ถามมาสิจ๊ะ...แม่ชีณัฐทิพย์ ตนุพันธ์ ยินดีตอบจ้า...

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย DevilBitch, 14 สิงหาคม 2006.

  1. hongsanart

    hongsanart เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    1,332
    ค่าพลัง:
    +10,468
    เจริญธรรม...

    แม่ชีเคยตอบแล้วแต่ว่ามันหลุด...อย่าเพิ่งท้อแท้นะ

    ชีวิตนี้เป็นของเรา แล้วเราจะเอาชีวิตของผู้อื่นมากำหนดชีวิตของเราทำไม?

    รู้ทุกข์ในทุกข์ รู้สุขในทุกข์ รู้ทุกข์ในสุข รู้สุขในสุข ทิ้งทั้งทุกข์และไม่ยึดสุข นี่แหละคือนิพพาน

    เราเกิดมาก็ตัวคนเดียว ตายก็ต้องตายคนเดียว แต่เราต้องอยู่ร่วมรวมกันกับคนทั้งโลก เพราะว่าบนโลกนี้ไม่ได้มีเราคนเดียว

    ไม่มีเพื่อนเพราะไม่คบใครมั้ง? หรือไม่พยายามเข้าใจผู้อื่นบ้างหรือเปล่า? อย่ามัวแต่ให้ผู้อื่นมาเข้าใจเราแต่ฝ่ายเดียวเลย แต่เราต้องพยายามเข้าใจผู้อื่นก่อนเป็นไร?

    เมื่อถ้าเราเข้าใจโลกและผู้อื่นจริงๆแล้ว ก็จะมีผู้อื่นเข้าใจเราด้วยเช่นกัน อย่าเพิ่งมองโลกและผู้อื่นในแง่ลบหรือแง่ร้ายเลย โลกนี้ยังสวยงามเสมอถ้าเราทำให้สวยงาม

    โลกสวยด้วยมือเรา...ชีวิตนี้งดงามด้วยพฤติกรรมของเรา

    อย่าเพิ่งท้อสิ การท้อจะทำให้ชีวิตจิตใจห่อเหี่ยว คุณภาพชีวิตของเราหดหายลง ในขณะที่คนอื่นก้าวหน้า เนื่องจากท้อแต่ไม่ถอย ส่วนเราล่ะมัวแต่ท้อและเหนื่อยหน่าย และสุดท้ายก็จะถอยไป ...

    เราเลือกหน้าที่ของเราเองไม่ใช่หรือ? คนดีจริงจึงต้องมีหน้าที่ รู้หน้าที่ ทำหน้าที่อย่างมีระบบ มีระเบียบ มีกฎเกณฑ์ มีเหตุมีผล มีคุณธรรม นี่สิจึงจะเป็นคนดีจริง...

    แม่ชีอยากเห็นคนในโลกนี้รู้หน้าที่ของตนที่ตนเลือก ทำหน้าที่อย่างมีระเบียบ มีระบบ มีกฎเกณฑ์ มีวินัย มีคุณธรรมในตัวเอง จึงต้องทำหน้าที่ของตัวเองอย่างเต็มที่ แต่ไม่เร่าร้อนกับหน้าที่ เพราะเราเป็นผู้เลือกหน้าที่นี้เองโดยไม่มีใครบังคับ นอกจากตัวเราเองที่บังคับตัวเอง

    พยายามทำความเข้าใจกับธรรมชาติ ความเป็นจริงของสังคมโลกเถอะและปรับเปลี่ยนเป้าหมายในชีวิตใหม่ รวมทั้งรีบดำเนินชีวิตของเราใหม่ ""เหนื่อยแต่สุขใจ ดีกว่าสบายแต่ใจเป็นทุกข์"" ไม่ดีกว่าหรือ?

    แม่ชีเป็นกำลังใจให้สู้ต่อไปอย่างผู้ใช้ปัญญา วันนี้อาจจะท้อบ้างแต่เวลาต่อไปต้องอย่าท้อให้มากกว่าเดิมนะ...

    ธรรมะสวัสดี สาธุ!!!!!
     
  2. hongsanart

    hongsanart เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    1,332
    ค่าพลัง:
    +10,468
    เจริญธรรมผู้ปรารถนานิพพานทุกท่าน

    หลายคนอยากไปนิพพาน ฉะนั้นการจะไปนิพพานได้นั้นมันก็จะต้องมีการรู้
    นิพพานเป็นเรื่องของการพัฒนาความรู้ขึ้นโดยลำดับ นิพพานไม่ใช่การนั่งหลับตาอย่างเดียว

    รู้อะไร? รู้ในสิ่งที่ควรรู้ รู้เพื่อรู้ และไม่ยึดรู้ แต่ต้องรู้...สรรพสิ่งทั้งหลายในโลกมีไว้ให้เรียนรู้
    อย่างเช่น การเกิด แก่ เจ็บ ตายเป็นเรื่องที่ต้องรู้


    หน้าที่ การอยู่รวมกันอย่างผู้มีคุณธรรมนี่เป็นสิ่งที่ควรรู้ เรื่องของความดี ความชั่วนี่ก็ต้องรู้ และที่มากกว่านั้นคือต้องรู้การไม่ยึดกับสิ่งทั้งหลายที่รู้

    ปัญญาจึงเป็นบ่อเกิดของความรู้ ในการที่จะกระทำหรือไม่กระทำ
    สติที่มั่นคงแน่วแน่จึงเป็นที่มาของสมาธิ เมื่อมีสมาธิที่ตั้งมั่น ความประมาทย่อมเกิดขึ้นน้อย
    และถึงแม้ว่าจะเกิด ก็หาทางแก้ไขได้โดยไว ทำได้อย่างนี้แล้วทุกข์จะมีมาแต่ไหน?


    ฉะนั้นบุคคลผู้หวังนิพพาน จึงต้องรู้ จึงจะเรียกว่าตื่น ตื่นมาเพื่อรู้ รู้แล้วก็จะทำให้เราตื่น ความเบิกบานย่อมเกิดขึ้นโดยฉับพลัน ตื่นรู้ รู้ตื่น ตื่นทำ ตามเป้าหมายแห่งสายนิพพาน
    รู้เท่าทันกับสภาพความเป็นจริง รู้ตัวทั่วพร้อมกับอารมณ์ผสมการกระทบ
    การกระทำของสิ่งเร้าภายนอก ทำความเข้าใจ และปล่อยวางได้ นั่นแหละคือนิพพาน


    เช่น โกรธ ก็รู้ว่าโกรธแล้วโกรธอะไรเล่า? โกรธทำไม? โกรธใคร? โกรธแล้วได้อะไรกับการโกรธ
    เราห้ามโกรธไม่ได้ แต่เราสามารถพิจารณากับความโกรธและรู้เท่าทันกับความโกรธได้
    เมื่อรู้ก็จะทำให้คลายความโกรธจนถึงกับละและดับโกรธได้ในที่สุด เรื่องอื่นก็เช่นกัน


    นิพพานนั้นมี 2 แบบ คือนิพพานขณะยังมีชีวิต มีสังขาร และนิพพานเมื่อสังขารดับ
    หมายความว่า เราสามารถทำให้ถึงนิพพานได้ตลอดเวลาของการมีชีวิตประจำวัน
    เพื่อการเก็บสะสม และเมื่อสังขารดับ นิพพานถาวรจึงบังเกิดขึ้น โดยที่ไม่ต้องมีเชื้อแห่ง
    กิเลสมาก่อให้ต้องเกิดอีก หมดกรรมชั่วและไม่มีกรรมดี แต่ต้องทำดีไว้ เพื่อปราบปรามความชั่ว
    หนทางในการกระทำสู่นิพพานคือ การดำเนินทางตามมรรคมีองค์ 8 อันมีสัมมาทิฎฐิเป็นต้น ซึ่งย่นย่อลงมาเหลือ ปัญญา ศีล และสมาธิ กล่าวคือ ปัญญาเป็นความรู้ เป็นตัวชี้ให้เห็นถึงสิ่งผิดชอบชั่วดี เมื่อรู้ว่าสิ่งไหนดีที่ควรกระทำ และสิ่งไหนที่ไม่ดีไม่ควรกระทำ
     
