ขอคำแนะนำครับ สำหรับคนปฏิบัติธรรมแต่มีแฟนครับ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย prayut.r, 16 ตุลาคม 2010.

  1. เตชพโล

    เตชพโล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    267
    ค่าพลัง:
    +1,431
    อืม...ผมมองว่าปัญหาของคุณ
    ไม่ใช่เรื่องว่าจะยุ่งหรือไม่ยุ่งกับแฟนแล้วครับ

    เพราะที่คุณกล่าวมาผมก็มั่นใจว่าแฟนคุณไม่เข้าใจคุณแน่
    และที่ผมอ่านดูก็รู้ว่าคุณไม่เข้าใจแฟนคุณเช่นกัน

    ปัญหาของคุณก็คือ...
    ได้ประพฤติผิดต่อบุตรของผู้เป็นเจ้าของคือบิดามารดา
    ความผิดในศีลนี้ได้เกิดขึ้นแล้ว
    กรรมได้เกิดขึ้นโดยสมบูรณ์แล้ว

    หากจะหยุดกรรมนี้โดยหยุดมีอะไรกับแฟน
    ก็อาจจะดี...แต่กรรมที่ผ่านมา
    ก็ยังมีวิบากรออยู่ดี...ไม่สามารถก้าวข้ามวิบากนี้ไปไ้ด้

    ทางที่ดีผมว่า...ขอขมาต่อพ่อแม่ฝ่ายหญิงจะดีกว่า
    ถ้ายังไม่พร้อมแต่งก็ควร...ขออนุญาตท่านเสียก่อน
    เมื่อพ่อแม่ฝ่ายหญิงอนุญาต
    วิบากกรรมที่จะตามมาก็เป็นอันยกเลิกไปเสียทั้งหมด
    แล้วต่อไปคุณจะมีอะไรกับแฟนคุณ ก็ไม่ต้องกลัวจะผิดศีล 5

    และผมก็มั่นใจว่าคุณเลิกมีอะไรกับแฟนคุณไม่ได้หรอก
    เพราะเรื่องตรงนี้มันละเอียดอ่อน....
     
  2. prayut.r

    prayut.r เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    150
    ค่าพลัง:
    +1,707
    ขอบคุณที่เข้าใจผมครับ แต่ในส่วนของผมไม่แน่ใจว่าเกิดจากปีติธรรมรึป่าว แต่ที่แน่ๆ ใจมันกลัวผิดศีลน่ะครับ มันเริ่มมาจากหันมาปฏิบัติสมาธิอย่างจริงจัง และพบว่า ถ้าศีลเราดี สมาธิเราก็ดีตาม พอพบว่าเป็นจริงตามหลวงพ่อสอนก็เกิดอาการ ดังกล่าวขึ้นมาน่ะครับ

    ตอนนี้เริ่มเป็นปัญหาแล้วครับ เพราะเขาไม่เข้าใจผม เขาบอกว่าทนไม่ได้ที่อยู่กับคนที่ไม่เคยคิดจะเริ่มเรื่องดังว่าก่อน พอผมบอกว่าให้ลองมาทำเหมือนกันดู เผื่อจะเข้าใจว่าผมรู้สึกอย่างไร เขาก็บอกว่าอายุเขายังไม่ถึงเวลาจะเริ่มปฏิบัติธรรม เฮ้อ...

    ตอนนี้เลยกลายเป็นว่าจิตเศร้าหมองเพราะ การทะเลาะกันนี่แหละครับ
     
  3. prayut.r

    prayut.r เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    150
    ค่าพลัง:
    +1,707
    อยากจะบอกทุกท่านว่า ที่เล่ามาเนี่ยเพราะไม่เคยคิดว่าเรื่องดังกล่าวจะมาเกิดกับตัวเองน่ะครับ เลยอยากหาคนที่มีประสพการณ์หรือเคยเจอเรื่องนี้แล้วหาทางออกได้ ช่วยแนะนำ

    ผมก็ไม่ใช่คนไม่มีอารมณ์ในเรื่องกามราคะนะครับ ยังมีแน่นอน
    แต่... มันน้อยเหลือเกินครับ เพราะถ้าคิดขึ้นมาเมื่อไหร่ใจมันจะบอกอัตโนมัติเลยว่า ถ้ายังยุ่งกับเรื่องอย่างนี้อีก การเกิดก็จะมีแก่เราอีก (ผมมันพวกเบื่อเกิดแล้วน่ะครับ)

    ตอนนี้ก็กลัวว่าในอนาคตมันจะหนักกว่านี้ แล้วมันจะเกิดกลายเป็นปัญหาครอบครัวน่ะครับ
     
  4. tnktnk

    tnktnk Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47
    ค่าพลัง:
    +45
    ขอบพระคุณจขกท.ที่มาแบ่งปันประสบการณ์ บางทีเราอาจจะลืมนึกถึงเรื่องนี้ไปได้นะ อย่างนี้ถ้าผมฝึกไปเรื่อยๆ ผมก็คงมีโอกาสเป็นแบบจขกท.ได้เหมือนกันนะครับเนี่ย แล้วแฟนผม..............?
     
  5. s3515941

    s3515941 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    295
    ค่าพลัง:
    +1,193
    ตามความคิดผมนะ วิธีแก้ก็คือยกระดับจิตของแฟนให้เสมอกันหรือใกล้กัน ปัญหาในเรื่องนี้ก็จะน้อยลงนะครับ

    ชักชวนแฟนให้คิดแบบคุณสิครับ มองกายเป็นของสกปรกบ่อยๆเข้าก็จะเข้าใจคุณเอง สู้ๆ
     
  6. ลุงมหา

    ลุงมหา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    307
    ค่าพลัง:
    +1,092
    โลก กับ ธรรม, โสด กับ มีภรรยา ความเข้าใจสำหรับผู้ปฏิบัติสมาธิภาวนา

    โลก กับ ธรรม, โสด กับ มีภรรยา ความเข้าใจสำหรับผู้ปฏิบัติสมาธิภาวนา
    ขออนุญาตครับ
    นักปฏิบัติส่วนมากก็เป็นแบบนี้ละครับ มักรู้ธรรม เห็นธรรม ระดับหนึ่งแล้ว กลับมาเสียท่า
    เจอ คู่ชีวิต คู่บุญบารมี จนตกลงปลงใจ ไปก่อนเสียแล้วก็เลยเกิดปัญหา

