เคร่งในคริสต์แล้วบรรลุธรรมได้หรือไม่

(bb-flower หากเคร่งในพระคริสต์แล้ว อยากทราบว่าจะได้บรรลุธรรมเหมือนพุทธหรือเปล่าคะ

 

ได้แน่นอนครับ
..................................................................................

พูดกับทางพุทธ พระเยซูคริสตร์ก็คือพระโพธิสัตว์ที่ปรารถนาจะเป็นพระพุทธเจ้า
แต่บารมีท่านยังขาดเล็กน้อย จึงตรัสรู้เอง และได้เป็นพระศาสดาแห่งคริสตร์
แต่ยังไม่ยืนยาวเท่าพุทธศาสนา

เขียนแบบนี้ก็เหมือนข่มศาสนาคริสตร์ โดยให้พุทธเหนือกว่า แท้แล้วไม่ได้มี
วัตถุประสงค์เช่นนั้น

มองในมุมกลับ พระพุทธเจ้า ก็คือ พระบุตรของพระเจ้า ลงมาพาดวงวิญญาณ
ทั้งหลายกลับไปอยู่กับพระเจ้า หรือก็คือ เข้าสู่พระนิพพาน

พระเยซูคริสตร์ มีความสามารถเผยแพร่พระศาสนาสูงมาก ใครที่ได้ฟังธรรม
จากพระองค์จะเข้าถึงฌาณขั้นปิติ มีอาการน้ำตาไหลพราก หรือแม้แต่ระลึก
ถึง อธิษฐานถึงพระองค์ก็เข้าฌาณขั้นปิติได้ทันที โดยไม่ต้องหลับตา


คนที่ได้เกิดร่วมชาติกับพระเยซูครสตร์ และฟังธรรมจากพระองค์แทบไม่ต้อง
เหนื่อยไปบำเพ็ญกรรมฐานเลย ส่วนกรรมฐานที่พระเยซูคริสตร์สอน ก็คือ
พรหมวิหารสี่ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา


ท่านสอนให้มีความรักแม้นแต่ศรัตรูก็รักได้หมดหัวใจ
คริสตร์เตียนที่เข้มแข็งจะไม่ทุกข์ นี่คือ อุเบกขา


สาวกของพระองค์ก็ไม่ทุกข์แม้นรู้ว่าพระองค์จะถูกนำตัวไปตรึงกางเขน



ขอให้เชื่อพระเจ้าอย่างสุดวิญญาณ และอธิษฐานถึงพระเยซูคริสตร์เสมอ
บรรลุธรรมได้แน่นอนครับ


ปล. ผมเป็นพุทธมหายานนะครับ
สาธุ......................................................................

 

...

 

หากไม่ยึดติดแล้ว ย่อมเห็นวิมุติในสมมุติบัญญัติ
..............................................................


ถึงเวลานั้น ไม่ยึดติดแม้นศาสนาใดๆ ย่อมหยิบยืมใช้
ทั้งวิมุติและสมมุติบัญญัติได้ทุกศาสนา สอนคนได้
ทุกจริต


สาธุ........................................................

 

ไม่มีทางเด็ดขาด

เพราะจะถึงความเป็นพระโสดาบันได้นั้นต้อง
1. เป็นสัมมาทิฏฐิ
2. รักษาศีล 5 ให้บริสุทธิ์(ทางกาย วาจา ใจก็ไม่คิดละเมิด ไม่คิดทดลองลองดี ไม่ยินดีเมื่อผู้อื่นละเมิด ไม่ส่งเสริมให้ผู้อื่นละเมิด)
3. บูชาสูงสุดภายในใจ และไม่เคลือบแคลงสงสัยในพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์
4. มุ่งตรงต่อพระนิพพาน ไม่ต้องการภพชาติอื่นอีกต่อไป
5. รักษากรรมบถ 10, พรหมวิหาร 4, อิทธิบาท 4, มีสัมมาสมาธิพอดีๆ ฯ