  3. hongsanart

    hongsanart เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    1,332
    ค่าพลัง:
    +10,468
    การรักษาซึ่งศีลย่อมมีตามมาแน่นอน เมื่อศีลไม่พร่อง สมาธิจิตตั้งมั่นย่อมเกิดย่อมมีขึ้น

    แต่เราเอาศีลมากล่าวสอนให้คนรักษาก่อน ซึ่งก็จะเป็นการบรรเทาการเบียดเบียนซึ่งกันและกัน
    ในเบื้องต้น และเริ่มสอนให้ทำสมาธิเพื่อให้จิตไม่หวั่นไหว กายไม่ซัดซ่ายซวนเซไปก่อการเกเร เมื่อทนได้ทำได้ ก็จะสอนความรู้ในขั้นต่อไปโดยลำดับ

    การสอนเช่นนี้อาจทำให้หลายคนทำแล้วเกิดความเบื่อหน่ายคลายความเพียรและอาจจะเลิกทำไปในที่สุด
    เพราะขาดความอดทน ผลที่สุดก็ละทิ้งหนีนิพพาน ด้วยคิดว่ายากเย็นแสนเข็ญ

    หันกลับมาศึกษานิพพานใหม่เถอะ...เพียงทำชีวิตให้เป็นปกติ
    ดำเนินชีวิตแบบสบายๆ โดยไม่เบียดเบียนตัวเองและไม่เบียดเบียนผู้ใดรวมทั้งสัตว์ทั้งหลายด้วย รู้เท่าทันกับสิ่งที่เกิดและแก้ไขให้ลุล่วงไปด้วยดี เกิดผลที่ดีทั้งต่อตนและบุคคลอื่น

    เรียกว่าทำตาม อริยสัจธรรม หรืออริยสัจ 4

    จงจำไว้เถิดว่า การแก้ปัญหาจะเป็นหนทางที่ดี กว่าการหนีปัญหา

    ใช้ความคิดอย่างเป็นระบบ มีระเบียบ มีหลักเกณฑ์ มีหลักการ มีหลักเหตุและหลักผล มีอุดมการที่ดีด้วยคุณธรรม เกิดเป็นวิจารณญาณ เกิดเป็นปัญญาญาณ หรือญาณทัศนะ นี่แหละ ที่เรียกว่าเป็นคนดี เมื่อเป็นคนดีแล้วจึงต้องไม่ยึดกับสิ่งที่ตนทำดี

    แต่สิ่งที่ตนทำดีนั้นจะเกิดเป็นผลดีแก่ตน หนทางสายนี้จึงมุ่งสู่นิพพานโดยแท้
    เพราะเป็นทางแห่งความเย็นใจ ความสงบสุขแห่งจิต จึงควรรักษาความสงบเช่นนี้ไว้


    หวังว่าคงจะเป็นประโยชน์แก่สาธุชนผู้หวังนิพพานกันโดยถ้วนหน้า
    ธรรมะสวัสดี สาธุ!!!!!!!
     
  4. hongsanart

    hongsanart เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    1,332
    ค่าพลัง:
    +10,468
    สาธุ...สาธุ...สาธุ...อนุโมทามิ[b-wai] [b-wai]
     
  5. hongsanart

    hongsanart เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    1,332
    ค่าพลัง:
    +10,468
    เจริญธรรม เจริญสุข สวัสดี.....

    วันนี้อยากจะฝากธรรมะที่ดีๆไว้เป็นข้อคิดอีกสักนิด...

    นั่นคือ... เรื่องหน้าที่ เพราะหน้าที่นี้เป็นสิ่งที่ทุกคนพึงมีและพึงต้องกระทำ
    หน้าที่อะไร? หน้าที่ๆทุกคนได้เกิดมาบนโลกใบนี้ และเกิดมาทำไม?
    ตอบง่ายๆก็คือ... เกิดมาทำหน้าที่

    หน้าที่ๆทุกคนต้องกระทำคือ การสร้างความดีเพื่อให้ตนพ้นทุกข์...
    แล้วอะไรที่เรียกว่าดี?...คนเราจะดีได้นั้นมันต้องสร้าง ต้องมีสามัญสำนึกที่ดี นั่นคือ ต้องเรียนรู้หนทางการสร้าง การทำความดีให้เกิดมีในตน

    "ความดี" เป็นคุณธรรมสำหรับ" คนดี"คนดีไม่ได้หมายความว่า ปากดี หรือกายดีอย่างเดียว แต่คนดีโดยแท้นั้นจะต้อง คิดดี แล้วส่งผลออกมาเป็นการกระทำ การแสดงที่ดีทางกาย รวมทั้งทางวาจาที่ดี

    หน้าที่ของคนดีก็คือ ทำหน้าที่ของตนให้ดี เพื่อจะได้รับผลของการทำหน้าที่ๆดี แต่ไม่ใช่หวังผลของการทำดีหรือเป็นคนดี

    คนดีต้องทำตามมรรคมีองค์8 ในชีวิตประจำวัน และเมื่อเจอปัญหา ก็ต้องใช้หลักอริยสัจ4 แก้ไข ปลูกจิตใจให้มีคุณธรรมด้วยการมี หิริโอตตัปปะ คือ ละอายและเกรงกลัวต่อบาปกรรมที่จะทำ เพียรพยายามทำงานให้ก้าวหน้าด้วยการมี อิทธิบาท 4 คือ ฉันทะ วิริยะ จิตตะ และวิมังสา

    เมื่อพยายามอย่างยิ่งยวดด้วยตนเองแล้ว ไม่ได้เป็นไปตามเป้าหมาย ก็ต้องพึ่งพามันสมองของผู้รู้ให้ช่วยแนะแนวทางต่อไป หรืออาจจะเปลี่ยนวิธีใหม่แต่เป้าหมายคงเดิม

    เมื่อประสบผลสำเร็จก็อย่าลำพองจนเกินความพอดี หมั่นหาวิธีป้องกันและพัฒนาต่อไป

    หน้าที่ๆตนเลือกแล้วก็จงทำหน้าที่ๆตนได้เลือกต่อไป เมื่อแก้ไขปัญหาได้ ปล่อยวางกับการยึดถือยึดมั่นกับสิ่งทั้งปวงได้ แล้วทุกข์จะมีมาแต่ไหนกัน?

    การพ้นทุกข์ก็ย่อมบังเกิด เพราะใจสบาย ใจสุข ปลอดโปร่งโล่งนี่ไง
    คือเส้นทางแห่งสายนิพพาน

    ไม่ยากใช่ไหมกับเส้นทางสายนิพพาน ? ปรับจิตปรับใจเรียนรู้ขบวนการใหม่ แต่องค์ธรรมเหมือนเดิม เพื่อการบรรลุถึงจุดหมายและเป้าหมายได้เร็วกว่าเดิม น่าจะดีกว่าไหม?

    ขอการทำหน้าที่ของท่านจงสมบูรณ์ ฝ่าฟันกับอุปสรรคทั้งหลายไปให้ได้ ด้วยการสร้างพลังจิตให้แกร่ง แข็งแรงด้วยการเรียนรู้ขบวนการเพื่อต่อสู้กับ มารภายในใจ

    ตรงนี้ขอเป็นแรงใจให้ต่อสู้ต่อไปจนถึงจุดหมายปลายทางดังที่หวังไว้ทุกท่าน คราวหน้าคงจะมีเคล็ดไม่ลับมากล่าวต่อไป

    ธรรมะสวัสดี สาธุ!!!!!!
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 23 ตุลาคม 2006
  6. hongsanart

    hongsanart เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    1,332
    ค่าพลัง:
    +10,468
    เจริญสุขสวัสดีสาธุชนทั้งหลาย...

    จะกล่าวต่อเรื่องนิพพาน เนื่องจากมีผู้ถามมาว่า "คนรัก เพื่อนรู้ใจ สามีภรรยา สามารถไปนิพพานด้วยกันได้ไหม?"

