ความเห็น ต่อบทสวดมนต์และคาถา

ในห้อง 'บทสวดมนต์ - คาถา' ตั้งกระทู้โดย รู้รู้ไป, 7 กรกฎาคม 2010.

  1. รู้รู้ไป

    รู้รู้ไป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    951
    ค่าพลัง:
    +3,166
    โดยส่วนตัวผมคิดว่าบทสวดมนต์เป็นอุบายในการอบรมจิตใจตนเองตัวอย่างเช่น
    บทสวดยาวๆทำให้ต้องตั้งใจมีสมาธิมีความอดทน
    บทสวดที่กล่าวถึงคุณพระพุทธ ก็เพื่อให้เราน้อมระลึกคุณพระพุทธ เป็นพุทธานุสติ
    บทสวดที่กล่าวถึงธรรมะเพื่อให้เราได้พิจรณาธรรมนั้นตาม
    บทสวดบางบทที่สลับซับซ้อนก็เพื่อให้เราตั้งใจ ตั้งสติ เป็นต้น

    ส่วนในเรื่องคาถาอาคมผมมีความเห็นว่าเป็นการใช้พลังจิต และจากที่สังเกตุผมเห็นว่าบางครั้งของเหล่านี้เข้าหาคนเอง เช่นคนที่จะรวยจะมีจะได้ท่องคาถามหาเศรฐี คนกำลังจะมีเสน่ห์ ก็จะเจอคาถาพวกนี้ครับ ผมเคยลองเอาคาถาทำรวยให้เพื่อน 2คนได้ลองท่อง คนที่ฐานะดีกว่าท่องได้อย่างง่ายดาย ส่วนอีกคนที่ฐานะลำบากนานแล้วก้ยังท่องไม่ได้ ตัวผมเองผมเคยได้คาถาเกี่ยวกับทางด้านการทำให้คนหลงรัก ผมก็ลองไม่ใช้ ก็ปรากฎว่ามันก็ใช้ปัญญาจีบได้อยู่ดี ทำให้ผมคิดว่าเรื่องคาถานั้น เหมือนคนจะได้ทำเอาไว้ ยังไงก็ต้องได้อยู่แล้ว ท่องไม่ท่องเราก็ต้องได้ของเรา แท้จริงแล้วเป็นไปตามกรรมที่ทำมา กรรมต่างหากที่เป็นของจริง อยากได้ผลอย่างไรสร้างเหตุไว้ตรงได้รับผลนั้นแน่นอน

    ความเห็นเหล่านี้เป็นความเห็นส่วนตัวผิดถูกประการใดวานผู้รู้หรือผู้มีความเห็นเป็นอย่างอื่นแลกเปลี่ยนความรู้ความเข้าใจเพื่อให้ได้คำตอบที่ถูกต้องและชัดเจนยิ่งขึ้นไปอีกครับ
     
  2. ธัมมนัตา

    ธัมมนัตา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +9,766
    ทุกอย่างปัจจัตตัง

    ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล

    สวดเอาปัญญาก็สวดสายปฏิจจสมุปบาท เป็นบทธรรมะที่พระพุทธองค์สาธยายด้วยพระองค์เองบ่อยๆ การใคร่ครวญข้อธรรมมากยิ่งทำให้ปัญญาแตกฉานยิ่งขึ้น
    สวดเพื่อพุทธานุภาพ ก็อิติปิโส หรือรัตนสูตร
    สวดเพื่อให้หายป่วยเร็วๆ ก็โพชฌงค์
    สวดเพื่อให้ทำมาหากินคล่องก็คาถาเงินล้าน เป็นต้น

    ขึ้นอยู่กับสภาวะจิตตอนนั้นมุ่งหวังอย่างไร

    หากเป็นพวกคาถาในทางโลกีย์ เสริมเสน่ห์ มีผลอยู่ในระดับหนึ่ง ที่เน้นสมาธิมากกว่าการเสริมปัญญา มีผลต้องให้วนเวียนอยู่ในวัฏฏอยู่อีก ยิ่งเป็นคาถาที่ประกอบด้วยความโลภ มีโมหะเข้าประกอบนั่นคืออวิชชา ยิ่งสวดยิ่งทำให้หลงในกามไปอีกเรื่อย ๆ

    การสวดมนต์สมัยโบราณเรียกว่ามุขปาฐะ คือการต่อมนต์ วัตถุประสงค์หลักคือการสืบพระธรรมให้คงไว้

