สัมผัสปาฏิหาริย์"เจ้าแม่กวนอิม"

<TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD></TD></TR><TR><TD>โดย สายทิพย์



</TD></TR></TBODY></TABLE>
<LINK href="/yingthai.css" type=text/css rel=stylesheet>ตอนที่ 1

เรื่องราวเกี่ยวกับ "เจ้าแม่กวนอิม" ซึ่งเป็นพระมหาโพธิสัตว์แห่งพระพุทธศาสนาฝ่ายมหายาน ได้รับการเคารพสักการะอย่างกว้างขวางทั้งในหมู่ชาวจีน ไทย และหลายๆประเทศ ในเมืองไทยเราเรื่องราวและความเชื่อ ความศรัทธาในพระองค์นั้นมีมากมายรอบด้าน ซึ่งส่วนใหญ่จะนับถือพระโพธิสัตว์องค์นี้เป็นสรณะในด้านโชคลาภ เมตตา ขอศีลขอพร เพราะท่านเป็นเลิศทางมหาเมตตากรุณา
"เจ้าแม่กวนอิม" หรือ "พระมหาโพธิสัตว์กวนอิม" เป็นพระนามที่เรียกขานท่านอย่างแพร่หลายด้วยความศรัทธา เมื่อใดที่ได้ยินก็มักจะนึกถึงภาพของหญิงสาวที่มีความงดงามเปี่ยมด้วยความเมตตากรุณา แต่งองค์ด้วยอาภรณ์แบบสตรีชาวจีนในราชสำนักรูปเคารพแทนองค์เจ้าแม่กวนอิม มีบูชากันแทบทุกแห่งหนทั้งวัดไทย วัดจีน ศาลเจ้า โรงเจ มูลนิธิสำนักงานหน่วยราชการต่างๆ รวมทั้งบ้านเรือนของชาวไทยเชื้อสายจีนหรือแม้กระทั่งชาวไทย เชื้อสาย ไทย ทั้งนี้เพราะต่างเชื่อในความศักดิ์สิทธิ์ที่เล่าลือสืบต่อกันมา
ในด้านปาฏิหาริย์อันศักดิ์สิทธิ์ของ "เจ้าแม่กวนอิม" สำหรับผู้ที่นับถือก็มีผู้ที่สัมผัสได้และเก็บประสบการณ์มาเล่า มากมายหลายท่าน หนึ่งในนั้นก็คือ ศ.ดร.นพ.เทพนม เมืองแมน ซึ่งท่านได้เล่าเรื่องราวของการสัมผัสปาฏิหาริย์จาก "เจ้าแม่กวนอิม" หลายต่อหลายครั้งให้ฟัง ในงานมหกรรมวิทยาศาสตร์ทางจิต ครั้งที่ 10 ที่ผ่านมาแล้ว เนื้อหาใจความนั้นมีว่า
"ที่ผมไปมีสัมผัสปาฏิหาริย์เจ้าแม่กวนอิมเนี่ย คือผมเองตอนที่เป็นคณบดีอยู่คณะสิ่งแวดล้อมฯ 4 ปีนี่ มีคนเอาบทสวดของเจ้าแม่กวนอิมมาให้ ผมชอบก็ลองสวดพอสวดได้ครั้งแรก ไปที่ทำงานตกใจเลย ปรากฏว่ามีคนเอาเจ้าแม่กวนอิมมาให้ 16 องค์ด้วยกัน องค์ใหญ่ๆทั้งนั้นเลย เป็นสิ่งที่ไม่คาดฝันมาก่อนและต่อมา คุณจิตติมา เกษมสุข (เลขานุการชมรมกฎแห่งกรรม ท.เสียงพิบูลย์) ซึ่งเคยโดนงูเห่ากัดที่นครนายกแล้วตายไป 3 วัน แต่กลับฟื้นขึ้นมาเนี่ย เมื่อ 3 ปีที่แล้วก็มีสิ่งที่แปลกประหลาดเกิดขึ้นกับเธอ คือวันหนึ่งขับรถไปเชียงใหม่ก็คุยกันถึงเรื่องราวต่างๆขณะที่คุยขณะนั้นขับรถอยู่ประมาณ จ.กำแพงเพชร อยู่ๆก็มีแสงไฟขาวแว้บมาหน้ารถแล้ว 'เจ้าแม่กวนอิม' ยาวประมาณ 9 นิ้ว เป็นเซรามิคก็ตกลงมาในรถที่ตักของคุณจิตติมา แล้วในรถนี่หอมฟุ้งไปหมด เพราะเมื่อท่านเสด็จทุกคนจะได้กลิ่นหอม และที่นั่นก็มีมูลนิธิเจ้าแม่กวนอิมก็เอาเซรามิคเนี่ยไปให้เขาดู เอ๊ะ! ตกมาได้ยังไงและไม่มีใครเอามา ซึ่งที่นั่นเขามีการเข้าทรงพอเข้าทรงเขาก็บอกว่า นี่...ท่านให้"
