เรื่องเด่น เคล็ดลับสู่ความสำเร็จ โดยสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี)

​

เคล็ดลับสู่ความสำเร็จ

ท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒ<wbr>าจารย์ (โต พรหมรังสี) กล่าวว่าเคล็ดลับสู่ความสำเ<wbr>ร็จสุดยอดในทางธรรม

คือ จะต้องมีสัจจะอัน แน่วแน่และมีขันติธรรมอันมั<wbr>่นคง จึงจะฝ่าฟันอุปสรรคบรรลุควา<wbr>มสำเร็จได้

...อาตมามีกฎอยู่ว่า เช้าตีห้าไม่ว่าฝนจะตก ฟ้าจะร้อง อากาศจะหนาว ต้องตื่นทันที ไม่มีการผัดเวลา แล้วเข้าสรงน้ำ ชำระกายให้สะอาด แล้วจึงได้สวดมนต์และปฏิบัต<wbr>ิสมถกรรมฐานหนึ่งชั่วโมง พอหกโมงตรงก็ออกบิณฑบาต เพื่อ ปฏิบัติตามปฏิปทาขององค์สมเ<wbr>ด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ฝึกจิตให้ได้ผลต้องตรงต่<wbr>อเวลา
กลับจากบิณฑบาตแล้ว ก็เอาอาหารตั้งไว้ ตักน้ำใส่ตุ่ม เสร็จแล้วฉันอาหารเช้า โดยปกติอาตมาฉันมื้อเดียวเว<wbr>้นไว้มีกิจนิมนต์ จึงฉันสองมื้อ สี่โมงเช้าถึงเที่ยง ถ้ามีรายการไปเทศน์ ก็ไปเทศน์ตามที่นัดไว้ วันไหนไม่ติดเทศน์ก็ จะปิดประตูกุฏิทันที ไม่ให้ใครๆเข้าไป ใน ช่วงเวลานั้นเป็นเวลาศึกษาต<wbr>ำรา เวลาบ่ายโมงจึงออกรับแขก บ่ายสามโมงไม่ว่าใครจะมาอาต<wbr>มาจะให้ออกจากกุฏิไปหมด เพราะถึงเวลาปฏิบัติวิปัสสน<wbr>ากรรมฐาน ฉะนั้น จุดสำคัญจงจำไว้ เราจะปฏิบัติเพื่อ หลุดพ้น ต้องมีสัจจะเพื่อตน โดยไม่เห็นแก่หน้าใคร ถึงเวลาทำสมาธิต้องทำ ไม่มีการผัดผ่อนใดๆ ทั้งสิน

หลักการปฏิบัติวิปัสสนากรรม<wbr>ฐาน

1.จะต้องมีสัจจะต่อตนเอง
2.จะต้องไม่คล้อยตาม อารมณ์ของมนุษย์
3.พยายามตัดงานในด้าน สังคมออก และไม่นัดหมายใครในเวลาปฏิบ<wbr>ัติกรรมฐาน

ดังนั้นเมื่อจะเป็นนักปฏิบั<wbr>ติธรรมจำเป็นจะต้องมีกฎเกณฑ<wbr>์ของเรา เพื่อฝึกจิตให้เข้มแข็ง

ทางแห่งความหลุดพ้น

...เจ้าประคุณสมเด็จฯ มักจะกล่าวกับสานุศิษย์ทั้ง<wbr>หลายอยู่เสมอว่าชีวิตมนุษย์<wbr>อยู่ได้ไม่ถึงหนึ่งร้อย ปีก็ต้องตายและถูกหามเข้าป่<wbr>าช้า ดัง นั้นจึงควรประพฤติปฏิบัติอย<wbr>ู่ใน ศีล สมาธิ และปัญญา เพื่อให้หลุดพ้นจากสังสารวั<wbr>ฏท่านเปรียบเทียบว่า มนุษย์อาบน้ำ ชำระกายวันละสอง ครั้งเพื่อกำจัดเหงื่อไคลสิ<wbr>่งโสโครกที่เกาะร่างกาย แต่ไม่เคยคิดจะชำระจิตให้สะ<wbr>อาดแม้เพียงนาที ด้วยเหตุนี้ ทำให้จิตใจของมนุษย์ ยุคปัจจุบันเศร้า หมองเคร่งเครียดและดุดัน ก่อ ให้เกิดปัญหาความพิการในสัง<wbr>คมความแก่งแย่งชิงดีชิงเด่น<wbr>กัน จนกระทั่งเกิดความขัดแย้ง และกลายเป็นสงครามมนุษย์ฆ่า<wbr>มนุษย์ด้วยกัน