    ผมจะขอเสนอวิธีแก้ปัญหา และขอแสดงความคิดเห็นเป็นพื้นฐานก่อน

    1. เรื่อง คนรัก แฟน คู่ครอง สามีภรรยา
    คนสมัยใหม่มักเข้าใจว่า สามี ภรรยานั้น คือคนที่แต่งงานกันอย่างเปิดเผยพร้อมมีการจดทะเบียนสมรสอย่างถูกต้อง
    แต่ในความเป็นจริงนั้น แค่นักเรียน นักศึกษาอยู่แฟลตเป็นคู่ๆห้องเดียวกันและสมสู่กัน ก็เป็นสามีภรรยากันแล้ว
    ไม่เชื่อลองไปถามพระผู้ใหญ่(ระดับพระอริยะสงฆ์) ดูก็ได้ว่าจริงไม่จริง
    เพราะฉะนั้นถ้าคุณไปมาหาสู่กับแฟนมาหลายปีและเคยสมสู่กันแล้ว ตกลงปลงใจกันแล้ว ต่อให้ยังไม่ได้อยู่ด้วยกัน
    คู่ของคุณก็คือ คู่ผัวเมียแล้วละครับ แล้วมันจะผิดศีลได้อย่างไร คุณลองคิดดูคนสมัยก่อนมีแต่ชื่อ นามสกุลก็ยังไม่มี
    ทะเบียนสมรสไม่ต้องพูดถึง ผีปู่ ย่า ตา ทวด เขาไม่ได้สนใจทะเบียนสมรสหรอกครับ

    2. คู่บุญคู่บารมี
    คนเราเกิดมาหลายภพหลายชาติ เกิดชาติไหน มีคู่ชาตินั้น เกิดชาติไหนสมสู่ชาตินั้น ทำให้มีคู่บุญคู่บารมีหลายคน
    แต่ดันมาเกิดยุกต์ที่เขานิยมมีผัวเดียว เมียเดียว แถมมีพระพุทธศาสนามาอบรมสั่งสอนอีก ก็ศีลข้อสามที่คุณว่านั่นละครับ ก็เลยเกิดสับสน
    ถ้าคุณกับเขาเข้ากันได้เกิน 75 % ก็ถือว่าเป็นคู่บุญคู่บารมีแล้วละครับ แม้แต่พระโพธิสัตว์ท่านยังมีลูกมีเมีย หรือพระพุทธองค์ก็มีเช่นกัน
    ผมก็ไม่เข้าใจว่าคุณปฏิบัติไปถึงไหนแล้ว คุณถึงคิดว่าตัวเองมีบุญบารมีมากกว่าพระพุทธองค์หรือ จึงจะมีเมียไม่ได้ (ก็มันมีไปแล้ว)
    นักปฏิบัตินั้น เขาก็มีลูกกันแล้ว ถึงเร่งปฏิบัติไปจนถึงขั้น พระอริยะ ทีหลังก็ได้ ตัวอย่างมีให้เห็นเยอะแยะ
    จะมาอ้างว่า ผมเป็นนักปฏิบัตินะ ผมลด ผมละ กิเลสตัณหาแล้วนะ แล้วจะมาทิ้งคู่บุญคู่บารมีไป
    เวรกรรมตรงนี้เกิดส่งผลขึ้นมาแล้วคุณจะปฏิบัติไปได้ถึงไหนกันละครับ

    เห็นนักปฏิบัติบางท่าน ไปทำบุญที่ไหนก็พาภรรยาไปด้วย คุณอย่าได้ดูถูกพวกผู้หญิงนะครับ ผมไปทำบุญที่ไหน ก็เห็นมีผู้หญิงมากกว่าผู้ชายทุกๆที่
    เรื่องความอดทน อดกลั้น เรื่องทำบุญ ทำทาน พวกผู้ชายสู้ผู้หญิงไม่ได้หรอกครับพาไปถือศีลแปดที่วัดบ่อยๆ เดี๋ยวเขาก็ไม่ไห้คุณถูกเนื้อ ต้องตัวเขาเองละครับ
    หรือพอปฏิบัติการสมสู่เสร็จ คุณก็รีบอาบน้ำสวดมนต์ภาวนาต่อ
    หรือคุณจะถามว่า น้องพีจะสวดมนต์ภาวนาแล้วนะ จะให้ เสพสมก่อนหรือไม่
    ทำแบบนี้บ่อยๆ เขาก็จะเกิดความละอายไปเอง ก็จะค่อยๆ ลด ละ เลิก ไป เอง อย่าคิดหักด้ามพร้าด้วยเขานะครับ
    เพื่อนผมคนหนึ่ง มีภรรยาเป็นคนนับถือเจ้าแม่ กวนอิม (หมอจีนบอกว่าคนนับถือเจ้าแม่กวนอิม มดลูกจะเย็น เชื้อเข้าไปตายหมด)
    เธอ ทั้งถือศีล ทั้งสมาธิภาวนา อยู่กินกันไป เพื่อนบอกว่า
    เวลาสมสู่หลับนอนกับภรรยาแล้ว มีความรู้สึกสำนึกผิด เขาว่าเหมือนตัวเองไปนอนกับแม่ชีมายังงั้นแหละ
    ทั้งๆที่การสมสู่หลับนอนของทั้งสองฝ่ายก็มีอารมณ์ปรกติเหมือนคนทั่วไปนี่ละครับ หนักๆเขาก็เลย ค่อยๆ ลด ละ เลิก ไปในที่สุด ใช้ชีวิตแบบ non sex life ไปเลย
    นักปฏิบัติบางท่านพอแฟนชวน ก็บอกว่าให้ไปรอในห้องก่อน แล้วจะตามไป บ่อยๆเข้า แฟนแอบมาดูว่าทำอะไรนะ
    ต้องรับสารภาพว่า ความอยากมันลดไปเยอะ ต้องรวบรวมสมาธิสร้างความอยากก่อน ไม่งั้นไก่มันไม่ขัน

    3. คู่เวรคู่กรรม
    กลุ่มนี้ได้แก่ คู่สามีภรรยาที่ตอนแรกก็รักกันดี พออยู่กันไปหลายปีเข้า ความคิดความอ่านก็ต่างกันมากขึ้นๆ จนเหลือแค่ 25% ก็ทนอยู่กันไป
    ผมเห็นบางคู่ อายุเลยเจ็ดสิบแล้ว เมียก็ข่มผัวอยู่นั่นละ ครูบาอาจารย์สอนก็แล้ว บอกก็แล้วเหมือนเดิม ยังดีที่ยังรู้จักทำบุญอยู่บ้าง
    ข้างผัวก็คิดเก็บเงินได้ก้อนใหญ่เมื่อไร กูไปแน่ๆ ผลสุดท้ายก็ทนอยู่จนตายจากกันโน่นละ
    พวกนี้ครูบาอาจารย์บอกไม่ใช่คู่แท้ เป็นแค่คู่เวรคู่กรรม ที่มาเป็นคู่เพราะต้องชดใช้กรรมต่อกันเท่านั้น

