+++Premium พระเครื่องราคาพิเศษ(ปิดกระทู้ชั่วคราว)

ในห้อง 'พระเครื่อง วัตถุมงคล' ตั้งกระทู้โดย dekdelta2, 13 กันยายน 2009.

  1. dekdelta2

    dekdelta2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    5,702
    ค่าพลัง:
    +6,948
    รายการที่ 391 เบี้ยแก้หลวงพ่อภักตร์ วัดโบสถ์

    เบี้ยแก้มีอิทธิฤทธิ์ทางด้านการป้องกันคุณไสย มนต์ดำ ยาเสน่ห์ กันเขี้ยวงา หรือ แม้กระทั่งกันผี เบี้ยแก้ที่ดังๆ เป็นที่รู้จักกันมีอยู่ 2 สำนัก คือ เบี้ยแก้หลวงปู่รอด วัดนายโรง และ เบี้ยแก้หลวงปู่บุญ วัดกลางบางแก้ว ว่ากันว่าอาคมของหลวงปู่ทั้งสองนี้ เข้มขลังนัก ขนาดที่ว่าเสกเบี้ยให้คลานเหมือนหอยได้เลยทีเดียว

    วิธีการสร้างเบี้ยแก้คือการนำปรอทที่ปลุกเสกแล้วเข้า ไปอยู่ในตัวเบี้ย แล้วหาวิธีอุดไว้ไม่ให้ปรอทหนีออกมาได้ อย่างของอาคมประเภท ลูกอม หรือลูกสะกด ต่างๆ ที่ต้องนำปรอทมาหลอมกับทองแดง เงิน ทองคำนั้นเรียกว่าปรอทที่ตายแล้ว ส่วนปรอทที่นำมาทำเบี้ยแก้เรียกว่าปรอทเป็น โดยเมื่อเขย่าตัวเบี้ยแก้แล้วจะได้ยินเสียงดัง "ขลุกๆ" อยู่ในตัวเบี้ย

    ถ้าทำเบี้ยในช่วงฤดูร้อน ปรอทจะมีการขยายตัวมาก ทำให้เวลาเขย่าในสภาวะอากาศร้อนก็จะไม่ค่อยได้ยินเสี ยง "ขลุก" แต่ถ้าในเบี้ยตัวเดียวกั มาเขย่าในช่วงอากาศหนาวปรอทจะหดตัวลงทำให้มีพื้นที่ใ นตัวเบี้ยเหลือทำให้เขย่าแล้ว ได้ยินเสียง "ขลุก" ได้ชัดเจน

    เมื่อกรอกปรอทเสร็จแล้วจะปิดช่องด้วยชันนะโรงใต้ดินท ี่ปลุกเสกแล้ว
    และหุ้มด้วยผ้าแดงหรือแผ่นตะกั่วแผ่นทองแดงแล้วจึงนำ มาถักเชือกหรือหุ้มทำห่วงไว้ให้
    ผูกเอวหรือห้อยคอ ขั้นตอนสุดท้ายคือการปลุกเสกกำกับอีกครั้งหนึ่ง

    เสียงของเบี้ยแก้แต่ละตัวไม่เหมือนกันบางตัวก็ดังมาก บางตัวก็ดังน้อย บางตัวบรรจุปรอทน้อยเกินไปการกระฉอกของปรอทจะดังคล่อ งแคล่วดีแต่ก็ขาดความหนักแน่น บางตัวบรรจุปรอทมากไปก็อาจจะทำให้เสียงน้อยหรือไม่ได ้ยินเลยก็มี

    สำหรับผู้ที่ชื่นชอบนะครับ คราวหน้าคราวหลังถ้าได้ไปเช่าหาเบี้ยแก้ก็อย่าลืม "เขย่า" ใกล้ๆ หู ฟังเสียงปรอทมันกระฉอกชอบเสียงแบบไหนก็เลือกตัวนั้นเ ลย เพิ่มเติมอีกเล็กน้อยครับสำหรับเบี้ยแก้ที่มีชื่อเสี ยงของสำนักอื่นๆ

    1. เบี้ยแก้หลวงพ่อนุ่ม วัดนางใน อ่างทอง
    2. เบี้ยแก้หลวงพ่อคำ วัดโพธิ์ปล้ำ อ่างทอง
    3. เบี้ยแก้หลวงพ่อโปร่ง วัดท่าช้าง อ่างทอง
    4. เบี้ยแก้หลวงพ่อภักตร์ วัดโบสถ์ อ่างทอง

