ประเทศไทยจะเกิดอุบัติภัยอย่างที่ทำนายกันจริงๆหรือไม่

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย koymoo, 25 มกราคม 2005.

  1. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,696
    ค่าพลัง:
    +51,932
    *** กรรมย้อนคืน ****

    ทางรอดพ้นคือสัจจะ ทำวันละข้อ ทุกวัน

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
  2. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,193
    สกลฯ-ประกาศเป็นเขตพื้นที่ประสบภัยพิบัติ (ภัยหนาว) 18 อำเภอ

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    จังหวัดสกลนคร ประกาศเป็นเขตพื้นที่ประสบภัยพิบัติ(ภัยหนาว) ทั้ง 18 อำเภอ นายอำนาจ ผการัตน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดสกลนคร พร้อมด้วย นายชัยมงคล ไชยรบ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสกลนคร นำคณะออกแจกจ่ายผ้าห่มกันหนาว แก่ผู้ประสบภัยหนาว ในพื้นที่เทือกเขาภูพาน

    ในวันนี้ ( 11 พ.ย.53 ) นายอำนาจ ผการัตน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดสกลนคร พร้อมด้วย นายชัยมงคล ไชยรบ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสกลนคร นายวิชาญ แท่นหิน รักษาการหัวหน้าสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณะภัย จังหวัดสกลนคร นำคณะออกแจกจ่ายผ้าห่มกันหนาว แก่ผู้ประสบภัยหนาว ในพื้นที่อำเภอกุดบาก อำเภอนิคมน้ำอูน และตำบลกกปลาซิว อำเภอภูพาน รวมจำนวน 1000 ผืน

    โดยขณะนี้พบว่ายังขาดแคลนผ้าห่มอีก 200,000 ผืน ทางจังหวัดกำลังเร่งจัดหาให้เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบกับภัยหนาวอย่างเต็มที่ โดยเฉพาะตำบลก๊กปลาซิว มีทั้งหมด 9 หมู่บ้าน 3,861 ครัวเรือน มีพื้นที่อยู่ในหุบเขาเทือกเขาภูพาน ในห้วงเวลากลางคืนจะมีอากาศหนาวยะเยือก อุณหภูมิต่ำสุดอยู่ที่ 10 องศา ซึ่งจังหวัดสกลนคร ได้ประกาศเป็นพื้นที่ภัยพิบัติ (ภัยหนาว) ตั้งแต่วันที่ 29 ตุลาคม 2553

    อย่างไรก็ตามขณะนี้จังหวัดสกลนคร ได้ประกาศเป็นเขตพื้นที่ประสบภัยพิบัติ (ภัยหนาว) ทั้ง 18 อำเภอ แล้ว เนื่องจากอุณหภูมิต่ำกว่า 15 องศา ติดต่อกันเป็นเวลา 4 วัน โดยมีหมอกบางในตอนเช้า ฟ้าหลัวในตอนกลางวัน และมีลมแรง จากสภาพอากาศที่หนาวเย็นเช่นนี้ การมอบผ้าห่มก็เพื่อบรรเทาความเดือดร้อน แก่ผู้มีรายได้น้อย ผู้ด้อยโอกาส และผู้สูงอายุอีกด้วย

    ข่าวทีวีช่อง 3 วันพฤหัสบดี ที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

    ที่มา http://www.krobkruakao.com
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  3. lowprofile

    lowprofile เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,391
    ค่าพลัง:
    +6,023
    เรื่องการแจกผ้าห่มนี่ ผมว่าดีนะครับช่วยได้มากแต่อดสงสัยไม่ได้ว่า
    แจกกันทุกๆๆปี จำนวนมหาศาลหายไปไหนหมดครับ ๆๆ ผ้าห่มผมที่บ้าน
    ใช้มา 5 -6 ปี แล้ว เสื้อหนาวก้อมีใช่ตัวเดิมมานานมาก
    ผมอดสงสัยจริงๆๆ แจกๆๆแล้วมันหายไปไหนหมด ????
     
  4. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,193
    Yahoo! รู้รอบ - บริจาคเสื้อกันหนาวกันทุก ๆ ปี หายไปไหนหมด?