    ขอตอบเลยว่า..."ได้ "แต่ทุกคนนั้นจะต้องกระทำ และมีให้เหมือนกัน คือ มีศรัทธาตั้งมั่น เชื่อในสิ่งที่ควรเชื่อ

    มีศีล เพื่อเป็นเครื่องรักษากาย วาจาให้เรียบร้อย มีหิริโอตตัปปะ คือละอายและสะดุ้งกลัวต่อบาปกรรม

    มีการบริจาคทานคือ สละให้ปันสิ่งของๆตนแก่ผู้อื่นตามสมควร และมีปัญญา
    คือ สร้างสมความรู้จากการได้ศึกษามา ดูมา ฟังมา อ่านมา เพื่อนำมาพิจารณา วิเคราะห์ แยกแยะ
    ให้เกิดเป็นความรอบรู้แยกแยะได้ว่า สิ่งใดเป็นประโยชน์และสิ่งใดไม่เป็นประโยชน์

    เมื่อทั้งสองอยู่ร่วมกัน รักกัน และทำได้เหมือนกัน มีเหมือนกัน เป็นเหมือนกัน
    ต่างจูงมือกันเข้าสู่เส้นทางแห่งนิพพานได้พร้อมกันในการดำรงชีวิตอยู่ คือมีความเย็นกาย เย็นใจ
    มีความสุขสงบ โดยที่ยังไม่ต้อง ตาย และเมื่อความตายมาเยือน แน่นอนที่สุด นิพพานถาวรย่อมบังเกิด

    แต่ถ้ามีไม่เหมือนกัน นิพพานก็ไม่เกิดแก่ทั้งคู่ หากแต่จะเป็น "นิพพังมากกว่า" คือ พังกันไปข้างใดข้างหนึ่ง หรือ พังกันไปทั้งสองฝ่ายนั่นเอง

    ทุกวันนี้หลายคน ต่างสับสนในชีวิตมาก ไม่รู้จะเชื่อหรือจะฟังใครดี ที่เป็นจริง และเป็นสิ่งที่ถูกต้อง จึงลองผิดลองถูกอยู่นาน ลองแล้วลองอีกก็ยังไม่พบทางที่ต้องใจสักที ชีวิตนี้จึงอยู่ไปวันๆ อย่างหมดอาลัยตายอยาก ปล่อยให้เวลาฆ่ากินไปทุกวันเวลาและนาที ดิ้นก็ตาย ไม่ดิ้นก็ตาย อยู่เฉยๆดีกว่า...นั่นแหละถูกต้องแล้ว

    หยุดนิ่งเพื่อรอวันวิ่งและเริ่มใหม่ การนิ่งก็อย่านิ่งแบบไม่รู้สีรู้สานะ

    "จงนิ่งอย่างผู้ไม่นิ่ง จงวิ่งอย่างผู้ไม่วิ่ง" หมายความว่า อย่าเพิ่งทะเยอทะยานจนเกินความพอดี ดูท่าทีสิ่งรอบข้างก่อน
    รู้จักเพียงพอในหลายๆสิ่ง เพียงพอไม่ใช่ไม่ทำ ไม่เอาอะไร ไม่ใช่ทิ้งไป แต่จงเพียงพอกับความอยากที่มากเกินกำลัง เกินความพอดีที่ควรจะเป็นไปได้ พอใจกับสิ่งที่มี ยินดีในสิ่งที่ได้ นั่นคือ รู้จักประมาณตน รู้จักฐานะของตน
    และทำสิ่งที่ได้ให้เจริญก้าวหน้าอย่างผู้มีปัญญา

    มีคุณธรรม "จงวิ่งอย่างผู้ไม่วิ่ง" คือ จงมีสติกำกับอยู่เสมอ กับการทำงานในทุกๆด้าน อย่าใช้อารมณ์มาทำงานแทนสติ จงมีหลักเหตุหลักผล ค่อยๆคิด แต่ให้ไวต่อการทำ รู้จักหมั่นตรวจตรางานที่ทำ
    เอาใจใส่และประเมิน คำกล่าวสอนนี้ใช้กับทุกๆด้าน ไม่ว่าจะเป็นงานทางกาย หรืองานทางใจก็ตาม
    อย่าสับสนในชีวิตให้เนิ่นนาน เดี๋ยวจะช้าการเกินควร


    " ชีวิตนี้สั้นนัก ความรักยิ่งสั้นกว่า"

    อย่าให้ความท้อเข้ามาบดบัง ลุกขึ้นและสร้างพลังให้เกิดมีในใจตนใหม่
    อย่าลองของมาก จนทำให้สับสน ทำวัดหลายวัดให้เป็นวัดเดียว คือ "วัดใจ "ตนเองเถอะ

    ขอให้โชคดีกับการวัดใจทุกคนนะ
    ธรรมะสวัสดี สาธุ!!!!
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 24 ตุลาคม 2006
  7. rosey

    rosey เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    163
    ค่าพลัง:
    +1,345
    กราบขอบพระคุณ เจ้าค่า...
    อนุโมทนา สาธุ สาธุ สาธุ
    [b-wai] [b-wai] [b-wai]
     
  8. Mr.tom

    Mr.tom เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2005
    โพสต์:
    269
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,185
    ท่านแม่ชีบรรยายธรรมได้ตรงใจมากๆเลยครับ...อนุโมทนาครับ...
     
  9. hongsanart

    hongsanart เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    1,332
    ค่าพลัง:
    +10,468
    กราบนมัสการท่านอาจารย์เจ้าค่ะ.........[b-wai]


    อ่านสาระธรรมที่ท่านอาจารย์ได้กรุณาบรรยายมาทั้งหมดนี้

    ทำให้หนูเข้าใจในเรื่องต่างๆได้มากขึ้น ยังไม่ท้อค่ะ จะพยายามต่อไป

    สาธุ...สาธุ...สาธุ...อนุโมทามิ[b-wai]
     
  10. hongsanart

    hongsanart เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    1,332
    ค่าพลัง:
    +10,468
    เจริญธรรม...

    มีหลายคนมาถามว่า "เราจะรู้ได้อย่างไรว่าผู้สอนธรรมคนนั้นสอนถูก?"

    เราฟังธรรมมามากมายหลากหลาย บางครั้งเราก็เอาเกณฑ์ชอบใจตนเป็นหลัก หรือชอบคนพูด คนแสดงให้ฟัง ศรัทธาคนแสดงนั้น

    แม่ชีมีแบบและวิธีตรวจสอบธรรมนั้นว่าถูกต้องตามความเป็นจริงหรือไม่?

    1.ธรรมเหล่าใดที่ผู้นำมาสอน นำมากล่าวนั้นต้องเป็นธรรมที่เป็นไปเพื่อการคลายกำหนัด
    2.ธรรมนั้นต้องเป็นไปเพื่อการคลายหรือปราศจากความทุกข์
    3.ธรรมนั้นต้องเป็นไปเพื่อการไม่สะสมกองกิเลส
    4.ธรรมนั้นต้องเป็นไปเพื่อความอยากน้อย
    5.ธรรมนั้นต้องเป็นไปเพื่อความสันโดษ ยินดีในความพอเพียงและเพียงพอ
    6.ธรรมนั้นต้องเป็นไปเพื่อความสงัดสงบแห่งจิต
    7.ธรรมนั้นต้องเป็นไปเพื่อความเพียร ประกอบด้วยความพยายาม อดทนต่ออุปสรรค
    8.ธรรมนั้นต้องเป็นไปเพื่อความเลี้ยงง่าย คืออยู่ง่าย ไม่เจ้ายศเจ้าอย่างให้วุ่นวาย


    นี่คือวิธีการตรวจสอบข้อธรรมที่หลายๆท่านนำมาสอน ที่สำคัญผู้สอนต้อง

    -ไม่สอนเพื่อลาภยศให้เกิดแก่ตัวเอง
    -ไม่ชักจูงชักนำให้ผู้ฟังมาศรัทธาในบุคคลที่แสดง
    -ไม่แสดงธรรมนั้นกระทบกระทั่ง เสียดสีผู้อื่น
    -ไม่ยกตนข่มท่าน


    ธรรมที่สอนนั้นจะต้องมีเหตุมีผลตามความเป็นจริง ตรวจสอบได้ ดังที่พระพุทธองค์ทรงกล่าวว่า