    ถ้าเป็นคู่บารมีจะเคยเป็นคู่กันมาหลายชาติแล้ว
    บางท่านไม่เข้าใจ เห็นพระพุทธองค์ พระโพธิสัตว์ ท่านมีคู่มีลูก มีเมีย ไปมองว่าท่านยังตัดกิเลสยังไม่ขาดไปโน่น
    ความจริงคือท่านพาคู่บุญคู่บารมีมารับกุศลผลบุญเต็มๆต่างหาก
    ถ้าคุณปฏิบัติมาแค่นี้ ยังคิดจะละกามกิเลสขนาดนี้
    (คุณต้องพิจารนาเอาเองว่า ที่จะตัดกามกิเลสก่อนเวลาอันควรนั้น มันเป็นมรรค หรือคุณกำลังถูกกิเลสมันกำลังหลอกเอาอยู่)
    แล้วที่เขาว่าพระอริยะบุคคล (ที่เป็นฆราวาส) ตั้งแต่ชั้นอนาคามีลงมา ยังเสพกามได้ ยังสมสู่หรับนอนกับภรรยาได้ คุณมีความเห็นว่าอย่างไร
    ตัวผมเองก็ยังสงสัยอยู่ว่า ที่พระพุทธองค์บัญญัติพระธรรมวินัยให้พระเจ้าพระสงค์ถือเพศพรหมจรรย์นั้น เป็นเพราะกามกิเลสจะไปทำลายการปฏิบัติธรรมให้เสียหาย
    แล้วฆราวาสละจะเป็นอย่างไร เพราะหลายท่านในเว็บนี้บอกว่า พระอริยะบุคลตั้งแต่ชั้นอนาคามีลงมาเสพกามกับภรรยาได้ คุณเชื่อเขาไหม

    บทสรุปที่จะขอแนะนำ

    1. ถ้าคุณคิดว่าเธอเป็นคู่บุญบารมี ขอแนะนำอย่าได้ทอดทิ้งเธอเด็ดขาด

    2. ถ้าเธออยากเสพกาม ก็เสพไปเถอะครับ คิดเสียว่า พระพุทธองค์ยังมีเมียมีลูก แถมนางสนมอีกต่างหาก
    พระองค์ทรงแต่งงานอายุ 16 ปี ออกบวช อายุ 29 โอ้โห เสพกามตั้ง 13 ปี แล้วคุณเสพมากี่ปีแล้ว
    หรือจะเบิ้ลเช้า เย็นให้เบื่อกันไปข้างก็น่าจะได้

    3. คุณอยู่กินกับเธอแล้ว ถือว่าเป็นผัวเมียแล้ว จะผิดศีลได้อย่างไร ไม่เชื่อไปถามพระอริยะสงฆ์ได้

    4. เรื่องพ่อแม่ ไม่ต้องห่วง คุณไม่ได้พรากผู้เยาว์นี่ครับ ผมเจอบ่อย พ่อแม่ประเภทห่วงลูกเกินเหตุนี่นะ
    หลวงปู่อาจารย์ผม มักจะถามบ่อยๆว่า
    พ่อแม่อายุมากกว่าลูกกี่ปี
    แล้วใครจะมีโอกาสตายก่อนกัน
    พ่อแม่ตายแล้วลูกจะให้เขาอยู่กับใคร อยู่อย่างไร
    ทั้งพ่อทั้งแม่ อยู่กับพ่อแม่ของตัวมากี่ปี แล้วมาอยู่กับสามีตัวเองกี่ปี
    อยู่กับพ่อแม่ตัวเอง กับ อยู่กับสามี อันไหนนานกว่ากัน
    ถ้าเราอยู่กับสามีเรานานกว่า ลูกเราก็น่าจะอยู่กับสามีเขานานกว่าอยู่กับเราเช่นกัน
    ถ้าลูกเราเขาอยู่กับสามีเขานานกว่าอยู่กับเรา ทำไมไม่ให้เขาตัดสินใจเอง อีกไม่กี่ปีเราก็ตายจากเขาแล้ว
    ถ้ารักลูกจริงทำไมไม่สอนเขาตั้งแต่เล็กแต่น้อย ว่าสามีที่ดีๆนั้นหาอย่างไร

    5. การเสพกามกับภรรยาตัวเอง
    ผมว่าคุณเข้าใจผิดแล้วละครับว่า นักปฏิบัติต้องลด ต้องละ ต้องเลิก การเสพกามกับภรรยาตัวเอง
    เพราะคุณต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขว่า “ครอบครัวต้องไม่แตกแยก”ด้วยนะครับ
    เพราะถ้าครอบครัวแตกแยกแล้ว พังทั้งคู่แน่นอน แค่ภรรยาหนีกลับไปอยู่กับพ่อแม่เขา คุณก็จะกังวลจนปฏิบัติไม่ได้อยู่แล้ว งานการไม่เป็นอันทำเลยละครับ
    ถามหน่อยเถอะครับ คุณคิดว่า การลด ละ เลิก เสพกามกับภรรยา แล้วคุณจะปฏิบัติไปได้เร็วจริงหรือ
    คุณคิดว่าชาตินี้คุณจะไปได้ถึงไหนละครับ ลองถามในกลุ่มที่ปฏิบัติสายเดียวกับคุณดูซิครับ พวกเขาไปถึงไหนแล้ว แล้วคนที่เก่งที่สุดนั้นนะ ถึงขั้นไหน
    ถ้าพระพุทธองค์ และ พระโพธิสัตว์ ยังมีเมียมีลูก แล้วคุณเป็นใครมาจากไหน จึงสมควรลด ละ เลิก เสพกาม
    ก่อนเวลาอันควร


    6. เทคนิค การลด ละ เลิก เสพกามกับ ภรรยา
    ตัวผมเองเข้าวัด ฟังธรรมมาตั้งแต่ ห้าหกขวบ เพราะคุณพ่อเสีย แม่บอกว่าถ้าไม่เอา ปินโต ไปวัดพ่อจะไม่ได้กินข้าว
    ผมก็เลยติดวัดตั้งแต่นั้น ฟังธรรมบ่อยๆเลยฝันว่า โตมาจะบวชไม่สึก จะไม่มีลูกมีเมีย พอโตมาเรียนรามใกล้จบก็เริ่มปฏิบัติธรรมแล้ว
    ต่อมาไม่นาน ก็เจอคู่บุญบารมี ด้วยความสงสารทั้งซื่อ ทั้งเซ่อ กลัวว่าจะไม่มีใครดูแลเขา ก็เลยคบกัน
    จนตกลงปลงใจ พอได้งานทำไม่นานผมก็ดันมารู้ธรรม เห็นธรรม จากการปฏิบัติวันละสี่ ห้าชั่วโมง ต่อวัน ก็เลยบ่ายเบี่ยงไม่อยากมีคู่
    แต่ผู้หญิงเขาก็ไม่ยอม จนผมต้องเสนอเงื่อนไขที่ไม่มีผู้หญิงที่ไหนในโลกเขายอมรับได้ คือ
    หนึ่งแต่งสองปีต้องให้ผมไปบวชไม่สึก
    สอง ถ้าผมไม่ได้บวชต้องให้ผมมีเมียเพิ่มอีกสี่คน
    เธอดันยอมรับหมด ผมก็เลยต้องแต่ง

