ขอเชิญร่วมทำบุญสงเคราะห์พระภิกษุสงฆ์อาพาธ

ในห้อง 'ตลาด พระเครื่องเพื่อการกุศล' ตั้งกระทู้โดย พันวฤทธิ์, 29 พฤศจิกายน 2007.

  1. ไชยชุมพล

    ไชยชุมพล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    246
    ค่าพลัง:
    +1,873
    วันนี้ประมาณเก้าโมงครึ่ง

    คุณแม่ได้โอนเงินร่วมทำบุญกับทุนนิธิ ฯ ประจำเดือนนี้จำนวน ๕๐๐ บาท เป็นที่เรียบร้อยแล้วครับ
     
  2. ชิน9

    ชิน9 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    46
    ค่าพลัง:
    +247
    สวัสดีครับทุกท่าน ผมได้โอนเงินบริจาคจำนวน 2,000.-บาท

    6/08/2010 12:18:51 น.โอนผ่าน tmb internetbanking


    ด้วยบุญอุทิศนี้ให้อาม่า,ป๋า,แม่,อาโกว,ชิน9,น้องๆ,หลานๆ,เพื่อนๆ,บริวารทุกคน,ผู้มีพระคุณทุกท่าน,ครู,อาจารย์,คนไทยทุกคน,ลูกค้าทุกคน,ผู้เช่าบ้านและร้านของชิน9

    ขอเชิญเพื่อนๆพี่ๆน้องๆมาร่วมอนุโมทนาบุญด้วยกันนะครับ<!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end -->
     
  3. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,097
    ต้องขอขอบคุณหลายๆ ท่านข้างต้นที่ได้ร่วมบริจาคปัจจัยผ่านทุนนิธิฯ มาด้วยครับ หากตกหล่นรายชื่อใด ต้องขออภัยเป็นอย่างสูง แต่รับรองได้ว่าปัจจัยที่บริจาคมา นำไปใช้เพื่อช่วยสงฆ์อาพาธแน่นอน นี่ก็รอรูปจาก รพ.ศรีนครินทร์ จ.ขอนแก่น ที่จะส่งรูปการบริจาคเครื่องดันอาหาร และเครื่องดูดเสมหะส่งมาที่ทุนนิธิฯ ได้บริจาคให้พระสงฆ์อาพาธที่จำเป็นต้องใช้เครื่องนี้ในการบำบัดรักษามาให้โมทนาบุญกัน ส่วนทาง รพ.สมเด็จพระยุพราช (ปัว) จ.น่าน ก็จะส่งรูปงานศพของพระภิกษุวรกิจ ที่เป็นพระธุดงค์และเป็นพระสงฆ์ทุนนิธิฯ ได้เคยให้การช่วยเหลือในเรื่องค่ารักษาพยาบาลไว้ แต่แพทย์รักษาท่านไม่สำเร็จ ถึงแก่กาลมรณภาพไปเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งกติกาของทุนนิธิฯ ก็คือ จะช่วยเหลือค่าโลงศพ และจัดผ้าไตรทอดหน้าศพในนามทุนนิธิฯ ให้ 1 ผืน โดย จนท.พยาบาลของ รพ.สมเด็จฯ ได้เดินทางไปในงานศพและจะได้ส่งรูปมาให้ได้โมทนาบุญเช่นกันครับ

    ขอขอบคุณอีกครั้งสำหรับผู้ที่ได้มีส่วนร่วมในการบริจาคปัจจัยเข้ามาที่ทุนนิธิฯ ครับ

    พันวฤทธิ์
    9/8/53

    [​IMG]




     
  4. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,097
    ลืมไปอีกคนนึงจริงๆ ด้วยครับ คุณ nongnooo นั่นเอง ขออนุโมทนา และสาธุบุญด้วยจริงๆ ครับ

    [​IMG]


     
  5. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,097
    <div class="postbody">จาก "ขวานฟ้าหลวงปู่หลุย" สู่ "ขวานฟ้าหลวงปู่ชอบ" สองพระคู่แผ่นดินเมืองเลย

    โดยรณธรรม ธาราพันธุ์


    "ขวาน ฟ้า" ไม่ใช่ชื่อหนัง ชี่อละครที่เคยโด่งดังจนเกี่ยวก้อยแม่บ้านและลูกเล็กเด็กแดงให้คอยเฝ้าอยู ที่หน้าจอทีวี แต่ขวานฟ้าที่ว่านี้เป็นโลหะธาตุชนิคหนึ่ง ที่มีความเป็นมาแปลกประหลาดจนอยากจะกล่าวว่า "มหัศจรรย์" ก็คงจะไม่เกินไปนัก

    <!--แนบไฟล์:
    --> [​IMG]
    <!-- 30042008000934.jpg [ 29.13 KiB | เปิดดู 1074 ครั้ง ] -->



    สมัยที่หลวงปู่หลุย จันทสาโร ยังดำรงขันธ์อยู่นั้น เป็นสมัยที่ผมกำลัง "ฟีเวอร์" ในพระสายท่านพระอาจารย์มั่นเป็นที่สุด ปักหลักฝากตัวเป็นศิษย์ท่านเหล่านั้นแทบทุกองค์ ถ้าจะพูดว่าองค์ใดที่ไม่เคยรับพานดอกไม้ ธูป เทียนเพื่อกราบถวายตัวเป็นศิษย์นั้น "ไม่มี" ผมก็อยากจะพูด หากจะไม่เป็นการคุยที่เกินจริง

    แต่อนิจจา อนิจจัง การกราบเหล่านั้นจะมีผลอะไรเล่า ในเมื่อผมแทบจะไม่ได้ปฏิบัติตามคำสอนของท่านทุกคำเลย "ทาน" ก็นานๆ ทำที "ศีล" ก็เว้าๆ แหว่งๆ "ภาวนา" ก็โผเผพ่ายแพ้กับแรงดึงดูดของเสื่อและหมอนอยู่เบ็่นนิตย์ นอนจนเสื่อขาดหมอนแตกว่างั้นเถอะ

    แล้วจะเอาอะไรมาคุยว่าเป็น "ศิษย์" ล่ะ

    โอ๋ รู้สึกจะโม้ผิดที่เสียแล้ว

    ทว่า ที่ไม่โม้ก็มี ไม่ว่าผมจะไปกราบองค์ไหนองค์นั้นผมต้องขอวัตถุมงคลได้ล่ะน่า ขนาดองค์ที่ว่าไม่มี ไม่ทำ ผมก็ยังถูไถจนท่านต้องมีให้ องค์ไหนที่มีอยู่แล้วผมก็ต้องสืบเสาะว่าอะไรที่เลิศที่สุดของท่าน

    หลวงปู่หลุย ก็ไม่เว้นถูกผมไถ เมื่อผมสืบมาได้ว่าวัตถุมงคลที่ท่านให้ความสำคัญสุดยอดคือ “เหรียญขวานฟ้า”

    ฟัง ชื่อทีแรกผมไพล่นึกไปถึงหนังเรื่อง "สตาร์วอร์" เพราะชื่อเหรียญฟังแล้วออกจะ "บึ้มบะละฮึ่ม" อยู่ไม่น้อย แต่ผมรอบคอบอยู่เสมอแหละ ก่อนไถผมก็ถามว่า "อะไร" คือเหรียญขวานฟ้า ท่านอาจารย์ไสวพระอุปัฏฐากก็กรุณาเล่าให้ฟังว่า

    "ขวานฟ้า" นั้นเป็นชื่อของแร่ชนิดหนึ่งที่มีความศักดิ์สิทธิ์มีอิทธิฤทธิ์อยู่ในตัว หากเหล็กไหลจะเป็นของกันมีด กันปืน กันภัยได้จริง ขวานฟ้าก็เป็น เหล็กไหลพบในถ้ำลึก แต่ขวานฟ้าฟ้าจะพบบนภูเขาสูง หรือไม่ก็แผ่นดินที่สูงๆ อันคนไม่ค่อยจะเข้าไปรุ่มร่ามวุ่นวาย วิธีการเสาะหาก็แสนง่าย

    หลวง ปู่หลุยเล่าว่า ต้องสังเกตฟ้าผ่า หากผ่าลงกับพื้นดินตรงไหน ท่านก็จะเดินไปดู(ขอแทรกว่าขณะนั้นท่านกำลังธุดงค์) เมื่อเดินไปถึงก็จะสำรวจจุดที่ฟ้าลง ซึ่งก็ดูไม่ยากเพราะหลุมค่อนข้างลึก และที่ก้นหลุมนั่นเองจะปรากฏแร่ชนิดหนึ่งที่มีรูปร่างลักษณะคล้ายกับขวาน และนั่นคือที่มาของคำว่า “ขวานฟ้า”

    นี่เป็นคำบอกเล่าของพระผู้หลุดพ้น

    แต่ นิทานของชาวบ้านชาวไร่ผู้ไม่หลุดพ้น ยืนยันว่าเป็นเรื่องของเทวดานาม "รามสูร" ซึ่งโมหาโกรธากับแสงแก้วมณีที่แลบแปล๊บๆ อยู่ไม่หยุดหย่อนของเทพธิดา "เมขลา" ก็เพราะรามสูรไม่รู้จักแว่นเรย์แบนกระมังเรื่องมันจึงเกิด ผู้ชายที่เป็นยักษ์จึงรังแกผู้หญิงเทวดาด้วยการขว้างขวานใส่แบบไม่กลัวเสีย ศักดิ์ศรี ขว้างทีฟ้าก็ลั่นที พอขว้างผิดขวานก็เลยหล่นลงมาพร้อมกับสายฟ้าแลบเปรี้ยงๆ เขาว่าไปดูเถอะ รับรองว่าตรงนั้นเป็นต้องเจอขวานรามสูร ไม่ใช่ขวานรามซิงค์

    ก็จริงของชาวบ้านไร่ ในเมื่อพบจริงๆ

    แต่จะเชื่อที่มาของหลวงปู่หลุยหรือของชาวบ้านป่าก็สุดแต่ใจเถิด

    สำหรับผมไม่สนนิทานคิดจะฟาดฟันแต่เหรียญ เลยขยับเข้าไปถามว่าแล้วหลวงปู่เก็บมาหรือไม่อย่างไร ท่านว่า

    “ก็เก็บเอามาน่ะสิ”

    ท่าน เก็บได้บ่อยๆ พบเจอหลายหน เมื่อเลิกธุดงค์ก็มีศิษย์ผู้หูดีตาถึงอยากทำเหรียญ ท่านก็อนุญาตให้ทำ พร้อมกับมอบแร่ขวานฟ้าให้ไปสร้าง โดยรุ่นแรกนั้นใช้เนื้อขวานฟ้าล้วนๆ ไม่ผสมอะไรเลย ดีนอกดีในอย่างแท้จริง

    รูปภาพของเหรียญผมหามาให้ดูไม่ ได้โปรดเห็นใจเถิดครับ เพราะของมีน้อยและจะได้ครอบครองยากที่สุดในโลก ทำไมยาก ? ก็เพราะคนที่จะอนุมัติให้เหรียญนี้ได้ คือ หลวงปู่องค์เดียวเท่านั้น เหตุที่ท่านต้องการป้องกันความวุ่นวาย ท่านจึงนำเหรียญขวานฟ้าไปมอบให้คุณหมอโรจน์ สุวรรณสุทธิ ศิษย์ผู้ใกล้ชิดที่สุดคนหนึ่งเป็นผู้เก็บรักษา ไม่ว่าใครก็ตามที่อยากจะได้เหรียญ ต้องไปกราบเรียนให้ท่านรับทราบเสียก่อน แล้วคนๆ นั้น จะถูก ม้างกาย ม้างจิต หรือดูวาระจิตทันที

    เพื่อ วัดคุณธรรมความดีว่าเหมาะสมกับเหรียญอันทรงคุณค่านี้หรือไม่ หากใครคนนั้นมีคุณธรรมสูงพอจะรองรับเหรียญสุดศักดิ์สิทธิ์นี้ ท่านก็จะลงมือเขียนจดหมายขึ้นฉบับหนึ่งแล้วมอบให้กับผู้ที่ไปขอ เพื่อใช้เป็นใบเบิกทางในการไปรับเหรียญที่คุณหมอโรจน์ได้ตามจำนวนที่ท่าน ระบุไว้ในจดหมายของท่าน

    ยากดีไหม ?

    เจอระบบจ่ายพระแบบนี้ ผมก็มึนๆ ไปเหมือนกัน

    ครูบาอาจารย์องค์ไหนจะนำไปใช้บ้างก็เข้าทีนะครับ ผมว่าเป็นการวัดใจลูกศิษย์ด้วยว่าอยากได้จริงหรือไม่ มีความพยายามแค่ไหน

    แต่ไม่ใช่ทุกคนที่เข้าไปขอหลวงปู่แล้วจะได้ ที่ไม่ได้ก็มีและมีเยอะเสียด้วย

    หนุ่ม น้อยคนหนึ่งอยากได้เหรียญขวานฟ้านี้มาก ลงทุนไปอ้อนวอนหลวงปู่ทุกอาทิตย์ที่ไปทำบุญ ท่านก็บ่ายเบี่ยงมาตลอด ครั้งหนึ่งถึงกับออกปากว่า

    “เดี๋ยวนี้คนหากันมาก วันนั้นลูกศิษย์เราคนหนึ่งเช่ามาราคาสูงถึง 6 หมื่นบาทเชียวนะ”

    เล่น เอาคนฟังน้ำลายสอ ยิ่งเจ้าคนที่กำลังอยากนั้นคงไม่ต้องพูดถึง ถ้าปากเป็นสายยางน้ำลายคงฉีดไปถูกหูใครต่อใครเข้ามั่ง ท่านเล่าแล้วก็ไม่ให้ เข้าทำนองหลอกให้อยากแล้วจากไป

    หนุ่มน้อยคนนั้นก็ใจเด็ด ไม่ให้ก็ไม่ถอยเพียรขออยู่นั่น วันนี้ไม่ได้วันหน้าก็คงจะได้ มาอีกทีคราวนี้ฉลาดเข้าทางพระอุปัฏฐาก ขอให้ท่านช่วยวิงวอน พระอุปัฏฐากท่านก็ดีเหลือหลายบอกว่าให้รอคนกลับหมด เดี๋ยวค่อยขึ้นไปขอกับท่านตัวต่อตัวบนกุฏิ

    อุ๋ย อย่างนี้ก็หวานน่ะซี...

