บะหมี่น้ำหนึ่งชาม : เรื่องเล่าดีๆ ที่อยากให้อ่าน

ในห้อง 'จักรวาลคู่ขนาน' ตั้งกระทู้โดย นมสดปั่น, 4 สิงหาคม 2010.

  1. นมสดปั่น

    นมสดปั่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    508
    ค่าพลัง:
    +1,623
    <table align="center" border="0" cellpadding="3" cellspacing="0" width="100%"><tbody><tr><td align="center" valign="top"><table border="0" cellpadding="2" cellspacing="2" width="95%"><tbody><tr><td class="A2" valign="top"><table align="center" bgcolor="#f5f5f5" border="0" cellpadding="2" cellspacing="2"><tbody><tr><td>[​IMG]</td></tr><tr><td align="center">
    </td></tr></tbody></table>

    เนื้อหาอาจยาวไปหน่อย แต่อ่านแล้ว รู้สึกดีจริงๆค่ะ

    บะหมี่น้ำหนึ่งชาม...
    เรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริง
    เราให้ชื่อเรื่องนี้ว่า"บะหมี่น้ำหนึ่งชาม"
    เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อ 15 ปีที่แล้ว วันที่ 31 ธันวาคม 2528
    ซึ่งเป็นวันส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่
    ที่ร้านบะหมี่ " ฮอกไก " บนถนนซัปโปโร
    การกินบะหมี่โซบะในคืนวันส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่นั้นเป็นประเพณีของชาวญี่ปุ่น
    ด้วยเหตุนี้เองจึงทำให้ร้านบะหมี่ขายดีในวันสิ้นปี

    " ร้านฮอกไก" นี้ก็เช่นกัน
    ในวันนี้คนแน่นร้านแทบทั้งวัน จนกระทั่งถึงเวลา 22.00 น. คนก็เริ่มน้อยลง
    โดยปกติแล้วบน ถนนสายนี้คนจะแน่นขนัดไปจนถึงเช้าตรู่
    แต่วันนี้ทุกคนจะต้องรีบกลับบ้านเพื่อไปต้อนรับปีใหม่กัน
    ดังนั้นถนนสายนี้จึงปิดร้าน เร็วกว่าปกติ
    เถ้าแก่ของร้าน " ฮอกไก" เป็นคนซื่อ และเถ้าแก่เนี้ยก็เป็นคนอัธยาศัยใจคอดี

    ในคืนวันส่งท้ายปีเก่า พอลูกค้าคนสุดท้ายกลับไปในขณะเถ้าแก่เนี้ยก็จะปิดร้าน
    ประตูร้านก็ถูกเปิดออกอย่างเบาๆ มีผู้หญิงคนหนึ่งพาเด็กชายสองคน
    คนหนึ่งประมาณ 6 ขวบกับอีกคนหนึ่งประมาณ 10 ขวบเข้ามาในร้าน
    เด็กชายทั้งสองคนสวมชุดกีฬาใหม่เอี่ยมเหมือนกันทั้งสองคน
    ส่วนหญิงคนนั้นสวมโอเวอร์โค้ท ลายสก๊อตเก่าๆ เชยๆ
    " เชิญนั่งครับ" เถ้าแก่ร้องทักทายออกมา
    หญิงคนนั้นเอ่ยปากอย่างขลาดกลัวว่า
    " ขอบะหมี่น้ำสักชามได้ไหมคะ"
    เด็กชายสองคนที่อยู่ข้างหลังสบตากันอย่างไม่ค่อยสบายใจนัก
    " ได้ค่ะ ได้ค่ะ ทำไมจะไม่ได้ล่ะค่ะ เชิญนั่งก่อนค่ะ" เถ้าแก่เนี้ยพาพวกเขาไปนั่งที่โต๊ะเบอร์สองชิดกำแพง
    แล้วตะโกนบอกไปทางห้องครัวว่า
    " บะหมี่น้ำหนึ่งชาม" บะหมี่หนึ่งชามมีบะหมี่แค่หนึ่งก้อน
    เถ้าแก่คิดแล้วก็ใส่บะหมี่ เพิ่มไปอีกครึ่งก้อน
    ต้มบะหมี่ได้ชามเบ้อเริ่ม
    ทั้งเถ้าแก่เนี้ยและสามแม่ลูกต่างก็ไม่รู้เรื่อง
    สามแม่ลูกนั่งล้อมชามบะหมี่กินกันอย่างเอร็ดอร่อย
    กินพลางพูดพลาง " ทานเถอะครับ"
    ลูกคนพี่พูด " แม่ทานหน่อยสิครับ"
    ลูกคนน้องพูดไปก็คีบบะหมี่ให้แม่กิน
    ไม่นานก็กินบะหมี่หมดชาม จ่ายเงินไปหนึ่งร้อยห้าสิบเยน
    แล้วทั้งสามคนก็ชมว่า
    " ขอบคุณมากค่ะ(ครับ) บะหมี่อร่อยมากค่ะ(ครับ)"
    พร้อมกับค้อมตัวเล็กน้อยแล้วลาจากไป
    " ขอบคุณมากค่ะ(ครับ) สวัสดีปีใหม่ค่ะ(ครับ)"
    ทั้งเถ้าแก่และเถ้าแก่เนี้ยต่างก็กล่าวขอบคุณ

