ชาวอุตรดิตถ์ตื่น"น้ำทิพย์" เชื่อดื่มแล้วหายปวดเมื่อย หูตาแจ่มใส

ในห้อง 'ข่าวทั่วไป' ตั้งกระทู้โดย ษิตา, 9 มิถุนายน 2010.

  1. ษิตา

    ษิตา ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    10,209
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,230
    ค่าพลัง:
    +34,711
    ชาวอุตรดิตถ์ตื่น"น้ำทิพย์" เชื่อดื่มแล้วหายปวดเมื่อย หูตาแจ่มใส


    [​IMG]



    <STYLE> P { margin: 0px; } </STYLE>
    เมื่อวันที่ 7 มิถุนายน ชาว ต.ป่าเซ่า อ.เมือง จ.อุตรดิตถ์ พากันแตกตื่น และเดินทางไปยังวัดทุ่งเศรษฐี หมู่ 7 ต.ป่าเซ่า เพื่อขอบูชาน้ำทิพย์ ซึ่งมีลักษณะเป็นสีทอง ส่วนรสชาติเหมือนน้ำปกติทั่วไปที่ใช้อุปโภคบริโภคในครัวเรือน เป็นน้ำที่ถูกค้นพบโดยบังเอิญหลังจากเมื่อวันที่ 2 มิถุนายนที่ผ่านมา มีการค้นพบวัตถุโบราณเครื่องใช้ประเภทภาชนะเครื่องปั้นดินเผา อาทิ หม้อดิน ขนาดใหญ่และเล็ก ฝาปิดหม้อดินเผาหลากหลายขนาด เตาเชิงกราน อาวุธปืนโบราณ และเครื่องสัมฤทธิ์ อายุตั้งแต่ 200-400 ปีขึ้นไป อยู่ในยุคสมัยกรุงศรีอยุธยาต่อเนื่องถึงสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ โดยการค้นพบครั้งนี้ถูกค้นพบบริเวณ บึงบึงกะโล่ ต.ป่าเซ่า ชาวบ้านจึงร่วมกันนำเก็บมาไว้ที่วัดทุ่งเศรษฐี



    [​IMG]



    นางอารี คุมยอง อายุ 50 ปี อยู่บ้านเลขที่ 135 บ้านหนองกลาย หมู่ 5 ต.ป่าเซ่า กล่าวว่า ไปบูชาน้ำทิพย์จากวัดทุ่งเศรษฐี 1 แก้ว ราคาแก้วละ 20 บาท เพื่อนำมาดื่ม หลังจากมีราษฎรรายหนึ่งในหมู่บ้านทุ่งเศรษฐีนำมาดื่มแล้วหายจากอาการปวดเมื่อยร่างกาย หูตาแจ่มใส ซึ่งหลังจากตนนำมาดื่มแล้ว ก็รู้สึกดีขึ้น ร่างกายสดชื่นหูตาแจ่มใสขึ้นมา หลังจากก่อนหน้านี้รู้สึกปวดเมื่อยร่างกายเพราะจัดงานศพให้กับป้า

    “หลังจากข่าวนี้มีการพูดกันปากต่อปาก มีชาว จ.สตูล พากันเดินทางโดยรถบัสมายังวัดทุ่งเศรษฐีเพื่อขอบูชาน้ำทิพย์ และทุกวันจะมีราษฎรจากจังหวัดอุตรดิตถ์และใกล้เคียงต่างพากันเดินทางมาดูวัตถุโบราณและน้ำทิพย์อย่างเนืองแน่น แต่สิ่งหนึ่งที่เกรงว่าจะเกิดขึ้นหลังจากนี้ไปแล้วคือ จะมีกลุ่มคนที่ฉวยโอกาสนำน้ำจากแหล่งอื่นนำมาให้ชาวบ้านที่เชื่อเรื่องนี้ออกจำหน่ายหาประโยชน์” นางอารี กล่าว


    ---------------
    [​IMG]
    http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1275908958&grpid=&catid=19
     
  2. kosondesign

    kosondesign Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    26
    ค่าพลัง:
    +66
    ขอให้มีสติกับการกระทำทุกๆอย่างครับ
     
  3. เด็กยุคใหม่

    เด็กยุคใหม่ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    77
    ค่าพลัง:
    +334
    รอดูต่อไป..
     
  4. มาพบพระ

    มาพบพระ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    643
    ค่าพลัง:
    +1,973
    โยนิโสมนสิการ ครับ ใคร่คราญก่อนจึงพูด ทำ
     
  5. หมูใจดี

    หมูใจดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    42
    ค่าพลัง:
    +448
    เรื่องมีอยู่ว่า...

    เมื่อวันที่ 4 มกราคม 2550 ชาวบ้าน อำเภอเด่นชัย จังหวัดแพร่ และหมู่บ้านใกล้เคียงนับพันคน แห่มาดูสิ่งประหลาดในรั้วของบ้านหลังหนึ่งที่มีน้ำผุดขึ้นจากดินไหลนองไปทั่วบริเวณ โดยชาวบ้านเชื่อว่าเป็นน้ำศักดิ์สิทธิ์ที่เกิดจาก สิ่งศักดิ์สิทธิ์ประทานมาให้กับประชาชนที่ยากจนได้ใช้น้ำดังกล่าวไปรักษาโรค ภัยไข้เจ็บ และเป็นสิริมงคล เจ้าของพื้นที่ที่น้ำผุดขึ้นมา กล่าวว่า เห็นสนามหน้าบ้านผิดสังเกตตั้งแต่ในช่วงเช้า เมื่อตรวจสอบพบว่ามีน้ำซึมออกมาจากดิน เมื่อลองเอานิ้วเขี่ยดู น้ำยิ่งออกมากขึ้น จึงได้บอกให้ชาวบ้านมาดู ซึ่งคืนก่อนเกิดเหตุ ตนได้ฝันเห็นยายซึ่งเสียชีวิตไปแล้วมาเข้าฝัน บอกว่าไม่สบายอยากได้ยาพาราเซตามอล เมื่อตนเดินไปหยิบยามาให้ ยายก็หายไปแล้ว ยายอาจมาเข้าฝันบอกเรื่องยารักษาโรคในขณะตอนเช้าน้ำก็ผุดขึ้นมา ทำให้นึกถึงฝันดังกล่าวและเชื่อว่าเป็นยารักษาโรค จึงได้เอาธูปเทียนดอกไม้มาบูชา และขอน้ำไปเก็บไว้เพราะเชื่อว่ารักษาโรคได้ ชาวบ้านบางคนกล่าวว่า เข้าคิวรอตักน้ำตั้งแต่ทราบข่าวในตอนเช้ากว่าจะได้ตักน้ำก็เกือบเที่ยง โดยนำธูปเทียน-เงินถวายจำนวน 20 บาท วางใส่ในถาดดอกไม้ คงเป็นบุญของชาวบ้านที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์เห็นใจชาวบ้านที่อยู่ในสภาวะข้าวยาก หมากแพง จึงประทานน้ำศักดิ์สิทธิ์มาให้รักษาโรคคนยากคนจน โดยชาวบ้านต่างรุมล้อมเพื่อขอตักน้ำศักดิ์สิทธิ์ไปบ้าน ในขณะที่น้ำใต้ดินก็ผุดขึ้นมาตลอดเวลา ชาวบ้านที่นั่งรอน้ำผุดขึ้นมามีทั้งน้ำและฟองอากาศ เมื่อชาวบ้านร้องขอให้แสดงปาฏิหาริย์ให้ผุดฟองอากาศ บ่อน้ำขนาดเล็กก็สำแดงให้เห็นทันที

