บุพเพชาติปางก่อน หลวงปู่จันทา ถาวโร

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย Lukhgai, 14 ธันวาคม 2009.

  1. Lukhgai

    Lukhgai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    3,000
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +8,239
    [​IMG]



    บุพเพชาติปางก่อน
    หลวงปู่จันทา ถาวโร
    วัดป่าเขาน้อย อ. วังทรายพูน จ. พิจิตร

    [FONT=Times New Roman, Times, serif]โพสท์ในลานธรรมเสวนา กระทู้ที่ 006630 - โดยคุณ : mayrin [ 4 ต.ค. 2545][/FONT]





    ในตอนเย็นวันหนึ่งนั่งแปล ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร จนจบแล้วก็เข้าที่ไหว้พระสวดมนต์อุทิศส่วนบุญ จากนั้นก็นั่งภาวนาวันนั้นจิตรวมใหญ่

    พอจิตสงบลงก็มีแสงสว่างกระจ่างแจ้งเกิดขึ้นแล้วพระธรรมก็ยกเพศนักบวชมาให้เห็นยืนอยู่ตรงหน้า แหมรูปร่างสวยงาม แต่ไม่ใหญ่โตนะ มีขนาดเท่ากับปัจจุบันนี้แหละ แล้วพระธรรมก็พูดขึ้นว่า

    "นี่แหละ สมบัติของท่าน ยกเอามาให้ดูเป็นสมบัติที่ดี ตั้งแต่ชาติปางก่อนโน้น สมัยศาสนาของพระพุทธเจ้าสิขี ก่อนพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน ขึ้นไปอีก ๕ พระองค์ นั่นแหละ

    ท่านได้ไปบวชในศาสนาของพระพุทธเจ้าองค์นั้น ตั้งแต่เป็นเณรไปตลอดจนถึงวันตาย นั่นแหละ ไม่หวั่นไหวในเรื่องโลกสงสาร พอใจใฝ่ฝันในการทำความดี เพราะเบื่อหน่ายในภพชาติสังขารที่ได้ไปอบายเสียเป็นส่วนมาก

    ได้มีโอกาสทำคุณงามความดีเพียงชาติเดียวเท่านั้น และก็ได้มอบกายถวายชีวิตรักษาเพศพรหมจรรย์ไว้ บวชจนตลอดชีวิต ไม่สึกไปสร้างโลก ไม่หวั่นไหวในเรื่องกิเลสทั้งนั้น จนกระทั่งได้เอาผ้าเหลืองห่อร่างเข้ากองไฟไปเลยนะในชาตินั้น

    นั่นแหละ เป็นปัจจัยใหญ่ที่ชาตินั้นได้บวชทำคุณงามความดีไว้ ได้ศึกษาพุทธวจนะ ฝังไว้ที่ใจ ไม่สาบสูญหายไปไหนหรอก มาชาตินี้ถึงแม้ว่าจะไม่ได้เรียนหนังสือก็ตามที แต่คุณงามความดีที่ได้ทำไว้ก็ดลบันดาลให้มาได้บวชอีก ถ้าชาตินั้นไม่ได้บวช มาชาตินี้ก็ไม่ได้บวชนะ"

    [FONT=Times New Roman, Times, serif]ทีนี้ก็กำหนดถามพระธรรมต่อไปว่า "ชาตินี้ภพนี้จะไปพระนิพพานตามพระพุทธเจ้าได้ไหม ?"[/FONT]

    "แล้วแต่เหตุปัจจัยนะ"

    [FONT=Times New Roman, Times, serif]"อะไรคือเหตุ อะไรคือปัจจัย?"[/FONT]

    "เหตุ คือ การประพฤติปฏิบัติสมถกรรมฐาน วิปัสสนากรรมฐาน เดินยืนนั่ง พิจารณาธาตุขันธ์น้อมลงสู่ไตรลักษณ์เห็นแจ้งประจักษ์อย่างนั้น นี่เรียกว่า การประกอบเหตุดี"

    "ปัจจัย ได้แก่ บุญกุศลแต่ชาติปางก่อนโน้น ถ้ามันสมดุลกันแล้วก็ไปได้ บุญกุศลนั้นจะเป็นเครื่องตัดกระแสของสงสารไปได้"

    "ถ้าปัจจัยเต็มแล้ว แต่ขาดเหตุ ก็ไปไม่ได้ หรือว่า เหตุพร้อมแล้ว แต่ขาดปัจจัย ก็ไปไม่ได้เช่นกัน ฉะนั้น มันต้องพร้อมมูลทั้งสองอย่างมันจึงจะไปได้ นั่นแหละ ไม่ต้องสงสัย"