    พอ หลวงปู่ ‘รับต้อน’ แขก ตามสำนวนของท่านเสร็จสรรพ พระอุปัฏฐากก็พยุงหลวงปู่ขึ้นพักพลางพยักเพยิดเป็นซิก ให้เข้าไปช่วยประคองท่านเข้าไปในห้องพัก หนุ่มคนนั้นชวนน้องชายเข้าไปด้วยเพื่อหวังจะให้ช่วยกันอ้อน พอหลวงปู่นั่งลงบนเตียงเสร็จท่านก็กล่าวขอบใจ พร้อมกับโบกมือเป็นสัญญาณว่า ‘เรียบร้อยแล้ว กลับได้’

    หนุ่มนั้นก็อ้อนทันที บอกว่าอยากได้เหรียญขวานฟ้าเหลือเกิน พระอุปัฏฐากท่านก็ช่วย

    “นะครับหลวงปู่ ให้เขาเถอะ เขามาทำบุญทุกอาทิตย์เลย”

    ท่านหยุดนิ่งทันที พลางเพ่งมองหนุ่มน้อยหน้ามนคนนั้นตาไม่กระพริบ ชั่วหายใจเข้าออกสักสองที ท่านก็พูดเย็นๆ ขึ้นมาว่า

    “ให้ไม่ได้หรอก คนไม่รู้จักพอ ให้เท่าไรก็ไม่พอ”

    โอ๊ย โหย๋ สองหนุ่มสะดุ้งเฮือกคล้ายถูกแมลงป่องต่อยก้นกบ ตะลีตะลานกราบลาหนีจากกุฏิแบบหน้าชาๆ ร้อนๆ ผะผ่าว ละอายเหลือเกินที่ท่านเห็นตับไตไส้พุงจนหมด

    เชื่อไหมครับว่า หนุ่มน้อยคนนั้นอายอยู่จนทุกวันนี้ที่นึกถึง

    แม้กระทั่งขณะที่เขียนอยู่นี้ ก็ยังอายอยู่เลย

    ครั้ง เหรียญขวานฟ้ารุ่นแรกหมดลง แต่คนที่ต้องการยังไม่หมด มีแต่จำนวนจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ท่านก็มีบัญชาให้สร้างรุ่นสองและสามตามกันมา เท่าที่ผมเคยเห็นผ่านตามานั้น ทั้งสามรุ่นเป็นรูปท่านครึ่งองค์หมด

    <!--แนบไฟล์:
    --> [​IMG]
    <!-- img059.jpg [ 247.42 KiB | เปิดดู 1075 ครั้ง ] -->



    สำหรับรุ่นแรกเนื้อหามวลสารแปลกมาก สีดำอมเขียวเป็นมันสวยซึ้งอย่างบอกไม่ถูก ส่วนรุ่นสองและสามไม่ใช่เนื้อขวานฟ้าล้วน เพราะเชื้อชนวนเหลือน้อยแล้ว จึงจำต้องผสมทองแดงลงไปเพื่อเอาปริมาณ กับรุ่นสี่ที่เห็นอยู่นี้เป็นรุ่นสุดท้ายก่อนท่านมรณภาพไม่นาน มีเชื้อชนวนผสมอยู่ไม่มาก แต่การอธิษฐานจิตปลุกเสก ท่านทำเต็มที่ดังเช่นเคยทำทุกครั้ง

    ผมเคยขอให้ท่านอธิษฐานเหรียญและตะกรุดโทนดอกเล็กๆ ให้ ท่านถามผมว่า

    “จะเอาเมื่อไหร่”

    “เอาเดี๋ยวนี้ครับ”

    ก็ เห็นท่านเป็นพระอริยเจ้าผู้ทรงคุณธรรมอันล้ำเลิศ คงไม่ต้องอธิษฐานนานหรอกน่าดูหลวงปู่แหวนสิ 5 นาที 10 นาทีเอง แต่คำตอบที่ทำให้ผมตะลึงก็คือ

    “เอาไว้สัก 2 -3 วันก่อนสิค่อยมาเอา หลวงปู่จะทำให้ดีๆ ทำไม่ดีเดี๋ยวคนอื่นเอาไปใช้ถูกลูกปืนจะเป็นอะไรไป"

    โอ้ ท่านเป็นพระที่ประเสริฐแท้จริงหนอ ท่านไม่สุกเอาเผากินแต่อย่างใดเลย ท่านรับผิดชอบในชีวิตของใครก็ตามที่มีศรัทธาในท่านจนยอมแขวนพระของท่านคุ้ม เนื้อคุ้มตัว

    แลท่านก็ไม่เคยทำให้ใครเล่านั้นต้องผิดหวังเลย

    เพราะ เมื่อผมเอาตะกรุดเนื้อเงินและเนื้อทองแดงแจกจ่ายไม่นาน ก็ได้ยินประสบการณ์จากปากของครูผู้สอนผมในวิทยาลัยว่า พี่ชายของคุณครูท่านนั้นเป็นตำรวจตระเวนชายแดน เผอิญในปี พ.ศ. 2531 นั้นตามแนวชายแดนมีเรื่องไม่สงบเกิดขึ้น พี่ชายจำต้องออกไปประจำการ ความเป็นห่วงเลยนำตะกรุดเงินดอกเล็กเลี่ยมพลาสติกไปให้แขวน ข้างพี่ชายก็ไม่ใช่คนเชื่อพระอะไรนัก แต่ไม่อยากปฏิเสธความปรารถนาดีของน้องสาวเลยนำติดกระเป๋าเสื้อไป ไปแล้วไม่นานก็กลับมาพร้อมกับผองเพื่อนชาวตำรวจ เล่าอย่างตื่นเต้นถึงขีดว่า ตนโดนยิงเข้ากลางหลังหลายนัด แต่ไม่มีกระสุนนัดไหนได้ดื่มเลือดเขาเลย เพื่อนๆ ที่เห็นเหตุการณ์ต่างก็อยากได้กันมากจึงพากันมาขอ ครูผมเลยบอกว่า หมดแล้ว...เอามาแค่สองดอก อีกดอกแขวนอยู่ที่คอตัวเอง ก็เลยต้องมาเอาที่ผมอีกจึงได้มาเล่าให้ฟัง ผมก็เต็มใจให้ไปอีกเท่าจำนวนคนที่ต้องการ

    เสียดายที่ผมไม่คาดคิดว่าจะได้มาเขียนเรื่องนี้ มิฉะนั้นคงขอถ่ายรูปและซักไซ้ชื่อเสียงเรียงนามกันถ้วนหน้าแน่

    <!--แนบไฟล์:
    --> [​IMG]
    <!-- lpllpc.jpg [ 28.35 KiB | เปิดดู 1074 ครั้ง ] -->



    มาว่าถึงเหรียญขวานฟ้าต่อเมื่อหลวงปู่หลุยมรณภาพ แร่ขวานฟ้าที่เหลือก็ยังคงอยู่ไม่ได้ใช้ทำอะไรขึ้นมาอีก จนศิษย์ชาวชะอำของหลวงปู่หลุยเกิดความคิดดีๆ ขึ้นมาว่า แม้จะสิ้นหลวงปู่หลุยไปแล้วก็ตามแต่เราก็ยังเหลือหลวงปู่ชอบอยู่นี่นา ทำไมไม่ทำเหรียญขวานฟ้าของหลวงปู่ชอบมั่งล่ะ ดำริแล้วก็ทำเลย

    ไปขอ อนุญาตหลวงปู่ชอบแล้วก็ลงมือผสมเนื้อ ปั๊มพระเพื่อให้ทันเข้าพิธีในงานบุญฉลองอายุครบ 92 ปี ของหลวงปู่ในวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2536 ซึ่งในวันนั้นมีพระเถระไปร่วมงานมากมาย จัดพิธีพุทธาภิเษกยิ่งใหญ่สมกับที่ท่านเป็น เพชรบนยอดมงกุฏแห่งจังหวัดเลย นับว่าเหรียญนี้มีคุณค่าน่าเก็บเป็นที่สุด

    ด้าน หลังเหรียญที่มีอักษร ‘ง..ง..ง..’ นั้น ท่านเจ้าอาวาสวัดหินหมากเป้งองค์ปัจจุบันบอกกับผมว่า หมายถึง ‘ เงิน เงิน เงิน’ เอ๊ะ! เข้าท่าดีแฮะ ใครมีคงจะ รวย รวย รวย

    แต่เพื่อนผมมันปากเสียบอกว่าใครแขวนคงจะ ‘งง งง งง’ ก็คงมีแต่มันนั่นแหละ คนอื่นใครเขาจะไปงง

    น่า สังเกตอยู่ประการหนึ่งว่าเมื่อหลวงปู่หลุยอธิษฐานเหรียญขวานฟ้ารุ่นสุดท้าย แล้วท่านก็มรณภาพภายใน 1 ปี ซึ่งเมื่อหลวงปู่ชอบอธิษฐานจิตเหรียญขวานฟ้าแล้วหลังจากนั้น 1 ปี ท่านก็มรณภาพเช่นกัน

    ผมทราบมาว่าหลวงปู่ศรีจันทร์ วณฺณาโภ วัดเลยหลง อ.เมือง จ.เลย ท่านก็ทำเหรียญขวานฟ้าอยู่รุ่นหนึ่งเหมือนกัน เข้าใจว่าคงจะเหมือนกับหลวงปู่ทั้งสององค์นั่นแหละครับ

    ใครอยากได้ก็ ขวนขวายหาเอาหน่อย เชื่อว่าไม่ยากเกินความพยายาม เพราะขวานฟ้าของหลวงปู่ศรีจันทร์และหลวงปู่ชอบยังไม่ใช่ของเก่า แต่สำหรับของหลวงปู่หลุยใครที่อยากได้กรุณาทำใจด้วย

    จากนิตยสารศักดิ์สิทธิ์ ฉบับที่ 323 วันที่ 16 มิถุนายน 2539

    หน้าแรก
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 สิงหาคม 2010
  6. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,097
    อัฐิธาตุ ครูบาจารณะ แปรเป็นแก้ว พระอริยสงฆ์แห่งลานนาที่โลกเกือบลืม


    <center>[​IMG]</center>

    อัฐิธาตุครูบาเจ้าจารณะ
    แปรเป็นแก้ว พระอริยสงฆ์แห่งลานนาที่โลกเกือบลืม
    มรณะภาพก่อนครูบาเจ้าศรีวิชัย
    พระ เถราจารย์ที่ทั้งทรงอิทธิิฤทธิ์และบุญฤทธิ์
    นำภาพมาแสดงไว้เพื่อให้ชาว โลกไม่ลืมท่าน
    (จากอาศรมพรหมธาดาพุทธาสถาน อ.จอมทอง จ.เชียงใหม่)

    http://forums.212cafe.com/buddharelics/board-1/topic-29.html

     
  7. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,097
    [SIZE=-1]

    <center>[​IMG]</center>

    [/SIZE]
    พ่อสอนลูก
    [SIZE=-1]
    <center>๑. ขอลูกรักจงรักษากายไว้ด้วยดี
    อย่าเอากายไปฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม
    และจงรักษาวาจาไว้ให้ดี อย่าพูดปดมดเท็จที่ไม่ตรงความจริง
    อย่าพูดคำหยาบหรือด่าคนอื่น อย่าใช้วาจาเป็นเครื่องทำลายความสามัคคี
    คือ ยุให้คนแตกร้าวกัน อย่าใช้วาจาเหลวไหลไร้ประโยชน์


    ด้านใจจงรักษาใจไว้ด้วยดี
    คือ ไม่อยากได้ของๆใครที่เขาไม่เต็มใจให้
    ไม่โกรธแค้นอาฆาต พยาบาทใคร
    ไม่เมาใจจนเห็นผิด คิดว่าตัวเป็นคนประเสริฐ


    อารมณ์เท่านี้เป็นพื้นฐานที่จะให้เข้าถึงพระนิพพาน
    เมื่อรักษากายใจได้ดังนี้แล้ว ต่อไปใจจะสะอาดขึ้นทีละน้อย
    จนไม่ต้องระวังทั้งกาย วาจา ใจ จะทรงไว้แต่ความดีอย่างเดียว
    ในที่สุดก็ถึงนิพพาน


    ๒. ลูกรักทั้งหลาย จงจำไว้ว่าท่านกับเรามีสภาวะเหมือนกัน คือ
    มีความเกิดขึ้นในเบื้องต้น
    มีความเปลี่ยนไปในท่ามกลาง
    และก็มีการสลายตัวไปในที่สุด


    ท่านกับเราก็เสมอกัน เสมอกันโดยไตรลักษณ์ คือ
    อนิจจังหาความเที่ยงไม่ได้
    ทุกขัง เมื่อมีความเป็นอยู่ต้องทำมาหากินทางอาชีพ ทำการงานเลี้ยงชีพ
    สุขบ้างทุกข์บ้าง ไปตามสภาพของคนที่มีชีวิต
    ในที่สุดชีวิตก็สลายตัวไป


    จงจำไว้อย่ายึดมั่นถือมั่นในร่างกายจนเกินไป
    อย่ายึดถือในทรัพย์สินมากเกินไป

    จงจำไว้ว่า เราจะต้องตาย
    ถ้าเรายังไม่ดีพอ ตายแล้วเราก็ต้องเกิดอีก เกิดแล้วเราก็มีทุกข์
    เกิดเป็นคนมีทุกข์อย่างคน เกิดเป็นสัตว์มีทุกข์อย่างสัตว์
    เกิดเป็นอสุรกายเป็นทุกข์อย่างอสุรกาย เกิดเป็นเปรตเป็นทุกข์อย่างเปรต
    เกิดเป็นสัตว์นรกเป็นทุกข์อย่างสัตว์นรก


    เกิดเป็นเทวดาสุขอย่างเทวดา เกิดเป็นพรหมสุขอย่างพรหม
    แต่สุขไม่นาน ผลที่สุดก็ละความสุขนั้นมาหาความทุกข์
    สู้ไปพระนิพพานไม่ได้ นิพพานมีความสุขที่เป็นเอกันตบรมสุข
    เป็นความสุขที่ยอดเยี่ยม
    </center>

    <center>[​IMG]</center>

    [/SIZE]
    [SIZE=-1]ธรรมโอวาทเพื่อพระนิพพาน หลวงพ่อพระราชพรหมยาน[/SIZE]​
     
  8. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,097
    ก่อนจะถึงวันแม่ วางแผนว่าจะตอบแทนพระคุณแม่ไว้ยังไงบ้างล่ะเล่าสู่กันฟังบ้างก็จะดี วันนี้แม่ยังอยู่ก็กราบท่าน วันไหนแม่ไม่อยู่แล้ว เหงาะน๊ะ เก็บตกจากเวบหนึ่ง....เอามาลงไว้ล่วงหน้า วันแม่ก็ต้องไปหาแม่ ทำภารกิจตอบแทนพระคุณให้เสร็จสิ้นแล้วค่อยไปที่อื่น วันแม่ที่จะมาถึง แม่..อาจจะเฝ้ารอเราอยู่น๊ะ

    "หนูอาจไม่ใช่ลูกที่ดีที่สุดของแม่
    หนูอาจจะทำอะไรหลายๆอย่างให้แม่ไม่สบายใจ
    หนูอาจจะดื้อ หัวแข็งจนแม่หน่าย
    ...แต่แม่ก็ยังรักและให้อภัยหนูอยู่ดี...
    หนูรักแม่นะ ไม่ว่าจะวันไหนๆ
    หนูจะพยายามทำให้แม่ภูมิใจในตัวหนู
    วันนี้...แม่อาจเสียน้ำตาเพราะความไม่ดีของหนู
    แต่วันหน้า...หนูสัญญาว่าจะทำให้แม่เสียน้ำตาด้วยความดีใจ
    ...ดีใจที่ได้มีลูกอย่างหนู...
    ขอบคุณสำหรับความรักและการอภัยทุกอย่างจากแม่
    ไม่ว่าจะปีไหนๆชาติไหนๆ
    ขอให้หนูได้เป็นลูกที่ได้บอกรักและตอบแทนคุณแม่ตลอดไปนะคะ

    ไปกอดแม่ดีกว่า ^ ^
    "


    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=k5JzMirgVGE"]YouTube - ‪MV♫ แม่ของเรา / My mother (Eng subs) - พั้นช์‬‎[/ame]​
     
  9. benyapa

    benyapa ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    1,088
    ค่าพลัง:
    +5,431
    มีเรื่องอยากเล่าสู่กันฟังนะคะ หลังจากที่พยายามผลักดันให้แม่เข้าสู่ทางธรรม เมื่อวานแม่ได้ไปนั่งภาวนากับครูที่สอนที่ปูแนะนำ เกือบ 2 ชม. ค่ะ และยังเล่าสภาวะธรรมให้ฟังด้วย โห ฟังแล้วตัวเองยังอึ้งเลยค่ะ เพราะถือว่าเป็นการนั่งสมาธิครั้งแรกในชีวิตของแม่ปูเลยนะคะ ปูถือว่าเป็นของขวัญที่ปูมอบให้แม่ปูในวันแม่นะคะ สาธุค่ะ