    ต่อๆ มามีความเพี้ยนไปมีการเพิ่มเติมเสริมด้วยคาถาอาคมตามความต้องการของผู้คนแต่ละยุคและแต่ละสำนักที่แต่งขึ้นมาใหม่ด้วยถ้อยคำของตนเอง บางทีเป็นบาลีปนไทย
    ยุคโบราณมากๆ ก็เน้นป้องกันตัว คงกระพันชาตรี เสน่ห์ให้หญิงรัก หรือการเอาชนะคนอื่น ยุคปัจจุบัน ส่วนใหญ่คือเน้นโภคทรัพย์

    ต้องเลือกใช้เองตามวัตถุประสงค์ของตนและผลที่ได้รับก็จะแปรตามกรรมหลักของตนประกอบเข้ากับศรัทธาสมาธิที่สวดคาถานั้นๆ ด้วย
     
  3. รู้รู้ไป

    รู้รู้ไป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    951
    ค่าพลัง:
    +3,166
    ขอบคุณสำหรับความรู้นี้ครับ ทำให้ผมทราบถึงความสำคัญของธรรมข้อนี้
    ส่วนตัวแล้วผมพิจรณา ปฏิจจสมุปบาท จนเกิดความเข้าใจว่า จริงแล้วโลกย่อมดำเนินไปตามธรรมชาติธรรมดา ต่อเมื่อเราเข้าไปพอใจไม่พอใจต่อธรรมชาตินั้นเราย่อมเกิดทุกข์เกิดสุขตามความพอใจนั้น ความทุกข์ความสุขนั้นเราต่างหากเป็นผู้สร้างขึ้นต่อธรรมะดาที่เกิดขึ้นเหล่านั้น เมื่อเกิดทุกข์ก็เรานั้นเองเล่าที่สร้างขึ้น โลกไม่ได้ทำให้เราทุกข์เลย แต่การเข้าไปยึดในความพอใจไม่พอใจนั้นต่างหากจึงเกิดทุกข์ ความไม่พอใจก็เป็นทุกข์ ความพอใจก็เป็นเหตุให้เกิดความไม่พอใจ ลองยึดไว้สุดท้ายก็ได้ทุกข์ตอบแทนเหมือนกัน
    ถูกผิดหรือมีความเห็นอย่างไรเพิ่มเติมเพื่อเพิ่มพูลปัญญาขอบคุณล่วงหน้าทุกท่านครับ
     
  4. รู้รู้ไป

    รู้รู้ไป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    951
    ค่าพลัง:
    +3,166
    ป ฏิ จ จ ส มุ ป บ า ท

    อวิชชาปัจจะยา สังขารา ( เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย สังขารจึงมี )
    สังขาระปัจจะยา วิญญานัง ( เพราะสังขารเป็นปัจจัย วิญญาณจึงมี )
    วิญญาณะปัจจะยา นามะรูปัง ( เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย นามรูปจึงมี )
    นามะรูปะปัจจะยา สะฬายะตะนัง ( เพราะนามรูปเป็นปัจจัย สฬายตนะจึงมี )
    สะฬายะตะนะปัจจะยา ผัสโส ( เพราะสฬายตนเป็นปัจจัย ผัสสะจึงมี )
    ผัสสะปัจจะยา เวทนา ( เพราะผัสสะเป็นปัจจัย เวทนาจึงมี )
    เวทะนายะปัจจะยา ตัณหา ( เพราะเวทนาเป็นปัจจัย ตัณหาจึงมี )
    ตัณหาปัจจะยา อุปาทานัง ( เพราะตัณหาเป็นปัจจัย อุปาทานจึงมี )
    อุปาทานะปัจจะยา ภะโว ( เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย ภพจึงมี )
    ภะวะปัจจะยา ชาติ ( เพราะภพเป็นปัจจัย ชาติจึงมี )
    ชาติปัจจะยา ชะรามะระณัง ( เพราะชาติเป็นปัจจัย ชรามรณะจึงมี
    )
    โสกะปะริเทวะทุกขะโทมะนัสสุปายาสา สัมภะวันติ
    ( ความโศก ความคร่ำครวญ ทุกข์ โทมนัส และความคับแค้นใจ ก็มีพร้อม )
    เอวะเม ตัสสะ เกวะลัสสะ ทุกขักขันธัสสะ สะมุทะโย โหติ
    ( การเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งปวงนี้ จึงมีด้วยประการฉะนี้ ฯ )


    อวิชชา ยะ เตววะ อะเสสะวิราคะนิโรธา สังขาระนิโรโธ
    ( เพราะอวิชชาสำรอกดับไปไม่เหลือ สังขารจึงดับ )
    สังขาระนิโรธา วิญาณะนิโรโธ ( เพราะสังขารดับ วิญญาณจึงดับ )
    วิญญาณะนิโรธา นามรูปะนิโรโธ ( เพราะวิญญาณดับ นามรูปจึงดับ )
    นามะรูปะนิโรธา สะฬายะตะนะนิโรโธ ( เพราะนามรูปดับ สฬายตนะจึงดับ )
    สะฬายะตะนะนิโรธา ผัสสะนิโรโธ ( เพราะสฬายตนะดับ ผัสสะจึงดับ )
    ผัสสะนิโรธา เวทนานิโรโธ ( เพราะผัสสะดับ เวทนาจึงดับ )