    *********



    </td></tr></tbody></table></td></tr><tr><td align="center" valign="top"><table border="0" cellpadding="2" cellspacing="2" width="95%"><tbody><tr><td class="A2" valign="top"> <table align="center" bgcolor="#f5f5f5" border="0" cellpadding="2" cellspacing="2"><tbody><tr><td>[​IMG]</td></tr><tr><td align="center">
    </td></tr></tbody></table>

    ทำงานไปวันแล้ววันเล่ายุ่งตั้งแต่เช้าจรดเย็น
    และแล้วก็ผ่านไปอีกหนึ่งปี วันที่ 31 ธันวาคม
    ก็เวียนมาครบรอบอีกครั้งหนึ่ง ในวันส่งท้ายปีเก่า
    ร้านบะหมี่ "ฮอกไก" ก็ยังคงขายดีและดูเหมือนจะขายดีกว่าปีที่ผ่านมา
    สองตายายยังคงยุ่งวุ่นวายอยู่กับการค้าขาย
    และแล้ววันที่วุ่นวายก็จบสิ้นลง
    22.00 น.กว่า ในขณะที่เถ้าแก่เนี้ยกำลังจะปิดร้านอยู่นั้น
    ประตูร้านก็ถูกผลักออกเบา ๆ
    ผู้ที่เข้ามาก็คือหญิงวัยกลางคนกับเด็กชายสองคน
    พอเห็นเสื้อโอเวอร์โค้ทที่เก่า และเชย
    เถ้าแก่เนี้ยก็นึกขึ้นมาได้ว่าเป็นลูกค้าคนสุดท้ายในวันส่งท้ายปีเก่าของปีที่แล้วนั่นเอง
    " ขอบะหมี่น้ำหนึ่งชามได้มั๊ยคะ"
    " ได้ค่ะ ได้ค่ะ เชิญนั่งตามสบายนะคะ"
    เถ้าแก่เนี้ยนำพวกเขาไปนั่งที่เดิมที่เคยนั่งเมื่อปีที่แล้ว
    โต๊ะเบอร์สอง ตะโกนไปพลางว่า
    " บะหมี่น้ำหนึ่งชาม" เถ้าแก่รับคำพลาง
    จุดเตาที่เพิ่งจะดับไปพลาง
    " ได้ครับ บะหมี่น้ำหนึ่งชาม"
    เถ้าแก่เนี้ยแอบไปพูดที่ข้างหูของเถ้าแก่ว่า
    " นี่ตาแก่ ต้มบะหมี่ให้พวกเขาสามชามไม่ได้หรือ"
    " ไม่ได้ ถ้าทำแบบนั้นจะทำให้พวกเขาอายและไม่สบายใจได้รู้มั๊ย"
    สามีตอบพลางแล้วโยนบะหมี่อีกครึ่งก้อนลงไปในหม้อที่น้ำกำลังเดือดพล่าน
    เดินไปยืนข้างภรรยาแล้วก็ยิ้ม
    ภรรยาก็พูดขึ้นว่า " เห็นเธอซื่อ ๆ ทึ่ม ๆ ไม่นึกเลยว่าจิตใจก็ดีเหมือนกันนะ"
    ฝ่ายสามีเดินไปตักบะหมี่ชามใหญ่ที่กลิ่นหอมชวนกินชามนั้นแล้วให้ภรรยายกไปให้สามแม่ลูก
    สามแม่ลูกนั่งล้อมชามบะหมี่ กินไปพลางคุยไปพลาง
    เสียงคุยของสามแม่ลูกดังถึงหูของตายาย
    " หอมจังเลย … ยอดไปเลย … อร่อยจริงๆ "
    " ปีนี้สามารถกินบะหมี่ของร้านฮอกไกได้ นับว่าไม่เลวทีเดียว"
    " ถ้าปีหน้าสามารถมากินได้อีกก็ดีนะสิ"
    กินเสร็จก็จ่ายเงินไปหนึ่งร้อยห้าสิบเยน
    แล้วสามแม่ลูกก็เดินออกจากร้านฮอกไกไป
    " ขอบคุณค่ะ(ครับ) สวัสดีปีใหม่ค่ะ(ครับ)"
    มองตามหลังสามแม่ลูกจนลับหายไป