    รักแม่จัง

    (เคยบอกแม่ไว้ค่ะว่า ปูเป็นกัลยาณมิตรของแม่นะจ้า...:) )

    ขออวยพรให้คุณแม่ของทุก ๆ ท่านมีดวงเห็นธรรมะของพระพุทธองค์ทุก ๆ ท่านนะคะ
     
  10. นายสติ

    นายสติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    910
    ค่าพลัง:
    +4,284
    [​IMG]



    [​IMG]



    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 สิงหาคม 2010
  11. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,097
    [​IMG]




    เราพร่ำสอนลูกทุกคนเสมอให้กระทำกตเวทิตาแก่พระในบ้านให้มากๆ เราเตือนลูกทุกคนให้หยุดแสวงหาพระดีอาจารย์ขลังนอกบ้านเพราะพระที่ ศักดิ์สิทธิ์ที่สุด สูงที่สุดมีพรอันเป็นมงคลที่ประสาทครั้งใด ก็นำความสำเร็จสมปรารถนาอย่างมั่นคงให้ลูกทุกคนโดยมิได้หวังลาภสักการะ สินจ้าง รางวัล จากผู้บูชาคือลูกเลย ใจของพ่อใจของแม่มีแต่ตั้งความหวังให้ลูกมีความสุขความสำเร็จในการดำเนิน ชีวิต

    วันนี้เราขอนำตัวอย่างผู้บูชาพ่อบูชาแม่แล้วประสบความเจริญรุ่งเรืองไม่เคย พบอุปสรรคในการดำเนินชีวิต ประกอบอาชีพด้วยตัวคนเดียวพลัดบ้านพลัดเมืองไปอยู่ต่างแดน แต่ได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นประสบพบสังคมที่ดีมีหมู่มิตรให้การสนับสนุน ช่วยเหลือ

    เมื่อประมาณ ๖ ปีที่แล้ว เรามีโอกาสพบเด็กหนุ่มคนหนึ่งจบการศึกษาปริญญาตรีเอกบรรณรักษ์ เป็นเด็กที่มีอัธยาศัยดีเป็นที่รักของผู้ร่วมงาน หนุ่มนายนี้มีครอบครัวเป็นหลักฐาน ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน จนได้เลื่อนขั้นเป็นหน้าห้องของปลัดกระทรวง มีนิสัยขยันหาขยันเก็บ วันหยุดก็จะไปเปิดท้ายรถขายของ วันหนึ่งเบื่อชีวิตข้าราชการต้องการทำงานอิสระเพราะชอบค้าขายเป็นทุนเดิม อยู่แล้ว พอดีมีผู้มาติดต่อให้ไปเป็นผู้จัดการร้านอาหารไทยที่ต่างประเทศ หนุ่มรายนี้ตัดสินใจลาออกจากราชการทันที

    ก่อนออกเดินทางเขาเข้าไปกราบแม่ขอให้แม่อวยพรให้ประสบความสำเร็จ เขาออกปากขอชายผ้าถุงแม่ไปเป็นวัตถุมงคลที่ระลึกแล้วฉีกชายผ้าของแม่ติดตัว ไป เขาทำหน้าที่ผู้จัดการร้านอาหารได้ปีเศษมีคนบอกขายกิจการร้านอาหารไทยให้ เขาตกลงซื้อทันทีด้วยความขยันวางแผนการจัดการเป็น เขาลงมือทำเองทุกอย่าง จ่ายวัตถุดิบเอง ปรุงอาหารเอง อบรมกิริยามารยาทพนักงานต้อนรับในร้านด้วยตนเอง เขาประสบความสำเร็จเพียงเวลา ๓ ปี เขาสามารถส่งเงินมาดูแลแม่ รักษาภรรยาที่ป่วยด้วยโรคร้าย ส่งเงินให้แม่ซื้อที่ดินพร้อมปลูกบ้านหลังงามที่เมืองไทยได้ ซื้อบ้านที่อเมริกาได้อีก ๑ หลัง ปัจจุบันภรรยาที่เมืองไทยเสียชีวิตด้วยโรคร้ายเขามีภรรยาใหม่ที่ต่างแดน อาชีพภรรยาก็มั่นคง เขาได้รับสิทธิ์เป็นคนอเมริกันอย่างง่ายดาย ไม่ต้องจ้างใครรับรอง ไม่ต้องอยู่อย่างหลบเลี่ยง จะคิดทำอะไรก็ประสบความสำเร็จ แม่ที่อยู่เมืองไทยก็มีความสุขจากการส่งเสียดูแลเป็นอย่างดีจากเขา

    เขาโทรหาเพื่อนสนิทมิตรสหายที่เมืองไทยเป็นประจำ เพื่อนทุกคนถามว่า เฮ้ย ... แกทำอะไรไว้วะ มีพระดีของดีอะไร เขาตอบว่าไม่มีเขาไม่เคยทำบุญหรือประกอบกองการกุศลใด เขาคิดถึงแต่แม่คนเดียวเพราะพ่อเสียไปนานแล้ว ทุกครั้งที่เขาจะลงมือกระทำสิ่งใดเขานึกถึงแต่แม่ขอให้แม่ช่วยผมด้วย เขาส่งเงินให้แม่ทุกเดือนแล้วแต่แม่จะใช้จ่ายอะไรขาดอะไรให้บอกได้ทันทีเขา ไม่เคยขัด แม่ผู้รับเงินแทนคุณจากลูกทำบุญตักบาตรสร้างกองการกุศลให้ลูกทุกวันและมักจะ โทรศัพท์ถึงลูกบอกลูกว่าแม่ทำบุญตักบาตรไหว้พระ อธิษฐานให้หนูเจริญรุ่งเรืองประสบความสำเร็่จ แม่อธิษฐานให้พรลูกทุกๆ วันเลยนะ ให้ลูกเจริญๆ ประสบความสำเร็จเป็นที่เมตตารักใคร่ของคนทั่วไปปราศจากอุปสรรคภยันตรายนะลูก

    เพื่อนๆ พี่ๆ ที่ฟังเรื่องราวจากปากหนุ่มนายนี้ต่างโจษจันยกย่องสรรเสริญหนุ่มผู้กตัญญู บูชาพระที่ถูกองค์คนนี้กันทั่วกรมศิลปากร อย่างนี้แหละที่เขาเรียกว่า "ตั้งดีพลีถูกองค์" จึงประสบความสำเร็จ

    ที่เรายกตัวอย่างเรื่องนี้ให้ฟังเพื่อเป็นเครื่องยืนยันว่า เทพเจ้าแห่งความสำเร็จของทุกคนอยู่ในบ้านเป็นมนุษย์เดินดินกินข้าวธรรมดานี่ เอง ไม่ใช่เทพเทวดาที่ล่องลอยอยู่บนฟ้าบนอากาศที่มองไม่เห็นตัวตน ลูกทั้งหลายที่ยังมีพระพ่อพระแม่อยู่ในบ้านรีบกระทำการบูชาท่านเสียแต่ วันนี้ด้วยอาหารกายอาหารใจ ให้ท่านสุขกายสบายใจด้วยการกระทำของตนแล้วสิ่งที่นึกไม่ถึงว่าจะสำเร็จอย่าง ง่ายดายจะบังเกิดขึ้นกับตนเอง

    สิ่งที่น่าคิดแม่ของหนุ่มรายนี้เป็นแม่ตัวอย่างที่ประเสริฐที่มีแต่พรออกจาก ปากแม่สู่ลูก ผิดกับแม่สลัมแม่ใจแตก แม่ที่ปากร้ายวันๆ เอาแต่ก่นด่าลูก ให้มันไปตายโหงตายห่า อ้ายลูกเหี้ย อ้ายลูกฉิบหายสร้างแต่ความเดือดร้อน ก็เพราะสังคมโลกยังมีแม่ที่ไร้การอบรมจริยาขาดความรักที่กลั่นออกจากใจสังคม จึงมีแต่ลูกติดยา ลูกอันธพาล ลูกฉกชิงวิ่งราว ลูกปล้นจี้ข่มขืน ท่านผู้อ่านแยกแยะ ผิดถูกชั่วดีเอาเองก็แล้วกันว่าจะเป็นแม่และลูกประเภทไหน

    ขอแถมหน่อย ชายผ้าถุงแม่ที่หนุ่มผู้บูชาดีพลีถูกแล้วประสบความสำเร็จนำไปนั้นเขานำไปถัก เป็นเปียแล้วสอดไว้ในปลอกหมอนที่ใช้หนุนนอนทุกวันและสิ่งที่หนุ่มนายนี้ ภูมิใจที่สุดคือ ตัวของเขาเป็นคนไทยที่มีลูกจ้างในร้านทั้งหมดเป็นฝรั่ง ผิดกับนักขุดทองต่างแดนหลายๆ คน ที่ต้องเป็นขี้ข้ารับใช้ฝรั่งแต่เขาเป็นนายฝรั่ง หนุ่มนายนี้ไม่เคยขาดทุนกับการค้าไม่ว่าหิมะจะถล่ม ฝนจะตกน้ำจะท่วม ร้านเขาขายดิบขายดีด้วยพรของเทพเจ้าแห่งความสำเร็จคือ "แม่" ที่ส่งพรถึงเขาทุกเมื่อเชื่อวัน ณ รัฐเคนตั้กกี้

    สิ่งหนึ่งที่หนุ่มคนนี้ทำไม่เคยขาดเลยตั้งแต่ทำงานได้เงินเดือนเป็นของตัว เอง เมื่อครบรอบวันเกิดเขาจะซื้อของขวัญไปกราบที่ตักแม่ พร้อมถามแม่ว่าแม่จำได้หรือเปล่าว่าวันนี้วันอะไร วันนี้เป็นวันที่แม่เจ็บปวดที่สุด ที่แม่ได้ให้ชีวิตนี้แก่ลูก


    สวัสดี โชคดีจริงนะพ่อคุณ

    ศิริพงศ์ ครุพันธ์กิจ
    ๑๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๓




    ෾มนต์นัทธ์
     
  12. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,097
    บทความที่ดีจากเวบข้างต้นสำหรับมนุษย์เงินเดือนเช่นผม และอีกหลายคน จำไว้ใช้ได้เลยไม่เสียหลายจริงๆ ที่ได้พบบทความนี้...


    ไม่เรียก อย่าขาน ไม่วาน อย่าทำ ไม่พร้อม อย่านำเสนอ อย่าฉลาดเกินนาย วันนั้นไม่ใช่วันนี้ และวันนี้ไม่ใช่วันนั้น น้ำขึ้นจงรีบตัก เมื่อโอกาสผลัก จงรีบดันตัวเอง ซื่อสัตย์สุจริต รับผิดชอบในหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด ก็มากเกินพอแล้ว ที่ทำงานแม้จะเป็นแหล่งทรัพย์สินเพื่อเลี้ยงตัว แต่ก็ไม่ใช่รังรักที่ยั่งยืน บ้านและครอบครัวต่างหากที่เป็นเรือนตายของเรา รอวันเกษียณอย่างมีความสุข ไม่ใช่สร้างทุกข์มันทุกวัน

    สวัสดี จากครูของเธอ (พิมพ์ติดทุกโต๊ะให้ทั่วกรม)

    ศิริพงศ์ ครุพันธ์กิจ
    ๑๗ มิถุนายน ๒๕๕๓

     
  13. BD

    BD เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    58
    ค่าพลัง:
    +419
    สมุนไพรโรคเก๊า เบาหวาน หลวงปู่เครา

    สมุนไพรโรคเก๊า เบาหวาน

    <TABLE width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center></TD><TD vAlign=center>สมุนไพรโรคเก๊า เบาหวาน
    « เมื่อ: ตุลาคม 12, 2009, 10:19:56 AM »

    </TD><TD style="FONT-SIZE: smaller" vAlign=bottom align=right height=20>[​IMG]อ้างถึง </TD></TR></TBODY></TABLE>

    <HR class=hrcolor width="100%" SIZE=1>[​IMG]ในตัวยาทั้งหมดมีดังนี้.....
    1.ใบชะพลู ๑ ส่วน, 2.หัวขมิ้นชัน ๑ ส่วน, 3.ผลสมอ ๑ ส่วน, 4.เหงือกปลาหมอ ๑ ส่วน (เอาทั้งต้น), 5.หัวกระชายดำ ๑ ส่วน, 6.หัวกระชายขาว ๑ ส่วน, 7.ผลมะขามป้อม ๑ ส่วน, 7.ผิวมะกรูด ๗ ส่วน, 8.ใบกะเพรา ๑ ส่วน, 9.ขิง๑/๒ ส่วน, และรำข้าวจ้าว ๙ ส่วน,
    มาตราส่วนผสม...... ใช้วิธีตวง
    (๑)-เท่ากับตัวยาที่บดละเอียดแล้ว 1 ตวง ของส่วนผสมทั้งหมด
    วิธีทำ.....
    ถ้าสมุนไพรต่างๆยังสดอยู่ นำไปอบหรือตากแดดให้แห้ง แล้วบดแต่ละชนิดให้ละเอียด แล้วจึงนำมาผสมให้เข้ากันตามมาตราส่วนที่กำหนดไว้ (สมัยนี้มีบางที่เขาบดไว้ขายแล้ว ให้สั่งซื้อตามต้องการตามมาตราส่วนนี้ โดยการใช้วิธีตวง แล้วจึงนำมาผสมกันในภายหลัง)
    วิธีใช้.....
    นำตัวยาที่ผสมกันแล้วกวนกับน้ำผึ้ง แล้วปั้นเป็นลูกกลอนเท่ากับเมล็ดพุทรา หรือเส้นผ่าศูนย์กลาง 8 มม. รับประทานครั้งละ 1-2 เม็ด หลังอาหาร 3 เวลา.....หรือถ้าไม่มีน้ำผึ้ง ก็ให้ชงกับน้ำอุ่นรับปะทานก็ได้.......
    ข้อควรระวัง.......
    โรคทั้งสองประเภทนี้จะมีเชื้อทำให้เลือดและน้ำเหลืองพิการ เมื่อเกิดบาดแผลหรือโรคแทรกซ้อนแล้วจะรักษาให้หายได้ยากมาก ควรระวังไม่ให้เกิดบาดแผลทั้งภายในและภายนอก และไม่ควรรับประทานอาหารที่ทำให้เชื้อโรคมีความแข็งแรงและกระจายตัวได้มากขึ้น
    สำหรับของแสลงนั้น......ให้ท่านสังเกตตัวของท่านเอง......ว่าเกิดความอยากในอาหารชนิดใดๆมากผิดปกติ......สิ่งนั้นแล.....คือของแสลงของโรคนี้...ไม่ควรรับประทาน.........
    [​IMG]การดูแลเพิ่มเติม....
    ควรผึ่งแดดอ่อนๆทุกเช้าเย็น, และเปลือยเท้าเดินบนยอดหญ้าที่มีน้ำค้างในเวลาเช้าบ้าง, ไม่ควรอดนอนและคิดมากเกินควร จุทำให้น้ำดีพิการ อันเป็นบ่อเกิดของสารพัดโรค, ควรสวดมนต์ภาวนาให้จิตใจสงบตามสมควรและรักษาศีลให้สม่ำเสมอ จะช่วยให้อาการดีขึ้นโดยเร็ว, การอาบน้ำไม่ควรใช้สบู่หลายครั้ง หรือใช้สารเคมีระงับเหงื่อไคล, เสพอาหารที่ไม่มีรสจัดเกินไป,
    ท่านที่เป็นโรคชนิดนี้......เมื่อเกิดบาดแผลแล้วจะรักษาได้หายยากมาก.....มะม่วงสุกทุกชนิดไม่ควรรับประทานเลย.....หากมีบาดแผล...ไม่ควรใช้ยาแผนปัจจุบัน.....จะทำให้แผลกำเริบมากขึ้น.....ยกเว้นยาป้องกันบาดทะยัก.....แผลสดให้ใช้ใบสาบเสือ หากถูกเขียวเล็บของสัตว์ขบกัด ให้ใช้ใบยอดฝรั่งกับเกลือทะเลหนึ่งเม็ด......ขยี้หรือโขลกให้แหลก แล้วนำมาปิดหรือพอกที่แผล จะช่วยให้แผลไม่กลายและหายเร็ว....ก็ถ้าแผลกลายแล้ว ให้ใช้กากใบชาที่ชงดื่มแล้ว ที่ยังเปียกอยู่ กะให้มากพอที่จะพอกไว้กับแผลได้สักสองสามครั้ง ใส่ในภาชนะ เช่นถ้วยดินเผาหรือชามกาไก่ แล้วคลุมด้วยผ้าขาว หมักไว้ในที่ร่มไม่ร้อนจัดสัก 5-6 วัน หรือจนเห็นว่ามีเชื้อราขึ้นเต็มแล้ว จึงนำมาพอกที่แผล แล้วพันไว้ด้วยผ้า ทิ้งไว้สักสองสามวันจึงเปิดดู จะเห็นแต่เนื้อแผลแดงๆ หนองและฝ้าจะหายไป ก็แสดงว่ายานี้ถูก กับโรค (หากมีอาการปวดแสบปวดร้อนหรือบวมให้เลิกใช้ แล้วล้างด้วยด่างทับทิม) ให้ใช้อีกสักสองสามครั้ง จึงใช้ซัลฟาผงผสมกับน้ำมันงาทารอบๆปากแผลไปเรื่อยๆ จนกระทั่งแผลหาย (เมื่อตกสะเก็ดจะมีอาการคันมาก ไม่ควรเกาหรือแกะสะเก็ดออก แผลจะกำเริบอีก) ให้ใช้ใบหนาดขยี้กับน้ำสะอาด แล้วนำมาทารอบๆแผล จะบรรเทาอาการคันนั้นได้
    อีกประการหนึ่ง....เมื่อเห็นว่าสุดวิสัย รักษาแบบไหนๆก็ไม่ดีขึ้น จงให้สุนัขเลียที่แผลของท่าน จะหายในเร็ววัน แล.......
    อนึ่ง......การป้องกันโรคเบาหวานไม่ให้เกิดนั้น......ควรรับประทาน “ข้าวหมาก” สักเดือนละหนึ่งถ้วย มันจะช่วยสลายน้ำตาลในเส้นเลือดให้น้อยลง ในวันที่รับประทานข้าวหมากนั้น ควรงดการถ่ายยา หรือยาปฏิชีวนะทุกชนิด.......
    เมื่อท่านใช้ยาขานนี้แล้ว มีอาการดีขึ้น โปรดตักบาตรด้วยอาหารหวาคาวนและกล้วยน้ำว้าสุกหนึ่งหวี อุทิศกุศลนี้ให้เจ้าของยาด้วย.......
    อย่ามักง่าย.....และตามใจตน......จนเกิดทุกข์......จงจำไว้ว่า......ล้มแล้วลุกได้ยาก......แล้วก็อย่าลืมว่า......“กรรม” เป็นเครื่องกำหนดชีวิต.........