    "ควรเรียกให้มาดูได้ งามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง และงามในที่สุด"นั่นเอง

    ธรรมใดที่เป็นไปตรงกันข้ามที่กล่าวมา นั่นไม่ใช่ธรรมจริงและผู้นำมาสอนในสิ่งที่ตรงกันข้ามนั้น ย่อมได้ชื่อว่า "เป็นมิจฉาทิฐิ "

    อานิสงส์ที่จะได้รับจากการฟังธรรมที่ดี คือ

    -ผู้ฟังย่อมได้ฟังในสิ่งที่ตนไม่เคยฟัง ไม่เคยรู้ ไม่เคยได้ยินมา
    -สิ่งใดหรือธรรมใดที่เคยฟังมาแล้ว แต่ยังไม่เข้าใจอย่างกระจ่าง
    ก็ย่อมจะเข้าใจกระจ่างชัดแจ้งขึ้น
    -บรรเทาความสงสัย เพราะมีความเข้าใจในธรรมนั้น
    -ทำความเห็นได้ตรง ได้ถูกต้องมากกว่าเก่า
    -จิตใจของผู้ฟังย่อมผ่องใส เบิกบาน อิ่มเอิบ ยินดีในธรรมที่ได้ฟังนั้น


    นี่คือการสังเกตและพิจารณาธรรมที่ผู้รู้ทั้งหลายนำมาสอน ที่สำคัญในการฟังธรรมนั้น เราจะต้องตั้งใจฟัง

    เคลียร์ใจให้ว่างจากอคติเดิมๆ คิดพิจารณาตามธรรมนั้น ถ้ายังไม่เข้าใจควรสอบถามตามสมควร

    วันนี้นำการตรวจสอบธรรมที่ดีมาบอกกล่าวให้รู้กันไว้ จะได้ไม่ต้องลังเลและสงสัยในผู้สอนและในธรรมที่ดีนั้น

    ผู้สอนจะเป็นใครก็ตามที ถ้าคำสอน คำพูดนั้นดี เราฟังไว้ก็ไม่เสียหาย
    และถ้านำไปใช้ก็อาจเกิดเป็นประโยชน์แก่ท่านได้อย่างอัศจรรย์ทีเดียว
    รีบจับสิ่งที่เป็นสาระ ทิ้งสิ่งที่ไร้สาระอย่างเร็วไว เราย่อมพ้นทุกข์ได้เร็วกว่าใคร?

    แม่ชีขอเป็นกำลังใจ เป็นพลังเงียบให้ และอยากให้ท่านลงมือกระทำเสียโดยเร็วไว เพื่อประโยชน์แก่ท่านทั้งหลายกันโดยถ้วนหน้า

    ธรรมะสวัสดี สาธุ!!!
     
  11. hongsanart

    hongsanart เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    1,332
    ค่าพลัง:
    +10,468
    เจริญธรรม...

    ตอนนี้มีผู้อ่านมากกว่าผู้ถาม แต่ผู้ถามนอกกระทู้มากกว่า แม่ชีจึงขอนำมากล่าวในที่นี้ เผื่อว่าจะเป็นประโยชน์ แก่ท่านทั้งหลายสืบไป

    จากคำถามที่ถามว่า "แม่ชีเห็นด้วยไหม ที่จะให้เมืองไทยมีพระภิกษุณี?"

    คำถามนี้มีคนถามแม่ชีมาก...ตอบไปแล้วอาจจะไม่ต้องใจใครบางคนสักนิด แต่อยากให้คิดตามความเป็นจริงสักหน่อยนะ...

    แม่ชีได้ไปต่างประเทศบ่อย ได้เจอะเจอกับพระภิกษุณีหลายรูป และแม้แต่ในเมืองไทยเอง แม่ชีก็เคยไปกราบนมัสการท่านมาแล้ว

    อย่างในพม่าก็มีพระภิกษุณี ส่วนแม่ชีของพม่านั้นใส่ชุดสีชมพูออกส้มๆ ข้างในนั้นใส่ผ้าสีของพระสงฆ์ รวมทั้งพาดผ้าสังฆาฏิ ของพระไว้บนบ่า มองดูแล้วก็เข้าใจทันทีว่าอยู่ในพระพุทธศาสนา เป็นชาวพุทธ ด้วยเครื่องแบบ

    ส่วนในเมืองไทยนั้นไม่นิยมให้ผู้หญิงเอาผ้าสีที่พระภิกษุมาใส่ เนื่องจากประเพณีการปลูกค่านิยมแบบเก่า รวมทั้งได้รับการสอนว่าผู้ชายเท่านั้นที่เป็นพระได้ ฉะนั้นผู้หญิงจะเอาผ้าของพระมาสวมใส่ไม่ได้

    นั่นก็เป็นทัศนะคติของสังคมไทยที่มีมาช้านาน การจะไปเปลี่ยนทัศนะคติใหม่ ก็คงจะยากเอาการในบางคน แต่ก็นั่นแหละ เมื่อมีผู้ไม่เข้าใจ ผู้รู้ทั้งหลายก็ควรจะสอนสั่งอบรม ชี้แจงให้เกิดความเข้าใจใหม่

    ในพุทธกาลนั้น พระพุทธองค์ไม่ได้ทรงปฏิเสธมันสมองของผู้หญิงเลย ผู้หญิงและผู้ชายนั้นต่างกันที่สรีระ คือร่างกายตามธรรมชาติ แต่มันสมองทุกส่วนนั้นมีความเท่าเทียมกันในทุกด้าน รวมทั้งสามารถพัฒนาให้เจริญขึ้นได้โดยลำดับ
    เหมือนกัน อีกทั้งยังสามารถบรรลุธรรมได้เหมือนกันด้วย

    พระพุทธองค์ทรงประทาน ครุกรรม 8 ประการให้แก่พระน้านาง ผู้เป็นแม่เลี้ยงของพระองค์เอง และที่พระองค์ทรงประทานแบบนั้นก็เพราะว่า พระน้านางเป็นแม่เลี้ยง อาจจะใช้อำนาจของพระนางกับพระภิกษุทั้งหลาย และจะเป็นที่มาของการครหานินทา รวมทั้งจะเป็นที่มาของความเสียหายได้ เพราะพระพุทธองค์ทรงปฏิเสธระบบชั้นวรรณะ

    พยายามให้บุคคลมีฐานะเท่าเทียมกัน และให้เคารพซึ่งกันและกัน ในพระภิกษุณีอื่นนั้นไม่ได้ประทานให้ แต่ก็ยังคงนำมาปฏิบัติกัน

    ในเมืองไทยนั้นบางคนปฏิเสธในขณะที่หลายคนเริ่มสนับสนุน...ถ้าเราหันมาศึกษาคำสอนกันจริงๆแล้ว ก็น่าจะทำพุทธบริษัท 4 ให้ครบตามเดิม ดังที่พระพุทธองค์ทรงประทานไว้ แต่กระนั้นก็ตามแม้ว่าบุคคลทั้งหลายจะไม่ได้โกนหัวแต่งกายเป็นพระ หากแต่ประพฤติปฏิบัติตามทางสายกลาง ตามมรรคมีองค์8 รู้อริยสัจ4 มีสติ ประพฤติชอบ เข้าใจธรรมตามความเป็นจริง

    ลดความอยากลงได้ การบรรลุธรรมและการเข้าถึงนิพพานก็พึงมีแก่บุคคลนั้น
    ตรงกันข้ามหากโกนหัวแต่งกายให้ดูดี แต่ถ้าจิตใจ ความประพฤติไม่ดี ก็นับว่าเสียประโยชน์ไป


    แม่ชีเคยคิดว่าจะไปบวชเป็นพระภิกษุณีที่สิงคโปร์แล้วกลับมาเมืองไทย คิดไปคิดมา ขอทำในสิ่งที่เราเลือกเป็นอยู่นี้ ให้ดีที่สุดดีกว่า เพราะถ้าเข้าใจ การบรรลุธรรมก็ย่อมมีได้ แล้วมันแปลกตรงไหนกับเครื่องแบบเล่า?

