีนี้จะไม่มีความรุนแรงจากการปะทะทางการเมืองเหมือนๆที่ผ่านมาอีกแล้ว ผมก็เชื่อและสบายใจ แต่เหตุการ์วันที่10ทำให้ผมต้องหลั่งน้ำตา ผมจึงเห็นว่า โหร คมช.คนนี้ทายถูกบ้างผิดบ้าง มีทัศนคติส่วนตัวที่เลือกข้าง เหมือนๆกับหมอนิด มีญาณที่ไม่สว่างนักพอเห็นลางๆ เชื่อถือได้สัก60%
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 เมษายน 2010
  16. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,193
    อ.จตุพร ทำนายภัยพิบัติโลก

    [​IMG]

    อ.จตุพร ผู้สื่อญาณผ่านดวงจิตองค์พระพิฆเณศ ได้ทำนายถึงภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้นกับชาวโลก เหตุการณ์จะร้ายแรงแค่ไหนเชิญอ่านได้ และโปรดใช้วิจารณญาณด้วย
    .............................................................................................................................

    ปัจจุบันมี ผู้คนทุกวงการ ต่างพูดเรื่องอนาคต "ภัยพิบัติ" กันมากว่าจะเกิดขึ้นจริงหรือ ทั้งจากพระป่าก็ดี อาจารย์ท่านต่างๆก็ดี หรือแม้แต่นักทำนายระดับโลกอย่าง นอสตราดามุส ที่ลาโลกไปนานแล้ว ก็ทำนายเรื่องนี้เอาไว้เช่นกัน แต่ถ้าผมจะทำนาย ผมก็จะขอทำนาย ในแบบฉบับของผม ถ้าจะถามผมว่าผมใช้หลักใดวิชาใดในการทำนาย ผมก็ขอตอบตามตรงเลยว่า ไม่มีวิชา แต่ได้ยินเสียง เสียงจากไหนก็ไม่ทราบ แต่ที่ทราบแน่เสียงที่บอก เกิดขึ้นจริงในอนาคตหมด แต่ถ้าไม่เกิด ก็คงต้องโทษเสียงที่บอกผมมา แต่ถ้าเสียงเงียบจริงๆ ก็แสดงว่าเกินอำนาจกฎแห่งกรรมที่จะสามารถบอกได้ แต่ผมจำเป็นต้องรู้ ผมก็จะชอบมองน้ำ ก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าทำไมชอบมองน้ำ

    คำทำนาย ในประเทศไทย

    ทุกวันนี้โลกเราผิดปกติไปมากขึ้นทุกที แกนโลกเริ่มขยับตัวเคลื่อนที่อย่างมาก รอวันที่มันจะผลิกคว่ำ เมื่อคนไม่ดีมีเยอะมากขึ้น ศีลธรรมเสื่อมทรามลง แกนโลกจะคว่ำ เมื่อมันคว่ำแล้ว อะไรทุกอย่างจะเปลี่ยนไปหมด บางจุดน้ำจะเป็นดิน ดินจะเป็นน้ำ หนาวจะร้อน ร้อนจะหนาว สภาวะขาดอาหารและน้ำ จะเกิดขึ้นไปทุกหย่อมหญ้า เงินจะไม่มีความหมาย อาหาร ยา เท่านั้นที่มีความหมาย คนไม่ดีจะเหลือน้อย คนดีจะเป็นใหญ่ ความสามัคคีจะเกิด ผู้คนจะช่วยกัน เริ่มเห็นใจกัน จะมีการเดินทางครั้งยิ่งใหญ่ อะไรก็ตามที่ใช้ไฟฟ้า แทบจะไม่มีความหมาย คนไทยจะเริ่มอพยพ ไปทิศใหม่ เมืองใหม่จะถูกสร้างขึ้น อารยธรรมใหม่จะเกิดขึ้นที่นั้น ทรัพย์พยากรใหม่ๆ จะออกมาตามรอยแยกแผ่นดินไหว จะมีแต่คนดีที่ครอบครอง สมาธิ จะเป็นบทนำที่อารยธรรมใหม่แห่งนี้