    </td></tr></tbody></table></td></tr><tr><td align="center" valign="top"><table border="0" cellpadding="2" cellspacing="2" width="95%"><tbody><tr><td class="A2" valign="top"> <table align="center" bgcolor="#f5f5f5" border="0" cellpadding="2" cellspacing="2"><tbody><tr><td>[​IMG]</td></tr><tr><td align="center">
    </td></tr></tbody></table>

    ********

    สองตายายก็ยกเรื่องสามแม่ลูกมาพูดซ้ำแล้วซ้ำอีกไปได้ระยะหนึ่ง
    ในวันสิ้นปีของสามปีมานี้ กิจการของร้านฮอกไกดีมาก
    สองตายายต่างก็ยุ่งจนไม่มีเวลาคุยกัน
    แต่พอเลย 21.00 น.ไปแล้ว
    สองตายายก็เริ่มกระวนกระวายใจขึ้นมา พอถึง 22.00 น.
    พนักงานในร้านต่างก็รับอั้งเปาแล้วก็แยกย้ายกันกลับไป
    พอคนกลับไปหมดแล้วเจ้าของร้านทั้งสองก็ช่วยกันเอาป้ายราคาบะหมี่ในร้านที่เขียน
    ไว้ว่า
    " บะหมี่ชามละสองร้อยเยน" ที่แขวนไว้ตามผนังทั้งหมดพลิกกลับหลัง
    แล้วช่วยกันเขียนใหม่ว่า " บะหมี่ชามละร้อยห้าสิบเยน"
    30 นาทีก่อน เถ้าแก่เนี้ยก็เอาป้าย " จองแล้ว"
    ไปวางไว้บนโต๊ะเบอร์สอง
    เหมือนกับว่าจะมีเจตนารอแขกที่ลูกค้าออกจากร้านไปหมดแล้วถึงจะมาอย่างนั้นแหละ