    เทคนิคการลด ละ เลิก เสพกามกับ ภรรยา

    6.1 ปฏิบัติธรรมเหมือนเดิม ตามเวลาที่กำหนดไว้แล้ว

    6.2 คอยถามภรรยา ต้องการเสพกามเมื่อไร ทำให้เมื่อนั้น

    6.3 ชวนภรรยาสวดมนต์ไหว้พระทำวัตรเช้า และ หรือ เย็น ด้วยกัน อย่าลืมสวดอัญเชิญเทวดาด้วย
    สวดพระคาถาชินบัญชรได้ด้วยยิ่งดี ตัวผมเองปฏิบัติแรกๆ สวดธรรมจักรและยอดพระกัณฑ์ไตรปิฎกทุกวัน

    6.4 พาภรรยาไปปฏิบัติธรรมตามวัดที่มีการทานข้าวสองมื้อก่อน
    แล้วต่อไปพาไปวัดที่ทานมื้อเดียว

    6.5 แล้วมันจะค่อยๆลดละเลิกไปเอง

    ผ่านไปแค่สองปี ผมก็เว้นเหลือแค่ปีละหน สองหน เท่านั้นเอง พอปีที่สามก็เว้นขาดเลย
    ไม่ว่าพ่อตา แม่ยายจะยุ ผมก็เฉย ครูบาอาจารย์บางท่านบ่นว่า คนมีบุญอยากมาเกิดด้วยผมก็ไม่สน
    เลี้ยงหมาไว้เป็นลูกอีกต่างหาก

    ก็ลองพิจารนาเอานะครับ ประเด็นหลักที่คุณเข้าใจผิดคือว่า
    “คุณคิดว่า การลด ละ เลิก การเสพกามจะทำให้ปฏิบัติภาวนาก้าวหน้าเร็ว”
    แต่ผมว่า “คุณถูกกิเลสมันหลอกเอาแล้วละครับ”
    อย่าคิดว่ากิเลสมันโง่นะครับ มันครองจิตใจคนมาหลายกัปหลายกัลป์
    มันคงรู้ว่า หลอกวิธีนี้จะทำลายพวกคุณทั้งคู่ได้มากกว่าวิธีอื่นๆ
    เชื่อไม่เชื่อ คุณรู้คำตอบดีอยู่แล้ว

    ไม่อย่างนั้นท่านอาจารย์ปู่หลวงปู่มหาบัว ญาณสัมปัณโณ คงไม่สอนย้ำแล้วย้ำอีก
    “มาบวช มาปฏิบัติ แบบเอาเป็นเอาตาย ถึงได้รู้ว่า กิเลสมันครองโลก ครองจิตใจคน มาหลายกัป หลายกัลป์”
    “แถมมันยังขยันขันแข็งทำงานตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงไม่มีหลับไม่มีนอน ตลอดปีตลอดชาติ จะสู้กับมันได้ต้องเอาตายเข้าว่า”

    ถ้าคุณคิดว่าการถือเพศพรหมจรรย์ อย่างผมจะปฏิบัติไปได้เร็ว ก็ขอให้พิจารนาต่อว่า ประเทศไทยเรามีพระอริยะเจ้า พระอริยะสงฆ์อยู่กี่องค์
    ทั้งๆที่ท่านก็ถือพระวินัยอย่างเคร่งครัดนีละครับ

    หวังว่าคงจะเป็นประโยชน์บ้าง
    ขออนุโมทนาบุญในกุศลผลบุญที่ทุกท่านได้สร้างสมไว้
    ขอบคุณครับ
    ลุงมหา
     
  7. prayut.r

    prayut.r เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    150
    ค่าพลัง:
    +1,707
    ขอบคุณสำหรับคำแนะนำของคุณ ลุงมหา มากๆเลยครับ

    ความจริงคิดว่าหลายๆ ท่านเข้าใจผิดว่าผมจะละเรื่องกามเพื่อให้การปฏิบัติได้ผลดี

    เออ...ผมไม่เคยคิดละนะครับ แต่แค่เป็นอาการละอายต่อการผิดศีล 5 ของใจตัวเอง คิดแต่ว่าถ้าเราจะกระทำอะไรก็ตามไม่ให้ผิดศีลก็ต้องแต่งงานก่อนเท่านั้นเองครับ

    แต่เรื่องๆของเรื่องคือแฟนเขาไม่เข้าใจน่ะครับ แต่จากคำแนะนำของหลายๆ ท่านรวมถึง ลุงมหา ก็ทำให้ผมคลายกังวลเรื่อง ผิดศีลข้อ 3 ไปได้เยอะเลยครับ ขอบคุณทุกๆท่านมากครับ

    ***ปล.ผมไม่ได้พยายามละเรื่องกามารมณ์นะครับ แต่ใจมันไม่ต้องการเองน่ะครับ ไม่ได้ฝืนใจตัวเองแต่ประการใด
     
  8. ลุงมหา

    ลุงมหา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    307
    ค่าพลัง:
    +1,092
    กิเลสมันแน่จริงๆ

    ขออนุญาติครับ
    จาก ปล. ของคุณๆก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีที่ผมบอกว่า
    “คุณถูกกิเลสมันหลอกเอาแล้วละครับ”
    หรือจะรอให้มันเดินเข้ามาหา
    กิเลสมันอยู่ที่ใจคุณนั่นละครับ
    ไม่ต้องไปตามหาที่ใหน
    มันครองจิตใจคน
    จนเราแยกไม่ออกว่าอันไหนเป็นเรา
    อันไหนเป็นกิเลส
    เราจึงต้องมาปฏิบัติภาวนาเพื่อตามหามันยังไงละครับ
    ว่างๆก็ลองฟังสถานีวิทยุเสียงธรรมบ้างนะครับ
    ขออวยพรให้เจอกิเลสโดยเร็ว
    ขอบคุณครับ
    ลุงมหา
     