    คำทำนาย ในกรุงเทพมหานคร

    วันนั้นฟ้าจะเปลียน พระอาทิตย์จะปรากฎให้เห็นเป็น 2 ดวง ทางทิศตะวันตกในเวลาเดียวกัน ท้องฟ้าจะเป็นสีแสด อากาศผิดปกติ เป็นแบบนี้ไม่กี่วัน คนมีบุญจะรวมกลุ่มกันหนี คนบาปจะอยู่กับบ้าน เข้ายามราตรี ฝนจะตก ฟ้าจะร้อง พายุขนาดใหญ่จะมา ไฟจะดับ น้ำจะเริ่มท่วม รถยนต์จะเริ่มลอย เสาไฟจะล้ม คลื่นยักษ์สูง 50 เมตร จะมากวาดทุกอย่างไปในพริบตา คนมีบุญที่หนีไม่ทัน จะไปอยู่บนยอดตึก บุญจะส่งให้เขามีเหตุให้ต้องไปอยู่บนยอดตึก ตกเช้าน้ำจะไป ทิ้งไว้แต่โคลนสีส้มไปทั่วเมือง กรุงเทพฯ ไม่เหมาะที่จะสร้างเป็นเมืองหลวงอีกต่อไป ส่วนต่างจังหวัดอื่นๆ จะเกิดหนักเหมือนกัน แต่น้ำจะไปไม่เท่ากัน

    คำทำนาย เกิดเมื่อไร

    บอกแล้วอาจเคลื่อน เพราะเวลาจะล้างคนไม่ดี เขาไม่บอกให้ทราบล่วงหน้า ถ้าทราบล่วงหน้า คนไม่ดี หนีกันไปหมด ก็ไม่เกิดแน่นอน ก็จะผลักออกไป ให้มาเร็ว หรือช้า จนคนบนโลกประมาท เมื่อนั้น ก็จะล้างทันทีไม่ให้ตั้งตัว ปัจจุบันมีผู้มีอภิญญาหลายท่านก็ทราบกันแล้ว และก็เตรียมพร้อมกันแล้ว จริงๆเรื่องนี้เป็นเรื่องส่วนบุคคล ผมนั่งคิดอยู่ตั้งนานว่าจะเขียนดีไหม แต่สุดท้ายก็ต้องเขียน เพราะมีผู้คนถามเรื่องนี้กันมามากเหลือเกิน เมื่อรู้แล้วก็ทำใจสบายๆ เพราะนี้เป็นเพียงแค่ คำทำนายที่อาจเกิดก็ได้ หรือไม่เกิดก็ได้ ก็ขึ้นอยู่กับกรรมของคนในชาติ และตัวคุณเอง แล้วล่ะ

    องค์เทพมาเตือน

    ผมไม่ขอพูดเรื่องนี้มากไปกว่านี้ แต่ผมเคยถามองค์เทพว่าเมื่อไร จะเกิด? เสียงทิพย์บอกผมว่า อีก 6 ปี จะเกิดเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในประเทศไทย ท่านบอกผมหมดว่าจะเกิดอะไร

    เรื่องนี้ท่านบอกผม เมื่อปีกว่าๆที่ผ่านมา งั้นน่าจะเหลือเวลาอีก ประมาณ 5 ปี เห็นจะได้ เราก็ต้องมาคอยดูกัน แต่ถ้าถามผมว่าอยากให้เกิดไหม ผมไม่อยากให้เกิด ปัจจุบันนี้ก็มีผู้มีอภิญญาหลายท่าน พยายามเจริญสมาธิ ช่วยผลักดัน เหตุการณ์อยู่ เจริญสมาธิต้าน แรงกรรมของคนไทย ให้หนักเป็นเบา แต่ถ้าคนไทยส่วนมาก กลับเพิ่มกรรมให้ประเทศ และเพิ่มกรรมชั่วให้ตัวเอง ถ้ามีมากกว่า พูดง่ายๆคือ กรรมชั่ว มีมากกว่า กรรมดี ก็คงต้องเป็นไปตามกฎแห่งกรรม แล้วล่ะครับ

    สุดท้ายนี้ก็ขอให้ทุกท่านทำใจสบายๆ ไม่ต้องไปตื่นตระหนกต่อเรื่องนี้ ทำกิจวัตรประจำวันไปตามปกติ แต่อยากให้ทุกคนช่วยกันสวดมนต์มากๆขึ้น สวดกันทั้งประเทศทุกวันได้ยิ่งดี สิ่งที่กำลังจะเกิด จะได้เปลี่ยนจาก หนักเป็นเบา เบาเป็นหยุด

    ที่มา http://www.yantip.com/index.php/2010-04-08-04-47-55/65-2010-03-25-19-57-36
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 เมษายน 2010
  17. Apinya17

    Apinya17 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    775
    ค่าพลัง:
    +3,023
    พักเรื่องการเมืองก่อนน่ะ

    วันนี้บ้านเรามีเมฆรูปร่างแบบนี้เต็มไปหมดเลย บรรยากาศไม่มีลม
    [​IMG]


    [​IMG]

    [​IMG]

    แบบนี้เขาเรียกว่า เมฆรูปเกล็ดปลาหรือเปล่า ผู้สัดทันเรื่องเมฆ ช่วยวิเคราะห์หน่อยเร็ว
     
  18. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,193
    เกิดแผ่นดินไหวที่ประเทศจีน 6.9 ริกเตอร์

    [​IMG]

    เกิดแผ่นดินไหวขนาด 6.9 ริกเตอร์ ที่มณฑลชิงไห่ ของประเทศจีน เมื่อช่วงเช้าวันนี้ ตามเวลาท้องถิ่น เบื้องต้นยังไม่มีรายงานความเสียหาย...

    สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานเมื่อวันที่ 14 เม.ย.​ตามเวลาท้องถิ่น ว่า ศูนย์สำรวจธรณีวิทยาสหรัฐฯ รายงานว่า ได้เกิดเหตุแผ่นดินไหว ขนาด 6.9 ริกเตอร์ ที่มณฑลชิงไห่ ของประเทศจีน ในเช้าวันพุธ เวลาประมาณ 07.49 น.ตามเวลาท้องถิ่น ศูนย์กลางอยู่ห่างออกไปประมาณ 150 ไมล์ หรือ 240 กิโลเมตร ทางตะวันตกเฉียงเหนือของ เมือง Qamdo ประเทศทิเบต หรือ บริเวณชายแดนมณฑลชิงไห่ ซึ่งอยู่ระหว่างประเทศทิเบต และ เมืองซินเจียง ของจีน เบื้องต้นยังไม่มีรายงานความเสียหาย

    ไทยรัฐออนไลน์ วันพุธที่ 14 เมษายน พ.ศ.2553

    ที่มา ข่าวไทยรัฐออนไลน์
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  19. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,193
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>สืบสานประเพณี "สรงน้ำพระธาตุ" ช่วงสงกรานต์</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>12 เมษายน 2553 16:53 น.</TD></TR></TBODY></TABLE>
    [​IMG]
    สรงน้ำพระธาตุหริภุญชัย ลำพูน

    ปะเพณีดีๆช่วงเทศกาลปีใหม่ไทยอย่างสงกรานต์ช่างมีมากมายเสียจริง นอกเหนือจากการสรงน้ำพระแล้ว ยังมีบางจังหวัดที่สืบทอดประเพณีการสรงน้ำพระธาตุในช่วงสงกรานต์ด้วย

    ในภาคเหนือ ที่ จังหวัดลำพูน "พระบรมธาตุหริภุญชัย" (พระธาตุประจำปีระกา) ซึ่งในทุกปีจะมีพิธีสรงน้ำพระธาตุในช่วงวันขึ้น15ค่ำ เดือน6 หรือที่ทางเหนือเรียกว่า "เดือนแปดเป็ง" โดยในปีนี้ตรงกับวันที่28 เม.ย.2553 แต่ในช่วงสงกรานต์ก็ไม่หวงห้ามหากพุทธศาสนิกชนต้องการสรงน้ำองค์พระธาตุ​

    อนึ่ง การสรงน้ำพระธาตุที่นี่แตกต่างและเป็นหนึ่งเดียว เพราะต้องใช้น้ำที่มาสรงพระธาตุเป็นน้ำสรงพระราชทาน น้ำทิพย์จากดอยขะม้อ(ผ่านพิธีการเจริญพระพุทธมนต์จากพระสงฆ์)และน้ำสรงของประชาชน โดยชาวลำพูนเชื่อว่าเป็นการสักการะพระบรมอัฐิธาตุของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และยังเป็นการบูชาเสาหลักเมืองที่ชาวลำพูนถือว่า เจดีย์พระธาตุหริภุญชัยเป็นเสาหลักเมือง​

    [​IMG]
    สรงน้ำพระธาตุพนม สงกรานต์นครพนม

    ในงานอีสานเองก็มีงานสรงน้ำพระธาตุเช่นกัน โดยงานสงกรานต์ที่จังหวัดนครพนม นอกจากการเล่นสาดน้ำ และการปฏิบัติต่างๆตามประเพณีแล้ว ยังมีการสรงน้ำพระธาตุประจำวันเกิด ทั้ง 7 แห่งในจังหวัดนครพนมอีกด้วย

    สำหรับพระธาตุประจำวันเกิด ทั้ง 7 แห่งในจังหวัดนครพนมได้แก่ คนเกิดวันอาทิตย์ไหว้พระธาตุพนม ที่อ.ธาตุพนม และพระธาตุพนมนี้ยังเป็นพระธาตุประจำปีเกิดของปีวอกอีกด้วย คนเกิดวันจันทร์ ไหว้พระธาตุเรณู อ.เรณูนคร คนเกิดวันอังคาร ไหว้พระธาตุศรีคูณ อ.นาแก คนเกิดวันพุธ ไหว้พระธาตุมหาชัย อ.ปลาบาก คนเกิดวันพฤหัส ไหว้พระธาตุประสิทธิ์ อ.นาหว้า คนเกิดวันศุกร์ ไหว้พระธาตุท่าอุเทน อ.ท่าอุเทน คนเกิดวันเสาร์ ไหว้พระธาตุนคร ที่อ.เมืองนครพนม