    [​IMG]

    เมื่อเจ้าหน้าที่สาธารณสุขจากโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช ได้เดินทางมาที่เกิดเหตุ เพื่อเก็บตัวอย่างน้ำ ในขณะที่จะเข้าไปตักน้ำ ปรากฏว่าน้ำที่ไหลออกมาอย่างรุนแรงหยุดทันทีและยุบตัวจนพื้นดินแห้ง ซึ่งหลังจากนั้นประมาณ 20 นาที น้ำก็ผุดขึ้นมาอีก ทำให้ชาวบ้านเชื่อว่าแพทย์ที่ไปเก็บตัวอย่างน้ำสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่พอใจ เมื่อไหลออกมาอีก นายสุรินทร์ นิภาโยธิน กำนันตำบลแม่จั๊วะ ได้นำลูกบ้านขุดหาที่มาของน้ำศักดิ์สิทธิ์ดังกล่าว ก็พบท่อเก่าเป็นท่อพีวีซีขนาด 6 หุน ซึ่งมีน้ำไหลออกมา เมื่อขุดตรวจสอบไปอีก จึงพบว่าเป็นท่อจากส้วมเก่าบ้านติดกันห่างจากจุดเกิดเหตุเพียง 4 เมตรเท่านั้น ซึ่งกำลังมีการสร้างส้วม และกำลังทำการเปลี่ยนปั๊มน้ำเพื่อสูบน้ำเข้าไปในส้วม เมื่อชาวบ้านทราบว่าน้ำดังกล่าวมาจากท่อในส้วมเก่า หลายคนที่ดื่มน้ำศักดิ์สิทธิ์เข้าไปแล้วถึงกับอาเจียนออกมาทันที

    [​IMG]



    credit to : Top 10 สิ่งของที่ไม่ควรกราบไหว้ในประเทศ
    บทความ Top10 สิ่งของที่ไม่ควรกราบไหว้ในประเทศ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 มิถุนายน 2010
  6. dangcarry

    dangcarry เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กันยายน 2005
    โพสต์:
    1,396
    ค่าพลัง:
    +4,307
    เหตุที่จะเกิดมงคลสูตรมีดังนี้คือ

    ณ ลานที่ประชุมของมหาชนชมพูทวีป ซึ่งเป็นที่มหาชนมาพบปะทำการค้า และเล่านิทาน หรือประชุม ได้มีบุคคลถามขึ้นในที่ประชุมนั้นว่าอะไรหนอเป็นมงคล ชายคนหนึ่งชื่อว่าทิฏฐมังคลิกะกล่าวว่า การเห็นรูปเช่น นกแอ่นลม มะตูมอ่อน หญิงมีครรภ์ หม้อน้ำเต็ม ปลาตะเพียนสด ม้าอาชาไนย โคอุสภะ เหล่านี้เป็นมงคล ชายอีกคนหนึ่งชื่อว่า สุตมังคลิกะกล่าวว่าการได้ยินการได้ฟังเสียงต่าง ๆ เช่น เสียงขับร้องพิณพาทย์ระนาดฆ้องอันไพเราะ หรือคำที่ดีเช่น สิริ เต็มแล้ว ฤกษ์ดี จึงเป็นมงคล แต่ชายอีกผู้หนึ่งชื่อว่า มุตมังคลิกะกล่าวว่าอารมณ์ที่รับทราบ กลิ่นหอม หรือสัมผัสลูบไล้ด้วยดินสอพอง หรือลิ้มรสอันดี จึงเป็นมงคล

    ชาย ทั้ง ๓ คน ก็เถียงกันไม่ตกลงกัน มหาชนที่ฟังบ้างก็เห็นด้วยกับทิฏฐมังคลิกะ บ้างก็เห็นด้วยกับสุตมังคลิกะ บ้างก็เห็นด้วยกับมุตมังคลิกะ ต่างก็ถกเถียงกันไม่ตกลง เทพยาดาก้พากันสงสัยด้วยเช่นกันว่าอะไรเป็นมงคล

    ข้อ สงสัยนี้เป็นอยู่ถึง ๑๒ ปี จนเมื่อพระพุทธองค์ตรัสรู้ในโลกมนุษย์แล้ว เหล่าเทวดาทั้งหลายจึงไปเฝ้าพระพุทะองค์และขอให้ตัดสินว่าอะไรเป็นมงคล พระพุทธองค์จึงตรัสมงคลสูตรขึ้น โดยทรงแสดงถึงมงคลชีวิต ๓๘ ประการ


    มงคลที่ ๑-๒
    การไม่คบคนพาล-การคบบัณฑิตเป็นมงคลอันอุดม

    เรื่อง ลูกนกแขกเต้า

    มี นกแขกเต้าสองตัวพี่น้องถูกลมพายุพัดออกจากรัง ลูกนกหนึ่งตัวลอยตกไปอยู่ในหมู่โจร โจรเลี้ยงไว้ให้ชื่อว่าสัตติคุมพะ เพราะตกอยู่ในกองอาวุธ ลูกนกอีกตัวตกไปอยู่ในหมู่ฤษี ฤษีก็สั่งสอนในทางนักปราชญ์

    วัน หนึ่งพระราชาผู้ครองเมืองอุตตรปัญจาละเสด็จออกประพาสป่า ทรงไล่เนื้อหลงเข้าไปในป่าลึกใกล้กับที่อยู่ของโจร พระราชาทรงพักใต้ร่มไม้และบรรทมหลับไป ขณะนั้นเหล่าโจรออกไปจากบ้านหมด นักสัตติคุมพะเห็นพระราชา จึงพูดกับคนครัวว่า "มีบุรุษมีเครื่องประดับมานอนหลับอยู่ พวกเราฆ่าให้ตายแล้วเปลื้องเอาเครื่องประดับ จับสองเท้าลากไปทิ้งเสีย" พระราชาตื่นบรรทมได้ยินถ้อยคำของนกแขกเต้าเสด็จขึ้นรถทรงหนีออกไปจากที่นั่น หนีไปพบอาศรมฤษี วันนั้นพระดาบสทั้งหลายเข้าไปในป่าหาผลไม้ อยู่แต่นกแขกเต้า นกแขกเต้าก็มีวาจาปฏิสันถารต้อนรับว่า "ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นพระยาผู้ประเสริฐ พระองค์เสด็จมาครั้งนี้ดีหนักหนา เชิญพระองค์เสด็จสู่อาศรมประทับพักพระกายแล้วจึงค่อยเสด็จต่อไป"