แค่ข้อ 1. คุณก็ทำไม่ได้แล้ว ยิ่งข้อ 3. นี้พับเก็บไปเลย
เพราะในโลกนี้มีศาสนาเดียวที่จะทำให้ถึงซึ่งโลกุตตร มีนิพพานเป็นที่สุด คือ พระพุทธศาสนา

 

ขอเสริมแรงครับว่าได้แน่นอน...
--------------------------------

ความรู้ของผมไม่ได้มากมายหรือเป็นผู้รอบรู้มากกว่าคนอื่นๆนะครับแต่ขอตอบจากควมรู้สึกก็แล้วกันนะครับ...
การที่ท่านจะบรรลุธรรมหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับการปฎิบัติหากท่านไม่ยึดติดในศาสนา เปิดใจให้กว้างๆยึดหลักเหตุผลในคำสั่งสอนว่าจริงหรือไม่ เมื่อทราบแล้วก็อยู่ที่ท่านจะตัดสินใจเอาเอง ไม่มีใครมากำหนดหรือบังคับใจของใครได้หรอกครับ
เรื่องของศาสนานั้นเป็นเรื่องที่เราๆท่านยึดกันมานานคนนั้น ก็ว่าศาสนานี้ดี คนนี้ก็ว่าศาสนานั้นดี ผมเชื่อว่าศาสนาทุกๆศาสนาสอนให้คนเป็นคนดี คือการไม่เบียดเบียนผู้อื่นและตนเอง ซึ่งในสังคมและในโลกนี้ก็ทำกันได้ยากเหลือเกิน เพราะกฎเกณฑ์ทางสังคมหลายอย่างมันบีบบังคับอยู่ อีกประเด็นก็ความที่คนเราเกิดมาไม่เท่าเทียมกันนั่นแหละ ใครละที่จะบรรลุธรรมได้..มันก็ต้องทำความดีทุกอย่างอย่างค่อยเป็นค่อยไป รวมทั้งการชำระล้างทางจิตนี่สำคัญ
เพราะฉนั้นแล้วเรื่องของศาสนาผมขอยกเว้นไม่อยากให้เอามาเป็นเรื่องถกเถียงกันมันเป็นเรื่องที่อยู่เหนือความรู้สึก เป็นเรื่องของจิตใจ ไม่ควรนำมาวิพากษ์วิจารณ์ ให้เกิดความขัดแย้งเลย....ขอให้ปฎิบัติดีปฎิบัติชอบ คิดดีทำดี คนเราเกิดมาไม่กี่วันก็ตาย ไม่เคยมีใครอยู่ค้ำฟ้าหรอกครับ จะมานั่งคิดร้ายกันทำไมหนอ..จะศาสนาใดก็ตามหากท่านรัก และเชื่อในคำสอนก็ปฎิบัติไปเถิดครับ หากไม่เห็นผล อยากปฎิบัติตามแนวศาสนาใดก็ตามแต่ท่านเราไม่มีการปิดกั้นกันอยู่แล้วหากหนทางนั้นจะนำพาความสุขมาสู่ท่านผมก็ยินดีในความสุขนั้น แต่ความสุขนั้นต้องเป็นความสุขที่แท้จริง คือไม่ใช่ได้มาเพราะการเบียดเบียนผู้อื่น และไม่ใช่การเสแสร้งใดๆทั้งสิ้น
ขอให้ท่านอย่าได้กังวลใจเลยที่จะปฎิบัติ ธรรมนั้นเกิดขึ้นได้ทุกที่จริงๆแม้เป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยหากพินิจพิจารณาก็ได้ธรรมอันยิ่งใหญ่ ทุกข์กายทุกข์ใจบ้างก็เป็นธรรมอย่างหนึ่ง ของยกตัวอย่างเรื่องของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก่อนจะบรรลุธรรมทั้งหลายได้ ก็ผ่านความทุกข์ทั้งหลายมาเหมือนกัน ก็อาศัยปัญญาวิเคราะห์เหตุของทุกข์วัดกันด้วยปัญญาแท้ๆ

 

พระเยซูคริสตร์โพธิสัตว์เจ้า ท่านสอนดังนี้
............................................................................