    มันไม่ได้หายหรอกค่ะ

    1.เด็กเมื่อปีที่แล้ว ปีนี้โตขึ้นจนไม่สามารถใส่เสื้อกันหนาวตัวเก่าได้
    2.เสื้อกันหนาวตัวเก่าขาดไปตั้งแต่ปีที่แล้ว (ใส่ไปทำไร่ทำนาตลอดวันตลอดคืน)
    3.ครอบครัวมีสมาชิกเพิ่ม (เด็กเกิดใหม่มีทุกวัน)
    4.พ่อแม่จนลง กว่าปีก่อนเพราะ พอลูก ๆ โตขึ้นทุกอย่างก็เพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัว ในขณะที่รายได้ไม่เพิ่มขึ้นสักเท่าไหร่
    5.คนที่เมื่อปีที่แล้วจนอยู่อย่างไร ปีนี้ยิ่งจนมากขึ้น (ล้อตามข้อ 4)
    6.คุณภาพของเสื้อผ้าที่เอาไปแจก เป็นเสื้อผ้าเกรดต่ำ ใส่ไม่เท่าไหร่ก็ขาด หรือไม่ก็ต้องใส่หลายตัวจึงจะหายหนาวจริง ๆ คนนึงจึงต้องใส่เสื้อหลายตัว (ทำให้เสื้อผ้าไม่พอสักที)
    7. อื่น ๆ อีกมากมายค่ะ แต่ตอนนี้คิดได้เท่านี้ ไว้ค่อยมาเพิ่มหากคิดออก...

    โดยคุณ Morakot

    ที่มา http://th.answers.yahoo.com/question/index?qid=20091126050504AAgeqI8

    หมายเหตุ

    บางครอบครัวที่เขายากจนจริงๆ เมื่อหมดหน้าหนาวแล้ว ก็อาจจะเอาผ้าห่มที่ได้รับแจกไปขายบ้าง เพื่อนำเงินมาซื้อข้าวปลาอาหารให้ลูกๆ ได้กินอิ่มท้อง เพราะความหิวเมื่อใครยังไม่พบเจอกับตัวเองย่อมจะไม่รู้ว่ามันทรมานมากแค่ไหน ฉะนั้นอย่าได้มองว่าเป็นเรื่องไม่รู้คุณค่าจากของที่นำไปบริจาคให้เลยครับ คนที่เขายากจนไม่มีจริงๆนั้นน่าสงสารมากครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 พฤศจิกายน 2010
  5. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,193
    ยอดผู้เสียชีวิตจากอหิวาต์ระบาดในเฮติพุ่งไม่หยุด

    [​IMG]

    เฮติ 12 พ.ย.-ยอดผู้เสียชีวิตจากการแพร่ระบาดของอหิวาต์ในเฮติยังพุ่งไม่หยุด ล่าสุดเพิ่มขึ้นเป็นอย่างน้อย 724 ราย และอีกกว่า 11,000 ราย เข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล

    แถลงการณ์กระทรวงสาธารณสุขเฮติยังยืนยันว่า การแพร่ระบาดครั้งนี้ได้ลุกลามถึงกรุงปอร์โตแปรงซ์แล้ว โดยมีผู้เข้ารับการรักษาแล้วประมาณ 170 ราย และเสียชีวิตแล้ว 1 ราย ขณะที่ในสัปดาห์นี้ มีรายงานผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นในแต่ละวันถึงกว่า 1,000 ราย

    ด้านองค์การสาธารณสุขแห่งภูมิภาคอเมริกา หรือพาโฮ คาดว่า อาจมีประชาชนชาวเฮติประมาณ 270,000 คน ติดเชื้ออหิวาต์ในช่วงระหว่าง 6 เดือน ถึง 1 ปี ที่ผ่านมา และอาจมีความเสี่ยงอย่างมากที่เชื้อโรคดังกล่าวอาจข้ามไปแพร่ระบาดยังสาธารณรัฐโดมินิกัน ทำให้ถือว่าขณะนี้การแพร่ระบาดของอหิวาต์ในเฮติกำลังเป็นภัยต่อความมั่นคงระดับชาติ.-สำนักข่าวไทย


    วันศุกร์ ที่ 12 พ.ย. 2553

    ที่มา http://www.mcot.net
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  6. วรเดช