    พระราชาได้ฟังก็มีพระทัยยินดี ทรงสรรเสริญนกแขกเต้าที่อยู่กับฤษี และติเตียนนกแขกเต้าที่อยู่กับโจร

    นก แขกเต้าก็ทูลว่านกแขกเต้าที่อยู่กับโจรนั้นเป็นพี่น้องท้องเดียวกัน แต่บังเอิญไปอยู่กับหมู่โจร จึงได้รับการสั่งสอนให้เป็นพาล ส่วนตนอยู่ในหมู่บัณฑิต ฤษีก็สั่งสอนในทางนักปราชญ์ พระราชาได้ฟังก็เลื่อมใส เมื่อฤาทั้งหลายกลับมาพระราชาจึงทรงอาราธนาฤาทั้งหลายไปอยู่ ณ อุทยานของพระองค์และทรงบำรุงฤษีทั้งหลายจนตลอดพระชนม์ชีพ และพระราชทานอภัยแก่นกแขกเต้าทั้งหลายมิให้คนทำร้าย


    เรื่องช้างมหิฬามุข


    ครั้งหนึ่งในกรุงพาราณสี พระเจ้าพรหมทัตต์เจ้าเมืองพาราณสีมีช้างมงคลชื่อมหิฬามุข เป็นช้างที่มีกิริยาดี ไม่เคยทำร้ายเบียดเบียนผู้ใด

    ต่อ มาคืนหนึ่งมีกลุ่มโจรมาประชุมหารือกันที่ใกล้โรงช้างของพระราชา โจรก็พูดกันด้วยวาจาอันเป็นพาลว่าให้ฆ่าประหารชีวิตเจ้าของบ้านชิงเอาทรัพย์ พบปะใครเดินทางมามีข้าวของแล้วก็ฆ่าตีให้ตายจะได้เอาของมาแจกกัน โจรมาปรึกษากันเช่นนี้ทุกคืนหลายคืน ช้างมหิฬามุขก็เข้าใจว่าโจรสั่งสอนตน จึงแสดงกิริยาดุร้ายหยาบคายฆ่าควาญช้างและผู้คนเดินทางไปมา พระราชาจึงให้อำมาตย์ไปหาสาเหตุว่าช้างที่เคยเรียบร้อยดีทำไมจึงโมโหร้าย อำมาตย์ไปสืบดูก็รู้ว่ามีกลุมโจรมาประชุมอยู่ข้างโรงช้างทุกคืนจึงเป็นเหตุ ให้ช้างดุร้าย อำมาตย์จึงนิมนต์สมณพราหมณ์ผู้มีศีลทั้งหลายไปสนทนาถึงการมีศีล การไม่เบียดเบียนทำร้าย ช้างมหิฬามุขก็สำนึกตนเป็นผู้มีศีล พระราชาก็ทรงพอพระทัยที่ช้างมงคลกลับใจเป็นผู้มีศีลดังเดิม


    เรื่อง ม้าปัณฑวะ


    ใน อดีตกาลมีพระเจ้าโสมราชครองเมืองกรุงพาราณสี พระเจ้าโสมราชมีม้ามงคลชื่อปัณฑวะ คนเลี้ยงม้าของพระองค์ชื่อนายคิริทัตเป็นคนขาเขยก ม้าเห็นคนเลี้ยงเดินขาเขยก ก็เดินขาเขยกตาม พระเจ้าโสมราชทรงเห็นม้าขาเขยก จึงส่งม้าไปให้แพทย์รักษา แพทย์ไม่พบโรคในตัวม้า พระเจ้าโสมราชจึงส่งอำมาตย์ไปหาสาเหตุ อำมาตย์ไปสังเกตุก็รู้ว่าม้าเดินตามคนเลี้ยง จึงกลับมาทูลให้พระเจ้าโสมราชเปลี่ยนคนเลี้ยงม้า ม้าก้กลับเดินเป็นปกติ


    เรื่อง มะม่วงพระเจ้าทธิวาหนะ


    ใน อดีตกาลพระเจ้ากรุงพาราณสีพระนามว่าพระเจ้าทธิวาหนะ วันหนึ่งขณะที่ทรงเล่นน้ำได้ทอดพระเนตรเห็นมะม่วงสุกจากป่าหิมพานต์ลอยน้ำมา เมื่อนำไปเสวยมีรสหอมหวาน จึงตรัสสั่งให้นายอุทยานนำเมล็ดไปปลูก รดน้ำด้วยน้ำนมดูแลอย่างดี เมื่อต้นมะม่วงโตขึ้นก็ออกผลมีรสดอชายิ่ง พระเจ้าทธิวาหนะก็ได้พระราชทานมะม่วงให้แก่เจ้าผู้ครองนครอื่น ๆ ด้วย แต่ก่อนที่จะพระราชทานไปก็ให้ทำลายเมล็ดมะม่วงเสียก่อนด้วยเหล็กแหลมเพื่อมิ ให้ปลูกขึ้นได้ในเมืองอื่น พระราชาผู้ครองนครต่าง ๆ เมื่อได้รับพระราชทานมะม่วงอันโอชาก็ต่างชอบพระทัย และนำเมล็ดไปปลูกแต่ก็ไม่ขึ้น

    พระ ราชาองค์หนึ่งมีความอิจฉาพระเจ้ากรุงพาราณสีที่มีต้นมะม่วงรสโอชาอยู่แต่ พระองค์เดียว จึงจ้างให้นายอุทยานที่มีฝีมือไปทำลายรสมะม่วงของพระเจ้ากรุงพราณสี นายอุทยานผู้นั้นได้ไปเข้ารับราชการกับพระเจ้ากรุงพาราณสี ทำต้นให้เป็นที่โปรดปรานจนได้รับหน้าที่ให้เป็นผู้ดูแลสวนมะม่วง นายอุทยานก็แอบปลูกบอระเพ็ดให้พันต้นมะม่วงตั้งแต่ต้นจนถึงยอด ครั้นรุ่งปีใหม่ต้นมะม่วงออกผลมาก็มีรสขม นายอุทยานก็หลบหนีไป พระเจ้ากรุงพาราณสีเสวยมะม่วงมีรสขมก็แปลกพระทัย ให้ปุโรหิตไปพิจารณา ปุโรหิตให้ตัดเถาบอระเพ็ดทั้งหมด มะม่วงก็กลับมีรสดีดังเดิม
    มงคลที่ ๓
    บูชาผู้ควรบูชา เป็นมงคลอันอุดม

    เรื่อง นายสุมนะมาลาการ


    ใน สมัยพุทธกาลมีนายมาลาการ (ช่างจัดดอกไม้) ชื่อนายสุมนะอยู่ที่เมืองราชคฤห์ นายสุมนะมีหน้าที่ร้อยดอกมะลิถวายพระเจ้าพิมพิสารทุกวัน วันละ ๘ ทะนาน โดยได้รับพระราชทานเงินวันละ ๘ กหาปนะ