    22.30 น. ในที่สุดสามแม่ลูกก็ปรากฏตัวขึ้น
    พี่ชายสวมเครื่องแบบมัธยมของรัฐแห่งหนึ่ง
    น้องชายสวมเสื้อแจ๊คเก็ทที่พี่ชายสวมเมื่อปีก่อนดูหลวมและไม่พอดีตัว
    เด็กทั้งสองคนโตขึ้นมาก
    ส่วนผู้เป็นแม่ก็ยังคงสวมเสื้อโค้ทลายสก๊อตที่ทั้งเก่าและเชยแถมสีซีดตัวเดิม
    " เชิญค่ะ เชิญค่ะ" เถ้าแก่เนี้ยกล่าวทักทายอย่างมีน้ำใจ
    มองใบหน้าอันยิ้มแย้มและท่าทางต้อนรับอย่างเต็มที่ของเถ้าแก่เนี้ย
    ทำให้ผู้เป็นแม่นั้นเปล่งคำพูดออกมาอย่างงกงก เงิ่นเงิ่นว่า
    " รบกวนช่วยทำบะหมี่น้ำให้สักสองชามได้ไหมค่ะ"
    " ได้ค่ะ เชิญนั่งทางนี้ค่ะ"
    เถ้าแก่เนี้ยนำแม่ลูกไปนั่งยังโต๊ะเบอร์สอง
    แล้วรีบเอาป้าย"จองแล้ว"ออกเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
    แล้วตะโกนบอกไปทางครัวว่า
    " บะหมี่น้ำสองชาม" " ได้ครับ บะหมี่น้ำสองชามได้เดี๋ยวนี้แหละครับ"
    เถ้าแก่พลางตอบ พลางโยนบะหมี่ลงไปในหม้อน้ำสามก้อน
    สามแม่ลูกกินไปพูดไป ดูแล้วเหมือนมีความสุขกันมาก
    สองสามีภรรยาที่ยืนอยู่หลังโต๊ะทำบะหมี่
    ได้รับรู้ถึงความสุขที่พวกเขาได้รับกัน
    ในใจก็พลอยเบิกบานไปด้วย
    " ลูกรัก วันนี้แม่ต้องขอบคุณลูก ๆ เป็นอย่างมาก"
    " ขอบคุณ ?" " ทำไมครับ"
    " เรื่องเป็นอย่างนี้ คือคุณพ่อของลูกที่ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตไปได้ทำให้คนอีกแปดคนได้รับบาดเจ็บ
    และทางบริษัทประกันก็ไม่รับผิดชอบในส่วนนั้น ในช่วงหลายปีมานี่ทำให้เราต้องจ่ายเงินเดือนละห้าหมื่นเยนทุกเดือน"
    " เอ๊ะ เรื่องนี้เราก็ทราบกันอยู่แล้วนี่ครับ" ผู้เป็นพี่ตอบ
    ส่วนเถ้าแก่เนี้ยได้แต่ตั้งใจฟังอย่างเงียบๆ อยู่หลังโต๊ะทำอาหาร
    " แต่เดิมนั้นเราต้องชำระหนี้ไปจนถึงปีหน้าเดือนมีนาคม
    แต่ตอนนี้เราได้ชำระหนี้ไปหมดแล้ว"
    " จริงๆ หรือครับ แม่"
    " จริงสิจ๊ะ นี่เป็นเพราะว่าพี่ชายของลูกขยันไปส่งหนังสือพิมพ์
    ส่วนตัวลูกเองก็ช่วยแม่ซื้อกับข้าวทำอาหาร
    ทำให้แม่ไปทำงานได้อย่างเต็มที่
    ทางบริษัทจึงได้ให้เงินเบี้ยขยันพร้อมทั้งเงินโบนัสพิเศษอื่นๆ อีก
    จึงทำให้วันนี้สามารถชำระในส่วนที่เหลือได้หมด"
    " ว้าว แม่ครับ พี่ครับ อย่างนี้ก็วิเศษสิครับ
    แต่ว่าต่อไปขอให้ผมได้ช่วยทำอาหารต่อไปเถอะนะครับ"
    " ผมก็จะส่งหนังสือพิมพ์ต่อนะครับ ไอ้น้องชายเราต้องร่วมแรงร่วมใจกันสู้หน่อยแล้วนะ"
    " ขอบใจลูกทั้งสองมาก ขอบใจจริงๆ "
    " แม่ครับผมกับน้องก็มีความลับจะบอกกับแม่เหมือนกันครับ
    คือในวันอาทิตย์วันหนึ่งของเดือนพฤศจิกายนโรงเรียนของน้อง
    ได้แจ้งให้ผู้ปกครองไปเยี่ยมชมนักเรียนในห้องเรียนในวันพบผู้ปกครอง
    คุณครูของน้องยังได้แนบจดหมายมาอีกหนึ่งฉบับว่า
    เรียงความของน้องได้ถูกคัดเลือกให้เป็นตัวแทนของฮอกไกโด
    เพื่อไปแข่งขันเรียงความทั่วประเทศ
    นี่ผมได้ยินมาจากเพื่อนๆ ของน้องนะครับผมถึงทราบ
    ดังนั้นในวันนั้นผมจึงไปเป็นตัวแทนแม่
    ไปร่วมในงานวันพบผู้ปกครองของน้อง"
    " จริงหรือลูก แล้วต่อมาล่ะ"
    " หัวข้อที่คุณครูให้เรียงความคือ ความปรารถนาของข้าพเจ้า"
    น้องได้เอาเรื่องของบะหมี่น้ำหนึ่งชามมาเขียนเป็นเรียงความ
    แล้วยังได้อ่านต่อหน้าทุกคนด้วย"
    " เรียงความเขียนว่า … หลังจากที่คุณพ่อประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์แล้ว
    ได้ทิ้งหนี้สินให้เรามากมาย เพื่อที่จะชำระหนี้
    คุณแม่ต้องทำงานดึกดื่นหาม รุ่งหามค่ำทุกวัน
    แม้แต่เรื่องของผมที่ต้องไปส่งหนังสือพิมพ์
    น้องก็ยังเอาไปเขียนเลย …"
    " ยังมีอีก น้องยังเขียนถึงในคืนวันที่ 31 ธันวาคม
    พวกเราสามคนแม่ลูกได้มาล้อมวงกันกินบะหมี่น้ำ อร่อยมาก …
    สามคนกินบะหมี่น้ำแค่ชามเดียว
    คุณตาคุณยายเจ้าของร้านยังกล่าวขอบคุณพวกเราอีก
    แล้วยังอวยพรวันปีใหม่ให้พวกเราอีก
    เสียงเหล่านั้นเหมือนกับว่าให้กำลังใจให้เข้มแข็งที่จะยืนหยัดมีชีวิตอยู่ต่อไป
    พยายามปลดเปลื้องหนี้สินทั้งหลายของคุณพ่อ ให้หมดให้เร็วที่สุด …"
    " ด้วยเหตุนี้น้องจึงได้ตัดสินใจว่าโตขึ้นน้องจะเปิดกิจการร้านบะหมี่
    แล้วจะต้องเป็นเจ้าของร้านบะหมี่ยอดเยี่ยม อันดับหนึ่งของญี่ปุ่นอีกด้วย
    แล้วยังจะให้กำลังใจแก่ลูกค้าทุกคน … ขอให้มีความสุขครับ … ขอบคุณครับ …"