    สมุนไพรโรคเก๊า เบาหวาน
     
  14. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,097

    [​IMG]

    เครื่องรางของขลังคงกระพันชาตรี แห่งกองทัพไทยในอดีต

    [​IMG]

    ว่า กันถึงนักรบไทยในอดีตกัน..คงต้องมีภาค ต่อขยายความจากเรื่อง 'เครื่องราง-ของขลัง พลานุภาพแห่งกองทัพไทยในอดีต' คราวนี้นอกจากเรื่องสักยันต์เขียวปื้ดเต็มตัวแล้วของนักรับไทยในอดีต แล้ว.... เครื่องรางของขลังอะไรบ้างที่เป็นความเชื่อแต่โบร่ำโบราณกาล...


    คัมภีร์พระปถมัง ถือ ว่าเป็นคัมภีร์ปฐมบทเรื่องเวทมนตร์คาถาที่คนศึกษาเวทมนตร์ต้องเรียน เพราะเป็นคัมภีร์ที่บรรจุพระคาถาพุทธบริสุทธิ์ที่สูงที่สุด โดยพระเถระเกจิอาจารย์ทุกคน ก็ต้องร่ำเรียนคัมภีร์นี้ กระทั้งการศึกสงครามจะนำยันต์จากพระคัมภีร์นี้มาใช้ด้านพลานุภาพความคง กระพันชาตรี

    ธงชัยเฉลิมพล ใช้ในการนำทัพ เป็นธงที่จะประจุด้วยอาคมอาถรรพ์ต่างๆ ได้จำนวนมาก เพื่อให้กองทัพมีอำนาจเหนือคู่ต่อสู้พระชัยหลังช้างคือ พระพุทธรูปที่จะอัญเชิญนำไปออกศึก โดยจะประทับอยู่บนหลังช้าง ซึ่งเชื่อว่าจะทำให้ชนะศึกสงคราม

    พระลีลาเม็ดขนุน เป็นพระที่สร้างขึ้นในสมัยสุโขทัน ที่มีพลานุภาพด้านเมตตามหามงคล แคล้วคลาดจากภยันตราย ทำให้สู้ศึกชนะสงคราม

    โคนสมอ คือ พระเครื่องชนิดหนึ่งที่สร้างขึ้นในสมัยอยุธยาตอนปลาย จะพบในกรุตามวัดโบราณต่างๆ ส่วนใหญ่อยู่ในบริเวณกรุงเทพฯ และปริมณฑล เป็นพระที่มีอิทธิฤทธิ์พลานุภาพด้านคงกระพันชาตรี โดยเฉพาะเป็นที่ร่ำลือกันมากกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ได้นำพระแสงยิงเข้าใส่โคนสมอ แต่เกิดกฤษฎาภินิหาริย์ คือ ยิงไม่เข้า อย่างไรก็ตามไม่อาจจะสืบค้นได้ว่า ผู้ใดเป็นผู้สร้างโคนสมอขึ้นมา

    พิษหมอน ที่ทำมาจากใบลานจารอักขระ เป็นชิ้นเล็กๆ นำมาแขวนติดตัว

    ตะกรุดพันกลั่น เป็นเครื่องรางปลุกเสกความคงกระพันที่จะนำไปใส่ไว้ข้างในมือจับด้ามดาบเพื่อ ให้เกิดอิทธิฤทธิ์ในการล้างอาถรรพ์ของคู่ต่อสู้ลงอาคมไว้

    ตรีนิสิงเห ที่ เกิดจากการคำนวณอัตราเลที่ผู้ปลุกเสกตียันต์ตรีนิสิงเหลงบนดาบ เพื่อใช้แก้ และถอนอาถรรพ์อาคมต่างๆ ของคู่ต่อสู้ พร้อมกับมีการปลุกเสก "ผงตรีนิสิงเห" เช่นกัน ที่ใช้ประจุลงบนด้ามดาบที่เป็นไม้มะค่า ฝักดาบเป็นไม้มะขามกลายเป็นศาสตราวุธ

    พระยันต์พุทธนิมิตร (ลงด้วยพระพุทธคุณห้องอิติปิโส) เป็นรูปองค์พระ พระยันต์มงกุฎเจ้าล้อมด้วยกลเลข ตรีนิสิงแห ของพระครูประศาสน์ สิกขกิจ หลวงพ่อพริ้ง วัดบางปะกอก

    มีดหมอเทพศาสตราวุธ ที่นิยมกันมากในสมัยอยุธยา ที่ตีตามสมัยเดิม ใช้ถอนอาถรรพ์ต่างๆ ป้องกันภูติผีปีศาจ

    เสื้อยันต์ทางด้านคงกระพัน แคล้วคลาด เช่น เสื้อยันต์ที่ลงด้วยนะโมพุทธายะ ไตรสรณาคมน์และหัวใจคาถามหาอุด อีกด้านลงด้วยพระนวโลกุตรธรรม คาถาพระเจ้าห้ามอาวุธ (อะสิสะติ) และพระยันต์หมวดอิติปิโสเกราะเพชร หรือพระยันต์ ไตรสรณาคมน์ ลงเป็นตาม้าหมากรุก หรือ ที่ลงด้วยนะโมพุทธายะ (พระเจดีย์ 5 พระองค์ ของหลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า) หนึ่งในพระอาจารย์ของ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ และเสื้อยันต์ราชสีห์ มียันต์มงกุฎเจ้า ด้านหลังลงด้วยพระเจ้า 16 พระองค์

    ผ้าซิ่นแม่ เป็น เครื่องรางที่ทหารไทยจะนำติดตัวไปรบในสงคราม คือ ชายซิ่นของผ้าถุงของแม่ผืนที่คลอดครั้งแรกโดยจะนำไปใส่ไว้ในหมวก จะอยู่ในตะกรุด พระประเจียด หรือยันต์มนตรา

    หำยนต์ หรือ ยันต์ที่ติดไว้บนบานประตู ป้องกันคุณไสยเพราะขณะนอนหลับมนต์คาถาจะเสื่อมลง

    เขี้ยวเสือโปร่งฟ้า เป็น เขี้ยวเสือกลวง เพราะปกติเขี้ยวเสือจะตัน ใครมีไว้พกติดตัวจะมีพลานุภาพด้านมหาอำนาจป้องกันภยันตรายต่าง ๆ รวมถึงป้องกันภูตผีปีศาจ

    เพชรตาแมว คือดวงตาแมวที่ตายหรือยังมีชีวิตอยู่ ที่มีลักษณะแก้วตากลายเป็นหิน ใครพกติดตัวไว้จะมีพลานุภาพด้านมหาอำนาจป้องกันภยันตรายต่างๆ รวมถึงป้องกันภูติผีปีศาจ

    งากำจัด-งากำจาย เป็นงาช้างที่ช้างชนต้นไม้ใหญ่แล้วหักคาทิ้งไว้ ซึ่งเป็นสิ่งที่พบได้ยากมากใครมีไว้พกติดตัวมีพลานุภาพด้านมหาอำนาจป้องกัน ภยันตรายต่างๆ รวมถึงป้องกันภูตผีปีศาจ

    คด คือ วัสดุตามธรรมชาติที่กาลเวลาทำให้วัสดุชิ้นนั้นกลายเป็นหิน เช่น เม็ดมะขาด เม็ดขนุน ใครมีไว้พกติดตัวจะมีพลานุภาพด้านมหาอำนาจป้องกันภยันตรายต่างๆ รวมถึงป้องกันภูตผีปีศาจ

    เครื่องรางของขลังคง กระพันชาตรีแห่งกองทัพไทยในอดีต
     
  15. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,097
    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    ช่วงที่ 1

    เขาเล่าให้ฟังว่าเขาแต่งงานอยู่กินกับภรรยามา12ปีไม่มีบุตร เลยคิดว่าชาตินี้คงไม่มีลูกไว้ดูแลยามแก่เฒ่าจึงหมดหวัง และวันหนึ่งภรรยาได้ไปหาหมอเพราะระยะหลังเธอเมารถ หมอบอกว่าเธอตั้งครรภ์ได้4เดือน ผมดีใจมากภรรยาผมแพ้ท้องมากกว่าคนอื่นในที่สุดก็คลอดลูกเป็นผู้ชายโดยเธอ ต้องแบกท้องอยูสิบเดือนกว่า ผมรับลูกชายและภรรยากลับมาอยู่บ้าน ในวันหนึ่งก็มีชายคนหนึ่งเดินเข้ามาแล้วพูดขึ้นว่าดูหมอไหมครับนาย ผมรีบตอบทันทีว่าไม่ดูครับลุง แต่ไหนๆก็มาแล้วกินน้ำให้หายเหนื่อยก่อน ผมถามลุงมาจากไหน ชายผู้นั้นบอกว่าเขาเป็นคนจรหมอนหมิ่นค่ำไหนนอนนั่น ผมนึกสงสารจึงดูหมอกับแกเลยหันไปถามภรรยาว่าดูอะไรดี ภรรยาว่าดูดวงลูกเราสิ แกบวกเลขอยู่พักใหญ่แล้วพูดด้วยเสียงที่หนักแน่นว่า ลูกของนายคงอยู่กับนายได้ไม่นานไม่ถึง2ฝนจะต้องตกน้ำเป็นตายร้ายดียังบอกไม่ ได้ แต่ถ้ารอดไปได้ฝนที่5จะต้องถูกสัตว์ร้ายด้วยเขี้ยวงา ตายหรือเป็นฟ้าดินกำหนดแต่ถ้ายังไม่วายชีวา ฝน7จะต้องอาวุธร้ายเป็นตายกำหนดยาก ถ้ารอดไปได้ถึงฝนเก้าเทวดาก็ช่วยยาก

    ชายชราพูดต่อว่าที่ผมบอกนายเป็นแต่ตอนร้ายหน่อย แต่ยังมีอีกมากถ้าบอกไปกลัวนายจะใจเสียผมจึงไม่กล้าบอกนายครับ ผมพูดขึ้นอย่างไม่พอใจลุงเอาอะไรมาพูดตำราของลุงเดาเอาหรือเปล่า ท่าทางแกโมโหเหมือนกันแกพูดว่าถ้านายด่าหรือดูถูกผมไม่ว่ากัน นี่นายดูถูกตำราผม มันเกินไปผมทนไม่ได้ผมจะบอกให้เอาบุญตำราของผมตระกูลเราหลายชั่วอายุคนไม่ สอนคนนอกตระกูลคนที่จะเรียนได้ต้องเป็นลูกชายเท่านั้น ถ้าดูว่าร้ายก็ต้องร้ายถ้าดูว่าดีก็ต้องดี ดูตายไม่เคยมีใครรอดสักคนเลย แกพูดด้วยท่าทางดุดันและเอาจริง

    ผมมองดูแววตาแกมีอำนาจอะไรบางอย่างทำให้ ผมขนลุกทั้งตัว ผมรู้สึกเกรงใจในความเอาจริงเอาจังของแกจึงพูดด้วยวาจาที่สุภาพว่า ลุงครับแล้วผมจะทำอย่างไรดีลุงช่วยผมหน่อยน่ะครับ แกมองผมอย่างเห็นใจ"พูดน่าฟังอย่างนี้พอคุยกันได้" ผมจะบอกให้ตำราท่านว่าดวงตกร้ายถึงปานนี้เทวดาช่วยไม่ได้ พระอรหันต์ท่านยังต้องวางเฉย แต่ผู้มีบุญใหญ่ช่วยได้ ผมถาม"ลุงครับผู้มีบุญกว่าพระอรหันต์ ผมจะหาได้ที่ไหนหล่ะ" ชาย ชราตอบว่าเรื่องนี้ผมก็ตอบนายไม่ได้เหมือนกัน ผมพยายามคุยกับแกเพื่อขอคำแนะนำแต่ก็หาทางออกไม่ได้ ผมคุยกับแกอยู่หลายชั่วโมงจนเย็นแล้วแกก็ลาผมจึงส่งเงินให้แกไป100บาท แกร้องโอ้โหตั้ง100หรือครับนายไม่เคยมีใครให้ผมมากเท่านี้เลย ชายชราผู้นั้นเดินออกจากบ้านผมไปไม่ไกลมากนัก แกหันมามองผมกับภรรยาแล้วพูดขึ้นว่า"บุญเป็นของพึ่งได้จริง"