    วรเดช เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    1,753
    ค่าพลัง:
    +6,146
    <TABLE border=5 borderColor=#728dac cellPadding=0 width=725 bgColor=#e2e2e2 align=center><TBODY><TR><TD bgColor=#ecfae0>ตื่นรอยพญานาคบนหลังคารถ </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE border=5 borderColor=#728dac cellPadding=0 width=725 align=center><TBODY><TR><TD bgColor=#ffffff><TABLE class=A14 border=0 cellSpacing=0 cellPadding=3 width="100%" align=center><TBODY><TR bgColor=#cccccc><TD vAlign=center> </TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE border=0 cellSpacing=2 cellPadding=2 width="95%"><TBODY><TR><TD vAlign=top><TABLE border=0 cellSpacing=2 cellPadding=2 bgColor=#f5f5f5 align=center><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD align=middle></TD></TR></TBODY></TABLE>
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE border=0 cellSpacing=2 cellPadding=2 width="95%"><TBODY><TR><TD vAlign=top>ฮือฮารอยปริศนาบนหลังคารถ เชื่อเป็นรอยพญานาคมารับองค์กฐิน ชาวบ้านจุดธูปเทียนกราบไหว้

    เมื่อวันที่ 11 พ.ย. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากมีชาวบ้านร่ำลือว่าพบรอยประหลาดคล้ายงูเลื้อยปรากฏบนหลังคาเก๋งรถกระของ นายสฤษดิ์ วิเศษแก้ว อายุ 50 ปี ชาวบ้านปลาปาก ต.ปลาปาก อ.ปลาปาก จ.นคพรนม โดยเจ้าของได้นำรถไปเก็บไว้ในวัดของหมู่บ้าน ทำให้ชาวบ้านที่ทราบข่าวแห่ไปกราบไหว้ขอโชคลาภ เนื่องจากเชื่อว่าเป็นรอยพญานาค จึงได้เดินทางไปตรวจสอบข้อเท็จจริง พบชาวบ้านจำนวนมากแห่กราบไหว้บูชา ซึ่งเป็นรอยลักษณะคล้ายงูเลื้อย เป็นเกล็ดซ้อนกัน ความยาวประมาณ 40 เซนติเมตร อยู่บนหลังคารถยนต์กระบะ ยี่ห้อนิสสัน บิ๊กเอ็ม สีเขียว ทะเบียน บก 4978 นครพนม ที่เจ้าของนำไปจอดไว้ในวัด เพราะไม่กล้าที่จะนำไปขับ โดยชาวบ้านได้พากันดอกไม้ธูปเทียน พร้อมผ้าผืนแพรวา ไปกราบไหว้บูชา เพราะเชื่อว่าพญานาคได้มาปรากฏร่องลอยให้เห็น ถือเป็นโชคลาภตามความเชื่อของชาวอีสาน นอกจากนี้ชาวบ้านยังบอกว่าได้พบเต่าอีก จำนวน 1 ตัว อยู่ใต้ท้องรถ จึงนำมาเก็บบูชาไว้ด้วยกัน ซึ่งชาวบ้านที่แห่มาขอโชคลาภ ได้ขอบูชารูปภาพถ่ายรอยพญานาคไปเก็บรักษาไว้เพื่อเป็นสิริมงคลด้วย

    นายโอกาส พิมราช อายุ 33 ปี ญาติเจ้าของรถ กล่าวว่า ก่อนเกิดเหตุการณ์ดังกล่าว นายสฤษดิ์ วิเศษแก้ว อายุ 50 ปี

    ได้นำรถคันดังกล่าวไปจอดไว้ที่บริเวณ ร้านอาหารของตัวเอง ใกล้กับโรงพญาบาลอำเภอปลาปาก จากนั้นพอถึงรุ่งเช้าได้พบเห็นเต่าอยู่ใต้ท้องรถ จึงจับไว้เพื่อจะนำไปปล่อย พอมองดูที่หลังคาเก๋งรถพบรอยประหลาดคล้ายงูเลื้อย เป็นลายเกล็ดซ้อน จึงเรียกญาติมาดู เชื่อว่าเป็นรอยพญานาคที่มาปรากฏให้เห็น และถือเป็นโชคลาภตามความเชื่อของชาวอีสาน จึงได้นำรถคันนี้มาจอดไว้ในวัด เพราะไม่กล้านำไปใช้ จะต้องนำมาทำพิธีสวด ตามความเชื่อขอคนอีสานก่อน พอชาวบ้านทราบข่าวต่างพากันแห่มาดู บางคนขอบูชาภาพถ่ายกลับไปบูชาที่บ้านเป็นสิริมงคล