  9. prayut.r

    prayut.r เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    150
    ค่าพลัง:
    +1,707
    งั้นหมายความว่า ผมก็ต้องพยายามให้มีความอยากทางกามารมณ์กลับมาเหมือนเดิมเหรอครับ? ว่าแต่ต้องทำไงล่ะครับ? แนะนำทีครับผม
     
  10. บุญพิชิต

    บุญพิชิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    686
    ค่าพลัง:
    +418
    คุณจขกทครับ คุณคิดถูกและทำถูกแล้วครับ ที่หยุดเรื่องกามกับแฟน
    เพราะละอายในศีล แบบนี้เรียกว่า ใช้ศีลเป็นสติหยุดการกระทำ

    แต่ถ้าดูให้ลึกลงไป เรื่องผิดศีลมันผิดแน่ๆ แต่จะผิดข้อไหนระหว่าง
    ศีลข้อ2.กับข้อ3. ถ้าเป็นความเห็นผมน่าจะเป็น ข้อ2.คือการไปเอาของรัก
    ของหวงของคนอื่นโดยไม่บอกกล่าวหรือขอ

    พูดกันตามจริงแล้ว ขั้นตอนที่คุณพูดมามันเป็นเพียงการ
    ประพฤติของพุทธศาสนิกที่ดีเท่านั้น ยังไม่ได้ถึงขั้นของการภาวนา
    อย่างจริงจัง
    ในเมื่อคุณอธิบายความทุกอย่างแล้ว และในเนื้อหามันก็เป็นเรื่องที่เป็นกุศล
    คุณให้เกียติ์ตัวเธอและพ่อแม่ของเธอ แต่เธอก็ไม่พยายามเข้าใจ
    ยังไม่สำรวมตัวเป็นลูกผู้หญิง และเป็นลูกที่ดีของพ่อแม่ ผมว่าเป็นการดี
    ที่จะได้พิสูจน์ว่า แฟนคุณรักคุณด้วยใจที่เอื้ออาทร
    หรือด้วยกามรมณ์อย่างเดียว ผมว่าเรื่องนี้ง่ายมากครับ ถ้าแฟนรักจริงเขาต้อง
    ทำตามคุณและจำเป็นด้วยเพราะเป็นสิ่งดีงาม แต่ถ้ายังเซ้าซี้พูดแต่เรื่อง
    กามารมณ์ ผมว่าคุณก็ต้องปล่อยเธอไป รับรองได้ไม่นานเธอต้องหา
    แฟนใหม่แน่ๆครับ ที่พูดมามันขึ้นอยู่ที่ตัวคุณว่าใจแข็งพอมั้ย
    ที่คุณบอกว่าไม่ได้พยายามละเรื่อกามารมณ์นั้น ถูกต้องแล้วครับ
    เพราะสิ่งที่คุณกำลังเป็นอยู่คือการที่ ใจคุณไปจดจ่อกับเรื่องที่เป็น
    ศีลเป็นกุศลและความดีงามแห่งธรรมะ ทั้งหมดทั้งมวลเลยทำให้
    คุณลืมเรื่องการมณ์ หรือจะมีก็เพียงระยะสั้น เพราะแรงจูงใจในเรื่อง
    ศีลเรื่องธรรมมีมากกว่ากามารมณ์

    ธรรมในโลกมันมีเป็นคู่ มีกุศลก็มีอกุศล มีชอบใจก็มีไม่ชอบใจ
    สิ่งที่ชอบก็พยายามเอาเข้ามา ที่ไม่ชอบก็พยายามดันออกไป
    ในขณะนี้ใจคุณชอบสิ่งที่เป็นกุศลอยู่เลยยึดไว้ ใจก็เลยไปผลักไส
    ตัวที่เป็นอกุศล ซึ่งมันตรงข้ามกันไม่สามารถอยู่ร่วมกันได้
    พอจะกล่าวรวมๆว่า ใจมันทำงานไปตามความเป็นจริง
     
  11. บุญพิชิต

    บุญพิชิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    686
    ค่าพลัง:
    +418
    อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ขออนุญาติครับ
    จาก ปล. ของคุณๆก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีที่ผมบอกว่า
    “คุณถูกกิเลสมันหลอกเอาแล้วละครับ”
    หรือจะรอให้มันเดินเข้ามาหา
    กิเลสมันอยู่ที่ใจคุณนั่นละครับ
    ไม่ต้องไปตามหาที่ใหน
    มันครองจิตใจคน
    จนเราแยกไม่ออกว่าอันไหนเป็นเรา
    อันไหนเป็นกิเลส
    เราจึงต้องมาปฏิบัติภาวนาเพื่อตามหามันยังไงละครับ
    ว่างๆก็ลองฟังสถานีวิทยุเสียงธรรมบ้างนะครับ
    ขออวยพรให้เจอกิเลสโดยเร็ว
    ขอบคุณครับ
    ลุงมหา

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    ขออนุญาติคุยกับท่านลุงมหาหน่อยครับ ลุงครับกิเลสของลุงมันคืออะไรครับ
    ลุงแสดงความเห็นแบบนี้ มันคลุมเคลือ มันทำให้ผู้ไม่มีประสบการณ์หลงทาง
    ได้นะครับ ท่านเล่นแสดงความเห็นแบบครอบจักวาล ไม่อธิบายให้คนอื่นรู้
    ในสิ่งที่ลุงกล่าวว่ามันคืออะไรหมายถึงอะไร
    ดูอย่างจขกทได้อ่านความเห็นลุงแล้ว เขาถึงกลับบอกว่า ..
    "ให้ความอยากกลับมาเหมือนเดิมหรือ"

    เอาอย่างนี้ครับ ลุงมหาช่วยอธิบายในสิ่งที่ลุงมหาพูดก็ดีนะครับ
    พูดให้ผมหรือจขกทเข้าใจ ไม่งั้นมันจะเป็นบาป เพราะเท่ากับว่า
    ลุงมาชี้ทางอกุศลให้จขกทเดินนะครับ
     