"เจ้าแม่กวนอิมท่านเคยช่วยเจ้าหน้าที่ผู้หญิงของสหประชาชาติให้หายป่วยจากมะเร็ง คือผู้หญิงอเมริกันคนนี้ เขามีตำแหน่งสูงที่สหประชาชาติแล้วเขาเกิดป่วยเป็นมะเร็งที่เต้านมแล้วลามไปที่ปอดทั้ง 2 ข้าง จะตายภายใน 3-4 เดือน ทีนี้เขาสนิทสนมกับในวัง เขาเข้าเฝ้าฯ สมเด็จพระนางเจ้าฯ และบอกว่าเขาคงจะไม่ได้มาถวายบังคมอีกแล้ว เพราะเขาต้องตาย หมอบอกว่าเขาต้องตายแน่ๆ สมเด็จฯท่านจึงทรงแนะนำว่า "ลองอย่างนี้สิ เมืองไทยก็มีของดีเหมือนกันนะให้เอาธูป 9 ดอก ไปกราบเจ้าแม่กวนอิมสิ แหม่มแกนับถือคาทอลิก ใครจะนึกว่าจะกล้าไปกราบแต่แกไปกราบนะ แล้วพอไปกราบแล้วแหม่มซึ่งเป็นผู้มีการศึกษาสูงเนี่ยแกบอก แกเห็นผู้หญิงสวมชุดขาวยืนอยู่และบอกแหม่มด้วยนะว่า" I will help you" แล้วพอแหม่มกลับไปสหรัฐฯ ก็ติดต่อกลับมาบอกว่า ได้ไปฉายเอกซเรย์ปอดเพราะรู้สึกหายใจคล่องขึ้น ปรากฏว่าพอฉายเสร็จที่ปอดมะเร็งหายไปหมด พอรู้ว่าหายขาดจากโรคมะเร็งซึ่งหมออเมริกันวินิจฉัย เขาก็ไม่รู้ว่าหายไปได้ยังไง ทีนี้เขาก็เลยทำสร้อยคอทองคำมาสวมคอเจ้าแม่กวนอิม เพื่อระลึกถึงพระคุณของท่าน แล้วจนถึงปัจจุบันก็มีฝรั่งที่หายจากโรคมะเร็งซึ่งหมอบอกว่าตายแน่ๆนะ 6 คนแล้ว และมีคนไทย 4 คน 2 คนเป็นแพทย์อยู่โรงพยาบาลใหญ่ในกรุงเทพฯคนนึง อยู่ที่เชียงใหม่คนนึง ซึ่งหายได้อย่างไรไม่รู้ เป็นเรื่องที่ประหลาดมาก"
"ตอนนี้ผมเกษียณแล้ว ก็จะไปรักษาคนตามจังหวัดต่างๆที่หมอไปไม่ถึงก็มีเพื่อนที่เป็นหมอไปด้วยครั้งละเป็น 10 คน ทีนี้ครั้งนึงเราไปที่ จ. ชัยนาท ที่นั่นมีเหตุการณ์ประหลาดคือ เมฆบนฟ้ามีลักษณะคล้ายมือ ซึ่งเจ้าอาวาสที่นั่นท่านก็บอกว่า 'เจ้าแม่กวนอิม' เสด็จมาให้พร นี่ก็เป็นเรื่องที่แปลกนะ"
"แล้วต่อมาหลังจากสึนามิเมื่อ 26 ธันวา 47 ผมบริจาคเงินไป 5 พันบาทแล้วก็กราบเจ้าแม่กวนอิม ผมบอกท่านว่าผมช่วยเขาได้ไม่มากเท่าไหร่ แต่ถ้าท่านจะช่วยผมขอให้ช่วยภาคใต้ที่กำลังมีภัยเดือดร้อนจากสึนามิ ซึ่งแปลกใจมากเพราะภายใน 1 ช.ม. ก็มีโทรศัพท์ทางไกลถึงผมจากปักกิ่ง เป็นแพทย์ประจำตัว "จูหลงจี" เขาเป็นเพื่อนผมด้วยเขาบอกว่าเขารู้ข่าวว่ามีคนตายเยอะมากเขาอยากช่วย เขาจึงติดต่ออดีตนายกรัฐมนตรีจีนขอให้ช่วย ซึ่งเขาได้ช่วยมาเป็นเงิน 100 ล้านบาท ผมยังตกใจ ทีแรกเขาจะให้ทางคุณสุดารัตน์ กระทรวงสาธารณสุข แต่นายกฯบอกว่าเงินสดไม่เอาขอเป็นสิ่งของกับยา แต่มันยากเพราะถ้าเป็นยาที่เขาจะส่งมา ซึ่งทางจีนก็ผลิตเยอะแยะ แต่ถ้าเอามาเมืองไทยก็ต้องเอามาทดสอบก่อนเป็นเวลา 1 ปี จึงจะอนุญาตให้ใช้ ผมก็เลยไปเฝ้าฯ สมเด็จกรุงเทพฯ ไปทูลท่าน ท่านก็บอกถ้ายุ่งยากมากนักก็เอามาเข้ากาชาด ก็ให้เขาส่งเข้ากาชาดแล้วเอามาช่วยทางใต้เสร็จแล้วเรื่องนี้ผมก็เอามาเล่า ให้ทางชมรมกฎแห่งกรรมฟังว่า เอ้อ...แปลกนะ ทางชมรมก็เอ๊ะ...เราไปกราบเจ้าแม่กวนอิมก็ดีเหมือนกันนะ ไปขอบคุณท่าน เสร็จแล้วก็ไปที่ดอยแม่ยะ ไปผมก็ไปสวด ผมจุดธูป 9 ดอก ไปที่ศาลครั้งแรกก็ยังไม่หอมนะ แต่พอสวด (บทสวดเจ้าแม่กวนอิม) ก็ได้กลิ่นดอกไม้หอมตลบไปหมด ทั้งๆที่ไม่มีอะไรมาซักอย่างนึงนะ แล้วสิ่งที่ผมถ่ายได้คือลูกไฟสีทองมาแยะเลย แต่เรา มองตาเปล่าไม่เห็นนะ" ผมรู้สึกขนลุกแล้ว เสร็จแล้วที่นั่นก็มีลูกแก้วที่คนมาถวายไว้ลูกใหญ่ๆน่ะ ที่ลูกแก้วก็มีเขียนอะไรไว้ด้วย ซึ่งจริงๆแล้วลูกแก้วถูกล้างอย่างสะอาดไม่มีใครมาเขียนอะไรไว้นะ ผมเห็นทีแรกนึกว่าใครมาเขียนไก่ไว้ แต่คนที่อ่านภาษาจีน ออกเขาบอกไม่ใช่ไก่ แต่เป็นภาพเจ้าแม่กวนอิมและเด็กที่ติดตาม 2 คนและเทพอีกองค์นึง ลูกแก้วที่เห็นนี่เรืองแสงเหมือนกับ ติดไฟทั้งที่ไม่มีไฟนะ ก็แปลกมาก"



