ไม่เคยฝึกมโนมยิทธิ แต่สิ่งที่ตัวเองสื่อได้ คล้ายๆจะมาทางด้านนี้

ในห้อง 'ประสบการณ์อภิญญา' ตั้งกระทู้โดย Me, myself, 3 มีนาคม 2009.

  1. purit

    purit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    50
    ค่าพลัง:
    +809
    ขออนุญาติทบทวน ประเด็นสำคัญในคำสอนที่พี่ me myself ได้นำมาเป็นธรรมทาน

    พี่Me, myself ครับ

    วันนี้เป็นวันมงคลที่ผมได้อ่านบทความทั้งหลายของพี่ จนถึงหน้าที่ ๑๖ แล้วจึงอยากขอกราบอนุโมทนาบุญต่างๆ ที่พี่เคยได้ร่วมทำ และปฏิบัติดีมาครับ

    ผมเรียนถามนิดหนึ่งได้มั้ยครับ ผมกลัวที่จะฝึกทางสายมโนมยิทธิ เพราะกลัวหลงกลัวติด ผมเลยเลือกตามสายสุขขวิปัสโกเป็นที่ตั้ง จึงขอรวบรวมแนวคำสอนที่พี่ได้เล่า ที่เป็นคำสอนสมเด็จองค์ปฐม คำสอนพระศาสาด คำสอนหลวงพ่อฤาษี เป็นต้น

    มาเป็นฉบับสั้นๆที่ผมได้พบแก่นธรรมะเพื่อเผยแพร่ นำไปใช้ตราบเข้าสู่พระนิพพานนะครับ เช่นที่รวบรวมได้วันนี้

    ๑. คำสอนสมเด็จองค์ปฐม

    อยากให้เจ้าพิจารณาว่า ร่างกายนี้เป็นสิ่งเน่าเหม็น เป็นที่เก็บของที่ตายแล้ว สิ่งมีชีวิตทั้งหลายที่พวกเจ้ากินเข้าไป ก็ไปหมักหมมกันอยู่ในนี้ เกิดการเน่าเสีย ร่างกายของพวกเจ้าประกอบไปด้วยของเน่าของเสีย ทั้งเลือดเนื้อที่มีอยู่ก็เกิดมาจากของเสียทั้งหลาย ให้พิจารณาว่าร่างกายนี้ไม่ใช่ของเราเป็นของโลก เมื่อถึงเวลาก็จะแตกสลายกลับไปเป็นธาตุทั้งสี่ของโลกเหมือนเดิม ร่างกายนี้ไม่ได้อยู่ถาวรไม่ได้ยั่งยืน มีแต่จิตเท่านั้นที่ยังคงอยู่ อย่าคิดเป็นห่วงสังขารร่างกายนี้ ดูให้ดีจะเห็นว่ามันเป็นทุกข์ จะต้องหาอาหารมากินเพื่อให้สังขารนี้อยู่ได้ ต้องคอยดูแลเอาใจใส่มันทุกอย่าง ขอให้เจ้าอย่ายึดติด ให้ละสักกายทิฐินี้เสีย ให้คิดว่าร่างกายไม่มีในเรา เราไม่มีในกาย อย่าไปคิดว่านี่คือตัวกูของกู ให้ละซะให้หมดเพื่อชำระจิตใจเจ้า เพื่อการฝึกฝนเพื่อไปให้ถึงซึ่งนิพพาน หากเจ้าละสักกายทิฐินี้ได้ ก็จะทำให้เจ้าฝึกจิตได้ วันนี้ก็เอาเท่านี้ก่อน วันหน้าค่อยมาว่ากันเรื่องอื่น


    ดิฉันก็ได้ถามสมเด็จองค์ปฐมว่า เห็นแต่ละคนก็เขียนแนวทางการฝึกปฎิบัติต่างกัน เห็นต่างกัน ดูแล้วสับสนงุนงง


    สมเด็จองค์ปฐมมีเมตตาตรัสสอนว่า คำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นมีมากมายหลายทางอยู่ เพื่อให้เหมาะให้ถูกจริตกับคนทุกประเภท และคำสอนนั้นๆก็เป็นเรื่องที่ถูกที่ควร เป็นคำสอนที่ถูกต้อง แต่พวกมนุษย์นี่ซีที่เอาไปทำกันซะจนเละ ต่างคนต่างความคิด เห็นแต่ของตัวเองดี ตัวเองถูก ของคนอื่นที่ไม่ตรงกับตัวเองก็หาว่าเขาผิด ที่จริงคำสอนของพระพุทธองค์ไม่มีอันไหนผิด ทุกสิ่งทุกอย่างสอนให้มุ่งไปสู่หนทางแห่งการพ้นทุกข์ทั้งนั้น


    แล้วการที่เจ้าอ่านมากเจอมาก ก็ไม่จำเป็นที่เจ้าจะต้องไปเอามาทำตามเสียทั้งหมด ให้ดูว่าอันไหนเราทำได้ถูกจริตกับเรา ก็ให้รับอันนั้นมาปฎิบัติ ไม่มีตำราไหนถูกต้องตรงกับเรา 100% เราต้องรู้จักเอามาปรับปรุงให้เหมาะแก่ตัวเราเอง ให้ใช้ปัญญาในการพิจารณาเอา



    ๒. ดิฉัน - พระศาสดาเจ้าคะ การสะเดาะเคราะห์ด้วยการบังสุกุลเป็น-บังสุกุลตาย หรือว่าไปนอนในโลง จะทำให้เราพ้นเคราะห์พ้นกรรมได้จริงๆหรือคะ

    พระศาสดา - เป็นไปไม่ได้เลย และตถาคตก็ไม่เคยสอนอย่างนี้ด้วย


    ดิฉัน - แต่เห็นหลายวัดก็ทำพิธีนี้นะคะ คนก็ไปเยอะด้วยเจ้าค่ะ


    พระศาสดา - ก็เป็นอุบายในการให้คนเข้าวัด แล้วก็หาเงินเข้าวัดทางหนึ่ง ตถาคตไม่เคยสอนให้คนงมงาย สอนให้ใช้ปัญญาพิจารณาถึงปัญหาต่างๆ ทุกคนมีกรรมเป็นของตนเอง ไม่มีใครหนีกฎแห่งกรรมพ้น แล้วกรรมก็ไม่สามารถลบล้างได้ด้วยการไปนอนในโลงหรือด้วยวิธีที่งมงาย ผู้ที่ไปสะเดาะเคราะห์ด้วยวิธีการนี้ ตถาคตถือว่าบุคคลนั้น ไร้ปัญญาโดยแท้ หากจะไปสะเดาะเคราะห์ด้วยวิธีนี้ สู้ไปปล่อยสัตว์ที่ถึงฆาตยังจะได้บุญกุศลกว่า


    ดิฉัน - แต่ก็มีคนบางคนเขาก็ดีขึ้นจริงๆนะคะ เห็นเขาว่ากัน


    พระศาสดา - เป็นเพราะกรรมดีส่งผลพอดี เลยทำให้ชีวิตเขาดีขึ้น ไม่เกี่ยวกับการสะเดาะเคราะห์อันนี้หรอก แต่ถ้าคนที่ไม่ใช้ปัญญาก็จะคิดว่าทำอย่างนี้แล้วได้ผลจริงๆ


    ดิฉัน - ก็อาจจะเป็นจริงอย่างที่พระศาสดาว่า เพื่อนของลูกเขาก็ไปมาหลายที่ บางที่ก็ไปมาหลายหนแล้ว


    พระศาสดา - แล้วชีวิตเขาดีขึ้นไหมล่ะ


    ดิฉัน - ไม่เลยเจ้าค่ะ แถมอาจจะแย่กว่าเดิมด้วยซ้ำ


    พระศาสดา - เธออยากรู้ไหมว่าทำไมเขาถึงไม่ดีขึ้น


    ดิฉัน - อยากรู้เจ้าค่ะ


    พระศาสดา - ศีลห้าข้อ ทำไม่ได้สักข้อนึงเลย ข้อหนึ่ง ห้ามฆ่าสัตว์ตัดชีวิต เขาก็ทำแท้งมาสองครั้ง ข้อสองห้ามลักขโมย เขาก็ยักยอกเงินบริษัท โกงบริษัท ข้อสามห้ามประพฤติผิดในกาม ก็คบชู้สู่ชาย ข้อสี่ห้ามพูดปด ก็ต้องโกหกสามีเพราะเรื่องที่ตัวเองทำ ข้อห้า ห้ามดื่มของมึนเมา เขาก็ดื่ม แล้วอย่างนี้จะให้ชีวิตของเขาดีขึ้นอย่างไร


    ดิฉันถึงกับตกใจแล้วก็อึ้งไปกับคำบอกเล่าขององค์พระศาสดา เพราะที่ท่านกล่าวมานั้นถูกทุกข้อ ดิฉันรู้เกี่ยวกับเรื่องของเพื่อนเป็นอย่างดี จนบางครั้งแทบจะไม่อยากรับรู้ซะด้วย เนื่องจากเหมือนน้ำท่วมปาก จะพูดบอกใครก็ไม่ได้ จะว่าไม่เคยเตือนเพื่อนเลยก็ไม่ใช่ ทั้งเตือนทั้งว่าจนเพื่อนไม่คุยด้วยไปพักนึงเลย ตอนหลังดิฉันเลยเฉยๆไม่อยากว่ากล่าว ก็คิดว่ากรรมของใครก็ของคนนั้น


