คำสอนของหลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ

ในห้อง 'หลวงปู่ดู่ และ หลวงตาม้า' ตั้งกระทู้โดย ปราถนาบุญ, 22 กรกฎาคม 2010.

  1. ปราถนาบุญ

    ปราถนาบุญ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มกราคม 2010
    โพสต์:
    177
    ค่าพลัง:
    +896
    โดย พี่สิทธิ์

    บนเส้นทางของการภาวนาพัฒนาจิตใจทำภพชาติการเกิดให้สั้นลง ๆ นั้น หลวงปู่ดู่เคยพูดให้กำลังใจว่า


    “ให้ตั้งใจปฏิบัติ...พระท่านคอยจะช่วยเหลืออยู่”

    ซึ่งนักปฏิบัติอาจมีประสบการณ์ของคำว่า “พระท่านคอยจะช่วยเหลืออยู่” ต่าง ๆ กันไปตามกาลเทศะและความพร้อมของผู้รับการสงเคราะห์

    ตัวอย่างเช่น ในขณะที่ปฏิบัติกรรมฐานอยู่ จิตยังไม่ทรงตัว ยังมีอาการโคลงเคลง อยู่ ๆ ก็เหมือนพระท่าน “ชาร์จ” เข้ามาทำให้จิตเปลี่ยนสภาพ ยกระดับของการทรงตัวขึ้นมาได้ในทันที บางครั้งพระท่านอาจสงเคราะห์ด้วยการให้จิตผุดรู้ในข้อธรรมที่เหมาะควรแก่สภาวะจิตในขณะนั้น เพื่อให้เป็นข้อพิจารณาธรรมที่ได้ความซาบซึ้ง หรือได้ธรรมสังเวชเกิดขึ้นในจิต

    การสงเคราะห์ของหลวงปู่ในบางครั้งที่ดูจะพิเศษสักหน่อย ก็คือตั้งองค์พระให้ลูกศิษย์ ท่านจะส่งกระแสบารมีมากระทบจิตของลูกศิษย์ที่กำลังตั้งใจปฏิบัติกรรมฐานอยู่ จนปีติเกิดขึ้นตามลำดับ คือ ตั้งแต่ขาท่อนล่างมาถึงเอว (หลวงปู่เรียกว่าห้องพระสงฆ์) จากนั้นปีติก็เขยิบต่อขึ้นมาถึงหน้าอกถึงคอ (เรียกว่าห้องพระธรรม) แล้วปีติก็ขึ้นมาถึงศีรษะและปลายเส้นผม (เรียกว่าห้องพระพุทธ) เมื่อปีติขึ้นเต็มที่เช่นนี้ กายของเราก็คล้าย ๆ จะหายไปในความรู้สึก

    ในขณะนั้นเอง ที่หลวงปู่ท่านตั้งองค์พระขึ้นที่จิต ความละเอียดของความหมายในเรื่องการสงเคราะห์นักปฏิบัติด้วยการตั้งองค์พระให้นี้ จะมีผลให้การทำภาวนาครั้งต่อ ๆ ไป แทนที่จะใช้เวลานาน ก็จะใช้เวลาน้อยลง จิตก็จะสามารถเข้าสู่ความเป็นสมาธิได้โดยง่าย

    อย่างที่เคยกล่าวไว้หลายครั้งหลายหนที่ว่า ทุกอย่างมีทั้งหยาบ กลาง และละเอียด ดังนั้น สิ่งที่เป็นความหมายลึกซึ้งหรือละเอียดกว่านี้ย่อมมีอยู่ ขึ้นอยู่กับความละเอียดของจิตเจ้าของเอง แต่ถึงจะละเอียดเพียงใด หลวงปู่ท่านก็มิเคยบัญญัติให้เป็นวิชชาแปลกใหม่อะไร เพราะท่านยังคงยึดมั่นในกรอบแห่งพระธรรมคำสอนของพระพุทธองค์ ความละเอียดแห่งการตั้งองค์พระ ก็ยังคงอยู่ในขอบเขตแห่งไตรสิกขาในข้อ จิตตสิกขา คือ การฝึกฝนทางด้านสมาธินั่นเอง<!-- google_ad_section_end -->
     
  2. ปราถนาบุญ

    ปราถนาบุญ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มกราคม 2010
    โพสต์:
    177
    ค่าพลัง:
    +896
    ประกาศเป็นทางการของวัดสะแกครับ!!!!!!!

    ด้วยคณะศิษย์หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ ได้รับมอบหมายจากพระบุญเสริม ปวฑฺฒโณ ท่านรองเจ้าอาวาสวัดสะแก ให้จัดทำเว็บไซต์ของวัดอย่างเป็นทางการ เมื่อเดือน กรกฎาคม 2553 ที่ผ่านมา จึงขอชวนเชิญผู้ที่สนใจ เข้าชมเว็บไซต์ www.wadsakae.com หรือ www.wadsakae.org ชวนเชิญสมัครเป็นสมาชิก เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ข้อเสนอแนะต่าง ๆ เพื่อกิจการของวัด บทความ สาระน่ารู้เกี่ยวกับวัดสะแก อันเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม เว็บไซต์อื่น ๆ ใด นอกเหนือจากนี้ ขอแจ้งให้ทราบว่า พระบุญเสริม ปวฑฺฒโณ ท่านรองเจ้าอาวาสวัดสะแก ไม่อนุญาตและไม่ถือว่าเป็นเว็บไซต์ของวัดสะแก