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    ช่วงที่ 2

    แล้วแกก็หันเดินจากไปจนลับสายตา ชายแปลกหน้าจากไปแล้ว ผมก็บอกกับภรรยา "เธออย่าไปฟังหมอดูมากนัก เดี๋ยวจะไม่สบายใจ เขาก็บอกว่า เขาเป็นคนจรหมอนหมิ่น เธออย่าคิดมากนะ โบราณก็เคยบอกคนจรหมอนหมิ่นเชื่อยาก" จากวันนั้นมาลูกชายเราก็ได้สองเดือนเขาเริ่มเจ็บไข้ได้ป่วยอยู่บ่อย ๆ ผมและภรรยาต้องพาลูกชายเข้าออกคลีนิค-โรงพยาบาลหลายสิบครั้ง

    ลูกชายผมได้สองขวบ บ้านเราอยู่ติดกับแม่น้ำป่าสัก วันนั้นก็เหมือนกับทุกวัน ผมและภรรยาออกไปธุระนอกบ้าน น้องสาวผมเลี้ยงลูกของผมอยู่ตามปกติ น้องสาวบอกผมว่า วันนั้นเธอไม่ค่อยสบาย เลยกินยาแก้ไข้ไปสองเม็ดจึงง่วงนอน และหลับไป ตื่นอีกครั้งก็ได้ยินคนตะโกนว่า "เด็กตกน้ำ!" เธอ ก็วิ่งไปดู มองเห็นหลานนอนอยู่ โดยมีคนสองคนผายปอดให้อยู่ แต่เด็กก็ไม่มีอาการดีขึ้น คนข้างบ้านช่วยกันเอารถไปส่งโรงพยาบาล คุณหมอบอกว่า เด็กขาดอากาศนานเกินไป หมอไม่แน่ใจว่าจะมีความหวังอยู่เท่าไหร่ อยากให้ญาติทำใจ ลูกผมอยู่ รพ.หลายวัน อาการก็ยังไม่มีทีท่าจะดีขึ้น และอยู่ ๆ วันหนึ่งลูกชายผมก็ฟื้นขึ้นมาอย่างปาฏิหาริย์ ไม่นานก็กลับบ้านได้ ลูกชายผมเกิดเรื่องอีกมากมายหลายอย่าง จนน่าเป็นห่วงว่าชีวิตของเขาจะรอดไปได้หรือไม่

    ในปีที่เขาอายุครบห้า ขวบ ขณะเท่ากับห้าฝนพอดี ตอนนี้เขาเข้าโรงเรียนแล้ว วันนี้ที่เขาและเพื่อน ๆ วิ่งเล่นกันอยู่ในสนามของโรงเรียน มีหมาตัวหนึ่งวิ่งตรงมากัดลูกชายผม จนเป้นแผลลึกและใหญ่ถึงสี่เขี้ยว ทั้ง ๆ ที่มีเด็กตั้งมากมายวิ่งเล่นกันอยุ่แต่หมาตัวนั้นกลับไม่สนใจเด็กคนอื่น กัดเฉพาะลูกชายของผมเพียงคนเดียว แล้วมันก็วิ่งจากไป เรารักษาเขาตามประสาแบบชาวบ้าน ผู้เฒ่าของชาวบ้านที่คนทั่วไปนับถือวาแกมีวิชาต่าง ๆ เช่น สูณฝี กวาดยา พ่นลมพิษ งูสวัต และรักษาได้อีกหลายอย่างตามแบบอย่างหมอประจำหมู่บ้านทั่วไป ผมพาลูกชายไปหาปู่ใหญ่ แกก็นำว่านยาหลายชนิดมาบดแล้วปิดแปลให้แกบอกว่า "บักหนูไม่เป็นอะไร แล้วมาหาปู่ เปลี่ยนยาสามวันก็หาย" ผมถามปู่ใหญ่ว่า "คืนนี้ลูกผมจะปวดแผลหรือครับ" แกบอกว่า "รักษามามารกไม่เคยมีคนมาบอกว่าปวดเลยสักคน ว่านยาที่ใส่ให้แก้ได้ทั้งพิษงูและพิษสัตว์ร้ายต่าง ๆ เอ็งไม่ต้องห่วงหรอกบักหนู" ผมพาลูกชายไปให้แกเปลี่ยนว่านยาทุกวัน จนครบสามวัน แต่พอถึงวันที่สี่ลูกชายผมก็มีอาการหนัก ผมตกใจทำอะไรไม่ถูก สิ่งเดียวที่คิดได้คือพาลูกชายไป รพ. พอถึงมือหมอทั้งหมอและพยาบาลวิ่งวุ่นไปหมด หมอบอกว่า อาการน่าเป็นห่วงสงสัยหมาที่กัดเขาคงเป็นหมาบ้า ผมได้ยินคำว่าหมาบ้าผมนึกไม่ถึงว่าลูกชายจะโชคร้ายถึงปานนี้ วันนี้ผมเฝ้าลูกชายอยู่ที่ รพ.ทั้งคืน ประมาณตีห้าผมก็เผลอหลับไป และก็มีนางพยาบาลคนหนึ่งมาปลุกผมบอกว่า "กลับบ้านไปก่อนค่ะ ทางเรา ต้องเอาตัวเด็กไว้ก่อน ตอนนี้เด็กอยู่ในห้องไอซียู" ผมกลับบ้านอย่างหมดอาลัยตายอยาก ไม่มีความหวังอะไรมากนัก เพราะผมเห็นอาการลูกชายขนาดนั้น คนเป็นพ่อยังคิดว่าจะรอดยาก อาการของเขาน่ากลัวตอนที่เขาชักจนตาค้างแล้วแน่นิ่งไป เป็นภาพที่ติดตาผมเวลานอนภาพนั้นจะปรากฏอยู่เสมอ ทำให้ผมข่มตานอนไม่ลงผมไป รพ.ทุกวัน เฝ้าเขาจนมืดหรือบางวันก็ดึก ถึงจะกลับบ้าน

    ผมนอนไม่กี่ชั่วโมงก็รีบตื่นแต่เช้าไปรพ.ผมทำอยู่อย่างนี้ถึงแปดวันในวัน ที่ เก้าคุณหมอก็บอกว่า "เด็กพ้นขีดอันตรายแล้ว ผมดีใจกับคุณด้วยปาฏิหาริย์จริง ๆ" คุณหมอพูดแล้วเดินจากไป ส่วนผมยืนน้ำตาซึมและไหลออกมาจนเปียกแก้มสองข้าง ตอนนั้นผมรู้สึกว่าชีวิตครึ่งหนึ่งที่หายไปของผมได้กลับคืนมาอีกครั้ง เพราะเขาเป็นลูกชายคนเดียวของผม ภรรยาและผมก็หวังจะฝากผีฝากไข้กับเขา ตอนไม่มีเขาเราสองคนก็ทำใจไว้แล้ว ว่าคงต้องอยู่กันตามลำพังไปจนเฒ่า และตายอย่างไม่มีผู้สืบสกุล แต่พอมีเขาความหวังเของเราก็เปลี่ยนไปจากคนสิ้นหวัง เป็นคนมีความหวัง ภรรยาของผมเป็นคนใจอ่อน จึงไม่กล้ามา รพ.ดูอาการลูกชาย คอยแต่ฟังข่าวเล่าที่ผมกลับบ้าน ผมก็ไม่กล้าเสี่ยงให้เธอไป รพ.ผมกลัวเธอเห็นลูกชายเป็นอะไรไปแล้วเธอจะช็อก ผมไม่อยากเสียทั้งลูกชายและภรรยา วันนั้นพอผมได้ข่าวดีจากคุณหมอ ผมรีบกล้บบ้านไปบอกข่าวดีกับภรรยา พอภรรยาของผมเธอรู้ว่าลูกรอดตายแล้ว เธอดีใจจนน้ำตาออกมาแล้วเธอก็กอดผม และพูดว่า “ลูกเราไม่จากเราไปแล้วพี่”



    [​IMG]

    [​IMG]
    ช่วงที่ 3

    นับจากวันนั้นหวนคิดไปถึงคำพูดของคนจรหมอนหมิ่นหมอดูชรา ที่แกบอกว่า ฝนสองจะต้องตกน้ำ พอลูกผมอายุได้สองขวบเขาก็ตกน้ำจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด และแกบอกต่อว่าถ้ารอดไปได้ฝนห้าจะต้องถูกสัตว์ร้ายด้วยเขี้ยวงา ลูกผมครบห้าขวบก็ถูกหมาบ้ากัด พึ่งรอดมาได้ แกยังพูดอีกว่า ฝนเจ็ดจะต้องถูกอาวุธร้าย เป็นตายกำหนดยาก คำพูดของแกไม่เคยผิดเลยสักครั้งแล้วครั้งที่สามจะเป็นอย่างไร ทำให้ผมและภรรยาเกิดความกลัวถึงชะตากรรมของลูกชายเราทั้งสอง ว่าต่อไปจะดีร้ายอย่างไร


    คน แก่แถวบ้านผมบอกว่าลูกของเอ็งเป็นอย่าง นี้โบราณเคราะห์ ร้ายดวงตก ต้องพาไปทำสังฆทานต่ออายุถึงจะดี แกบอกว่าเรื่องอย่างนี้ ถ้าไม่เชื่ออย่าลบหลู่ ดังนั้นวันต่อมาผมและภรรยา ก็พาลูกชายตะเวนไปทำสังฆทาน บางวัดท่านก็อาบน้ำมนต์ให้บ บางที่ก็ให้นอนแล้วเอาผ้าขาวมาคลุมแล้วบังสกุล บางวัดก็ให้ลูกผมลงไปนอนในโลงศพ แล้วสวดมนต์หลายบทเป็นการต่อชะตาต่ออายุ เมื่อผมมีเวลาว่างใครบอกว่าวัดไหนดีที่ไหนคนเขาไปทำมาแล้วดีหายเจ็บไข้ ดวงไม่ดีก็ดีในเดือน ๆ อย่างน้อยก็เดือนละสองครั้งแต่ถ้าเดือนไหนผมว่าง ก็เดือนละสี่ถึงห้าครั้งเป็นอย่างน้อย ผมทำอย่างนี้มาเป็นเวลาเกือบสองปี ด้วยความหวังว่า ทำบุญมาก ๆ ชะตากรรมของลูกชายผมจะเปลี่ยนไปในทางที่ดี

    แต่พอเขาอายุได้เจ็ดขวบ วัดข้างบ้านผมจัดงานประจำปี มีการละเล่นมากมายหลายอย่าง เช่น หนัง-ลิเก-วงดนตรี ชิงช้าสวรรค์ ม้าหมุน และของขายอีกมากลูกชายผมและเด็กข้างบ้านหลายคน ทั้งที่เล็กกว่าเขาบ้างก็มีอายุมากกว่าเป็นรุ่นพี่หลายคนพากันไปเที่ยวงาน วัดตามปกติ เวลาผานไปสักสองทุ่มเห้นจะได้ คนข้างบ้านก็วิ่งมาบอกว่า "พี่..ลูกพี่ถูกยิง!" ผมพูดตอบเขาไปว่า "เป็นไปได้ยังไง ลูกผมเพิ่งเจ็ดขวบจะไปมีเรื่องถึงขนาดถูกยิงมาบอกบ้านผิดหรือเปล่า" เขารีบเถียงว่า "ไม่ผิดหรอก พี่รีบไปดูลูกของพี่เถอะ เลือดท่วมตัวเลย" เมื่อเขายืนยันอย่างนั้น ผมก็รีบวิ่งไปที่งานวัด สิ่งที่ผมเห็นมีคนกลุ่มใหญ่มุงดูอะไรบางอย่าง ผมวิ่งแหวกฝูงคนเข้าไป ก็เห็นลูกชายของผมเลือดเต็มตัวไปหมดมีรถคันหนึ่งวิ่งมาจอดใกล้ ๆ และมีคนตะโกนว่า "เอาเด็กขึ้นรถเร็ว" ผมไม่รอให้เขาบอกเป็นครั้งที่สอง ผมรีบอุ้มลูกขึ้นรถและก็กอดลูกชายไปตลอดทาง พอถึงโรงพยาบาล ผมอุ้มลูกลงจากรถและก็วิ่งเข้า ปากก็ร้องตะโกนว่า “หมอช่วยลูกผมด้วย” ผมร้องซ้ำ ๆ อย่างนั้นตลอดทางจนถึงห้องไอซียู มีหมอและพยาบาลสามสี่คนวิ่งออกมารับ เขานำลูกผมเข้าห้องผ่าตัด พอผมจะไปดูลูกยอ่งใกล้ชิด จะเข้าเขตประตูห้องผ่าตัด พยายาลคนหนึ่งร้องบอกว่า “คุณคะเข้าไปไม่ได้ รออยู่ข้างนอกก่อน” เป็นอันว่าผมต้องรออยู่ข้างนอก ผมเดินไปเดินมาอยู่ที่หน้าห้องผ่าตัดไม่รู้ว่ากี่ชั่วโมง ตัวเองเดินวนไปมากี่รอบ นานจนผมคิดว่าผมไม่เคยรออะไรนานขนาดนี้เลย ในที่สุดคุณหมอก็ออกมาบอกว่าหมอได้ผ่าเอากระสุนออกจากตัวเด็กแล้ว เขาถูกยิงถึงสามนัด ตอนนี้ยังไม่ได้สติหมอยังบอกอะไรคุณๆไม่ได้มากกว่านี้ คืนนั้นผมอยู่ที่รพ.ถึงเช้า ทั้ง ๆ ที่เสื้อผ้าของผมมีแต่เลือดของลูกชายแดงเต็มอกเสื้อ พอเช้าเช้าเพื่อนของผมรู้ข่าวก็พากันมาเยี่ยมกันหลายคน มีเพื่อนสนิทของผมคนหนึ่งเขาบอกว่าเด็กวัยรุ่นมีเรื่องกัน ชกต่อยกันจนไม่รู้ว่าใครเป็นใคร ขณะกำลังชุลมุนกันอยู่ก็มีเสียงปืนดังขึ้นหนึ่งนัด วัยรุ่นต่างแตกกระจายวิ่งกันไปคนละทิศคนละทาง หันมาเห็นอีกทีลูกของผมก็นอนอยู่ที่พื้น ผมพูดกับเพื่อนว่า “พวกมันมีเรื่องกันต่อยกันและก็ยิงปืนใส่กันพวกมันไม่เป็นอะไร แต่ลูกกูไม่ได้มีเรื่องแต่กลับถูกลูกปืนกูไม่เข้าใจจริงๆ" ลูกของผมนอนอยู่ รพ.หลายวันคุณหมอก็บอกว่าพ้นขีดอันตรายแล้ว แต่ยังต้องอยู่ รพ.เดือนกับห้าวันจึงกลับบ้านได้