ที่มา : นิตยสารหญิงไทย
ฉบับที่ 728 ปีที่ 31 ปักษ์แรก

 

<TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD>สัมผัสปาฎิหาริย์ เจ้าแม่กวนอิม</TD></TR><TR><TD>
โดย สายทิพย์

</TD></TR></TBODY></TABLE>
<LINK href="/yingthai.css" type=text/css rel=stylesheet>


ตอนที่ 2

เรื่องราวของการสัมผัสปาฏิหาริย์ "เจ้าแม่กวนอิม" ต่อจากนี้เป็นการต่อเนื่องจากฉบับที่แล้ว ซึ่ง ศ.ดร.นพ.เทพนม เมืองแมน ท่านได้มาเล่าถึงประสบการณ์ที่ได้สัมผัสความศักดิ์สิทธิ์จากเจ้าแม่กวนอิม ให้เราฟังเมื่อวันงานมหกรรมวิทยาศาสตร์ทางจิต ครั้งที่ 10
"ก็ไปค้างที่นั่นคืนนึงเป็นบ้านป่าไม้ซึ่งเป็นบ้านชั้นเดียว มีห้องนอนอยู่ 2 ห้อง มีห้องโถงตรงกลางและมีเตาผิง เดือนธันวาที่ไปนั่นหนาวมาก ผมก็นั่งทานอาหารอยู่ที่ห้องตอนเย็นอยู่ๆทุกคนก็คุยบอก" หมอ...เชิญให้ U.F.O เขามาหน่อยสิอยากเห็นเหมือนกัน พูดเสร็จก็มีไฟแว๊บๆๆๆเข้ามาแล้วไฟนี่มันวิ่งเข้าไปในบ้านน่ะ แล้วมันไปหยุดอยู่เหนือเตาผิง พวกเพื่อนๆผมก็นึกว่าเป็นมนุษย์ต่างดาว แต่พอผมเข้าไปนะก็ไปเจอรูปเจ้าแม่กวนอิมเนี่ย ซึ่งไม่มีใครมีเลยนะ วางพิงอยู่แล้วห้องเนี่ยก็หอมตลบนะหอมเหมือนกลิ่นดอกไม้สด ซึ่งกลิ่นนี้เป็นกลิ่นดอกไม้สดจากสวรรค์ มาวางอยู่ทีแรกผมก็นึกว่ารูปเดียว ขนาดโปสการ์ดสีด้วยแต่พอจับดูอ้าวมี 5 รูป เท่ากับ 5 คนที่ไปเลยมันแปลกนะ แล้วรูปเจ้าแม่ก็ไม่มีใครมี ที่นั่นก็เป็นป่าเขา เจ้าหน้าที่ป่าไม้ก็มีกัน 2 คน ไม่มีใครมีแล้วรูปมันมาได้ยังไงก็ยังหาข้อยุติไม่ได้"
แล้วที่แปลกยิ่งกว่านั้นคือ วันรุ่งขึ้นก่อนจะกลับทานอาหารเช้ากัน เพื่อนๆผมก็บอก โอ๊ย...ภรรยาหมอนี่นะดูเคร่งมากกว่าหมอซะอีกนะ คือภรรยาผมเขาไม่ทานเนื้อมา 20 ปีแล้ว แต่ผมเองเวลาไปงานผมยังทานบ้างแต่ภรรยาผมไม่ทานเลย เสร็จแล้วผมก็เอารูปเจ้าแม่กวนอิมที่ได้มาของผมกับของ คุณประสิทธิ์ การุณยวณิช มาวางเคียงกันแล้วเอากล้องถ่าย พอถ่ายเสร็จผมก็หยิบรูปไปคืนท่าน แต่หลังรูปผมกับคุณประสิทธิ์กลับมีเพิ่มขึ้นมาอีกรูป ประหลาดจริงๆเลย แสดงว่าท่านให้ภรรยาผมด้วยนี่มันอธิบายไม่ได้เลยนะ แต่ไอสไตน์ท่านเคยบอกว่า ท่านสามารถทำวัตถุให้เป็นพลังงานมหาศาลได้ โดยการสร้างปรมาณูและท่านจะเปลี่ยนพลังงานให้เป็นวัตถุให้ได้แต่ท่านตายเสียก่อน ทีนี้เราก็เลยคุยกันว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์สามารถเปลี่ยนพลังงานให้เป็นวัตถุได้ ซึ่งจริงๆไอสไตน์ก็ได้อธิบายไว้ว่าแสงเนี่ยประกอบไปด้วยพลังงานและวัตถุ ซึ่งเรียกว่า เวฟกับโปรตอน เพราะฉะนั้นในแสงที่มาเนี่ยก็คงมีวัตถุอยู่ด้วย แต่แสงนี้ทำให้เกิดรูปขนาดโปสการ์ดนี้ได้ยังไง ก็เป็นปาฏิหาริย์ ที่เรียกว่าเป็นปาฏิหาริย์ก็เพราะว่าเป็นสิ่งที่มนุษย์ธรรมดาทำไม่ได้ และตอนนี้ก็มีคนมาขอให้หายขาดจากโรคมะเร็ง 10 คนแล้ว เรื่องเหล่านี้แปลกที่ว่าเอ๊...เป็นไปได้ยังไง"