แต่ง ใจ

...ขอให้ท่านได้พิจารณาไตร่<wbr>ตรองให้จงดีเถิดว่า ร่างกายของเรานี้ไฉนจึงต้อง<wbr>ชำระทุกวันทั้งเช้าและเย็นจ<wbr>ะขาดเสียไม่ได้ทั้งที่ หมั่นทำความสะอาดอยู่เป็นนิ<wbr>จ แต่ ยังมีกลิ่นไม่น่าอภิรมย์ออก<wbr>มา แม้จะพยายามหาของหอมมาทาทับ<wbr> ก็ปกปิดกลิ่นนั้นไม่ได้ ...ใจของเราล่ะ ซึ่งเป็นใหญ่กว่าร่างกายเป็<wbr>นผู้สั่งบัญชางาน ให้กายแท้ๆ มีใครเอาใจใส่ชำระสิ่งสกปรก<wbr>ออกบ้าง ตั้งแต่เล็กจนเติบโตเป็นผู้<wbr>ใหญ่ มัน สั่งสมสิ่งไม่ดีไว้มากเพียง<wbr>ใด หรือว่ามองไม่เห็นจึงไม่มีค<wbr>วามจำเป็นที่จะต้อง ทำความสะอาดหรือ?

กรรมลิขิต

...เราทั้งหลายเกิดมา เป็นมนุษย์ชาติแล้ว ล้วนแต่มีกรรมผูกพัน กันมาทั้งสิ้น ผูกพันในความเป็นมิตรบ้างเป<wbr>็นศัตรูบ้าง แต่ละชีวิตก็ย่อมที่จะเดินไ<wbr>ปตามกรรมวิบากของตนที่ได้กร<wbr>ะทำไว้ ทุกชีวิตล้วนมีกรรม เป็นเครื่องลิขิต
อดีตกรรม ถ้ากรรมดี เสวยอยู่
ปัจจุบันกรรม สร้างกรรมชั่ว ย่อม ลบล้าง
อดีตกรรม กรรมแห่งอกุศล วิบากตน
ปัจจุบันสร้างกรรมดี ย่อมผดุง


เรื่องกฎแห่งกรรม ถ้าเป็นชาวพุทธแล้ว เขาถือว่าเป็นกฎแห่งปัจจังต<wbr>ัง ผู้ที่ต้องการรู้ ต้องทำเอง รู้เอง ถึงเอง แล้วจึงจะเข้าใจ

นักบุญ

...การทำบุญก็ดี การทำสิ่งใดก็ดี ถ้าเป็นการทำตนให้ละทิฏฐิมา<wbr>นะทำเพื่อให้จิตเบิกบาน ย่อมเสวยบุญนั้นในปรภพ มนุษย์ทุกวันนี้ทำแบบมีกิเล<wbr>ส ดังนั้น บางคนนึกว่าเข้า สร้างโบสถ์เป็นหลังๆ แล้วเขาจะไปสวรรค์หรือเปล่า<wbr> เขาตายไปอาจจะต้องตกนรก เพราะอะไรเล่า เพราะถ้าเขาสร้างด้วยเจตนาไ<wbr>ม่บริสุทธิ์ เป็น การทำเพื่อเอาบุญบังหน้าในก<wbr>ารเสวยความสุขส่วนตัวก็มี บางคนอาจเรียกได้ว่าหน้าเนื<wbr>้อใจเสือ คือข้างหน้าเป็นนักบุญ ข้างหลังเป็นนักปล้น

ละความตระหนี่มีสุข

...ดังนั้นบุญที่เขาทำนี้ถื<wbr>อว่า ไม่เป็นสุข หากมาจากการก่อกรรม บุญนั้นจึงมีกระแส คลื่นน้อยกว่าบาปที่เขาทำเอ<wbr>าไว้หากมีใครเข้าใจคำว่า บุญ นี้ดีแล้ว การทำบุญนี้จุดแรกใน การทำก็เพื่อไม่ให้เรานี้เป<wbr>็นคนตระหนี่ รู้จัก เสียสละเพื่อความสุขของผู้อ<wbr>ื่น ธรรมดาเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน เมื่อมีทุกข์ก็ควรจะทุกข์ด้<wbr>วย เมื่อมีความสุขก็ควรสุขด้วย<wbr>กัน