    "แต่ถึงจะไปได้หรือไม่ได้ก็ตามที ก็อย่าได้หวั่นไหวในการประพฤติปฏิบัติศาสนธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ไม่ว่าจะทำน้อยหรือมากก็เป็นบุญเป็นกุศลเป็นนิสัยเป็นปัจจัยทั้งนั้น"

    นั่นแหละ พระธรรมพูดขึ้นมาอย่างนั้นแล้วก็ดับสูญไป

    [FONT=Times New Roman, Times, serif]ถ้ามีผู้ถามว่า "อยากจะสึกไปสร้างโลกกับเขาอีกหรือไม่?"[/FONT]

    "โอ๋... อย่าคิดเสียเลย เสียเวลาภาวนา ชาติก่อนเคยเป็นมาอย่างไร ชาตินี้ก็จะเป็นอย่างนั้น ในชาติปางก่อนเคยบวชอยู่จนตายในเพศพรหมจรรย์ หามเข้ากองไฟไปเลย ชาตินี้ก็จะไปอย่างนั้น"

    เห็นพระเณรอยากสึก มาขอสึก แล้วก็รู้สึกใจหายนะ ใจร้อน สงสารเมตตา เพราะอินทรีย์อ่อน บารมีธรรมอ่อน สติปัญญาก็อ่อน ตัดวัฏฏสารกระแสแห่งความทุกข์ไม่ได้

    ก็ไปตามเวรตามกรรมเถิดไม่ว่ากัน พอหันกลับมามองเพศพรหมจรรย์แล้ว ก็รู้สึกเย็นตา เย็นใจนะ ใจสบาย นี่เป็นเพราะปัจจัยเก่าสร้างสมมาอย่างนั้น

    จากนั้นจิตก็รวมอีก พระธรรมก็ยกบุพเพชาติมาให้เห็นอีก

    [FONT=Times New Roman, Times, serif]เป็นจระเข้ใหญ่ นอนอยู่ในถ้ำ จึงถามว่า "นี่คืออะไร ?"[/FONT]

    "นี่แหละ ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ ชาติภพของท่านที่เป็นมาแต่ชาติปางก่อนโน้น"

    [FONT=Times New Roman, Times, serif]"เป็นอย่างนี้ก็เป็นหรือ ?"[/FONT]

    "เป็น"

    [FONT=Times New Roman, Times, serif]"เพราะเหตุใดจึงเป็น ?"[/FONT]

    "เพราะกลืนกินยาพิษ ความโลภโกรธหลงนั้นคือยาพิษใหญ่ ฉาบทาจิตใจไว้ ไม่มีที่พึ่ง คือ พุทโธ ธัมโม สังโฆ และ ศีลธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ดังนั้น เมื่อตายแล้วจึงไปเสวยภพชาติเป็นจระเข้"

    [FONT=Times New Roman, Times, serif]"นานเท่าใด ?"[/FONT]

    [FONT=Times New Roman, Times, serif]โอ๋... เป็นแสน ๆ ชาตินะท่าน[/FONT]

    [FONT=Times New Roman, Times, serif]เพราะเหตุใดจึงนาน ?” [/FONT]

    เพระไปเกิดเป็นจระเข้ใหญ่อาศัยในห้วยหนองคลองบึงลึกกว้างใหญ่ สัตว์ตัวเมียก็มาก ดังนั้นจึงไปติดในกิเลสกามวัตถุกาม อาหารก็ไม่อดไม่อยาก อยู่กินสนุกสนานนั่นแหละ

    โลกคือหมู่สัตว์ ถึงจะไปเกิดเป็นภพชาติใด ถ้ากิเลสกับกรรมนั้นครอบครองหัวใจแล้ว ก็จะชักพาหลอกลวงให้หลงติดยึดอยู่ในภพชาตินั้น ๆ ไม่รู้จักเบื่อหน่าย ดังนั้น กว่าจะเปลี่ยนชาติภพมาได้จึงนานแสนนาน

    จากนั้นพระธรรมยกบุพเพชาติขึ้นมาอีก เป็น ตะขาบใหญ่ วิ่งเข้ามา ร้องว่า อ๊ด...ๆ...ๆ

    [FONT=Times New Roman, Times, serif]"นี่คืออะไร ?"[/FONT]

    "นี่แหละ บุพเพชาติปางก่อนที่ท่านได้เสวยมาแล้ว"

    [FONT=Times New Roman, Times, serif]"โอ๋... ตะขาบก็เป็นหรือ ?"[/FONT]

    "เป็น"

    [FONT=Times New Roman, Times, serif]"เพราะเหตุใดจึงเป็น ?" [/FONT]

    "เพราะกลืนกินยาพิษนั่นแหละ ยาพิษ คือ โลภโกรธหลง และไม่มี พุทโธ ธัมโม สังโฆ อยู่ที่ดวงจิต

    [FONT=Times New Roman, Times, serif]"นานเท่าใด ?"[/FONT]