    ดิฉัน - ที่พระศาสดากล่าวมานั้นถูกต้องทุกอย่างเลยค่ะ


    พระศาสดา - ศีลห้ายังรักษาไม่ได้ แล้วจะให้ชีวิตดีขึ้นได้อย่างไร การสะเดาะเคราะห์ที่ดีก็คือเป็นผู้ตั้งตนอยู่ในศีล ทำบุญทำทานตามแต่ฐานะ ปล่อยสัตว์ที่ถึงฆาต หมั่นเจริญสมาธิภาวนา เพื่อให้บุญมาช่วยให้หนีห่างพ้นจากกรรมที่ไม่ดี หากทำได้ดังนี้ ชีวิตนี้จะต้องมีความสุขความเจริญแน่นอน


    ดิฉัน - ทราบแล้วเจ้าค่ะ สาธุ


    ๓. หลวงพ่อฤาษีให้เน้นศีล ๕ เป็นนิจ เป็นปกติ
    เอาละค่ะ จะมาบอกเรื่องที่พระอาจารย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำฝากมาค่ะ ถือซะว่าท่านอาจารย์ท่านรักแล้วก็เป็นห่วงนะคะ เลยมาเตือนสติ

    สำหรับดิฉันนี่ ถ้าอาจารย์ด่าถือว่าอาจารย์รักค่ะ ถ้าท่านไม่พูดไม่ว่าเลยนี่ ต้องพิจารณาตัวเอง


    แล้วนี่ก็คือข้อความจากพระอาจารย์ฤาษีลิงดำค่ะ


    "อยากฝากบอกลูกศิษย์ลูกหาทั้งศิษย์เก่าและศิษย์ใหม่ โดยเฉพาะพวกที่เล่นๆ ทำไม่จริงไม่จัง ให้ปฏิบัติกันให้จริงๆหน่อย ทำเป็นของเด็กเล่นไม่ได้ บางคนเห็นนิด เห็นหน่อย ก็เอาไปโม้กันซะยาวยืด ทั้งๆที่ยังไม่เป็นอะไรเลย อุปทานกันซะละมากกว่า ตั้งใจกันให้จริงๆหน่อย


    ศีลห้านี่สำคัญ เป็นพื้นฐานของวิชามโนมยิทธิ ส่วนใหญ่เห็นศีลห้ายังรักษากันไม่ได้เลย แล้วจะมาฝึกให้มันได้อะไร ไปรักษาศีลห้าให้มันครบถ้วนก่อน ถ้าศีลห้ายังรักษาไม่ได้ มันก็ฝึกไม่ได้หรอก อย่างน้อยเวลาที่จะฝึกก็ควรจะมีศีลครบแล้ว ณ เวลานั้น ใจต้องสะอาด ศีลบริสุทธิ์ ไม่ใช่นึกจะมาฝึก ก็แห่กันมาตามกระแสแฟชั่น ของอย่างนี้มันไม่ได้เล่นขายของ จะได้มากันได้ง่ายๆ เดี๋ยวนี้เห็นว่า คนรุ่นใหม่ ฝึกกันไม่จริงไม่จัง ท้อถอยก็ง่าย อยากจะได้อะไรกันเร็วๆ ต้องคิดด้วยว่า บุญเก่าเราทำมาเท่าไหร่ มากน้อยแค่ไหน ถ้าบุญเก่าเยอะ ก็ไปไว ถ้าบุญเก่าทำมาน้อย ก็ต้องค่อยๆฝึกไป แต่ถ้าคนที่ไม่เคยมีบุญเก่ามาเลย อันนี้หลวงพ่อก็ต้องขอบอกว่า ต้องทำใจหน่อย เพราะว่ามันยาก แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีทางเป็นได้ ขอให้ตั้งใจแน่วแน่ มันต้องเห็นผลสักวัน


    สำหรับลูกศิษย์ที่ทำได้แล้ว เก่งแล้ว อันนี้ไม่ค่อยเป็นห่วง เพราะก็พบเจอกันเป็นประจำ ห่วงแต่พวกที่เล่นๆ ทำบ้างไม่ทำบ้าง ของอย่างนี้มันมาทำเล่นๆไม่ได้ ต้องให้จริงให้จัง ถ้าศีลห้ายังรักษาไม่ได้ ก็ไม่ต้องมาฝึกหรอก เสียเวลาเปล่าๆ เอาเวลาไปทำอย่างอื่นเถอะ หลวงพ่ออยากให้ลูกศิษย์ทุกคนได้ดี มีธรรมะ เอาเวลามาฝึกไปนิพพานกันเถอะ โลกนี้มันวุ่นวาย แต่ถ้าใครอยากเกิดอีก ก็ไม่ต้องฝึก ปล่อยผ่านไป หลวงพ่อก็อยากฝากบอกแค่นี้แหละ ก็ขออวยพรให้ลูกศิษย์ทุกคน ฝึกมโนมยิทธิกันให้คล่องๆ ไปนิพพานกันได้ทุกคน คราวนี้ก็ขอฝากแค่นี้ก่อน เจริญพร"


    สาธุ




    ท้ายสุดนี้ขอเป็นกำลังใจให้พี่ได้นำเรื่องราวที่เป็นมงคลชีวิตที่ดี เป็นทางสายเองแห่งการละกิเลส ตราบจนพี่เข้าสู่พระนิพาน


    อนุโมทนา สาธุ ด้วยกาย วาจา ใจอย่างมีสติครับ

    ภูริต โศภนคณาภรณ์

    หากมีกรรมใด ทั้งกาย วาจา ใจก็ได้ที่เคยได้ล่วงเกินพี่ขอให้อโหสิกรรม และสร้างทาน ศีล ภาวนา กันไปตลอดตราบเข้าสู่พระนิพพาน
     
  2. prayut.r

    prayut.r เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    150
    ค่าพลัง:
    +1,707
    ผมมีคำถามอ่ะครับพี่สาวกับคุณหนิง สักหน่อยครับ

    เขาบอกกันว่า ถ้าคนเราจะใกล้เข้าสู่พระนิพพาน หรือทำความดีได้มากๆ จนหมดโอกาสจะต้องลงอบายภูมิแล้ว

    กรรมต่างๆ มักจะมารีบตามทวงคืนให้หมดๆไป ก่อนจะหมดโอกาส

    แต่ถ้าแบบผม ที่ไม่ค่อยรู้สึกว่าจะลำบาก หรือมีปัญหาทุกข์ใจมากเท่าไหร่นัก ก็หมายถึงยังทำความดีไม่ถึงขั้นใช่ไหมครับ?

    เพราะอ่านจากเพื่อนๆ หลายท่านในนี้ก็ล้วนแต่ประสพปัญหาต่างๆ นาๆ จนมองย้อนมาที่ตัวเองก็ไม่ค่อยจะเห็นว่าตัวเองมีเรื่องแบบนั้นสักเท่าไหร่

    จะรู้สึกก็แค่ว่าตัวเรานั้นเป็นคนขี้โรคมากตั้งแต่กำเนิด จะตายแหล่มิตายแหล่หลายทีแล้ว (คุณแม่เล่าให้ฟัง) แต่พอโตมาโรคร้ายต่างๆ ก็หายไปเอง ร่างกายก็แข็งแรงดี

    โตมาก็เรียนจบค่อนข้างดี ครอบครัวก็ดีขึ้นเพราะรายได้ของเรามากขึ้น ชีวิตอยากได้อะไรก็รู้สึกว่าได้แบบไม่ติดขัดอะไร

    แต่รายได้ที่มากขึ้นก็แลกมากับความเหนื่อยสาหัสจากการทำงาน ความปวดหัวจากผู้ร่วมงานต่างๆ (ขนาดวันหยุดเทศกาลทั้งหลายแหล่ก็แทบมิเคยได้หยุดกับเขา เพราะทำงานตลอด) ยังอิจฉาพวกพี่ๆ เพื่อนๆ ทั้งหลายที่มีโอกาสทำบุญงานเทศกาลต่างๆเลยครับ

    แบบนี้หมายความว่า ผมยังห่างไกลจากโอกาสที่ไม่ต้องมาเกิดอีกแล้วใช่ไหมครับ?

    หรือว่าทำความดียังไม่ถึงพร้อมใช่ไหมครับ?
     
  3. hisakata

    hisakata เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    15
    ค่าพลัง:
    +402
    ขอบคุณทุก ๆ ท่านที่กรุณาช่วยออกความคิดเห็นเรื่องนี้นะคะ จริง ๆ แล้วยังไม่ได้ใช้เส้นหรอกค่ะ ลูกจะเข้าอนุบาลปีหน้า เลยคิดเผื่อไว้ถึงป.1 เลยค่ะ เดี๋ยวนี้ แข่งขันกันเยอะจริง ๆ ค่ะ ตอนนี้ ตั้งใจไว้แล้วว่าจะไม่ใช้เส้นค่ะ ไม่อยากเป็นตัวอย่างให้ลูกในทางที่ผิด ๆ จะตั้งใจปูพื้นฐานจิตใจลูกให้บริสุทธิ์ มีความละอายต่อบาป มีพรหมวิหาร4 มีสัมมาทิฏฐิ ดำเนินตามรอยบาทพระศาสดาอย่างที่คุณหนิงว่าล่ะค่ะ เพราะนี่คือต้นทุนทางชีวิตที่สำคัญของลูก เป็นอริยทรัพย์ซึ่งจะติดตัวเค้าไปตลอดค่ะ อนุโมทนาบุญกับทุกท่านที่มีเมตตาตอบคำถามของดิฉันด้วยนะคะ (f)
     
  4. Me, myself

    Me, myself บุคคลทั่วไป

    ค่าพลัง:
    +0
    สมัยนี้ทุกโรงเรียนเขามีเกณฑ์รับนักเรียนเป็นเปอร์เซ็นต์ค่ะ เพราะฉะนั้นไม่ต้องมาถกเถียงกันให้วุ่นวาย ที่เคยดูมาตลอดแล้วก็หลายโรงเรียนค่ะ จะเป็นคล้ายๆกันดังนี้