    เวทนานิโรธา ตัณหานิโรโธ ( เพราะเวทนาดับ ตัณหาจึงดับ )
    ตัณหานิโรธา อุปาทานะนิโรโธ ( เพราะตัณหาดับ อุปาทานจึงดับ )
    อุปาทานะนิโรธา ภะวะนิโรโธ ( เพราะอุปาทานดับ ภพจึงดับ )
    ภะ วะนิโรธา ชาตินิโรโธ ( เพราะภพดับ ชาติจึงดับ )
    ชาตินิโรธา ชะรามะระณัง ( เพราะชาติดับ ชรามรณะจึงดับ )
    โสกะปะริเทวะทุกขะโทมะนัสสุปายาสา นิรุชฌันติ
    ( ความโศก ความคร่ำครวญ ทุกข์ โทมนัส และความคับแค้นใจจึงดับ )
    เอวะเมตัสสะ เกวะลัสสะ ทุกขักขันธัสสะ นิโรโธ โหติ
    ( การดับแห่งกองทุกข์ทั้งปวงนี้ จึงมีด้วยประการฉะนี้ ฯ )


    ผมปรับมาใช้ในชีวิตอย่างนี้ครับ เมื่อใดเกิดทุกข์ใจขึ้น ผมจะพิจรณาว่ามีการกระทบผัสสะทางไหนที่ทำให้ทุกข์ใจ เกิดเวทนาอย่างไร มีตัณหาอยู่ไหม มีอุปทานอยู่ไหม จึงมีทุกข์อยู่ใช่ไหม เช่น มีคนขับรถตัดหน้า แล้วผมโมโหเป็นทุกข์ใจจากความโมโหนั้นอยู่ ผมจะย้อนเข้ามาดูตัวว่า เห็นใช่ไหม(ผัสสะ) แล้วเกิดความไม่พอใจ(เวทนา) อยากให้เขาขับรถอีกอย่าง(ตัณหา) ยึดมั่นว่าเขาควรต้องขับอย่างนั้น(อุปทาน) ผลคือ ผมเสวยความทุกข์ ปรับใช้ปรับพิจรณาในชีวิต
    จนทำให้เห็นว่าหากเราสร้างเหตุสร้างปัจจัยให้เกิดทุกข์(เวทนา ความพอใจไม่พอใจ ตัณหาความอยาก อุปทานความยึดมั่นถือ)ไว้มาก เราย่อมต้องเสวยความทุกข์นั้นมากตามไปด้วยเช่นกัน ผมนำปรับใช้ในชีวิต จนความทุกข์ใจของผมได้เบาบางลงได้ด้วยการศึกษาคาถาธรรมดังนี้ ธรรมมะขององค์บรมศาสดานี้หากเพียงแต่นำมาปรับใช้ย่อมทำให้ทุกข์ลดลงได้ตามความเข้าใจอย่างน่าอัศจรรย์จริงๆ
    ผมโชคดีที่ได้เกิดมาพบ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ครับ ไม่อย่างนั้นคงต้องทุกข์ หาทางออกที่แท้จริงไม่ได้ มากกว่านี้แน่นอน
     
  5. namitta

    namitta เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    1,061
    ค่าพลัง:
    +3,517

    เผินๆก็น่าจะจริงนะครับ
    แต่ การท่องคาถา น่าจะเป็นการขออำนาจครูบาอาจารย์ เทพเทวา +กำลังจิตของเรา + มาช่วยตามเงื่อนไข กำัลังบุญกรรม ของเรานะครับ

    อย่างพวกคาถาคงกระพัน แคล้วคลาด มหาอุด พวกนี้ บางคนท่องได้ บางคนท่องได้แต่ใช้ไม่ค่อยได้
    ถ้า เงื่อนไข ของ จิตเสมอกัน ครูบาอาจารย์ช่วยเหมือนกัน ก็อยู่ที่กรรมปาณาติปาตของเค้าที่ตามมาละครับ
    ทำกรรมมามากหน่อย โดนยิง ไม่โดนจุดสำคัญ
    น้อยมาอีกนิด โดนยิงไ่ม่เข้า
    น้อยมาอีก ยิง ไม่โดน
    น้อยมาอีก ยิง ไม่ออก
    น้อยมาอีก หรือไม่มีกรรมร่วม เค้าไม่ยิง
    แต่ บางที บางคาถา อสูรรักษา ของเค้าก็แรงเหมือนกันนะ พวกโจรพวกเสือเก่า ฆ่าคนมากๆ แต่เค้ามีสัจจะ พูดจริงอันนี้ ตบะบารมีมันเกิด สมาธิจิตมันรวมตัวเร็ว จิตแข็ง อำนาจจิตที่แข็ง เหี้ยม สูง แรง (สมาธิจิตตั้งมั่นในด้านให้ตัวเองรอดตาย สมาธิมากเข้ามันไปต้านธรรมชาติได้ แบบโยคีอายุร้อยๆปี หรือ โยคี ไม่ดื่มกินแต่อยู่ได้นาน เพราะสมาธิ )มันก็กันได้


