การทำบาปของผู้ที่รู้และไม่รู้ (มิลินทปัญหา)

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย nondanun, 9 สิงหาคม 2010.

  1. ผมยังเลวอยู่มาก

    ผมยังเลวอยู่มาก เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2008
    โพสต์:
    187
    ค่าพลัง:
    +539
    เป็นความเข้าใจที่ถูกต้องเลยคับ ด้วยกำลังใจเต็มที่ในการทำบาป ผลก็เลยเกิดมากกว่าต่างกับผู้ที่รู้ว่าบาปคืออะไร สภาวะจิตใจจึงยังมีความละอายเกรงกลัวอยู่บ้าง
     
  2. อวตาร.

    อวตาร. เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    411
    ค่าพลัง:
    +633
    จะอธิบาย กระทู้นี้ให้......
    1.ความหมายก็คือ ทั้งผู้ที่ไม่รู้ว่าบาปและผู้รู้ว่าบาป แล้วทำนั้น ทั้งคู่มี "เจตนา"
    2.ส่วนที่ว่าไม่ปรับอาบัติผู้ไม่เจตนานั้น ไม่ได้เกี่ยวกับ ปัญหาในเรื่องนี้ แต่พวกท่านนำมาปนกันเอง
    คราวนี้มาเรื่องอุปมาอุปมัยเรื่องก้อนเหล็ก บางท่านก็เข้าใจได้บางท่านที่ยังไม่เข้าใจ
    ก็ลองฟังอุปมา เรื่องนี้ดู พวกท่านคงทราบกันแล้วใช่ไหมว่า ยังมีลักธิบูชายัญด้วยแพะอยู่
    แถมพวกเขาเหล่านั้นยังเข้าใจด้วยซ้ำว่า การฆ่าแพะบูชายัญ เป็นสิ่งที่ดี พูดแค่นี้ก็คงจะเข้าใจแล้วนะ
     
  3. bomboomzaz_จ้า

    bomboomzaz_จ้า เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    34
    ค่าพลัง:
    +111
    ผมเข้าใจว่าผู้ที่ทำบาปโดยไม่รู้จะบาปกว่าผู้ที่รู้ ก็เหมือนอย่างที่พระนาคเสนยกตัวอย่างนะแหละ
     
  4. ฐิติ จันทร์ตรง

    ฐิติ จันทร์ตรง Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    21
    ค่าพลัง:
    +37
    บาป = ความไม่สบายใจ
    บุญ = ความสบายใจ
    สองอย่างจะรวมกันไม่ได้ เปรียบเหมื่อน น้ำ กับ น้ำมัน ชื่อคล้ายกันแต่ลักษณะต่างกัน
    ไม่มีบุญ และบาป ถ้าหยุดอยู่ที่จิตเดิม เป็นเวลานานเท่าไรที่จิตเดิมถูกพอก จะหนาขนาดไหนเหมื่อน ใจกลางของโลกที่เราอาศัย ไม่มีใครในพื้นโลกที่เดินทางไปถึง แต่ ไม่มีใครในพื้นโลกกล่าวว่าไม่มีใจกลางโลก จริงเปล่า
     
  5. สมาปัญญา

    สมาปัญญา Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    34
    ค่าพลัง:
    +88
    ตามความเข้าใจของผมนะครับ

    พระพุทธเจ้าท่านสอนให้เจริญ"สติ" สติในคำสอนของท่านนั้นเป็น "ธรรม"

    โดยที่เปรียบเทียบว่า คนที่รู้ว่าเหล็กนี้ร้อนแล้วไปหยิบเป็นบาปน้อยกว่า เพราะ ก่อนที่เราจะรู้หรือไม่รู้ ว่าเหล็กก้อนนี้ร้อนหรือไม่ร้อน ก็ต้องมีสติเกิดขึ้นมาก่อน เมื่อสติรู้เกิดขึ้นมา สมาธิกับปัญญา จะเกิดขึ้นตามมาเองโดยธรรมชาติ แต่สิ่งที่สำคัญนั้นคือ "สติ" ถ้าไม่มีสติเกิดขึ้นมา สมาธิกับปัญญาจะไม่มีทางเกิดขึ้นมา

    สมมุตินะครับว่า เราเดินไปเจอเหล็กก้อนนึ่ง ที่วางขวางทางเดินของเราอยู่ ซึ่งเราจะต้องเดินไปข้างหน้า แล้วเราจะหยิบมันออกไปจากทางเดินของเราทันทีหรือเปล่า?