    "เป็นแสน ๆ ปีนะท่าน"

    โอ๋... เห็นแล้วก็สลดสังเวชใจจนน้ำตาไหล จากนั้นก็เกิดเป็นภาพงูใหญ่วิ่งเข้ามา ร้องว่า

    "วิริเยนะ ทุกขะมัจเจติ"

    นี่แหละ ภพชาติปางก่อนยกมาสอนให้ดู ก็ได้ความสังเวชสลดใจ เพราะมันตายสาบสูญหมดเสียสิ้น พอตายแล้วดวงจิตออกจากร่างไปไหน ไปเกิดเป็นหมี มีครอบครัว มีบุตร มีภรรยา มีบุตร ๒ ให้ภรรยาเลี้ยงดูบุตร ส่วนตัวเองออกไปหาอาหารผลไม้ และรวงผึ้งมาเลี้ยงทุกวัน

    อยู่มาวันหนึ่งมีเสือโคร่งใหญ่กัดกินบุตร กลับมาเห็นพอดีก็กัดกันเลยนะ

    กูก็ตาย มึงก็ตาย นั่นแหละ ตายจากหมีแล้วไปไหน ดวงจิตออกจากร่าง ไปเกิดเป็นหมูตัวใหญ่

    ผู้ชนะย่อมแพ้ ผู้แพ้ย่อมก่อเวร นั่นแหละ เมื่อไปเห็นก็กัดกันอีก เขาก็ตาย เราก็ตาย

    ดวงจิตออกจากร่างหมูแล้วไปไหน เหลือบไปเห็นลิงอยู่บนยอดไม้ โอ๋... ไปเกิดเป็นลิงดีกว่าจะได้พ้นจากปากเสือ ก็เลยไปเข้าท้องลิง

    เกิดมาเป็นลิงหากินผลหมากรากไม้ตามต้นไม้ ก็เลยพ้นจากปากเสือไปได้ ขณะนั้นพ่อแม่เที่ยวไปตามชายเขา ไปเห็นวัด แห่งหนึ่งเป็นวัดพระกรรมฐาน ตั้งอยู่กลางภูเขาลำเนาไพร พ่อแม่ ก็เลยพาไปฟังธรรมะ

    พระก็เทศน์ว่า "โย จะ ปุคคะโลฯ บุคคลทั้งหลาย ทั้งมนุษย์และสัตว์เดรัจฉานก็ดี เมื่อมาเอาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ และ ศีลธรรมเป็นเครื่อง ประดับเป็นเครื่องล้างบาปแล้ว อบายไม่ได้ไป ไฟนรกไม่ได้ไหม้ สิ้นแสนกัปดับขันธ์แล้ว จะมี พระนิพพานเป็นที่ไปเบื้องหน้า

    พ่อแม่ก็เลื่อมใส อยากเปลี่ยนภพชาติ ก็เลยไปศึกษากับพระที่เป็นหัวหน้าว่า

    [FONT=Times New Roman, Times, serif]"ข้าพเจ้าเป็นลิงจะปฏิบัติธรรมได้ไหม ?"[/FONT]

    "ได้...ไม่เป็นไร ไม่เลือกชาติชั้นวรรณะหรอก มนุษย์ก็ทำได้ สัตว์ก็ทำได้" แล้วพระก็บอกว่า

    "ลิง... พวกแกขึ้นต้นไม้ได้เร็ว ผลไม้สุกมีอยู่เต็มป่านั้นไปเก็บเอามาไว้ใส่บาตรพระกับโยมมนุษย์ทั้งหลายเขา พวกใบไม้ที่กินเป็นอาหารได้ก็ไปเก็บมาไว้ทำทาน"

    ก็เลยทำอยู่อย่างนั้น เพราะอยากเปลี่ยนภพชาติ ได้ผลไม้มาลูกไหนที่ไม่สวยไม่ดีก็เก็บไว้กินเอง ส่วนลูกที่ดีและสวยงามเก็บไว้ใส่บาตรพระบำเพ็ญบุญ จากนั้นก็เข้าป่าหาหัวเผือกหัวมันต้มถวายพระ บำเพ็ญบุญเช่นนั้นเรื่อยมา

    ต่อมามีอุบาสิกาคนหนึ่งเป็นหัวหน้าเพื่อน มีรูปร่างใหญ่โตมโหฬาร มีเสียงกังวาน เห็นแล้วก็ชอบใจ เพราะเขาเป็นสัมมาทิฏฐิ บำเพ็ญบุญกุศลวัตรไม่ลดละ ก็คิดในใจว่า ถ้าเราสิ้นลมจากลิง เราจะไปเข้าท้องอุบาสิกาคนนี้