    สองตายายเจ้าของร้านบะหมี่ที่ยืนฟังอยู่หลังโต๊ะทำบะหมี่จู่ ๆ ก็หายตัวไป
    พวกเขาไม่ได้หายไปไหนเลยเพียงแต่คุกเข่ากันอยู่ใต้โต๊ะ
    ในมือถือปลายผ้าขนหนูกันคนละข้าง
    พยายามซับน้ำตาที่ไหลไม่ยอมหยุดเหมือนทำนบพังนั้นอย่างไม่ลดละ
    " พอน้องอ่านเรียงความจบ คุณครูก็พูดว่า
    " วันนี้พี่ชายได้มาเป็นตัวแทนของคุณแม่
    ดังนั้นขอเชิญพี่ชายขึ้นมากล่าวอะไรสักหน่อยค่ะ"
    " จริงหรือลูก แล้วลูกทำอย่างไรล่ะ"
    " ก็มันกะทันหันเกินไป ตอนแรกๆ
    ก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี
    ผมจึงพูดว่า … ขอบคุณทุกคนที่เอาใจใส่น้องผมเป็นอย่างดี
    น้องผมต้องไปจ่ายตลาดซื้อกับข้าวกลับมาหุงหาอาหารทุกวัน
    ดังนั้นในเวลาที่เพื่อนๆ ทุกคนมีกิจกรรมกันในตอนเย็นก็มักจะ
    อยู่ร่วมกิจกรรมต่างๆ ไม่ได้เพราะต้องรีบกลับบ้าน
    เมื่อเป็นอย่างนี้คงจะทำให้ทุกคนวุ่นวายกันพอสมควร"
    " เมื่อครู่นี้ตอนที่ได้ยินน้องอ่านเรียงความเรื่องบะหมี่น้ำหนึ่งชาม
    ผมรู้สึกอายมาก แต่พอได้เห็นน้องยืดอกอ่านเรียงความเรื่องบะหมี่
    น้ำหนึ่งชามด้วยเสียงอันดังนั้นจนจบ ถึงได้รู้สึกว่าความรู้สึกอายเมื่อ
    สักครู่นี้ถึงจะเรียกว่าเป็นความอายจริงๆ "
    " หลายปีมานี้ ความกล้าของคุณแม่ที่จะสั่งบะหมี่น้ำหนึ่งชามนั้นเพื่อกิน
    กันสามคนนั้นผมกับน้องจะไม่มีวันลืมเป็นอันขาด
    ผมและน้องจะต้องขยัน และดูแลแม่เป็นอย่างดี
    และผมขอฝากน้องของผมให้ทุกคนช่วยดูแลด้วยครับ"
    สามแม่ลูกกุมมือกันเงียบ ๆ ตบไหล่
    กินบะหมี่หมดอย่างมีความสุขกว่าทุกๆ ปี
    จ่ายเงินไปสามร้อยเยนกล่าวขอบคุณ
    ค้อมตัวลงเคารพและเดินออกจากร้านไป

    มองตามหลังสามแม่ลูกไป
    เจ้าของร้านจึงได้รู้สึกว่าปีนี้ได้ผ่านไปแล้วจริงๆ
    พร้อมกับกล่าวว่า " ขอบคุณค่ะ(ครับ) สวัสดีปีใหม่ค่ะ(ครับ)"
    และแล้วก็ผ่านไปอีกปีหนึ่ง


    </td></tr></tbody></table></td></tr><tr><td align="center" valign="top"><table border="0" cellpadding="2" cellspacing="2" width="95%"><tbody><tr><td class="A2" valign="top"> <table align="center" bgcolor="#f5f5f5" border="0" cellpadding="2" cellspacing="2"><tbody><tr><td>[​IMG]</td></tr><tr><td align="center">
    </td></tr></tbody></table>