    ถ้าใคร "หยิบ" ทันที แสดงว่า ผู้นั้นขาดสติไป เมื่อหยิบจับแล้วเป็นไง ร้อนไหมครับ จับเข้าไปเต็มๆ เหมือนกับคนที่เวลาทำบาปนะครับ เมื่อขาดสติไปก็ทำบาปโดยไม่ยั้งคิด เช่น ตั้งใจจะลักทรัพย์(ขาดสติแรก) แต่เจ้าทรัพย์ต่อสู้ ขัดขืน สุดท้ายต้องฆ่าเจ้าทรัพย์ด้วย(ขาดสติสอง)

    "ตั้งใจจะลักทรัพย์นี้คือการขาดสติแรก ไม่เกรงกลัวต่อบาป แต่พอขาดสติสองกลายเป็นฆ่าคนเลย" เห็นผลของการขาดสติไหมครับ

    ถ้าใคร "ไม่หยิบ" ในทันที ก็แสดงว่าผู้นั้นมีสติรู้อยู่ตลอดเวลา จะต้องพิจารณาก่อนเสียว่า ใครเอาเหล็กอะไรมาวางขวางทางเดินของเรา เหล็กนี้ใช้ทำอะไร มาอยู่ตรงนี้ได้ยังไง แล้วมันร้อนหรือเปล่า หยิบจับได้หรือเปล่า ในการพิจารณาตรงนี้ สมาธิกับปัญญาเกิดขึ้นมาเองโดยธรรมชาติ ซึ่งแตกต่างกับคนที่ขาดสติ เมื่อรู้ว่าร้อนแล้วจะหยิบไหมละ แต่ถ้าจำเป็นที่จะต้องหยิบออกให้พ้นทางเดินของเรา เราก็ต้องหยิบอย่างมีสติ ที่จะต้องระวังไม่ให้โดนความร้อน

    เช่น ตั้งใจจะลักทรัพย์ แต่มีสติรู้ว่าเป็นบาป เกรงกลัวต่อบาป(สติแรก) ก็ต้องพิจารณาลงไปอีกว่า เอาแค่ลักทรัพย์ เอาแค่อยู่รอด โดยที่จะไม่ฆ่าเจ้าทรัพย์(สติสอง) พิจารณาลงไปอีกว่า จะลักทรัพย์อย่างไร จะต้องใช้วิธีการอย่างไร ที่จะไม่ต้องฆ่าเจ้าทรัพย์(สติสาม) ตรงนี้เป็นแค่เพียงการยกตัวอย่างนะครับ คงไม่มีโจรหรือผู้ร้ายคิดอย่างผม ทุกวันนี้คนขาดสติกันเยอะ

    แต่ถ้าท่านยังทำบาปอยู่อีก ก็แสดงถึง "จิตใจ" ของท่านยังมีกิเลศห่อหุ้มอยู่ ยังไม่ละซึ่งกิเลศ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 สิงหาคม 2010
  6. อวตาร.

    อวตาร. เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    411
    ค่าพลัง:
    +633
    ที่ไหนมีดีที่นั่นย่อมมีชั่ว
    ที่ไหนมีสุขที่นั่นย่อมมีทุกข์
    ที่ไหนมีบุญที่นั่นย่อมมีบาป
    ที่ไหนมีเกิดที่นั่นย่อมมีตาย
    ที่ไหนมีความมืดที่นั่นย่อมมีความสว่าง

    ที่ไหนที่ ไม่มีทั้งบุญและบาป สุขและทุกข์ ดีและชั่ว เกิดและตาย มืดและสว่าง ที่นั่นคือ พระนิพพาน
     
  7. โชเต

    โชเต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2009
    โพสต์:
    285
    ค่าพลัง:
    +331
    พูดกันง่ายๆ สั้นๆ ได้ใจความกันแบบชัดเจน

    รู้ทั้งรู้ว่า แก้วน้ำแก้วนั้น มียาพิษ

    คนที่รู้เขาก็ไม่กินน้ำที่อยู่ในแก้วนั้นหรอก

    ส่วนคนที่ไม่รู้หยิบแก้วน้ำ ที่มียาพิษในแก้วนั้น ขึ้นมาซดจนหมดแก้ว

    คนที่เขารู้ว่าเป็นบาป เขาไม่ทำกันหรอก

    คนที่ไม่รู้ว่าเป็นบาป เขาทำเข้าไป มันก็เป็นบาป

    และส่วนที่คนเขารู้ว่า มันเป็นบาป แต่ก็ "จงใจกระทำ" มันก็ยิ่งบาป เป็นทวีคูณ!
     