    พอดีอายุสังขารร่วงโรยหมดสิ้นลงก็สิ้นลม ขณะนั้นาสติปัญญาตามจิตทันอยู่ ด้วยความห่วงใยอาลัย เมื่อจิตออกจากร่างลิงก็ไปเข้าท้องอุบาสิกาคนนั้น พอครบ ๑๐ เดือน ก็คลอดออกมา

    โอ๋...เราเปลี่ยนภพชาติได้แล้ว เพราะเราทำคุณงามความดีกับพระกับมนุษย์ อำนาจของพระไตรสรณคมณ์ และศีล ๕ รักษาไว้ไม่ให้ไปอบาย และทำให้เปลี่ยนภพชาติมาเป็นมนุษย์ได้

    พออายุได้ ๗ ปี พ่อแม่ก็เลยให้บวช เพราะเห็นเป็นคนว่องไวดี คงจะศึกษาเล่าเรียนดี พ่อแม่ก็พาไปถวายพระกรรมฐาน ผู้เป็นหัวหน้า พระกรรมฐานนั้นก็ว่า

    "โอ๋...ลูกรัก เมื่อชาติก่อนเจ้าเป็นลิงนะ มาทำคุณงามความดีอยู่กับมนุษย์ที่นี่ ก็เลยได้เปลี่ยนภพชาติจากลิงไปเป็นมนุษย์ ก็ดีแล้ว ฉะนั้น บวชเป็นเณรเสียเลย"

    พอบวชแล้ว ก็ตั้งใจศึกษาพุทธวจนะได้คล่องแคล่วดี จากนั้นก็เทศนา สั่งสอนมนุษย์ทั้งหลายให้บำเพ็ญ ทาน ศีล ภาวนา พุทโธ ธัมโม สังโฆ ไม่ลดละ ตราบจนสิ้นชีวิตสังขาร

    รวมที่ญัตติเป็นพระด้วย ๑๐๐ กว่าปี นั่นแหละดับขันธ์แล้วก็มีความเบิกบานสำราญใจดี นี่เป็นปฐมเหตุของการสร้างคุณงามความดี

    เรื่องบุพเพชาติแต่ปางก่อน ก็ได้เห็นเพียงแค่นั้น นั่นแหละ ตอนแรกเป็นลิง เปลี่ยนจากลิงมาเป็นมนุษย์ ทำคุณงามความดีสูงสุดมาเป็นระยะ ๆ อันนี้จึงได้ชื่อว่า

    ธัมโม หะเว รักขะติ ธัมมะจาริง ผู้ประพฤติธรรม ธรรมย่อมรักษาไม่ให้ตกไปในโลกที่ชั่ว

    ธัมโม สุจิณโณ สุขะมาวะหาติ ธรรมที่ประพฤติดีแล้วนำสุขมาให้

    เมื่อเห็นจริงเช่นนี้แล้วก็สิ้นสงสัย ในโลกทั้งสาม (กามโลก รูปโลก อรูปโลก) นี้ ไม่มีสิ่งใดหรอกที่จะเป็นที่พึ่งอันเอกนอกจาก พุทโธ ธัมโม สังโฆ และ ศีลธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า เท่านั้น นั่นแหละ ได้ประพฤติวัตรปฏิบัติมาอย่างนี้




    คัดลอกจาก: ๘๐ ปี หลวงปู่จันทา ถาวโร

    <!-- / message --><!-- sig -->
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 17 ตุลาคม 2010
  2. Phuket

    Phuket เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    499
    ค่าพลัง:
    +877
    เอาอีก สนุกๆ
     
  3. greenice

    greenice เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    760
    ค่าพลัง:
    +1,390
    อนุโมทณาบุญครับ
     
  4. datchanee

    datchanee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,947
    ค่าพลัง:
    +1,276
    satu satu satu
     
  5. Numsai

    Numsai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    5,778
    ค่าพลัง:
    +87,677
    เท่าที่ทราบการปฏิบัติอสุภะกรรมฐานก็ดี และกายานุสติก็ดี หากปฏิบัติให้ชำนาญแล้ว จะคล่องในการระลึกชาติได้

    ขออนุโทนาบุญกับคุณ Lukhgai ด้วยค่ะ
     
  6. สนังกุมารพรหม

    สนังกุมารพรหม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    159
    ค่าพลัง:
    +992
    สาธุ ขอกราบครูบาอาจารย์เฒ่าด้วยความเคารพยิ่ง ขออนุโมทนากับเจ้าของกระทู้ที่ได้นำธรรมะดีๆมาเผยแผ่ สาธุ
     
  7. ราบรื่น

    ราบรื่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    49
    ค่าพลัง:
    +218
    อนุโมทนาด้วยค่ะ คนเราเกิดมาหลายชาติเป็นสัตว์ก็เป็นมาแล้ว มาชาตินี้ได้เกิดเป็นคน ก็ต้องทำความดีให้สมกับที่ได้เกิดมาค่ะ ไม่งั้นอายสัตว์
     