    สำหรับลักษณะร่อยลอยนั้นถือว่าแปลกมาก เชื่อว่ายากที่จะทำขึ้นมาเอง หรือเป็นสัตว์ชนิดอื่น

    แต่หากเป็นงูกลับไม่มีรอยเลื้อยลงจากรถ ถือเป็นรอยแลปกมาก ส่วนตัวเชื่อว่าเป็นการแสดงปรากฏการณ์ขึ้นด้วยกัน พอทำพิธีกราบไหว้เสร็จก็จะนำไปปล่อย และที่สำคัญเหตุการณ์ครั้งนี้ถือเกิดขึ้นเชื่อว่า เป็นการแสดงปาฏิหาริย์ เพราะในวันที่ 13 พ.ย. นี้ ทางอำเภอปลาปาก จะมีพิธีทอดกฐินพระราชทาน ที่โรงพยาบาล ที่ไม่เคยมีมาก่อน จึงถือว่าพญานาคที่อยู่ในสระน้ำใกล้โรงพญาบาลมาแสดงปาฏิหาริย์รับองค์กฐิน อย่างไรก็ตามชาวบ้านต่างเชื่อว่าเป็นสิริมงคลแก่อำเภอปลาปาก

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD><CENTER>ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์เดลินิวส์
    [​IMG]</CENTER></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE border=5 borderColor=#728dac cellPadding=0 width=725 bgColor=#e2e2e2 align=center><TBODY><TR><TD bgColor=#ecfae0>ด่วน!!!หามหลวงพ่อคูณส่งโรงพยาบาล </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE border=5 borderColor=#728dac cellPadding=0 width=725 align=center><TBODY><TR><TD bgColor=#ffffff><TABLE class=A14 border=0 cellSpacing=0 cellPadding=3 width="100%" align=center><TBODY><TR bgColor=#cccccc><TD vAlign=center> </TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE border=0 cellSpacing=2 cellPadding=2 width="95%"><TBODY><TR><TD vAlign=top><TABLE border=0 cellSpacing=2 cellPadding=2 bgColor=#f5f5f5 align=center><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD align=middle></TD></TR></TBODY></TABLE>
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE border=0 cellSpacing=2 cellPadding=2 width="95%"><TBODY><TR><TD vAlign=top>ลูกศิษย์หามหลวงพ่อคูณ ส่งโรงพยาบาล แพทย์ระบุหลงๆ ลืมๆ คาดว่าเป็นอาการของโรคสมองเสื่อม

    ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเมื่อเวลา 23.20 น. วันที่ 11 พ.ย. ลูกศิษย์ใกล้ชิด พระเทพวิทยาคม หรือ หลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ เจ้าอาวาสวัดบ้านไร่ ต.กุดพิมาน อ.ด่านขุนทด จ.นครราชสีมา ได้นำตัวหลวงพ่อคูณ ส่งโรงพยาบาลด่านขุนทด หลังพบว่าหลวงพ่อมีอาการหน้ามืดเป็นลม หลังจากแพทย์ตรวจอาการแล้วจึงรีบส่งต่อไปยังโรงพยาบาลมหานครราชสีมา


    ทันทีที่รถพยาบาล นำตัวหลวงพ่อคูณ มาถึงรพ.มหาราช นครราชสีมา เมื่อเวลา 00.15 น.