  12. รู้รู้ไป

    รู้รู้ไป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    951
    ค่าพลัง:
    +3,165
    ผมอธิบายธรรมที่ผมเข้าใจได้ อธิบายได้ให้แฟนฟัง แม้กระั่ทั่งเรื่องแท้จริงความรักคือความเห็นแก่ตัว ความรักทำให้ทุกข์อย่างไร เป็นตัณหาเป็นความเห็นแก่ตัวอย่างไร กามเป็นอย่างไรคุณโทษมีอย่างไรต่อการเวียนว่ายในทุกข์ คนที่ต้องควรรักควรไปดูแลที่สุดเป็นใคร ก็มีบ้างที่กลัวต้องเลิกร้างลากันไป แต่ก็เอาละเป็นไงเป็นกัน มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ มันของดีจริงนี่หน่า เราดีขึ้นได้ทุกข์น้อยลงได้ก็เพราะเรารู้อย่างนี้นี่หน่า รักกันจริงหวังดีกันจริงปารถนาดีจริงก็ต้องให้ของจริงของดีจริงกันเลย ทำดีต้องได้ดี ผลจะเป็นอย่างไรก็ดีที่สุดแล้ว เพราะเรามั่นใจแล้วว่าสิ่งนี้ดีจริง ถูกจริง
    กลับเป็นความรักความศรัทธาในตัวเราที่เพิ่มขึ้นโดยไม่อิงต่อกาม เขามองว่า จะหาคนที่รักที่หวังดีต่อจิตต่อใจโดยไม่สนใจต่อการพลัดพลาดจากกายจากกาม อย่างนี้คงไม่ได้แล้ว เขาพอใจที่เป็นอย่างนี้ มันมั่นใจอุ่นใจได้มากกว่า กลายเป็นทั้งรักทั้งนับถือเรามากขึ้น โดยอิงจากความปารถนาดี
    ผมไม่ได้อยู่กับแฟนอยู่กันคนละประเทศบ้างอยู่ต่างจังหวัดบ้าง บางครั้งบางคราวเป็นเดืิอนเป็นปีเป็นหลายปีจึงได้เจอกัน แต่บางคราวก็รู้สึกว่าอยู่ใกล้กัน ไม่ได้ห่างไกลกัน ด้วยอิงอาศัยจิตที่ปารถนาดีต่อกัน
    ผมอนุญาติให้แฟนมีคนอื่นอีกได้ แต่เขาไม่มี ด้วยรู้สึกว่าคนอื่นเข้ามาด้วยเห็นแก่ตัวเข้ามาด้วยเรื่องกายเรื่องกาม ไม่ใช่ด้วยความปารถนาดีที่จิตที่ใจอย่างที่เขาได้รับ ที่มีเพียงพอแล้ว ได้รู้ว่ามีคนที่ปารถนาดีต่อกันอยู่ก็พอใจแล้ว อย่างอื่นเป็นผลพลอยได้ ได้ไม่ได้ก็ขอเอาตัวนี้ไว้ก่อน ไม่ได้ตัวนี้แล้วจึงเคว้งคว้างจึงเหมือนไม่มีทุกอย่าง
    ทุกวันนี้ผมก็พยายามแก้การติดในความรักความปารถนาดีความนับถือที่มีต่อผมนี่ละครับต่อไปเขาจะได้ไม่ต้องทุกข์หรือทุกข์น้อยลงอีกเพราะปัจจัยเหล่านี้ ค่อยๆเป็นค่อยๆไปต่อไป ก็เพื่อความคลายทุกข์ของเขาด้วยของผมด้วย
    ผมคุยธรรมมะกับทุกท่านทีมีโอกาสจะทำได้ ไม่ว่าพ่อแม่ ญาติ เพื่อน แฟน บริวาร สิ่งที่ดีที่สุดที่ผมจะให้ต่อคนที่รักที่ผูกพันได้สำหรับผมก็คือ ธรรมที่รู้ ที่พอจะช่วยให้เขาเหล่านั้นคลายทุกข์ลงได้บ้างตามกำลัง
    รักด้วยกามก็อย่างหนึ่ง
    รักอย่างโลกก็อย่างหนึ่ง
    รักอย่างปารถนาดีก็อย่างหนึ่ง
    รักด้วยธรรมก็อย่างหนึ่ง

    สำหรับผม หากเห็นกามเกิดเองแล้วดับเอง1ครั้ง จะลดความดิ้นรนต่อกามลงเองอย่างที่เจ้าของกระทู้เข้าใจครับ มันจะเริ่มลดลงเอง ไม่ได้ตั้งใจลด ไม่ได้ตั้งใจตัด
    คนเคยดิ้นรนรอของที่ส่งมาตลอดชีวิต พอครั้งหนึ่งไม่ได้ดิ้นรน ของก็ส่งมาถึงเหมือนกัน ลึกๆก็จะเริ่มรู้สึกได้ว่า ไม่ต้องดิ้นรนก็ได้นี่หน่า สบายกว่าอีก ถึงแม้จะยังดิ้นรนอยู่ แต่ก็นึกถึงได้ ถึงอาการไม่ดิ้นรนนั้น และจะเริ่มดิ้นรนน้อยลงด้วยเห็นถึงความไม่จำเป็นในการดิ้นรนนั้น ไปเรื่อยๆ
    ตามกำลัง

    ให้ของดีจริงย่อมได้ของดีจริง
    อนุโมทนาในธรรมในกุศลทั้งหลายครับ
     
  13. รู้รู้ไป

    รู้รู้ไป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    951
    ค่าพลัง:
    +3,165
    ความรักความปารถนาดีมันก็อย่าง
    ความหมุกมุ่นในกามมันก็อย่าง
    มันเป็นปัญหาเดียวกันก็ต่อเมื่อเราเอามันมารวมกัน กลายเป็นแยกไม่ออกว่า อันไหนพอใจในปารถนาดีต่อกัน อันไหนเป็นพอใจในกาม จนกลายเป็นปัญหากามจากความปารถนาดี จากความรัก

    พอใจในกามก็คืออาการหน้ามืดถลำลงในกาม ร้อนรนดิ้นรนเพื่อให้ความต้องการต่อกามต่อกายได้ดับไป
    พอใจในปารถนาดี จะอบอุ่นสบายใจกว่า ไม่ร้อนรนกว่าหาได้ง่ายกว่า ก็มันอยู่ที่ใจ
    ความรักในสมัยนี้ที่เป็นปัญหาเพราะเอาไปรวมกัน เป็นก้อนเดียวกัน
    ผมจับแยกกันครับ เวลาที่ปารถนาดี ก็ปารถนาดี เวลาที่ไหลลงในกามก็รู้ว่าไหลลงในกาม แยกให้บ่อยขึ้น ก็ละเอียดขึ้น ทั้งเราทั้งแฟนเรา ก็จะเข้าใจทั้งเราทั้งแฟนเราครับ
    อนุโมทนาครับ
     
  14. YUT_KOP

    YUT_KOP เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2008
    โพสต์:
    458
    ค่าพลัง:
    +1,033
    ผมจะลองตอบแทนลุงมหา ดูนะ