    ที่มา : Luangpudu.com / Luangpordu.com<!-- google_ad_section_end -->
     
  3. ปราถนาบุญ

    ปราถนาบุญ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มกราคม 2010
    โพสต์:
    177
    ค่าพลัง:
    +896
    การนั่งสมาธิ ภาวนา ปฏิบัติธรรม ต้องทำไปอย่างสม่ำเสมอ เหมือนกับ การตักน้ำใส่ตุ่ม หากตักใส่ไปเรื่อยๆ น้ำก็จะเต็มตุ่ม หากหยุดตักใส่เมื่อไร น้ำก็ไม่เต็มตุ่ม...เป็นปริศนาธรรมคำสอนที่ หลวงปู่ดู่ มักจะสอนลูกศิษย์เสมอ
     
  4. ปราถนาบุญ

    ปราถนาบุญ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มกราคม 2010
    โพสต์:
    177
    ค่าพลัง:
    +896
    หลวงปู่ท่านมักกล่าวถึงมงคลที่สำคัญที่ท่านอยากให้ลูกศิษย์ได้
    นำไปปฏิบัติ คือ มงคล 38 ประการ มงคลที่ท่านพูดถึงบ่อย ๆ
    นั่นคือ สัมมาวาจาชอบ คือ พูดแต่สิ่งที่เป็นมงคล

    ท่านว่าคนส่วนมากมักสร้างกรรมทางวาจา เพราะกรรมนี้สร้างได้ง่าย
    แต่เขาไม่รู้หรอกว่าผลของกรรม เมื่อส่งผลจะร้ายแรงเพียงไร
    คำพูดนั้นสำคัญมาก บางคนพูดไม่ดีกับผู้อื่น
    จนเป็นเหตุถึงโกรธเกลียดกันชั่วชีวิตก็มี

    บางรายคำพูดเพียงไม่กี่คำ ก็ทำให้ไม่พูดกันไปหลายปี
    คนส่วนมากที่ขึ้นโรงขึ้นศาล หรือทะเลาะกันจนไปถึงฆ่ากันตาย
    ก็เพราะคำพูดที่ไม่ดีนี่แหละ

    หลวงปู่ท่านสอนอยู่เสมอว่า อย่าไปพูดไม่ดีกับใครเขา
    ถ้ามีคนมาว่าหรือด่าเราแต่เราไม่ว่าหรือด่าเขาตอบมันก็จะไม่มีเรื่องกัน
    แต่ถ้าแกไปด่าเขาเมื่อไรนั่นแหละเรื่องใหญ่ ท่านสอนศิษย์เสมอว่า
    อย่าไปพูดทำลายความหวังของใครเขา
    เพราะนั้นอาจจะเป็นความหวังเดียวที่เขามีอยู่
    ถ้าแกไปพูดเข้าเมื่อไหร่กรรมใหญ่จะตกแก่ตนเอง

    ท่านบอกไว้อีกว่า คนที่ชอบด่าหรือใส่ร้ายผู้อื่นรวมไป
    ถึงการพูดไม่ดีต่าง ๆ กับคนอื่นนั้น กรรมจะมาเร็วมาก
    เขาผู้นั้นจะเป็นคนที่มีศัตรูทั้งภายนอกและภายใน
    ไม่เป็นที่รักของคนทั่วไป ตรงกันข้ามกับเป็นคนที่น่ารังเกียจ
    แก่คนทั้งหลาย กรรมนี้จะทำให้เขามีเรื่องและเดือดร้อนอยู่เสมอ ๆ
    ทั้งทางกายและทางใจ บางคนทำกรรมนี้ไปเรื่อย ๆ อย่างไม่รู้ตัว
    พอกรรมดีที่ตนเคยสร้างมาแต่ปางก่อนหมดหรือเหลือน้อยลง
    กรรมชั่วที่สร้างนี้ก็จะสนองเขาอย่างหนักทั้งในภพนี้และภพหน้า

    ในภพนี้เวลาที่กรรมดีแต่ปางก่อนจะส่งผลให้มีความสุขหรือมีโชคลาภ
    กรรมชั่วก็จะเข้ามาตัดรอนกรรมดี เหมือนอย่างเขาผู้นั้น
    ซื้อหวยเลข 56 หวยก็จะออกเลข 55 หรือ 57 บางที
    ก็ติดต่อการค้าหรืองานต่าง ๆ มองเห็นอยู่ว่างานนี้ได้แน่นอน
    แต่พอถึงเวลาก็ไปไม่ทันบ้าง ไปแล้วไม่เจอหรือมีเหตุต่าง ๆ
    มาทำให้มีอุปสรรคอยู่เสมอ ๆ

    ซึ่งที่จริงแล้วผู้นั้นจะมีโชคที่ควรได้ประมาณเป็นล้าน ๆ เขาก็
    จะได้แค่หมื่นสองหมื่นหรือโชคครั้งนี้จะได้หลายหมื่น
    แต่เขากับได้เพียงไม่กี่พันบาทหรือเพียงได้ไม่กี่ร้อยเท่านั้นเอง

    นี้เป็นเพราะกรรมชั่วเข้ามาตัดรอนกรรมดี
    และรวมถึงญาติพี่น้องลูกหลาน เขาเหล่านั้นก็จะทำความ
    เดือดร้อนเสียหายมาให้ มีพี่น้องหรือญาติไปจนถึงเพื่อนฝูง
    ก็จะโกงทรัพย์สินเงินทองของเราบ้าง