    พี่น้องผองเพื่อนใครอยากร่วมเป็นส่วนหนึ่งของประเพณีอันดีงามนี้ก็เชิญท่องเที่ยวกันได้ช่วงวันหยุดยาวแบบนี้

    ที่มา http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9530000051124
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 เมษายน 2010
  20. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,193
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>"สรงน้ำพระ" เสริมมงคลวันสงกรานต์</TD><TD vAlign=baseline align=right width=85></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>12 เมษายน 2553 16:43 น.</TD></TR></TBODY></TABLE>
    [​IMG]
    ขบวนแห่พระพุทธสิหิงค์ สงกรานต์เชียงใหม่

    ถึงแม้ว่าทางกรุงเทพมหานคร จะออกมาประกาศชัดเจนแล้วก็ตาม ถึงการงดจัดงาน "เทศกาลสงกรานต์" ในหลายพื้นที่ทั่วกรุงฯ เนื่องจากการความวุ่นวายทางการเมืองระหว่างกองกำลังไพร่แดงกับรัฐบาลหน่อมแน้ม
    แต่กระนั้นเทศกาลสงกรานต์ในหลายพื้นที่ตามต่างจังหวัด ก็ยังเดินหน้าจัดงานตามประเพณีอันดีงามของไทย เพราะหลายคนที่อึดอัดกับสถานการณ์บ้านเมือง เลือกที่จะใช้โอกาสนี้ผ่อนคลายความตึงเครียดด้วยการเล่นน้ำ รดน้ำดำหัว เข้าวัด ทำบุญ ไหว้พระ รวมถึงการ "สรงน้ำพระ" เพื่อความเป็นสิริมงคล รับขวัญวันปีใหม่ไทย

    และเมื่อเอ่ยถึงเรื่องการสรงน้ำพระแล้ว ในบ้านเราก็มีหลายๆจังหวัดที่นำพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมือง ซึ่งปกติจะประดิษฐานอยู่ตามวัดหรือตามสถานที่สำคัญนำออกมาให้ประชาชนได้สรงน้ำกันแบบ 1 ปี มีหน

    [​IMG]
    พระพุทธสิหิงค์ กรุงเทพฯ

    สำหรับการสรงน้ำพระนั้นเป็นความเชื่อมาแต่ครั้งโบราณกาลว่า "อานิสงส์ถวายเครื่องเถราภิเษก (สรงน้ำพระ)ผู้ใดได้ถวายเครื่องเถราภิเษกจะพ้นจากทุกข์ภัยทั้งปวง" ซึ่งนี่ถือเป็นส่วนหนึ่งของพระพุทธรูปเด่นดัง น่าสนใจ ตามพื้นที่ต่างๆที่มีการนำออกมาให้ประชาชนได้สรงน้ำเนื่องในเทสกาลสงกรานต์กัน

    *สรงน้ำพระพุทธสิหิงค์

    "พระพุทธสิหิงค์" ถือเป็นพระพุทธรูปคู่วันสงกรานต์ มีตำนานเล่าว่า พระพุทธสิหิงค์สร้างขึ้นตั้งแต่ปี พ.ศ. 700 โดยพระมหากษัตริย์ลังกา 3 พระองค์ พร้อมกับพระอรหันต์ในเกาะลังกา

    พระพุทธสิหิงค์ประดิษฐานอยู่ที่กรุงลังกาเป็นเวลา 1,150 ปี กระทั่งในสมัยสุโขทัย พ่อขุนรามคำแหง โปรดเกล้าฯ ให้พระยานครศรีธรรมราชแต่งทูตเชิญพระราชสาสน์ไปขอประทานมาจากพระเจ้ากรุงลังกา พระพุทธสิหิงค์จึงได้มาประดิษฐานในสยามประเทศนับแต่นั้นมา

    [​IMG]
    พระพุทธสิหิงค์ นครศรีธรรมราช

    สำหรับในเมืองไทย มีพระพุทธรูปที่มีนามว่าพระพุทธสิหิงค์องค์สำคัญอยู่ 3 องค์ด้วยกัน คือ