    สังเกตุดูว่าเบี้ยแก้ที่มีชื่อเสียงนั้นมาจากจ.อ่างท องซะมาก เพราะเป็นวิชาที่สืบสานต่อกันมาครับ เหมือนเบี้ยแก้วัดกลางบางแก้ว นครปฐมก็สืบสานกันมา 4 รุ่นแล้วเช่นกัน ปัจจุบันอาจารย์เจือเป็นรุ่นที่ 4 ครับ

    เค้าว่ากันว่าเบี้ยแก้เป็นวัตถุมงคลชั้นสูงที่เป็นเค รื่องเตือนใจให้กลัวภัย
    ที่เรามองไม่เห็นหากนำติดตัวไว้ย่อมปกป้องภัยอันตราย ได้ทั้งปวงเป็นเมตตามหานิยม แคล้วคลาด มหาอุตม์ กันผีร้ายได้ทุกประการ
    วิธีการฟังเสียงปรอทในท้องเบี๊ย...บางท่านเขย่าเหมือนเขย่าขวดยา ซึ่งไม่ได้ประโยชน์แต่อย่างใด ก็เก๊จะใช้น้ำมันใส่ตะกั่วกลม หรือวัสดุอย่างอื่นที่มีน้ำหนักแทน.. ฉนั้น เวลาจะฟังเสียงปรอทเดิน ควรจะหงายท้องเบี๊ยขึ้น เขย่าในลักษณะของการคลอนเบา ซ้าย-ขวา เพื่อฟังเสียงหรือสัมผัสถึงเวลาปรอทโยนตัว จะประมาณสองครั้ง... ท่านที่เคยเขย่าเต๋าน่าจะรู้ดี

    ...................................................................................



    เบี้ยแก้หลวงพ่อภักตร์ วัดโบสถ์ มีราคาสูงที่สุดในบรรดาเบี้ยสายอ่างทอง มีทั้งแบบเปือย ถักลายมาตรฐาน หรือเลี่ยมเงินโดยร้านในตลาดวิเศษไชยชาญสมัยนั้นจะตอกหมง เป็นตระกูลของร้านคล้ายกับเกจิในอำเภอวิเศษท่านอื่นๆ และลายคล้ายกับสายวัดนายโรง ตัวนี้ลายมาตรฐาน 1 หู หุ้ม 2 ชั้น ลงยางไม้ (ถ้าลงรักสวยๆไม่ต่ำกว่า 3 หมื่นครับ)
    หลวงพ่อพระเกจิสายอ่างทอง เช่น หลวงพ่อเกลื่อน วัดรางฉนวน หลวงพ่อทรง วัดศาลาดิน หลวงพ่อมี วัดม่วงคัน หลวงปู่ดี วัดเทพากร ฯลฯ ต่างเคยฝากตัวศึกษาวิชากับท่านครับ

    พุทธคุณเหมือนกัน เพียงตัวนี้ลงยางไม้เท่านั้น

    ให้บูชาราคาพิเศษ 3600 บาท
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. dekdelta2

    dekdelta2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    5,702
    ค่าพลัง:
    +6,948
    รายการที่ 392 เหรียญรุ่นแรก หลวงปู่ลือ วัดป่านาทาม

    เหรียญรุ่นแรกหลวงปู่ลือ วัดป่านาทามวนาวาส อ.ดอนตาล จ.มุกดาหาร
    รุ่น ฉลองอุโบสถ ออกปี 35 (ชาวบ้านเรียกท่านว่า พระลือโลก ผีย่าน)

