คลุมผ้าเหลือง แต่ไม่ปฏิบัติตามวินัย

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย พระปิยสีโร, 30 กันยายน 2010.

  1. พระปิยสีโร

    พระปิยสีโร Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    18
    ค่าพลัง:
    +59
    ขอเปิดประเด็น เฉพาะแสดงความคิดเห็น หากไม่สมควร หรือผิดกฏใดๆ กรุณาลบทิ้ง โดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า

    อ้างอิงจากข้อมูลจริง แต่ไม่ขอระบุรายละเอียดปลีกย่อย

    เนื่องจาก เห็นมาก็หลายเวลาแล้ว หลายสถาณที่แล้ว ก็ปฏิบัติเหมือนกันเยอะ โดยมีอยู่ว่า

    ผู้ที่อุปสมบท มาเป็น สมมุติสงฆ์ หรือ พระภิกษุ นั้น ห่างเหินจากการปฏิบัติ กิจ ของตน ดังต่อไปนี้

    1 ไม่ร่วมสังฆกรรม ทำวัตร เช้า-เย็น
    2 ไม่ร่วมสังฆกรรม หรือไม่ไป บินฑบาตร เลี้ยงชีพ
    3 ไม่ลงอุโบสถเพื่อฟังปาฏิโมกข์
    4 ไม่สำรวม (หาคำมาเปรียบเปรยไม่ถูก แสดงกริยา ไม่ใช่บุรุษ แต่เกินความเป็นสตรี)

    แม้ว่าตนเองนั้น จะมีบรรดาศักด์ เป็นถึง เจ้าคณะ ตำบล, อำเภอ, ปลัด, มหา หรือ อื่นๆ รวมถึงพระนิสิต นักศึกษา ด้วย

    อยากจะทราบความเห็นของอุบาสก อุบาสิกา ทั้งหลาย ว่าคิดอย่างไรกับ สมมุติสงฆ์เหล่านี้ หรือว่ายังควรเรียกว่า สมมุติสงฆ์อยู่หรือไม่

    เจริญพร


    แก้ไข : การทำวัตร เราต้องทำในโบสถ์ต่อหน้าพระประธาน เป็นหมู่คณะ


    และเหตุใด จึงไม่มีใครเหลียวแล หรืออาจจะเป็นเฉพาะสถาณที่นั้นๆ และตัวผู้นำของสถานที่นั้นๆ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 ตุลาคม 2010
  2. สับสน!

    สับสน! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 เมษายน 2010
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +3,984
    คนเลว..มีอำนาจ อำนาจรัฐหลอกลวงไม่เด็ดขาดใกล้แล้วครับ..คนดีจะหนีไปอยู่ป่าครับ นมัสการ
     
  3. รอดมี

    รอดมี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    155
    ค่าพลัง:
    +161
    ท่านครับเรื่องที่ท่านกล่าวอยู่ มันมาจากสาเหตุใดผมไม่รู้
    แต่ที่รู้แน่ๆ ท่านอยู่ในเพศบรรพชิต การนำเรื่องของการปฏิบัติ
    หรือกิจกรรมภายในของสงฆ์มาว่ากล่าวให้ฆราวาสฟัง ท่านว่ามันเหมาะ
    มันสมแล้วหรือครับ ท่านกำลังอยู่ในข่ายทำลายพุทธศาสนาอยู่ครับ

    อีกทั้งในแง่ของการทำในคณะสงฆ์แตกแยก ผมก็ว่ามันเข้าข่ายนี้ด้วย
    ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่าท่านคงจะไม่แค้นเคือง เพราะตัวท่านเองก็ตั้งกระทู้
    มาเพื่อให้ฆราวาสหรือชาวบ้านมาวิจารณ์สงฆ์

    สิ่งที่ผมกลัวในใจลึกๆก็คือ จะมีฆราวาสบางคนปลอมตัวมาเป็นสงฆ์
    เพื่อสร้างกระแสเท่านั้นครับ
     
  4. สับสน!