    เจ้าหน้าที่ได้นำหลวงพ่อคูณขึ้นเตียงคนไข้เข็นไปตรวจอาการอย่างละเอียด ทั้งอาการทางสมอง เอกซเรย์ปอด ตรวจระบบหลอดเลือดและหัวใจ ที่ชั้น 4 อาคารเฉลิมพระเกียรติ เบื้องต้นพบว่ามีไข้ แต่อาการทั่วไปปกติ ความดันสูงกว่าปกติเล็กน้อย หัวใจเต้น 50 ครั้งต่อนาที ถือว่าช้ากว่าปกติ และชีพจรเต้น 61 ครั้งต่อนาที ถือว่าช้าเล็กน้อย ส่วนออกซิเจนในเลือดอยู่ในเกณฑ์ปกติ หลังตรวจอาการแพทย์นำตัวหลวงพ่อคูณ ไปพักฟื้นที่ห้อง 9821 ห้องพักผู้ป่วยพิเศษ ชั้น 8

    ต่อมา นพ.พินิศจัย นาคพันธุ์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านหัวใจและหลอดเลือด ซึ่งเป็นแพทย์ประจำตัวหลวงพ่อคูณ

    เปิดเผยหลังตรวจอาการว่า การเดินทางมารพ.ครั้งนี้ของหลวงพ่อคูณ ก็เหมือนทุกครั้งที่ผ่าน เพราะหลวงพ่อมีอาการหลงลืม เกรงจะมีเลือดออกในสมอง จึงทำการตรวจอย่างละเอียด แต่จากการตรวจเบื้องต้น ยังไม่พบความผิดปกติ คาดว่าเป็นอาการของโรคสมองเสื่อมของผู้สูงอายุ ซึ่งพบได้โดยทั่วไป ส่วนแนวทางการรักษา ต้องตรวจอาการและรักษาเป็นรายวันไป จึงบอกไม่ได้ว่าต้องพักรักษาที่รพ.นานกี่วัน ขณะนี้ให้นอนพักฟื้น และแพทย์จะเฝ้าดูอาการอย่างใกล้ชิด



    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD><CENTER>ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์เดลินิวส์
    [​IMG]</CENTER></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE border=5 borderColor=#728dac cellPadding=0 width=725 bgColor=#e2e2e2 align=center><TBODY><TR><TD bgColor=#ecfae0>สั่งทหารพร้อม 24 ชม.ชายแดนไทย-พม่า </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE border=5 borderColor=#728dac cellPadding=0 width=725 align=center><TBODY><TR><TD bgColor=#ffffff><TABLE class=A14 border=0 cellSpacing=0 cellPadding=3 width="100%" align=center><TBODY><TR bgColor=#cccccc><TD vAlign=center> </TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE border=0 cellSpacing=2 cellPadding=2 width="95%"><TBODY><TR><TD vAlign=top><TABLE border=0 cellSpacing=2 cellPadding=2 bgColor=#f5f5f5 align=center><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD align=middle></TD></TR></TBODY></TABLE>
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE border=0 cellSpacing=2 cellPadding=2 width="95%"><TBODY><TR><TD vAlign=top>ทบ.เผย “แม่สอด”สงบ แต่”สังขละ”ยังไม่หยุดยิง รองมทภ.1 ลงพื้นที่สั่งทหารพร้อม 24 ชม. ส่งชาวพม่ากลับหมดวันนี้

    เมื่อวันที่ 11 พ.ย พล.อ..ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว.กลาโหม ให้สัมภาษณ์ถึงสถานการณ์ตามแนวชายแดนไทย-พม่าว่า ไม่มีอะไรรุนแรง เป็นเรื่องทางฝั่งพม่า ส่วนการดูแลตามแนวชายแดน ทางกองกำลังสุรสีห์ดูแลความสงบเรียบร้อยอยู่ รวมถึงดูแลประชาชนพม่าที่หลบหนีเข้ามาในฝั่งไทยตามความเหมาะสม หากสถานการณ์เรียบร้อย เราก็จะส่งกลับไปยังฝั่งพม่า

    พ.อ.หญิงศิริจันทร์ งาทอง รองโฆษกกองทัพบก กล่าวว่า จากการตรวจสอบพบว่า ขณะนี้บริเวณตรงข้าม อ.แม่สอด จ.ตาก