  8. Santajitto

    Santajitto เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กันยายน 2010
    โพสต์:
    263
    ค่าพลัง:
    +455
    อนุโมทนาสาธุครับ ...
    ศีล สมาธิ ปัญญา คือเครื่องคุ้มครองโลก
     
  9. amarpinky

    amarpinky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    423
    ค่าพลัง:
    +522
    ขออนุโมทนาสาธุด้วยค่ะ สะสมบุญเพื่อเป็นปัจจัยในการนิพพาน
     
  10. ปุณณา

    ปุณณา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    206
    ค่าพลัง:
    +555
    เป็นจระเข้ใหญ่ นอนอยู่ในถ้ำ จึงถามว่า "นี่คืออะไร ?"
    เป็น ตะขาบใหญ่ วิ่งเข้ามา ร้องว่า อ๊ด...ๆ...ๆ
    จากนั้นก็เกิดเป็นภาพงูใหญ่วิ่งเข้ามา ร้องว่า "วิริเยนะ ทุกขะมัจเจติ"
    ไปเกิดเป็นหมี
    ไปเกิดเป็นหมูตัวใหญ่
    ไปเกิดเป็นลิงน้อย

    "เป็นอย่างนี้ก็เป็นหรือ ?"

    "เพราะเหตุใดจึงเป็น "

    "เพราะกลืนกินยาพิษนั่นแหละ ยาพิษ คือ โลภ โกรธ หลง และไม่มี พุทโธ ธัมโม สังโฆ อยู่ที่ดวงจิต


    ยาพิษ อยู่ใกล้ตัวเรามากเลย

    อนุโมทนาสาธุค่ะ
     
  11. kittitpx

    kittitpx เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    570
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +2,000
    ผมได้รับหนังสือหลวงปู่จันทา ถาวโร มาจากเพื่่อน

    อ่านเจอประโยคเหล่านี้ก็ทำให้เป็นแรงบันดาลใจที่อยากจะลด ละ เลิก ยาพิษ คือกิเลส ความโลภ ความโกรธ ความหลงได้เป็นอย่างดี

    เพราะว่าจิตมีความสามารถในการสั่งสม และถ้าปล่อยให้จิตกลืนยาพิษ ความโลภโกรธหลง ไม่หาวิธีลด ละ เลิก แล้วล่ะก็ จิตใจก็จะต้องตกต่ำ ด่ำดิ่งสู่อบายภูมิแน่ๆ

    ที่ต้องไปเกิดเป็นจระเข้ใหญ่อาศัยในห้วยหนองคลองบึงเป็นแสน ๆ ชาติ ไปเกิดเป็นตะขาบเป็นแสน ๆ ปี
    เพราะว่าจิตกลืนยาพิษ ความโลภโกรธหลงนี้เอง

    เมื่อเริ่มรู้สึกว่าความโลภโกรธหลงกำลังเกิดขึ้นในจิตใจ รู้ว่าจิตกำลังจะกลืนกินยาพิษเหล่านี้เสียแล้ว
    จังหวะนั้นทุกท่านที่ได้อ่าน ควรจะเกิดความกลัว เกรงกลัวเป็นยิ่งนัก กลัวยิ่งกว่างูพิษที่อยู่ข้างหน้าจะฉกกัดเราเสียอีก
    กลัวเพราะรู้ว่ากิเลสความโลภโกรธหลงนี้ จะส่งผลร้ายต่อเราในภายหน้า
    เมื่อความโลภโกรธหลงกำลังเกิดขึ้นในจิตใจ ขอให้นึกถึงเรื่องบุพเพชาติปางก่อน หลวงปู่จันทา ถาวโรมาเป็นอุทาหรณ์เตือนใจครับ

    ฝึกจิตให้เข้มแข็งพร้อมที่จะเผชิญกับสิ่งเหล่านี้ได้อย่างไม่หวั่นไหว ต้องใช้ความอดทน อดกลั้นต่อสิ่งที่มายั่วยุทั้งหลายทั้งปวง
    ขอให้ทุกท่านมีสติปัญญาเข้มแข็งนะครับ
    มีสติรู้เท่าทันกิเลสที่เกิดขึ้นในจิตใจ และมีปัญญาพิจารณาทำลายกิเลสให้หมดสิ้นไปจากจิตใจ

    ขอให้ทุกคนมีสิ่งที่จะเป็นแรงบันดาลใจ แรงผลักดัน ในการลด ละ เลิก กิเลสความโลภโกรธหลง จนทำให้กิเลสในจิตใจเบาบางลดน้อยลงไปเรื่อยๆครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 พฤษภาคม 2013
  12. kittitpx

    kittitpx เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    570
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +2,000
    วิธีละความโกรธ