อย่าเอาเปรียบเทวดา

...ในการทำบุญ สิ่งที่จะได้ก็คือ ระหว่างเราผู้เป็นมนุษย์เรา<wbr>รู้ว่าสิ่งที่เราทำนี้จะเป็<wbr>นมงคล ทำให้จิตใจเบิกบานดีนี่คือก<wbr>ารเสวยผลแห่งบุญในปัจจุบัน ทีนี้การทำบุญเพื่อ จะเอาผลตอบแทนนั้น มนุษย์นี้ออกจะเอาเปรียบเทว<wbr>ดา ทำบุญครั้งใด ก็ปรารถนาเอาวิมานหนึ่งหลัง<wbr>สองหลัง การทำบุญแบบนี้เรียกว่า ทำเพราะหวังผลตอบแทน ด้วยความโลภ บุญนั้นก็ย่อมจะไม่มีผล ท่านอย่าลืมว่า ในโลกวิญญาณเขามีกระแสทิพย์<wbr>รับทราบในการทำของมนุษย์แต่<wbr>ละคนเขามีห้องเก็บบุญและบาป<wbr>แห่งหนึ่งอันเป็นที่เก็บบุญ<wbr>และบาปของใครต่อใครและของเร<wbr>ื่องราวนั้นๆ กรรมของใครก็จะ ติดตามความเคลื่อนไหวของตนๆ<wbr>นั้น ไป ตลอดระหว่างที่เขายังไม่สิ้<wbr>นอายุขัย

บุญบริสุทธิ์

...การที่สอนให้ทำบุญโดยไม่<wbr>ปรารถนานั้นก็เพื่อให้กระแส<wbr>บุญนั้นบริสุทธิเป็นขั้นที่<wbr>หนึ่ง จะได้ตามให้ผลทันใน ปัจจุบันชาติ แต่ถ้าตามไม่ทันในปัจจุบันช<wbr>าติ ก็ติดตามไปให้เสวยผลในปรภพค<wbr>ือ เมื่อสิ้นอายุขัยจากโลกมนุษ<wbr>ย์ไปแล้ว ฉะนั้นเขาจึงสอนไม่ให้ทำบุญ<wbr>เอาหน้า ทำบุญอย่าหวังผลตอบแทน สิ่งดีที่ท่านทำไปย่อมได้รั<wbr>บสนองดีแน่นอน

สั่งสมบารมี

...โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สำหรับนักปฏิบัติธรรมแล้ว การทำบุญทำทานย่อมเป็นการส่<wbr>งเสริมการปฏิบัติจิตให้บรรล<wbr>ุธรรมได้เร็วขึ้นเป็นบารมีอ<wbr>ย่างหนึ่ง ในบารมีสิบทัศที่ ต้องสั่งสม เพื่อให้สำเร็จมรรคผลนิพพาน

เมตตา บารมี

...การทำบุญให้ทานเพียง แต่เรียกว่า ทานบารมี หากบำเพ็ญสมาธิจิตจน ได้ญาณบารมี และโดยเฉพาะการบำเพ็ญทุกอย่<wbr>างนั้น ถ้าท่านให้โดยไม่มีเจตนาแห่<wbr>งการให้ ให้สักแต่ว่าให้เขาท่านก็ย่<wbr>อมได้กุศลเรียกว่าไม่มากและ<wbr>ทัศนคติของ อาตมาว่าการบำเพ็ญเมตตาบารม<wbr>ีในภาวนาบารมีนั้นได้กุศลกร<wbr>รมกว่าการให้ทาน


แผ่เมตตาจิต

...ทุกสิ่งทุกอย่างที่จะสัม<wbr>ฤทธิ์ผลนั้น เกิดจากกรรม 3 อย่าง คือ มโนกรรม เป็นใหญ่ แล้วค่อยแสดงออกมาทางวจีกรร<wbr>ม หรือกายกรรมที่เป็นรูป การบำเพ็ญสมาธิจิตเป็นกุศลด<wbr>ีกว่า เพราะว่า การแผ่เมตตา 1 ครั้ง ได้กุศลมากกว่าสร้าง โบสถ์ 1 หลัง ขณะจิตที่แผ่เมตตานั้น จะเกิดอารมณ์แจ่มใส สรรพ สัตว์ไม่มีโทษภัย ตัวท่านก็ไม่มีโทษภัย ฉะนั้น เขาจึงว่านามธรรมมีความสำคั<wbr>ญกว่า