    สับสน! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 เมษายน 2010
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +3,984
    ท่านรอดมี...ท่านกล่าวเกินไป เรื่องที่ท่าน จขกท สื่อจริงหรือไม่ในสังคมปัจจุบัน และเจาะจงบุคคลใดรึไม่ แล้วใครได้ใครเสีย ในเรื่องนี้ จากการอ่านแค่ปรารภเท่านั้น
    หากมองแล้วประโยชน์ตกแก่ส่วนรวม และไม่เจาะจงใคร เป็นรายบุคคล ก็จะเป็นประโยชน์อย่างมาก ..ถึงแม้เจาะจงตัวบุคคลหากเป็นเรื่องจริง ก็เป็นประโยชน์ในข้อมูล ท่านเป็นพระย่อมต้องมี สมณสำนึก ในเรื่องที่นำมาโพสต์เพราะมีศิลกำกับอยู่..
    ท่านอย่าเล่นเหมารวมกล่าวหา จขกท..อย่างน่ากลัว เหมือนเอา นรก สวรรค์ มาปิดปากคนอื่น ห้ามวิจารณ์ ห้ามบ่น ห้ามถาม หากขณะที่โพสต์ถามนี้ ท่านไม่รู้จริงๆ และหรือไม่มีใครเป็นผู้เชื่อถือได้ขณะนี้ หรือน่าเชื่อฟังเท่าสื่ออินเตอร์เนตนี่เนื่องจากมีการณ์วิเคราะห์ วิจารณ์ ให้ข้อคิดทั้งสองด้าน ท่านจึงเข้ามาโพสต์ถาม...ท่านผิดถึงขั้นทำให้สงฆ์แตกแยกทีเดียวรึ..คุณก็เกินไป
    จขกท..ท่านก็ยกมาเป็นข้อๆให้เห็น..มิได้กล่าวร้ายตัวบุคคลเลย กาลามสูตร10 จะให้เผาทิ้งรึท่าน รอดมี..

    ในสมัยพุทธกาล โยมมาฟ้องพระพุทธองค์ ก็มีมากมายแม้แต่นางวิสาขา..ซึ่งเป็นถึงโสดาบัน ..คุณแค่มองว่า พระเอาเรื่องวงในพระ มาตั้งเป็นคำถาม ก็ถูกกล่าวหาว่า ทำให้สงฆ์แตกแยกแล้วรึ ..!

    คนวงในเท่านั้นจะรู้เรื่องข้างในได้ดีที่สุด หากท่านทำดี เจตนาดีที่นำมาเปิดเผยเพื่อให้สังคมและหน่วยงานที่มีอำนาจแก้ไข..กลายเป็นผู้ทำลายสงฆ์ให้แตกแยก ..คุณปฏิบัติธรรมคุณคิดได้ยังไงแบบนี้...เราอยู่ในโลกของสัจจะ ไม่ใช่ชาวโลก พระพุทธองค์ฝากศาสนาไว้กับ พุทธบริษัท4..ไม่ใช่ผ้าเหลือง คุณรอดมี..!
    รึต้องปล่อยให้..เน่าใน..แล้วมาแก้ก็สายไปแล้วครับ:':)':)'(
     
  5. พระปิยสีโร

    พระปิยสีโร Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    18
    ค่าพลัง:
    +59
    เจริญพร คุณโยม รอดมี ผู้เจริญแล้ว

    อาตมาภาพ มองว่า การนำเรื่องอย่างนี้ มาถ่ายทอด ถามความคิดเห็นของเหล่าอุบาสก อุบาสิกา นั้น มิได้เป็นการทำลายพุทธศาสนาแต่อย่างใด

    และไม่ได้เป็นการทำให้พระภิกษุ นั้น ทะเลาะกัน แบ่งพรรคแบ่งพวกกัน แต่อย่างใด

    แต้่ในทางกลับกัน อาตมาภาพมองว่า เป็นสิ่งที่ควรยิ่ง ที่ต้องถ่ายทอดให้เหล่าพุทธศาสนิกชน ทราบถึงข้อควรกระทำดังต่อไปนี้

    โปรดมีสติ ไตร่ตรอง พิจารณา รูปกาล

    กิจของสงฆ์ กิจของสงฆ์ใหญ่ๆมีอยู่ ๑๐ อย่าง

    ดังคำที่ว่า มีบาตรไม่โปรด มีโบสถ์ไม่ลง จะเป็นสงฆ์ได้อย่างไร?