    พระพุทธสิหิงค์ ในพระที่นั่งพุทไธสวรรค์ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร กรุงเทพฯ เป็นพระพุทธรูปปางสมาธิ หล่อด้วยโลหะสัมฤทธิ์ ซึ่งทุกๆปีทางกทม.จะนำออกมาให้ประชาชนได้สรงน้ำกันในช่วงเทศกาลสงกรานต์นับตั้งแต่ปี พ.ศ.2477 เป็นต้นมา สำหรับในปีนี้ กทม.ได้นำพระพุทธสิหิงค์มาให้ประชาชนสรงน้ำที่ลานคนเมืองเช่นกัน

    พระพุทธสิหิงค์ ในวัดพระสิงห์วรมหาวิหาร เชียงใหม่ เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย ขัดสมาธิเพชร หล่อด้วยสัมฤทธิ์ลงรักปิดทอง เป็นศิลปะเชียงแสนยุคแรก ซึ่งทุกๆปีทางจังหวัดเชียงใหม่จะมีขบวนแห่พระพุทธสิหิงค์เพื่อให้ประชาชนได้ร่วมกันสรงน้ำ เนื่องในประเพณีปี๋ใหม่เมืองหรืองานสงกรานต์ล้านนานั่นเอง

    [​IMG]
    พระพุทธสิหิงค์ เชียงใหม่

    พระพุทธสิหิงค์ ในหอพระสิหิงค์ นครศรีธรรมราช เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย ขัดสมาธิเพชร มีพระพักตร์กลม อมยิ้มเล็กน้อย หล่อด้วยสัมฤทธิ์ เป็นพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองนครศรีธรรมราช ซึ่งเป็นเวลาหลายปีมาแล้วที่ทางจังหวัดนครศรีธรรมราชได้มีการอัญเชิญองค์พระพุทธสิหิงค์ มาประดิษฐานที่สวนศรีธรรมาโศกราช ก่อนจะมีพิธีสรงน้ำพระพุทธสิหิงค์ควบคู่ไปกับงานประเพณีสงกรานต์ “แห่นางดานเมืองนคร” อันโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์เพราะมีการผนวกประเพณีทั้งพุทธและพราหมณ์เข้าไว้ด้วยกัน

    [​IMG]
    พระแก้วบุษราคัม วัดศรีอุบลรัตนาราม

    *สรงน้ำพระแก้ว อุบล

    ที่เมืองดอกบัวงาม อุบลราชธานี ก็มีพระพุทธรูปสำคัญคู่บ้านคู่เมือง ที่เพิ่งจะนำออกมาให้ประชาชนได้สรงน้ำในช่วงเทศกาลสงกรานต์กันเมื่อไม่กี่ปีมานี้

    สำหรับพระพุทธรูปสำคัญในงานสงกรานต์เมืองอุบล เป็นพระแก้ว 4องค์ด้วยกัน

    องค์แรก คือ "พระแก้วบุษราคัม” วัดศรีอุบลรัตนาราม เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย ศิลปกรรมเชียงแสน แกะสลักจากแก้วบุษราคัม หน้าตักกว้าง 3 นิ้ว สูง 5 นิ้ว ตามตำนานเป็นสมบัติของเจ้าปางคำราชวงศ์จากเมืองเชียงรุ้งแสนหวีฟ้า ที่แตกหนีภัยสงครามจากพวกฮ่อมาเวียงเชียงรุ้งและสร้างเมือง “เขื่อนขันกาบแก้วบัวบาน” ขึ้น

    [​IMG]
    พระแก้วไพฑูรย์แห่งวัดหลวง เมืองอุบลฯ

    พระแก้วบุษราคัมตกทอดมาถึงพระเจ้าตาผู้เป็นลูกพระเจ้าปางคำ ในปีพ.ศ.2314 นครเขื่อนขับกาบแก้วบัวบาน ถูกเจ้าสิริบุญสารแห่งเวียงจันทน์ยกทัพต่อตีพระวรราชภักดีหรือพระเจ้าวอและพระเจ้าฝางจึงหนีศึกมาสร้างบ้านแปงเมืองที่บ้านดอนมดแดง จ.อุบลราชธานี และได้อัญเชิญพระแก้วบุษราคัมมาด้วย โดยได้สร้างวัดหลวงไว้ประดิษฐานพระแก้วบุษราคัม

    กระทั่งในรัชกาลที่ 5 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ได้สั่งข้าหลวงมากำกับดูแลตามหัวเมือง ทำให้ราชบุตรหนูคำ เจ้าเมืองสมัยนั้นเกรงว่าข้าหลวงจะแสวงหาสมบัติเมืองไปเป็นของตน จึงนำพระแก้วออกจากวัดหลวงไปซ่อนไว้ที่บ้านวังกางฮุง