หนึ่ง ไม่ให้เคารพรูปบูชาใดๆ (ไม่ให้ยึดติดตัวตน) อันว่าพระเจ้าที่ท่านกล่าว
ก็มีทุกที่ และท่านไม่บอกด้วยว่ามีตัวตนฉันใด ท่านมิได้สอนให้ยึดติดเลย

สอง ท่านให้รัก (เมตตา) แม้นกระทั่งศรัตรู นี่เรียกว่า ใช้พุทธนุภาพ คือ ความ
เมตตาตัดกิเลสตัวหนึ่งที่เรียกว่า "โกรธ หรือแค้น"

คุณว่าคริสตร์เตียนไม่มีศีลห้าหรืออย่างไร?


ในเมื่อเขารักเมตตาทุกสิ่งมีชีวิต เราจะฆ่าสัตว์ได้ไหม?
เขาจะโกหกหรือ ในเมื่อพระเยซูคริสตร์ไม่ได้สอนให้โกหก
เขาจะลักทรัพย์ จะผิดในกาม จะเมาสารเสพติดหรือ ในเมื่อ
พระเยซูคริสตร์สอนไม่ให้กระทำไว้หมด แบบนี้เรียกว่าไม่
มีศีลได้อย่างไร?


คำว่า "สัมมาฐิฑิ" นี้ท่านเข้าใจอย่างไร? ถ่องแท้หรือไม่?
คำว่าตรงต่อนิพพานนี้ ท่านว่าพระเยซูคริสตร์ไม่ได้สอนให้คน
ปล่อยวางคลายการยึดมั่นหรืออย่างไร?



พระเยซูคริสตร์เป็นพระบุตรของพระเจ้า ท่านสะสมบารมีพอที่จะ
ได้เป็นพระพุทธเจ้าองค์ต่อๆ ไปก็ยังได้ แต่ท่านเห็นสรรพชีวิตทุก
ยาก ทรมาน ฆ่ากัน เทพต่างๆ ไปขอให้ท่านจุติ

ท่านก็ยอมลงมา ท่านสละแม้น "พุทธภูมิ" เพื่อมาสร้างศาสนา
คริสตร์ให้คน ท่านยอมแม้นถูกทรมานแสนสาหัส และตายบน
ไม้กางเขน


พระโพธิสัตว์ผู้เปี่ยมเมตตา ประเสริฐเช่นนี้ ท่านจะลบหลู่ได้อย่างไร?


ท่านศึกษาคริสตร์ดีพอหรือยัง?
หรือท่านยึดติดแค่ "สมมุติบัญญัติ" คำที่ใช้ ต้องเป็นศัพท์พุทธเท่านั้น?


เช่นนี้ แม้นแต่ "โสดาบัน" ท่านก็ยังไม่ได้ เอาแต่จำ สมมุติบัญญัติอ่าน
แล้วมายึดติดไว้มากมาย ตายไปเป็นเพียง "โมฆะบุรุษ" เท่านั้นเอง


สาธุ...................................................................

 

[bw-cry] ขอโทษด้วยนะคะที่ตั้งกระทู้แบบล่วงเกินศาสนาคริสต์ แต่ศิษย์โง่ไม่ได้ตั้งใจที่จะทำให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์ที่รุนแรงเพียงแต่อยากทราบจริง ๆ จากผู้ที่ศึกษาและปฏิบัติทางคริสต์ ซึ่งตอนนี้ก็พอจะเข้าใจแล้วค่ะ เดินสายกลาง ไม่ยึดติดตัวอักษร , คัมภีร์ ฝึกที่จิตตน จุดมุ่งหมายของพระศาสดาทุกพระองค์ก็คือจุดมุ่งหมายเดียวกัน คือ ความรัก ความเมตตา สันติภาพ ภราดรภาพ และเอกภาพ สุดท้าย คือบ้านเดิมที่อยู่เบื้องบน (นิพพาน ) นั่นเองใช่ไหมคะ เบื้องบนโปรดเมตตาประทานอภัยกับ ศิษย์โง่ ด้วยนะคะ และขอขอบคุณทุกท่านที่ตอบกระทู้นี้พร้อมกับชี้แนะ ค่ะ