    มีความสงบเรียบร้อยดี และได้มีการเปิดการค้าขายที่ตลาดสดริมเมยตามปกติ ส่วนกำลังทหารไม่ได้มีการเสริมกำลังเพิ่มเติม เนื่องจากสถานการณ์ได้เข้าสู่ภาวะปกติแล้ว โดยมีเพียงการเฝ้าตรวจตามปกติ และเจ้าหน้าที่ทั้งสองฝ่ายได้มีการพูดคุยกันเรียบร้อยแล้ว ส่วนผู้หลบหนีเข้าเมืองชาวพม่าที่ อ.พบพระ อ.แม่สอด จ.ตาก ได้เดินทางกับประเทศไปหมดแล้วตั้งแต่เมื่อวันที่ 11 พ.ย.ที่ผ่านมา ส่วนผู้หลบหนีที่ อ.สังขละบุรี ขณะนี้เหลือเพียงมีไม่กี่ร้อยคน คาดว่า จะทยอยส่งกลับทั้งหมดภายในวันที่ 11 พ.ย.นี้

    “ส่วนสถานการณ์ที่ อ.สังขละบุรี จ.กาญจนบุรี เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา พบว่า ฝั่งพม่ายังมีเสียงการสู้รบกันอยู่ห่างจากชายแดนประมาณ 10 กิโลเมตร แต่ยังไม่ได้ส่งผลกระทบต่อประชาชนที่อยู่ตามแนวชายแดนแต่อย่างใด เพราะไม่มีอาวุธหนักยิงเข้ามาในฝั่งไทย โดยทาง พล.ต.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รองแม่ทัพภาคที่ 1 ได้ลงไปเตรียมพร้อมดูแลความสงบเรียบร้อยที่กองบังคับการทางยุทธวิธีส่วนหน้า ที่อ.สังขละบุรีแล้ว ส่วนกำลังทหารที่อ.สังขละบุรี ยังเฝ้าระวังตลอด 24 ชั่วโมง”รองโฆษกทบ.กล่าว




    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD><CENTER>ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์เดลินิวส์
    [​IMG]</CENTER></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  7. วรเดช

    วรเดช เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    1,753
    ค่าพลัง:
    +6,146
    <TABLE border=5 borderColor=#728dac cellPadding=0 width=725 bgColor=#e2e2e2 align=center><TBODY><TR><TD bgColor=#ecfae0>"ใต้"ยังมีฝนฟ้าคะนองกระจาย กทม.หมอกบางในตอนเช้า-ฝนเล็กน้อย</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE border=5 borderColor=#728dac cellPadding=0 width=725 align=center><TBODY><TR><TD bgColor=#ffffff><TABLE class=A14 border=0 cellSpacing=0 cellPadding=3 width="100%" align=center><TBODY><TR bgColor=#cccccc><TD vAlign=center> </TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE border=0 cellSpacing=2 cellPadding=2 width="95%"><TBODY><TR><TD vAlign=top><TABLE border=0 cellSpacing=2 cellPadding=2 bgColor=#f5f5f5 align=center><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD align=middle></TD></TR></TBODY></TABLE>
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE border=0 cellSpacing=2 cellPadding=2 width="95%"><TBODY><TR><TD vAlign=top>ลักษณะอากาศทั่วไปเมื่อเวลา 04:00 น. ประจำวันที่ 12 พฤศจิกายน 2553

    บริเวณความกดอากาศสูงที่ปกคลุมประเทศไทยตอนบนมีกำลังอ่อนลง แต่ยังคงทำให้บริเวณดังกล่าวมีอากาศหนาวเย็นกับมีหมอกในตอนเช้า สำหรับมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดปกคลุมภาคใต้และอ่าวไทย มีกำลังอ่อนลงและร่องมรสุมกำลังอ่อนพาดผ่านทะเลอันดามัน ภาคใต้ตอนล่าง และอ่าวไทยตอนล่าง ลักษณะเช่นนี้ทำให้ภาคใต้มีฝนลดลงในระยะนี้ ส่วนคลื่นลมในทะเลอันดามันและอ่าวไทยมีกำลังอ่อนลงด้วย

    พยากรณ์อากาศสำหรับประเทศไทยตั้งแต่เวลา 06:00 วันนี้ ถึง 06:00 วันพรุ่งนี้.


    ภาคเหนือ มีหมอกในตอนเช้ากับอากาศหนาวทางตอนบนของภาค อุณหภูมิต่ำสุด 14-15 องศา ส่วนทางตอนล่างของภาคอากาศเย็น อุณหภูมิต่ำสุด 16-22 องศา
    สำหรับบริเวณยอดดอยอากาศหนาว อุณหภูมิต่ำสุด 8-14 องศา
    ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 10-30 กม./ชม.

    ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ อากาศเย็น กับมีหมอกในตอนเช้า โดยมีฝนเล็กน้อยเป็นแห่งๆ ร้อยละ 20 ของพื้นที่ อุณหภูมิต่ำสุด 19-23 องศา
    สำหรับบริเวณยอดภู อากาศหนาว อุณหภูมิต่ำสุด 12-15 องศา
    ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 15-30 กม./ชม.

    ภาคกลาง อากาศเย็น กับมีหมอกในตอนเช้า โดยมีฝนเล็กน้อยบางแห่ง ร้อยละ 10 ของพื้นที่ส่วนมากบริเวณจังหวัดกาญจนบุรี และราชบุรี อุณหภูมิต่ำสุด 22-23 องศา
    สำหรับบริเวณเทือกเขา อากาศหนาว อุณหภูมิต่ำสุด 12-15 องศา
    ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 15-30 กม./ชม.

    ภาคตะวันออก มีหมอกบางในตอนเช้า และมีฝนเล็กน้อยเป็นแห่งๆ ร้อยละ 30 ของพื้นที่ส่วนมากบริเวณจังหวัดชลบุรี ระยอง จันทบุรี และตราด
    อุณหภูมิต่ำสุด 24-25 องศา สำหรับบริเวณเทือกเขา
    อากาศเย็น อุณหภูมิต่ำสุด 16-19 องศา
    ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 15-35 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูง 1-2 เมตร

    ภาคใต้ (ฝั่งตะวันออก) มีฝนฟ้าคะนองกระจาย ร้อยละ 40 ของพื้นที่ส่วนมากบริเวณจังหวัด
    ชุมพร สงขลา ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส
    อุณหภูมิต่ำสุด 23 องศา สูงสุด 30 องศา
    ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 15-35 กม./ชม.
    ทะเลมีคลื่นสูง 1-2 เมตร

    ภาคใต้ (ฝั่งตะวันตก) มีฝนฟ้าคะนองกระจาย ร้อยละ 60 ของพื้นที่ส่วนมากบริเวณจังหวัด
    พังงา ตรัง และสตูล
    อุณหภูมิต่ำสุด 23 องศา สูงสุด 32 องศา
    ลมแปรปรวน ความเร็ว 15-35 กม./ชม.
    ทะเลมีคลื่นสูง 1-2 เมตร

    กรุงเทพมหานครและปริมณฑล มีหมอกบางในตอนเช้า และมีฝนเล็กน้อยบางแห่ง ร้อยละ 10 ของพื้นที่
    อุณหภูมิต่ำสุด 24-25 องศา
    ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 15-30 กม./ชม.


    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD><CENTER>ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์มติชน
    [​IMG]</CENTER></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE border=5 borderColor=#728dac cellPadding=0 width=725 bgColor=#e2e2e2 align=center><TBODY><TR><TD bgColor=#ecfae0>ภาคเหนือหนัก-หนาวกระหน่ำ</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE border=5 borderColor=#728dac cellPadding=0 width=725 align=center><TBODY><TR><TD bgColor=#ffffff><TABLE class=A14 border=0 cellSpacing=0 cellPadding=3 width="100%" align=center><TBODY><TR bgColor=#cccccc><TD vAlign=center> </TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE border=0 cellSpacing=2 cellPadding=2 width="95%"><TBODY><TR><TD vAlign=top>เมื่อวันที่ 11 พ.ย. ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร มีวาระกระทู้ถามสด

    เรื่องความชัดเจนในมาตรการฟื้นฟูเยียวยาผู้ประสบภัยพิบัติจากธรรมชาติ และกลไกการบริหารงาน ของคณะกรรมการศูนย์ช่วยเหลือเยียวยาผู้ประสบอุทกภัย (คชอ.) ของน.ส.ผ่องศรี ธาราภูมิ ส.ส.ลพบุรี พรรคประชาธิปัตย์ ถามนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ว่า ขณะนี้รัฐบาลมีนโยบายออกมาหลายเรื่อง แต่ความเดือดร้อนที่เกิดขึ้นมีหลายระดับ ในทางปฏิบัติเจ้าหน้าที่ยังสับสนและไม่แน่ใจว่าต้องปฏิบัติหน้าที่อย่างไร