    แต่งกายมีเครื่องแบบเพียงแค่ให้คนมาศรัทธา มานั่งกราบเพราะความเข้าใจผิด...ไม่เอาดีกว่า

    แต่ถ้าดำรงไว้ซึ่งความหมาย เป็นเครื่องหมายบ่งบอกให้ผู้อื่น ชาติอื่น ศาสนาอื่น รู้ด้วยการแต่งกาย ก็นับว่าเป็นประโยชน์ ต่อศาสนาในภายภาคหน้า ก็ ok นะ หรือคุณโยมว่าอย่างไร?

    ธรรมะสวัสดี สาธุ!!!
     
  12. hongsanart

    hongsanart เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    1,332
    ค่าพลัง:
    +10,468
    เจริญธรรม เจริญสุข สวัสดี...

    เนื้อที่ตรงนี้ขอตอบคำถามของพวกเหล่าที่คล้ายผู้ชาย และเหมือนผู้หญิง เรียกง่ายๆก็คือ

    " ทอม ตุ๊ด กระเทย เกย์ อีแอบ นายแอบ "ทั้งหลายที่อยากรู้ว่าจะสามารถบรรลุธรรมและถึงนิพพานได้ไหม?

    ถ้าพวกเหล่านี้กระทำตนในปัจจุบันให้ดี เจริญจิตภาวนา ให้ตรงตามทางสายกลาง ตามมรรคมีองค์8 รู้อริยสัจ4 รู้เท่าทัน มีความเข้าใจในสติปัฏฐาน4 คือ กาย เวทนา จิตและธรรม เหล่านี้ได้ การบรรลุธรรมและนิพพานก็ย่อมมีได้เช่นกัน

    สมัยที่พระองค์ทรงสอนธรรม มีพระภิกษุที่เป็นกระเทย หรือเป็นเกย์นั่นแหละ เฝ้าติดตามใกล้ชิด รักใคร่หลงใหลในพระองค์ พระองค์ก็เมตตาสั่งสอนธรรม จนอินทรีย์ของพระภิกษุเริ่มกล้าแกร่งขึ้น พระองค์ก็ทรงขับไล่

    พูดง่ายๆก็คือ ด่าว่าต่างๆนานา ให้พระภิกษุรูปนี้เจ็บใจ ตอนนั้นพระภิกษุกระเทยรูปนี้มีจิตน้อมในธรรมมากกว่าแต่ก่อนแล้ว จึงเกิดความเพียรพยายามเอาชนะคำสบประมาท และการไม่แยแสของพระพุทธองค์ ปลีกตนบำเพ็ญเพียรจนสามารถบรรลุธรรมขั้นสูง และสำเร็จเป็นพระอรหันต์ในที่สุด นี่คือวิธีอบรมสั่งสอนของอาจารย์ผู้ชาญฉลาด

    ใครว่าเป็นทอม เป็นตุ๊ด เป็นเกย์ เป็นกระเทยแล้วจะบรรลุธรรมและเข้านิพพานในชาตินี้ไม่ได้ ?

    ได้ ถ้าทำอย่างที่กล่าวมาอย่างยิ่งยวด แต่ถ้าหย่อนๆยานๆ นิพพานก็ไม่เกิด เกิดแต่นิพพัง คือต่างคนต่างพังไป

    ในสมัยพระพุทธกาลพวกทอมก็มีมาบวชเป็นพระภิกษุณีกันหลายคนทีเดียว
    เราจะเห็นได้ว่า กระเทย ทอม เกย์ ตุ๊ดนั้นมีมาทุกสมัย ทุกวงการนะ ยิ่งเดี๋ยวนี้ผู้หญิงหันมาชอบผู้หญิงด้วยกันมาก ผู้ชายก็สนใจผู้ชายด้วยกันดีกว่า เพราะเข้าใจและพูดกันรู้เรื่องมากกว่า

    หลายคนก็เลยถามว่า "แม่ชีเป็นทอมหรือเปล่า ทำไมไม่แต่งงาน?"

    ตอบแบบฟันธงเลย "กลัวท้องเจ้าค่ะ" พูดถึงท้อง ทำให้นึกถึง ยายผีป่าขึ้นมา ไม่รู้เป็นอย่างไรบ้าง ?

    ได้ข่าวว่ามาอยู่ที่พัทยาหรือชลบุรีอะไรนี้แหละ ขอให้โชคดีมีความสุขนะ

    กลับมาเรื่องที่ถามว่า แม่ชีเป็นทอมหรือเปล่าต่อ...อยากรู้ติดตามอ่านประวัติของแม่ชีต่อไปเรื่อยๆแล้วกันนะ

    ธรรมะสวัสดี สาธุ!!!
     
  13. hongsanart

    hongsanart เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    1,332
    ค่าพลัง:
    +10,468
    เจริญธรรม...

    มีคำถามมาตอบอีกแล้ว "ทำบุญอย่างไรให้ได้บุญมาก?"

    "ก็ตั้งใจทำสิ" ตั้งใจทำมันก็จะได้ประโยชน์จากการตั้งใจทำนั้นโดยสมบูรณ์ ถ้าไม่ตั้งใจทำหรือตั้งใจน้อย ประโยชน์ที่ได้มันก็น้อย
    ที่น้อยเพราะมันมีอกุศลหรือสิ่งที่ไม่เป็นมงคลเข้ามาแทรก เพราะโดยปกติแล้วคนเราชอบเก็บสะสมสิ่งที่ไม่เป็นมงคล สิ่งที่เป็นอกุศลเข้าไว้ในตนอย่างหนาแน่น และเหนียวแน่น สิ่งที่ดีมีประโยชน์มักจะวางไว้หรือทิ้งไป

    เมื่อเราทำสิ่งที่ดีให้เกิดขึ้น สิ่งที่ไม่ดีก็มักจะวนเวียนอยู่รอบข้าง อันนี้มันอยู่ที่เราแล้ว ว่าจะยึดเอาสิ่งดีไว้หรือจะเอาสิ่งร้ายหรือสิ่งไม่ดี มาครอบครอง บุญและบาปมันอยู่ใกล้เรา เราจึงต้องรู้จักใช้มันให้เกิดประโยชน์ พยายามดึงบุญที่เป็นสิ่งที่ดีมาใช้ และพยายามอย่าให้บาปหรือความชั่วไหลเข้ามาแทนที่ความดี

    หากความชั่วไหลเข้ามาแทนที่ความดีและเรานึกแต่ความชั่ว สิ่งชั่ว
    เราก็จะเป็นผู้เสวยหรือได้รับความชั่วนั้น เดี๋ยวนั้นทันที

    นี่แหละเป็นที่มาของความชั่วทั้งหลาย เป็นที่มาของกรรมร้าย เพราะเราเป็นผู้ดึงมันมาใช้ มาครอบครองเอง มันจึงส่งผลร้าย ผลเสียให้แก่เรา รู้เหตุกันแล้วหรือยัง?

    เมื่อรู้เหตุแล้วก็จงรู้ผลที่มันเกิดด้วย? เมื่อมีเหตุ มันจึงเกิดผลและส่งผลแก่ผู้กระทำ รวมทั้งผู้โดนกระทำด้วย

    และเมื่อเรากระทำมันเองทั้งนั้น แล้วจะให้ใครมาแก้ไขให้เล่า? มันก็ต้องเป็นเรานั่นแหละ

    หมอดูเพียงแต่บอกทางให้แก้ไข แต่ถ้าเจอหมอเดาก็เข้าปิ้งกันไปทุกรายนะคร๊าบ...

    แปลกดีเหมือนกัน " ทำไมคนเราชอบฝากชีวิตของตัวเองไว้กับการทำนายทายทักของคนอื่นกันนะ"

    ทำไมดูถูกมันสมอง ดูถูกปัญญา และร่างกายของตัวเองเหลือเกิน? ทั้งๆที่มี 1สมอง 2มือ และ2 เท้าเหมือนกัน

    และแม้แต่บางคนมีและเหลือไม่เท่าเรา แต่ทำไมเขาทำได้มากกว่าเราล่ะ ? ถามและตอบตัวเองได้ไหม?