    วัน หนึ่งนายสุมนะไปเก็บดอกมะลิได้แล้ว ก็กลับมาเตรียมจะไปถวายพระเจ้าพิมพิสารเหมือนทุกวัน แต่วันนั้นเขาได้ไปพบพระพุทธองค์ขณะเสด็จเข้ามาในพระนครพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ ทั้งหลาย นายสุมนะเกิดความปลื้มปิติมีจิตเลื่อมใสที่ได้พบพระบรมศาสดา จึงคิดบูชาพระพุทธองค์ด้วยดอกมะลิ และคิดอยู่ในใจว่า ถ้าพระเจ้าพิมพิสารจะกริ้วถึงประหารชีวิต ที่ไม่สามารถนำดอกไม้ไปถวายวันนี้ก็จะยอมสละชีวิต คิดแล้วก็จัดดอกไม้ทั้ง ๘ ทะนาน เป็น ๘ กำมือ ดอกไม้ ๒ กำมือแรกที่เขาโปรยไปกลายเป็นเพดานดอกไม้แผ่อยู่เบื่องบนพระศาสดา ๒ กำมือที่โปรยครั้งที่สองอยู่ที่พระปรัศว์เบื้องขวา ๒ กำที่โปรยไปครั้งที่สามอยู่ด้านพระปฤษฎางค์ ๒ กำที่โปรยไปครั้งที่สี่อยู่ด้านพระปรัศว์เบื้องซ้าย ดอกไม้จะลอยตามพระศาสดาดุจแผ่นเงินไม่หลุดร่วงลงมา ผู้คนเห็นเป็นอัศจรรย์ก็โห่ร้องกึกก้อง นายสุมนะก็รู้สึกปลื้มปิติ

    เมื่อ พระเจ้าพิมพิสารทรงทราบว่านายสุมนะไม่สามารถจัดดอกไม้ให้พระองค์ในวันนั้น และได้ถวายดอกไม้บูชาพระพุทธองค์ก็ทรงอนุโมทนาด้วย และพระราชทานทรัพย์สิ่งของให้แก่นายสุมนะเป็นจำนวนมาก

    มงคลที่ ๔
    การอยู่ในถิ่นที่สมควรเป็นมงคลอันอุดม

    เรื่อง พระโมคคัลลาน์และพระสารีบุตร


    ใน สมัยพุทธกาล ณ เมืองราชคฤห์มีสองสหายในตระกูลพราหมณ์ชื่อสารีบุตรและโมคคัลลาน์ ทั้งสองเบื่อหน่ายในกามคุณจึงไปเรียนที่สำนักของอาจารย์สญชัย แต่ก็ยังไม่รู้สึกว่าได้คำตอบที่ต้องการ ทั้งสองสหายจึงตกลงกันจะไปแสวงหาอาจารย์ ถ้าใครพบเห็นโมกขธรรมก่อนให้กลับมาบอก แล้วทั้งสองก็ลาอาจารย์สญชัยไป

    วัน หนึ่งสารีบุตรเดินไปพบพระอัสสชิเที่ยวบิณฑบาตอยู่มีอินทรีย์บริสุทธิ์ผ่องใส จึงขอเป็นศิษย์เพื่อศึกษาธรรมด้วย พระอัสสชิบอกแก่สารีบุตรว่า "เรายังเป็นภิกษุบวชใหม่ แต่ครูของเราคือพระสัมมาสัมพุทธเจ้า" สารีบุตรก็อาราธนาให้พระอัสสชิแสดงธรรมที่พระพุทธองค์สอน พระอัสสชิจึงกล่าวเป็นคาถาว่า "เย ธมฺมา เหตุปฺปราวา" แปลว่าธรรมทั้งหลายใด ๆ ย่อมไหลมาแต่เหตุให้บังเกิดขึ้นอธิบายว่า ตัณหาเป็นตัวเหตุให้เกิดผลคือกองทุกข์เมื่อตัดเสียซึ่งตัณหาได้แล้ว กองทุกข์ไม่มี สารีบุตรได้ฟังมีความซาบซึ้งดื่มด่ำในพระธรรมสามารถบรรลุโสดาบันในขณะนั้น แล้วสารีบุตรจึงถามพระอัสสชิว่า สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ ที่ใด พระอัสสชิแจ้งว่าอยู่ ณ เวฬุวันวิหารเมืองราชคฤษ์ สารีบุตรจึงนิมนต์ให้พระอัสสชิไปเฝ้าพระพุทธองค์ก่อน ส่วนตนจะไปบอกโมคคัลลาน์สหาย เมื่อสารีบุตรไปพบโมคคัลลาน์ ก็แสดงธรรมที่ฟังจากพระอัสสชิ พระโมคคัลลาน์ก็บรรลุโสดาบันแล้วทั้งสองจึงเดินทางไปเฝ้าพระพุทธองค์ ระหว่างทางได้ไปชวนอาจารย์สญชัยให้ไปเฝ้าพระพุทธองค์ด้วย แต่อาจารสญชัยไม่ไปโดยมีทิฐิมานะว่าตนเป็นใหญ่มีศิษย์มาก สารีบุตรและโมคคัลลาน์เมื่อไปเฝ้าพระพุทธเจ้าได้ฟังธรรมเทศนาของพระองค์ก็ สำเร็จเป็นพระอรหันต์ตัดกิเลสได้ ต่อมาพระสารีบุตรก็ได้เป็นอัครสาวกเบื้องขวา และมีความชำนาญทางด้านปัญญาการอธิบายธรรม ส่วนโมคคัลลาน์ได้เป็นอัครสาวกด้านซ้าย มีความชำนาญทางอิทธิปาฏิหาริย์

    ที่พระสารีบุตรและพระโมคคัลลาน์ได้สำเร็จอรหันตผลเป็นอัครสาวกของพระพุทธองค์ ก็เนื่องด้วยอยู่ในถิ่นอันเป็นที่ตั้งของพุทธศาสนา
    มงคลที่ ๕
    การได้ทำบุญไว้ในปางก่อนหรือการสั่งสมความดีเป็นมงคลอันอุดม

    เรื่อง พราหมณ์ผู้ลักสิริ


    มี พราหมณ์ผู้หนึ่งเป็นผู้มีความรู้เรื่องลักษณะของสิริ พราหมณ์อาศัยอยู่ในเมืองสาวัตถี ได้เห็นอนาถบิณฑิกเศรษฐีถึงแม้ยากจนลงก็ยังกลับมาเป็นเศรษฐีได้ดังเดิม ก็คิดว่าเศรษฐีคงมีสิริอยู่ในบ้าน จึงคิดจะลักเอาสิริของเศรษฐีมา จึงไปที่บ้านของอนาถบิณฑิกเศรษฐี เห็นสิริอยู่ที่หงอนไก่ จึงขอไก่ตัวนั้นจากเศรษฐี เศรษฐีก็มอบไก่ให้ สิริออกจากไก่ไปอยู่ที่ไม้เท้า พราหมณ์ก็ขอไม้เท้า เศรษฐีก็ให้ สิริก็เลื่อนไปอยู่ที่มวยผมของนางบุญลักขณเทวี พราหมณ์ไม่อาจขอต่อไป จึงเล่าความในใจให้เศรษฐีฟัง แล้วคืนไก่ ไม้เท้าให้เศรษฐีไป