    1. รับเด็กในเขตบ้านใกล้ พวกนี้จะเป็นเปอร์เซ็นต์เยอะค่ะ
    2. สอบเข้า เปอร์เซ็นต์ก็รองลงมา
    3. เด็กที่มีความสามารถพิเศษ
    4. ให้สิทธิ์สำหรับผู้อุปถัมภ์โรงเรียนค่ะ เช่นผู้ก่อตั้งโรงเรียนหรือผู้บริจาคที่ดินหรือผู้ที่บริจาคเงินเพื่อช่วยเหลือโรงเรียน เป็นต้น
    อันนี้พูดได้เพราะว่าเคยอ่านในใบเกณฑ์รับนักเรียนของหลายโรงเรียนค่ะ เขาจะแจงออกมาเลยว่า แบบไหนรับกี่เปอร์เซ็นต์ แต่ส่วนใหญ่เปอร์เซ็นต์รับพวกเด็กในเขตกับสอบเข้าจะเยอะกว่าพวกเด็กที่เข้าโดยความสามารถพิเศษและเด็กของผู้อุปถัมภ์ค่ะ ข้อ 3 และ 4 อาจจะเป็น 5-10 เปอร์เซ็นต์ค่ะ

    ส่วนในกรณีที่ถามกันมา ผิดศีลไหม ไม่ผิดหรอกค่ะ แต่ขาดพรหมวิหารสี่ เรื่องศีลเรื่องกรรมน่ะม้นซับซ้อน เวลาเขาพิจารณาเขาจะดูเป็นกรณีๆไป ถ้าใครเคยอ่านหนังสือ "ตายแล้วไปไหน" ฉบับรวมเล่ม จะได้เกร็ดความรู้เรื่องการทำผิดศีลด้วย เพราะทางสำนักพระยายมราช จะพิจารณาเป็นกรณีไป ยังไงไปลองหามาอ่านกันก็ดีนะคะ

    อนุโมทนาในคำถามและคำตอบของทุกท่านค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 22 กรกฎาคม 2010
  5. RMX

    RMX เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    153
    ค่าพลัง:
    +2,666
    แหะๆ ตอนนี้ก็พยายามไปรับธรรมะอยู่ครับพี่
    แต่ว่าจะได้มาเป็นคำๆ ยังไม่สามารถรับคำสอนแบบยาวๆได้น่ะครับ
    แบบว่าตอนรับก็จำได้ แต่พอลงมาแล้วตกระหว่างทางไปด้วยครับ เหลือแต่คีย์เวิร์ดที่พอจะรับเก็บมาไว้ได้น่ะครับ

    เหอๆ หรือจะเป็นปลาทองไปด้วยซะแล้วเรา (แบบว่าเดินตามผุ้ใหญ่นะครับพี่หนิง)

    วันหล่อพระ คงไม่ได้พาพนักงานไปปฏิบัติธรรมครับ
    เพราะปีหนึ่งพาไปสองรอบครับ อีกครั้งคงเป็นช่วงปลายปีน่ะครับ
     
  6. Pawanrat-jin

    Pawanrat-jin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กันยายน 2008
    โพสต์:
    1,052
    ค่าพลัง:
    +3,939
    ใกล้วันเข้าพรรษาแล้ว เอาบุญมาฝากค่ะ...

    เมื่อ2 วันก่อน
    ไปถวายเทียนพรรษา และเครื่องสังฆทาน และหนังสือธรรมะ (ของพระอาจารย์ยุทธนา
    เตชะปัญโญ) จำนวน 50เล่ม ให้แก่วัดดอยวนาราม จ. หนองคาย

    เมื่อ 1 วันก่อน (เมื่อวาน)
    ไปถวายเทียนพรรษา และเครื่องสังฆทานให้แก่วัดป่าเทพวังทอง จ. หนองคาย

    หลวงปู่เจ้าอาวาสที่วัดนี้เป็นพระสุปฎิปัณโณที่น่ากราบอย่างยิ่งรูปหนึ่งทีเดียว
    ท่านมีความเมตตามาก ได้สนทนาธรรมกับท่านด้วย มีความอิ่มเอิบใจเป็นอย่างยิ่งค่ะ
     
  7. Pawanrat-jin

    Pawanrat-jin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กันยายน 2008
    โพสต์:
    1,052
    ค่าพลัง:
    +3,939
    อ่านเจอคำถามนี้แล้วแปลกดี ขอแจมหน่อยนะคะคุณประยุทธ

    จินว่าชีวิตแต่ละคนไม่มีใครเหมือนกันหรอกค่ะ เป็นไปตามกรรมของแต่ละคน
    ที่ทำมาหลายร้อย หลายพัน หลายหมื่น ชาติ น่าจะเปรียบเทียบกันไม่ได้นะคะ

    การที่คุณไม่ค่อยมีความลำบาก หรือทุกข์ใจนักก็แสดงว่า..

    1) ทำกรรมมาน้อย หรือเจ้ากรรมนายเวรยังตามมาไม่ถึง
    2) ตั้งสติไว้ดี คือเป็นคนปล่อยวางได้ในทุกๆเรื่อง (ไม่แบก= ไม่รู้สึกทุกข์)

    ไม่รู้สึกทุกข์ ไม่ใช่ไม่ทุกข์นะคะ คนละเรื่องกัน

    การที่ไม่รู้สึกทุกข์ก็เป็นการดีแล้วนี่คะ (น่าอิจฉาออก)
    ถ้ามุ่งมั่นกับการปฎิบัติธรรมก็น่าจะก้าวหน้าได้ดี
    เพราะจิตไม่ปรุงแต่งมาก

    จินว่าไม่น่าเกี่ยวกับการที่มีปัญหาทุกข์ใจมากๆแล้วเข้าใกล้พระนิพพานนะคะ

    จินรู้จักผู้หญิงคนหนึ่ง ร่ำรวยพรั่งพร้อมไปหมดแทบทุกอย่าง
    สวย รวย ไฮโซ มีครอบครัวดี ประสบความสำเร็จ ฯลฯ
    แต่ก็แปลกที่เธอฝักใฝ่ในธรรมะค่ะ ชอบปฎิบัติธรรมมาก
    ไปเข้าคอร์สถือสันโดษปฎิบัติเข้มข้น(7-10 วัน)ทุกๆ 3 เดือน
    เวลาผ่านไปเกือบสิบปีแล้ว

    ปัจจุบันเธอบรรลุธรรมขั้นสูงแล้ว ถือเป็นอริยบุคคลผู้หนึ่ง
    และเผยแผ่ธรรม และ เปิดโรงเรียนสอนธรรมะให้เยาวชน (ฟรี)
    ถ้าเอ่ยชื่อหลายคนอาจรู้จักเธอ
    คุณอัจฉราวดี วงศกล
    (ขออนุโมทนากับเธอด้วยค่ะ)

     
  8. LightSeed of Buddha

    LightSeed of Buddha เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    70
    ค่าพลัง:
    +2,492
    ตอนเช้าได้ใส่บาตรพระ ด้วย ข้าว ไข่ต้ม 2 ฟอง เค้ก นมกล่อง และ แอ๊ปเปิ้ล พอตอน 11.15 ก็ถวายอาหารเพลพระ ได้แก่ ข้าว ไข่ต้ม 2 ฟอง พาย นมกล่อง พร้อมถวายสังฆทาน ขอผลบุญวันนี้ จงผลบุญนี้จงสำเร็จแด่ข้าพเจ้า ขอให้ข้าพเจ้ามีชีวิตที่ดี เจริญยิ่งๆขึ้น มีความสุข ไม่ลำบาก คำว่าไม่มีจงอย่าปรากฏแก่ข้าพเจ้าตราบเข้าสู่พระนิพพานเลย และขอให้ผลบุญจงถึงเทพยดาที่ดูแลปกปักรักษาข้าพเจ้า ดูแลการงาน การเงินและสุขภาพของข้าพเจ้า ถึงพ่อแม่ น้องสาวและเทพยดาที่ปกปักรักษาพวกเขา เจ้านายใหม่ ถึงเจ้ากรรมนายเวรที่มีเวรต่อกันและกันตอนนี้ ขอจงอโหสิกรรม อย่าได้จองเวรต่อกันและกันอีกเลย ถึงเทพยดา สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ที่บ้าน เจ้าที่ ศาลพระภูมิ ศาลตายาย แม่ย่านางรถ สินเพชร สินสุววรณ และพี่สาว และ เพทยดาที่อยู่ทั้งพรหมโลก เทวโลก และ ยมโลก รวมทั้งพญายมราช จ้าวจตุโลกกบาลทั้งสี่ นายนิรบาล สมุหบัญชี พระแม่ธรณี พระแม่คงคา และกลุ่มพญานาค พญาครุฑ คนธรรพ์ที่อยู่บริเวณบ้านข้าพเจ้า รวมถึง ภูติผีปีศาจ สัมภเวสี และสรรพสัตว์ทั้งหลาย ทั้งชะลาพุดชะ อัณฑะชะ สังเสทะชะและโอปาติกะ ขอให้ได้รับบุญกุศลครั้งรี้ด้วยเทอญ ใครทุกข์ขอให้พ้นทุกข์ เป็นสุข ใครสุขขอให้สุขยิ่งขึ้นไป เป็นบุญบารมีให้เกิดในภพภูมิที่ดียิ่งๆขึ้น ได้ซึ่งความเป็นทิพย์ และ มีดวงตาเห็นธรรม บรรลุธรรมเข้าสู่พระนิพพานในที่สุด และขอผลบุญจงถึงทุกท่าน ณ ที่นี้ ให้ปกป้องคุ้มครองและเจอแต่สิ่งดีๆ ก้าวหน้าในการฏิบัติ การทำความดี และบรรลุซึ่งหลักธรรม จุดมุ่งหมายคือพระนิพพานในปัจจุบันชาติ
     