    เมื่อเกิดมาเป็นคน ทุกคนมีทุกข์กันทุกคน สุดแท้แต่ว่าจะทุกข์เรื่องใดก่อนกันก็เท่านั้น

    เมื่อทุกข์เกิด จงรู้ทุกข์ ในทุกข์ และจงรู้สุขในทุกข์ จงรู้ทุกข์ในสุข เมื่อนั้นเราจะรู้สุขในสุข เมื่อรู้สุขในสุขแล้วจงทิ้งสุข ไม่ยึดทุกข์ซะ

    พบกันใหม่คราวหน้า ธรรมะสวัสดี สาธุ!!!
     
  14. Mr.tom

    Mr.tom เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2005
    โพสต์:
    269
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,185
    กราบนมัสการแม่ชีครับกระผมมาขอถามข้อธรรมะครับ...

    ข้อ 1.การทำบุญบารมีกับการเผชิญอุปสรรคต่างๆ

    ยกตัวอย่าง เช่น การทำบุญเหมือนกัน เช่น
    มีคนสองคนสร้างโบสถ์เหมือนกัน (แบบแปลน วัสดุอุปกรณ์ ต่างๆ ทุกอย่างเหมือนกันหมด) แต่คนที่ 1 การก่อสร้างมีอุปสรรคน้อย ก่อสร้างเสร็จปกติ
    แต่ คนที่ 2 การก่อสร้างมีอุปสรรคมาก เสร็จช้ากว่ากำหนด คำถามก็คือ คนไหนได้บุญมากกว่ากัน หรือได้เท่ากันครับ

    ข้อ 2. ความสำคัญของการสร้างสมบารมีในด้านต่างๆ
    2.1 อยากทราบว่าบารมีต่างๆ ด้านใดมีความสำคัญมากที่สุด หรือมีเท่ากันครับ ให้สร้างให้ถึงพร้อมใช่หรือไม่ครับ
    2.2 อยากให้ท่านแม่ชีอธิบายลำดับความสำคัญของบารมีจากมากไปหาน้อยครับ...

    อนุโมทนาครับ...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 26 ตุลาคม 2006
  15. hongsanart

    hongsanart เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    1,332
    ค่าพลัง:
    +10,468
    เจริญธรรม...

    ถามมาดีมาก แม่ชีขออธิบายคำว่า "บารมี" ก่อนนะ

    บารมี หมายถึง การสั่งสมคุณงามความดีในทุกๆด้าน อย่างยิ่งยวดและอุกฤษฎ์

    ตั้งแต่ ทาน สีล การประพฤติพรหมจรรย์ (เนกขัมมะ)
    ปัญญา วิริยะ ขันติ สัจจะ อธิษฐาน เมตตา อุเบกขา เหล่านี้

    พูดง่ายๆก็คือต้องมีพรหมวิหารธรรมประจำตนและประจำใจ สั่งสมมาตั้งแต่อดีต ปัจจุบันและต้องทำต่อไปในอนาคต นั่นคือต้องทำเป็นประจำและสม่ำเสมอจนเกิดเป็นนิสัยหรือสันดานดีนั่นเอง

    เรื่องคน 2คน ทำในสิ่งเดียวกัน เหมือนกันในการกระทำภายนอก ผลสำเร็จไม่เหมือนกัน ต่างกันตามกาลเวลา ปัญหาก็มีไม่เหมือนกัน แต่สุดท้ายก็เสร็จเหมือนกัน

    เราต้องเข้าใจเหตุปัจจัยภายในนั่นคือจิตใจของผู้กระทำนะ ภายนอกอาจจะดูเหมือนกัน แต่ภายในนั้นต่างกัน คนที่มีอุปสรรคน้อย อาจจะดูเหมือนมีบารมีมากกว่า จึงไม่มีอุปสรรคมากและสำเร็จได้เร็วกว่า

    นั่นเพราะปัญญาของแต่ละคนไม่เท่ากัน การทำงาน การพูด การแก้ปัญหา ไม่เหมือนกัน

    ฉะนั้นผลที่ออกมาจึงต่างกันตรงกาลเวลา แต่ว่าสำเร็จและเสร็จเหมือนกัน
    ตรงนี้แหละที่เป็นจุดสำคัญ...ที่บุคคลทั้งหลายจึงพึงต้องสร้าง ต้องเรียนรู้ ในกิจการงานที่จะทำให้รอบคอบเสียก่อน


    เหมือนอย่างการสร้างบุญบารมีก็เหมือนกัน อยู่ๆจะมากระทำโดยไม่รู้อะไรเลย แล้วจะให้สำเร็จเสร็จโดยไวมันคงยาก

    อุปสรรค คือการต่อสู้ ศัตรูคือยากำลัง ประสบการณ์แห่งการล้มเหลว ย่อมเป็นที่มาของการเรียนรู้ ผู้มีปัญญารู้ไว แก้ไขกับสิ่งผิดเก่านั้นได้ นั่นแหละถือว่าเป็นผู้มีบารมี แต่ก็อย่าให้ผิดมากเกินไป เพราะมันจะทำให้ชีวิตบรรลัยไปเสียก่อนที่จะได้รู้จริง

    ในบารมี 10ทัศนั้นมีความสำคัญเท่ากันในทุกๆเรื่อง แต่มีสิ่งหนึ่งที่สำคัญกว่า นั่นคือ ปัญญาในทางที่ชอบที่ดี ที่ทุกคนควรฝึกให้มีในตนก่อน

    "ปัญญาจึงเป็นรัตนะของเหล่านรชน"
    ปัญญาสามารถทะลุทะลวงเข้าไปได้แม้ในของแข็งและของเหลว
    ดังที่พระพุทธองค์ทรงยกไว้เป็นข้อแรกของมรรคมีองค์ 8 คือวิถีและวิธีแห่งการดำรงตนเพื่อการหลุดพ้นโดยแท้

    ฝึกให้มีปัญญาได้อย่างไร? ทำจิตให้ตรงดำรงความพอดี คือเป็นกลาง ยอมรับฟังสิ่งที่ดี มีการเรียนรู้ คิด พิจารณา แยกแยะ ตามความเป็นจริงรวมทั้งลงมือกระทำตามสิ่งที่ดีนั้น โดยไม่ย่อท้อ คบหาเพื่อนที่ดี มีกัลยาณมิตรธรรม
    แม่ชีอธิบายอย่างนี้หวังว่าคงจะพอเข้าใจนะ...

    บารมีไม่มีซ่อนเร้น ไม่มีปิดบัง และทุกคนสามารถสร้าง เพื่อให้ตัวเองมีบารมีได้ด้วยปัญญาที่ดีได้

    ฝึกการมีระเบียบแห่งความคิด มีวินัยในตน ฝึกการดูการสังเกตอย่างมีเหตุมีผล ทบทวนกับปัญหา ลดโกรธ ลดทิฐิที่ผิดอันแรงกล้า หัดเป็นผู้รับฟังที่ดี นั่นแหละเป็นแรกเริ่มของการพัฒนาปัญญาในเบื้องต้นแล้ว เมื่อมีปัญญาไว เรื่องอื่นทำได้เสมอ

    ขอให้ลุล่วงกับการคิด พิจารณา แยกแยะธรรมคำพูดที่แม่ชีกล่าวไว้ แทนพระศาสดา และขอให้บรรลุเป้าหมายของ การคิดและทำนะ

    ธรรมะสวัสดี สาธุ!!!
     
  16. hongsanart

    hongsanart เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    1,332
    ค่าพลัง:
    +10,468
    เจริญธรรม...

    แม่ชีได้อ่านหนังสือที่ผู้สอนธรรมทั้งหลายพยายามทำหน้าที่ของผู้สอนให้ดีที่สุด เกิดประโยชน์มากที่สุดมาบรรยายสอน โดยไม่เห็นแก่ความเหนื่อยยาก ด้วยตั้งมั่นที่จะทะนุบำรุงคำสอนของพระศาสดาไว้

    แต่กระนั้นก็ตามในการสอนธรรมนั้นก็ย่อมจะมีผู้คัดค้านและโจมตีเสมอ มันเป็นเรื่องปกติและธรรมดา

    พระพุทธองค์ทรงกล่าวว่า "บุคคลไม่ถูกนินทาในโลกนี้ไม่มี" แม้กระทั่งพระพุทธองค์เองก็ยังถูกยังโดนด่าโดนว่า โดนติเตียน โดนติงมามากมายเช่นกัน

    แล้วนับประสาอะไรกับอีกหลายๆคนล่ะ?