    บางครั้งก็พูดใส่ร้ายให้โทษ ด่าว่าทะเลาะวิวาท
    ทำให้เราไม่สบายกายและสบายใจเป็นอย่างมาก
    มีเรื่องเดือดร้อนต่าง ๆ อยู่ตลอดเวลาอย่างไม่จบสิ้น
    มีลูกหลานก็จะดื้อด้าน ว่านอนสอนยาก ทำความเดือดร้อน
    ให้เสียเงินทองอยู่มิได้ขาด ว่ากล่าวลูกหลานไม่เชื่อฟัง
    ไม่เคารพนับถือ ลูกหลานบางคนก็จะอกตัญญูตนเองมัก
    จะเดือดร้อนด้วยการเป็นโรคร้ายที่รักษายากหรือรักษาไม่หาย
    เช่น อัมพฤต อัมพาต มะเร็ง เบาหวาน โรคหัวใจ และโรคร้ายต่าง ๆ
    อีกมากมายหลายชนิด
    หลวงปู่ท่านบอกไว้ว่า กรรมทางวาจามีร้ายแรงมาก
    การที่เราพูดใส่ร้ายหรือพูดไม่ดีจนทำให้ผู้อื่นเดือดร้อนและเสียใจ
    หรือไปพูดทำลายความหวังต่าง ๆ ของเขาถ้ารู้ตัวให้หยุดเสีย
    ถ้าไม่หยุดหรือเลิกทำเสียกรรมไม่สนองแต่ในชาตินี้
    พอตายลงไปยังต้องไปใช้กรรมยังนรกตามขุมต่าง ๆ อีก
    ท่านจะพูดและสอนศิษย์อยู่เสมอว่า "คนดีเขาไม่ตีใคร"
    ความหมายว่าคนดีไม่ตีใคร ไม่ใช่เอาไม้หรือของแข็ง ๆ ไปตีเขา
    แต่ท่านไม่ให้พูดจากไม่ดีด่าว่าใส่ร้ายทำให้ผู้อื่นเดือดร้อนเสียหาย
    และ "ทุกข์ใจ"

    หลวงปู่บอกว่าคนดีเขาไม่ว่าใคร
    ถ้าแกไปว่าเขาแกก็จะเป็นคนไม่ดี

     
  5. ปราถนาบุญ

    ปราถนาบุญ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มกราคม 2010
    โพสต์:
    177
    ค่าพลัง:
    +896
    <TABLE width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center> ธรรมโอวาท ของหลวงปู่ดู่

    </TD><TD style="FONT-SIZE: smaller" vAlign=bottom align=right height=20></TD></TR></TBODY></TABLE>
    <HR class=hrcolor width="100%" SIZE=1>
    [​IMG]

    ".....เวลาเหลืออีกไม่มากแล้ว ให้รีบพากันปฏิบัติ"

    "สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่เหนือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็คือ กรรม"

    "คนดีน่ะ เขาไม่ตีใคร"

    "ของดีอยู่ที่ตัวเราหมั่นทำ(ปฏิบัติ)เข้าไว้"

    "ให้หมั่นดูจิต รักษาจิต"

    "อย่าลืมตัวตาย"

    "ให้หมั่นพิจารณา อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา"

    "ที่แกปฏิบัติอยู่ให้รู้ไว้ว่าไม่ใช่เพื่อข้า แต่เพื่อตัวแกเอง"

    "ตราบใดก็ตามที่แกยังไม่เห็นความดีในตัว ก็ไม่นับว่าแกรู้จักข้า
    แต่ถ้าเมื่อใดที่เริ่มเห็นความดีในตัวเองแล้ว
    เมื่อนั้น ข้าว่าแกรู้จักข้าดีขึ้นแล้ว"

    "บุญนั้นหมั่นทำไว้ปฏิบัติไว้ คนไหนที่เขาว่าทำได้ดีได้เห็นอะไรก็ตาม
    โมทนาไปเลยไม่มีเสียมีแต่ได้ อย่าไปขัดเขา"

    "หมั่นทำเข้าไว้...ให้หมั่นดูจิต รักษาจิต
    ...ของดีอยู่ที่ตัวเรา ของไม่ดีก็อยู่ที่ตัวเรา"

    "ปฏิบัติแล้ว โลภ โกรธ หลง แกลดน้อยลงหรือเปล่าล่ะ ถ้าลดลงข้าว่าแกใช้ได้"

    "นั่งไปเถอะ สว่างก็ได้บุญ มืดก็ได้บุญ"

    "โลกเท่าแผ่นดิน ธรรมเท่าปลายเข็ม"

    "ธรรมนั้น อยู่ฟากตาย"

    "ผู้ปฏิบัติต้องหมั่นตามดูจิต รักษาจิต"

    "ตัวตายน่ะ ตัวสำเร็จ"

    "นิพพาน อยู่ฟากตาย"

    "ถ้าไม่เอา(ปฏิบัติ) เป็นเถ้าเสียดีกว่า"

    "เรื่องของคนอื่น เราไปแก้เขาไม่ได้ ที่แก้ได้คือตัวเรา แก้ข้างนอกเป็นเรื่องโลก แต่แก้ที่ตัวเรานี่เป็นเรื่องธรรม"

    "เชื่อไหมหละ ถ้าเราเชื่อจริง ทำจริง มันก็เป็นของจริง ของจริงมีอยู่ แต่เรามันไม่เชื่อจริง จึงไม่เห็นของจริง"

    "ติดวัตถุมงคล ยังดีกว่าที่จะให้ไปติดวัตถุอัปมงคล"

    "เอาของจริงดีกว่า พุทธังฯ ธัมมังฯ สังฆังฯ สรณัง คัจฉามิ นี่แหละของแท้"

    "ของจริง ต้องหมั่นทำ"

    "ถ้าแกเกลียดกิเลสเหมือนหมาเน่า หรือของบูดเน่าก็ดี ให้เกลียดให้ได้อย่างนั้น"

    "ข้าไม่มีอะไรให้แก
    (ธรรม)ที่สอนไปนั้นแหละ ให้รักษาเท่าชีวิต"