    เรื่อง ควาญช้างได้เป็นกษัตริย์


    อดีตกาล ล่วงแล้วมามีชายตัดฟืนที่เมืองพาราณสี วันหนึ่งไปหาฟืนในป่าจนเย็นกลับเข้าเมืองไม่ทัน ประตูเมืองปิด ชายตัดฟืนจึงไปนอนพักที่ศาลร้างแห่งหนึ่ง ที่ศาลนี้มีไก่อาศัยอยู่มาก

    ตอน ใกล้รุ่งไก่ตัวที่นอนอยู่ข้างบนถ่ายอุจจาระลงมากูกไก่ที่นอนข้างล่าง ไก่ตัวที่อยู่ข้างล่างก็โกรธ ทะเลาะกันและอวดกำลังกัน ไก่ตัวล่างอวดว่าถ้าใครได้กินเนื้อของเราแล้วผู้นั้นจะได้ทรัพย์พันหนึ่งใน เวลาเช้าทุกวัน ไก่ข้างบนจึงอวดว่าถ้าใครได้กินเนื้อล่ำของเราจะได้เป็นถึงกษัตริย์ ถ้าได้กินเนื้อภายนอกก็จะได้เป็นเสนาบดี ถ้าเป็นผู้หญิงก็จะได้เป็นพระมเหสี เนื้อติดกระดูกของเราถ้าใครได้กินจะได้เป็นขุนคลัง ถ้าเป็นบรรพชิตก็จะได้เป็นมหาราชครูของกษัตริย์

    ชาย ติดฟืนได้ยินไก่กล่าวอวดกันเช่นนั้นก็ปีนขึ้นไปจับตัวบนมาฆ่า แล้วนำไก่ไปให้ภรรยาทำเป็นอาหาร เมื่อทำสุกแล้วชายตัดฟืนจึงบอกกับภรรยาว่าไก่ตัวนี้มีอนุภาพมากกินแล้วเราจะ เป็นกษัตริย์ เจ้าจะเป็นพระมเหสี เจ้าจงนำไก่ไปที่ท่าน้ำ เราทั้งสองอาบน้ำชำระร่างกายให้สะอาดแล้วจึงค่อยบริโภค ขณะที่สองสามีภรรยากำลังอาบน้ำอยู่เกิดมีลมพายุใหญ่พัดภาชานะที่ใส่เนื้อไก่ ลอยไปตามน้ำ ขณะนั้นนายควาญช้างผู้หนึ่งนำช้างไปอาบน้ำที่ท่าน้ำ เห็นภาชนะใส่เนื้อไก่ลอยมาก็นำไปให้ภรรยาเพื่อนำไปบริโภคในวันนั้น ชายตัดฟืน และภรรยาเจ้าของไก่ไม่ได้บริโภคเนื้อไก่ที่ได้มา ก็เนื่องจากกุศลหรือบุยเก่ายังไม่พอจึงแคล้วคลาดจากสมบัติ

    ฝ่าย พระดาบสอาจารย์ของนายควาญช้างมีญาณพิเศษล่วงรู้ จึงมาที่บ้านของนายควาญช้างในวันนั้น นายควาญช้างนำเนื้อไก่ออกมาถวายพระดาบสเลือกเนื้อล่ำให้นายควาญช้าง เลือกเนื้อภายนอกให้ภรรยานายควาญช้าง ส่วนพระดาบสฉันแต่เนื้อติดกระดูก แล้วพระดาบสก็กล่าวแก่นายควาญช้างว่า ภายใน ๗ วันนี้จะได้เป็นพระราชา แล้วพระดาบสก็กลับไปยังที่อยู่ของตน

    สาม วันต่อมามีพระราชาต่างเมืองยกกองทัพมาล้อมเมืองพาราณสี พระเจ้ากรุงพาราณสีจึงให้นายควาญช้างแต่งตัวเป็นกษัตริย์แทนพระองค์ขึ้นขี่ คอช้างไปรบกับข้าศึก ส่วนพระเจ้ากรุงพาราณสีปลอมองค์เป็นนายทหารตรวจตาทหาร พระเจ้ากรุงพาราณสีถูกธนูของข้าศึกสิ้นพระชนม์ นายควาญช้างเห็นเช่นนั้นจึงรีบให้คนขนทรัพย์ออกจากท้องพระคลังแล้วได้ตีฆ้อง ร้องป่าวแก่คนทั้งปวงว่า ผู้ใดอยากได้ทรัพย์จงไปรบกับข้าศึก เราจะยกทรัพย์เป็นค่าจ้าง คนทั้งหลายอยากได้ทรัพย์ก็มาอาสาออกรบเป็นจำนวนมาก สามารถจับแม่ทัพและพระราชาฝ่ายข้าศึกได้ เมื่อสำเร็จศึกแล้วบรรดาเสนาอำมาตย์ปรึกษากันว่า นายควาญช้างนี้มีปัญญาสามารถรบข้าศึกรักษาเมืองไว้ได้สมควรจะยกให้เป็น กษัตริย์ เมื่อปรึกษาพร้อมใจกันแล้ว ก็ยกนายควาญช้างขึ้นเป็นกษัตริย์ครองกรุงพาราณสี พระดาบสก็เป็นพระมหาราชครู ภรรยาก็ได้เป็นอัครมเหสี ทั้งนี้ก็เป็นเพราะบุญบารมีที่ได้สั่งสมมาแล้วแต่ปางก่อน
    มงคลที่ ๖
    การตั้งตนไว้ชอบ เป็นมงคลอันอุดม