    ซึ่งใน สามข้อแรก ที่ยกมาแสดง ก็อยู่ใน กิจ 10 อย่าง


    ในพระไตรปิฎกเล่มที่ 11

    1 เรามีเพศต่างจากคฤหัสถ์ สลัดแล้วซึ่งฐานะ ควรเป็นอยู่ง่าย จะถือเอาแต่ใจตนเองไม่ได้
    2 ความเป็นอยู่ของเราต้องอาศัยผู้อื่นในการเลี้ยงชีพ ควรทำตัวให้เลี้ยงง่าย และบริโภคปัจจัย 4 โดยพิจารณา ไม่บริโภคด้วยตัณหา
    3 รามีอากัปกิริยาที่พึงทำต่างจากคฤหัสถ์ อาการกิริยาใด ๆ ของสมณะ พระภิกษุต้องทำอาการกิริยานั้น ๆ และยังจะต้องปรับปรุงตนให้ดียิ่งขึ้นไปกว่านี้
    4 ตัวเราเองยังติเตียนตัวเราเองโดยศีลไม่ได้อยู่หรือไม่
    เพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลาย ผู้เป็นวิญญูชน พิจารณาแล้ว ยังติเตียนเราโดยศีลไม่ได้อยู่หรือไม่
    5 เรามีกรรมเป็นของตน เราทำกรรมใด ดีก็ตาม ชั่วก็ตาม จักต้องเป็นทายาทของกรรมนั้น
    6 วันคืนล่วงไป ๆ บัดนี้เราทำอะไรอยู่
    7 คุณวิเศษยิ่งกว่ามนุษย์สามัญที่เราบรรลุแล้วมีอยู่หรือไม่ ที่จะให้เราเป็นผู้ไม่เก้อเขิน เมื่อถูกเพื่อนบรรชิตถามในกาลภายหลัง


    ยกมาเป็นบางข้อ พอสังเขป

    อาตมาภาพ เป็นเพียงผู้ที่มีความสงสัยในการปฏิบัติตัว ของผู้ครองผ้าเหลืองเหล่านั้น ซึ่งมีบรรดาศักดิ์ ที่ต้องผ่านการทดสอบ สติปัญญา มาแล้ว

    หากมิทราบข้อเหล่านี้ ก็มิอาจผ่านการทดสอบเหล่านั้นได้ และมิอาจมีบรรดาศักดิ์เหล่านั้นได้

    การแสดงความคิดเห็นในครั้งนี้ หากท่านมองว่า เป็นการประจารสงฆ์ก็สุดแล้วแต่จะพิจารณา

    เพียงแต่อาตมาภาพ ยังไม่หมดซึ่งกิเลส และต้องการถ่ายทอดให้พุทธศาสนิกชนทราบถึงความเป็นจริง ว่า ผู้ใดที่เราควรเคารพเป็นภิกษุ และ ผู้ใดที่ไม่ควรเรียกว่าเป็นภิกษุ


    สุดท้ายนี้ อาตมาภาพหวังเป็นอย่างยิ่งว่า ความรู้ในพระธรรมอันน้อยนิดของอาตมาภาพ จะช่วยให้ใครหลายต่อหลายคน เข้าใจว่า ผู้ถือครองผ้าเหลืองในยุคกาลนี้ ต้องมีพฤติกรรมอย่างไร ถึงจะสมควรให้พุทธศาสนิกชน เคารพนับถือว่าเป็นพระภิกษุจริงๆ

    การดำรงค์ตนในเพศสมณะนั้นไม่ใช่เรื่องง่่าย
    มีเรื่องราวมากมายให้ศึกษาเรียนรู้และปฏิบัติ
    มีข้อจำกัดอีกมากมาย ถ้าไม่ได้เข้ามาใช้ชีวิต
    ในเพศนี้แล้ว จะไม่รู้เลยว่า มันลำบากและยากสักเพียงใด
    ในการที่จะดำรงค์สถานะให้เป็นสมณะที่ดีและสมบูรณ์ได้....