    "แกคิดถึงข้า ข้าก็คิดถึงแก
    แกไม่คิดถึงข้า ข้าก็ยังคิดถึงแก"

    "หมั่นทำเข้าไว้ พระท่านคอยจะช่วยเราอยู่แล้ว แล้วเราได้ช่วยเหลือตัวเองก่อนหรือยัง"

    "ปฏิบัติธรรมตั้งแต่ยังเป็นเด็ก เป็นหนุ่ม เป็นสาวนี่แหละดี เพราะเมื่อแก่เฒ่าไปแล้ว จะนั่งก็โอย จะลุกก็โอย หากจะรอไว้ให้แก่เสียก่อน แล้วจึงค่อยปฏิบัติ ก็เหมือนคนที่คิดจะหัดว่ายน้ำเอาตอนที่แพใกล้จะแตก มันจะไม่ทันการณ์"

    "ถ้ามันไม่ดีหรือไม่ได้พบความจริงก็ให้มันตาย ถ้ามันไม่ตายก็ให้มันดี หรือได้พบกับความจริง"

    "แกจะรู้เหรอว่า แกจะตายเมื่อไหร่ ไม่แน่ว่าแกเดินออกไปจากกุฏิข้าแล้ว อาจถูกงูกัดตายเสียกลางทางก่อนไปจับปลา จับกุ้ง ก็ได้ เพราะฉะนั้นเมื่อตอนนี้แกยังไม่ได้ทำบาปกรรมอะไร ยังไง ๆ ก็ให้มีศีลไว้ก่อน ถึงจะมีศีลขาดก็ยังดีกว่าไม่มีศีล"

    "ครูอาจารย์ดี ๆ แม้จะมีอยู่มาก แต่สำคัญที่ตัวแกต้องปฏิบัติให้จริง สอนตัวเองให้มากนั่นแหละจึงจะดี"

    "คนเราทุกวันนี้ โลกเท่าแผ่นดิน ธรรมเท่าปลายเข็ม เรามัวพากันยุ่งอยู่กับโลกจนเหมือนลิงติดตัง เรื่องของโลก เรื่องเละ ๆ เรื่องไม่มีที่สิ้นสุด เราไปแก้ไขเขาไม่ได้จะต้องแก้ไขที่ตัวเราเอง ตนของตนเตือนด้วยตนเอง"

    "ขยันก็ให้ทำ ขี้เกียจก็ให้ทำ ถ้าวันไหนยังกินข้าวอยู่ก็ต้องทำ วันไหนเลิกกินข้าวแล้ว นั่นแหละ จึงค่อยเลิกทำ"

    "ภาวนาได้เห็นแสงสว่างเท่าปลายหัวไม้ขีด ชั่วประเดี๋ยวเดียว เท่าช้างกระดิกหู งูแลบลิ้น ยังมีอานิสงส์มากกว่าตัดบาตรจนขันลงหินทะลุ"

    "หมั่นทำเข้าไว้ หมั่นทำเข้าไว้ ต่อไปจะได้เป็นที่พึ่งภายหน้า"​
     
  6. ปราถนาบุญ

    ปราถนาบุญ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มกราคม 2010
    โพสต์:
    177
    ค่าพลัง:
    +896
    [​IMG]

    หลวง ปู่ได้ให้ความสำคัญในเรื่องของการปฏิบัติบูชามาก เนื่องจากประโยชน์ที่จะได้รับในขณะที่ปฏิบัติสมาธินั้น ได้บุญพร้อมถึง ๓ องค์คือ ทาน ศีล และภาวนา

    เกี่ยวกับทานมีกล่าวไว้ในพระสูตร ว่าด้วยเรื่องของการให้ทานกับคนธรรมดาหนึ่งครั้ง ให้ทานคนธรรมดาร้อยครั้ง ไม่เท่ากับการให้ทานคนที่มีศีลหนึ่งครั้ง ให้ทานผู้มีศีลร้อยครั้ง ไม่เท่ากับให้ทานพระอริยบุคคลขั้นโสดาบันหนึ่งครั้ง เรื่อยมาจนถึงให้ทานพระสัมมาสัมพุทธเจ้าร้อยครั้ง ไม่เท่ากับถวายสังฆทานหนึ่งครั้ง โดยมีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน และการถวายสังฆทานร้อยครั้ง ไม่เท่ากับการถวายวิหารทาน ได้แก่ โบสถ์ วิหาร ฯลฯ แต่ถึงแม้จะถวายวิหารทานไว้มากมายถึงร้อยครั้ง อานิสงส์ก็ยังไม่เท่ากับการเจริญเมตตาจิต หรือการภาวนาได้แสงสว่างเพียงเท่าช้างกระดิกหู งูแลบลิ้น เพียงครั้งเดียว ถ้าจะมีผู้แย้งว่า ขณะนั่งสมาธิไม่มีการให้ทาน ขอตอบว่า ทานในขณะปฏิบัติเป็นทานอันยิ่ง คือ อภัยทาน เพราะในเวลานี้ ถ้าเราโกรธ อาฆาต พยาบาทใครก็ตาม เราต้องให้อภัย มิเช่นนั้นแล้วสมาธิจะไม่เกิดขึ้น ดังนั้น เราต้องมีเมตตาธรรมบังเกิดขึ้น จุดประสงค์ของพระพุทธเจ้า เกี่ยวกับการให้ทานนี้ ก็เพื่อลดความเห็นแก่ตัวนั่นเอง มิใช่เป็นการให้ทานเพื่อหวังผลตอบแทนอย่างเลอเลิศ เพราะจะกลายเป็นผู้โลภบุญ หลวงปู่ทวดเคยให้คำจำกัดความของบุญกับผู้เขียนว่า "บุญ คือความสบายใจ ก่อนทำก็สบายใจ ขณะทำก็สบายใจ ทำแล้วก็สบายใจ คิดถึงทีไร สบายใจทุกที"