  9. rehacked

    rehacked เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มกราคม 2010
    โพสต์:
    1,191
    ค่าพลัง:
    +8,013
    คุณ prayut.r ครับผมว่าบางคนกรรมอาจจะยังตามมาไม่ทันก็ได้นะครับ
    แต่อย่างผมนี่ทำอะไรก็ไม่ได้เรื่องซักอย่างทั้งทางโลกทางธรรม
    เรียนก็ไม่เก่งซักเรื่อง พูดยังพูดไม่ค่อยรู้เรื่อง(ที่ทำงาน เพื่อนๆ บอกว่าผมพูดไม่ค่อยรู่เรื่อง) เล่นกีฬาก็ไม่เก่งซักอย่าง เล่นดนตรีก็ไม่เก่งซักอย่าง ทำงานอะไรก็ไม่เก่งซักอย่าง ร่างกายก็ไม่ค่อยสมประกอบเท่าไหร่ ตัวเล็กๆแห้งๆเหมือนคนติดยา
    ตามตัวก็มีตุ่มๆ มีปานเป็นจุดๆเต็มตัว ถ้าคนไม่รู้จักกันจริงๆจะคิดว่าผมเป็นโรคร้าย
    ทางธรรมก็ไม่ได้เรื่องอีกเช่นกันความก้าวหน้าก็เหมือนหินงอก หินย้อย แต่ดีอย่าง
    คือผมมีงานทำ แต่เคยตกงานถึงขั้นว่ากินข้าว2วันมื้อ วันไหนไม่มีสำภาษณ์งาน
    ก็นอนอย่างเดียว ร่างกายจะได้ไม่เผาผลาญอะไร ตกดึกค่อยออกไปหาข้าวกิน
    จะได้ไม่ร้อนไม่กระหาย ถือว่าช่วงนั้นตกต่ำสุดๆ มิหนำซ้ำยังโดนจี้โทรศัพท์ไปอีก
    แต่สิ่งที่ผ่านมาก็ได้แต่คิดซะว่ามันเป็นกรรมของเรา ก็ทำใจยอมรับมัน
    บางทีก็ท้อกำลังใจถดถอยลง :d


     
  10. ลูกเรือ

    ลูกเรือ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    87
    ค่าพลัง:
    +797
    อดทนเข้าไว้ครับ ไม่ช้ามันก็ผ่านไป ผมเอาใจช่วยครับ สู้ สู้
     
  11. prayut.r

    prayut.r เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    150
    ค่าพลัง:
    +1,707
    ขอเป็นกำลังใจให้ล่ะกันครับ อย่างที่เขาบอกกันแหละว่าเกิดมาเป็นมนุษย์นี่ถ้าเทียบกับเวลาเทวโลก เขาก็แปปเดียว ก็คิดเสียว่าเรามาชดใช้กรรมแปปเดียว
    แถมมีโอกาสรวบรวมความดีเพื่อไปในที่ๆ ดีกว่าเดิมด้วย คิดแบบนี้ผมว่ากำลังใจจะฟูขึ้นอีกเยอะเลยครับ
     
  12. Pawanrat-jin

    Pawanrat-jin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กันยายน 2008
    โพสต์:
    1,052
    ค่าพลัง:
    +3,939
    ขอเป็นกำลังใจให้อีกคนนะคะ คุณ rehacked
    ถือซะว่าทุกอย่างที่ผ่านมา ทำให้เข้มแข็งขึ้นค่ะ
    คุณคงจะมีข้อดีอยู่เยอะเหมือนกันล่ะน่า
    มองในแง่ดีไว้ค่ะ
    แล้วอะไรๆในชีวิตเราจะดีขึ้น..
     
  13. purit

    purit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    50
    ค่าพลัง:
    +809
    ขอกราบอนุญาติทบทวน ประเด็นสำคัญในคำสอนที่พี่ me myself , cookieberry ได้นำมาเป็นธรรมทาน<!-- google_ad_section_end -->

    <hr style="color: rgb(255, 255, 255); background-color: rgb(255, 255, 255);" size="1"> <!-- google_ad_section_start -->พี่Me, myself ครับ

    ฉบับสรุปที่๒ ตั้งแต่หน้า ๑๗ จนถึงหน้าที่ ๓o จึงอยากขอกราบอนุโมทนาบุญต่างๆ ที่พี่เคยได้ร่วมทำ และปฏิบัติดีมาครับ

    มาเป็นฉบับสั้นๆที่ผมได้พบแก่นธรรมะเพื่อเผยแพร่ นำไปใช้ตราบเข้าสู่พระนิพพานนะครับ เช่นที่รวบรวมได้วันนี้

    สรุปคำสอนสมเด็จองค์ปฐม พระศาสดา และหลวงพ่อฤาษี ตั้งแต่หน้า ๑๖-๓o จากคุณ
    cookieberry และ Me, myself

    1.วันนี้เป็นวันพระ ก่อนทำสมาธิก็อธิฐานจิตว่าวันนี้ขอให้ได้พบกับพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ เนื่องจากอยากรู้ว่ามีจำนวนเท่าใด พอจิตเป็นสมาธิดีก็ได้ยินเสียงเรียกชื่อดิฉัน ก็เลยไปตามเสียงเรียกนั้น แป๊ปเดียวก็มาอยู่ต่อหน้าสมเด็จองค์ปฐม วันนี้ท่านทรงจีวรแบบพระ ไม่ได้ทรงเครื่องกษัตริย์เหมือนครั้งก่อนที่พบ ท่านมีพระวรกายสูงใหญ่มากเหมือนพระพุทธรูปองค์ใหญ่ๆ ทรงประทับนั่งอยู่บนเก้าอี้ (ไม่ได้นั่งขัดสมาธิ) ท่านนั่งเป็นประธานอยู่ตรงกลาง ส่วนสองฝั่งด้านซ้ายและด้านขวาของพระองค์ มีพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ และพระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ นั่งขัดสมาธิอยู่เต็มไปหมดไกลสุดลูกหูลูกตา นับจำนวนไม่ได้ จากนั้นดิฉันก็ได้กราบนมัสการสมเด็จองค์ปฐมแล้วก็พระพุทธเจ้าและพระปัจเจก พุทธเจ้าทุกๆพระองค์

    ดิฉัน - นมัสการสมเด็จองค์ปฐมค่ะ แล้วก็นมัสการพระพุทธเจ้าและพระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ด้วยค่ะ

    สมเด็จ - เจริญพร พบกันอีกเป็นครั้งที่สอง

    ดิฉัน - ค่ะ แต่ครั้งนี้พระองค์ทำไมถึงมีร่างกายใหญ่โตกว่าองค์อื่นๆละคะ ครั้งก่อนที่เห็นท่านก็รูปร่างธรรมดาๆเอง

    สมเด็จ - ก็จะได้ทำให้เจ้าจำได้ไงละ

    ดิฉัน - ต้องจำได้อยู่แล้วค่ะ ก็พระองค์นั่งเป็นประธานอยู่ตรงกลางระหว่างองค์อื่นๆ จะเป็นใครไปไม่ได้หรอกค่ะ

    สมเด็จ - แล้วเจ้าจำพระอาจารย์ของเจ้าได้ไหม

    ดิฉัน - พระอาจารย์นี่หมายถึงองค์พระสมณโคดมใช่ไหมเจ้าคะ

    สมเด็จ - ใช่

    ดิฉัน - โอย...เหมือนกันหมดเลย จำไม่ได้หรอกเจ้าค่ะ

    สมเด็จ - ลองกำหนดจิตดูซิ

    ดิฉันก็เลยลองกำหนดจิตว่า ขอให้ดิฉันทราบได้ว่าในจำนวนพระพุทธเจ้าที่นั่งอยู่ทั้งหมดนี้ องค์ไหนคือพระสมณโคดม จากนั้นดิฉ้นก็มองสำรวจไปทั้งฝั่งซ้ายและขวา ทันใดนั้นเกิดมหัศจรรย์ขึ้น เพราะว่าองค์พระสมณโคดมกลับเปล่งฉัพพรรณรังสีสว่างเรืองขึ้นมามากกว่าองค์ อื่นๆ นั่งรวมอยู่ในกลุ่มทางฝั่งขวาของสมเด็จท่าน ดิฉันเห็นดังนั้นก็ยิ้มออก แล้วตรงเข้าไปกราบท่าน

    สมเด็จ - ใช้ได้....แล้วเรื่องการปฎิบัติเป็นยังไงบ้าง

    ดิฉัน - ก็ไปเรื่อยๆค่ะ ปฎิบัติบ้าง ขี้เกียจบ้าง แล้วก็รู้สึกว่ายังโง่อีกมาก

    สมเด็จ - อย่าขี้เกียจ พยายามปฎิบัติให้สม่ำเสมอ

    ดิฉัน - ก็พยายามจะทำให้ได้ทุกวันค่ะ บางวันก็นอนทำสมาธิเพราะมันเหนื่อย

    สมเด็จ - ไม่เป็นไร จะนั่ง จะนอน อย่างไหนก็ได้ แล้วแต่เจ้าสะดวก แต่ขอให้ปฎิบัติ

    ดิฉัน - ค่ะ ..... เอ่อ...สมเด็จเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือ ว่าเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้ากันแน่คะ เพราะมีบางคนบอกว่าท่านเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า แต่ดิฉันว่าท่านเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็เลยงงๆสับสนน่ะค่ะ

    สมเด็จ - เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะเราสั่งสอนคนอื่นให้พ้นทุกข์ตามอย่างเราเหมือนกัน