    ประวัติโดยย่อครับ
    หลวงปู่ลือ ปุญโญ วัดป่านาทาม อ.ดอนตาล จ.มุกดาหาร พระภิกษุผู้ปฏิบัติธรรมในสายของพระอาจารย์มั่นนั้น ปัจจุบันนี้เรียกได้ว่าหายากเต็มที ยิ่งวันเวลาผ่านไป หลายท่านก็ดับขันธุ์เหลือเพียงลูกศิษย์ชั้นต่อมาที่พยายามจะนำคำสั่งสอนนั้นมาปฏิบัติกันเพื่อสืบทอดเจตนารมณ์ “หลวงปู่ลือ ปุญโญ” หรือ “ ท่านพระครูคัมภีร์ภาวนาจารย์” หลวงปู่ลือนั้น เดิมทีมีชื่อว่า “ลือ ใจทัส” เป็นบุตรคนที่สอง ในจำนวนพี่น้องสี่คน บิดามีชื่อว่านายจันทร์ ส่วนมารดาคือนางพัน ใจทัส ชาวบ้านป่าไร่ ซึ่งพูดง่ายๆ ท่านคือเลือดเนื้อเชื้อไขของชาวป่าไร่โดยกำเนิดแท้ๆ เมื่อยามที่เป็นเด็กชายตัวน้อยๆนั้น ว่ากันว่าหลวงปู่ลือเป็นเด็กที่อ่อนแอ สุขภาพไม่ค่อยแข็งแรงนัก พ่อแม่บอกว่าเลี้ยงยาก เกรงว่าลูกชายจะตาย ไม่รอด จึงเลยบนบานเอาไว้ว่า ถ้าหากลูกชายหายดีมีสุขภาพแข็งแรงเมื่อไร่ ก็จะยกให้กับวัดเพื่อบรรพชาเป็นสามเณรตลอดไปในตอนนั้นครอบครัวของหลวงปู่ย้ายไปอยู่ที่บ้านป่าชาติ ซึ่งอยู่ห่างจากหมู่บ้านเดิมไม่มากนัก หากแต่ความเจริญไม่ค่อยมี เนื่องจากสมัยที่หลวงปู่เป็นเด็กอยู่นั้น บ้านป่าไร่ ป่าชาติตั้งอยู่กลางป่าใหญ่ เต็มไปด้วยสัตว์ร้ายมากมายในที่สุด อาการป่วยของท่านที่กระเสาะกระแสะตลอดเวลามานั้นก็หาย สามารถวิ่งเล่นกับเพื่อนฝูงได้อย่างที่ใจปรารถนา ซึ่งนับได้ว่าเป็นช่วงเวลาที่หลวงปู่เคยเล่าว่าเหมือนกับเกิดใหม่ เพราะไม่เคยคิดเลยว่าตนเองจะหายสามารถวิ่งเล่นเหมือนกับชาวบ้านเขาได้ เพราะนึกว่าอย่างไรเสียก็คงจะต้องตายเสียก่อนที่จะโตอยู่แล้ววันหนึ่งหลวงปู่ได้พบกับพระธุดงค์รูปหนึ่งมาปักกรดอยู่ริมชายป่าข้างหมู่บ้าน ซึ่งพอเห็นพระมาหลวงปู่ก็เข้าไปกราบนมัสการด้วยความสงสัยใคร่รู้ตามประสาเด็ก ซึ่งพระธุดงค์รูปนั้น ก็กรุณากับท่านมากโดยได้เล่าถึงเรื่องราวการจาริกไปในสถานที่ต่างของพระธุดงค์ ซึ่งต้องผ่านป่า ผ่านภูเขาและหมู่บ้านแล้วหมู่บ้านเล่า เป็นเรื่องราวที่สนุกจับใจหลวงปู่ยิ่งนักด้วยเหตุนี้จึงทำให้หลวงปู่ลือซึ่งอยากจะผจญภัยเหมือนกับพระธุดงค์รูปนั้น เฝ้ารบเร้าบิดา มารดาแทบทุกวันว่าเมื่อไหร่จะให้ท่านได้บวชเณรเสียที เพราะถึงตอนนี้ ท่านคิดอยู่แต่อย่างเดียวว่า ถ้าหากบวชเณร บวชพระเมื่อไหร่ก็จะศึกษาวิชาความรู้ทั้งหลายให้มากเข้าไว้ เพื่อที่จะได้ธุดงค์เดี่ยวด้นดั้นเหมือนกระธุดงค์รูปนั้น ในที่สุด เมื่อพ่อแม่ทนรบเร้าไม่ไหว ก็เลยตัดสินใจบวชเณรให้ลูกชายคนนี้ หากแต่ว่าตอนท่านบวชครั้งแรกนั้นยังเยาว์วัยยิ่งนัก ดังนั้นเมื่อบวชไปได้ไม่เท่าไหร่ จิตใจก็คิดถึงเพื่อนฝูงที่บ้าน แอบหนีออกมาเล่นกับเพื่อนจนกระทั่งต้องสึกออกมาจากการที่ได้คุยกับหลวงปู่เมื่อท่านยังมีชีวิตอยู่นั้น ท่านเล่าว่า กว่าชีวิตในผ้าเหลืองจะเข้าที่ท่านต้องบวชอยู่สามครั้งด้วยกัน เพราะหลังจากที่สึกในครั้งแรกนั้น ไม่นานก็บวชใหม่ แล้วก็สึกออกมาอีกครั้ง เพราะยังตัดใจลาจากเพื่อนฝูงไม่ได้จึงกลับมาบ้านอีกทีเมื่อถึงคราวนี้มารดาบอกว่า สมัยที่ยังป่วยอยู่นั้นท่านบนบานเอาไว้ถึงสามครั้งด้วยกัน เพราะฉะนั้น จึงจำเป็นต้องบวชอีกหนซึ่งในคราวนี้ พระอาจารย์สอน น้องชายของบิดาเป็นคนพาท่านไปบวชที่วัดศรีเมือง บ้านนาโป่ง ตำบลดอนตาล อำเภอมุกดาหาร ในขณะนั้นซึ่งยังไม่เป็นจังหวัดอย่างเช่นปัจจุบันนี้ ตอนนั้นบิดาของหลวงปู่เองก็อยากจะบวชด้วยเหมือนกัน หากแต่มารดาไม่ยอม หลวงปู่จึงจำต้องบวชเรียนอยู่ที่วัดศรีเมือง พักหนึ่งแล้วจึงกลับมาอยู่ที่วัดป่าชาติ แต่ว่าตอนนั้นยังไม่มีการสอนหนังสือที่วัดแห่งนี้ ท่านจึงจำต้องเดินทางไปเรียนอักษรขอม และบาลีไวยากรณ์กับพระอาจารย์อุ่น วัดบ้านโพนสว่าง ซึ่งอยู่ห่างออกไปราว 5 กิโลเมตร ซึ่งหลวงปู่จะต้องเดินเท้าไปเรียนทุกวัน หลังจากที่จำพรรษาอยู่วัดป่าชาติได้หนึ่งปี พระอาจารย์แก้วซึ่งมีศักดิ์เป็นหลานจึงได้มารับไปอยู่ที่วัดบ้านโพน ตำบลบ้านเหล่า อำเภอมุกดาหาร (ในขณะนั้น ) เพื่อที่จะให้เรียนวิชามูลกัจจายน์กับหลวงพ่อขาว หลังจากที่อยู่วัดบ้านโพนได้สองปี จึงย้ายไปเรียนกับอาจารย์เถาที่วัดบ้านแวง จากนั้นจึงย้ายหาที่ศึกษาบาลีไปเรื่อยๆ จนกระทั่งท่านอาจารย์แก้วซึ่งเป็นญาติได้พาไปอุปสมบทที่วัดศิลามงคลในเมืองมุกดาหาร ซึ่งหลังจากที่ได้บวชเป็นพระแล้วนั้น ท่านจึงได้เริ่มที่จะออกธุดงค์ไปตามสถานที่ต่างๆ เพื่อหาประสบการณ์ ในช่วงแรกของการธุดงค์นั้น หลวงปู่ลือเดินทางไปจำพรรษาอยู่ที่แขวงสุวรรณเขต ประเทศลาวอยู่พักใหญ่เพื่อที่จะหัดขานนาคเพื่อเปลี่ยนยัตติเป็นพระฝ่ายธรรมยุต ดังนั้นเมื่ออกพรรษาแล้วท่านจึงได้ข้ามมายังฝั่งไทย และได้บวชเป็นพระธรรมยุตที่วัดหัวเวียงอำเภอธาตุพนม หลังจากที่เปลี่ยนมาเป็นพระธรรมยุต ท่านจึงออกเดินธุดงค์อีกครั้งหนึ่ง ซึ่งถือว่าเป็นเดินธุดงค์ที่ยาวนานมากในช่วงหนึ่งของชีวิตที่ท่านได้เข้าไปอยุ่ในป่า ก่อนที่จะเดินทางมายังบ้านน้ำก่ำ เพราะทราบข่าวว่า หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ได้เดินธุดงค์มาอยู่ที่วัดเกาะแก้ว ซึ่งอยู่ใกล้ๆกัน ซึ่งในครั้งนั้นหลวงปู่มั่น ท่านเดินทางธุดงค์มาจากสกลนคร ตอนนั้นหลวงปู่เล่าว่า หลวงปู่มั่นท่านอายุได้ 70 กว่าแล้ว หากแต่ยังดูแข็งแรง กระฉับกระเฉงเหมือนคนหนุ่มทั่วไป ในขณะที่หลวงปู่ลือเองนั้น เพิ่งจะมีอายุสามสิบกว่าปี จึงมีความคิดว่า อยากจะศึกษาวิปัสสนากับท่าน ดังนั้น จึงฝากตัวเป็นศิษย์หลวงปู่มั่นและเริ่มออกธุดงค์กับท่านนับจากวันนั้นเป็นต้นมา หลังจากที่ติดตามหลวงปู่มั่นอยุ่นานพอสมควรเพื่อฝึกปฏิบัติธรรมกับท่านนั้น หลวงปู่จึงหันมาพิจารณาว่า ท่านอยากจะแสวงหาสิ่งใหม่เข้ามาช่วยเสริมสร้างประสบการณ์ในด้านวิปัสสนา ดังนั้นในเวลาต่อมาจึงได้กราบลาหลวงปู่มั่น เดินทางเข้าสู่ภูพาน ซึ่งในยามนั้นเป็นป่าปิดที่อันตราย