    เรื่องของศีลนั้น ในขณะที่ปฏิบัติ เราจะเป็นผู้ที่มีศีลอย่างบริบูรณ์ เนื่องจากได้สมาทาน และมีเจตนาที่จะรักษาศีลเรียบร้อยแล้ว ถึงแม้บางท่านจะภาวนาเลย ก็ย่อมมีศีลอยู่กับใจ (ศีลโดยแท้ คือ ภาวะปกติของใจ ที่ไม่กระเพื่อมไปตามอำนาจกิเลส เรียกว่า ศีลใจก็ไม่ผิด) เพราะว่าเราไม่ได้ไปผิดศีลข้อใดในขณะนั้น ตั้งแต่การฆ่าสัตว์ การลักทรัพย์ การประพฤติผิดในกาม เป็นต้น เมื่อเรามีศีลบังเกิดขึ้น อานิสงส์ของศีลย่อมทำให้เรามีความสุข มีชีวิตอยู่ก็มีความสุข ตายไปแล้วก็มีสุคติเป็นที่หวังอย่างแน่นอน สำหรับการภาวนามีจุดประสงค์เพื่อให้จิตเกิดความสงบมีสมาธิ การบริกรรมภาวนา ไม่ว่าสัมมาอรหัง พุทโธ หรือพุทธังฯ ธัมมังฯ สังฆังฯ ต่างก็มุ่งหวังให้จิตเป็นสิ่งเหนี่ยวนำหรือได้ทำงานในสิ่งที่ดี เนื่องจากสภาพของจิต มักจะไม่อยู่นิ่ง เหมือนลิงมีอาการซุกซน คิดโน่นคิดนี่ ไม่มีสมาธิ ผู้ปฏิบัติจึงต้องอาศัยคำภาวนา ผูกจิตเอาไว้ไม่ให้วอกแวกไปทางอื่น เมื่อมีสติรู้อยู่กับคำภาวนาจนจิตเกิดความสงบ หรือบังเกิดแสงสว่างขึ้น จึงมีอานิสงส์พร้อมกัน ในเวลาเดียวกัน เป็นการรวมตัวของบุญที่กระทำขึ้น จึงมีอานิสงส์มากกว่าการตักบาตร หรือการทำทานเพียงอย่างเดียว

    ดังนั้น การปฏิบัติสมาธิ หรือการภาวนา ดังที่หลวงปู่กล่าวไว้ จึงเป็นการสร้างบารมีอย่างดียิ่ง อันให้ประโยชน์กับตนเองทั้งปัจจุบัน และภายภาคหน้าด้วยประการนี้.....

    ที่มา : เว็ปวัดถ้ำเมืองนะ
     
  7. ปราถนาบุญ

    ปราถนาบุญ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มกราคม 2010
    โพสต์:
    177
    ค่าพลัง:
    +896
    ที่มา : หนังสือกายสิทธิ์

    ทางสายกลางหรือมัชฌิมาปฏิปทา คือ ความพอดี ถ้ามากเกินหรือน้อยเกินไปจะมีผลต่อจิตใจ ผู้เขียนเคยเรียนถามหลวงพ่อเกี่ยวกับคนที่เสียจริต กรรมอะไรที่ทำให้ต้องเป็นเช่นนั้น หลวงพ่อท่านตอบแบบปัจจุบันกรรม คือ กรรมในชาตินี้ว่า "ผู้ที่เสียใจสุดขีด หรือดีใจสุดขีด จะทำให้เป็นบ้าได้"

    นอกจากนี้ หลวงพ่อยังได้กล่าวถึง คนที่อารมณ์ของตนไม่ปกติ ท่านบอกว่า เป็นโรคลมบาดจิต บาดทะยักเกิดขึ้นกับร่างกาย บาดจิตเกิดขึ้นกับจิตใจ มีผลถึงประสาท ดังนั้น การรักษาอารมณ์ของคนจึงมีความจำเป็น บุคคลบางประเภทเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายไม่แน่นอน หรือที่เรียกว่า "ลมขึ้นลมลง" เนื่องจากไม่ได้มีการฝึกจิตหรือฝึกสติให้มั่นคง การชำระแต่เพียงร่างกาย ถ้าไม่ได้ชำระจิตใจเสียบ้าง ในที่สุดจะเกิดการหมักหมมของอารมณ์ เช่นเดียวกับผลไม้ที่เกิดการหมักหมมกลายเป็นเหล้า ทำให้เกิดการมัวเมาหาทิศทางไม่เจอ จิตใจเต็มไปด้วยอธรรม มีการแก่งแย่งชิงดี ริษยา อาฆาตไปต่างๆ นานา เมื่อสิ่งแวดล้อมเป็นพิษ จิตก็เกิดการล้มละลายได้ ลำพังความรู้ทางโลกอย่างเดียวนั้น ไม่สามารถนำมาปฏิรูปจิตได้

    มีครั้งหนึ่งหลวงพ่อท่านอ่านวิชาการทางโลก เมื่อเจ้าของหนังสือได้เรียนถามว่า "หลวงพ่ออ่านเรื่องอะไร"

    หลวงพ่อ "ข้าอ่านไปอย่างนั้นแหละ ข้าถามหลวงปู่ทวดว่า อ่านแล้วจะได้อะไร ท่านตอบข้าว่า อ่านยังไงก็ไม่พ้นทุกข์ ที่ท่านทำอยู่นั้นคือ ทางพ้นทุกข์ นั่นคือการปฏิบัตินั่นเอง"