    เรื่อง โกสิยเศรษฐีผู้ตระหนี่


    ใน อดีตกาลในกรุงพาราณสีมีเศรษฐีผู้หนึ่งมีทรัพย์ ๘๐ โกฏิ เศรษฐีเป็นผู้ใจบุญจึงให้สร้างโรงทาน ๖ แห่งคือที่ประตูเมือง ๔ แห่ง กลางพระนคร ๑ แห่ง และที่หน้าบ้าน ๑ แห่ง นอกจากนี้เศรษฐียังสละเงิน ๖ แสนบริจาคเป็นทานทุกวันและสอนบุตรให้บำเพ็ญทานยิ่งขึ้น เมื่อเศรษฐีสิ้นชีวิตก็ไปเกิดในเทวโลกเป็นพระอินทร์ บุตรของเศรษฐีก็ให้ทานเช่นเดียวกับบิดาเมื่อสิ้นชีวิตก็ไปเกิดเป็นพระจันทร์ ในเทวโลกบุตรของพระจันทร์ก็บำเพ็ญทานอย่างยิ่งเมื่อสิ้นชีวิตก็ไปเกิดใน เทวโลกเป็นพะรอาทิตย์ บุตรของพระอาทิตย์ก็บำเพ็ญทานอย่างยิ่งเมื่อสิ้นชีวิตก็ไปเกิดในเทวโลกเป็น มาตุลีเทพบุตร บุตรของมาตุลีเทพบุตรก็บำเพ็ญทานอย่างยิ่ง เมื่อสิ้นชีวิตก็ไปเกิดในเทวโลกเป็นปัญจสิขเทพบุตร บุตรของปัญจสิขเทพบุตรชื่อโกสิยะก็เป็นเศรษฐี ๘๐ โกฏิเช่นเดียวกับบิดาและปู่ ปู่ทวด แต่โกสิยเศรษฐีเป็นคนตระหนี่และคิดว่า "บิดาและปู่ของเราโง่ทิ้งทรัพย์ที่เกิดมีได้ด้วยความลำบาก เราจักรักษาทรัพย์จักไม่ให้ทรัพย์แก่ใคร ๆ " แล้วเศรษฐีก็สั่งให้ซื้อโรงทานทั้ง ๖ แห่ง และอยู่อย่างตระหนี่ถี่เหนียวบริโภคแต่ปลายข้าว กับน้ำผักกาดดอง นุ่งแต่ผ้าเก่า ๆ ใช้รถเก่าซึ่งเทียมด้วยโคแก่ เศรษฐีเก็บแต่ทรัพย์สมบัติไว้อย่างเดียว แต่ไม่บริโภคเปรียบประดุจสุนัขได้ผลมะพร้าวซึ่งไม่อาจกินได้

    วัน หนึ่งโกสิยะเศรษฐีจะไปเฝ้าพระราชาจึงไปบ้านอนุเศรษฐีเพื่อจะพาไปเฝ้าพระราชา ด้วยกัน ขณะนั้นอนุชาเศรษฐีกำลังบริโภคข้าวมธุปายาสอันมีรส อนุเศรษฐีเห็นเศรษฐีมาถึงเรือนตนก็ร้องเรียกให้บริโภคข้าวมธุปายาสด้วยกัน โกสิยะเศรษฐีอยากบริโภคข้าวมธุปายาสเป็นกำลัง แต่มาคิดว่าถ้าเราบริโภคของเขาแล้วเขาไปบ้านเรา เราก็จะต้องให้เขาบริโภคบ้าง ทรัพย์ของเราก็จะหมดไป คิดดังนี้ก็สู้อดกลั้นความอยากไม่บริโภคด้วย ครั้งเมื่อไปเฝ้าพระราชาแล้ว เมื่อกลับมาบ้านโกสิยเศรษฐียังมีความอยากข้าวมธุปายาสเป็นกำลัง ครั้นจะทำขึ้นรับประทานก็กลัวเสียทรัพย์ แต่ก็ยังมีความอยากอยู่เป็นอันมากจนถึงกับมีอาการดุจเป็นไข้นอนแซ่วอยู่ ภรรยาก็รบเร้าถามอาการเศรษฐี จึงบอกว่าอยากกินข้าวมธุปายาส ภรรยาบอกว่าจะทกให้กินเต็มที่ เลี้ยงคนทั้งเมืองก็ได้ เศรษฐีก็โกรธ ภรรยาจึงบอกว่าถ้ากระนั้นก็จะทำพอรับประทานสองคนก็แล้วกัน เศรษฐีบอกว่าเจ้าไม่อยากกินจะต้องทำทำไมให้เปลืองทรัพย์ ภรรยาจึงบอกว่าถ้าเช่นนั้นก็จะทำพอให้เศรษฐีรับประทานคนเดียว เศรษฐีจึงบอกว่าถ้าทำในบ้านใครมาเห็นก็จะขอกิน ดังนั้นจึงจะเข้าไปทำในป่าแล้วเศรษฐีให้ภรรยาจัดหาข้าวสารแล่ง ๑ นมสด ๔ ส่วน น้ำตาลกรวดฝายมือ ๑ เนยใสเต็มขวด ๑ น้ำผึ่งประมาณเท่ากันและภาชนะหุง ๑ ใบ เศรษฐีให้คนใช้ถือสิ่งของเข้าไปในป่าให้ก่อเตาที่โคนไม้ริมแม่น้ำ เมื่อคนใช้ก่อไฟ ขนฟืนและน้ำมาแล้ว เศรษฐีก็สั่งให้คนใช้ไปดูต้นทางเพื่อป้องกันมิให้คนมารบกวนแล้วเศรษฐีก็หุง ข้าวปายาส

    ขณะ นั้นพระอินทร์ได้เห็นการกระทำของโกสิยเศรษฐีจึงเรียกเทพบุตรที่มีหลานเป็น พระจันทร์ พระอาทิตย์ พระมาตุลี พระปัญจสิขเทพมาปรึกาว่า โกสิยะเศรษฐีเป็นคนตระหนี่จะตัดวงค์ของพวกเราและเขาจักไปนรก พวกเราจึงควรไปตักเตือนเขา แล้วทั้งหมดก็แปลงเป็นพราหมณ์ไปขอข้าวมธุปายาสของโกสิยเศรษฐี เศรษฐีจำใจแบ่งให้ แต่เมื่อตักข้าวปายาสแบ่งให้พราหมณ์ทั้ง ๕ ข้าวก็ไม่พร่องยังเต็มหม้อ แต่พอจะลงมือรับประทาน ปัญจสิขเทพก้แปลงตนเป็นสุนัขมาถ่ายปัสวะรดหม้อข้าวของโกสิยเศรษฐี เศรษฐีโกรธไล่ตีสุนัข สุนัขก็กลายเป็นม้าใหญ่วิ่งไล่เศรษฐี เศรษบีวิ่งไปให้พราหมณ์ช่งย พราหมณ์จึงแสดงตนเป็นเทพ และให้โอวาทเศรษฐีให้ตัดความตระหนี่ และตั้งตนอยู่ในศีลและให้ทาน เศรษฐีได้สำนึก นับแต่วันนั้นก็เริ่มบริจาคให้ทาน และสร้างโรงทานใหม่ เศรษฐีมีจิตใจผ่องใสอยู่ในศีลและให้ทานเป็นนิจเมื่อสิ้นชีวิตก็ไปเกิดใน เทวโลก

    มงคลที่ ๗
    ความเป็นพหูสูต เป็นมงคลอันอุดม


    เรื่อง เสนกะบัณฑิต


    ใน อดีตกาล พระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นพราหมณ์ชื่อเสนกะอยู่ในเมืองพาราณสี พราหมณ์เสนกะได้ไปร่ำเรียนศิลปศาสตร์มาจากกรุงตักสิลา แล้วมารับราชการอยู่กับพระเจ้ากรุงพาราณสี ได้รับพระราชทานตำแหน่งบัณฑิตเป็นผู้อนุศาสน์อรรถธรรมของพระราชา ทุกวัน ๘ ค่ำ ๑๔ ค่ำ ๑๕ ค่ำ เสนกะบัณฑิตจะแสดงธรรมแก่มหาชนในโรงธรรม มีพระเจ้ากรุงพาราณสีทรงเป็นประทาน