    ความโกรธเมื่อเกิดขึ้นแก่ผู้ใด ทำให้จิตใจของผู้นั้นเร่าร้อน เป็นทุกข์ ไม่สบายใจ นอนไม่หลับ ฝันร้าย ถ้าโกรธมาก ๆ อาจทำให้ต้องไปฆ่าผู้อื่น ติดคุกติดตารางเป็นทุกข์ทั้งแก่ตัวเอง ทั้งแก่ผู้อื่น จะเจริญเมตตาจิตก็ลำบากเพราะเมื่อเจริญไปแก่ผู้ที่เราโกรธอยู่ ก็เจริญไม่ขึ้น แต่ถ้าเราละความโกรธได้ เราก็จะเป็นสุข ดังพระบาลีว่า “โกธํ ฆตฺวา สุขํ เสติ” แปลว่า “ฆ่าความโกรธได้แล้วย่อมเป็นสุข” ฉะนั้น อาตมาจะได้นำวิธีละความโกรธที่ท่านแสดงไว้ใน “คัมภีร์วิสุทธิมรรค” มาแนะนำท่านผู้อ่าน มีถึง ๙ วิธี ด้วยกัน คือ

    ๑. ระลึกถึงโทษของความโกรธ

    บุคคลผู้มักโกรธนี้ ถูกความโกรธครอบงำแล้ว โกรธเต็มประดา ย่อมประพฤติชั่วด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจครั้นประพฤติชั่วด้วยกายวาจาใจแล้ว ย่อมเดือดร้อนในโลกนี้ตายไปแล้วย่อมเกิดในอบายภูมิทั้ง ๔ ภูมิ หรือเราจะระลึกถึงโอวาทที่พระพุทธเจ้าทรงสอน เช่นว่า “ผู้ใดโกรธตอบผู้ที่โกรธ (ก่อน) เพราะเหตุที่โกรธตอบนั้น ผู้นั้นกลับเลวกว่าผู้ที่โกรธ (ก่อน) นั้นเสียอีก ผู้ไม่โกรธตอบผู้โกรธ (ก่อน) ชื่อว่าชนะสงครามที่ชนะได้ยาก ผู้ใดรู้ว่าผู้อื่นโกรธขึ้นมาแล้วมีสติระงับใจเสียได้ (ไม่โกรธตอบ) ผู้นั้นเชื่อว่าประพฤติเป็นประโยชน์ด้วยกันทั้ง ๒ ฝ่าย คือทั้งฝ่ายตนและฝ่ายผู้อื่นและผู้ที่มัวโกรธอยู่อย่างนี้ ไม่ชื่อว่าเป็นผู้ทำตามคำสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วย”

    ๒. ระลึกถึงความดีของเขา

    ถ้าวิธีที่ ๑ ไม่สำเร็จ ลองวิธีที่ ๒ คือ ระลึกถึงความดีของเขา เพราะบางคนความประพฤติทางกาย เขาปฏิบัติดีเป็นอันมาก ชนทั้งปวงก็รู้ได้ แต่วาจาและใจไม่เรียบร้อยเราก็ระลึกถึงแต่ความดีทางกายของเขาอย่างเดียว บางคนดีทางวาจาอย่างเดียว พูดจาอ่อนหวาน พูดให้คนอื่นสบายใจมีหน้าชื่นบาน ทักก่อน แต่ความประพฤติทางกายและใจไม่เรียบร้อย เราก็อย่าคิดถึงทางกายและใจ ระลึกถึงแต่ความดีทางวาจาของเขาอย่างเดียว บางคนดีทางใจเท่านั้นความเรียบร้อยทางใจของเขานั้น ปรากฏแก่ชนทั้งปวงในการทำกิจต่าง ๆ เช่น การไหว้พระเจดีย์ เขาย่อมไหว้โดยเคารพไม่นั่งใจลอย โงกง่วงอยู่ในที่ฟังธรรม เราก็ระลึกถึงแต่ความเรียบร้อยทางใจของเขาอย่างเดียวเถิด สำหรับบางคน ประพฤติไม่ทั้งทางกาย วาจา ใจ เราควรตั้งความกรุณาในบุคคลนั้นด้วยคิด (สงสาร) ว่า “เวลานี้เขาอยู่ในโลกมนุษย์ แต่ว่าอีกไม่นาน เขาก็จะต้องไปเพิ่มให้มหานรกทั้ง ๘ ขุม เต็มขึ้น” เมื่อทำใจเช่นนี้ ความอาฆาต โกรธแค้น ย่อมระงับลงได้ เพราะอาศัยความกรุณา

    ๓. พึงสอนตนว่า “ความโกรธคือการทำความทุกข์ให้ตนเอง”