    เขากลับมาอยู่กันอีกครั้ง ผมและภรรยายิ่งให้ความรักและความห่วงใยเขามากกว่าเก่า ภรรยาของผมพูดกับผมว่า "ลุง หมอดูบอกว่าลูกเราเจ็ดฝนจะถูกอาวุธร้ายนี่พอเขาเจ็ดขวบลูกเราก็ถูกยิงแต่ ครั้งนี้ลูกเรารอดมาได้ ก้เพราะอาจเป็นบุญที่เราพาเขาทำมาตลอด แต่ครั้งหน้าลูกเราคงไม่รอดหรอกพี่ เพราะหมอดูเฒ่าแกบอกว่าฝนเก้าเทวดาก็ช่วยไม่ได้" ผมปลอบใจภรรยาว่า "แกอาจดูไม่ถูกก็ได้" เธอเถียงทันที "พี่ก็บอกย่างนี้ทุกทีแล้วเป็นไง ลุงหมอดูแกพูดอย่งไรไม่เคยผิดเลยสักครั้ง” ผมจนด้วยเหตุผลเลยเถียงเธอไม่ขึ้น เพราะสิ่งที่เธอพูดเป็นจริงทุกอย่าง ผมเริ่มคิดหนักว่าลูกจะไม่มีชีวิตอยู่กับเราไม่นานเท่าไร แต่ไม่กล้าบอกภรรยา ได้แต่พาลูกชายไปทำบุญให้ได้มากที่สุด เพราะผมเชื่อว่า บุญเท่านั้นที่จะติดตามเหมือนเงาตามตัวเขาไปได้ นอกจากบุญคงไม่มีอะไรช่วยเขาได้เลย ผมยังจำได้ก่อนหมอดูชราจะจากไป แกหันมาพูดว่า “บุญเป็นของพึ่งได้จริง”

    [​IMG]

    [​IMG]
    ลูกชายผมเกิด พ.ศ.2520 ตอนนี้ พ.ศ.2529 ลูกชายของผมก็จะมีอายุ 9 ขวบพอดี ปีนั้นลูกชาย อยากไปเที่ยวที่ไหน ผมและภรรยาไม่เคยขัดใจเขา ลูกอยากกินอะไร ภรรยาจะให้เขากินตลอด ในปีนั้นผมและภรรยาหยุดงานมากเป็นพิเศษ ใช้เวลาอยู่กับลูกชายเป็นส่วนใหญ่ วันหนึ่งมีเพื่อนสนิทคนหนึ่ง มาบอกว่า ที่ วัดสะแกเกิดปาฏิหาริย์ คนกรุงเทพฯ จะมาเป็นเจ้าภาพกฐินเพื่อซ่อมหลังคาโบสถ์อยู่ ๆ ภาพหลวงปู่ทวด หลวงพ่อดู่ ก็ปรากฏขึ้นตามองค์พระพุทธรูปที่ฉัตรหน้ากุฏิหลวงพ่อดู่ ก็มีเทวดาอยู่ตามชั้นของยอดฉัตรเต็มไปหมด ผมถามเพื่อนว่าขนาดมีเทวดาเชียวหรือ นึกว่าเทวดามีแต่ในหนังจักร ๆ วงศ์ ๆ และผมก็พาลูกชายกับภรรยาไปวัดสะแก แต่ก็ไม่ได้มีความหวังอะไรมากนัก ไปทำบุญเหมือนกับวัดอื่น ๆ ที่เคยไปทำบุญมา ผมไปถึงวัดหลังเพล พระท่านฉันเพลแล้ววันนั้นมีคนไปทำบุญมากพอสมควร ผมและภรรยาทำบุญ ใส่ตู้กฐินคนละหนึ่งร้อยบาท ส่วนลูกชายผมเขาล้วงเงินในกระเป๋ากางเกงของเขาแต่เขามีเงินอยู่เพียงห้าบาท ผมเห็นเขาเอาเงินใส่ตู้กฐินและยกมือขึ้นไหว้ เห็นดังนั้นผมก็บอกเขาว่าเดี๋ยวพ่อให้ร้อยหนึ่ง แล้วไปใส่ตู้ใหม่นะลูก พอดีมีคนสองคนเดินผ่านมา คนหนึ่งพูดว่า "รีบไปกันเถอะหลวงพ่อดู่จะถึงเวลาจำวัตรแล้ว"


    พอผมได้ยินว่ารีบไปกันเถอหลวงพ่อดู่จะถึงเวลาจำวัตรแล้ว ผมหันมาบอกภรรยา "เรารีบไปหาหลวงพ่อก่อนเถอะ" เราทั้งสามคนก็ไปที่กุฏิหลวงพ่อดู่ มีคนอยู่ก่อนแล้วสิบกว่าคน ผมพาภรรยาและลูกเข้าไปใกล้ท่าน และกราบท่านสามครั้ง ท่านเห็นเราทั้งสาม ท่านก็ยิ้มอย่างเมตตา

    ผมพูดบอกท่านว่า “หลวงพ่อครับ ผมพาลูกชายมาให้หลวงพ่อเมตตาสะเดาะเคราะห์ให้เขาครับ" ผม ทำท่าจะเล่าความเป็นมาของลูกชายผมให้ท่านฟัง ท่านก็ยกมือขึ้นห้าม แล้วท่านพูดว่า “ข้าเข้าใจแล้ว แกไม่ต้องบอกหรอก” ผมนึกในใจยังไม่ได้เล่า ท่านจะรู้ได้อย่างไร ผมถามต่อ “หลวงพ่อครับผมต้องเตรียมอะไรบ้างครับ” ท่านตอบ “ไม่ต้องเตรียมอะไร” ผมร้อง “อ้าว แล้วจะทำอย่างไร"


    ผม ก็พูดต่อว่า “ถ้าอย่างนั้นผมขอให้ลูกชาย เอาเงินไปใส่ตู้กฐินทำบุญก่อนนะครับ” ท่านพูดว่า “ห้าบาทก็เกินพอแล้ว” ท่านเรียกลูกชายผมเข้าไปใกล้ๆ แล้วบอกเขาว่า "เดี๋ยวเวลาข้าให้พร แกก็พูดว่า พรใด ๆ ที่ได้นี้ขอให้ติดตามข้าตลอดไป แกเข้าใจไหม” เขาตอบท่านว่า “เข้าใจครับ” และหลวงพ่อก็เริ่มให้พร ลูกผมก็พูดตามที่ท่านสอน ไม่ถึงห้านาที ท่านลืมตาขึ้นแล้วบอกว่า "เสร็จเรียบร้อย" ผมถามท่านทันทีว่า “เสร็จแล้วหรือครับหลวงพ่อ” ท่านตอบ “ก็เสร็จนะสิ” ผมบอกท่านว่า "ไปมาหลายที่ ทุกวัดเขาทำกันตั้งนาน ให้นอนในโลงศพบ้าง อาบน้ำมนต์ก็มีสารพัดวิธี บางทีเป็นชั่วโมงก็เคย" ท่านตอบว่า “ข้าไม่ต้องตั้งท่ามาก” ท่านหันไปพูดกับลูกชายผมว่า “เอ็งมันดวงไม่เหมือนชาวบ้านเขา เอาพระเหนือพรหมของข้าไปติดตัวไว้” ผมบอกท่านอีกว่า “หลวงพ่อครับ หมอดูบอกว่ลูกชายผมจะอยู่ไม่เกินเก้าขวบ” ท่านก็ว่า “ข้าไม่ใช่หมอดู แต่ข้าบอกว่าไม่ตายก็ไม่ตายหรอกแก” ผมคิดในใจว่าจะเชื่อได้มากแค่ไหนก็ยังไม่รู้ มีลูกศิษย์ของท่านคนหนึ่งฟังอยู่ใกล้ๆ เขาพูดกับผมว่า "แต่ โบราณมาเชื่อกันว่า พระพรหมเป็นผู้ลิขิตชีวิตมนุษย์ให้ดีร้าย ยากจน หรือร่ำรวยและมีชีวิตอยู่ยืนยาวหรือสั้นก็ตามแต่ท่านจะลิขิต หลวงพ่อดู่ของพรวกเราสอนว่า “ใครจะใหญ่เกินกรรม” ท่าน ให้พวกเราทำแต่กรรมดี พี่ไม่ต้องกลัวลูกชายตายหรอก เพราะหลวงพ่อท่านให้พระเหนือพรหมเขาไปแล้ว และอีกอย่างหนึ่งพี่กับลูกทำบุญกฐินปีนี้กับหลวงพ่อ ท่านบอกว่ากฐินปีนี้เป็นบุญใหญ่ แม้แต่เทวาเทพ พรหม ยังมาร่วมอนุโมทนาด้วยเลย" ใคร ๆ เขาก็เห็นกันทั้งวัด ผมก็เห็นเหมือนกัน ผมเกิดมาไม่เคยเห็นหลวงปู่ทวด วันนี้มาวัดสะแกก็ได้เห็นเป็นบุญตา เราสามคนลาหลวงพ่อดู่กลับ ท่านก็พูดว่า “บุญเป็นของพึ่งได้จริง” ผมนึกในใจเคยได้ยินคำพูดนี้ที่ไหน นึกไม่ออก

    เขาบอกว่าเวลาใดผ่านไปนานหลายปี ทุกวันนี้เขายังคิดถึงหลวงพ่อดู่อยู่ตลอด เพราะท่านมีพระคุณกับครอบครัวของเขามากเหลือเกิน หลวงพ่อดู่ท่านละสังขารไปนานแล้ว แต่ท่านจะอยู่ในใจของเขาตลอดไป จนกว่าชีวิตจะหาไม่


    ผู้เขียนพบกับเขาที่วัดสะแก เมื่อปี พ.ศ.2540 เขาบอกว่า ลูกชายทำบุญเพียงห้าบาทกับกฐินครั้งนั้น หรือเป็นเพราะหลวงพ่อดู่ท่านให้พร หรือเพราะพระหรหมของหลวงพ่อ ที่ลูกชายผมห้อยคอจนถึงทุกวันนี้จึงทำให้เขารอดชีวิตมาถึงปี พ.ศ.2540

    พุทธคุณ และปาฏิหาริย์ของพระเหนือพรหม ของหลวงปู่ดู่ ศิษย์ที่อยู่ใกล้ชิดหลวงพ่อดู่คนหนึ่งเล่าให้ฟังว่าพระเหนือพรหมของหลวยงพ่อ ใครมีไว้บูชา เรื่องร้ายจะกลับกลายเป็นดี คนดวงตกก็รอดได้ ผู้ใดได้ไข้ได้เจ็บก็หายผี และปีศาจร้ายมิอาจกล้ำกราย คุณไสยมนต์ดำการกระทำย่ำยีมิอาจครอบงำ ผู้ใดเป็นศัตรูคิดร้าย จะพินาศด้วยวิบากกรรมของตนเอง บูชาติดตัวไว้ เทพ พรหม เทวดาและมนุษย์รักใคร่เมตตาปราณี ถ้าถึงเวลาหมดอายุจิตสงบพบทางสว่างมีสุขคติเป็นที่ไปผู้ที่มีพระเหนือพรหม ของหลวงพ่อองค์เดียวก็เกินพอ


    ข้อมูล: นะโภคทรัพย์ เล่ม 7

    พระเหนือพรหม และ มหาบารมีหลวงปู่
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 สิงหาคม 2010
  16. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,097
    [​IMG]

    "ต้นไม้ที่ได้รับการดูแลให้น้ำให้ปุ๋ยไปบำรุงลำต้นจนสมบูรณ์ เมื่อถึงเวลา ไม่ยอมออกดอกออกผล ก็ต้องโค่นทิ้ง คนที่ได้รับการเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ แต่ไม่ยอมตอบแทนคุณพ่อแม่ก็เป็นคนหนักแผ่นดิน
    ทองคำแท้หรือไม่โดนไฟก็ รู้ คนดีแแท้หรือไม่ให้ดูตรงที่เลี้ยงพ่อแม่ ถ้าดีจริงต้องเลี้ยงพ่อแม่ ถ้าไม่เลี้ยง แสดงว่าดีไม่จริง เป็นพวกทองชุบ ทองเก๊"


    พระคุณของพ่อแม่

    พระ สัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสอุปมาว่าถ้าบุตรจะพึงวางบิดามารดาไว้บนบ่าทั้งสองของตน ประคับประคองท่านอยู่บนบ่านนั้นป้อนข้าวป้อนน้ำและให้ท่านถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะบนบ่านั้นเสร็จ แม้บุตรจะมีอายุถึง ๑๐๐ปี และปรนนิบัติท่านไปจนตลอดชีวิต ก็ยังนับว่าตอบแทนพระคุณท่านไม่หมด
    ยัง มีผู้อุปมาไว้ว่า หากเราใช้ท้องฟ้าแทนกระดาษยอดเขาพระสุเมรุแแทนปากกาน้ำในมหาสมุทรแทนหมึก เขียนบรรยายคุณของพ่อแม่จนท้องฟ้าเต็มไปด้วยอักษร ภูเขาสึกกร่อนจนหมดน้ำในมหาสมุทรเหือดแห้งก็ยังบรรยายคุณของพ่อแม่ไม่หมด
    บิดามารดาเป็นผู้มีพระคุณอันยิ่งใหญ่ของบุตร สรุปโดยย่อคือ
    ๑.เป็น ต้นฉบับทางกาย แบบเป็นสิ่งที่จำเป็นในการทำให้ของทั้งหลายในโลกมีค่าสูงขึ้นตัวอย่างเช่น ก้อนดินเหนียวธรรมดาถ้าหากนำมาใส่แบบพิมพ์แล้วพิมพ์เป็นตุ๊กตาก็ทำให้ดิน ก้อนนั้นมีค่าขึ้นมาเป็นเครื่องประดับบ้านเรือนได้ดินเหนียวก้อนเดียวกันนี้ หากได้แบบที่ดีกว่าขึ้นมาอีกเช่นแบบเป็นพระพุทธรูปก็จะเห็นได้ว่าคุณค่าของ ดินเหนียวก้อนนี้ทรงคุณค่ามากยิ่งขึ้นผู้คนได้กราบไหว้บูชา จะเห็นได้ว่าคุณค่าของดินเหนียวก้อนนี้ขึ้นอยู่กับแแบบที่พิมพ์นั่นเอง ในทำนองเดียวกัน การเกิดของสัตว์ เช่นเป็นช้าง มัา วัว ควาย ฯลฯแม้จะมีปัญญาติดตัวมามากสักปานใดก็ไม่สามารถทำความดีได้เต็มที่โชคดีที่ เราได้แบบเป็นคน ซึ่งเป็นโครงร่างที่ประเสริฐกว่าสัตว์ทั้งหลายเหมาะในการทำความดีทุกประการ พระคุณขงอพ่อแม่ในการเป็นต้นแบบทางกายให้เราก็นับว่ามีมากเหลือหลายแล้วยิ่ง ท่านอบรม เลี้ยงดูเรามาเป็นต้นแบบทางใจให้ด้วยก็ยิ่งมีพระคุณมากเป็นอเนกนันต์
    ๒.เป็นต้นแบบทางใจให้ความอุปการะเลี้ยงดู ฟูมฟัก ทะนุถนอมอบรมสั่งสอน ปลูกฝังกิริยามารยาทให้ความรู้ทั้งทางโลกและทางธรรมแก่ลูก