    วัน หนึ่งมีพราหมณ์แก่ผู้หนึ่งท่องเที่ยวขอทานไปเมื่อได้ทรัพย์ถึง ๗๐๐ กหาปณะแล้วก็จะกลับบ้านระหว่างทางได้แวะพักที่ใต้ต้นไม้แล้วล้วงเอาข้าวสัต ตุจากถุงหนังที่สะพายเดินทาง เมื่อกินเสร็จก็เดินลงไปดื่มน้ำ ลืมผูกปากถุง งู่เหง่าที่อยู่ในโพรงไม้ได้กลิ่นข้าวสัตตุก็เลื้อยเข้าไปในถุงเพื่อกินข้าว สัตตุ แล้วนอนขดขนดอยู่ในถุง ฝ่ายพราหมณ์กลับมาไม่ทันดูก็ผูกปากถุงสะพายแล้วออกเดิน ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงรุกขเทวดาบอกว่า "พราหมณ์ วันนี้ถ้าท่านจักพักอยู่ในระหว่างทาง ตัวท่านเองจักตาย แต่ถ้าท่านไปถึงเรือนในวันนี้ ภรรยาของท่านก็จักตาย" พราหมณ์ได้ยินก็ตกใจเป็นกำลังเดินร้องไห้ไป เมื่อถึงกรุงพาราณสีเห็นประชาชนถือของหอมและดอกไม้ติดมือไปเพื่อฟังธรรมของ เสนกะบัณฑิต พราหมณ์จึงเดินตามไปเพื่อฟังด้วย และคิดว่าเผื่อเสนกะจะได้แสดงธรรมช่วยขจัดความโศกเศร้าทุรนทุรายของเราได้ เมื่อไปถึงโรงธรรมก็ยืนร้องไห้ทั้งถุงข้าวสัตตุก็ยังอยู่ที่คอ เสนกะบัณฑิตจึงถามพราหมณ์ถึงสาเหตุของความโศกเศร้า เมื่อพราหมณ์เล่าให้ฟังถึงคำบอกของรุกขเทวดา เสนกะพิจารณาไตร่ตรองแล้วก็ถามพรหมณ์ว่า "พราหมณ์ ในถุงของท่านนั้นมีสัตตุไหม"

    พราหมณ์ "มี ท่านบัณฑิต"
    เสนกะบัณฑิต "ในเวลาอาหารเช้าวันนี้ท่านกินสัตตุที่ไหน"
    พราหมณ์ "ที่โคนไม้ในป่า"
    เสนกะบัณฑิต "ท่านกินสัตตุแล้ว เมื่อจะไปดื่มน้ำผูกปากถุงหรือเปล่า"
    พราหมณ์ "ไม่ได้ผูก"

    เสน กะบัณฑิตจึงอธิบายว่าระหว่างที่พราหมณ์ไปดื่มน้ำ งูคงจะได้กลิ่นสัตตุและเลื้อยเข้าไปอยู่ในถุงและถ้าเย็นนี้พราหมณ์พัก ระหว่างทาง เมื่อจะกินอาหารก็จะล้วงไปหยิบสัตตุจากถุง งูก็จะกัดพราหมณ์ตาย แต่ถ้าพราหมณ์กลับไปถึงบ้าน ภรรยาก็จะล้วงหยิบของในถุง งูก็จะกัดภรรยาของพราหมณ์ตาย เมื่ออธิบายแล้วเสนกะบัณฑิตก็ให้พราหมณ์ยกถุงลงมาจากคอ แก้ปากถุงแล้วถอยออกไปยืนห่าง ใช้ไม้เคาะถุง งูก็แผ่พังพานขู่เสียงดัง "ฟู่" ๆ เลื้อยออกมา หมองูที่อยู่ในนั้นก็จับงูไป มหาชนต่างปรบมือแซ่ซ้องสาธุการความมีปัญญาของเสนกะบัณฑิต พราหมณ์จึงขอบูชาเสนกะบัณฑิตด้วยกหาปณะที่ได้มา เสนกะบัณฑิตไม่รับ แต่กลับเพิ่มให้พราหมณ์งอีก ๓๐๐ กหาปณะเพื่อให้ครบพัน แล้วถามพราหมณ์ว่าใครใช้ให้พราหณ์ไปขอทานหาเงิน พราหมณ์ตอบว่าภรรยาของตน เมื่อเสนกะบัณฑิตรู้ว่าภรรยาของพราหมณ์ยังสาวอยู่ ก็บอกกับพราหมณ์ว่าถ้าพราหมณ์นำเงินไปที่เรือน ภรรยาก็จะให้ชายชู้ เพราะฉะนั้นให้เก็บเงินไว้นอกบ้านก่อนแล้วจึงเข้าบ้าน

    เมื่อ พราหมณ์กลับไปถึงบ้านก็นำเงินไปซ่อนไว้ที่นอกบ้านแล้วก็ร้องเรียกภรรยา ภรรยากำลังอยู่กับชายชู้ได้ยินเสียงพราหมณ์เรียกก็รีบดับไฟ แล้วให้ชายชู้แอบอยู่ที่ริมประตู แล้วจึงเปิดประตูให้พราหมณ์เข้ามา แล้วถามพราหมณ์ว่าเงินอยู่ที่ไหน พราหมณ์ก็ตอบไปตามตรงว่าเก็บไว้นอกบ้านตรงที่ใด ชายชู้ได้ยินก็นำทรัพย์นั้นไป

    ตอน รุ่งเช้าพราหมณ์ไม่เห็นทรัพย์ที่เก็บไว้จึงไปเล่าให้เสนกะบัณฑิต เสนกะบัณฑิตจึงให้เงินค่าใช้จ่ายแก่พราหมณ์แล้วบอกว่า "ท่านและภรรยาจงเชิญพราหมณ์มากินเลี้ยงวันแรก ๑๔ คน เป็นเพื่อนของท่าน ๗ คน วันรุ่งขึ้นให้ลดลงฝ่ายละ ๑ คน พอถึงวันที่ ๗ จงเชิญเพียง ๒ คน คือเพื่อนของท่าน ๑ คน ของภรรยา ๑ คน เพื่อนของภรรยาที่มาตลอดทั้ง ๗ วันนั้น ให้ท่านนำมาหาข้าพเจ้า"

    พราหมณ์ก็ทำตามนั้นและก็ได้ชายชู้มาพบเสนกะบัณฑิต เสนกะบัณฑิตก็สั่งให้นำเงินหนึ่งพันกหาปนะมาคืน แล้วก็ให้ทำโทษชายชู้ผู้เป็นโจร