    อย่างพวกมหาลาภ
    คนรวยมีบุญเก่ามากกว่า ท่องไม่เท่าไหร่ คาถาเป็น(กำลังครูบาอาจารย์ที่จะช่วยเหลือเพราะบารมีครูบาอาจารย์มากกว่า + คำอธิษฐานให้เกิดสมาธิจิตเดิม)บุญมันย้อนมาให้เกิดผลมากกว่าคนจนที่ท่อง
    แต่ คนจนที่ท่อง มากๆเข้า จะเริ่มความเป็นอยู่คล่องตัวมากขึ้นไปเรื่อยๆ หากทำบุญไปด้วย จะดัน ให้ดวงดีขึ้นมาได้ เพราะบางทีครูบาอาจารย์ท่านหาช่องช่วยอยู่

    ฤาที่จริงแล้ว คนรวยท่องได้เพราะ เค้าอยู่สบาย อย่ดีกินดี เลยท่องแบบสบายๆ ไม่กังวลในการหาเลี้ยงชีพ เป็นนิวรณ์
    แต่คนจนท่องไม่ได้ เพราะกังวลในการหาเลี้ยงชีพ เลยทำให้สมาธิตกไปคาถาเลยไม่ขลัง




    เรื่องคาถาเสน่ห์ ก็เช่นกัน จิตที่มีสมาธิ ตั้งมั่นกว่าย่อมครอบจิตที่อ่อนไหวง่ายของเหล่าสาวๆได้ ผู้หญิงจึงมักมองคนที่ดูมั่น มากกว่าคนที่ดูหงอยๆ หรือ ดูสติไม่เต็ม
    จิตเราเป็นสมาธิ สวดแต่คำไม่กี่คำ เป็นคำน้อมให้รักเรา
    1.เป็นจิตอธิษฐาน+สมาธิ
    2.เป็นคำที่ครุบาอาจารย์ให้ท่องเพื่อท่านช่วย

    ท่องไปแล้วแรกๆอาจไม่ชอบ แต่หลังๆไปจิตสาวๆเผลอท่านอาสัยจังหวะช่วยจนได้ละน่า

    แต่คนบางคนไม่ท่องก็ได้สาวเยอะเพราะ มีเมตตามหานิยมโดยธรรมชาติ
    คือ
    1. มั่น มีสติ ไม่บ้าๆบอๆ
    2.พูดจาไพเราะ ฟังแล้วจิตอ่อนไหว ชอบ
    3. หน้าตาดี เห็นแล้วชอบแต่ไกล ตัวจิตชอบนี่หละ จิตเค้าอ่อนแล้ว

    ....บลาๆ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 กรกฎาคม 2010
  6. รู้รู้ไป

    รู้รู้ไป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    951
    ค่าพลัง:
    +3,166
    ขอบคุณสำหรับความเห็นอันเป็นประโยชน์นี้ครับ
    มองชัดๆ
    ถ้าครูบาอาจารย์จะรักจะช่วยเพราะอะไร?
    เป็นคนรวยคนมีบุญเก่า อยู่สบายอยู่ดี เพราะอะไร?
    จิตตั้งมั่น มีกำลัง หรือมีเสน่ห์โดยธรรมชาติได้ เพราะอะไร?
    หากทุกคำถาม มีคำตอบที่ใกล้เคียงกันว่าเป็นเพราะกรรมเพราะการกระทำที่สะสมกันมา หากต่อไปอยากได้ผลอย่างไร ก็ต้องก่อเหตุไว้อย่างนั้นใช่ไหมครับ?
    กรรมการกระทำปัจจุบัน ผล ปัจุบันอนาคต
    ผล ปัจจุบัน อนาคต กรรมที่ได้กระทำในปัจจุบัน และกรรมที่เคยกระทำ
    อยากให้ครูบาอาจารย์ เทพเจ้าทั้งหลายรัก-นอบน้อม เป็นคนดี
    อยากอยู่อย่างสบาย-ทำบุญทำทาน
    จิตตั้งมั่น มีกำลัง-ฝึกสัมมาสมาธิ
    มีเสน่ห์-มีเมตาตาจิต
    การนอบน้อมเคารพครูบาอาจารย์ เทพเจ้า ด้วยบุญด้วยกุศลด้วยบารมีที่ท่านเหล่านั้นได้กระทำเอาไว้แล้วเป็นสิ่งดี
    การยึดถือความดีเหล่านั้นเป็นแบบอย่างเพื่อปฏิบัติตามท่านจะไม่ยินดีหรือหรือไม่ควรทำหรือ
    การขอให้ท่านช่วย ขอพึ่งท่าน ดิ้นรนด้วยความอยาก กับการยืนได้ด้วยตัวเอง พึ่งท่านให้น้อยที่สุด การทำความดีให้ท่านเห็น การสร้างกุศล แบบไหนท่านจะสบายใจจะมีเมตตาต่อเราได้มากกว่ากัน
    ขอแล้วมาช่วย กับไม่ต้องขอก็มาช่วย ชอบแบบไหน?

    ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก ผู้ขอย่อม......
    และ
    แท้จริงแล้วเป็นไปตามกรรมที่ทำมา กรรมต่างหากที่เป็นของจริง อยากได้ผลอย่างไรสร้างเหตุไว้ตรงได้รับผลนั้นแน่นอน
    ขอบคุณและยินดีที่แสดงความเห็นด้วกุศลจิตเพื่อประโยชน์ในการเพิ่มพูลสติปัญญาโดยทั่วกันครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 กรกฎาคม 2010
  7. namitta

    namitta เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    1,061
    ค่าพลัง:
    +3,517
    ยินดีเช่นกันครับ ความเห็นของท่านก็ถูก



    ผมจะลองยกตัวอย่างของพระชาดกหนึ่งมา ลองหาคำว่า ปฐวิชัยมนต์ (เป็นมนตร์กลับใจ หรือบังคับจิตใจ ให้หลง)ครับ
    เนื้อเรื่องคร่าวๆ(ลองไป หาฉบับเต็มโดยอากู๋นะครับ แนะนำ เว็บ 84000 )
    คือพราหมณ์ ผู้หนึ่ง ไปป่า นั่งบนศิลา บนผา แล้วภาวนามนตร์ สุนัขจิ้งจอกหนึ่งได้ยินมนตร์ แล้วจดจำได้ วิ่งออกมาจากที่ซ่อนมาเยาะเย้ยพราหมณ์
    จิ้งจอกนำไปท่อง กลับใช้มนตร์ได้
    ในอรรถกถา แก้ว่า ...เพราะสุนัขจิ้งจอกนั้น เคยเป็นพราหมณ์ผู้ช่ำชองทรงจำในมนตร์นั้นมาก่อน และ มนตร์นั้นจะใช้ได้เมื่อทรงจำได้คล่องแคล่ว พราหมณ์นั้นจึงมาหาที่หลบซ่อนเพื่อภาวนามนตร์ซ้อมอยู่เสมอๆ

    ข้อนี้ตรงกฏแห่งกรรมที่คุณได้บอกไว้แล้ว ....ตรงถูกต้องและยืนยันว่าคุณคิดถูก และการทำดีให้เทพเจ้าเห็นใจ และช่วยแทนการอ้อนวอนขอ นี่ก็ถูก
    เรื่องกฏแห่งกรรมเป็นข้อลึกซึ้งเบื้องหลัง การกระทำดีก็เป็นองค์ประกอบสำคัญมาก ที่สุด
    แต่ ปัจจัยร่วมเล็กๆน้อยๆเช่นคาถาอาคมนี่ มีไว้ใช้ครับ ใช้เหมือนกับ ความรู้ในการเล่นเว็บ ความรู้ในการก่อสร้าง ความรู้ทางการแพทย์ ไม่มีดีไม่มีร้าย ขึ้นอยู่กับคนใช้ว่า
    มีความจำ ความพร้อม ครูบาอาจารย์ที่ดี เป็นกรรมเก่าหนุนมาขนาดไหน
    มีความหมั่นฝึกฝน ลับความรู้ เป็น กรรมใหม่ที่ทำเพิ่มขนาดไหน
    มีความคิดไปทางดี ทางร้ายในการใช้ได้ขนาดไหน