    กระทั่งอุปราชโท สร้างวัดศรีอุบลรัตนารามขึ้น จึงอัญเชิญพระแก้วบุษราคัมมาประดิษฐานไว้ที่วัดศรีอุบลรัตนาราม จวบจนทุกวันนี้ ในยามปกติพระแก้วบุษราคัมจะประดิษฐานไว้ในตู้แก้วในพระอุโบสถเท่านั้น แต่ในเทศกาลสงกรานต์ ทางวัดจะอัญเชิญลงมาให้ประชาชนได้สรงน้ำกัน

    [​IMG]
    พระแก้วโกเมน แห่งวัดมณีวนาราม

    องค์ถัดมา "พระแก้วโกเมน" วัดมณีวนาราม เป็นพระพุทธรูปอัญมณีศักดิ์สิทธิ์ของวัดที่มีค่าหาได้ยากยิ่งและเกรงว่าจะสูญหาย ทำให้เจ้าอาวาสแต่ละรุ่นจึงหวงแหนเก็บรักษากันอย่างเป็นความลับเรื่อยมา ครั้นเมื่อสิ้นสมัยหลวงปู่พระธรรมเสนานี (กิ่ง มหับผโล) คณะกรรมการวัดจึงขออนุญาตนำพระแก้วโกเมนลงมาประดิษฐานในพุทธศาสนิกชนได้กราบไหว้

    ตามตำนานที่เล่าต่อกันมาระบุว่าพระแก้วโกเมนอันเป็นแก้วหนึ่งในตระกูลแก้วเก้าประการนั้นก่อกำเนิดขึ้นพร้อมกับพระแก้วบุษราคัม ในช่วงรัตนโกสินทร์ตอนต้น ไทยมีสงครามกับเวียงจันทน์ ผู้รักษาการบ้านเมืองและทายก-ทายิกา ได้พากันเก็บรักษาองค์พระไว้เป็นอย่างดีที่วัดบ้านกุดมะงุม อ.วารินชำราบ คณะผู้รักษาได้นำท่อนไม้จันทน์คว่ำองค์พระพุทธรูปไว้ ด้วยเกรงว่าข้าศึกจะแย่งชิงไป

    เมื่อสงครามสงบจึงได้นำพระแก้วโกเมนมาประดิษฐานไว้ ณ วัดมณีวนาราม ซึ่งเจ้าอาวาสและคณะกรรมการวัดเก็บรักษาไว้เป็นความลับสืบต่อกันมา แต่ก็เป็นในเทศกาลสงกรานต์และวันวิสาขบูชาเท่านั้น ที่ทางวัดจะอัญเชิญมาให้ประชาชนได้สรงน้ำพระกัน

    [​IMG]
    หลวงพ่อพระใส วัดโพธิ์ชัย

    องค์ต่อมาคือ "พระแก้วไพฑูรย์" วัดหลวง ที่ปีหนึ่งจะต้องรอให้ถึงช่วงงานสมโภชน์ จึงจะมีการนำออกมาให้ได้สักการะกัน ซึ่งงานสมโภชน์ จะอยู่ในช่วงหลังเทศกาลสงกรานต์ สำหรับพระแก้วไพฑูรย์ เป็นหนึ่งในแก้วอันเป็นรัตนชาติ คือ เพชรดี มณีแดง เขียวใสแสงมรกต เหลืองใสสดบุษราคัม ทองแก่ก่ำโกเมนเอก สีหมอกเมฆนิลกาฬ มุกดาหารหมอกมัว แดงสลัวเพทาย สังวาลย์สายไพฑูรย์

    ด้วยองค์พระแววใสส่องเห็นเป็นคล้ายหยาดฝน จึงเชื่อว่าพระแก้วองค์นี้เป็นนิมิตแห่งความอุดมสมบูรณ์ สำหรับพระแก้วองค์นี้ใครเป็นผู้แกะสลักนั่นยังไม่พบข้อมูล แต่เชื่อว่าเป็นพระพุทธรูปในปกครองของเจ้านายเมืองอุบลมานานแต่บรรพบุรุษของพระปทุมวราชสุริยวงศ์ (เจ้าคำผง) ได้ถวายเป็นสมบัติของวัดหลวงคู่เคียงกับพระแก้วบุษราคัม เมื่อทางข้าหลวงจากกรุงเทพลงมาปกครองในสมัยรัชกาลที่ 5 เจ้านายอุบลจึงได้เอาพระแก้วทั้งสองไปซ่อน

    ต่อมาแม้เมื่อมีการถวาย "พระแก้วบุษราคัม" แก่ทางวัดศรีอุบลรัตนารามแล้ว ทายาทของเจ้านายเมืองอุบลก็ยังคงเก็บรักษาพระแก้วไพฑูรย์ไว้ เพราะเป็นสมบัติล้ำค่าของบรรพบุรุษ ต่อมาภายหลังจึงถวายพระครูวิลาสกิจจาทร เจ้าอาวาสวัดหลวงให้เป็นสมบัติของวัดหลวงตามเดิมจนทุกวันนี้