"แล้วเมื่อ 2 อาทิตย์ที่แล้วมีคนโทร.มาหาผมตอนดึกแล้วบอกว่า 'คุณหมอ ช่วยลูกผมหน่อย ลูกผมป่วยอยู่ศิริราชแกเป็นโรคเลือด เนี่ยกำลังจะตายอยู่แล้ว' ผมก็บอกผมเป็นหมอธรรมดาก็รักษาได้ตามความสามารถของผม แต่ถ้าหากคุณเชื่อนะคุณเอาธูป 9 ดอก แล้วให้เด็กอธิษฐานกล่าวขอให้เจ้าแม่กวนอิมท่านช่วยและทำทุกวันวันละครั้ง อีกชั่วโมงราวๆตีสองโทร.มาบอก 'หมอ เลือดลูกผมที่ไหลไม่หยุดมา 4 วัน มันหยุดแล้วภายใน 1 ชั่วโมงหลังจากอธิษฐานขอเลือดหยุดไหลนะ' เนี่ยสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นเนี่ยมันแปลกน่ะ สิ่งศักดิ์สิทธิ์บางคนไม่เชื่อว่ามี บางคนก็เชื่อว่ามี แต่ผมมีประสบการณ์อะไรต่างๆผมเชื่อนะว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ท่านมีและท่านสามารถที่จะมาช่วยมนุษย์ได้"
และหลังจากนั้นต่อมาซักเดือนเนี่ย ก็มีคนชวนผมไปเชียงใหม่ ทีนี้ผมไปไม่ได้ ผมติดประชุม ผมก็บอกไปกันเถอะนะ แล้วฝากกราบเจ้าแม่ฯให้ผมด้วย ส่วนผมก็กราบอยู่ที่บ้าน พวกเขาไปแล้วกลับมา ก็เกิดเรื่องแปลกอีกแล้ว ที่บ้านอ.จิตติมา (เลขาฯชมรมกฎแห่งกรรม ท.เลียงพิบูลย์) ตอนสองทุ่ม มีเสียงดังโครมที่โรงรถ แกก็ลงมาดูคิดว่าขโมยเข้าปรากฏว่าเป็นพระพุทธรูปปางไสยาสน์อยู่บนหลังคารถ แล้วมีเสียงผู้หญิงบอกว่าให้เอาสิ่งนี้ไปให้หมอเทพนม แกก็ห่อกระดาษหนังสือพิมพ์ เอามาให้ผมแกบอกว่าเนี่ยได้มาแล้วแกก็เปิดดู พอเปิดดู แกตกใจอีกนะ เพราะทีแรกสิ่งที่แกนำมาให้เนี่ยไม่เห็นมีปิดทองเลย พอเปิดมาอีกทีองค์พระเนี่ยปิดทอง ผมก็เอาไปให้พระอาจารย์หลายๆองค์ดู ท่านบอกว่า 'สิ่งนี้ไม่ใช่พระพุทธรูปไสยาสน์นะ นี่เป็นพระนารายณ์' ผมก็งงว่า เอ๊ะ แล้วพระนารายณ์มาได้ยังไง ท่านก็บอก พระนารายณ์ก็ปราบมารไง ผมก็เลยทำเสื้อเกราะป้องกันกระสุนเพื่อจะเอาไปช่วยภาคใต้ จะเอาไปถวายในหลวง ตอนนี้ผมก็ทำเกือบเสร็จแล้วกำลังทดสอบยิง เสื้อเกราะป้องกันกระสุนเนี่ยมันจะใช้ใยไหม ผมไม่ได้มีความรู้ทางด้านนี้ พอผมอยากทำก็มีคนมาช่วยผมนะมีพวกนักวิทยาศาสตร์ไทยที่จบจุฬาฯคนนึง เราซื้อไหมจากต่างประเทศมา แล้วก็มีเพื่อนอยู่คนเขาเป็นเจ้าของโรงงานทอผ้าก็ไปให้เขาทอ ผ้าที่ทำเสื้อเกราะแพงมากนะไปซื้อที่ต่างประเทศ ซึ่งมาทำเองถูกกว่าไปซื้อเขาตั้ง 30 เท่า แล้วทอเหมือนเปี๊ยบเลย เราก็เอาไปทดสอบยิงที่กรมสรรพาวุธทหาร ก่อนที่จะนำไปถวายในหลวง ท่านทรงทราบแล้วท่านบอกว่าถ้าหากทำได้ในราคาถูก แล้วเป็นคนไทยทำก็ดี พวกทหาร ตำรวจ ข้าราชการทางภาคใต้จะได้ใส่เกราะได้ เพื่อช่วยป้องกันชีวิตเขา ทีนี้พอ 'หลวงพ่อคูณ' ท่านทราบเรื่อง หลวงพ่อคูณทำยันต์มาให้ผมอีก และฝากบอกมาว่า 'กูแก่แล้ว พลังจิตกูก็ไม่ดี ให้หาพระหนุ่มๆที่พลังจิตเก่งๆ มาทั้ง 4 ภาคเลยนะให้มาทำพิธีกับกู'