หากแต่ด้วยใจที่ยึดมั่นมาตั้งแต่เด็กแล้วนั้นถึงการผจญภัยไปในป่าใหญ่ เหมือนอย่างที่พระธุดงค์เคยเล่าเอาไว้เมื่อสมัยเด็กๆ จึงทำให้หลวงปู่ไม่รู้สึกกลัวอะไร ซึ่งท่านได้เล่าถึงการเดินธุดงค์ในป่าภูพานครั้งนั้นเอาไว้ว่า ไม่ได้เจอผีร้ายหรือว่าอะไรเหมือนอย่างที่ผู้คนเขากลัวกัน จะเจอบ้างก็แต่พวกรุกขเทวาหรือว่าพวกที่บำเพ็ญเพียร เพื่อบรรลุไปสู่โลกหน้า ซึ่งในความจริงแล้วนั้นหลวงปู่เปิดเผยในเวลาต่อมาว่า สาเหตุที่ท่านเดินทางไปยังเทือกเขาภูพานนั้น เนื่องจากท่านทราบว่าได้มีพระภิกษุชรารูปหนึ่ง ซึ่งผู้คนเชื่อกันว่าท่านเป็นพระอรหันต์ มาจำพรรษาอยู่ที่ภูพาน เขาเล่ากันว่าพระภิกษุรูปนี้ไปไหนมาไหนไม่ค่อยมีใครได้พบเห็นเท่าไหร่ เขาลือกันว่าท่านสามารถเหาะเหินเดินอากาศได้ ท่านจึงพยายามที่จะเดินธุดงค์ไปค้นหาพระภิกษุรูปนี้ ซึ่งเรารู้จักกันดีในเวลาต่อมาว่าคือ “หลวงปู่เทพโลกอุดร” นั่นเอง น่าเสียดายที่ความหวังของหลวงปู่ไม่สามารถบรรลุผลได้ ดังนั้นท่านจึงได้เดินทางกลับมายังบ้านไร่ ซึ่งในช่วงนั้นเองที่ชาวบ้านได้นำท่านไปยังวัดร้างแห่งหนึ่งซึ่งตั้งอยู่บนภูน้อยและพวกชาวบ้านป่าไปพบเข้าจึงอยากจะบูรณะขึ้นมาหลวงปู่ตัดสินใจปักกลดอยู่ที่นั่นเพื่อที่จะศึกษาสถานที่ ซึ่งในครั้งนี้เองที่ทำให้สมาธิของท่านได้นิ่งนานและลึกไหลเข้าไปสู่ญาณสมาบัติครั้งอดีตกาลที่ผ่านมา และพบว่าครั้งหนึ่งนั้นท่านเคยบำเพ็ญเพียรเป็นฤาษีชีไพรอยู่ในป่าภูน้อยแห่ง และได้มานั่งภาวนาอยู่ที่สถานที่แห่งนี้จนกระทั่งสิ้นอายุขัย หลวงปู่บอกว่า คนเรานั้นเชื่อกันว่า ถ้าหากสิ้นอายุขัยที่ไหน ถ้าจะกลับมาเกิดใหม่ ชีวิตก็จะวนเวียนว่ายจุติอยู่ในสถานที่สังขารตนเองแตกดับนั่นแหละ ดังนั้นท่านจึงเชื่อว่าสาเหตุที่ท่านเกิดเป็นลูกหลานของชาวบ้านป่าไร่ ก็เพราะในอดีตชาติท่านได้ตายอยู่ในป่าแห่งนี้นั่นเอง กล่าวกันว่า หลวงปู่ลือนั้น ท่านเป็นพระที่มีวาจาสิทธิ์ พูดสิ่งใด ก็มักจะเป็นไปเช่นนั้นอยู่เสมอไม่เคยผิดเพี้ยนไป จนทำให้ชาวบ้านในจังหวัดมุกดาหารขนานนามท่านเสียใหม่ว่า “ พระลือโลก ผีย่าน” เพราะประสบการณ์ที่ผ่านมาของท่านนั้นหลายครั้งด้วยกันที่ได้แสดงอิทธิปาฏิหาริย์ให้ประจักษ์แก่สายตา ไม่ว่าจะเป็นในหมู่พระภิกษุสงฆ์ที่ออกเดินธุดงค์ด้วยกัน หรือแม้แต่ชาวบ้านปาฏิหาริย์อีกอย่างหนึ่งของหลวงพ่อลือ ก็คือการที่มีคนเล่ากันว่า ท่านยังหยั่งรู้ อนาคตังสญาณ คือหยั่งรู้เรื่องราวในอนาคตได้ล่วงหน้า ดังเหตุการณ์เครื่องบินโดยสารตก ในเขต อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี เมื่อวันที่ 27 เม.