    เช่นว่า “เจ้าไปพะนอความโกรธ อันเป็นตัวตัดมูลรากของศีลทั้งหลายที่เจ้ารักษาเสีย ขอถามหน่อย ใครโง่เหมือนเจ้าบ้างเล่า เจ้าโกรธว่า คนอื่นทำกรรมป่าเถื่อน (กรรมชั่ว) ให้อย่างไรหนอ เจ้าจึงปรารถนาจะทำกรรมเช่นเดียวกันนั้นเสียเองเล่า ถ้าคนอื่นอยากให้เจ้าโกรธ จึงทำความไม่พอใจให้ไฉนเจ้าจึงจะช่วยทำความตั้งใจของเขาให้สำเร็จ โดยปล่อยให้ความโกรธเกิดขึ้นเล่า น่าตำหนิ เจ้าโกรธแล้วจักได้ทำทุกข์ให้แก่เขาหรือไม่ก็ตาม แต่เดี๋ยวนี้ เจ้าก็ได้เบียดเบียนตนเองด้วยโกรธทุกข์ (ความทุกข์ใจเพราะความโกรธ) อยู่แท้ ๆ”

    ๔. พิจารณาความที่สัตว์ทั้งหลายมีกรรมเป็นของ ๆ ตน

    ถ้ายังไม่หายโกรธ พึงพิจารณาให้เห็นว่าตนและคนอื่นต่างมีกรรมเป็นของ ๆ ตน เช่นว่า เจ้าโกรธเขาแล้ว เจ้าจักทำอะไร กรรมที่มีโทสะเป็นเหตุ จักเป็นไปเพื่อความเสื่อมเสียแก่ตัวเจ้าเองมิใช่หรือ เจ้าจักทำกรรมใดไว้ เจ้าจะต้องเป็นผู้รับผลของกรรมนั้น กรรมอันนี้จะสามารถให้สมบัติทั้งหลายมีความเป็นพระราชา พระอินทร์ เป็นต้น ก็หามิได้เลย กรรมนี้มีแต่จะทำให้เจ้าเสวยทุกข์ในเรือนจำ ทุกข์ในนรกเป็นต้น อย่างนี้แล้วจึงพิจารณาถึงฝ่ายคนอื่นบ้าง ดังที่พิจารณาในฝ่ายตน

    ๕. พิจารณาถึงความประพฤติในกาลก่อนของพระศาสดา

    เช่นว่า พระศาสดาของเจ้าในกาลก่อนแต่การตรัสรู้แม้เป็นพระโพธิสัตว์ ทรงบำเพ็ญพระบารมีอยู่ตลอด ๔ อสงไขยกับแสนกัป มิได้ทรงยังจิตให้คิดประทุษร้ายในบุคคลทั้งหลายผู้เป็นศัตรู แม้เป็นผู้ปลงพระชนม์เอาในชาตินั้น ๆ เช่น เรื่องในขันติวาทีชาดก พระโพธิสัตว์ เมื่อพระราชาพระนามว่ากลาพุ ผู้โง่เขลาถามว่า สมณะ แกกล่าววาทะอะไร ตอบว่าอาตมากล่าววาทะคือขันติ (ความอดทน) ถูกโบยด้วยหวายทั้งหนามแล้ว ตัดมือและเท้าเสีย ก็ทรงมิได้ทำแม้แต่อาการขุ่นเคือง หรือเรื่องในมหากปิชาดก พระโพธิสัตว์เกิดเป็นกระบี่ใหญ่ (ลิง) เมื่อถูกชายผู้หนึ่งผู้ที่ตนเองช่วยฉุดขึ้นจากเหวรอดชีวิตแล้ว ยังคิดร้ายว่า “ลิงนี่ก็เป็นอาหารของพวกมนุษย์เหมือนสัตว์ป่าอื่น ๆ ในป่านั่นเอง อย่ากระนั้นเลย เราก็หิวแล้ว ฆ่าลิงตัวนี้กินเสียเถิดน่ะ เรากินอิ่มแล้ว จะถือเอาเนื้อมันเป็นเสบียงไปด้วย เมื่อเป็นเช่นนี้ เราก็จักข้ามทางกันดารไปได้เสบียงก็จักมีแก่เราด้วย” ดังนี้แล้ว ยกก้อนหินทุ่มหัวเอากระบี่ใหญ่ก็ยังมองชายผู้นั้น ด้วยดวงตาอันนองด้วยน้ำตากล่าวกะเขาด้วยดีว่า นายจ๋า นายอย่าทำกะข้าซิ น่าติ! นายทำกรรมเช่นนี้ได้ (ลงคอ) นายก็ได้ชื่อว่าเป็นผู้มีอายุยืนควรแต่จะห้ามคนอื่น (มิให้ทำร้ายกัน แต่นี่นายกลับทำร้ายเสียเอง) ไม่ยังจิตให้คิดร้ายในชายผู้นั้น ไม่คิดถึงความทุกข์ของตนเลย ยังพาชายผู้นั้นให้ถึงที่ ๆ ปลอดภัยเสียด้วย