    ดิฉัน - อ๋อค่ะ เข้าใจแล้วค่ะ

    ดิฉัน - เดี๋ยวนี้มีคนฝึกมโนมยิทธิกันได้เยอะไหมเจ้าคะ

    สมเด็จ - ไม่มาก ส่วนใหญ่ยังมีกิเลสกันเยอะอยู่ ศีลห้ารักษากันไม่ค่อยได้ อย่างน้อยก็ขาดไปข้อนึง ไม่ครบก็ฝึกไม่ได้แล้ว สมัยนี้มีสิ่งยั่วยุมากมาย ทำให้คนละกิเลสยาก ศีลห้าเลยไม่ครบ....แล้วพวกอุปทานก็มีมากเช่นกัน อุปทานกันซะเยอะ พวกที่ได้จริงๆมีน้อย

    ดิฉัน - เจ้าค่ะ

    สมเด็จ - เจ้าน่ะได้โสดาบันแล้วนะ พยายามทรงความดีนี้ไว้ตลอดไป

    ดิฉัน (ตกใจนิดหน่อย) - จริงๆเหรอคะ ลูกว่าลูกก็ยังมีความรู้สึกในเรื่อง รัก โลภ โกรธ หลง อยู่เลยค่ะ เหมือนคนธรรมดาๆทั่วๆไป

    สมเด็จ - ใช่ เจ้ายังมีความรัก มีความโกรธ มีความอยากได้เหมือนมนุษย์ทั่วไป แต่ในความอยากนั้นก็จำกัดด้วยศีลห้าที่เจ้ามี โกรธก็ละไว้ได้ ไม่ได้คิดอยากได้ของคนอื่น เจ้าตั้งมั่นอยู่ในศีล อันนี้คืออารมณ์ของโสดาบันนั่นเอง พยายามปฎิบัติต่อไปเพื่อให้ข้ามขั้นขึ้นไปเรื่อยๆ

    ดิฉัน - โห...สงสัยจะยากค่ะ ขอคงไว้แค่โสดาบันก่อนดีกว่ามังคะ

    สมเด็จ - ทำไมละ จะพอใจอยู่แค่โสดาบันเรอะ

    ดิฉัน - ขึ้นสูงขึ้นไปต้องปฎิบัติหนัก ต้องละได้หลายๆอย่าง ซึ่งตอนนี้ลูกยังมีภาระต้องเลี้ยงดูลูกแล้วก็พ่อแม่อีก ก็อยากจะทำให้ทุกคนอยู่ดีก่อน รู้ทั้งรู้นะคะว่าไม่ให้ห่วงอะไร แต่ว่ามันก็ยังทำยากอยู่ ถ้าทุกอย่างมันลงตัว ก็อาจจะปฎิบัติได้มากขึ้นค่ะ

    สมเด็จ - ก็แล้วแต่เจ้า แต่ก็ขอให้ทรงอารมณ์ของโสดาบันไปให้ได้ตลอด อย่าได้เผลอผิดพลาดไปเชียว แล้วก็ต้องปฎิบัติอย่างสม่ำเสมอ ไม่งั้นญาณเธอจะเสื่อมได้ อีกอย่างก็พยายามชวนคนให้ถือศีล สนใจธรรมมะ ให้ธรรมมะเป็นทานดีกว่าทานทั้งปวง

    ดิฉัน - ลูกก็พยายามเท่าที่จะทำได้นะเจ้าคะ ที่ไปเขียนเล่าประสบการณ์ต่างๆนี่ ก็ยังกลัวว่าบางคนจะหาว่าโม้ เลอะเทอะ บางครั้งก็อยากหยุดเขียนแล้วเหมือนกันค่ะ

    สมเด็จ - เจ้าไปเขียนถูกห้อง ถูกที่ ถูกเวลาก็ไม่มีปัญหาหรอก ใช่..ที่ทุกคนมีความคิดเห็นไม่เหมือนกัน แต่ถ้าอยู่ในกลุ่มคนที่มีความคิดแบบเดียวกันก็จะคุยกันได้ง่าย การที่เจ้าไปเขียนเล่าประสบการณ์ เจ้าก็ไม่ได้บังคับให้ใครเชื่อ ไม่ได้ยุยงส่งเสริมอะไร ไม่ได้ว่ากล่าวใคร อยู่ที่คนอ่านว่าจะใช้ปัญญาพิจารณาว่าสมควรเชื่อหรือไม่เชื่อ และจะสามารถค้นพบหนทางแห่งการดับทุกข์หรือไม่ มันอยู่ที่เขาไม่ได้อยู่ที่เจ้า

    ดิฉัน - เจ้าค่ะ

    สมเด็จ - เจ้าจะต้องคอยช่วยเหลือผู้อื่นด้วย หากว่ามีคนมาขอความช่วยเหลือก็อย่าบ่ายเบี่ยง

    ดิฉัน - อ้าว.....แต่ทุกวันนี้ที่มีคนมาขอคำแนะนำหรือขอให้ช่วยเหลือ ลูกก็ช่วยนะคะ แต่ว่าบางอย่างลูกก็ตอบไม่ได้เหมือนกัน เพราะลูกไม่เคยถูกสอนโดยอาจารย์ใดๆ แล้วก็ไม่เคยไปฝึกที่ไหนๆ ก็เลยไม่ค่อยรู้เรื่องวิธีการ แล้วลูกก็ไม่ได้เก่งอะไร ยังต้องฝึกอีกเยอะ ลูกก็จะสอนเขาจากประสบการณ์ของลูกเองเท่านั้น

    สมเด็จ - อันนั้นถูกต้องแล้ว เจ้าต้องสอนเขาจากประสบการณ์ของตัวเจ้าเองไม่ใช่จากตำรา การสอนจากประสบการณ์จริงจะดีกว่าตำรามากนัก สอนเท่าที่เจ้าจะสอนได้ ช่วยเหลือเท่าที่เจ้าจะช่วยเหลือได้ นอกนั้นก็ขึ้นอยู่กับบุญบารมีของคนอื่นว่าจะทำได้แค่ไหน

    ดิฉัน - เจ้าค่ะ

    สมเด็จ - เดี๋ยวก่อนกลับอย่าลืมแวะไปที่วิมานของเจ้าด้วย บริวารเจ้าก็เพิ่มมากขึ้น วิมานก็ใหญ่ขึ้น ครั้งสุดท้ายที่เจ้าไปเห็นเมื่อไหร่ เป็นยังไง

    ดิฉัน - ครั้งสุดท้ายที่ไปก็หลายอาทิตย์แล้วค่ะ แต่ก็เห็นว่ามีบริวารเกิดขึ้นแล้วก็วิมานใหญ่ขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย

    สมเด็จ - นั่นเกิดจากการที่เจ้าทำบุญ ทำความดี ทุกครั้งที่เจ้าทำก็จะทำให้วิมานของเจ้าเปลี่ยนแปลงไป เจ้าลองไปดูได้จากวิมานถึงบุญที่เจ้าทำ เพราะมันจะไปปรากฎกับวิมานของเจ้า

    ดิฉัน - ค่ะ...งั้นเดี๋ยวลูกขอลากลับก่อนนะคะ...นมัสการลาสมเด็จองค์ปฐม แล้วก็พระพุทธเจ้าและพระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ค่ะ

    ทั้งหมด - เจริญพร

    ดิฉันเลยแวะไปดูวิมานของตัวเองตามที่สมเด็จท่านสั่ง เนื่องเพราะไม่ได้ไปมานานแล้ว พอไปถึง โอ้โฮ...มีศาลากลางน้ำโผล่ขึ้นมาอีกละ สระบัวสวยงามเชียว วิมานก็ใหญ่คล้ายวังเข้าไปทุกที (อะไรจะขนาดนั้น) บริวารอีกเยอะแยะ ก็ทักทายอยู่ครู่หนึ่ง ก็กลับลงมาหาหลวงพ่อที่โบสถ์ เสร็จแล้วแผ่ส่วนกุศลแล้วออกจากสมาธิ

    2. ตอนแรกนั่งสนทนากับหลวงพ่อโต ก็พูดคุยกันถึงเรื่องที่คนไปฝึกมโนฯแล้วมันไม่เป็นผลนั่นแหละ หลวงพ่อเลยว่าอย่างนี้ต้องเรียกหลวงพ่อฤาษีท่านมาเพราะท่านเป็นอาจารย์สอน วิชานี้

    พอท่านมาท่านก็ว่าสิ่งที่ท่านเป็นห่วงหลังจากที่ท่านมรณภาพไปแล้วนี่แหละ ว่ามันจะเกิดแล้วมันก็เกิดจริงๆ ท่านว่าท่านกลัวว่าคนที่ได้มโนฯไปบางพวกบางเหล่าจะใช้วิชามโนฯไปในทางที่ไม่ ถูกไม่ควร บิดเบือนไปจากเดิม บางคนก็ไปฝึกผิดๆ วิปัสสนึกก็เยอะ แล้วที่ท่านผิดหวังมากที่สุดก็คือลูกศิษย์ลูกหาเปลี่ยนไปกลายเป็นไปหลงวัตถุ เครื่องรางของขลังมากกว่าที่จะไปฝึกจิต ดิฉันก็ว่าก็หลวงพ่อปลุกเสกได้ดี คนเขาเลยศรัทธาไง ท่านก็ว่าฉันไม่ได้ปลุกเสก ฉันใช้บารมีของพระพุทธองค์ต่างหาก ฉันจะทำได้ไง เพราะยังไงก็ต้องตายอยู่ดี

    ฟังท่านแล้วก็สงสารท่านนะ อุตส่าห์เอาวิชามาสอนลูกศิษย์เพื่อให้ได้พ้นทุกข์ แต่มันกลายไปเป็นอื่นซะหมด แต่อ่ะนะ กรรมของใครก็ของคนนั้น

    ที่แปลกคือเมื่อเช้ามีน้องคนนึงเขามาเล่าว่าเมื่อคืนเขาฝันว่าหลวงพ่อฤาษีมาบอกเขาว่า