    เรื่องราวของ จขกท ผมเข้าใจว่าเกิดกับนักปฏิบัติธรรมจำนวนมากที่ เริ่มทำอย่างจริงๆจังๆ
    ซึ่งผมก็เคยเป็นเหมือนกันกับ จขกท ทุกประการ (เมื่อ2ปีที่แล้ว)แถมเป็นหนักกว่า
    เพราะไม่ใช้เป็นแต่เรื่องกามมันกระทบไปถึงเรื่องการแสดง อารมณ์ เช่น
    จะดีใจ ก็ ไม่มีหรือมีก็น้อยมากๆๆ แบบว่าเพื่อนๆ มองหน้า มรึงเป็นอะไรไป
    อารมณ์ ความรู้สึกเริ่ม ถอนลงเหมือนจะว่า การแสดงออกของอารมณ์จะ นิ่งกว่าปกติ 80%

    เช่นเล่นเกมส์ วินนิ่ง (ฟุตบอล) ผมยิงประตูได้ ก็เฉยๆ ไม่แสดงอารมณ์เลย
    เพื่อน กับ แฟนผม งง กับผม ซึ่งผมก็ งงกับตัวเองเหมือนกันว่า ทำไมกรูไม่ตะโกนเหมือนเมื่อก่อน ทำไมกรูนิ่งไป ในจิตมันก็คิดเหมือนกัน คล้ายๆกับ จิตตัวที่อยากจะมีอะไรกับแฟน
    มันจะพยายาม สงบ แล้วกรูจะมีอารมณ์ อยากไหม

    ตัวอารมณ์ แบบนี้ แหละ ที่ลุงมหา เรียกว่า ตัวกิเลส

    คือ1ใน10 ขุนพลของ
    อุปกิเลสของวิปัสสนาญาณ ๑๐
    ข้อ ๓. ปัสสัทธิ ปัสสัทธิแปลว่า ความสงบระงับด้วยอำนาจฌาน มีอารมณ์สงัดเงียบ คล้ายจิตไม่มีอารมณ์อื่น มีความว่างสงัดสบาย ความรู้สึกทางอารมณ์ โลกียวิสัยดูคล้ายจะสิ้นไปเพราะความรัก
    ความโลภ ความโกรธ ความข้องใจในทรัพย์สินไม่ปรากฏ

    แถมให้อีก1ตัว คือ

    ข้อ๑๐. นิกกันติ นิกกันติแปลว่า ความใคร่ เป็นความใคร่น้อยๆ ที่เป็นอารมณ์ละเอียด
    ไม่ฟูมาก ถ้าไม่กำหนดรู้อาจไม่มีความรู้สึก เพราะเป็นอารมณ์ของตัณหาสงบ ไม่ใช่ขาดเด็ด
    เป็นเพียงสงบ พักรบชั่วคราวด้วยอำนาจฌาน

    ทั้ง2ข้อนี้ แม้นว่าเราจะไม่ได้อยู่ใน ฌานก็ตาม มันจะปรากฏในจิตใต้สำนึกแบบว่าที่จริงมันติดตัวเรามาเป็น พันๆชาติแล้ว หลายกัลป์เลยทีเดียว

    แต่ชาตินี้ของเราเริ่มเจริญกรรมฐาน มันเลย ปราฏกตัวให้เราเห็น เพราะอารมณ์แห่งกรรมฐานเรา ทำให้มันปราฏกตัว แสดงตัวออกมาสู้รบด้วย
    ถ้าเรา หลงไปกับ กิเลส 2ตัวนี้ ก็เท่ากับว่า เราติดกับดัก ของมัน


    ตัวกิเลสต่างๆ โลภะ โทสะ โมหะ มันมีอยู่ เราจะไปตัดขาดมันไม่ใช้
    แบบนี้เรียกว่า โดนหลอก เราเพียงแต่เอาสติตามดู อารมณ์ ที่เกิดขึ้น
    แล้วดูว่า เราเข้าไปยึดอารมณ์นั้นๆไว้หรือป่าว แค่ให้ดูอารมณ์ แต่ไม่ได้ให้ ตัดอารมณ์ ใครที่ตัดอารมณ์ แสดงว่า โดนอุปกิเลสหลอกแน่นอน

    หลวงพ่อ-หลวงปู่-หลวงตา ที่ได้มรรคได้ผล แล้วท่านยังหัวเราะร่าเริง พูดจาตำหนิลูกศิษย์ด้วยน้ำเสียงที่ดังและดุ แต่ถามว่า ท่านเหล่านั้นติดอารมณ์นั้นๆหรือไม่ นี้แหละคือคำตอบ งิงิ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 ตุลาคม 2010
  15. YUT_KOP

    YUT_KOP เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2008
    โพสต์:
    458
    ค่าพลัง:
    +1,033
    เดียวคุณ จขกท ผ่านเรื่องนี้ไปได้แล้วก็จะเจอ บททดสอบใหม่ต่อไปคือ

    การ ปรามาส ครู อาจารย์ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์

    เชื่อผมไหม มันเป็น Step ของ คนฝึกสมาธิ

    เจ็บกันมาเยอะแล้ว ของแบบนี้ ฮ่าๆ
     
  16. รู้รู้ไป

    รู้รู้ไป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    951
    ค่าพลัง:
    +3,165

    เป็นเหมือนกันเลยครับทั้งเกมส์ทั้งอาการ แถมเล่นดีขึ้นเพราะเข้าใจในตัวโปรแกรม ไม่เล่นตามอารมณ์เหมือนอย่างเคย เล่นเป็นไปตามความเข้าใจตามความจำเป็นในการต้องกดสำหรับโปรแกรมของเกมส์ อารมณ์ที่เข้ามาถูกแยกรู้ดูไว้ต่างหาก กลายเป็นเล่นชนะ แต่ความสนุกอย่างเมามันส์อย่างมีอารมณ์น้อยลง

    เรื่องปรามาส ของผมปรามาสก่อนเลย แล้วจึงเห็นทางว่า ห้ามก็ไม่ได้ตามก็ไม่ได้มันกลับยิ่งกำเริบ ก็เลยออกมารู้ออกมาดูมัน ดูอาการดูอารมณ์ทั้งหลายตาม ไม่ห้ามดูมันเลยด่าเป็นด่า เราไม่ได้ด่าเราเอาเจตนาดีไว้ มันกลับบสงบ ก็เข้าใจว่า อ๋อ กดมาตั้งนานไม่ลง พอออกมารู้มาดูเฉยๆมันกลับสงบลงเอง ตั้งแต่นั้นก็ใช้การรู้การออกมาดูนี้เป็นหลัก เรื่อยมาในการปฏิบัติต่อตน
    ต่อมาอีกหลายปีจึงค่อยมาเห็นกามเกิดแล้วดับ ก็เข้าใจได้ว่าพยายามละมาตั้งนาน ทั้งพอใจและไม่พอใจมัน จริงแล้ว แค่มันเกิด เราแยกออกมารู้มาดู เห็นแว่บ รู้แว่บ ไม่ใส่เชื้อพอใจหรือไม่พอใจต่อมัน เห็นมันต่างหากจริงๆ มันก็ดับ เหมือนเรื่องการปรามาสเลย