อานิสงส์การแผ่เมตตา

...ผู้ปฏิบัติธรรมนั้น ต้องรู้จักคำว่า แผ่เมตตา คือต้องเข้าใจว่า ความวิเวกวังเวงแห่ง การคิดนึกของเราแต่ละบุคคลน<wbr>ั้น มี กระแสแห่งธาตุไฟผสมอยู่ในจิ<wbr>ตและวิญญาณกระจายออกไปเมื่อ<wbr>จิตของเรามี เจตนาบริสุทธิ์ เมื่อจิตของเราเป็น มิตรกับทุกคน เมื่อนั้นเขาก็ย่อมเป็นมิตร<wbr>กับเรา เสมือนหนึ่งเราให้เขากินอาห<wbr>าร คนที่กินอาหารนั้นย่อมคิดถึ<wbr>งคุณของเรา หรือ อีกนัยหนึ่งว่าเราผูกมิตรกั<wbr>บเขาๆก็ย่อมเป็นมิตรกับเรา แม้แต่คนอันธพาล เราแผ่เมตตาจิตให้ ทุกๆวัน สักวันหนึ่งเขาก็ต้องเป็นมิ<wbr>ตรกับเราจนได้ เมื่อจิตเรามีเจตนาดีต่อดวง<wbr>วิญญาณทุกๆดวง ดวงวิญญาณทุกๆดวงย่อมรู้กระ<wbr>แสแห่งจิตของเรา เรียกว่ามนุษย์เรานี้มีกระแ<wbr>สธาตุไฟออกจากสังขาร เพราะเป็นพลังแห่งการนั่งสม<wbr>าธิจิต วิญญาณ จะสงบ ธาตุทั้ง 4 นั้น จะเสมอแล้วจะเปล่งเป็นพลังง<wbr>านออกไป ฉะนั้น ผู้ ที่นั่งสมาธิปฏิบัติอย่างสม<wbr>่ำเสมอ จิตแน่วแน่แล้ว โรคที่เป็นอยู่มันจะหายไป ถ้าสังขารนั้นไม่ใช่ จะพังเต็มทีแล้ว คือไม่ถึงวาระสิ้นอายุขัย หรือ ว่าสังขารนั้นร่วงโรยเกินไป<wbr>แล้ว ก็จะรักษาให้มันกระชุ่มกระช<wbr>วยได้หรือจะให้มันสบายหายเป<wbr>็นปกติดั่งเดิมได้

ประโยชน์จากการฝึกจิต

...ผู้ที่ปฏิบัติวิปัสสนากร<wbr>รมฐาน จนมีสมาธิแน่วแน่ เมื่อจิตนิ่งก็รู้ตน เริ่มพิจารณาตน รู้ตนเองได้ ปัญญาก็เกิดขึ้น ปัญญานี้เรียกว่า ปัญญาภายในจากจิตวิญญาณ ซึ่งเราจะใช้ปัญญานี้ได้แน่<wbr>นอน เมื่อเกิดมีปัญหา ขึ้นในชีวิตตลอดระยะเวลาอัน<wbr>ยาวนานข้างหน้า นี่ คือประโยชน์ของการฝึกจิตแล้<wbr>ว คุณของสมาธิยังเป็นพลังป้อง<wbr>กันไม่ให้เกิดโรคภัย เจ็บป่วยได้ กล่าวคือ

การบำเพ็ญจิต จนจิตสงบนิ่งแล้ว ระบบต่างๆทางประสาทจะได้รับ<wbr>การพักผ่อน เป็น การปรับธาตุในกายให้เกิดพลั<wbr>งจิตเข้มแข็ง กายเนื้อก็จะแข็งแรงกระชุ่ม<wbr>กระชวยด้วย โลหิต ในร่างกายจะหมุนเวียนสะดวกข<wbr>ึ้น ความตึงเครียดตามร่างกายและ<wbr>ประสาทต่างๆ จะผ่อนคลายเป็นปกติ โรคต่างๆจะลดน้อยลงโดยเฉพาะ<wbr>ผู้ที่ป่วยเป็นโรคความดันโล<wbr>หิตสูง หายป่วยได้ด้วยการฝึกจิตและ<wbr>เดินจงกรม