    พระพุทธองค์ทรงหยิบใบไม้ขึ้นมาหนึ่งกำมือแล้วตรัสถามพระภิกษุว่า

    พระพุทธองค์ "ปริมาณของใบไม้ในมือกับในป่า อันไหนมากกว่ากัน"
    พระภิกษุ "ในป่ามีมากกว่ากันจนประมาณไม่ได้"
    พระพุทธองค์ "ดูกรภิกษุทั้งหลาย ความรู้ที่ตถาคตนำมาสอนพวกเธอก็เช่นเดียวกัน เพราะความรู้มีมากมาย แต่ที่ให้พ้นทุกข์ คือสิ่งที่นำมาสอนพวกเธอเท่านั้น"
     
  8. ปราถนาบุญ

    ปราถนาบุญ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มกราคม 2010
    โพสต์:
    177
    ค่าพลัง:
    +896
    <TABLE width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center> </TD><TD vAlign=center>หลวงน้าสายหยุดเล่าเรื่อง "ศีล" ที่หลวงปู่ดู่สอน

    </TD><TD style="FONT-SIZE: smaller" vAlign=bottom align=right height=20></TD></TR></TBODY></TABLE>

    หลวงน้ากล่าวว่า การรักษาศีลนั้นเป็นเรื่องสำคัญมาก เป็นสิ่งจำเป็นพื้นฐานในการปฏิบัติธรรม หากศีลไม่บริสุทธิ์แล้ว การปฏิบัติอื่นๆ ก็ไม่อาจเป็นไปได้อย่างสมบูรณ์เลย

    กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ต้องรักษาให้ดี กายไม่ทำชั่ว ปากไม่พูดเรื่องชั่ว ใจอย่าคิดเรื่องชั่ว หมั่นภาวนา นึกถึงพระอยู่เสมอ

    ปาณาติปาตา เวรมณีสิกขา ปะทังสมาธิยามิ
    อทินนาทานา เวรมณีสิกขา ปะทังสมาธิยามิ
    กาเมสุมิจฉาจารา เวรมณีสิกขา ปะทังสมาธิยามิ
    มุสาวาทา เวรมณีสิกขา ปะทังสมาธิยามิ
    สุราเมรยมัชชปมาทัฏฐานา เวรมณีสิกขา ปะทังสมาธิยามิ

    หลวงปู่เคยบอกไว้ว่า...

    การรักษาศีลให้สมบูรณ์ ต้องมีจิตเป็นสมาธิอยู่ทุกยาม (...สมาธิ ยามิ)
    เมื่อรักษาศีลได้สมบูรณ์ จิตจะสว่างไสว ดุจแก้วมณี (...เวรมณีสิกขา...)

    เมื่อนั่งสมาธิจนเห็นแสงสว่าง ให้ทำความศรัทธาในแสงนั้นให้มากเข้า อย่ามีความลังเลสงสัย แสงนั้นเป็นแสงของพระ เป็นแสงทิพย์ ไม่ใช่แสงอาทิตย์ทั่วไป พบเห็นได้ยาก โน้มจิตศรัทธาในแสงนั้นให้มาก จะพบพระ เมื่อพบพระแล้ว อย่าลังเลสงสัย กำหนดจิตกราบท่าน ขอให้ท่านเป็นครูบาอาจารย์ ให้ท่านนำในการปฏิบัติ

    กราบอาราธนาขอศีลกับท่าน "ศีลใน" (ศีลที่ตั้งจิตขอจากพระที่เห็นภายในใจ ) นี้ประเสริฐกว่า "ศีลนอก" (ศีลที่เอ่ยปากสวดอาราธนาทั่วๆไป) มาก อาราธนาแล้วขอให้รักษา "ศีลใน" นี้ไว้ให้ดีๆ หมั่นปฏิบัติภาวนาไว้เสมอ


    บทความนี้จาก เว็ป วัดถ้ำเมืองนะ
     
  9. ปราถนาบุญ

    ปราถนาบุญ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มกราคม 2010
    โพสต์:
    177
    ค่าพลัง:
    +896
    บทความของคุณ สิทธิ์

    ในสมัยก่อนที่ยังชอบไปวัดโน้นวัดนี้ ได้เห็นรูปแบบการทำบุญของคนที่ไปวัดต่าง ๆ ก็จดจำทำเลียนแบบ ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือเรื่องการพับดอกบัวถวายพระ

    พอมีจังหวะมาวัดสะแก ก็จัดแจงนำดอกบัวที่ซื้อมา มาพับเป็นดอกกุหลาบ หรือรูปแบบต่าง ๆ ตามที่จดจำมา เพราะเห็นว่าสวยดี และแสดงถึงความประณีต (กิเลสมันบอกตัวเองอย่างนั้น)

    หลวงปู่ดู่ท่านก็มองดูพวกเราทำกัน แล้วท่านก็ตั้งคำถามกับหมู่คณะคนที่นั่งใกล้ท่านว่า "แกว่า ดอกบัวที่พับ กับดอกที่ไม่ได้พับ อย่างไหนจะอยู่ได้ทนกว่ากัน"

    เขาก็ตอบว่า "ดอกที่ไม่ได้พับสิครับ อยู่ทนกว่า"

    นี่ขนาดท่านพูดให้คิดนะ พวกเราก็ได้แต่หัวเราะ (แต่ส่วนใหญ่ก็ยังไม่รู้ตัวอีก) ยังคงสารวนอยู่กับการพับดอกบัว พยายามทำมันให้วิจิตรบรรจงที่สุดเท่าที่จะทำได้ โดยใจก็บอกตัวเองว่า นี่คือบุญกิริยา?