ย.2523 ทำให้ผู้โดยสารตายเกือบหมดทั้งลำ (เหลือบาดเจ็บสาหัสและยังมีชีวิตอยู่ถึงปัจจุบัน 2 –3 คน ตามที่ปรากฏเป็นข่าว) ในเครื่องบินดังกล่าวพระกัมมัฏฐานสายหลวงปู่มั่น ได้ร่วมเดินทางไปด้วย 5 องค์ และได้มรณภาพทั้งหมด คือ พระอาจารย์จวน กุลเชฏโฐ พระอาจารย์วัน อุตตโม พระอาจารย์สิงห์ทอง ธัมมวโร พระอาจารย์บุญมา ฐิตเปโม และพระอาจารย์สุพัฒน์ สุขกาโม พระอาจารย์ทั้ง 5 องค์ดังกล่าวได้รับนิมนต์ไปร่วมพิธีสำคัญที่วัดมหาธาตุ บางเขน กรุงเทพฯ และเจ้าภาพได้มีการนิมนต์หลวงปู่ลือ ไปร่วมพิธีดังกล่าวด้วยโดยนำตั๋วเครื่องบินไป-กลับ ในเที่ยวดังกล่าวมาถวายหลวงปู่ถึงวัดป่านาทามวนาวาส แต่หลวงปู่ลือไม่รับนิมนต์ เนื่องจากได้นิมิตเห็นไฟไหม้หางของเครื่องบินลำดังกล่าวขณะบินอยู่บนท้องฟ้าก่อนจะถึงวันเดินทาง 2-3 วัน หลวงปู่เล่าว่าพระอาจารย์ทั้ง 5 องค์ที่มรณภาพครั้งนี้ทุกท่านมีญาณหยั่งรู้ว่าเครื่องบินจะตกและจะดับขัณฑ์ในครั้งนี้แต่ทุกท่านได้ยินยอมให้เป็นไปตามวิบากกรรม ส่วนหลวงปู่ลือ ท่านยังมีภารกิจที่ต้องโปรดสัตว์ และสืบสานพระศาสนายังไม่สำเร็จตามที่ท่านได้ปวารณาเอาไว้ นอกจากนี้ยังได้รับการเปิดเผยจากพระลูกศิษย์ที่เคยออกร่วมธุดงค์กับหลวงปู่ว่าในการออกธุดงค์จากที่หนึ่งไปยังที่หนึ่งซึ่งมีระยะทางไกล หลวงปู่สามารถย่นระยะทางได้ และไปถึงที่หมายก่อนคนอื่นหลายครั้ง หลวงปู่ลือเคยสร้างวัตถุมงคลของท่านจำนวนไม่มากนัก เพื่อแจกให้ลูกศิษย์นำไปสักการะบูชา เพื่อเป็นสิริมงคล ต่อมาผู้ที่นำวัตถุมงคลของหลวงปู่ติดตัวจำนวนมากได้ประสบการณ์อภินิหารของวัตถุมงคลหลวงปู่หลายครั้ง โดยเฉพาะด้านแคล้วคลาด มหาอุด คงกระพัน และโชคลาภ จึงมีการกล่าวขานกันมาปากต่อปาก ทำให้วัตถุมงคลหลวงปู่เป็นที่ต้องการและเสาะหาของผู้ที่ได้ทราบข่าวตลอดมาแต่ก็หายาก เนื่องจากผู้ที่มีไว้ไม่ยอมปล่อยต้องการเก็บไว้เป็นมรดกให้ลูกหลานของตน วงการเซียนพระเครื่องจึงได้กล่าวขานกันว่า “มีหลวงปู่ลือ ไม่มีตายโหง และไม่มีจน” หนังสือพิมพ์ ฉบับหนึ่งได้รายงานข่าวว่า “รูปเหมือนลอยองค์ขนาดเล็กของหลวงปู่ลือ ยิงไม่ออก” ยิ่งทำให้วัตถุมงคลหลวงปู่เป็นที่เสาะหา และต้องการของบุคคลทั่วไปมากยิ่งขึ้น มีลูกศิษย์ของหลวงปู่ ซึ่งเป็นผู้ช่วยพยาบาลมุกดาหาร เล่าถวายหลวงปู่ต่อหน้าญาติโยมหลายท่าน ขณะหลวงปู่อาพาธที่โรงพยาบาลมุกดาหารว่าแต่ก่อนผู้เล่าแขวนพระเครื่องอื่นๆ มานอนรอเพื่อเข้าเวรดึกที่ห้องพักเจ้าหน้าที่เวร มักจะถูกผีอำบ่อยๆ แต่เมื่อได้แขวนเหรียญรุ่นสร้างโบสถ์ของหลวงปู่ลือประจำ ไม่เคยถูกผีอำอีกเลย นอกจากนั้นยังมีประสบการณ์ปาฏิหาริย์จากวัตถุมงคลของหลวงปู่ลืออีกมากมาย... กล่าวกันว่า เมื่อสมัยที่ยังมีชีวิตอยู่นั้น ทุกสถานที่ซึ่งหลวงปู่ลือได้เหยียบย่างไป ตรงไหนที่เล่าลือกันว่า เจ้าที่แรง ผีดุ แต่เมื่อท่านได้มาปักกลดลงยังที่ตรงนั้น สถานที่แห่งนั้นก็จะร่มเย็นเป็นสุข ซึ่งด้วยเหตุนี้เองจึงทำให้ท่านกลายเป็นที่นับถือบูชาของชาวจังหวัดมุกดาหารเรื่อยมาจวบจนถึงวันสุดท้ายก่อนที่ศิษย์หลวงปู่มั่นท่านนี้จะจากไป พร้อมกับความอาลัยของชาวมุกดาหารทุกคน