 

ขอโทษครับ
อโหสิกรรมด้วยครับ

 

ไม่มีทางบรรลุธรรมในศาสนาพุทธที่ประเสริฐที่สุด
เพราะพวกเดียรถีย์นอกศาสนามาจากนรกก็จะกลับสู่นรก
แม้สวรรค์ก็ไม่มีทาง ก็เป็นมิจฉาฐิทิปิดกั้นสวรรค์และนิพพาน

 

พระพุทธองค์ทรงเทศนาสั่งสอนก่อนเสด็จดับขันธ์ปรินิพาน โดยย่อดังนี้
...........................................................................


พระอรหันต์ท่านหนึ่ง ทูลถามพระองค์ว่า ศาสนาต่างๆ เกิดขึ้นมากมาย
พระศาสดาก็อวดอ้างตนว่าวิเศษ เช่นนี้ควรทำเช่นไร?

พระพุทธองค์ก็ทรงเทศนา (โดยย่อ) ว่า พระศาสนาย่อมเป็นร่มโพธิร่ม
ไทรอันประเสิรฐแก่สรรพสัตว์ที่แตกต่างกันไป หากศาสนานั้นประกอบด้วย
มรรค 8 (หนทางไปสู่การหลุดพ้น) บุคคลก็สามารถดำเนินตามศาสนานั้นได้


ซึ่งท่านก็มิได้ห้ามที่จะนับถือแต่อย่างใด


ท่านยังได้ทำนายอีกว่า แม้นพระศาสนาของพระองค์จะสิ้นลงเมื่อ 5,000 ปี
โลกนี้ก็ไม่ว่างซึ่งพระปัจเจกพุทธะ พระอรหันต์ทั้งหลาย หากปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ
ล้วนไปสู่พระนิพพานได้ทั้งสิ้น


ดังนี้ พระอรหันต์ พระปัจเจกพุทธะ ทั้งหลาย ที่จุติมาแล้วไม่ได้อยู่ในร่มโพธิ
แห่งพระพุทธศาสนา จักไม่มีเลยหรือไร?


ท่านจงพิจารณาศาสนาเหล่านั้น ด้วยสติปัญญาและความรู้อันลุ่มลึกใน
ศาสนานั้นๆ เถิด

สาธุ..........................................................................

 

OOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOO

พระพุทธองค์ท่านไม่ได้ตรัสเช่นนั้น


แบบนี้ไม่ใช่หรือ...


" เมื่อเราล่วงลับดับขันธ์ไปแล้ว ธรรมและวินัยที่เราบัญญัติไว้ดีแล้ว

จะเป็นศาสดาของท่านทั้งหลาย "............


...... ตราบใดที่มีผู้ปฏิบัติ อริยมรรคมีองค์แปด
(ไม่ใช่เพียงข้อใดข้อหนึ่ง)

ย่อมมีผู้เข้าถึงธรรมได้

( ...แต่องค์มรรคทั้งแปดต้องรวมตัวเป็นสภาวะมรรค ดับสมุทัย จิตพ้นจากขันธ์ห้าแม้เพียงเสี้ยววินาที

เมื่อนั้น วิมุตติญาณทัศนะจึงเกิด เกิดสัมมาญาณเห็นทางสายกลาง )

 