  8. อวตาร.

    อวตาร. เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    411
    ค่าพลัง:
    +633
    คนที่รู้ว่าบาปแล้วทำบาปนั้น เช่น คนที่ฆ่ามาเพื่อเป็นอาหาร แต่เป็นอาชีพบ้าง เลี้ยงไว้กินบ้าง ตามวิถีชีวิต แต่ก็รู้ว่ามันบาป เขาก็ละอายต่อบาปนั้น เกรงกลัวต่อบาปนั้น จึงต้องไปทำบุญให้มากๆ เพื่อจะได้บุญได้กุศลไว้เผื่อจะได้บรรเทาบาปที่ตัวก่อ(ความนึกคิดของเขาเหล่านั้น)

    ส่วนคนที่ไม่รู้ว่าบาปแล้วทำบาปนั้น เช่น คนที่บูชายัญด้วยชีวิตสัตว์ต่างๆ เขาผู้นั้นล้วนยินดีในการบูชายัญด้วยชีวิตสัตว์เหล่านั้น มีจิตเบิกบานในการทำบาปนั้น มีความหลงผิดเข้าใจผิดว่าเป็นบุญเป็นกุศล เป็นผู้มีความเห็นผิด(มิจฉาทิฏฐิ) ผู้ไม่รู้ว่าสิ่งนี้บาปแล้วทำบาปย่อมบาปมากกว่าผู้รู้ว่าบาปแล้วทำบาปนั้น
     
  9. upanya

    upanya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2006
    โพสต์:
    900
    ค่าพลัง:
    +1,035
     
  10. dhammahansa

    dhammahansa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    81
    ค่าพลัง:
    +312
    เพิ่งรู้นะครับ
    ผมก็ดู นะครับ มิลินทปัญหา แต่ดูไม่จบทั้งหมด สาธุ อนุโมทณา จ้า เจริญพร
     
  11. Sun smile

    Sun smile เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2009
    โพสต์:
    213
    ค่าพลัง:
    +366
    แยกประเด็น..ความชัดเจน

    1 รู้ กับ ไม่รู้เลย เรื่องบาปบุญคุณโทษ
    - รู้ = รู้ แต่ยัง ทำ (ทำบ้างไม่ทำบ้าง)
    - ไม่รู้เลย = ไม่รู้ ทำเป็นปกติ (อาจิณกรรม)

    2 มีเจตนา กับ ไม่มีเจตนา
    - รู้ + มีเจตนา
    - รู้ + ไม่มีเจตนา
    - ไม่รู้ + มีเจตนา
    - ไม่รู้ + ไม่มีเจตนา

    ต่างกรรม ต่างวาระ ขอโมทนาสาธุ..
     
  12. tent006

    tent006 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    14
    ค่าพลัง:
    +28

    เปรียบเทียบได้ดีนะครับ สาธุ:cool:
     
  13. nongyao

    nongyao เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    321
    ค่าพลัง:
    +346
    ใครอธิบายก็ไม่เข้าใจชัดแจ่มแจ้งเท่าเด็กอนุบาล เยี่ยม
     
  14. wattanadist

    wattanadist เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    162
    ค่าพลัง:
    +1,134
    ผมก็เข้าใจเช่นนั้นว่า....

    หากรู้ว่าบาปแล้วยังทำ อาจจะเป็นการทำแบบกลัว ๆ เลี่ยง ๆ แบบว่าขอทำสักครั้งเพราะจำเป็น...ซึ่งเปรียบเทียบกับไม่รู้เลยว่าแบบนั้นเป็นบาปและลงมือทำไปเต็มร้อยหรือเกินร้อยด้วยความมั่นใจและเป็นระยะเวลาที่เนิ่นนาน

    โดยเปรียบเทียบกันแล้วว่า...หากผลบาปออกมา อย่างที่ 2 นี่แหละจะสะสมบาปได้มากกว่าแบบแรก...หรือเป็นสิ่งที่พุทธองค์ทรงตรัสไว้ ในข้อที่เกี่ยวกับ อกุศลกรรมข้อที่ ไม่ควรพึงทำเพราะไม่ค่อยมีความเจริญ...คือ ไม่เชื่อเรื่องของกฏแห่งกรรม (นั่นก็หมายถึงคนที่ไม่รู้เรื่องบาปเพราะแสดงว่า "ไม่เชื่อเรื่องกฏแห่งกรรมด้วย...นั่นเอง" )

    เหตุเป็นเช่นนี้...
     