    "อย่า ไปเช่าพระเครื่องมากมายเกินกำลังตัวเอง มันจะทุกข์ จุดประสงค์ที่ฉันสร้าง เพื่อให้คนที่เขาเอาไปบูชานึกเห็นว่าพระเครื่องคือตัวแทนถึงพระพุทธเจ้า จำภาพเป็นนิมิตร นึกถึงพระพุทธองค์ทุกขณะจิต ท่านบอกเป็นการปิดประตูนรก ลูกศิษย์ทั่วไปหลงผิดกันมาก ติดวัตถุมงมาก นำมาตีราคากันได้ยังไง นี่คือรูปแทนพระพุทธเจ้า"

    คือตัวเขาช่วงนี้ วิ่งหาเช่าพระเครื่องของหลวงพ่อ บอกว่าเงินเดือนเอามาลงกับพระเครื่องนี่แหละ ท่านเลยมาเตือนมั้ง ก็แปลกดีที่เขาฝันแล้วมาตรงกันที่เราคุยกับหลวงพ่อ

    3.สมัยเเรกๆที่ขึ้นไปหาสมเด็จองค์ปฐมได้ ท่านสอนว่าวิธีกลับมาหาพ่อนั้นง่ายนิดเดียว เเรกๆท่านสอนให้ คิดดี ทำดี พูดดี หลังจากนั้นท่านเพิ่มขึ้นมาว่า มีพรหมวิหาร ๔

    สุดท้ายท่านสอนว่า

    1 คิดว่าตัวเองต้องตายเสมอ เเต่พ่อจะสอนให้จำไว้เลยว่า ร่างกายไม่ใช่ของเรา ร่างกายไม่มีในเรา เราไม่มีในร่างกาย

    2. นับถือพระพุทธเจ้า พระธรรม เเละพระสงฆ์ด้วยใจที่บริสุทธิ์อย่างแท้จริง

    3. มีศีล 5 ที่บริสุทธิ์

    4.เมื่อตายเเล้วให้มาหาพ่อที่พระนิพพาน

    ตอนเเรกยังไม่ค่อยรู้อะไรก็ท่องเรื่อยมา ไปๆมาๆ อ้าวท่านสอนให้เป็นพระโสดาบัน ท่านบอกว่าเอาเเค่นี้เเหล่ะ ให้ได้เป็นเท่านี้ก็พอ ไม่ต้องทำอะไรมาก

    เราเองคล้ายๆ คุณ Me, Myself นะคะ ช่วงที่ทุกข์เพราะยังปรับตัวกับวิธีคิดของคนไทยเเบบผู้ใหญ่ไม่ค่อยได้ เพราะหลังจากพ่อเสียไม่นาน เราไปเรียนต่อต่างประเทศ หลังจากเรียนจบกลับมาไม่นานเเม่ก็เสีย ก็คิดมากอยากตาย บอกกับสมเด็จองค์ปฐมว่าเราขอตาย ท่านบอกว่าไม่ได้ เรายังไม่ได้ทำตามสัญญาของการเกิดเลย จะทิ้งสัญญาไปเฉยๆไม่ได้
    ซึ่งสัญญานั้นก็คือ เราจะช่วยพระอาจารย์ทำนุบำรุงศาสนาพุทธ ด้วยการออกไปทำงาน หาเงิน ได้เงินมาก็ถวายพระอาจารย์

    ตั้งเเต่เกิดจนโตอยู่กับพ่อเเม่ตลอด ญาติอะไรที่ไหนก็ไม่ได้ติดต่ออะไรกันมากมาย จนกระทั่งพอเเม่เสียเจอญาติฝ่ายเเม่ โดนว่า โดนนินทาค่อนข้างเละเลยค่ะ หาว่าทำอะไรไม่เป็น โตจนป่านนี้เเล้วน่ารำคาญ

    มีเเต่สมเด็จองค์ปฐมค่ะที่มีพระคุณ เรียกเราไปคุยด้วย ท่านปลอบเราว่าไม่ต้องกลัว ท่านคอยดูเเลเราอยู่ไม่มีใครทำอะไรเราได้ถ้าท่านไม่ยอม

    เวลาเหงามากๆ ท่านจะเรียกพระยายมราชมาพบ พระยายมราชท่านใจดี คุยเก่งด้วยค่ะ ท่านเล่านู่นเล่านี้ให้ฟัง บางครั้งพระอินทร์ท่านก็เเวะมาค่ะ ทำให้หายเหงาขึ้นเยอะเลยค่ะ

    พักหลังๆไม่ค่อยใช้มโนยิทธิมากเหมือนเมื่อก่อนค่ะ กลัวโดนพระอาจารย์ว่า เข้าใจผิดคิดว่าโดนท่านห้าม จริงๆเเล้วท่านสอนเเค่ไม่ให้ยึดติดเท่านั้นเอง

    เพิ่งนึกออกว่าเราเองมีประสบการณ์เกี่ยวกับความรัก ความผูกพันของสมเด็จองค์ปฐมที่มีต่อลูกท่านมาเล่าให้ฟัง

    เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเราโดยตรง เป็นเรื่องส่วนตัวของพระรูปที่เรากล่าวไว้ข้างต้นเเล้ว

    ก่อนที่พระรูปนี้ท่านจะบวชสายธรรมยุติ ท่านบวชเหมือนฤาษีมาก่อน วันหนึ่งฤาษีทำพิธีครอบเเก้วเหมือนจะถ่ายทอดวิชาผู้สืบตำเเหน่งให้พระรูปนี้ ตอนกำลังทำพิธีกันอยู่พระท่านโดนปิดตา

    ระหว่างที่จะครอบเเก้วนั้นได้มีชีปะขาวมาจากไหนไม่รู้ ถอดเเก้วครอบศีรษะพระรูปนี้ออก ฤาษีท่านครอบเข้าไปใหม่ ครอบเข้าครอบออกกันอยู่นั่นเเหล่ะ ในขณะทำพิธีพระรูปนั้นท่านมองอะไรไม่เห็นเเต่ท่านได้ยินเสียงคนสองคนเถียง กัน เสียงสุดท้ายท่านได้ยินว่า " ไม่ต้อง ลูกข้า ... " อะไรซักอย่างได้ยินไม่ถนัด พระท่านบอกเรามาเเบบนี้ ท่านอยากรู้ว่าชีปะขาวนั้นเป็นใคร เพราะเพื่อนพระของท่านที่อยู่ในพิธีบอกว่าเป็นชีปะขาวมาจากไหนไม่รู้ อยู่ๆก็โผล่เข้ามา

    เราก็ถามสมเด็จองค์ปฐมว่าชีปะขาวเป็นใคร ท่านบอกว่า "พ่อเอง ฤาษีตนนี้คิดเเผนการณ์ใหญ่ คิดจะเอาลูกของข้าเป็นผู้สืบทอดวิชา พ่อเห็นว่าวิชานี้ไม่ได้เป็นไปเพื่อการพ้นทุกข์ เเต่เห็นลูกข้าชอบคาถาอาคมเลยให้ไปอยู่ด้วย เมื่อฤาษีคิดการใหญ่เช่นนี้ จะเอาลูกข้าเป็นเครื่องต่อรอง ข้าก็เอาลูกคืน จริงๆแล้วพ่อพูดว่า ขอบคุณเเต่ไม่ต้อง ลูกของข้า ข้าดูเเลเองได้"

    เราเลยโทรกลับไปถามพระรูปนี้ถามท่านว่า ท่านเคยได้ยินประโยคที่ว่า "ขอบคุณเเต่ไม่ต้อง ลูกของข้า ข้าดูเเลเองได้" ท่านบอกว่าใช่เลย พูดเเบบนี้เลย ท่านถามว่าเรารู้มาจากไหน เเล้วตกลงชีปะขาวนั้นเป็นใคร เราตอบท่านไป ท่านเริ่มเชื่อ ท่านไม่เคยเห็นรูปสมเด็จองค์ปฐม เราบอกว่าเดี๋ยวว่างๆเราจะส่งไปรษณีย์ไปให้

    ตอนกลางวันกะว่าจะกลิ้งบนเตียง อยู่ๆเหมือนได้รับกระเเสจิตจากสมเด็จองค์ปฐมว่า รีบพิมพ์ข้อความที่พ่อจะบอกน้อง น้องอธิษฐานขอให้ได้โดยเร็วที่สุด

    เรารีบพิมพ์ พิมพ์เสร็จ ปรินเตอร์เสียค่ะ เเปลกเเต่จริงค่ะ ท่านสอนวิธีซ่อมให้ เป็นปัญหาเกี่ยวกับหมึกพิมพ์ค่ะ เรางงเลย เราซ่อมปรินเตอร์เป็นด้วย

    เรารีบโทรไปหาพระรูปนั้นว่า ท่านอธิษฐานอะไร รู้นะ หลวงพี่ท่านงง ท่านบอกเพิ่งบ่นเสร็จไปเอง ว่าอยากเห็นหน้าพ่อจังเลย เป็นอันว่าคืนนั้นพระอาจารย์โทรเข้ามาให้หลวงพี่นอน เฝ้ากุฏิท่าน เเละหลวงพี่ฝันว่าสมเด็จองค์ปฐมเสด็จลงมาเเล้วพาท่านไปเที่ยว ที่ไหนก็ไม่รู้ ท่านไม่บอก