    ปล. หากเห็นความในกระทู้นี้ ไม่สมควรแต่ประการใด ก็สามารถลบทิ้งได้โดยพลัน

    เจริญพร พุทธศาสนิกชน ผู้เจริญด้วยปัญญา
     
  6. govit2552

    govit2552 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    32
    ค่าพลัง:
    +20
    ชั่วช่างชี ดีช่างสงฆ์
    เราฆราวาส เข้าไปยุ่งด้วย รังแต่ขาดทุน คือ มีกรรมต่อกันเปล่าๆ
     
  7. พระปิยสีโร

    พระปิยสีโร Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    18
    ค่าพลัง:
    +59
    เจริญพร คุณโยม ไร้สังกัด53 ผู้เจริญแล้ว

    อาตมภาพ มองว่า การวินิจฉัย พฤติกรรม เหล่านี้ ว่าสมควร ยกเป็น สมมุติสงฆ์ หรือไม่ ไม่น่าจะเป็นการสร้างเวร สร้างกรรม ให้ใคร เพราะเราไม่ได้เจาะจง บุคคลใด

    เพียงแต่เรา ตรองการกระทำนั้น ว่าผู้ไม่กระทำแล้ว จะเป็นสงฆ์ หรือไม่ แล้วเหตุใด จึงไม่มีใคร กำกับดูแล



    แต่หากคุณโยมท่านใด มองว่าเป็นการวิจารภิกษุแล้ว โปรดจงข้ามกระทู้นี้ไปเถิด (อาตมาภาพ ก็พอจะเข้าใจ ว่าหลายท่านเกรงกลัว เวร กรรม ที่จะติดตัวไป)

    เพียงแต่ อาตมภาพ อยากอธิบายให้แจ้งว่า เราไม่ได้ร่วมกันวิจารสงฆ์ แต่อย่างใด เพียงแต่วิเคราะห์ว่า ผู้ที่จะเป็นพระสงฆ์ ควรขาดเรื่องเหล่านั้น หรือควรทำ เรื่องเหล่านั้นหรือไม่


    เจริญพร
     
  8. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    เรียนพระคุณเจ้า การถามขอความคิดเห็นจากฆราวาส จำเป็นต้องพิจารณาให้รอบคอบ
    ว่าทำไปแล้วมีผลต่อคณะสงฆ์ หมู่สงฆ์อย่างไร ทำให้ศรัทธาของฆราวาสต่อหมู่สงฆ์
    เจริญขึ้นหรือเสื่อมลง อิฉันไม่แน่ใจว่ามีพระวินัยบัญญัติไว้หรือไม่เรื่องการติเตียนหมู่สงฆ์
    ให้ฆราวาสรับรู้ แต่ที่รู้มาบ้างคือเมื่อสงฆ์ท่านใดพบว่ามีสงฆ์ทำผิดพระวินัย ก็ให้แจ้งที่
    ประชุมสงฆ์ตามลำดับ ที่สังกัดอยู่ เพื่อปรับอาบัติลงโทษกันเป็นเรื่องของสงฆ์ด้วยกันเอง
    จะไม่นำออกสู่ที่สาธารณะ แต่ถ้ากระบวนยุติธรรมสงฆ์มีแล้วแต่ย่อหย่อนทำให้เกิดภิกษุโจร
    สามเณรโจร เป็นที่ทิ่มแทงใจแก่บริษัทที่พบเห็น ไม่สามารถตักเตือนลงโทษกันได้ ก็ขอ
    แนะนำ ให้คว่ำบาตรที่นั้นไป ฆราวาสก็ต้องมีความรู้สนับสนุนพระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ
    ที่ปฏิบัติไม่ชอบก็อย่าไปสนับสนุน เป็นพระด้วยกันก็ไม่ร่วมสังฆกรรมแล้วแยกไปหาที่
    เหมาะสมที่สมควรแก่ตนทำการศึกษาพระธรรมให้รู้แจ้งเพื่อเป็นกำลังให้พระศาสนาเป็น
    เนื้อนาบุญให้อุบาสก อุบาสิกา