*** บรรลุธรรม **** คือ อะไร ?...หาก มีความหมายว่า การรับรู้จนสามารถ "เข้าใจหลักสัจจะธรรม" ความจริงได้อย่างชัดเจน นั้น จึงไม่จำเป็นว่าจะต้องนับถือศาสนาอะไรเป็นพิเศษ เพราะ "ศาสนศาสตร์" มีเพียงหนึ่งเดียวในโลก เป็นเรื่องเดียวกัน เป็นเรื่องของ "ความจริง" เป็นเรื่องของ "สัจจะธรรม" เป็นเหตุผลของทุกสิ่งในจักรวาล...ศาสนศาสตร์ จึงไม่จำกัดเชื้อชาติ ศาสนา ผู้ที่นับถือศาสนาอื่นๆ ที่ไม่ใช่ศาสนาพุทธ หากได้รับฟังเรื่อง "ต่างๆ เกี่ยวกับสัจจะธรรม" จากพระพุทธเจ้า หรือ จากสาวกที่ทำได้และบรรลุธรรมมาก่อน ก็จะสามารถเข้าใจได้ เหมือนว่าดวงตาเห็นธรรม เห็นในความจริง เห็นเหตุผลในธรรมชาติ....ดังนั้น ชาวคริสต์ ก็สามารถบรรลุธรรม ตามความหมายข้างต้นได้...แต่การบรรลุถึงขั้นหลุดพ้น เช่นพระพุทธเจ้า จะต้องทำตามทุกย่างก้าวของพระพุทธเจ้า คือ การ ตั้งใจลดอารมณ์นิสัยที่ไม่ดีให้หมดไปจากจิตใจของตนเอง และจำเป็นต้องออกบวชเป็นภิกษุสงษ์ เนื่องจากแม้มีความตั้งใจและพยายามมากเพียงใด ก็ไม่สามารถหลุดพ้นจากพันธะผูกพันธ์ที่มีต่อคนอื่นๆ ในสังคมตามสถานะภาพ ตำแหน่ง หน้าที่ ความรับผิดชอบ และพันธะต่างๆ อีกมากได้ จึงจำเป็นอย่างมากที่จะต้องแยกตัวออกจากสังคม...และจุดนี้ คือ ความแตกต่างของศาสนา คือ ศาสนาอื่นๆ เป็นศาสนาสังคม การอยู่รวมกัน แต่ศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่สอนให้พึ่งตนเอง มุ่งสู่การหลุดพ้น เมื่อถึงจุดหนึ่งของชีวิตจึงเกิดความสงบ และพยายามแยกตัวออกจากสังคมที่มีพันธะผูกพันธ์มากมาย...เมื่อถึงเวลาอีกไม่นานข้างหน้า ชาวคริสต์ ก็จะได้พบหลักสัจจะธรรม เช่นกัน....ขอให้ใช้ชีวิตด้วยความไม่ประมาท พยายามรักษาชีวิตและร่างกายไว้ให้ดี ท่านจะได้พบสิ่งที่ดีที่สุดในชีวิตอย่างแน่นอน - " หนุมาน ผู้นำสาร "

 

oooooooooooooooooooooooooooooooooooooooooooooooo


โดยเฉพาะที่ผมเน้นตัวแดงไว้ คุณพิจารณาดีๆนะครับ


1. ผู้เป็นมโนฯ และท่านใดขอครู ขอพระนำไปได้
ให้นำไปพบพระเยซู ที่....... แล้วถามว่าจริงไหม?


2. ครั้งที่พระพุทธองค์ไปโปรดพกาพรหม ที่พรหมโลก
ทรงทรมานทิฐิแห่งมหาพรหมองค์นี้ ผู้ทรงสภาวะระดับ
พระเป็นเจ้า ให้ละทิฐิ...ในความเป็นอัตตานุทิฏฐิ
ศึกษาตรงนี้ให้กระจ่าง

3. ผู้ทรงสภาวะในระดับพระเป็นเจ้ามีมากมาย
ที่กลับมาเป็นสัมมาทิฏฐิ สมาทานไตรสรณะคมน์ก็มี บางท่านก็เข้าเขตอริยะ บางท่านยัง

ถ้าบังเอิญสื่อสารกับกายละเอียดตั้งแต่ ผี เปรต เทวดาระดับต่างๆ เทพ พรหม ฯลฯ แต่ไปเจอกับองค์ที่ยังไม่เข้าเขตอริยะ

ตรงนี้อันตราย........