คัดลอกจากหนังสือเรียน ธรรมะบูชาพระสุปฏิปันโน เล่มของ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี)

 

อภิวาทวันทา
อนุโมทนา สาธุ...สาธุ...สาธุ...
อนุโมทามิ​

 

กราบอนุโมทนา สาธุ สาธุ สาธุ ค่ะ ^_^

 

กราบอนุโมทนา สาธุ สาธุ สาธุ ครับ ^_^
<!-- google_ad_section_end -->

 

..กราบอนุโมทนาสาธุ..ค่ะ

 

ขออนุโมทนาบุญที่ท่านได้นำความจริงนี้มาเผยแพร่ด้วยค่ะ สาธุ..

 

Anumothana Sathu.....Sathu

 

กราบอนุโมทนาสาธุค่ะ


​

 

กราบอนุโมทนาสาธุค่ะ

 

สาธุ อนุโมทนาบุญค่ะ
ผู้ที่ฝึกจิตดีแล้ว คือผู้ที่ ไม่ประมาท

 

สมเด็จโต พรหมรังสี

ขออนุโทนา สาธุ สำหรับ พระธรรมคำสอน

และพุทธโอวาศ ของหลวงปู่่โต ที่ผู้มีจิตศัรทธา นำเสนอ

 

โมทนาบุญ อย่างยิ่งคับ
_____________________________________________________________________________________________________________________________
มีบุญมาฝากคับทางกลุ่มพระพุทธศาสนา ม. สงขลานครินทร์ ภูเก็ต ได้ จัดทำโครงการแจกสือ่ ธรรมะของสายหลวงพ่อฤาษีลิงดำคับ เพราะ ที่นี่มีเด็กหลายคนสนใจมาฝึกมโนมยิทธิและหันมาทำความดีกัน เนื่องด้วย สื่อ ธรรมะ ของหลวงพ่อ ครับทางชมรมเลยจัดโครงการแจกสือ่ธรรมะเป็นสาธารณะประโยชน์ แก่ โรงเรียน ห้องสมุดต่างๆเพื่อ ชักจูง คนให้เป็นสัมมาทิฐิและเป็นกำลังพระศาสนา สืบต่อไปครับ
ขอให้ชาวเวปพลังจิตทุกท่าน เจริญขึ้นทั้งทางโลก และทางธรรม เข้าถึงธรรมขององค์สมเด็จฯ ได้โดยง่ายครับ

เข้าชมรายละเอียดได้ที่http://palungjit.org/threads/ขอเชิญร่วมบุญ-โครงการธรรมทานกับนักศึกษามหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์-ภูเก็ต-218421.html<O></O>


ขอเชิญร่วมสร้าง ถนน สายบุญ พระพุทธบาทสี่รอย ซึ่งเป็นที่น่าสักการะ และศักดิ์สิทธิ์อย่างยิ่งด้วยพุทธานุภาพของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ในกัปเจริญนี้

http://palungjit.org/.105/เชิญร่วมทำบุญสร้างถนนสายบุญ.235467/

 

สาธุครับ

-มหาโมทนากับกุศลจิตทุกท่าน ขอให้สำเร็จตามที่ปรารถนาครับ

สาธุ

 

อนุโมทนาสาธุค่ะ ขอบุญกุศลพึงมีให้ทุก ๆ ชีวิตที่อยู่ในโลกใบนี้

 

สาธุ ขออนุโมทนาบุญกับธรรมทานของท่านเป็นอย่างสูงครับ

 

อนุโมทนา สาธุครับซึ่งเป็นเคล็ดลับที่พุทธศาสนิกชนสามารถกระทำได้

 

อนุโมทนบุญค่ะ

แค่ไม่ทุกข์ก็สุขแล้ว;k05

 

ขอกราบอนุโมทนากับเจ้าของกระทู้คะได้ความรู้มากมายคะ
แค่ไม่ทุกข์ก็สุขแล้ว;k05<!-- google_ad_section_end -->
yes, i"m happy kha ^_^

 

ขอกราบอนุโมทนาในคำสอนอันยังประโยชน์
แก่สาธารณชนทั้งหลาย และตัวข้าพเจ้าด้วยครับ