    ผ่านไปนานทีเดียว การปฏิบัติธรรมจึงช่วยให้เราเริ่มเข้าใจว่าจิตมนุษย์นี้หนอชอบการปรุงแต่งจริง ๆ ธรรมชาติมันก็ดีของมันอยู่แล้ว ก็ชอบจะไปดัดแปลงปรุงแต่งมัน ซึ่งในที่สุดแทนที่จะบูชาพระได้นาน ๆ มันก็กลับเหี่ยวเฉาเร็วกว่าที่ควร ที่สำคัญทำให้อดเห็นของดี

    ของดีที่ว่านี้ก็คือ ดอกบัวตูม ๆ ที่นำไปใส่แจกันถวายหลวงปู่นั้น ปรากฏว่าบานคาแจกันให้เห็นอยู่บ่อยครั้ง ซึ่งแต่ก่อนไม่เคยสังเกต ก็ว่าเป็นเรื่องธรรมดา แต่ที่ที่ดอกบัวตูม ก็ควรจะเป็นดอกบัวตูมที่เหี่ยวเฉาคาแจกัน มิใช่จะไปแปรสภาพจากดอกบัวตูมเป็นดอกบัวบานอยู่ในแจกันอย่างนั้น

    แล้วก็สังเกตว่ามักมีคนมากราบขอดอกบัวดอกที่บานอยู่ในแจกัน เอาไปต้มกินเป็นยา ซึ่งหลวงปู่ท่านก็เมตตาให้ไปทุกครั้ง
     
  10. koongKTM

    koongKTM เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    260
    ค่าพลัง:
    +683
    ขอบพระคุณค่ะ เข้ามาติดตามอ่านเป็นระยะ อนุโมทนาสาธุค่ะ
     
  11. ปราถนาบุญ

    ปราถนาบุญ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มกราคม 2010
    โพสต์:
    177
    ค่าพลัง:
    +896
    <TABLE width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center>ลีลาการสอนของหลวงปู่

    </TD><TD style="FONT-SIZE: smaller" vAlign=bottom align=right height=20></TD></TR></TBODY></TABLE>


    หลายคนที่มาไม่ทันพบหลวงปู่ในช่วงที่ยังมีชีวิต อาจจินตนาการไม่ออกถึงลีลาการสอนธรรมะของหลวงปู่

    หลวงปู่ท่านใช่ว่าจะสอนธรรมะแต่ที่นุ่มนวลชวนฟัง เหมือนอย่างเอากระดาษทรายเบอร์ละเอียด ๆ ไปลูบไม้ที่ขึ้นรูปไว้ดีแล้ว หากแต่ท่านยังมีลีลาการสอนธรรมะที่ดุและสวนทันควันเหมือนกัน คล้ายกับการเอาขวานฟันและบากท่อนไม้ท่อนซุงก่อนเอาไปขึ้นรูป อย่างไรอย่างนั้น

    ตัวอย่างก็คือกรณีนักศึกษาที่มาซักถามปัญหาธรรมะอย่างคนรู้มาก หรือมีนิสัยช่างสงสัยเกินเหตุ หลวงปู่ท่านจึงต้องพูดแรง ๆ หรือมีน้ำเสียงดุ ๆ เพื่อดัดนิสัยเอาเสียบ้าง ดังเรื่อง “สมมุติและวิมุตติ” “แสงสว่างเป็นกิเลส” “ติดวัตถุมงคลยังดีกว่าติดวัตถุอัปมงคล” ฯลฯ ที่บันทึกไว้ในหนังสือตามรอยธรรมฯ ในขณะที่หลวงปู่ท่านสอนธรรมที่ละเอียดลึกซึ้ง ด้วยคำพูดที่นุ่มนวลกับนักศึกษาอีกคนหนึ่ง ดังเช่นเรื่อง “ปลูกต้นธรรม” การบวชจิต-บวชใน” “อารมณ์อัพยากฤติ” ฯลฯ เป็นต้น

    ถามว่าหลวงปู่ท่านไม่เมตตาคนทุกคนดอกหรือ ตอบว่าไม่ว่าท่านจะพูดแรง ๆ หรือพูดสอนแบบนุ่มนวล ก็ล้วนทำด้วยเมตตาทั้งสิ้น เพราะท่านพูดหวังเอาประโยชน์ พูดให้เหมาะกับอุปนิสัยหรือจริต หรือความพร้อมรับธรรมะของศิษย์แต่ละคน

    นอกจากนี้ ท่านก็ยังรู้ว่า กับศิษย์บางคน หากพูดสอนพูดเตือนต่อหน้าสาธารณชน ก็อาจรับไม่ได้ ท่านก็จะพูดลอย ๆ พูดโดยไม่สบตามองใคร แต่เจ้าตัวนั้นแหละจะเป็นผู้รู้ตัวดีว่า... เอนี่หลวงปู่กำลังดุฉัน สอนฉันอยู่นี่นา ฯลฯ

    นี้แหละ ลีลาการสอนของผู้เป็นครูเป็นอาจารย์อย่าง “หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ”


    บทความของคุณ สิทธิ์
     
  12. โชเต

    โชเต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2009
    โพสต์:
    285
    ค่าพลัง:
    +331
    ในส่วนตัวผม ผมว่า จะต้องมีมากกว่าที่อยู่ในหนังสืออีกครับ
    บางอย่างผมว่า จะต้องมีคำพูดบางประโยค ของหลวงปู่ดู่ ท่านอีก
    แล้วแต่ว่า ลูกศิษย์ คนไหน จะได้มาก หรือ น้อย มันก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งครับ

    คนที่รู้ดีที่สุด ก็คือ คนที่ไม่พูดอะไรเลย ต่อหน้าคนอื่นๆ ยกเว้น หลวงปู่ดู่ท่านองค์เดียว!
     