    เสนกะบัณฑิตแก้ปัญหาของพราหมณ์ด้วยปัญญาความสามารถโดยแท้

    มงคลที่ ๘
    ความเป็นผู้ฉลาดในหัตถกรรม เป็นมงคลอันอุดม


    เรื่อง บุรุษเปลี้ยนักดีดกรวด

    ใน อดีตกาล ในกรุงพาราณสีมีมนุษย์เปลี้ย เป็นง่อยพิการคนหนึ่ง เป็นคนฉลาดในศิลปะดีดกรวด เด็กชาวบ้านจะช่วยกันหามบุรุษเปลี้ยนี้ขึ้นเกวียนแล้วพาไปที่ต้นไทรใกล้ ประตูเมือง แล้วให้บุรุษเปลี้ยดีดกรวดไปที่ใบไทรเป็นรูปม้ารูปช้างและอื่น ๆ ทุกวัน ประชาชนผ่านไปมาก็จะให้เงินสินจ้างเล็ก ๆ น้อย ๆ วันหนึ่งพระเจ้ากรุงพาราณสีเสด็จผ่านมา เด็ก ๆ รีบวิ่งหนีไปด้วยความกลัวพระราชา บุรุษเปลี้ยไปไหนไม่ได้ก็หมอบอยู่ระหว่างรากไทร พระเจ้าพรุงพาราณสีเห็นใบไม้ทะลุเป็นรูปต่าง ๆ มีรูปม้า รูปช้าง เป็นต้น ทรงตรัสถามว่าใครเป็นผู้ทำ ราชบุรุษทูลว่าบุรุษเปลี้ยเป็นผู้ทำ ก็ตรัสให้บุรุษเปลี้ยเข้าเฝ้าแล้วตรัสว่า "ปุโรหิตของเราเป็นคนปากจัด พูดมาก เมื่อเขาเริ่มพูดคนอื่นไม่ได้โอกาสเลย เธอทำให้เขาเงียบเสียงได้ไหม"

    บุรุษเปลี้ยทูลตอบว่า "ขอเดชะ เมื่อได้มูลแพะสักทะนานหนึ่งก็จะอาจทำได้ พระเจ้าข้า"
    พระ เจ้ากรุงพาราณสีจึงพาบุรุษเปลี้ยเข้าไปในพระราชวัง รับสั่งให้เจาะม่านเป็นช่อง แล้วให้บุรุษเปลี้ยนั่งอยู่ในม่านให้วางมูลแพะทะนานหนึ่งไว้ข้าง ๆ แล้วให้ปูอาสนะสำหรับปุโรหิตหันหน้าตรงช่อง เมื่อปุโรหิตมาเข้าเฝ้าและนั่งบนอาสนะนั้นแล้ว พระเจ้ากรุงพาราณสีตรัสสนทนา ปุโรหิตไม่ให้โอกาสแก่ผู้อื่นเริ่มสนทนากับพระราชา พออ้าปากบุรุษเปลี้ยก็ดีดมูลแพะเข้าไปในปาก ปุโรหิตจะคายออกก็มีความละอายสู้กลืนมูลแพะเข้าไปในท้องจนหมดทะนาน พระราชาทอดพระเนตรเห็นปุโรหิตกลืนมูลแพะจนหมดทะนานแล้วจึงตรัสว่า "ท่านพูดมากมูลแพะจึงเข้าปากท่าน ท่านจงไปกินน้ำสำรอกมูลแพะออกเสียเถิด" ตั้งแต่วันนั้นมาปุโรหิตก็ไม่พูดมากเหมือนแต่ก่อน พระราชาจึงพระราชทานหมู่บ้าน ๔ ตำบล ใน ๔ ทิศ มีส่วยขึ้นประมาณแสนหนึ่งแก่บุรุษเปลี้ย บุรุษเปลี้ยก็มีความสุขตลอดชีวิต ทั้งนี้ด้วยผลที่รู้ศิลปวิชา

    มงคลที่ ๙
    วินัยที่ศึกษาดีแล้ว เป็นมงคลอันอุดม

    เรื่อง สุนัขจิ้งจอกไม่สำรวม

    ใน อดีตกาลมีฝูงแพะหลายร้อยตัวอาศัยอยู่ในภูเขาใกล้ป่าหิมพานต์ ในกลุ่มฝูงแพะนี้แม่แพะชื่อเมณฑมาตา เป็นแม่แพะที่เฉลียวฉลาดมาก และในป่าใกล้ ๆ กับภูเขา มีสุนัขจิ้งจอกตัวหนึ่งชื่อปูติมังสะ อยู่กับภรรยาชื่อเวณี สุนัขจิ้งจอกทั้งสองตัวได้แอบกัดไปกินแพะหลายตัว วันหนึ่งสุนัขจิ้งจอกปูติมังสะคิดอยากจะกินแม่แพะเมณฑมาตา จึงออกอุบายให้ภรรยาไปตีสนิทเป็นสหายกับแม่แพะและให้บอกว่าปูติมังสะตายแล้ว และชวนมาที่ถ้ำของสุนัขจิ้งจอกเพื่อจะได้จับกิน สุนัขจิ้งจอกภรรยาจึงไปหาแม่แพะเมณฑมาตา ร่ำไห้ว่าสามีตายแล้วจะขอมาอยู่ด้วย แม่แพะบอกว่าสามีของท่านดุร้ายกัดกินญาติของเราตายเสียมาก ขอให้ไปอยู่ที่อื่นเถิดอย่ามาอยู่ที่นี่เลย นางสุนัขจิ้งจอกก็บอกว่าบัดนี้สามีตายแล้วขอให้ช่วยไปเผาศพเถิด แม่แพะก็สงสารไปด้วย สุนัขจิ้งจอกปูติมังสะที่แกล้งทำเป็นนอนตายอยู่เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าก็อด รนทนไม่ได้ยกศรีษะขึ้นดู แม่แพะระมัดระวังตนอยู่แล้วเมื่อเห็นเช่นนั้นก็รีบวิ่งหนีไป นางสุนัขจิ้งจอกจึงติเตียนสามีว่า เจ้าผงกศรีษะขึ้นมาในเวลาที่ไม่สมควร ไม่สำรวม จึงทำให้ไม่ได้กินแม่แพะ
    ที่มา....หนังสือ ๕๐ เรื่อง เนืองในพุทธศาสนา
    dangcarry
     
  7. ตั้มศรีวิชัย

    ตั้มศรีวิชัย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    597
    ค่าพลัง:
    +1,847
    ความเชื่อเป็นสิ่งที่ห้ามกันไม่ได้ คงต้องพิจารณากันดีๆ ก่อนที่จะเชื่อ
     
  8. mib8gdviNz

    mib8gdviNz เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    1,009
    ค่าพลัง:
    +1,524
    ...(รู้.. แต่พูดไม่ได้) - -
     
  9. surasaksuebsan

    surasaksuebsan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    73
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +329
    อืมม...น่ะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...