    แม่ชีก็โดนเหมือนกันเจ้าค่ะ...ทั้งคนในวงการและนอกวงการ กระหน่ำถาโถม ด้วยลมปากที่แรงกว่าพายุเสียอีก

    ทีแรกก็ท้อเหมือนกัน ไม่รู้จะพูดสอนไปทำไมให้เมื่อยปาก
    ให้คนเกลียด ให้คนว่า ให้เสียค่าน้ำ ค่าไฟและค่าอะไรต่ออะไรอีก และที่สำคัญที่สุดคือ
    "เสียความรู้สึก"

    แต่พอสงบ สติอารมณ์สักครู่ ปัญญามันก็เริ่มเกิด เริ่มมี แหม!!!คนตำหนิ คนว่า คนด่านี่ช่างสร้างปัญญาให้เราเสียเหลือเกินนะ""

    ดีสิเราจะได้ศึกษาค้นคว้าให้กระจ่างมากกว่าเดิม เพื่อจะมาอธิบายด้วยหลักเหตุหลักผล จนผู้ฟังยอมจำนนต่อหลักเหตุผลที่แท้จริง แต่ถ้าไม่ฟังหลักเหตุหลักผลที่แท้จริงก็ช่วยไม่ได้ เราก็จะทำหน้าที่ของเราต่อไป ส่วนคนว่า คนด่า คนตำหนิจะทำหน้าที่นั้นต่อไปก็ช่างเขาเป็นไร ถือว่าต่างคนต่างทำหน้าที่

    "แต่ไม่ตีกันนะ" แต่ถ้าเขาจะตี "เราก็ต้องรู้หลบมุดรูหลีก รู้ปลีกหลีกหนีให้ไกลห่าง"

    เรียกว่าไปตั้งหลักซ่องสุมปัญญาก่อนแล้วค่อยย้อนมาใหม่ละเด้อ....

    ขอเอาใจช่วยเชียร์กับหลายๆท่านที่โดนเหมือนกันเจ้าค่ะ...ฮ่าๆๆๆ

    ธรรมะสวัสดี สาธุ!!!
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 27 ตุลาคม 2006
  17. hongsanart

    hongsanart เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    1,332
    ค่าพลัง:
    +10,468
    เจริญธรรม...

    ช่วงนี้ไม่เห็นโจโฉเลย...ส่งข่าวคราวบ้างว่า

    "ชนะการประกวดหรือเปล่า?" มีหลายคนคิดถึง เขาฝากแม่ชีมาถามให้นะ...

    ธรรมะสวัสดี สาธุ!!!!

    (verygood)(f)
     
  18. hongsanart

    hongsanart เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    1,332
    ค่าพลัง:
    +10,468
    เจริญธรรม...

    มีคำถามที่น่าสนใจมาให้พิจารณากันอีกแล้ว คุณโยมถามแม่ชีว่า

    "พระศรีอาริยเมตไตรย นั้นอุบัติเกิดขึ้นแล้วหรือยัง?"

    พระพุทธองค์ทรงเปรียบเทียบให้ฟังว่า หากพุทธศาสนามีอายุ 5,000ปี และเกิดมีสตรีทั้งหลายได้เข้ามาศึกษาธรรม รวมทั้งบรรลุธรรมกันมากขึ้น เมื่อนั้นศาสนาจะลดลงเหลือกึ่งหนึ่ง หรือครึ่งหนึ่ง ที่เป็นเช่นนั้นเพราะสตรีมีมันสมอง
    มีความรู้ มีความสามารถได้ไม่แพ้ผู้ชายเลย

    สังคมไทยสมัยก่อนนั้น เรื่องธรรมะหรือเรื่องการศึกษาธรรม และแม้แต่เรื่องการบวชเรียน มักเป็นเรื่องของผู้ชาย ผู้หญิงมีบ้างและได้รับการยอมรับน้อย ผู้ชายมักจะได้เปรียบและได้โอกาสมากกว่า รวมทั้งสังคมบ้านเราให้ความยกย่องผู้ชายมาก ผู้ชายจึงสามารถทำอะไรก็ได้ ในขณะที่ผู้หญิงโดนห้ามไปสารพัด

    ผู้หญิงมีหน้าที่ปรนนิบัติผู้ชายในทุกๆเรื่อง ผู้ชายทิ้งลูกไปบวชได้ แต่ถ้าผู้หญิงทิ้งลูกไปบวชก็จะถูกประนามว่าไม่ทำหน้าที่ของตน ผู้หญิงเลยเป็นฝ่ายสนับสนุนให้ผู้ชายได้บวชเรียน เป็นฝ่ายอนุเคราะห์ผู้ชายมากกว่าผู้ชายด้วยกัน ดังจะเห็นว่า ผู้หญิงเข้าวัดเพื่อทำบุญมากกว่าผู้ชาย แต่ผู้ชายนั้นอยู่ในวัดมากกว่าผู้หญิง

    อันนี้ก็นับว่าเป็นความงามของสตรีมากทีเดียว แต่ในปัจจุบัน กาลเวลาเปลี่ยนไป สังคมเปลี่ยนไป อุดมคติเก่าๆก็ถูกลบให้เลือนลางลง
    โดยมีการเปลี่ยนทัศนะคติใหม่แต่ใช้หลักธรรมแบบเก่า นั่นคือเปลี่ยนวิธีดำเนินใหม่ แต่คงไว้ในสิ่งแบบเก่า


    ผู้หญิงเริ่มมีบทบาทเคียงข้างผู้ชายมากขึ้นกว่าเดิม ไม่เป็นช้างเท้าหลังแล้ว และก็ไม่ต้องการเป็นช้างเท้าหน้าด้วย เดินพร้อมๆกัน ช่วยกันฟันฝ่าอุปสรรคร่วมกัน เพื่อจุดหมายเดียวกัน นั่นแหละดีที่สุด

    ผู้หญิงจึงมีโอกาสศึกษาธรรมมากขึ้น เข้าใจธรรมมากขึ้น การบรรลุธรรมในผู้หญิงจึงมีมากขึ้น

    ดังที่พระพุทธองค์ทรงเปรียบเทียบไว้ ฉะนั้นศาสนาก็จะเหลือครึ่งหนึ่ง หรือกึ่งหนึ่งทันที

    เมื่อเป็นเช่นนี้พระพุทธศาสนาในกัปนี้จึงเหลือครึ่งหนึ่งหรือกึ่งหนึ่งนั่นแหละ

    จะวิเคราะห์ให้พิจารณาเล่นๆ (แต่มีโอกาสเป็นจริง)ก็แล้วกัน ในยุคของพระศรีอาริยเมตไตรยนั้นท่านกล่าวว่า

    จะอุดมสมบูรณ์ มีเทคโนโลยีทันสมัย พื้นแผ่นดินจะเลื่อนไปโดยไม่ต้องเดินให้มาก ประชาชนจะมีความเสมอภาคกัน ศาสนาและพระบารมีของพระองค์จะแผ่ขยายไปทั่วโลก พระองค์ทรงฉลองชุดแต่งองค์ทรงกษัตริย์ สอนธรรมะอย่างกระจ่างในร่างของกษัตริย์ ทั่วโลกนับหน้าถือตา และศาสนาจะแผ่ไปในต่างประเทศรวมทั้งจะรุ่งเรืองกันทั่วหน้า

    วิเคราะห์ให้ฟังอย่างนี้แล้วคิดยังไงกัน?

    อาจารย์ของแม่ชีท่านกล่าวว่าจะอยู่ให้ถึงพระศรีอาริยเมตไตรยอุบัติแล้วจึงจะเข้านิพพาน ...