    กำลังของเราน้อยไม่อาจไปรื้ออาณาจักรพระโจร สามเณรโจร ลงได้ แต่การไปบริพาษ
    โพทนาพระโจร สามเณรโจรให้คนไม่รู้ได้รู้นั้น ข้อดีก็มี ข้อเสียก็มาก ถ้าพุทธบริษัท
    เขาเห็นว่ามีแต่พระโจรแล้วไม่ศรัทธา ไม่เข้าวัด จะยิ่งเสียหายมากว่า คนไม่รู้ก็ยิ่งห่างวัด
    เพราะมีทัศนะคติที่ไม่ดีต่อพระและเณร ทางที่ดีจึงควรเร่งสร้างปัญญาให้เกิดในตนเอง แล้ว
    เอาปัญญาธรรมมาช่วยกันสร้างวัด สร้างพระ สร้างสามเณรที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบให้มากๆ
    พวกที่ปฏิบัติไม่ดีไม่ชอบ ก็อาจจะลดน้อยถอยลง เพราะอุบาสกอุบาสิกา มีปัญญารู้ว่า
    ควรสนับสนุนพระและเณรรูปไหน ลักษณะไหน และทำการไม่สนับสนุนพระโจร
    ดีว่ามาจ้องจับผิดจนเสื่อมกันไปทั้งสถาบันพระและสถาบันอุบาสก อุบาสิกา

    ขอน้อมเอาคำสอนของสมเด็จพระสังฆราชมาบางส่วนเพื่อการศึกษา

    ฉะนั้น เราต้องการให้พระพุทธศาสนาอยู่กันนานเกินห้าพันปีก็ไม่ต้องไปดูที่ไหน ให้ดูที่ตัวเรานี้แหละ ถ้าพวกเรายังสมัครที่จะกราบไหว้บูชาพระพุทธ,พระธรรม,พระสงฆ์เป็นสรณะที่พึ่งที่เคารพอย่างสูงสุดแล้วเราก็ต้องพยายามศึกษาและประพฤติปฏิบัติตามระเบียบแบบแผนของท่าน อย่าเอาระเบียบแบบแผนของเรา ถ้าเอาของเราแล้วก็ไม่จำเป็นต้องมาบวช แต่ที่เรามาบวชเช่นนี้ก็แสดงว่าเราเข้ามาบวชโดยไม่มีใครบังคับให้มา เราสมัครเข้ามาบวชเอง เพราะฉะนั้นเราจะสมัครเข้ามาช่วยทำลายพระศาสนาหรือสมัครเข้ามาช่วยศาสนาให้เจริญ ข้อนี้ขอให้ช่วยกันนึกด้วยว่า เราต้องการจะให้พระศาสนาเสื่อมหรือให้เจริญ ถ้าต้องการให้พระศาสนาของเราเจริญ ก็จงพิจารณาดูตัวเรา ให้สติปัญญาของเราย้อนกลับมาดูตัวเราแล้วดูออกไปข้างนอก ถ้าขืนดูไปข้างนอกแล้ว ก็จะลืมตัวเรา ไม่เห็นความถูกความผิดของเรา และความถูกความผิดนั้นมันไม่ได้อยู่ที่คนอื่นแต่อยู่ที่ตัวเรา เมื่อเราทำไม่ดีเราก็ต้องแก้ที่ตัวเราเสียให้ดี อันนี้พระพุทธเจ้าก็ทรงย้ำนักย้ำหนาทีเดียวว่า ให้พยายามปรับปรุงตัวเราเองเป็นหลักสำคัญดังพระพุทธภาษิตที่ว่า "อตฺตาหิ อตฺตโน นาโถ" ตนของตนเป็นที่พึี่งแก่ตน นี้เป็นหลักสำคัญ ที่ยกพระพุทธเจ้าขึ้นมาเป็นตัวอย่างนี้ ก็เพราะพระองค์ทรงใช้พระสติปัญญาของพระองค์เข้ามาปรับปรุงพระองค์เองเป็นหลักสำคัญ เพราะคนในยุคนั้นตลอดมาถึงยุคปัจจุบันนี้ ก็มักแต่ชอบไปวิจารณ์ชีวิตของคนอื่นเขาว่าเป็ฯอย่างนั้นอย่างนี้ ไม่ดีอย่างโน้นอย่างนี้ต่างๆ นานา ในขณะตนกำลังไปวิจารณ์คนเขานั้นแหละ พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่ากำลังทำความผิดอยู่แล้วคือการลืมตัวนั้นเอง การที่เรามีสติปัญญาได้ศึกษาเล่าเรียนวิชาความรู้อะไรกันมามากๆ ก็เพื่อที่จะนำเอามาปรับปรุงสร้างตัวเราให้มีความสุขความเจริญในทางที่ดี ไม่ใช่่ศึกษาเล่าเรียนหาวิชาความรู้มาเพื่อประกอบกรรมทำเข็ญทำบาปกรรมก็หามิได้