    ********

    พอถึงเวลา 21.00 น.ทางร้านฮอกไกก็วางป้าย
    " โต๊ะจอง" ไว้บนโต๊ะเบอร์สองและเฝ้ารอคอย
    การมาเยือนของสามแม่ลูกเช่นเคย
    แต่ในปีนั้นสามคนแม่ลูกไม่ได้มาปรากฏตัวที่ร้านเลย
    ปีที่สอง ปีที่สาม โต๊ะเบอร์สองก็ยังคงว่างอยู่เช่นเดิม
    สามแม่ลูกไม่ได้มาที่ร้านฮอกไกอีกเลย
    กิจการของร้านฮอกไกดีมาก เรียกว่าดีวันดีคืนเลยทีเดียว
    ภายในร้านมีการตกแต่งใหม่ โต๊ะเก้าอี้ก็มีการเปลี่ยนใหม่
    จะมีก็แต่โต๊ะเบอร์สองที่เก็บรักษาไว้เหมือนเดิม
    " นี่มันเรื่องอะไรกัน" ลูกค้าหลายคนต่างก็ถามด้วยความกังขา
    เถ้าแก่เนี้ยก็เลยเล่าเรื่องบะหมี่หนึ่งชามให้แก่ลูกค้าฟัง
    โต๊ะเก่าตัวนั้นวางอยู่กลางร้านเหมือนกับว่าเป็นการให้กำลังใจตัวเองอย่างหนึ่ง
    และก้อไม่แน่ว่าวันใดวันหนึ่งลูกค้าทั้งสามอาจจะกลับมาอีก
    พวกเขาหวังว่าจะใช้โต๊ะเก่าตัวนั้นในการต้อนรับลูกค้าทั้งสามของเขา
    โต๊ะเบอร์สองตัวนั้นเปลี่ยนเป็นชื่อว่า " โต๊ะแห่งความสุข"
    ลูกค้าต่างก็พูดต่อๆ กันไป
    มีนักเรียนหลายคนอยากเห็นโต๊ะตัวนี้ถึงขนาดที่ว่านั่งรถมาจากที่ไกลแสนไกลมากิน บะหมี่
    และเจาะจงที่จะนั่งโต๊ะตัวนี้
    ผ่านวันที่ 31 ธันวาคม ไปอีกหลายๆ ปี
    พอถึงวันสิ้นปีหลังจากปิดร้านแล้ว
    เจ้าของร้านค้าในละแวกใกล้เคียงร้านฮอกไก
    ก็มักจะมารวมตัวฉลอง โดยการกินบะหมี่ที่ร้านฮอกไก
    กินไปพลาง ก็รอเสียงระฆังส่งท้ายวันสิ้นปีเก่าไปพลาง
    แล้วทุกคนก็ไปวัดเพื่อไหว้พระด้วยกัน
    เป็นธรรมเนียมมา 5-6 ปีแล้ว

    ในวันนี้พอเลย 21.30 น.ไปแล้ว
    เจ้าของร้านขายปลามาถึงก่อนพร้อมทั้งนำซาซิมิมาด้วย
    ต่อจากนั้นก็มีคนมาเรื่อยๆ เป็นระยะ
    บ้างก็เอาเหล้ามา บ้างก็เอาอาหารกับแกล้มมา
    ปกติแล้วก็จะรวมตัวกันได้ประมาณ 30-40 คน
    ต่างก็คึกคักกันมาก
    ทุกคนที่มานั้นต่างก็รู้ตำนานเกี่ยวกับโต๊ะเบอร์สอง
    ทุกคนก็พยายามไม่เอ่ยถึงมันแต่ในใจต่างก็คิดกันว่า
    วันนี้ "โต๊ะจอง" ตัวนั้นไม่มีคนที่พวกเขาเฝ้ารอมานั่ง
    มันคงจะว่างเปล่าเพื่อส่งท้ายปีเก่าอีกเช่นเดิม พวกเขาบ้างก็กินเหล้า
    บ้างก็กินบะหมี่ บ้างก็เข้าๆ ออกๆ
    พอเตรียมกับข้าวกับแกล้ม ต่างก็กินกันไปคุยกันไป
    พูดเรื่องการค้าบ้าง คุยเรื่องโน้นเรื่องนี้
    แม้แต่น้ำทะเลขึ้นลง ในระยะนี้บ้านไหนมีเด็กเกิดใหม่
    ก็นำมาพูดคุยในวงสนทนา คุยมันทุกๆ เรื่อง
    จนเหมือนกับว่าเป็นครอบครัวเดียวกัน