    สมญานามของพ่อแม่

    สมญา นามของพ่อแม่นั้น กล่าวกันว่าท่านเป็นทั้งพรหมของลูกเทวดาคนแรกของลูกครูคนแรกของลูก และเป็นพระอรหันต์ของลูก ซึ่งอธิบายได้ดังนี้
    -พ่อแม่เป็นพรหมของลูก เพราะเหตุที่มีพรหมธรรม ๙ ประการได้แก่
    ๑.มีเมตตาคือมีความปรารถนาดีต่อลูกไม่มีที่สิ้นสุด
    ๒.มีความกรุณาคือ หวั่นใจในความทุกข์ของลูกและคอยช่วยเหลือเสมอไม่ทอดทิ้ง
    ๓.มีมุทิตาคือ เมื่อลูกมีความสุขสบาย ก็มีความปลาบปลื้มยินดีด้วยความจริงใจ
    ๔.มี อุเบกขา คือ เมื่อลูกมีครอบครัวสามารถเลี้ยงตนเองได้แล้วก็ไม่วุ่นวายกับชีวิตครอบครัว ลูกจนเกินงาม และหากลูกผิดพลาดก็ไม่ซ้ำเติมแต่กลับคอยเป็นที่ปรึกษา ให้เมื่อลูกต้องการ
    -พ่อแม่เป็นเทวดาคนแรกของลูกเพราะคอยปกป้องคุ้มกันภัยเลี้ยงดูลูกมาก่อนผู้มีความปรารถนาดีคนอื่น ๆ
    -พ่อแม่เป็นครูคนแรกของลูก เพราะสั่งสอนอบรม คำพูดและกิริยามารยาทให้ลูกก่อนคนอื่นๆ
    -พ่อแม่เป็นพระอรหันต์ของลูกเพราะมีคุณธรรม ๔ ประการได้แก่
    ๑.เป็นผู้มีอุปการะมากแก่ลูก ท่านได้ทำภารกิจอันทำได้แสนยากได้แก่การอุปการะเลี้ยงดูลูก ซึ่งยากที่จะหาคนอื่นทำแก่เราได้อย่างท่าน
    ๒.เป็นพระเดชพระคุณมาก ปกป้องอันตราย ให้ความอบอุ่นแก่ลูกมาก่อน
    ๓.เป็นเนื้อนาบุญของลูกมีความบริสุทธิ์ใจต่อลูกอย่างแท้จริงเป็นผู้ที่ลูกควรทำบุญต่อตัวท่าน
    ๔.เป็นอาหุไนยบุคคล เป็นผู้ควรแก่การรับของคำนับ และการนมัสการของลูก

    คุณธรรมของลูก

    เมื่อ พ่อแม่มีพระคุณมากมายปานนี้ลูกจึงควรมีคุณธรรมต่อท่านคุณธรรมของลูกเริ่มที่ รู้จักคุณพ่อแม่คือรู้ว่าท่านดีต่อเราอย่างไร สูงขึ้นไปอีกคือตอบแทนคุณท่านในทางศาสนาพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสบรรยาย คุณธรรมของลูกไว้อย่างสั้นๆแต่จับความไว้ได้อย่างครบถ้วน คือคำว่า "กตัญญูกตเวที"คุณค่าและศักดิ์ศรีของความเป็นลูกรวมอยู่ใน ๒คำนี้
    กตัญญู หมายถึงเห็นคุณท่านคือเห็นด้วยใจ ด้วยปัญญาว่าท่านเป็นผู้มีพระคุณต่อเราอย่างแท้จริง ไม่ใช่สักแต่ว่าปากท่องพระคุณพ่อแม่ปาวๆไปเท่านั้น
    คุณของงพ่อแม่ดูได้ จากอุปการะคือประโยชน์ที่ท่านทำแก่เรามีอะไรบ้างที่แตกต่างจากคนอื่น ตามธรรมดาของคนทั่ว ๆ ไปเมื่อจะอุปกาะใครเขาต้องเห็นทางได้ เช่น เห็นหลักทรัพย์ หรือดูนิสัยใจคอต่อเมื่อแน่ใจแล้วว่าอุปการคุณของเขาจะไม่สูญเปล่า จึงลงมือช่วยเหลือแต่ที่พ่อแม่อุปการะเรานั้นเป็นการอุปการะโดยบริสุทธิ์ใจ จริง ๆไม่ได้มองถึงหลักประกันใด ๆ เลยเราเองก็เกิดมาตัวเปล่าไม่มีหลักทรัพย์แม้แต่เข็เล่มเดียวยังไม่รู้เสีย ด้วยซ้ำว่าอวัยวะร่างกายจะใช้ได้ครบถ้วนหรือไม่ยิ่งนิสัยใจคอแล้วยิ่งรู้ไม่ ได้เอาทีเดียวโตขึ้นมาจะเป็นอย่างไรจะเป็นคนอกตัญญูหรือไม่ไม่รู้ทั้งนั้น หนังสือสัญญาการรับปากสักคำเดียวระหว่างเรากับท่านก็ไม่มีแต่ทั้ง ๆที่ไม่มีท่านทั้งสองก็ได้โถมตัวเข้าช่วยเหลือเราจนสุดชีวิตที่ยากจนก็ถึง กับกู้หนี้ยืมสินคนอื่นมาช่วยเรื่องเหล่านี้ต้องคิดดูด้วยเหตุผลอย่าสักแต่ คิดด้วยอารมณ์เท่านั้นการพิจารณาให้เห็นคุณของพ่อแม่ด้วยใจอย่างนี้แหละ เรียกว่า"กตัญญู"เป็นคุณธรรมเบื้องต้นของผู้เป็นลูก ยิ่งพิจารณาเห็นคุณท่านมากเท่าไรแสดงว่าใจของเราเริ่มใสและสว่างมากขึ้นเท่า นั้น
    กตเวทีหมายถึงการทดแทนพระคุณของท่าน ซึ่งมีงานที่ต้องทำ ๒ ประการ คือ
    ๑.ประกาศคุณท่าน
    ๒.ตอบแทนคุณท่าน

    การประกาศคุณท่านหมาย ถึงการทำให้ผุ้อื่นรู้ว่า พ่อแม่มีคุณแก่เราอย่างไรบ้าง มากน้อยเพียงใดเรื่องนี้มีคนคิดทำอยู่มากเหมือนกัน แต่ส่วนมากไปทำตอนงานศพคือเขียนประวัติสรรเสริญคุณพ่อแม่ในหนังสือแจกการ กระทำเช่นนี้ก็ถูกแต่ถูกเพียงเปลือกนอกผิวเผินนักถ้าเป็นการกินผลไม้ก็แค่ เคี้ยวเปลือกเท่านั้นยังมีทำเลที่จะประกาศคุณพ่อแม่ที่สำคัญกว่านี้ คือ ที่ตัวเรานี่เอง
    คนเราทุกคนคือตัวแทน ของพ่อแม่ตนทั้งนั้นเลือดก็แบ่งมาจากท่านเนื้อก็แบ่งมาจาท่านตลอดจนนิสัยใจ คอก็ได้รับการอบรมถ่ายทอดมาจากท่านความประพฤติของตัวเรานี่แหละจะเป็น เครื่องประกาศคุณพ่อแม่อย่างโจ่งแจ้งที่สุดหากพิมพ์ข้อความไว้ในหนังสือ แจกว่าคุณพ่อคุณแม่เป็นคนตั้งอยู่ในศีลในธรรมแต่ตัวเราเองประพฤติ สำมะเลเทเมาคอร์รัปชั่นทุกครั้งที่มีโอกาสศีลข้อเดียวก็ไม่สนใจรักษา ก็ผิดที่ไปสดุดีคุณพ่อแม่ว่าเป็นคนดีสุภาพเรียบร้อยแต่ตัวเราผู้เป็นลูกกลับ ประพฤติตัวเป็นนักเลงอันธพาลอย่างนี้คุณค่าของการสรรเสริญพ่อแม่ก็ลดน้ำหนัก ลงกลายเป็นว่ามอบหน้าที่ในการกตเวทีประกาศคุณพ่อแม่ให้หนังสือทำแทน ให้กระดาษให้เครื่องพิมพ์ ให้ช่างเรียงพิมพ์แสดงกตเวทีแทนแล้วตัวเรากลับประจานพ่อแม่ของตัวเองอย่าง น้อยที่สุดก็ประจานแก่ชาวบ้านว่าพ่อแม่ของเราเลี้ยงลูกไม่เป็นประสา
    พ่อ แม่ของใครใครก็รักเมื่อรัท่านก็ประกาศคุณความดีของท่านซิประกาศด้วยความดี ของตัวเราเองตั้งแต่เดี๋ยวนี้ยิ่งท่านยังมีชีวิตอยู่ การประกาศคุณของเราจะทำให้ท่านมีความสุขใจอย่างยิ่งส่วนใครจะประพันธ์ สรรเสริญคุณพ่อแม่พิมพ์แจกเวลาท่านตายแล้วนั่นเป็นประเด็นเบ็ดเตล็ดจะทำก็ ได้ไม่ทำก็ไม่เสียหายอะไร
    ไม่ว่าเราจะตั้งใจประกาศคุณท่านหรือไม่ความ ประพฤติของเราก็เป็นตัวประกาศคุณท่านหรือประจานท่านอยู่ตลอดเวลาคิดเอาเองก็ แล้วกันว่าเราจะประกาศคุณพ่อแม่ของเราด้วยเกียรติยศชื่อเสียงหรือจะใจดำถึง กับประจานผู้บังเกิดเกล้าด้วยการทำตัวเป็นพาลเกเรและประพฤติต่ำทราม

    การตอบแทนคุณท่าน แบ่งเป็น ๒ ช่วงคือ
    ๑.เมื่อ ท่านยังมีชีวิตอยู่ก็ช่วยเหลือกิจการงานของท่านเลี้ยงดูท่านตอนเมื่อยามท่าน ชราดูแลปรนนิบัติการกินอยู่ของท่านให้สะดวกสบายและเอาใจใส่ช่วยเหลือเมื่อ ท่านเจ็บป่วย
    ๒.เมื่อท่านล่วงลับไปแล้ว ก็จัดพิธีศพให้ท่านและทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ท่านอย่างสม่ำเสมอ
    แม้เราจะตอบแทนพระคุณท่านถึงเพียงนี้แล้วก็ยังนับว่าเล็กน้อยมากเมื่อเทียบกับพระคุณอันยิ่งใหญที่ท่านมีต่อเรา
    ผู้ที่มีความกตัญญูกตเวทีต้องการจะสนองพระคุณท่านให้ได้ทั้งหมดพึงกระทำดังนี้
    ๑.ถ้าท่านยังไม่ศรัทธาในพระพุทธศาสนาก็พยายามชักนำให้ท่านตั้งอยู่ในศรัทธาให้ได้
    ๒.ถ้าท่านยังไม่ถึงพร้อมด้วยการให้ท่านก็พยายามชักนำให้ท่านยินดีในการบริจาคทานให้ได้
    ๓.ถ้าท่านยังไม่มีศีลก็พยายามชักนำให้ท่านรักษาศีลให้ได้
    ๔.ถ้าท่านยังไม่ทำสมาธิภาวนาก็พยายามชักนำให้ท่านทำสมาธิภาวนาให้ได้
    เพราะ ว่าการตั้งอยู่ในศรัทธาการให้ท่าน การรักษาศีล การทำสมาธิภาวนาเป็นประโยชน์โดยตรงและเป็นประโยชน์อันยิ่งใหญ่่แก่ตัวบิดา มารดาผู้ประพฤติปฏิบัติเองทั้งในภพนี้ ภพหน้าและเป็นประโยชน์อย่างยิ่งคือ เป็นหนทางไปสู่พระนิพพาน

    อานิสงส์การบำรุงบิดามารดา

    ๑.ทำให้เป็นคนมีความอดทน
    ๒.ทำให้เป็นคนมีสติรอบคอบ
    ๓.ทำให้เป็นคนมีเหตุผล
    ๔.ทำให้พ้นทุกข์
    ๕.ทำให้พ้นภัย
    ๖.ทำให้ได้ลาภโดยง่าย
    ๗.ทำให้แคล้วคลาดภัยในยามคับขัน
    ๘.ทำให้เทวดาลงรักษา
    ๙.ทำให้ได้รับการยกย่องสรรเสริญ
    ๑๐.ทำให้มีความเจริญก้าวหน้า
    ๑๑.ถ้ามีลูกก็จะได้ลูกที่ดี
    ๑๒.ทำให้มีความสุข
    ๑๓.ทำให้เป็นตัวอย่างอันดีแก่อนุชนรุ่นหลัง

    อานิสงส์การบำรุงบิดามารดา
     
  17. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,097




    [​IMG]

    [​IMG]

    สาธุ...สั้น ๆ แต่ได้บุญ

    " สาธุ อนุโมทนา วันทามิ" และ " ขออนุโมทนาสาธุด้วยนะ" เป็นประโยคที่ชาวพุทธคุ้นเคยมากที่สุด เช่น เมื่อพระเทศน์จบ การถวายทาน รวมทั้งพระให้ศีล ให้พร คำว่า "สาธุ" ซึ่งมีความหมายว่า ดี งาม ชอบ หรือ ถูกต้อง

    คำว่า "สาธุ" มีความหมายเป็น 2 นัย คือ พระสงฆ์เปล่งวาจาว่า "สาธุ" หมายความว่า "เพื่อยืนยัน หรือรองรับการทำสังฆกรรมนั้น ๆ ว่าถูกต้องเหมาะสม หรือ เพื่อลงมติว่า เห็นด้วยกับข้อเสนอ ซึ่งเป็นกิริยาที่พระสงฆ์ใช้แทนการยกเมือแบบคฤหัสถ์ ในเวลาลงมติ"


    ในขณะที่คำกล่าว "สาธุ" หากเปล่งออกมาจากฆราวาส จะเป็นคำอนุโมทนาแสดงความชื่นชมยินดีในบุญกุศล หรือความดีที่คนอื่นทำ โดยประนมมือยกขึ้นเสมอศีรษะ พร้อมเปล่งวาจา สาธุ นอกจากนี้ยังใช้ในความหมายของคำว่า ไหว้ อีกด้วย เช่นบอกเด็ก ๆ แสดงความเคารพพระหรือผู้ใหญ่ ทั้งนี้จะลดเหลือคำว่า "ธุ" ก็มี

    การกล่าวคำว่า "สาธุ" ถือว่าผู้กล่าวได้บุญ เพราะเป็นการทำบุญข้อหนึ่งในบุญกิริยาวัตถุ 10 ประการ คือ "ปัตตานุโมทนามัย" แปลว่า บุญสำเร็จด้วยการอนุโมทนาส่วนบุญ คือ การได้ร่วมอนุโมทนา เช่น กล่าวว่า "สาธุ" เพื่อเป็นการยินดี ยอมรับความดี และขอมีส่วนร่วมในความดีของบุคคลอื่น ถึงแม้ว่าเราไม่มีโอกาสได้กระทำ ก็ขอให้ได้มีโอกาสแสดงการรับรู้ด้วยใจปีติยินดีในบุญกุศลนั้น ผลบุญก็จะเกิดแก่บุคคลที่ได้อนุโมทนาบุญนั้นเองด้วย


    ที่มาบอร์ดพลังจิต
     
  18. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,097



    [​IMG]


    มีเรื่องเล่า มียายคนหนึ่งแกไปวัดรับศีลฟังเทศน์ทุกวัน

    วันหนึ่งขากลับจากวัดมา เจอคนหาปลาแกก็ถามว่า มาจากไหน?

    คนหาปลาก็ตอบว่า ? มาจากหาปลา?

    แล้วเป็นไงวันนี้หาปลาได้ไหม?

    ก็พอได้ ต้มได้แกง?

    แล้วยายวันนี้มาจากไหนละ?

    ไปวัดฟังเทศน์รับ ศีลมา?


    คนหาปลาก็ถามยายว่า ?ไหนละศีลของยาย?

    ยายก็นึก ขึ้นได้ว่า ?เอหลวงพ่อบอกว่าให้ศีล ๆ แต่ไม่เคยได้สักที สงสัยหลวงพ่อโกหกละมั่ง เอาละวันนี้ยังไงถ้าไม่ได้ศีลจากหลวงพ่อเป็นไม่ยอมละ?

    ว่าแล้วยายก็ หันหลังกลับไปวัด พอดีไปเจอหลวงพ่อนั่งอยู่บนศาลา หลวงพ่อก็ถามขึ้นว่า ?อ้าวโยมลืมอะไรหรือจึงกลับมาอีก?