"
"นี่ก็เป็นอีกเรื่องนึงที่น่าจะเกี่ยวข้องกับเจ้าแม่กวนอิม ท่านทิ้งพระนารายณ์มาให้นะครับ กับอีกเรื่องที่เกี่ยวกับเจ้าแม่ฯ ที่ผมสนใจมากคือ 'มะเร็ง' ที่เป็นในขั้นสุดท้ายแล้วมันฝ่อหายไปได้ยังไง ผมก็ยังอธิบายไม่ได้นะ ผมเขียนถึงเพื่อนถึงอาจารย์ที่ฮาวาร์ด พวกนี้เขาก็สนใจนะ เพราะของฝรั่งเขาก็มีอย่างที่เมืองฟาติมา ซึ่งเขาอ้างว่ามีเด็ก 3 คน เห็นพระแม่มารีอา แล้วที่นั่นคนที่ป่วยแล้วไปอธิษฐานเขาก็หายได้ อย่างเจ้าแม่กวนอิมนี่ก็แปลกอย่าง คือหมอไทยที่ป่วยแกเดินไม่ได้เลยนะขนาดไปกราบเจ้าแม่กวนอิมเขายังต้องอุ้มแกขึ้นไป พอแกกราบเสร็จ หมอคนนี้ซึ่งอายุ 60 กว่าเนี่ย แกบอกแกเห็นเลย เห็นเจ้าแม่ยืนอยู่ขณะที่คนอื่นไม่เห็นนะ และบอกว่า 'ให้ยืนขึ้น' แกก็บอกว่า 'ผมยืนไม่ได้มาตั้งนานแล้ว' แต่ท่านบอก "ได้ ยืนขึ้น" พอหมอยืนขึ้นก็ยืนได้น่ะขากลับไม่ต้องอุ้มนะ แกเดินลงมาเอง แล้วเดี๋ยวนี้ยังเดินอยู่เลย พวกหมอเองก็ยังพิศวง เอ๊ะ! คุณทำได้ยังไง ถ้าคิดในแง่ที่ว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์เนี่ยมีจริงและท่านช่วย มันก็อาจจะแหวกกฎวิทยาศาสตร์ต่างๆได้ สำหรับเจ้าแม่กวนอิมนี่ก็เป็นที่นับถือไปทั่วโลก และท่านก็ปรากฏให้ใครต่อใครเห็นหลายแห่งในประเทศไทยก็มีศาลของเจ้าแม่อยู่ทั่วประเทศ แต่ว่าเรื่องเจ้าแม่กวนอิมที่ปรากฏปาฏิหาริย์นี้ก็เป็นประสบการณ์ที่ผมพบมาเอง และผมก็อธิบายไม่ได้ แต่ผมเชื่อว่าท่านมาช่วย ซึ่งการจะช่วยได้เนี่ยมันขึ้นอยู่กับความเชื่อ และท่านก็บอกว่า คนที่ท่านช่วยเนี่ยถ้าเกิดกรรมเขาหนัก ท่านก็ช่วยไม่ได้ หลวงพ่อจรัลอาจารย์ผมท่านยังบอกเลยว่า 'คนธรรมดาเนี่ยสู้คนมีอิทธิฤทธิ์ไม่ได้ แต่คนที่มีอิทธิฤทธิ์มีพลังจิตสูง ก็สู้คนที่มีบุญฤทธิ์ไม่ได้ แต่ไม่ว่าจะมีบุญ มีฤทธิ์อะไรต่างๆ ถ้าหากกฎแห่งกรรมมาถึงเนี่ยก็แพ้ทุกราย'
"
"พวกมนุษย์ต่างดาวที่ผมสื่อกับพวกเขาก็บอกว่า 'ในโลกมนุษย์เนี่ยการเวียนว่ายตายเกิดและกฎแห่งกรรมทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่วมีจริง ใครทำดีก็ได้ผลตอบแทนที่ดีอาจจะช้าหรือเร็ว ใครทำไม่ดีผลตอบแทนที่กลับคืนมาไม่ดีเนี่ยอาจจะช้าหรือเร็วก็ได้ การตอบแทนความดีและความไม่ดีนี่เป็นสิ่งที่ยุติธรรมที่สุดในจักรวาล'"
หากเราเชื่อว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์มีจริง ผู้เขียนเชื่อว่าจะทำให้คนมีศีลธรรมกันมากขึ้น ส่วนความเป็นมาหรือต้นกำเนิดของ "เจ้าแม่กวนอิม" เป็นอย่างไรนั้น หลายคนอาจยังไม่ทราบ ฉบับหน้าตอนจบจึงเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับตำนาน การถือกำเนิด "พระมหาโพธิสัตว์กวนอิม" รวมถึงเรื่องเล่าขานในความศักดิ์สิทธิ์ ปาฏิหาริย์จากพระองค์ท่านเมื่อหลายร้อยปีก่อน