    สมเด็จองค์ปฐมท่านเคยบอกว่าท่านจะเก็บลูกของท่านเป็นรุ่นๆไป เริ่มจากลูกต้นชาติก่อน

    เป็นเรื่องที่เเปลกเเต่จริง เรื่องทั้งหมดสมเด็จองค์ปฐมท่านย้ำเสมอว่ารู้เเล้วอย่ายึดติด พระท่านเองก็ไม่ได้ยึดติด เเต่ท่านมีกำลังใจเเละมีความสุขในการปฏิบัติดีปฏิบัติชอบของท่าน เมื่อพระรูปนี้หลังจากเข้ามาบวชนิกายธรรมยุติ ท่านลืมวิชาคาถาอาคมทั้งหมดที่ท่านเคยเรียนรู้มา ท่านต้องมาเริ่มเรียนใหม่ทั้งหมดจากพระอาจารย์

    เราเองก็มีความสุขที่มีหลวงพี่องค์นี้คอยเเนะนำสอนสั่งเวลาเราปฏิบัติติดขัด การนั่งสมาธิ เราสามารถโทรถามท่านได้ในเวลากลางวัน เเละมีพระอาจารย์คอยดูเราอย่างใกล้ชิดด้วยฌานของท่าน

    พระอาจารย์เองท่านก็สบายใจเพราะหลวงพี่ท่านเลิกเถียงพระอาจารย์ในใจ เเล้วหลวงพี่ท่านเต็มใจช่วยพระอาจารย์ดูเเลวัดเวลาพระอาจารย์ติดกิจนิมนต์ ต่างจังหวัด

    มีความสุขในรูปเเบบที่ไม่ยึดติด รู้เเค่ว่าอดีตมีที่มากันยังไง ปัจจุบันเกี่ยวข้องกันเพราะอะไร
    เมื่อรู้เเล้วให้วางไว้ตามเดิม เเล้วทำตัวเหมือนปกติเเบบไม่มีอะไรเกิดขึ้น เเต่ลึกๆก็รู้กันเองอยู่ภายในใจ

    ขอบคุณค่ะ

    จะว่าไปเเล้วมโนยิทธิของเราไม่เหมือนท่านอื่นๆนะคะ เราไปเที่ยวไหนด้วยกำลังฌานของตัวเองไม่ได้ค่ะ ได้อย่างเดียวคือขึ้นไปเฝ้าสมเด็จองค์ปฐม ทีเหลือท่านจะพาไป


    4. เมื่อกี้นั่งสมาธิสมเด็จองค์ปฐมท่านสอนเราว่า

    ให้สวดมนต์โดยใช้จิตเป็นหนึ่งอย่าเเยกจิตสวด จิตหนึ่งสวดอีกจิตหนึ่งฟุ้งซ่านนั้นไม่ได้

    ก่อนนั่งสมาธิทุกครั้งให้อธิษฐานจิตทุกครั้งว่า ถ้าเป็นอะไรไปขณะนั่งสมาธิขอไปพระนิพพาน อธิษฐานอย่างนี้ทุกครั้งเพื่อเป็นการสร้างกำลังใจให้เกิดความหนักเเน่นในจิต สุดท้ายเเล้วจิตจะไปไหนไม่ได้นอกจากพระนิพพาน

    ที่ท่านสอนเราเเบบนี้เพราะพระอาจารย์ท่านบอกเราว่า เราต้องเกิดอีก บุญเรายังไม่เต็มไปพระนิพพานยังไม่ได้ เเต่ท่านบอกว่าการที่เเม่เราไปได้เพราะเเม่ของเรามีศีล เราก็ถามพระอาจารย์ว่าถ้าเรามีศีลเราจะไปพระนิพพานได้ไหม ท่านบอกว่า เรื่องนี้ยากเเก่การทำนาย

    เราก็ฟ้องสมเด็จท่านหลายรอบเหมือนกันว่าพระอาจารย์บอกว่าหนูยังต้องเกิดอีก ท่านบอกว่า พระอาจารย์ดูจากจิตเราในปัจจุบันนี้ เรายังไม่ถึงจริงๆ ทั้งทางด้าน ทาน ศีล สมาธิ เเละภาวนา ท่านบอกว่าที่คนพูดกันเเค่ ทาน ศีล เเละภาวนา เพราะว่ารวมสมาธิไปในภาวนาเเล้ว

    เราเองก็บ่นว่าหนูอยู่ตั้งไกล กลับเมืองไทยปีละสองครั้งเอง หนูจะสร้างบุญ บารมีจากที่ไหน ท่านบอกว่าเราห่างจากพระอาจารย์เเค่ทางกาย ทางจิตพระอาจารย์ท่านปกป้อง ดูเเลอยู่ ทาน ให้หยอดกระปุกวันละ $1 พยายามอย่าลืม ศีล ดีเเล้ว รักษาเอาไว้ให้ได้ ส่วนภาวนาอย่าลืมสมาธิ ให้เอาสมาธิไว้ในการภาวนาด้วย

    ถ้าวันไหนจะรักษาอุโบสถศีล ไม่ต้องทำอะไรมาก สวดมนต์ ฟังเทศน์หลวงปู่เหรียญที่พระอาจารย์ท่านให้มา นั่งสมาธิอานาปานุสติกรรมฐาน สลับกับมโนยิทธิ เท่านี้ก็พอเเล้ว

    ทุกครั้งในการปฏิบัติท่านสอนให้เราหนักเเน่นในการไปพระนิพพาน ท่านบอกให้เราไปคุยกับพระอาจารย์ใหม่ ว่าเราจะไม่ไป สวรรค์ พรหม จะไปที่เดียวคือพระนิพพาน จะพูดอย่างหนักเเน่นอย่างเดียวไม่ได้ ต้องควบคู่กับการปฏิบัติเพื่อหนทางเเห่งพระนิพพานด้วย

    เรื่องทั้งหมดเป็นเรื่องของเราเองค่ะ เราไม่มีสิทธิ์รู้เรื่องของคนอื่น ท่านบอกเราไว้ตั้งเเต่เราได้วิชานี้จากครูเเล้ว เวลาถามเรื่องของคนอื่น ท่านมักจะพูดว่า "เป็นเรื่องของคนอื่น ไม่เกี่ยวกับเจ้า เเล้วเจ้าไปยุ่งอะไรกับเรื่องของเขา"

    ใช้วิจารณญานในการอ่านด้วยนะคะ

    ขอบคุณค่ะ
    แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย cookieberry : 07-06-2009 เมื่อ 01:33 PM

    5. นมัสการกราบแทบพระบาทของสมเด็จองค์ปฐมค่ะ

    เรื่องทาน ปกติท่านกัลยาณมิตรทุกท่านก็คงทำอยู่บ่อยๆแล้ว แต่ดิฉันขอเสริมนิดหนึ่งนะคะ เผื่อบางท่านอาจจะยังไม่ทราบ ทุกวันที่สวดมนต์ หลังจากสวดเสร็จแล้วให้นำเงินหยอดกระปุกไว้ด้วยค่ะ จะวันละกี่บาทก็ได้ หนึ่งบาท สองบาท ให้หยอดไว้ทุกวัน พอครบเดือนให้นำเงินจำนวนนี้ไปทำบุญค่ะ นอกจากจะได้บุญกุศลแล้ว การที่ทำตรงนี้จะทำให้เราไม่ขัดสนเรื่องเงินทองค่ะ เขาเรียกเงินต่อเงินค่ะ ดิฉันทำอยู่ทุกวันนะคะ รวมถึงเงินค่าครูที่ฝึกมโนมยิทธิทุกครั้ง ก็เอาไปทำบุญค่ะ

    ส่วนเรื่องที่น้องฝนพูดถึงเรื่องให้เอาจิตคิดถึงแต่นิพพานอย่างเดียว อันนี้พี่ก็เห็นด้วยนะคะ คนอื่นพี่ไม่รู้ว่าเป็นยังไงบ้าง แต่สำหรับพี่มันก็แปลกไม่เคยคิดที่จะอยากไปสวรรค์ไปพรหม ตอนนี้จิตมันคิดอยู่ที่เดียวคือนิพพาน ไม่มีใครแปลกใจเลยเหรอคะว่าดิฉันไม่ค่อยมีเรื่องเกี่ยวกับพวกสวรรค์หรือพรหม มาเล่า เพราะโดยปกติจิตมันไม่คิดอยากรู้อยากไปน่ะค่ะ มันผ่านเลยไปเลย เพราะทุกวันพอกราบหลวงพ่อโตเสร็จก็ตรงไปนิพพานเลย ไปกราบพระพุทธเจ้า จิตมันเลยไม่ได้คิดถึงสวรรค์หรือพรหมอีกเลย เฉยๆไปแล้ว

    เรื่องราวของคนอื่น ถึงพี่จะรู้ได้มากกว่าน้องฝนก็จริงนะคะ แต่พี่ก็ไม่ได้สนใจที่จะไปก้าวก่ายเหมือนกัน หลวงพ่อท่านก็เตือนอยู่บ่อยๆ แล้วถ้าไปทำเราก็จะได้ผลกระทบ เหมือนเครสที่พี่ไปเช็คกรรมของเพื่อนแล้วตัวเองก็ป่วยไปสองวันเต็มๆนั่นแหละ มันต้องแลกกันค่ะ ยกเว้นบางครั้งที่มีคนต้องการความช่วยเหลือจริงๆ พี่ถึงจะขึ้นไปถามองค์พระศาสดาให้ แต่ว่าไม่ใช่บ่อยนะคะ ต้องเข้าใจว่าทุกคนมีกรรมเป็นตัวกำหนดค่ะ