    กฏแห่งกรรมเก่า บังคับว่า ชาตินี้ คุณต้องเป็นหมอ ให้เรียนรู้เรื่องการแพทย์
    กฎแห่งกรรมตัวเก่า มันจะปูทางทุกอย่างให้แต่เดิม หรือตั้งแต่ที่มันมีโอกาส
    เหลือแต่ตัวจิตเดิมของเรา จะมีอุปนิสัยสันดาน หรือ นิสัยใหม่ที่เพิ่มขึ้นมาจากกรรมปัจจัยรอบข้างที่ร่วมกับคนอื่น(เช่นเลี้ยงดูของพ่อแม่ และ การคบเพื่อน)
    แต่หากกรรมอันใดมาตัดรอน เช่น กรรมปาณาติปาตให้แขนขาด
    ผลของกรรมนี้ จะทำให้ กรรมดีที่บังคับว่าให้เป็นหมอ หยุดชะงัก ไปชั่วครู่ อาจจะต้องไปส่งผลในชาติหน้า หรือแรงมากจนส่งผลให้สามารถผ่าตัดใส่แขนใหม่ที่บริจากหรือ เพาะเลี้ยงสเต็มเซลล์ได้มือมาใหม่ ให้มีโอกาสในการศึกษาต่อมากขึ้น

    ...........

    เรื่องที่คุณบอก เป็นเหมือนกับ ทฤษฏีบทใหญ่ ๆ ที่นำมาใช้ แต่ในชีวิตจริง กฏแห่งกรรม มันส่งผลกับคนทุกคนเชื่อมโยงกันไปหมด เชื่อมเสียจน อจินไตย

    และเชื่อมกัน และ สับปลับกันส่งผล ชิงกันวุ่นวายไปหมด

    และบางกรรมจะส่งผลวิบากได้ก็เมื่อมีเงื่อนไข บางอย่าง ถ้าไม่มีเงื่อนไขนี้ ให้ตายยังไงมันก็ไม่ส่งผล

    เช่น เรื่อง โฆษกเศรษฐี เรื่องนี้ อธิบายได้ชัดเจนมาก
    โฆษกเศรษฐี เดิมคือนายโกตุหลิกะ ยากจน ทิ้งลูก 7 ครั้ง จนลูกตาย หนีโรคภัยไปเป็นทาสนายบ้านเศรษฐีท่านหนึ่งที่ชอบทำบุญกับ พระปัจเจกพุทธเจ้า
    นายคนนี้ กินอาหารมากไปไม่ย่อยตายไปเกิดเป็นลูกสุนัข คอย นิมนต์ นำทางพระปัจเจกพุทธเจ้ามารับบิณฑบาต เห่าไล่งูและสัตว์ร้ายไม่ให้ทำอันตรายแก่พระปัจเจก จนกระทั่งมันตาย ไปเกิดเป็นเทวดามีเสียงดังไพเราะ เพราะเงื่อนไขของกรรมที่ทำบุญด้วยเสียง แล้วมาเกิดอีกทีเป็นลูกหญิงงามเมือง และถูกทิ้ง เศรษฐีเก็บไปเลี่ยง และจะฆ่าให้ตายแต่เด็กเสียหลายครั้งแต่ไม่ตาย เพราะกรรมชั่วทิ้งลูก ดักคอด้วย กรรมไล่สัตว์มาทำอันตรายพระปัจเจกระหว่างทาง อันเป็นกรรมดี
    โตมาแบบไม่รู้หนังสือ เพราะไม่ได้เรียน ถือจดหมายให้ฆ่าตนเองตายไปให้เศรษฐีที่ชนบทเจอะลูกสาวเศรษฐี ที่ชาติก่อนเป็นเมียเก่า เกิดรักกัน และเมียเก่านั่นแหละเปลี่ยนแปลงจดหมายเสียใหม่ และทำเล่ห์กระเท่ห์จน โฆษก ได้เป็นเศรษฐี
    สรุปความว่า โฆษกนั้นเป็นเศรษฐีได้เพราะเมีย หากเค้าถูกฆ่าเสียก่อน เค้าก็ไม่ได้เป็น หาก เมียไม่ใช้หัวตัวเองโขกอกเศรษฐี ให้ตาย โฆษกก็ไม่ได้เป็น เศรษฐี

    ที่เล่ามานี่จะบอกเพียงแค่ว่า เงื่อนไขกรรมเก่ากับกรรมเก่าซ้อนซับกันเสียจนอจินไตยมากเกินไป
    ถ้าหากว่า มีเหตุการณ์แบบนี้เคยเกิดในอดีตชาติคือ
    คุณเคยเกิดเป็นคนที่ทำบุญกับพระอรหันตที่เพิ่งออกจากนิโรธสมาบัติ
    เพราะมีเพื่อนคนหนึ่งมาบอกคุณให้ทำ
    แล้วบุญนั้นเป็นบุญที่จะส่งผลมาชาตินี้ด้วย ให้คุณรวยมากชนิดมากกว่าบิลเกตต์ เป็นล้านเท่า
    แต่
    บุุญนั้นกลับมีเงื่อนไข เหตุเพราะเพื่อนคุณเป็นคนชี้บอกคุณทำ
    วิบากบุญนั้นจะส่งได้ก็ต่อเมื่อมีเพื่อนคนนี้เข้ามาร่วมด้วยเท่านั้น