ที่มา : นิตยสารหญิงไทย
ฉบับที่ 732 ปีที่ 31 ปักษ์แรก

 

<TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD>ตำนานการกำเนิด "พระมหาโพธิสัตว์กวนอิม"</TD></TR><TR><TD>โดย สายทิพย์

</TD></TR></TBODY></TABLE>
<LINK href="/yingthai.css" type=text/css rel=stylesheet>

ตอนที่ จบ
พระมหาโพธิสัตว์กวนอิม" หรือ "เจ้าแม่กวนอิม" ที่ชาวไทย จีน นับถือกราบไหว้บูชากันนั้น มีเรื่องราวเล่าขานกันมานานแล้ว เราเชื่อกันว่าพระองค์เปี่ยมด้วยพระเมตตา เป็นผู้ที่ปัดเป่าทุกข์โศกให้สัตว์โลกรอดพ้นจากความทุกข์เข็ญ

เส้นทางการถือกำเนิดของ "เจ้าแม่กวนอิม" เกิดขึ้น ณ แผ่นดินเฮงลิ้ม อาณาจักรจีนในรัชสมัยของ "พระเจ้าเมี่ยวจึง" กษัตริย์ผู้ปกครองบ้านเมืองอย่างปราศจากทศพิธราชธรรม พระองค์ทรงโหดร้ายต่อราษฎรและไม่เลื่อมใสพระพุทธศาสนา มาวันหนึ่งพระองค์ตรัสหารือกับฮองเฮาแปะเง้สี มเหสีเอก ในเรื่องที่อยากได้พระโอรสไว้สืบราชสกุล ฮองเฮาจึงทูลว่าน่าจะไปบวงสรวงขอพระโอรสต่อ "เจ้าเขาแห่งฮั้วซัวไซงัก" เทพศักดิ์สิทธิ์ทางทิศตะวันตก เมี่ยวจึงฮ่องเต้จึงให้ทหารแต่งเครื่องสังเวยออกไปเซ่นไหว้ ณ ศาลเจ้าไซงัก
เมื่อเจ้าเขาไซงักรับเครื่องเซ่นไหว้แล้วได้พิจารณาว่า เมี่ยวจึงฮ่องเต้เป็นกษัตริย์ผู้โหดร้ายชอบฆ่าฟันและทำสงคราม จึงไม่ควรประทานโอรสไว้สืบตระกูล ทว่าการเสด็จมาทำบุญทำทานก็ถือว่าควรได้รับผลแห่งความดีบ้าง เจ้าแห่งขุนเขาไซงักจึงเมตตาประทานพระธิดาให้ 3 องค์ไปประสูติในพระครรภ์ฮองเฮา พระธิดาองค์แรกชื่อเมี่ยวเช็ง องค์ที่ 2 ชื่อเมี่ยวอิม และพระธิดาองค์สุดท้อง ชื่อว่าเมี่ยวเสียง ชีวิตของเจ้าหญิงเมี่ยวเสียงพระธิดาองค์เล็กนั้นแตกต่างจากพระธิดา เพราะทรงเสวยอาหารเจตั้งแต่อยู่ในครรภ์ คือระหว่างมีพระครรภ์เจ้าหญิงองค์นี้ฮองเฮาเสวยเนื้อไม่ได้เลย และเมื่อเติบโตขึ้นมาก็เป็นเจ้าหญิงที่ทรงพระสิริโฉมงดงามมาก แต่ที่งามกว่าพระสิริโฉมก็คือพระองค์เป็นผู้ที่มีพระทัยเมตตาแก่ทุกคนแม้เชลยศึกที่ถูกขังทรมาน เจ้าหญิงก็แอบไปช่วยเหลือ เพราะเจ้าหญิงได้ตั้งปณิธานไว้ว่าต้องการช่วยทุกชีวิตให้พ้นทุกข์และพบกับความสุข
ครั้งหนึ่งมีนักพรตชราท่านหนึ่งทูลแก่เมี่ยวจึงฮ่องเต้ว่า พระราชธิดาองค์นี้คือ "พระเมตตา" ลงมาประสูติเพื่อช่วยชาวโลกที่มีเคราะห์และนำพาเหล่ามนุษย์ให้สำเร็จเป็นพุทธะ ครั้งหนึ่งฮ่องเต้จึงลองให้พระราชธิดาทำให้ต้นไม้ที่แห้งตายแตกใบงอกงามภายใน 3 วัน ปรากฏว่าพระธิดาทำได้อย่างอัศจรรย์ จนเมื่อถึงวัยที่ต้องมีคู่ครอง เจ้าหญิงเมี่ยวเสียงทูลพระบิดาว่าจะขอออกบวชเป็น "ภิกษุณี" จนกว่าจะบรรลุพระโพธิสัตว์ ซึ่งฮ่องเต้ไม่พอพระทัยอย่างมาก แต่ก็ปล่อยให้เจ้าหญิงออกบวชเพราะคิดว่า เมื่อไปเจอความลำบากแล้วก็คงจะกลับวังเอง จึงรับสั่งให้ไปบวช ณ วัดนกขาวโดยงานทั้งปวงที่เป็นงานหนัก อาทิ กวาดลานวัด ตักน้ำ ผ่าฟืน ต้องทำเองทั้งหมด แต่ด้วยบารมีแต่ปางก่อน บวกกับปณิธานอันแน่วแน่ ส่งผลให้เทพยดามาช่วยงาน จึงทำให้เจ้าหญิงบำเพ็ญภาวนามากยิ่งขึ้น
ระหว่างที่เจ้าหญิงเมี่ยวเสียงออกบำเพ็ญธรรม ฮ่องเต้ก็กลั่นแกล้งต่างๆนานาแต่ก็สู้ผลแห่งความดีที่พระธิดาทำไว้ไม่ได้ ทำให้ฮ่องเต้เริ่มวิตกว่าบารมีของลูกสาวคนเล็กจะทำให้ประชาชนและทหารเกิดความเลื่อมใสจะพากันออกบวชกันหมดจนเสียกำลังสู้รบ ในที่สุดฮ่องเต้จึงมีบัญชาให้เผาพระอารามนกขาวให้หมด แต่ด้วยบารมีและจิตอธิษฐานของพระภิกษุณีเมี่ยวเสียงที่ขอรับกรรมแต่เพียงผู้เดียว อย่าให้เพลิงลุกลามไหม้ไปเดือดร้อนผู้ใด เมื่อเทวดาหยั่งทราบบารมีจึงบันดาลให้ฝนตกหนักเพื่อดับไฟ เมื่อฮ่องเต้ทราบเข้าก็ยิ่งโกรธกริ้วขึ้นไปอีก
สุดท้ายจึงเรียกพระธิดากลับวัง และสั่งให้ทหารประหารเจ้าหญิงต่อหน้าพระพักตร์แต่ปรากฏว่าคมหอกคมดาบ ศาสตราวุธใดๆก็ไม่สามารถทำร้ายเจ้าหญิงได้ ฮ่องเต้จึงพิโรธจนประกาศก้องให้นำผ้ามารัดคอให้ตาย แต่แล้วผ้าแพรผืนนั้นก็กลับกลายเป็นเสือขนาดใหญ่พาเจ้าหญิงออกจากวัง เมื่อหนีออกมาได้เสื้อตัวนั้นก็กลายร่างเป็นหนุ่มรูปงาม พร้อมขอเจ้าหญิงแต่งงาน แต่เจ้าหญิงมีจิตใจหนักแน่น มุ่งมั่นบำเพ็ญธรรมจึงได้กล่าวปฏิเสธไป เทพองค์นั้นจึงเปิดเผยออกมาว่า ความจริงแล้วต้องการทดสอบความแน่วแน่ของเจ้าหญิง สุดท้ายเทพองค์นั้น จึงร่วมอนุโมทนาบุญ พร้อมกับพาไปสู่ดินแดนอันสงบนเกาะแห่งหนึ่ง เพื่อให้เจ้าหญิงได้บำเพ็ญธรรมอย่างปราศจากความกังวลใดๆ
อีก 9 ปีต่อมาพระภิกษุณีเมี่ยวเสียงได้สำเร็จเป็นพระโพธิสัตว์มีธรรมฉายาว่า "กวนซีอิมผ่อสัก" อันมีความหมายว่า ผู้เพียรสดับหรือรับฟังเสียงแห่งโลกตามความจริง เพื่อช่วยเหลือโปรดสัตว์ดังเสียงที่ร้องขอความช่วยเหลือนั้น ฝ่ายฮ่องเต้เมี่ยวจึงขณะนั้นกลับประสบเคราะห์กรรมหนัก ข้าศึกจ้องมาทำลายเมืองขณะกำลังประหาร ที่สำคัญอาการประชวรก็ไม่มีซินแสคนใดรักษาได้ แต่ในที่สุดก็มีศิษย์พระโพธิสัตว์กวนอิมองค์หนึ่งได้แปลงกายเป็นสงฆ์ และใช้อุบายด้วยการเสนอตัวยาว่า ต้องใช้ "แขน" และ "ดวงตา" ของพระโพธิสัตว์มาทำยา ปรากฏว่าอุบายนี้ได้ผล พระโพธิสัตว์เจ้าแม่กวนอิมยอมสละแขนและดวงตา ตนเองมาทำยาเพื่อรักษาพระบิดาปรากฏว่าจากความดีครั้งนี้ได้ทำลายกำแพงความร้ายกาจของฮ่องเต้ได้หมด พระองค์ได้คิดว่าเจ้าแม่กวนอิมนั้นดีถึงขนาดยอมสละอวัยวะช่วยผู้อื่นโดยไม่ใส่ใจกับอดีตที่ถูกกลั่นแกล้งฮ่องเต้และพระราชวงศ์จึงสละราชสมบัติออกบำเพ็ญธรรมในบั้นปลายชีวิต