    ส่วนแม่ชีก็น้อมรับพระศรีอาริยเมตไตรยด้วยดวงจิตแห่งศรัทธาที่ตั้งมั่น และก็จะขอเข้านิพพานด้วยเช่นกัน

    ในโลกนี้ไม่มีอะไรที่มนุษย์เราทำไม่ได้ พระพุทธองค์ทรงยกย่องมันสมองและปัญญาของมนุษย์เราว่า สามารถที่จะพัฒนาได้โดยลำดับ สิ่งที่ไม่มี เราก็ทำให้มีได้ และ สิ่งที่มี เราก็ทำให้ไม่มีได้เช่นกัน

    มนุษย์ผู้ประเสริฐจึงต้องทำสิ่งที่มีดีอยู่แล้วให้ดียิ่งๆขึ้น อย่าคิดว่าอะไรก็ตามจะเป็นไปไม่ได้

    เพราะสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ อาจจะเป็นสิ่งที่เป็นไปได้ และสิ่งที่เป็นไปได้ อาจจะเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ก็ได้

    ในมุมดี ก็มีมุมไม่ดี ในสิ่งถูกก็มีสิ่งผิด ในสิ่งผิดก็มีสิ่งถูก ฉะนั้นมนุษย์จึงต้องเรียนรู้ เพื่อให้รู้ และให้เกิดรู้ในสิ่งดีนั้น

    น้ำมา แผ่นดินไหว ภัทธกัปนี้กำลังจะเปลี่ยนไป แม่ชีไม่รอพระพุทธเจ้าองค์ต่อไปในกัปใหม่แล้ว เขียนมาให้อ่านผ่านๆ แต่จงพิจารณา วิเคราะห์ แยกแยะตามด้วยเหตุและผลอันอุดมด้วยปัญญาของท่านเถิด

    ความรุ่งเรืองไพบูลย์ย่อมบังเกิดมีแด่ท่าน การมีดวงตาเห็นธรรมและ การบรรลุธรรมย่อมพึงบังเกิดมีแก่ท่านกันโดยถ้วนหน้า

    หวังว่าชาวพลังจิตทั้งหลายคงจะมีกำลังใจ ปลุกจิต ปลุกกายให้ตื่นขึ้นมากระทำในสิ่งที่ดีมีประโยชน์แก่ตนและแจกจ่ายสิ่งที่ดีนั้น ให้กับผู้อื่นบ้างตามกำลังอันสมควรของตนเทอญฯ

    ธรรมะสวัสดี สาธุ!!!
     
  19. hongsanart

    hongsanart เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    1,332
    ค่าพลัง:
    +10,468
    เจริญธรรม...

    มีคำถามมาตอบอีกนะ( ขออนุญาตลูกศิษย์แล้ว )

    ลูกศิษย์จากกรุงเทพฯโทรฯมาถามว่า ปัจจุบัน พระโสดาบัน พระสกทาคา พระอนาคา พระอรหันต์นั้น มีมากมายและเป็นกันได้ง่ายนักหรือ?
    เพราะไปวัดทางภาคอีสานมา แหม!!!คนที่มาบวชทั้งพระ ทั้งคฤหัสถ์นั้นเป็น พระโสดาบัน พระสกทาคา อนาคามีและพระอรหันต์กันเต็มวัดเลย เวียนหัวหมดแล้วครับ?

    อาจารย์แม่ชีช่วยอธิบายหน่อยครับ?


    หนุ่มเอ้ย...น่าจะดีใจและภูมิใจนะที่ได้เจอ ได้เห็นท่านผู้ประเสริฐเหล่านั้น...
    อันนี้เราต้องเข้าใจถึงการกระทำ เพื่อให้บรรลุธรรมและเป็นผู้ประเสริฐตามลำดับนั้นนะ...

    พระพุทธองค์ทรงกล่าวว่า
    "ตราบใดที่ยังมีผู้ประพฤติดี ประพฤติชอบ ประพฤติตามธรรม ตราบนั้นพระอรหันต์ย่อมไม่หมดโลก"

    ใครรู้ล่ะ ว่าคนประพฤติธรรม ประพฤติดี ประพฤติชอบแล้วน่ะ? ก็ตนนั่นแหละ คนอื่นใครเล่าจะรู้ได้เท่าเรา

    "ดีชั่วก็อยู่ที่ตัวอยู่ที่ใจของผู้ทำ"แล้วก็ส่งผลของมาเป็นพฤติกรรมทางภายนอก คนดีจริงไม่ต้องบอกใครๆ คนที่ชอบบอกใครๆนั่นยังดีไม่จริง
    แม่ชีล่ะกลั๊ว...กลัว คนที่ชอบบอกว่า"ดี" เสียจริง

    ไม่ใช่ว่าไม่เชื่อว่าดีมีไม่จริง แต่กลัวคนพูดชมตนว่าดีนั่นแหละ
    พระโสดาบัน สกทาคา อนาคาและอรหันต์นั้น คือผู้ที่มีการพัฒนาสิ่งที่ประเสริฐ ให้เกิดมีขึ้นในตนโดยลำดับ

    ใครที่ทำได้ก็หมายความว่า เป็นผู้ประเสริฐกว่าผู้อื่นที่ทำยังไม่ได้ แต่ก็อย่ายึดกับสิ่งที่ตนคิดว่าทำได้แล้วนำมาโอ้อวดกันเลย

    "ของจริงนิ่งเป็นใบ้ ของพูดได้มักไม่ใช่ของจริง "นี่เป็นแค่สำนวนเปรียบเทียบนะ ไม่ใช่ว่าของจริงแล้วจะพูดไม่ได้ หรือไม่พูดเลย...พูดน่ะพูดได้ ถ้ามีจริงและเป็นจริงตามที่พูดนั้น ถ้าไม่จริงก็เป็นมุสาฯ

    ฉะนั้นคนที่เขาปฏิบัติได้จริงเขามักจะไม่ค่อยพูดกัน เพราะกลัวว่าคนอื่นจะว่าคนพูดว่ามุสาฯ

    ยกเว้น...ผู้เป็นอาจารย์ที่บางครั้งต้องบอกลูกศิษย์เพื่อให้กำลังใจในการที่จะพัฒนาจิตตนต่อไป ก็เท่านั้นเอง

    แต่ถ้าบอกลูกศิษย์แล้วลูกศิษย์หลงตัวเอง ...ก็จบเห่กันเลย....

    ธรรมะสวัสดี สาธุ!!!
     
  20. Mr.tom

    Mr.tom เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2005
    โพสต์:
    269
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,185
    อนุโมทนาครับท่านแม่ชี...ตอบธรรมะตรงใจผมจังเลย...

    ขออนุญาตถามเพิ่มนะครับ...

    ต่อยอดจากคำถามที่แล้ว ในเรื่อง บารมีครับ
    จากที่ผมอ่านคำตอบที่แม่ชีตอบในเรื่องของบารมี แม่ชีสรุปว่า ปัญญาสำคัญที่สุด แสดงว่าตัวที่สำคัญกว่านั้น ก็ คือ การรักษาศีล แล้วเกิด สมาธิ แล้วจึงได้ ปัญญา บวกด้วย การสร้างทานบารมี และ ภาวนาบารมี เพื่อ สร้างปัญญาที่มีอยู่เดิม ให้รู้แจ้งแทงตลอดใช่ไหมครับ แล้ว บารมีอื่นๆ ก็จะตามมาเอง ตรงนี้ อยากขอความกรุณาท่านแม่ชีช่วยชี้แจงว่า ข้อธรรมะนี้ผมเข้าใจถูกหรือไม่

    ข้อ 2. อยากทราบเทคนิค การละนิวรณ์ 5 ของแม่ชี ครับ
    ผมนี่ยังมี ในส่วนของ 1.ความง่วงนอน เวลาสวดมนต์ กับ เจริญกรรมฐาน 2.ความเกียจคร้าน ( การปฏิบัติธรรมที่บ้าน นี่เป็นเรื่องยากมาก เนื่องจากเคยชิน ผมนี่ยังติดนอนตื่นสาย แต่ยังไงก็จะ เพียร พยายามให้ถึงที่สุด) ส่วนข้ออื่นเบาบาง มีน้อยมาก...อนุโมทนาครับ...(ต่อไปนี้คงจะมาเป็นขาประจำ เข้ามาสอบถามข้อธรรมะจากแม่ชีบ่อยๆ นะครับ)...
     

แชร์หน้านี้

Loading...