    แต่ในชาตินี้
    เพื่อนคนนั้นดันกลับเป็นเทพเจ้า เป็นครูบาอาจารย์บอกมนต์คาถาที่ตายไปแล้ว แถมเพื่อนคุณยังมาเข้าฝันคุณพร้อมที่จะช่วยคุณ

    ขอแค่เพียง คุณต้องมาสวดมนต์บทที่เค้าบูชาท่านหรือเอ่ยปากขอร้องท่านเท่านั้น ไม่งั้นเงื่อนไขบุญนี้จะไม่เกิด

    ...........................

    คุณคิดว่า นิทานที่ผมเล่ามานี้ มีโอกาสที่จะเป็นจริงไหมครับ


    ผมเริ่มเพ้อเจ้อมากเกินไปแล้ว ขอบคุณที่อ่านครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 กรกฎาคม 2010
  8. รู้รู้ไป

    รู้รู้ไป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    951
    ค่าพลัง:
    +3,166
    เป็นเรื่องดีที่ได้แลกเปลี่ยนความรู้ความเห็นกันครับ
    หากเป็นชาวพุทธตามที่ได้ศึกษามา พุทธองค์แม้เมื่อตรัสรู้แล้วยังคงต้องรับกรรม พระโมคคัลลานะยังคงรับกรรม แล้วมีใครยิ่งใหญ่กว่ากรรมขึ้นมาได้อีก
    กรรมที่ส่งผล-มีกรรมดีและกรรมชั่ว
    กรรมที่ส่งผล-มีกรรมปัจจุบันและกรรมในอดีต
    หากสังเกตุจากทุกข้อที่ท่านได้กล่าวมาก็จะเห็นว่าจะต้องมีการกระทำกรรมดีขึ้นก่อนจึงมีผลดีตามมา และจะต้องได้รับผลชั่วเมื่อทำชั่ว
    กรรมเราทำไว้อย่างไรก็ต้องได้รับ ถึงจะมีสิ่งใดมาตัดทอนกรรมที่กำลังจะได้รับก็ด้วยกรรมของเรานั่นอีกไม่ใช่ หรือ
    ครุกรรมให้ผลก่อน-ตามด้วยอจิณกรรม
    ครั้งหนึ่งผมหาของไม่เจอ (มีกรรมที่ทำให้ของหาย)ผมจึงบน ถ้าหาของเจอ จริงหรือที่บนแล้วเจอ ถ้าไม่บนแล้วจะไม่เจอ แล้วที่บนแล้วไม่เจอล่ะ เพราะกรรมหนักช่วยไม่ได้จริงๆ? ถ้าเป็นดังนั้นก็ต้องเพราะกรรมอีก
    เรื่องของกฏแห่งกรรมผมมองเป็นเรื่องธรรมดามีผลต้องมีเหตุแต่ที่ไม่เข้าใจผลเพราะไม่เรู้เหตุอย่างแน่แท้ ผลรวย ที่รู้ไม่ได้ทำอะไรนี่หน่า ที่ไม่รู้เคยสะสมบุญมาเมื่อชาติก่อน จึงคิดว่าอยู่เฉยก็รวย ไม่เห็นว่าต้องทำ เรียกว่าเห็นผิด
    หากท่านแนะนำให้เราทำดีแล้วเกิดบุญเกิดโภคทรัพย์ขึ้นแก่เรา เราจะนิยมในคำพูดท่านจะนับถือท่านด้วยอานิสงค์แห่งการแนะนำนั้น ส่วนโภคทรัพย์นั้นเราทำอย่างไรเสียเราต้องได้รับเพราะเราได้กระทำกรรมแล้ว อย่างนี้เป็นไปได้ไหม (ผู้แนะนำได้รับความเคารพนอบน้อม ผู้ให้ย่อมได้รับ) ตามเหตุตามผล
    หรือลองสังเกตุจากชีวิตจริงครับ ว่ามีเหตุการอย่างนี้เกิดขึ้นไหม อาจารย์จน ศิษย์รวย หรือนับถือเทพแต่ไม่ได้บูชาไม่ได้ขอให้ท่านช่วยก็รวย
    กับตัวผมเองได้เคยร่ำเรียนวิชาประภททำลายศัตตรูและทำให้ผู้หญิงหลงไหลแต่ เมื่อผมลองไม่ใช้กับคนที่ผมอยากจะใช้แล้วใ้ช้วิธีธรรมดาแล้วดูผล ก็ปรากฏว่าศัตรูของผมก็มีอันเป็นไปและผมได้ผู้ที่ผมปารถนาอยู่ดี รวมถึงคาถาลาภต่างๆผมหยุดท่องและหาสาเหตุที่ได้พบก็พบว่าเป็นเพราะกรรมดีของ ที่ทำให้ได้พบคาถาเหล่านี้ได้พบความสมหวังเหล่านี้ ผมจึงตัดตรงมาที่การทำกรรมดีเลย ทุกวันนี้ผมอยู่อย่างสบาย อยากมีคนรักเมื่อไรก็ไม่เกินวิสัย และปลอดภัยจากศัตรูทั้งหลาย มีคนยำเกรง มีคนนับถือโดยไม่ได้ใช้คาถาเหล่านั้น (ทั้งที่ผมก็ยังจำคาถาเหล่านี้ได้อยู่บ้าง)
    อย่างไรองค์ประกอบที่ขาดไม่ได้ก็คือการกระทำกรรม ทำไว้อย่างไรก็รับผลอย่างนั้นแล้วทำไมจึงไม่เดินทางตรงคือเหตุตรงนั่นคือการประกอบกรรมให้ตรงกับเหตุซึ่งจะต้องได้รับแน่ๆ ถึงจะมีใครบอกหรือไม่บอก
    ครูบาอาจารย์เทพเจ้าควรเคารพครับแต่เคารพในคุณงามความดีของท่านในแบบอย่างของท่าน หรือเคารพเพื่อ.......
    ฝากนิทานเรื่องชายที่โดนทำนายว่าจะเป็นยาจกตลอดชาติ(กรรมเก่า)แล้วเพียรทำงาน(กรรมปัจจุบัน)จนร่ำรวยเป็นเศรษฐีได้
    ผู้ล่วงรู้กรรมมีให้ศึกษาอยู่พอสมควรจากการปฏิบัติธรรมครับ
    ทุกวันนี้ผมยังสวดมนต์ครับ และเคารครูบาอาจารย์เทพเจ้าทั้งหลาย แต่เป็นไปเพื่อกำลังในการปฏิบัติธรรมของผมต่อไป
    โชคชะตาผมสร้างให้ตัวเองด้วยกรรมที่กระทำนี้ครับ
    ยินดีที่ได้สนทนาธรรมเพื่อแลกเปลี่ยนความรู้กันครับ
    ท่านพิมพ์มาผมยินดีแล้วครับ การสนทนาธรรมเป็นบุญ
     