    เวลาผ่านไปจนถึง 22.30 น.
    ทันใดนั้นเองประตูร้านก็ถูกผลักออกเบาๆ
    ทุกคนในร้านหยุดพูดคุยกัน สายตาทุกคู่มองตรงไปยังประตูร้าน
    ชายหนุ่มสองคนยืนสง่าในชุดสูทสากล พาดโอเวอร์โค้ทไว้บนแขน
    พอเห็นว่าผู้ที่มาเป็นใครทุกคนก็รู้สึกว่าบรรยากาศเริ่มผ่อนคลายลง
    และเริ่มสนทนากันต่อไปอย่างคึกคัก
    ในขณะที่เถ้าแก่เนี้ยกำลังจะพูดว่า " ขอโทษค่ะ ที่นั่งเต็มหมดแล้วค่ะ"
    เพื่อปฏิเสธลูกค้าที่ไม่ได้รับเชิญอยู่นั้น
    ก็มีหญิงคนหนึ่งสวมชุดกิโมโน เดินเข้ามายืนระหว่างกลางของชายหนุ่มทั้งสองคน
    ทุกคนในร้านแทบจะหยุดหายใจเมื่อได้ยินคุณนายผู้นั้นพูดว่า
    " เอ้อ … รบกวน … รบกวนช่วยทำบะหมี่ให้สามชามได้ไหมคะ"
    ทันทีที่เถ้าแก่เนี้ยได้ยินสีหน้าก็เปลี่ยนไปทันที
    เวลาผ่านไปสิบกว่าปีแล้ว ภาพของสามแม่ลูกในความทรงจำ
    กับภาพของสามแม่ลูกตรงหน้า เธอพยายามจะนำทั้งสองภาพมาวางซ้อนกัน
    เถ้าแก่ที่ยืนตะลึงอยู่ที่โต๊ะทำบะหมี่ ชี้นิ้วไปยังทั้งสามแม่ลูก
    " พวกคุณ .. พวกคุณ" เขาพูดได้เพียงแค่นั้น
    คำพูดทุกคำจุกอยู่ที่คอ ชายหนุ่มหนึ่งในสองคนเห็นท่าทีของเถ้าแก่เนี้ยที่ทำอะไรไม่ถูกก็เลยพูดกับ
    เถ้าแก่เนี้ยว่า " พวกเราสามคนแม่ลูกที่เมื่อสิบสี่ปีก่อนในวันส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่มา
    สั่งบะหมี่น้ำหนึ่งชามทานกันสามคนไงครับ
    และพวกเราก็ได้รับกำลังใจจากบะหมี่น้ำชามนั้น
    พวกเราจึงได้สามารถยืนหยัดมาถึงวันนี้ได้"
    " หลังจากนั้นก็อพยพครอบครัวไปอาศัยอยู่กับยายที่อำเภอชิกะ
    ปีนี้ผมสอบผ่านได้เป็นนายแพทย์แล้ว
    ตอนนี้ผมเป็นแพทย์ฝึกหัดแผนกกุมารเวชที่โรงพยาบาลเกียวโต
    ปีหน้าเดือนเมษายนก็จะย้ายมาประจำโรงพยาบาลกลางของซัปโปโรแล้ว"
    " วันนี้พวกเราก็เลยแวะมาที่โรงพยาบาลเพื่อทำความรู้จักและฝากเนื้อฝากตัว
    แล้วเลยไปไหว้สุสานของคุณพ่อ
    และน้องชายที่ครั้งหนึ่งเคยใฝ่ฝันว่าจะเป็นเจ้าของกิจการร้านบะหมี่นั้น
    ขณะนี้ได้ทำงานในธนาคารเกียวโต
    ได้เสนอความคิดที่เลิศเลออย่างหนึ่งก็คือ
    ปีนี้ในวันส่งท้ายปีเก่า
    พวกเราสามคนแม่ลูกจะมาเยี่ยมคารวะเจ้าของร้านบะหมี่ฮอกไกที่ซัปโปโร
    และทานบะหมี่น้ำสามชามของร้านฮอกไกด้วย"

    สองตายายฟังไปพลาง พยักหน้าไปพลางด้วยน้ำตาคลอเบ้า
    เถ้าแก่ร้านขายผักที่นั่งอยู่ตรงหน้าประตู
    พยายามใช้แรงอย่างเต็มที่ที่จะกลืนบะหมี่คำที่คาอยู่ในปากลงไปในคอ
    แล้วลุกขึ้นยืนพูดว่า " อ้าว … เถ้าแก่ … เป็นอะไรไปล่ะ
    อุตสาห์เตรียมการมาตลอดสิบปีเพื่อเฝ้าคอยวันนี้ " โต๊ะจอง"
    ตัวนั้นไงที่พวกเถ้าแก่จองให้ลูกค้าที่จะมาตอนหลังสิบโมงของคืนวันสิ้นปีไง
    รีบๆ ต้อนรับพวกเขาสิ เร็วเข้า"
    ในที่สุดเถ้าแก่เนี้ยก็ได้สติ ตบไหล่ของเถ้าแก่ร้านขายผัก
    แล้วพูดว่า " ยินดีต้อนรับค่ะ … เชิญนั่งข้างในค่ะ … นี่ตาเฒ่า … บะหมี่น้ำสามชามโต๊ะสอง"
    เถ้าแก่ที่ยืนตะลึงอยู่ก็รีบปาดน้ำตาแล้วรับคำว่า
    " ครับ..บะหมี่น้ำสามชาม"

    หากดูกันตามจริงแล้ว
    สิ่งที่เถ้าแก่ร้านบะหมี่ทั้งสองได้ให้ไปมันไม่ได้มีค่ามากมายอะไรเลย
    มันเป็นแค่เพียงบะหมี่ไม่กี่ก้อน คำพูดที่จริงใจและให้กำลังใจเพียงไม่กี่คำ
    รวมทั้งคำอวยพรว่า " ขอบคุณค่ะ(ครับ) สวัสดีปีใหม่ค่ะ(ครับ)"ก็เท่านั้นเอง
    แต่มันกลับให้ผู้ที่ถูกความจริงอันโหดร้ายบีบให้จมอยู่ในสถานการณ์
    คับขันได้สามารถกลับมามีชีวิตอีกครั้ง