    ฉะนั้น จึงขอฝากความนึกความคิดไว้ตามที่พูดนี้ว่า เราควรจะเป็นพระเป็นเณรที่ดี เป็นศรีแก่พระศาสนา หรือถ้าเราต้องการความดีใส่ตัวของเราจากพระพุทธศาสนาแล้ว เราก็ต้องยึดหลักคำสอนของพระองค์ท่านเป็นหลักอยู่เสมอ อย่าไปยึดระเบียบแบบแผนของคนอื่นเข้ามาแซกแซง ถ้าขืนเอามาแซกแซงแล้ว มันก็กลายเป็นบ่อนทำลายพระพุทธศาสนาไปโดยปริยายอยู่เหมือนกัน เพราะฉะนั้นเราจะต้องสำนึกอยู่เสมอว่า เราจะต้องเป็นพระเป็นเณรที่สมบูรณ์ด้วยสิกขาวินัยตามระเบียบแบบแผนตามหน้าที่ของเราอยู่เสมอ เราจะต้องเป็นพระเป็นเณรที่สมบูรณ์ด้วยสิกขาวินัยตามระเบียบแบบแผนตามหน้าที่ของเราอยู่เสมอ ไม่ว่าเราจะอยู่ที่ไหน เราจะอยู่นอกบ้านนาบ้านป่าบ้านเขาบ้านดงแถบไหนก็ตามเถิด เรายังปฏิญญาณตนเป็นพระเป็นเณรอยู่แล้ว ก็ขอให้พยายามประพฤติปฏิบัติตนอยู่ในระเบียบแบบแผนใช้ความรู้ที่ได้ศึกษาเล่าเรียนมาให้เป็นคุณเป็นประโยชน์แก่ตัวเอง ให้มากเท่าที่จะมากได้
    http://palungjit.org/threads/%E0%B9%94%E0%B9%90-%E0%B8%9C%E0%B8%88%E0%B8%8D%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%A3-%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%82%E0%B8%AD%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%97%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B9%87%E0%B8%88%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%86%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B9%82%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%94%E0%B8%84%E0%B8%93%E0%B8%B0%E0%B8%A2%E0%B8%B8%E0%B8%A7%E0%B8%AA%E0%B8%87%E0%B8%86%E0%B9%8C.228136/
     