ด้วยแรงกตัญญูทำให้พระบิดาหายประชวรดังปาฏิหาริย์ ปรากฏว่าพระโพธิสัตว์กลับมีดวงตาเพิ่มขึ้นที่หน้าผาก และมีมือเพิ่มขึ้นเป็น 10 กร ประทับนั่งบนฐานดอกบัวลอยสู่อากาศ มีรัศมีสว่างแผ่กว้างทั่วสารทิศ ประชาชนพากันหมอบไหว้และกษัตริย์ก็ทรงเลื่อมใสพระพุทธศาสนาตั้งแต่นั้นมา
เรื่องราวเล่าขานถึงเจ้าแม่กวนอิมในทางปาฏิหาริย์นอกจากผู้นับถือชาวไทยหลายๆคนจะเคยสัมผัสแล้ว ในเมืองจีนก็ยังมีเรื่องเล่าทำนองนี้อยู่เหมือนกัน ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อหลายร้อยปีก่อนได้ปรากฏว่ามีพระสงฆ์ชาวญี่ปุ่นรูปหนึ่งมาแสดงธรรมในประเทศจีน ที่มณฑลอันฮุย ท่านเห็นพระแม่โพธิสัตว์กวนอิมปางสมาธิ ที่แกะจากหยกสีขาวองค์หนึ่งในวัด ท่านอยากจะได้เป็นสมบัติส่วนตัว แต่ไม่กล้าบอกให้เจ้าอาวาสที่วัดแห่งนั้นทราบจึงได้ขโมยหยิบมาไว้ในอกเสื้อแล้วหนีออกจากวัดเดินทางลงมาทางทิศใต้ เมื่อเรือแล่นมาถึงเกาะผู้โถวซัน ก็ปรากฏมีดอกบัวขึ้นอยู่เต็มพื้นน้ำ ขวางการเดินทาง เรือขยับไปทางไหนไม่ได้เลย นาน 3 วัน ท่านร้อนใจมากจึงคุกเข่าลง ตั้งจิตอธิษฐานว่าจะขออัญเชิญพระรูปของท่านไปประดิษฐานยังประเทศของตน ขอให้ท่านอนุญาตเปิดทางให้เรือเดินทางต่อไปได้ แต่ก็ไม่สัมฤทธิผล ท่านจึงอธิษฐานอีกครั้งว่าจะขออัญเชิญประดิษฐานไว้ ณ ที่แห่งนี้ ถ้าท่านอนุญาตก็ขอเปิดทางให้ เพื่อตนเองจะกลับประเทศญี่ปุ่นได้ เมื่ออธิษฐานเสร็จเหล่าดอกบัวก็หายวับไปกับตา พระสงฆ์รูปนี้จึงอัญเชิญขึ้นฝั่ง และปลูกกระท่อมหลังหนึ่งขึ้น ณ ที่นั้น ส่วนตัวท่านก็ไม่ได้กลับประเทศญี่ปุ่น แต่กลับปฏิบัติธรรมบูชาองค์พระแม่กวนอิมอยู่ที่นี่ตราบสิ้นอายุขัย
ปัจจุบันผู้คนจากทุกสารทิศที่นับถือองค์เจ้าแม่กวนอิมต่างรู้ดีว่าที่เกาะผู่โถวซันแห่งนี้เป็นต้นกำเนิดของเจ้าแม่กวนอิม และถือเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ทางพุทธศาสนาอันดับ 1 ใน 4 ของประเทศจีน ในอดีตเกาะแห่งนี้เคยเป็นสถานที่บำเพ็ญธรรม ปฏิบัติสมาธิเพิ่มพลังจิตและบูชาองค์พระแม่กวนอิมตั้งแต่ปี ค.ศ. 863 พุทธศาสนิกชนผู้นับถือองค์พระแม่ฯ จึงมักเดินทางที่เกาะแห่งนี้ เพื่อกราบไหว้และย้อนรำลึกถึงความเมตตาที่เจ้าแม่กวนอิมมีต่อผู้ตกทุกข์ได้ยากและสรรพสัตว์ทั้งหลาย




ที่มา :นิตยสารหญิงไทย
ฉบับที่ 733 ปีที่ 31 ปักษ์หลัง

 

[music]http://palungjit.org/attachments/a.97113/[/music]
.