    .............................................................................

    เมื่อสิ้นหลวงปู่หล้าแล้ว ก็มีแต่หลวงปู่ลือนี่แหละครับ ท่านมีวิชาสร้างปรอทได้ด้วย เอาไว้รักษาโรค โดยเฉพาะไข้ป่า
    คุณธรรมไม่ต้องพูดถึง เมื่อละสังขารแล้ว อัฐิแปรสภาพเป็นพระธาตุ แต่หายากมาก เลยไม่ค่อยมีใครเอามาโชว์เท่าไหร่ครับ

    เหรียญรุ่นนี้ราคาสูงพอสมควร เพราะท่านทำเหรียญแค่ 2 รุ่น พระกริ่งรุ่นเดียวครับ
    ให้บูชาเพียง 550 บาท
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  3. j999

    j999 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    4,981
    ค่าพลัง:
    +5,390
    เมื่อสิ้นหลวงปู่หล้าแล้ว ก็มีแต่หลวงปู่ลือนี่แหละครับ ท่านมีวิชาสร้างปรอทได้ด้วย เอาไว้รักษาโรค โดยเฉพาะไข้ป่า
    คุณธรรมไม่ต้องพูดถึง เมื่อละสังขารแล้ว อัฐิแปรสภาพเป็นพระธาตุ แต่หายากมาก เลยไม่ค่อยมีใครเอามาโชว์เท่าไหร่ครับ

    เหรียญรุ่นนี้ราคาสูงพอสมควร เพราะท่านทำเหรียญแค่ 2 รุ่น พระกริ่งรุ่นเดียวครับ
    ให้บูชาเพียง 550 บาท<!-- google_ad_section_end -->
    <FIELDSET class=fieldset><LEGEND>รูปขนาดเล็ก</LEGEND>[​IMG] [​IMG]
    </FIELDSET>
    ขอจองครับ
     
  4. dekdelta2

    dekdelta2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    5,702
    ค่าพลัง:
    +6,948
    แจกครับ

    เชือกคาดเอว + ลูกสะกด หลวงพ่อมาลัย วัดบางหญ้าแพรก
    ความยาว 30 นิ้ว

    ท่านเป็นศิษย์สายหลวงพ่อแก้ว วัดพวงมาลัยครับ

    ผู้ที่เข้าชมมีสิทธิ์รับได้เลยครับ
     
  5. อัสดงส์

    อัสดงส์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,319
    ค่าพลัง:
    +3,697
    ขอรับของแจกครับ
     
  6. น้ำดี1

    น้ำดี1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    13,402
    ค่าพลัง:
    +43,432
    [​IMG] [​IMG]
    จองค่ะ
     
  7. dekdelta2

    dekdelta2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    5,702
    ค่าพลัง:
    +6,948
    รับทราบการจองของทุกท่านครับ
     
  8. karatekung

    karatekung เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2008
    โพสต์:
    1,624
    ค่าพลัง:
    +2,195
    มาไม่ทันของแจก ฮ่าๆๆๆๆ
     
  9. น้ำดี1

    น้ำดี1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    13,402
    ค่าพลัง:
    +43,432
    [​IMG] [​IMG]
    จองอีกรายการค่ะ รวมยอดทั้งสิ้น 5650 บาทนะค่ะ พรุ่งนี้จะโอนให้ค่ะ โอนเสร็จจะสแกนหลักฐานการโอนมาให้ดูค่ะ

    ที่อยู่จัดส่ง
    น.ส.อุษาวดี ติยะบุตร
    128/4 หมู่ 1 ต.คอนสาร อ.คอนสาร จ.ชัยภูมิ 36180
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 พฤษภาคม 2010
  10. รักเลย

    รักเลย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    319
    ค่าพลัง:
    +2,924
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 5 พฤษภาคม 2010
  11. dekdelta2

    dekdelta2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    5,702
    ค่าพลัง:
    +6,948