    ไม่ได้ลืมอะไรหลอก แต่ว่าจะมาทวงเอาศีลจากหลวงพ่อ?

    อ้าวก็ให้ไปเมื่อเช้าแล้วไงโยม?

    ยังยังไม่ได้ให้สักที?


    หลวงพ่อจะอธิบายอย่างไรโยมก็ไม่ เข้าใจ จะเอาศีลให้ได้ ?วันนี้ถ้าไม่ได้ศีลเป็นไม่ยอมละหลวงพ่อ? หลวงพ่อก็จนใจ เดินลงศาลาไปทางสระน้ำ พอดีไปเจอปูตัวหนึ่งก็จับกำมาไว้อย่างดี ขึ้นศาลาก็ถามหา ? ไหนละเชี้ยนหมากของโยมเอามานี่จะใส่ศีลให้? โยมก็เอาเชี้ยนหมากให้หลวงพ่อ หลวงพ่อก็เอาปูแอบใส่ลงไปในเชี้ยนหมาก แล้วปิดฝาอย่างดี ?อ้าวโยม หลวงพ่อให้ศีลแล้ว แต่ห้ามเปิดนะเดี๋ยวศีลมันจะออก? ยายได้ศีลแล้วก็ดีใจรีบกราบลาหลวงพ่อกลับบ้าน เดินยิ้มไปตลอดทาง วันนี้ฉันโชคดีได้ศีลจากหลวงพ่อแล้ว แม้อุตส่าห์โง่มานาน ว่าแล้วยายก็เอาเชี้ยนหมาก มาแนบหู เสียงปูเดินดังแคว็ก ๆ ๆ อยู่ข้างใน ยายคิดว่า เออศีลนี่มันก็เดินเป็นนะ?

    พอมาถึงบ้านหลานวิ่งมารับ ยายก็ตวาดทันที ?มึงอย่าเปิดเชี้ยนหมากกูนะเดี๋ยวศีลกูจะออก? ยายวางเชี้ยนหมากแล้วเดินไปล้างเท้า ฝ่ายหลานก็สงสัยทุกวันยายไม่เคยห้าม ก็เลยหยิบเชี้ยนหมายขึ้นมาดู ?เอศีลอะไรของยายนะมันเดินดังแคว๊ก ๆ ๆ อยู่ข้างใน? ด้วยความสงสัยก็เลยเปิดเชี้ยนหมากเอามือแย่เข้าไปดู ปูมันก็หนีบมือเอา หลานก็ร้อนลั่น ยายตกใจก็วิ่งมาดู ถามว่า ?เป็นอะไรวะมึง? ?ยายศีลยายหนีบมือ? ยายก็รีบแกะปูออก ทีแรกคิดว่าจะทุบให้ตาย แต่ก็เสียดายกว่าจะได้มาไม่ใช่ง่าย แกนั่งพิจารณาไปพิจารณามา ?เอศีลมันก็ตัวเหมือนปูนี่เอง ถ้าอย่างนี้ฉันก็เคยกินแกงกินยำผัดเผ็ดศีลมาแล้วนี่ ทีนี้วันหลังอยากได้ศีลไม่ต้องไปวัดแล้ว ไปหาตามชายหาดเลยศีลแบบนี้มีเยอะแยะสบายมาก?

    นี่แหละคนไม่รู้จักศีลก็เป็นอย่างนี้ ศีลนี่ที่แท้จริงมันไม่มีตัวไม่มีตน แต่มันเป็นข้อปฏิบัติทางกายวาจา ใครทำกายวาจาให้เรียบร้อยเป็นปกติคนนั้นก็มีศีล และจะทำให้จิตใจสงบเย็น
     
  19. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,097
    เมื่อวานนี้ โรงเรียนเทคนิคที่ผมบริหารอยู่ได้มีการจัดงานวันแม่ และเปิดโอกาสให้ลูกที่โตเป็นหนุ่มสาวแล้วกอดแม่ กราบเท้าแม่ หอมแก้มแม่ และบรรจงมอบพวงมาลัยแก่แม่ ได้เห็นภาพนี้มาทุกปี แต่ก็อดที่จะซึ้งใจไม่ได้สักครั้งเพราะน้ำตาแม่และน้ำตาลูกที่ไหลออกมามันเป็นน้ำตาที่อยู่คนละฟากแต่เป็นมุมเดียวกันคือความรักที่แม่มีต่อลูก และความกตัญญูที่ลูกมีต่อแม่ อยากตอบแทนพระคุณแม่ และรักแม่ แอบเห็นน้องช่างภาพของโรงเรียน ถ่ายภาพไป ร้องไห้ไป เพราะน้องช่างภาพ "แม่อยู่ไกลเกินไปสำหรับเธอแล้ว" วันนี้วันแม่ไปกราบแม่น๊ะครับ แม่ใช่ยาคูลท์ ไม่มีฉลากบอกวันหมดอายุ วันนี้แม่ยังอยู่ไปกราบแม่ซะให้แน่น หากวันใด "แม่อยู่ไกลเกินไปถึงแล้ว" วันนั้น ไม่มีแม่ให้กอดอีกแล้วน๊ะ... นึกถึงคำที่ผู้ปกครองลุกขึ้นกล่าวสอนน้องๆ ในห้องประชุมอยู่คำนึง คำๆ นั้นก็คือ "แม่ คือธนาคารของลูก ที่เปิดให้ถอนได้ 24 ชั่วโมงและไม่มีวันหยุด" เลยต้องขออนุญาตนำบทความที่ใกล้เคียงกันมาให้อ่านกันครับ









    <CENTER>[​IMG] </CENTER>

    <DD>วันที่ 12 สิงหาคม ตรงกับวันเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ที่พวกเราชาวไทยให้ความเคารพรักเทิดทูนศรัทธาเปรียบเสมือน "แม่" ที่แท้จริงของเรา

    <DD>พวกเราจึงถือว่าวันที่ 12 สิงหาฯ คือ วันสำคัญอีกวันหนึ่งซึ่งเรียกว่า "วันแม่ " <DD>เพื่อให้พวกเราคิดถึงความสำคัญของ "แม่" <DD>เพราะคนสมัยนี้ บางทีก็นึกว่าการมีแม่เป็นเรื่องปกติของชีวิตที่ไม่ต้องไปคิดอะไรกันมาก <DD>เมื่อให้กำเนิดเราเกิดมาก็ต้องมีหน้าที่เลี้ยงดูเราให้เติบใหญ่ต่อไปจนกว่าเราจะเลี้ยงตัวเองได้ <DD>หรือบางคนที่เกิดมาพบกับความยากลำบาก อาจจะคิดไกลไปถึงว่าไม่รู้พ่อแม่ทำให้เกิดมาพบความลำบากทำไม
    <DD>ในส่วนลึกของจิตใจจึงไม่ค่อยรักแม่ คิดถึงแม่สักเท่าไร <DD>บางครั้งเราจึงได้ยินข่าวลูกทำร้ายแม่บ้าง ลูกฆ่าแม่บ้าง เพราะในส่วนกว้างของจิตใจไม่รักไม่ผูกพันกับแม่ <DD>การกำหนดให้มีวันแม่ จึงถือเป็นเรื่องดีที่นอกจากเพื่อคิดถึงความสำคัญของแม่แล้ว ยังถือเป็นการยกย่องเชิดชูบูชา "แม่" ผู้ให้กำเนิดเราเกิดมามีโอกาสใช้ชีวิตในโลกใบนี้ <DD>โลกที่ถ้าไม่มีแม่ เราก็ไม่สามารถมีชีวิตขึ้นมาได้
    <DD>การมีชีวิตขึ้นมาได้จึงถือเป็นเรื่องยิ่งใหญ่ ที่ใครก็ตามไม่ควรลืมคำว่า "แม่" <DD>มิใช่ในแง่ผู้มีพระคุณอย่างล้นเหลือที่ให้เราเกิดมาเท่านั้น <DD>ในทุก ๆ แง่ ทำให้เราลืมคำว่า "แม่" ไม่ได้ไปชั่วนิจนิรันดร <DD>สำหรับวันอันสำคัญยิ่งของแม่นี้ จึงควรที่พวกเราจะคิดถึงแม่ในอีกแง่มุมหนึ่ง คือในแง่มุมที่ว่า "แม่คือธนาคารของลูก"
    <DD>ทำไมจึงกล่าวเช่นนั้น <DD>ลองนึกดูซิว่าเมื่อเรานึกถึงคำว่าธนาคารเรานึกถึงอะไร <DD>เราจะนึกถึงภาพของสถานที่ที่ทำหน้าที่ฝากและถอนเงิน <DD>แต่ถ้าเราจะถอนเงินออกมาได้ เราต้องมีเงินฝากอยู่ในธนาคารก่อน <DD>เราไม่สามารถถอนโดยที่ไม่มีเงิน <DD>สำหรับ "แม่" แล้ว แน่ยิ่งกว่าธนาคาร <DD>เพราะนับตั้งแต่เกิดจนเติบใหญ่ ลูกสามารถถอนเงินจากแม่ได้อยู่ตลอดเวลา โดยไม่ต้องหาเงินไปฝาก <DD>ลูกสามารถถอนเงินได้ทั้งทางตรงและทางอ้อม ถอนทางตรงก็คือแบมือขอเงินแม่กันตรงๆ ทุกเช้า โดยเฉพาะช่วงที่ลูกอยู่ในวัยเรียน แม่ต้องเตรียมเงินให้เพียงพอต่อการที่ลูกจะมีเงินติดกระเป๋าไปซื้อข้าวกลางวันที่โรงเรียน ไม่เฉพาะแค่ค่าข้าวเท่านั้น แม้แต่ค่าเสื้อผ้า รวมถึงค่าหนังสือหนังหา แม่ก็ต้องหาเตรียมไว้ให้ลูกมาเบิกถอนอย่างพอเพียง
    <DD>ถอนเงินทางอ้อมก็คือ ค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่เลี้ยงลูกมาตั้งแต่เกิดจนโต <DD>เป็นค่าใช้จ่ายที่แม่หามาจ่ายให้ลูกมีชีวิตที่เติบใหญ่ โดยไม่เคยมีสมุดบัญชีบันทึกไว้แต่อย่างใดว่าจ่ายให้ลูกไปเท่าไร <DD>เพราะแม่ไม่เคยคิดที่จะคิดบัญชีเอาเงินคืนจากลูก <DD>แม่ไม่เคยคิดที่จะคิดดอกเบี้ยจากลูก <DD>แม่จึงไม่ต้องจดบันทึก <DD>แต่แม่กลับนึกว่าจะหาทางทำมาหากินร่วมกับพ่ออย่างไร จึงจะหาเงินมาเป็นค่าใช้จ่ายให้ลูกเติบโตอย่างมีคุณภาพ <DD>แม่จึงเหนื่อยยากสายตัวแทบขาดเพื่อคำเดียวคือคำว่า "ลูก"
    <DD>ผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งไม่มีลูก จะเหนื่อยยากน้อยกว่าคนที่มีลูกเป็นธรรมดา <DD>เพราะไม่ต้องมีภาระหน้าที่ทำงานเพื่อหาเงินมาเลี้ยงลูก <DD>แต่เมื่อผู้หญิงคนใดมีลูก สำนึกของความเป็นแม่จะแผ่ซ่านขึ้นมาทันที <DD>ที่ไม่เคยทำก็ต้องทำ <DD>ที่ไม่เคยเหนื่อยก็ต้องเหนื่อย <DD>เงินที่เคยใช้อยู่คนเดียวด้วยความสบายใจ ก็มีคนมาช่วยใช้เพิ่มขึ้น <DD>ลูกบางคนนั้น แม่หาเงินมาเลี้ยงดูจนเติบใหญ่แล้ว แทนที่จะทำมาหากินมีเงินพอจะเลี้ยงดูตนเองได้ กลับยังแบมือขอเงินแม่อยู่ก็มี
    <DD>แม่ก็ไม่เคยปริปากบ่น <DD>ถึงจะยากจะจนขนาดไหน ก็ดั้นด้นทนทุกข์หามาให้ลูกเท่าที่จะหาได้ <DD>เพราะอะไร <DD>เพราะสำนึกของความเป็นแม่ <DD>เพราะความรักความผูกพันของแม่ <DD>เพราะความปรารถนาดีของแม่ <DD>นี่คือความประเสริฐของแม่

    <DD>นี่คือความดีงามของ "ธนาคารแม่" ที่มีแต่ให้ <DD>ลูกพร้อมจะให้อะไรแม่บ้างหรือไม่ ในวันแม่ปีนี้ <DD>ไม่ต้องให้เงินให้ทองแม่ก็ได้ <DD>แค่ให้ "คิดถึง" แม่ รัก "แม่ เท่าที่แม่รักลูก <DD>เท่านั้นก็พอ!


    </DD>​
    บทความจากหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ เมื่อปี 2545
    เก็บตกข้อความจากห้องสมุดอีเล็กทรอนิคส์ e-lib online

    ขอฝากบทเพลงดีๆ ให้ฟังกันเพลินสักเพลงนึง ครับ อย่าลืมวันนี้หรือวันต่อๆ ไป ทำอะไรสักอย่างให้แม่สบายใจก็ยังดี หน้า 286 นี้ ขอให้กำลังใจแด่ลูกๆ ทุกคนที่ทำความดีเพื่อแม่ครับ




    <CENTER>
    <EMBED height=25 type=application/x-shockwave-flash width=200 src=http://www.youtube.com/v/Q_7AAKFpyqk&hl=en_US&fs=1&autoplay=1&autostart&loop=1 allowfullscreen="true" allowscriptaccess="always">[​IMG][​IMG]</EMBED>
    บทเพลงของแม่ จากน้ำฝน พัชรินทร์ </CENTER>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 สิงหาคม 2010
  20. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,097
    รูปพระพิมพ์สมเด็จสกุลเจ้าคุณกรมท่า พระฯ นอกพิมพ์มาตรฐานสากลนิยม พระฯ ที่เหมาะสำหรับคนยากคนจนที่ทำมาหากินโดยสุจริต ประเภทซื่อกินไม่หมด คดกินไม่นาน และมีศีล 5 เป็นพื้น แขวนท่านไว้ รับรองได้ "มึงมีกู (เจ้าประคุณสมเด็จฯ (โต) ไว้ ไม่อับจนหนทางดอก ถึงจะตกต่ำก็ไม่นาน...."พระที่พระโพธิสัตว์เสกไว้ ขอได้ตามใจประสงค์แน่นอน
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • PB010342.JPG
      PB010342.JPG
      ขนาดไฟล์:
      626.3 KB
      เปิดดู:
      158
    • PB010346.JPG
      PB010346.JPG
      ขนาดไฟล์:
      588.9 KB
      เปิดดู:
      165
    • PB010347.JPG
      PB010347.JPG
      ขนาดไฟล์:
      577.9 KB
      เปิดดู:
      150
    • PB010356.JPG
      PB010356.JPG
      ขนาดไฟล์:
      614.4 KB
      เปิดดู:
      161
    • PB010357.JPG
      PB010357.JPG
      ขนาดไฟล์:
      630 KB
      เปิดดู:
      153
    • PB010358.JPG
      PB010358.JPG
      ขนาดไฟล์:
      568 KB
      เปิดดู:
      159
    • PB010359.JPG
      PB010359.JPG
      ขนาดไฟล์:
      575.2 KB
      เปิดดู:
      158
    • PB010302.JPG
      PB010302.JPG
      ขนาดไฟล์:
      533.8 KB
      เปิดดู:
      164
    • PB010304.JPG
      PB010304.JPG
      ขนาดไฟล์:
      623.3 KB
      เปิดดู:
      168

แชร์หน้านี้

Loading...