    ปิดท้ายกันที่ "พระแก้วขาวเพชรน้ำค้าง" วัดสุปัฎนาราม ที่จะนำลงมาให้สาธุชนสรงน้ำขอพระในช่วงเทศกาลสำคัญๆเช่นกัน ทั้งในช่วงปีใหม่สากล และช่วงปีใหม่ไทยแบบนี้

    สำหรับพระแก้วขาวเพชรน้ำค้างนั้น เนื้อองค์เป็นแก้วผลึกขาวใสประดุจน้ำค้างยามเช้าเปล่งแสงแวววาวในตัวเองประดุจเพชร จึงได้ชื่อว่า "พระแก้วขาวเพชรน้ำค้าง" ฉลององค์ด้วยทองคำเป็นบางส่วน เป็นพระปางสมาธิสูง 17 ซ.ม. ทำด้วยแก้วผลึกสีขาว

    [​IMG]
    ขบวนแห่ หลวงพ่อพระใส สงกรานต์หนองคาย

    ศาสตราจารย์ หม่อมเจ้า สุภัทรดิศ ดิศกุล สุดยอดนักประวัติศาสตร์และโบราณคดีของไทย สันนิษฐานว่าวิเคราะห์จากพุทธศิลป์แล้วเป็นพะรอยู่ในยุครัตนโกสินทร์ตอนต้น

    ประวัติของพระแก้วขาวเพชรน้ำค้าง เจ้าพระคุณสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (ติสฺโส อ้วน) ได้ควบคุมการก่อสร้างพระอุโบสถวัดสุปัฎนารามแต่ พ.ศ. 2460-2473 เจ้าพระคุณสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ ได้รวบรวมพระพุทธธูปเก่าแก่ไนปางต่างๆ จากหลายที่หลายแห่ง เช่น พระพุทธรูปหินสมัยลพบุรี 3 องค์ และสิ่งอื่นจำนวนมาก โดยเฉพาะพระแก้วขาวองค์นี้เป็นพระประจำองค์ท่าน ท่านได้อย่างไร ไม่ปรากฏชัด

    ในช่วงปี พ.ศ. 2485 เจ้าพระคุณคุณสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (ติสฺโส อ้วน) ได้ขึ้นมาจำพรรษาที่วัดสุปัฎนาราม ได้มอบพระแก้วขาวองค์ศักดิ์สิทธิ์องค์นี้ให้เป็นสมบัติอันล้ำค่าของวัดสุปัฎนาราม ผู้รับมอบ คือ พระครูปลัดพิพัฒนวิริยาจารย์ (ณาณ ญาณชาโล) และมอบนโยบาย คือให้จัดกิจกรรมของคณะสงฆ์ขึ้น เมื่อท่านได้รับมอบพระแก้วขาวและนโยบายแล้ว ท่านก็ได้วางหลักเกณฑ์ให้คณะสงฆ์ทำกิจกรรมขึ้นเพื่อเป็นการสนองพระเดชพระคุณของเจ้าพระคุณสมเด็จพระมาหวีรวงศ์

    [​IMG]
    พระสี่มุมเมือง ราชบุรี

    *สรงน้ำหลวงพ่อพระใส หนองคาย

    อีกหนึ่งงานใหญ่ช่วงสงกรานต์ของอีสาน ไปที่ จังหวัดหนองคาย เพื่อสักการะไหว้สา "หลวงพ่อพระใส" เป็นพระพุทธรูปขัดสมาธิราบปางมารวิชัย หล่อด้วยทองสีสุก มีพระรูปลักษณ์งดงามมาก ขนาดหน้าตัก กว้าง 2 คืบ 8 นิ้ว ส่วนสูงจากพระสงฆ์เบื้องล่างถึงยอดพระเกศ 4 คืบ 1 นิ้ว ของชางไม้ ปัจจุบันได้ประดิษฐานอยู่ภายในพระอุโบสถวัดโพธิ์ชัย (พระอารามหลวง) เป็นพระพุทธรูปที่ชาวจังหวัดหนองคายนับถือว่าศักดิ์สิทธิ์มาก​

    ตามประวัติกล่าวไว้ว่า พระธิดา3พี่น้องของกษัตริย์ล้านช้าง ได้ร่วมกันสร้างพระพุทธรูปประจำพระองค์ขึ้น 3 องค์ เพื่อสืบทอดพระพุทธศาสนา แล้วขนานนามพระพุทธรูปตามพระนามว่า พระสุก พระเสริม และพระใสมีขนาลดกันตามลำดับ​