    ดิฉัน - พระศาสดาคะ ขอทราบคำตอบจากคำถามนี้ด้วยค่ะ

    พระศาสดา - ได้ซิ ทุกๆคนก็มีหน้าที่อยู่แล้ว แค่การทำตัวเป็นคนดี ทำทาน ถือศีล และภาวนาเป็นประจำก็ถือว่าได้ทำหน้าที่ของตัวเองแล้ว นอกเหนือจากที่กล่าวมาทุกคนก็สามารถที่จะแนะนำข้อธรรมะและการปฏิบัติให้กับ กัลยาณมิตรทั้งหลายได้ ถึงแม้ว่าจะไม่สามารถฝึกมโนมยิทธิได้ ก็ให้ปฏิบัติตัวดังที่กล่าวมาแล้วก็ถือว่าทุกคนได้ปฎิบัตหน้าที่ที่ได้รับ มอบหมายเรียบร้อยแล้ว นั่นคือสิ่งที่ตถาคตอยากให้ทุกคนกระทำเพื่อความหลุดพ้น

    ดิฉัน - สาธุ

    ขอให้ทุกท่านประสบความสำเร็จในการปฏิบัติค่ะ
     
  14. spthong2000

    spthong2000 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    328
    ค่าพลัง:
    +3,967
    เอาบุญมาฝากให้ร่วมอนุโมทนากันครับ
    ร่วมทำบุญกับหลวงปู่เรือง หลวงปู่ฟัก
    ร่วมทำบุญถวานเทียนพรรษา9 วัดกับคณะคุณคมสัน
    ร่วมทำบุญกับหลวงปู่คำบ่อ
     
  15. tonkajeab

    tonkajeab เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    60
    ค่าพลัง:
    +1,355
    อนุโมทนาบุญ กับกัลยาณมิตรทุกท่านค่ะ

    เอาบุญมาฝากค่ะ
    - เมื่อวานไปทำบุญหล่อเทียนพรรษา และหยอดตู้บริจาค
    - วันนี้ไปถวายสังฆทานเทียนพรรษา พร้อมปัจจัย และถวายอาหารแด่พระสงฆ์

    อนุโมทนาบุญ ร่วมกันนะค่ะ
     
  16. Apinya17

    Apinya17 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    775
    ค่าพลัง:
    +3,022
    เราจะรู้ได้อย่างไร บุญ บาป เรามีเท่าไหร่

    สวัสดีค่ะ กัลยานิมิตรทุกท่าน ดิฉันสมาชิกโหมดแอบอ่าน ช่วงนี้คุณพี่สาว ห่างๆ เรื่องเขียนประสบการณ์มโนมยิทธิ สมาชิกโหมดอ่านแอบรออ่านค่ะ คิดถึง ว่าแต่เรื่องบุญบาป เรื่องมีอยู่ว่า เมื่อคืนนี้ เราฝันว่าทำข้อสอบ นั่งทำข้อสอบในห้องสอบหลายคน มีเพื่อนสาวสองคน มีน้องสาวเราสองคน
    ผลสอบปรากฎว่า เพื่อนเราหนึ่งคนสอบตก อีกหนึ่งสอบผ่านแบบมีข้อผิดนิดนึง น้องสาวเราสอบผ่านแบบ เกือบมองหาข้อผิดไม่มี ส่วนเราสอบผ่านแบบ ล้ำเส้นกึ่งมานิดนึง ข้อสอบที่ว่านี้เป็นเรื่องของบุญบาป แอบตกใจเราชั่วมากขนาดนี้เชียวหรือถึงสอบผ่านแบบเส้นยาแดงผ่าแปด หรือว่าช่วงนี้เราหย่อนยานภาคปฎิบัติ มีเทวดาดลใจให้เราฝันแบบนี้ ต้องเร่งปฎิบัติแล้ว
     
  17. Me, myself

    Me, myself บุคคลทั่วไป

    ค่าพลัง:
    +0

    อย่าไปซีเรียสมากค่ะ พี่ก็สอบตกบ่อยๆ ฮา ตราบใดที่เรายังไม่ได้บรรลุพระอรหันต์ เราก็ยังเลวอยู่ บททดสอบจะมาเรื่อยๆทั้งของจริงและในฝัน เรามีจุดอ่อนด้านไหนจะโดนบ่อย แล้วก็พลาดบ่อยเหมือนกัน ฮา ไม่ซีเรียสค่ะ ก็ไปเรื่อยๆไม่เบียดเบียนตนเองค่ะ ขอให้เจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไปค่ะ
     
  18. LightSeed of Buddha

    LightSeed of Buddha เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    70
    ค่าพลัง:
    +2,492
    ผมช่างเหมือนคุณ rehacked เลยตอนนี้ ดังต่อไปนี้
    -ร่างกายก็ไม่ค่อยสมประกอบเท่าไหร่ ตัวเล็กๆแห้งๆเหมือนคนติดยา ถ้าคนไม่รู้จักกันจริงๆจะคิดว่าติดยา
    -ตกงานถึงขั้นว่าหมดตัวครับ หรือแทบตาย เพราะหนี้สินท่วมหัว หางานก้ยังไม่ได้ ถ้าไม่มีสัมภาษณ์งาน
    ก็จะไม่ออกไปไหน ใช้เงินให้น้อยที่สุด ถือว่าช่วงนั้นตกต่ำสุดๆ
    -ทางธรรมก็ไม่ได้เรื่องอีกเช่นกันความก้าวหน้าก็เหมือนหินงอก หินย้อย
    ซึ่งผมก็ท้อเหมือนกัน เพราะรู้สึกว่า คนอื่นเขาทยอยเจอ เรานี่เจอทั้งหมดทีเดียวปางตายเลย เกือบสามปีแล้ว แย่ลงมาจนถึงศูนย์แล้วละ พ่อแม่ก็บ่นเพราะเครียดและต้องมานั่งหาทางช่วยเหลือเท่าที่ทำได้ แย่เนอะ อกตัญญูซะงั้น มาขนาดนี้พ่อแม่ยังต้องลำบากมาช่วยเหลือแทนที่เราจะดูแลท่าน ให้เงินให้ทอง ให้ท่านอยู่สบายๆบั้นปลายชีวิต
    ตอนนี้ที่ผมทำได้คือ อดทนครับ รักษาศีล ปฏฺิบัติภาวนา สมาธิ และเดี๋ยวมันก็ผ่านไป
     
  19. LightSeed of Buddha

    LightSeed of Buddha เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    70
    ค่าพลัง:
    +2,492
    มาโมทนาบุญตั้งแต่เมื่อวานที่ใส่บาตรตอนเช้า ด้วย ข้าวต้มไข่เจียวฝอย พาย และ นมกล่อง พอตอนเที่ยง ก็ถวายเพลและถวายสังฆทานที่วัดพิชัย มีนบุรี ส่วนวันนี้ก็ไปร่วมงานหล่อพระเกตุองค์พระใหญ่ ที่วัดหนองหญ้าปล้อง โดยร่วมทำบุญกับหลวงปู่ชะอ้อน และหลวงพ่อโนรีด้วย และได้ใส่ซองร่วมทำบุญผ้าป่าและถวายซึ่งสังฆทานเช่นกัน และขากลับ บนรถทัวร์ได้ร่วมทำบุญซื้อโปรตีนผงถวายพระอาพาธเป็นมะเร็งตับ ซึ่งรับประทานได้แต่โปรตีนและไข่ขาวเท่านั้น ขอซึ่งบุญกุศลทั้งหมดนี้ จงถึงซึ่งตัวข้าพเจ้า ให้ชีวิตเจอแต่สิ่งดีๆ และเจริญทั้งทางโลกและทางธรรมยิ่งขึ้น ไม่ตกต่ำเหมือนที่ผ่านมา และขอคำว่าไม่มีจงอย่าปรากฏแก่ข้าพเจ้าอีกเลยตั้งแต่บัดนี้ จนถึงเวลาพระนิพพาน ขออุทิศให้เทพยดาที่ปกปักรักษาข้าพเจ้า ดูแลการงาน การเงินและสุขภาพข้าพเจ้า ถึงพ่อแม่ น้องสาว และเทพยดาที่ปกปักรักษาพวกท่าน ถึงญาติมิตรที่มีชีวิตอยู่หรือเสียชีวิตไปแล้ว ถึงเจ้ากรรมนายเวรที่มีเวรต่อกันอยู่ ขออย่าได้จองเวร อโหสิกรรมกันเถอะ ถึงเทพยดาที่บ้านและบริเวณบ้าน อันได้แก่ พระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์เจ้า พระอริยสงฆ์เจ้า ครูบาอาจารย์ เจ้าที่ ศาลภูมิ ศาลตายาย แม่ย่านาง สินเพชร สินสุวรรณ และวิญญาณพี่สาว ถึงกลุ่มพญานาค พญาครุฑ คนธรรพ์บริเวณบ้าน ขอเป็นบารมีให้เกิดในภพภูมิที่สูงขึ้นๆ และมีความเป็นทิพย์ตลอดไป ถึงซึ่งภูติ ผี ปีศาจ และสรรพสัตว์มั้งหลายที่เกิดเป็นชะลาพุดชะ อัณทะชะ สังเสทะชะ และโอปาติกะ ท่านใดทุกข์ขอให้พ้นทุกข์ เป็นสุข ท่านใดสุข ขอให้เป็นสุขยิ่งๆขึ้นไป
    ขอโมทนาบุญนี้กับทุกท่านเช่นกัน ขอให้เจอแต่สิ่งดีๆ มีดวงตาเห็นธรรม อย่าได้พบเจอคำว่าไม่มีตั้งแต่บัดนี้ ตราบสู่พระนิพพาน และขอให้เข้าถึงพระนิพพานในปัจจุบันชาตินะครับ
     
  20. Naresuan

    Naresuan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    17
    ค่าพลัง:
    +297
    วันนี้ที่วัด Dalarna จัดงานเข้าพรรษาค่ะ
    -ได้ไปถวายอาหารแก่พระสงฆ์
    -ช่วยทางวัดขายอาหารเพื่อนำเงินเข้าวัดค่ะ
    -แล้วก็ถวายสังฆทานค่ะ

    มาร่วมโมทนาบุญกันนะคะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...