  13. ปราถนาบุญ

    ปราถนาบุญ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มกราคม 2010
    โพสต์:
    177
    ค่าพลัง:
    +896
    ในส่วนตัวผม ผมว่า จะต้องมีมากกว่าที่อยู่ในหนังสืออีกครับ
    บางอย่างผมว่า จะต้องมีคำพูดบางประโยค ของหลวงปู่ดู่ ท่านอีก
    แล้วแต่ว่า ลูกศิษย์ คนไหน จะได้มาก หรือ น้อย มันก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งครับ

    คนที่รู้ดีที่สุด ก็คือ คนที่ไม่พูดอะไรเลย ต่อหน้าคนอื่นๆ ยกเว้น หลวงปู่ดู่ท่านองค์เดียว

    ครับผมขอบคุณ ครับ ผมเห็นด้วยครับ
    แต่ว่าตัวผมเองก็ไม่เคยได้ไปกราบ สังขารธรรม
    ของท่านเลยในสมัยที่ท่าน ยังอยู่อ่ะครับ ที่ได้มาโพส ก็อ่านจากหนั่งสือ
    ที่ลูกศิษย์ ใกล้ชิด ท่านทำเอาไว้ แล้วบาง ข้อความ ก็คัด ลอกมาจาก เว็ป
    ต่างๆ ที่ผมอ่านเจออ่ะครับ อันไหนเห็นว่าเกิด ประโยชน์ ก็เอามาโพส
    ก็จะพยายาม หาข้อมูลมา
    ผมจะเน้น คำสอนของท่านเป็นหลักครับ ไม่เน้นวัตถุมงคล เอาสิ่งที่นำไปใช้ได้โดยไม่ต้องเสียเงินดีกว่า สร้างอานิสงส์ กับตัวด้วยอ่ะครับ
     
  14. ปราถนาบุญ

    ปราถนาบุญ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มกราคม 2010
    โพสต์:
    177
    ค่าพลัง:
    +896
    " สั้นๆก็มี "


    เคยมีผู้ปฏิบัติกราบเรียนถามหลวงพ่อว่า

    "หลวงพ่อครับ ขอธรรมะสั้นๆ
    ในเรื่องวิธีปฏิบัติเพื่อให้ กิเลส 3 ตัว
    คือ โกธร โลภ หลง หมดไปจากใจเรา
    จะทำได้อย่างไรครับ "

    หลวงพ่อตอบเสียงดังฟังชัด
    จนพวกเราในที่นั้นได้ยิน
    กันทุกคนว่า "สติ"
     
  15. ปราถนาบุญ

    ปราถนาบุญ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มกราคม 2010
    โพสต์:
    177
    ค่าพลัง:
    +896
    "การบวชจิต - บวชใน"

    หลวงพ่อเคยปรารภไว้ว่า.......

    จะเป็นชายหรือหญิงก็ดี
    ถ้าตั้งใจประพฤติปฏิบัติ
    มีศีล รักในการปฏิบัติ

    จิตมุ่งหวังเอาการพ้นทุกข์เป็นที่สุด
    ย่อมได้มีโอกาสเป็นพระกันได้ทุกๆคน

    มีโอกาสที่จะบรรลุมรร ผล นิพพาน
    ได้เท่าเทียมกันทุกคน

    ไม่เลือกเพศ เลือกวัย หรือฐานะ แต่อย่างใด

    ไม่มีอะไรจะมาเป็นอุปสรรคในความสำเร็จได้
    นอกจากใจของผู้ปฏิบัติเอง

    ท่านได้แนะเคล็ดในการบวชจิตว่า ...........

    พุทธัง สรณัง คัจฉามิ....
    ให้นึกว่าเรามีพระพุทธเจ้า
    เป็นพระอุปฌาย์ของเรา

    ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ.....
    ให้นึกว่าเรามีพระธรรม
    เป็นพระกรรมวาจาจารย์

    สังฆัง สรณัง คัจฉามิ....
    ให้นึกว่าเรามีพระอริยสงฆ์
    เป็นพระอนุสาวนาจารย์

    แล้วอย่าสนใจขันธ์ 5 หรือร่างกายเรานี้
    ให้สำรวมจิตให้ดี มีความยินดีในการบวช
    ชายก็เป็นพระภิกษุ หญิงก็เป็นพระภิกษุณี
    อย่างนี้จะมีอานิสงส์สูงมาก
    จักเป็นเนกขัมบารมีขั้นอุกฤษฎ์ทีเดียว"
     
  16. phanit

    phanit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มกราคม 2006
    โพสต์:
    2,099
    ค่าพลัง:
    +984
    อนุโมทนาสาธุค่ะ จะมารอเฝ้าอ่านต่อค่ะ ขอบพระคุณค่ะ<!-- google_ad_section_end -->
     
  17. ปราถนาบุญ

    ปราถนาบุญ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มกราคม 2010
    โพสต์:
    177
    ค่าพลัง:
    +896
    หากท่านใด สนใจอยากศึกษาในคำสอนของท่าน ผมแนะนำให้ เข้าไปที่เว็ป พรหมปัญโญ เลยนะครับ ช่วงนี้ผมเองก็ ไม่ค่อยได้เข้ามาโพส ขอบคุณท่านที่เข้ามาอ่าน ทุกท่านครับ
    และขอ อนุโมทนา กับท่านที่ได้นำไป ปฏิบัติ ปรับใช้ ในชิวิตครับ อนุโมทนาครับ สาธุ สาธุ
     

แชร์หน้านี้

Loading...