    ********

    เรื่องนี้สอนให้เรารู้ว่า
    อย่าพยายามมองข้ามตัวเอง
    ตัวเราเองสามารถมีอิทธิพลต่อสิ่งแวดล้อมให้น่าอยู่ได้
    บางทีมันอาจจะเป็นแค่เพียงความใส่ใจความห่วงใยอันจริงใจ
    ของคุณเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
    ก็สามารถนำพาเอาแสงสว่างอันเจิดจรัสอย่างไม่มีขีดจำกัดมาสู่โลกได้

    ด้วยเหตุนี้ความหวังความใฝ่ฝันที่แรงกล้าของพวกเรา …
    เพื่อนพ้องทั้งหลาย …
    อย่ามัวเห็นแก่ตัวกันหรือเสียดายมันอยู่เลย
    หวังว่านับแต่บัดนี้เป็นต้นไป
    พวกเราจะสามารถมอบหัวใจแห่งความรักและความเมตตาที่เราอัดเก็บ
    ไว้ในใจมาเป็นเวลานานแสนนานนั้นมอบให้กับคนอื่นด้วยความเต็มใจ
    จุดประกายแห่งความสว่างแก่โลก ….
    ถึงแม้จะเป็นแสงเพียงริบหรี่เท่านั้น

    แต่สำหรับคืนอันหนาวเหน็บอันเย็นยะเยือกของฤดูหนาว
    มันเป็นประกายแห่งความอบอุ่นและแสงสว่างอันสุกสกาวจริงๆ

    ไงจ๊ะ … อ่านบทความนี้จบแล้วรู้สึกเมื่อยตาบ้างหรือเปล่า
    บริหารสายตาหน่อย
    กรอกตาซ้ายไปมา
    เสร็จแล้วก็หันมากรอกตาขวา
    หลังจากนั้นก็กรอกตาทั้งสองข้างพร้อมๆ กัน
    หากทำแล้วลูกตากระเด็นออกมานอกเบ้าแล้วล่ะก้อไม่ต้องมาหาฉันนะจ๊ะ
    ไปหาหมอเถอะ …


    </td></tr></tbody></table></td></tr><tr><td align="center" valign="top"><table border="0" cellpadding="2" cellspacing="2" width="95%"><tbody><tr><td class="A2" valign="top"> <table align="center" bgcolor="#f5f5f5" border="0" cellpadding="2" cellspacing="2"><tbody><tr><td>[​IMG]</td></tr><tr><td align="center">
    </td></tr></tbody></table>


    เรื่องนี้ตอนที่เกิดขึ้นที่ญี่ปุ่น ทำให้คนญี่ปุ่นรู้สึกประทับใจมานับไม่ถ้วนแล้ว
    ดังนั้นจึงมีคนพูดกันว่า
    " ใครที่อ่านเรื่องแล้ว ไม่มีใครเลยที่จะไม่หลั่งน้ำตาให้"

    ถึงแม้คำพูดนี้ออกจะเกินจริงไปบ้าง
    แต่ก็มีคนจำนวนมากที่ได้อ่านเรื่องนี้แล้ว รู้สึกประทับใจจริงๆ
    จนน้ำตาร่วง และน้ำตาที่ร่วงรินเหล่านั้น
    มันไม่ใช่น้ำตาจากความรันทดใจ
    แต่เป็นน้ำตาที่หลั่งให้แก่ความประทับใจต่อความห่วงใยอย่างจริงใจ
    และน้ำใจไมตรีอันกว้างขวางที่มอบให้แก่เพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ....



    จาก Forward mail
    </td></tr></tbody></table></td></tr></tbody></table>
     
  2. rasetsacrifa

    rasetsacrifa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    263
    ค่าพลัง:
    +127
    เรื่องนี้เคยอ่านเมื่อนาน....จนลืมไปแล้วครับ ขอบคุณที่นำมาลง จะได้มีเรื่องเล่าสู่กันฟังเพิ่มอีกหนึ่งเรื่อง
     
  3. สายชล 127

    สายชล 127 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มกราคม 2010
    โพสต์:
    139
    ค่าพลัง:
    +105
    ขอบคุณสำหรับเรื่องเล่าที่ดีมากๆๆที่สุดเรื่องหนึ่งนะคะ อ่านแล้วมีกำลังใจในการใช้ชีวิตอยู่



    ร่วมกับเพื่อนมนุษย์อย่างมีมิตรไมตรีที่ดีต่อกันมากๆเลยค่ะ .......:cool:



    " เพราะเราไม่ได้เกิดมาอย่างโดดเดี่ยว....บนโลกใบนี้ "


    ป.ล. เรื่องนี้ซึ้งจนทำให้น้ำตาร่วงไปหลายรอบเลยค่ะ........:'( :'( :'(
     

แชร์หน้านี้

Loading...