    ๖. พิจารณาถึงความที่เคยเกี่ยวข้องกันในสังสารวัฏ

    พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสไว้ว่า สัตว์ผู้ที่ไม่เคยเป็นมารดา ไม่เคยเป็นบิดา ไม่เคยเป็นพี่น้องชาย ไม่เคยเป็นพี่น้องหญิง ไม่เคยเป็นบุตร ไม่เคยเป็นธิดา มิใช่หาได้ง่ายเพราะฉะนั้น เราพึงยังจิตอย่างนี้ให้เกิดขึ้นในผู้นั้นว่า “ผู้นี้เป็นมารดาในอดีตของเรา รักษาเราอยู่ในท้อง ไม่แสดงอาการเกลียดสิ่งปฏิกูลทั้งหลาย มีอุจจาระ ปัสสาวะ น้ำลาย และน้ำมูล เป็นต้น ของเรา เช็คได้ราวกะจันทร์แดง (ต้นไม้หอมชนิดหนึ่ง) ให้เรานอนแนบอก อุ้มเราไป เลี้ยงเรามา...เป็นบิดาในอดีตของเรา ประกอบอาชีพต่าง ๆ ทำงานที่ยากอื่น ๆ บ้างเพื่อประโยชน์แก่ตัวเรา คิดว่า จักเลี้ยงลูกน้อยรวบรวมทรัพย์ด้วยการงานนั้น ๆ เลี้ยงเรามา... การทำใจร้าย โกรธเคืองในบุคคลนั้น ไม่สมควรแก่เราเลย”

    ๗. พิจารณาอานิสงส์เมตตา

    ถ้ายังไม่อาจดับความโกรธได้ ลองพิจารณาอานิสงส์ของเมตตา ถ้าเราละความโกรธได้ มีจิตเมตตาปรารถนาให้ผู้อื่นเป็นสุข ก็จะได้รับอานิสงส์ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้มีถึง ๑๑ อย่าง คือ

    ๑. หลับเป็นสุข

    ๒. ตื่นเป็นสุข

    ๓. ไม่ฝันร้าย

    ๔. เป็นที่รักของมนุษย์ทั้งหลาย

    ๕. เป็นที่รักของอมนุษย์ทั้งหลาย

    ๖. เทวดาย่อมรักษาผู้นั้น

    ๗. ไฟ พิษ หรือศัสตรา ย่อมไม่ทำร้ายผู้นั้น

    ๘. จิตตั้งมั่นเป็นสมาธิเร็ว

    ๙. สีหน้าผ่องใส

    ๑๐. ไม่หลงตาย คือมีสติก่อนตาย

    ๑๑. เมื่อไม่บรรลุคุณวิเศษที่ยิ่ง ย่อมเข้าถึงพรหมโลก

    ๘. ใช้วิธีแยกธาตุ

    พึงสอนตนอย่างนี้ว่า “ตัวเจ้าเมื่อโกรธบุคคลนั้นโกรธอะไร โกรธผมหรือ หรือว่า โกรธขน โกรธเล็บ ฯลฯ หรือมิฉะนั้น ก็โกรธธาตุดิน โกรธธาตุน้ำ โกรธธาตุไฟ หรือโกรธธาตุลม เมื่อเห็นว่ามีแต่ธาตุ แล้วเราจะโกรธไปทำไม”

    ๙. วิธีสุดท้าย-ทำการให้และการแบ่ง

    ถ้ายังไม่หายโกรธอีก พึงให้ของ ๆ ตนแก่เขา รับของ ๆ เขามาเพื่อตนเอง แต่ถ้าเขามีอาชีพไม่บริสุทธิ์ ก็พึงให้แต่ของ ๆ ตนไปฝ่ายเดียว อย่ารับของ ๆ เขาเลย เมื่อเราทำไปอย่างนั้นความอาฆาตในบุคคลนั้น จะระงับไปได้ ส่วนความโกรธของอีกฝ่ายหนึ่ง แม้จะติดตามมาตั้งแต่อดีตชาติ ก็จะระงับไปในทันทีเหมือนกัน ดังที่พระพุทธองค์ตรัสไว้ว่า “ ททมาโน ปิโย โหติ ” แปลว่า “ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก (ของผู้รับ)”


    ที่มา http://www.kanlayanatam.com/sara/sara21.htm
     
  13. Thammasawasdee

    Thammasawasdee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2013
    โพสต์:
    292
    ค่าพลัง:
    +869
    ธรรมะสวัสดี ^-^

    ขออนุโมทนา สาธุจร้า

    สาธุ สาธุ สาธุ
     

แชร์หน้านี้

Loading...