  9. perane

    perane เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    25
    ค่าพลัง:
    +120
    การมีชีวิตอยู่ ความตาย เสียงสวดมนต์
    ณ โรงพยาบาลประจำจังหวัด ภายในห้องไอซียู เสียงพยาบาลวิ่งออกมาจากห้องบอกกับญาติผู้ป่วยว่าคนไข้กำลังเพ้อ แขนสลัดน้ำเกลือและพยายามยกมือขึ้นต้องรีบตามหมอด่วน (หลังคนไข้หญิงชราอายุ 62 ปี ได้รับการผ่าตัดสมอง เนื่องจากเส้นเลือดแตก 3 เส้น) หลังจากนั้นประมาณ 15 นาที หมอที่ทำการผ่าตัดได้เข้าห้องไอซียูอย่างรีบด่วน พยาบาลวิ่งออกมาจากห้อง"ญาติคนไข้ใครก็ได้รีบเข้าไปพบคุณหมอด่วน" หญิงชราวัย 58 ปีมีศักดิ์เป็นน้องสาวแท้ ๆ รีบวิ่งเข้าไปทันทีช่วงเวลาไม่เกิน 5 นาที วิ่งออกมาหน้าตาตื่นคว้าหนังสือมนต์พิธี รีบวิ่งเข้าไปในห้องไอซียูทันที เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้าในความรู้สึกของญาติทุกคนที่ยืนออกันอยู่หน้าห้องไอซียู ประตูห้องไอซียูเปิดออกมา คุณหมอและน้องสาวคนไข้ "ผมเพิ่งเคยเห็น เคยพบ ดีใจด้วยครับคุณป้าปลอดภัยแล้ว" เสียงคุณหมอกล่าวต่อญาติคนไข้ "เสียงที่พี่.... พร่ำเพ้อแท้จริงแล้วไม่ใช่เป็นเสียงที่สวดมนต์ เริ่มตั้งแต่ทำวัตรเช้า-เย็น จนจบมนต์พิธี ส่วนมือที่สลัดสายน้ำเกลือพยายามที่จะพนมมือ"
    เสียงน้องสาวกล่าวกับญาติทุก ๆ คน
     

แชร์หน้านี้

Loading...