    ขอบพระคุณครับ จัดส่งEMS วันศุกร์นะครับ จะแจ้งเลขทางPMครับ
     
  12. น้ำดี1

    น้ำดี1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    13,402
    ค่าพลัง:
    +43,432
    หลักฐานการโอนเงินจำนวน 5650 บาทค่ะ ตามไฟล์แนบ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • IMG.jpg
      IMG.jpg
      ขนาดไฟล์:
      197.2 KB
      เปิดดู:
      96
  13. j999

    j999 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    4,981
    ค่าพลัง:
    +5,390
    ได้โอนเงิน๑๘๐๐ บาทเมื่อ๖พค.เวลา๑๑.๒๑ น. เป็นค่าพระ ๕ รายการที่อยู่ดูในpmครับ
     
  14. dekdelta2

    dekdelta2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    5,702
    ค่าพลัง:
    +6,948
    รายการที่ 393 สมเด็จหูบายศรี หลวงปู่ทอง วัดราชโยธา

    พระสมเด็จหลวงปู่ทองสร้างระหว่างประมาณช่วงปี 2450-2490
    ท่านเป็นสหธรรมิกกับ หลวงปู่เอี่ยม วัดหนัง หลวงปู่บุญ วัดกลางบางแก้ว หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า หลวงพ่อกลั่น วัดพระญาติ ฯลฯ

    ส่วนศิษยานุศิษย์ ได้แก่ หลวงพ่อจาด หลวงพ่อจง หลวงพ่อคง หลวงพ่ออี๋ โดยมีหลวงปู่เผือก วัดกิ่งแก้ว เป็นศิษย์เอก ท่านเป็นผู้มอบมวลสารของสมเด็จโต ซึ่งเป็นศิษย์รุ่นพี่ของท่าน ให้หลวงปู่เผือกสร้างพระผงขุดสระ พร้อมยังปลุกเสกให้อีกหลายๆรุ่น

    พระระดับนี้ แต่ราคายังเบาๆ น่าเก็บมาก

    ให้บูชาเพียง 1280 บาท
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  15. dekdelta2

    dekdelta2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    5,702
    ค่าพลัง:
    +6,948
    รายการที่ 394 พระผงคู้สลอด พิมพ์เม่นมังกร

    พระผงคู้สลอด พิมพ์เม่นมังกร แบบไม่ลงกรุ
    สร้างโดยพระอธิการพงศ์ โดยอาราธนาให้หลวงพ่อปาน วัดบางนมโค เป็นผู้ปลุกเสกพระในพิมพ์สัตว์ต่างๆ
    นอกจากนี้หลวงพ่อปานยังได้อธิษฐานพระในกรุดงตาล และเข้าร่วมพุทธาภิเษกอีกประมาณ 6 พิธี ที่มีบันทึกไว้

    พุทธคุณทางด้านการทำน้ำมนต์รักษาโรค และมหานิยม

    ให้บูชา 2490 บาท ครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  16. dekdelta2

    dekdelta2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    5,702
    ค่าพลัง:
    +6,948
    วันนี้มีเท่านี้ครับ
     
  17. goldenpond

    goldenpond เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    92
    ค่าพลัง:
    +313
    คุณdekdelta2
    -ขอจองรายการที่ 393 หลวงปู่ทองวัดราชโยธา ครับ
    goldenpond
     
  18. Na_mo_

    Na_mo_ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2007
    โพสต์:
    2,025
    ค่าพลัง:
    +4,750
    รายการที่ 394 พระผงคู้สลอด พิมพ์เม่นมังกร

    จองรายการนี้ครับ
     
  19. BoseBoseBose

    BoseBoseBose เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    355
    ค่าพลัง:
    +1,776
    ผมอยากได้ตะกรุดหลวงตาวาส แบบเป็นตะกรุดเปลือยธรรมดาอะครับไม่พอกคลั่ง ไม่รู้ตอนนีที่วัดมีไหม
     
  20. dekdelta2

    dekdelta2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    5,702
    ค่าพลัง:
    +6,948

    ปกติ ตะกรุดของหลวงตาวาสไม่ได้พอกครั่งนะครับ แต่พอกผงแล้วถักเชือกลงรัก แนะนำให้เอาแบบลงรักจะดีว่า เพราะเป็นเอกลักษณ์และรักษาเนื้อโลหะ และผงนี้ตกทอดมาจากอาจารย์แปลก ร้อยบาง ที่มีหัวเชื้อจากหลวงปู่เอี่ยม ปฐมาจารย์ด้วยครับ อีกแบบเป็นตะกรุดหนังเสือ ทำบุญ 1000 บาท เท่ากัน แบบพิเศษดอกละ 3000 ครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...