 

http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y4905448/Y4905448.html

นี่เป็นกรรมฐานที่พระเยซูคริสตร์สอนแก่คริสเตียน ร่วมกับการอธิษฐาน
เพียงแต่ใช้ "ศัพท์" แตกต่างกันเท่านั้น หากพิจารณาหลักธรรมของพระ
เยซูคริสตร์ดีแล้ว ย่อมเห็น



มีหนังสือเล่มหนึ่ง ที่รวบรวมธรรม ก่อนพระพุทธเจ้าจะเสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน
ที่ท่านได้ตรัสกับพระอานนท์ก้ดี ภิกษูรุปอื่นๆ ก็ดี ในนั้นจะละเอียด จะเห็นว่าทรง
ตรัสไว้จริง (เรื่องศาสนาที่มีมรรค 8 ก็ไปสู่นิพพานได้)


สาธุ.......................................................................

 

เมื่อท้าวพกาพรหมละฐิฑิแล้ว ก็สามารถมาสะสมบารมีเป็นพระโพธิสัตว์
และบรรลุรรมได้ใช่หรือไม่? เพราะพระพุทธองค์ทรงไปปราบจนละฐิฑิ
เป็นสัมมาฐิฑิแล้วนี่ท่าน

สาธุ........................................................................

 

หากสังเกตุ "เดอะ ลาสซัพเพอร์" หรือในพระคัมภีร์อย่างดี
มีคนโพสไว้ ประมาณว่า พระสาวกผุ้หนึ่งบอกแก่พระแม่มารีว่า
หญิงเอ๋ยจงดูบุตรของท่าน (พระเยซูกำลังจะไปถูกตรึงกางเขน)
นี่คือ พระสาวกท่านให้ดูเพื่อปลงอนิจจัง แต่พระแม่มารีไม่มีอาการ
"ทุกข์" เลย (นี่คือ ลักษณะของพระอรหันต์) พระเยซูคริสตร์จึง
ตอบว่า ให้ดูแม่ของท่านเองเถิด หมายความว่า ไม่ต้องกังวล
พระแม่มารีบรรลุธรรมแล้ว



พระองค์กล่าวว่า ไม่ให้ยึดติดแม้นรูปเคารพ นี่ก็สอนเรื่อง "อนัตตา"
ท่านว่าพระเจ้ามีอยู่ทุกที่ และไม่ทรงกำหนดให้มีตัวตน นี่คือ
พระธรรมมีทุกที่

ท่านว่าคริสตร์เตียนจะไม่ทุกข์ --- นี่คือ ลักษณะของพระนิพพาน



ให้ท่านสังเกตุดีๆ และศึกษาลึกซึ้ง จะเคารพทุกศาสนา
แต่ข้าพเจ้ามิได้พุดเพื่อให้ท่านเปลี่ยนศาสนา ข้าพเจ้าเอง
ก็เป็นพุทธ แต่เมื่อมีผู้มีจริตทางคริสตร์ หากเขามาอ่าน
ก็จะสามารถต่อยอดธรรมให้เขาได้

ย่อมดีกว่าการล้างสมอง ล้มล้างความคิดผู้อื่นใช่หรือไม่?
เช่นนี้ พุทธศาสนาจะเปิดกว้างเป็นสากล และต่อยอด
ให้คนไปนิพพานได้ โดยไม่เกิดสงครามศาสนา เราทั้ง
หลายต้องเปิดใจกว้างยอมรับทุกศาสนาก่อน ไม่เช่นนั้น
ศาสนาอื่นๆ ก็ไม่ยอมรับเรา แล้วพุทธศาสนาจะเป็นสากลได้
อย่างไร?


การถกธรรมนั้นเป็นเรื่องกุศลและได้บุญด้วย เป็นวิปัสสนากรรมฐาน
แบบหนึ่ง ขอให้ท่านทั้งหลายหมั่นสนทนาธรรมเป็นเนืองนิตย์และ
พิจาณาดูจิตตนเป็นเนืองๆ เพื่อดู "อัตตา" ของตน ก็สามารถขจัด
กิเลสได้มาก



ส่วนการที่พระอรหันต์หรือพระอริยบุคคลท่านใดในนี้ จะกล่าวผิด
ในพระธรรมบ้างก็เป็นเรื่องปกติ ไม่ได้แปลว่าท่านจะไม่หลุดพ้น
นิพพาน พระอรหันต์ท่านยังต้องถามพระพุทธองค์ในเรื่องที่นอก
เหนือจากใบไม้ในกำมือที่พระพุทธองค์ได้ให้


เช่นนี้การสังคายนาพระไตรปิฏก จึงต้องใช้การสนทนาถกธรรมกัน
ย่อมไม่สำเร็จได้ด้วยพระอรหันต์รูปเดียวด้วยเหตุนี้


สาธุ..............................................................