  9. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ในความเห็นของอุบาสิกา อย่างอิฉัน เชื่อว่ายังมีพระปฏิบัติดีปฏิบัติอีกมากที่ช่วยกันเผยแผ่
    และจรรโลงพระศาสนา เพื่อให้เกิดปัญญาแกชาวพุทธบริษัท ถ้าพุทธบริษัทเจริญขึ้นมี
    ปัญญารู้ถูกรู้ผิด พระโจรสามเณรโจรนักบวชโจร ย่อมอยู่อาศัยในสังคมนั้นได้ยาก เพราะ
    ขาดบริษัทสนับสนุน ส่วนพวกที่ทำบาปทำกรรมทำลายสังคมของชาวพุทธนั้น ย่อมหนีกฏ
    แห่งกรรมไปไม่พ้น วันหนึ่งก็ย่อมแพ้ภัยตนเอง เราก็อย่าไปสังฆกรรมกับพวกเหล่านั้น
    แต่ให้เร่งสร้างความถูกต้องชอบธรรม ที่ตัวเราเองทำความเห็นให้ถูก ทำตนให้ถูกตาม
    พระธรรมวินัย ย่อมได้ชื่อว่าเป็นพุทธบุตรผู้ประเสริฐ เป็นเนื้อนาบุญของโลก โทษของผู้อื่น
    ที่ทำผิดทำนองคลองธรรมก็ย่อมเป็นไปตามที่ผู้ที่หน้าที่รับผิดชอบทำกันไป เราก็อย่าไป
    ทำเกินหน้าที่ของเรา จะกล่าวโทษใครก็ต้องให้ทำไปตามกฏหมาย พรบ.สงฆ์ หรือตาม
    กฏระเบียบของวัด ถ้าโชคร้ายไปเจอวัดโจร เจ้าอาวาสโจร พระอุปัชฌาโจร แล้วเราแจ้ง
    ไปตามคนที่มีหน้าที่จัดการแล้วเขาไม่จัดการให้ เป็นอิฉันก็ขอแยกทางเดินกับวัดนั้น ไป
    สนับสนุนวัดดีที่อื่นๆแทน แต่คงไม่ไปตามโพทนาความไม่ดีให้สู่ที่สาธรณะ เพราะบางที
    จะกลายเป็นปลาเน่าตัวเดียวจะกลายเป็นเน่าไปทั้งข้อง เดือดร้อนวัดอื่นๆพระดีอื่นๆ ไปด้วย
    ถ้าญาติโยมหมดศรัทธา ไม่เข้าวัดไหนเลย เพราะคิดว่ามีแต่พระโจรเหมือนๆกันไปหมด
    จริงอยู่ว่าเราเจตนาพูดด้วยความหวังดี แต่ปากคนอื่นเราห้ามไม่ได้ เราพูดไปแค่นี้
    แต่คนอื่นเอาไปพูดต่อ คนอื่นที่ไม่หวังดีเอาไปพูดต่อเติม กลายเป็นว่ามีแต่พระไม่ดี ผิดเจตนา
    ที่เราพูดไปเพียงเรื่องเท่านี้ กลายเป็นบานปลายพูดกันไปมาก บอกต่อกันไปมาก ก็มีแต่ผลเสีย
    ตกที่สังคมของพระและวัด อยู่ดี ที่หวังจะให้เกิดการชำระให้ดีขึ้นอาจจะกลายเป็นตรงกันข้ามแทน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 ตุลาคม 2010
  10. พระปิยสีโร

    พระปิยสีโร Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    18
    ค่าพลัง:
    +59
    เจริญพร คุณโยม k.kwan ผู้เจริญแล้ว ด้วยสติปัญญา

    เป็นบทความที่อ่านแล้วรู้สึกดีมาก

    อาตมภาพ ขออนุโมทนาบุญนี้ด้วย

    สาธุ
     
  11. guanyu2005

    guanyu2005 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    107
    ค่าพลัง:
    +106

    ผมว่าพระคุณเจ้าก็ไม่เข้าข่ายนะครับ ท่านนำเรื่องนี้มาให้พุทธศาสนิกชนอย่างเราหาคำตอบ วิเคราะห์ หาทางแก้ไข ในการจัดการปัญหา ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรนะคัรบผมว่า นมัสการครับ
     
  12. หลบภัย

    หลบภัย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    2,207
    ค่าพลัง:
    +3,123
    ภิกษู แปลว่า ผู้ขอ สมมุติสงฆ์ (โลกียะ)
    พระสงฆ์ (สุปัติปันโน) แปลว่า ผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ (โลกุตะระ)

    สองอย่างนี้ช่วยสืบสานศาสนา ทางโลกียะ กับทาง โลกุตะระ
    ไม่ว่าจะเป็นภิกษู หรือ พระสงฆ์ ท่านก็เป็นกิ่งก้านสาขาของพระพุทธเจ้า
    หากไม่มีสิ่งเหล่านี้ ศาสนาจะมาถึงปัจจุบันไหม
    กรรม ขึ้นอยู่กับผู้กระทำ หากเราคิดว่าสิ่งไหนไม่ดี
    เรามาปรับปรุงที่ตัวเราเมื่อพ้นแล้ว เราก็ไปช่วยให้ผู้อื่นพ้นได้ไม่ยาก

    ........................
    หลบภัยไม่มีเจตนาจะ สอนพระคุณเจ้า พระคุณเจ้ามีศีลมากกว่า
    หลบภัยเป็นผู้น้อย ชี้แจง กับเพื่อนๆ ในเว็บ ค่ะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...