    หลังศึกกับเวียงจันทน์ในรัชกาลที่ 3 ได้อัญเชิญพระทั้งสามลงแพ แต่ทว่าระหว่างทางล่องเรือมานั้นได้ล่องมาตามลำน้ำงึม เมื่อล่องถึงเวินแท่นได้เกิดอัศจรรย์ คือ แท่นของพระสุกได้แหกแพจมลงในน้ำ การอัญเชิญจึงเหลือเพียงพระเสริมและพระใสมาถึงหนองคาย​

    พระเสริมนั้นประดิษฐานอยู่ที่วัดโพธิ์ชัย ส่วนพระใสประดิษฐานอยู่ที่วัดหอก่อง ( วัดประดิษฐ์ธรรมคุณ ) ต่อมายุครัชกาลที่ 4 พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว พระอุปราชแห่งกรุงรัตนโกสินทร์สมัยนั้น พระองค์ทรงมีพระราชประสงค์ที่จะอัญเชิญพระเสริมมาประดิษฐานยังพระบวรราชวัง​

    พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงโปรดเกล้า ฯ ให้ขุนวรธานีและข้าหลวง ( เหม็น ) ไปอัญเชิญพระเสริมและพระใสมายังพระนคร เมื่อครั้งอัญเชิญพระเสริมและพระใสมายังพระนครนั้น กล่าวกันว่าพระใสแสดงปาฏิหาริย์ เกวียนที่ประดิษฐานพระใสหักลงตรงหน้าวัดโพธิ์ชัย ซ่อมก็หักอีก วัวลากเกวียนไม่ยอมเดิน ทั้งเชิญและบวงสรวงก็ไม่เป็นผล สุดท้ายทหารจึงอัญเชิญพระใสประดิษฐานที่วัดโพธิ์ชัยแทน ส่วนพระเสริมอัญเชิญไปกรุงรัตนโกสินทร์ ประดิษฐานที่วัดปทุมวนาราม กรุงเทพ ปัจจุบันหลวงพ่อพระใสเป็นพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองของจังหวัดหนองคายประดิษฐานที่วัดโพธิ์ชัย อำเภอเมือง​

    [​IMG]
    สรงน้ำพระ ประเพณีดีงามอันเป็นมงคลในเทศกาลสงกรานต์

    *สรงน้ำพระสี่มุมเมือง ราชบุรี

    ที่จังหวัดราชบุรีก็มีการชูการสรงน้ำพระในช่วงเทศกาลสงกรานต์เช่นกัน โดยเป็นพระพุทธรูปคู่บ้านเมือง ของชาวราชบุรี เป็นหนึ่งในพระพุทธรูปที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชได้พระราชทานตั้งแต่ปีพ.ศ.2511 ซึ่งประดิษฐานไว้ ณ สี่มุมเมืองของประเทศ ได้แก่ ทิศเหนือ ประดิษฐานไว้ที่จังหวัดลำปาง (ข้างศาลเจ้าพ่อหลักเมือง) ทิศตะวันออก ประดิษฐานไว้ที่จังหวัดสระบุรี (หน้าศาลากลางจังหวัด ในวัดศาลาแดง) ทิศใต้ประดิษฐานไว้ที่จังหวัดพัทลุง (หน้าศาลากลางจังหวัด) และทิศตะวันตก ประดิษฐานไว้ที่จังหวัดราชบุรี (บนยอดเขาแก่นจันทน์)

    โดยองค์ที่อยู่เมืองราชบุรีนี้มีนามว่า "พระพุทธนิรโรคันตรายชัยวัฒน์จตุรทิศ" (พระสี่มุมเมือง) เพื่อความเป็นสิริมงคลเนื่องในเทศกาลสงกรานต์ประจำปี 2553 องค์การบริหารส่วนจังหวัดราชบุรี จึงกำหนดจัดงาน "ประเพณีสรงน้ำพระสี่มุมเมือง" เนื่องในวันสงกรานต์ ประจำปี 2553 ในวันที่ 12 เมษายน 2553 เวลา 14.00 น. เป็นต้นไป ณ บริเวณวิหารจัตุรมุขบนยอดเขาแก่นจันทน์ราชบุรี

    สงกรานต์ปีนี้ใครเลือกจะเสริมสิริมงคลกันแบบไหนก็แล้วแต่ แต่ยังไงทางทีมงานท่องเที่ยวก็ขออวยพรให้มิตรรักนักอ่านทุกคน ประสบแต่โชคดีเนื่องในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ไทยนี้

    ที่มา http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9530000051112
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 เมษายน 2010

แชร์หน้านี้

Loading...