 

***เราควรพิจารณาเหตุผลความจริง**** เพราะเอกสารตำราที่ถูกเขียนขึ้น ถูกแปล ถูกทำลายจากสงคราม หลายครั้ง และเวลาผ่านมาเนิ่นนานหลายปี (สองพันห้าร้อยกว่าปี) สิ่งต่างๆ ที่พระพุทธสอนในสมัยพระองค์ท่าน จึงไม่สามารถดำรงคงอยู่ได้ครบถ้วนทุกพยางค์ ทุกคำ ทุกประโยคอย่างแน่นอน ดังนั้น พวกเราชาวพุทธที่มีสติปัญญาดี จึงควรเปิดใจกว้างรับฟัง รับรู้ให้มาก แล้วนำมาพิจารณาว่าสิ่งใดที่มีเหตุมีผลสมบูรณ์มากกว่ากัน เราควรจะพิจารณาก่อนจะใช้อารมณ์ตัดสินใจเชื่อสิ่งใดได้ง่าย หากพระพุทธเจ้าปิดตนเอง ไม่ยอมรับฟังคำสั่งสอนจากครูอาจารย์ จากผู้รู้ในสิ่งต่าง ๆ ท่านก็จะขาดข้อมูลที่จะนำมาพิจารณาจนไม่สามารถค้นคว้าจนพบ "หลักสัจจะธรรม" ความจริงได้ในที่สุด...เราจึงควรพัฒนาตนเอง อย่าหยุดนิ่งเชื่อมั่นในสิ่งใดสิ่งหนึ่งมากจนเกินไป...เหมือนการเรียนรู้ในระดับต่างๆ หากไม่มีครูอาจารย์มาสอน หากไม่มีตำราหลายเล่มเป็นครู แล้วนักเรียนนักศึกษาจะ "รู้ขึ้นเอง" ได้อย่างไร...นั้นคือ จะจบมัธยม จบปริญญาได้ ก็ต้องมีการรับฟัง รับรู้ข้อมูลจำนวนมากเช่นกัน... ถ้านักศึกษาปิดตนเอง ไม่ชอบหน้าอาจารย์คนหนึ่ง ไม่สนใจ ไม่ฟัง ไม่รับรู้สิ่งต่างๆ จากอาจารย์คนนี้ อนาคตของนักศึกษาคนนี้ คงไปไม่ถึงที่สุด คงไม่ได้เข้าเฝ้าในหลวง ในวันที่คนอื่น ๆ รับพระราชทานปริญญาบัตรอย่างแน่นอน !!! - " หนุมาน ผู้นำสาร "

 

OOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOOO

เมื่อเราก็กำลังพูดถึงกุญแจ และคำตอบซึ่งก็คือ

มรรคมีองค์ 8 เหมือนกัน แล้ว คุณพรเทพกำลังงงอะไรหรือครับ


เรากำลังพูดถึงธรรม ไม่ได้พูดถึงรูปแบบศาสนาภายนอก

ถ้าเรายึดติดพระเจ้า แล้วคนสมัยนี้กี่คนที่มีศักยภาพพอที่จะตรวจรู้ว่าเป็นพระเจ้าจริงไหม เป็นคัมภีร์ที่แต่งภายหลังหรือไม่

ซึ่งทุกวันนี้ ทุกศาสนาแม้ศาสนาเดียวกัน ก็ยังแตกคอกันว่าฉันถูก เธอผิด....

คำตรัสก่อนดับขันธ์ปรินิพพาน จึงให้ยึดธรรมที่ทรงบัญญัติไว้ดีแล้ว.....( นี่คือ ศรัทธาในพระธรรม , ในพระพุทธ )

 

พระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งสูงสุด ไม่มีอะไรเหนือกว่า

นี่คืออารมณ์ของผู้เห็นธรรม