  15. bububasic

    bububasic Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2009
    โพสต์:
    14
    ค่าพลัง:
    +38
    จะร้อนมากร้อนน้อยยังไงก็รอนเหมือนกัน นาๆจิตตัง อันที่จริงน่าจะบาปเท่ากัน เพราะวัดไม่ได้ว่าใครจับแล้วร้อนกว่ากัน 100องศา ก็ต้องร้อนเท่ากันแล้วแต่ความรู้สึก นะผมว่า การทำบุญจะช้วยทำให้ยืดเวลากรรมจะตามทันในภายลัง (จงยอมรับในสิ่งที่ตัวเองก่อ ย่ายอมขอให้ตัวเองพ้นบาป หากไม่ยากให้เขาอาฆาต จงอย่าทำให้เป็นบาปกับตัวเลย)
     
  16. อวตาร.

    อวตาร. เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    411
    ค่าพลัง:
    +633
    กิเลสตัวใหญ่ๆมีอยู่ 3 คือ โลภ โกรธ หลง

    ที่บาปต่างกันเพราะ หลง หลงเข้าใจผิด(มิจฉาทิฏฐิ)ใครหลงมากกิเลสก็มากตามบาปก็มากตาม
     
  17. pnumso

    pnumso เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2010
    โพสต์:
    39
    ค่าพลัง:
    +173
    บาปเป็นความคิดของศีลที่ยังไม่ลงมือกระทำบาปจึงเกิดได้ทุกขณะจิต ศีลเป็นการกระทำตามเจตนาที่คิด ถ้าไม่ลงมือทำถือว่ายังไม่ผิดศีล ในทางธรรมะ บาป แบ่งออกตามน้ำหนัก เท่าที่ทราบ เช่น การฆ่าสัตว์ ฆ่าสัตว์ให้คุณจะบาปหนัก แต่ก็ยังแยกไปอีกว่าสัตว์ประเภทใด ช้าง, ม้า, วัว, ควาย, สุนัข ในบรรดาสัตว์ที่กล่าวมานี้ สุนัข บาปน้อยกว่าเพราะ เป็นสัตว์เล็กไม่ใช่สัตว์ใหญ่

    ใครบาปกว่ากันอยู่ที่กรรมของผู้ที่กระทำต่อบาปนั้น ทำบาปเรื่องเดียวกัน เช่น ฆ่าวัวเหมือนกัน เป็นบาปและผิดศีลเท่ากัน แต่คนไม่รู้ตัวบาปทำไมได้รับกรรมหนักกว่า ก็เหมือนกับการเข้าวัดถ้าไปวัดรู้ว่าบาปคืออะไรแต่ยังต้องกลับมาทำอาชีพของตนเอง แ่ต่คนไม่รู้เพราะเป็นไม่ได้นับถือพุทธฆ่าวัวเป็นอาชีพเหมือนกันแต่กลับบาปหนักกว่า เพราะเหตุที่ไม่ได้โอกาสที่จะอโหสิกรรมต่อสัตว์นั้นๆ ผู้รู้ย่อมมีโอกาส

    ขออนุโมทนาด้วยคนครับ
     
  18. pandablahblah

    pandablahblah Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    316
    ค่าพลัง:
    +71
    อนุโมทนาสาธุค่ะ เมื่อก่อนชอบดูมาตอนออกทีวี แต่เสียดาย มีนิดเดียว ^^
     
  19. dragoona

    dragoona เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2005
    โพสต์:
    110
    ค่าพลัง:
    +129
    ขออนุโมทนา สาูธุครับ

    ทำแบบไม่ตั้งใจ ครั้งแรก ก็รับบาปไปเต็มๆ แ้ล้วจงรู้ถึงบาปบุญคุณโทษ นั้นไว้ แล้วจงพยายาม หลีกเลี่ยง อย่าทำมันอีก ส่วน ผู้ที่ทำบาปแบบตั้งใจ ทำไปๆ สะสมมากๆ ก็บาปล้นกว่า ผู้ที่ทำบาปแบบไม่ตั้งใจครังเดียว แล้วรู้สำนึกพยายามมีสติไม่เผลอทำมันอีก
     

แชร์หน้านี้

Loading...