    ตัวปัญญาแฝงอยู่ในทุกขณะ เหมือนที่มีท่านหนึ่งเคยกล่าวว่า มัน มี1ถึง10เราจับทันที่10เราก็เข้าใจว่ามีแต่10จริงแล้ว จำนวนที่เหลือก็มีอยู่นั้นละ แต่เราจับไม่ทันเราจึงไม่รู้ เราจึงคิดว่าไม่มี
    กำลังสมาธิกำลังวิปัสนาเท่าทันได้เท่าไรก็เห็นได้มากขึ้นเท่านั้นในจำนวนที่เหลืออยู่ที่ซ่อนอยู่

    ดีใจที่ได้รู้ว่ามีหลายท่านได้รู้ได้เห็นเหมือนกันดังนั้นครับ
    อนุโมทนากับท่าน YUT_KOP และท่านทั้งหลายด้วยครับ
    ทางใดเป็นเพื่อเพื่อการทวนกระแสกิเลสกระแสแห่งทุกข์ผมว่าดีหมด
    อนุโมทนาในธรรมทั้งหลายด้วยครับ
     
  17. luxor

    luxor Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    34
    ค่าพลัง:
    +88
    คุณรอดมี ครับ เขาขอคําปรึกษาครับ
    คุณก็ให้คําปรึกษาสิครับ
    ไม่ใช่มากล่าวตําหนิเขา
    คุณรอดมีนี้น่าจะไปสมัครเป็นสมาชิคฝ่ายค้านรัฐบาลนะครับไม่น่ามาเป็นสมาชิคในเวปนี้หรอก
    ปล.เบื่อหน่ายคนพวกนี้-รู้ทุกเรื่องรู้ทุกอย่างแต่ไม่รู้อย่างเดียวคือ- (เรื่องจริง)
     
  18. รอดมี

    รอดมี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    155
    ค่าพลัง:
    +161
    คุณนี่สักแต่ว่าแสดงความเห็นเรื่อยเปลื่อย คุรไม่เห็นไม่เข้าใจเองแล้วก็มาตีโพย
    ตีพาย แล้วผมก็ไม่ได้ค้านจขกทด้วย คนที่ผมค้านคือคุณkeng
    จะทำอะไรหัดคิดก่อนสิ แล้วค่อยแสดงความเห็น แล้วก็กล้าๆหน่อย
    อย่าใช้ ล็อกอินแฝง
    เบื่อคนพวกนี้จริง สอดทุกเรื่อง รู้ไม่รู้ไม่สนขอให้ได้สอด
    หัดไปเรียบเรียงตัวอักษรเสียก่อนก็ดีน่ะ

    ปล.แล้วนายรู้อะไรบ้างล่ะ ไม่เห็นบอกมาบ้างเลย
    แบบนี้เรียก ไม่ตักน้ำใส่กระโหลก ชะโงกดูเงาเลย!
     
  19. บุญพิชิต

    บุญพิชิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    686
    ค่าพลัง:
    +418
    ผมว่าคุณyutคงสับสนเป็นแน่ คำพูดที่ว่า ดูอารมณ์หรือติดอารมณ์
    ดูโดยรวมแล้วความหมาย มันน่าจะเป็นว่า กิเลสก็อยู่ส่วนกิเลส มันอยู่ของมัน
    ต่างหาก การที่จิตมีกิเลสก็เพราะจิตเข้าไปยึดเอาถือเอามาเป็นอารมณ์
    แล้วปรุงไปต่างๆนาๆ

    แล้วการที่จขกท กล่าวว่า ไม่ได้มีอารมณ์เพราะจิตไประลึกถึงศีล
    เป็นดังนี้แล้วคุณกับลุงมหา มาบอกว่า จขกทโดนกิเลสมันหลอก
    กิเลสก็อยู่ส่วนกิเลส ถ้าเราไม่เข้าไปติดหรือยึด มันก็ดับไปเองตามกฎ
    ไตรลักษณ์ การที่จะมากล่าวว่า โดนกิเลสมันหลอก มันจะต้อง
    เกิดกิเลสแล้วเราเข้าไปยึดและปรุงแต่ง

    การที่จขกท ไม่ได้มีอารมณ์กับแฟน ก็เพราะไม่ได้เข้าไปติดหรือ
    ยึดอารมณ์หรือกิเลสดังว่า ขณะนั้นจิตมีแต่สติครับ

    ผมว่าการที่ลุงมหา บอกว่าจขกทโดนกิเลสมันหลอก ก็เพราะลุงมหาลืมนึกไป
    ว่า กิเลสก็เป็นไตรลักษณ์ เกิดขึัน ตั้งอยู่ และดับไป มันไม่ใช่ตัวตน
    บังคับไม่ได้ ฉะนั้นจิตผู้รู้ก็อยู่ต่างหาก กิเลสก็อยู่ต่างหาก ถ้าเราไม่ได้ไป
    ยุ่งกับมันแล้วมันจะหลอกเราได้อย่างไรครับ
     
  20. Maxzimon

    Maxzimon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    90
    ค่าพลัง:
    +204
    มีแต่ความคิดเห็นที่น่าสนใจหลายอันเลย สำหรับผมแล้วขอแนะนำเพียงนิดหน่อย

    การละซึ่งกิเลสแล้ว นับเป็นอรหันต์ ท่านมิจำเป็นต้องละหรอกเพียงแค่ลด มันลงก็พอแล้ว มาตรฐานของใจคนนับเป็นเส้นทางธรรมที่ถูกต้องแล้ว หากรู้สึกไม่ดีเมื่อไหร่จงทำให้มันรู้สึกดี นั่นแลคือธรรม ธรรมคือประชากรที่อยู่ในขอบเขตของธรรมชาติ เมื่อเข้าใจธรรมชาติแล้ว ตัวเราย่อมเป็นธรรม

    ทุกอย่างมีทั้งดีและเลว มิมีสิ่งใดดีที่สุดและเลวที่สุดเสมอไป เพียงหมั่นมองในด้านดี ก็เพียงพอให้ใจท่านมีความสุข

    อนุโมทนากับผู้ที่ ให้ข้อคิดดีๆ ทุกท่าน ขอบคุณครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...