    นายอภิสิทธิ์ชี้แจงว่า การเยียวยาเบื้องต้น 5,000 บาท มีหลักเกณฑ์ออกไปแล้ว แต่รัฐบาลตระหนักดีว่ามีหลายพื้นที่ที่มีความเดือดร้อนแตกต่างกัน

    โดยรัฐบาลจะให้ความยืดหยุ่นและปรับหลักเกณฑ์ เพื่อช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนจริง กรณีภาคใต้ที่ความเสียหายไม่ได้เกิดจากน้ำท่วมแต่เกิดจากพายุ หรือบางพื้นที่ไม่ได้ถูกน้ำท่วมแต่ถูกตัดขาดทำให้การดำรงชีวิตไม่ปกติ ในส่วนนี้รัฐบาลจะยืดหยุ่นการให้ความช่วยเหลือเพื่อให้ประชาชนได้รับอย่างทั่วถึง รวมทั้งเกณฑ์ความช่วยเหลือร้อยละ 55 ของต้นทุนทั้งเรื่องข้าว สวนยาง และการประมง ก็จะยืดหยุ่นเพื่อช่วยเหลือผู้ได้รับความเดือดร้อนให้ได้จริง

    นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีว่าที่ร.ต.ไพโรจน์ สุวรรณฉวี แกนนำพรรคเพื่อแผ่นดิน

    ระบุข่าวการหักหัวคิวเงินช่วยเหลือชาวบ้าน 5,000 บาท โดยจ่ายเพียง 4,470 บาท นายสาทิตย์กล่าวว่า กำลังตรวจสอบเรื่องนี้อยู่ ตนก็งงว่าเกิดขึ้นตรงไหน ต้องเรียนว่าจะมียอดคลุมอยู่ที่ 632,000 บาท ซึ่งเป็นส่วนของ 38 จังหวัดแรก ยังไม่รวมภาคใต้ ส่วน 12 จังหวัดหลังนั้นตอนนี้กำลังสำรวจ โดยวันที่ 15 พ.ย.นี้ คชอ.จะประชุมวิดีโอคอนเฟอเรนซ์กับ ผวจ. 12 จังหวัดดังกล่าว

    นายสาทิตย์ กล่าวว่า การส่งรายชื่อผู้มีสิทธิ์ตั้งแต่ต้นนั้นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นร่วมกับกำนันผู้ใหญ่บ้านร่วมกับชุมชนเป็นผู้ส่งรายชื่อมาแล้ว เขาต้องเซ็นชื่อรับรอง นายอำเภอเซ็นรับรองเป็นรอบที่ 2 ผู้ว่าฯ เซ็นเป็นคนที่สาม ปภ.เป็นคนที่สี่ และส่ง ธ.ออมสินเป็นคนจ่ายเงิน ดังนั้น หากจะหักหัวคิวต้องไปทำรายชื่อปลอมมาตั้งแต่ต้น

    "ตอนนี้เป็นเพียงข่าว ไม่สามารถระบุได้ว่าจุดไหน แต่คนที่รับเงินไปแล้วขณะนี้หลายหมื่นคนไม่มีปัญหา ที่สำคัญเงินสด 5,000 บาทชาวบ้านต้องได้รับ ดังนั้น หากได้ต่ำกว่าชาวบ้านคงไม่ยอม ผมยินดีที่จะโทรศัพท์ถามข้อมูลจากว่าที่ร.ต.ไพโรจน์ เพราะได้ยินแต่ข่าว ไม่ทราบว่าที่ไหน" นายสาทิตย์กล่าว

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE border=0 cellSpacing=2 cellPadding=2 width="95%"><TBODY><TR><TD vAlign=top><TABLE border=0 cellSpacing=2 cellPadding=2 bgColor=#f5f5f5 align=center><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD align=middle></TD></TR></TBODY></TABLE>
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE border=0 cellSpacing=2 cellPadding=2 width="95%"><TBODY><TR><TD vAlign=top>ขณะที่สถานการณ์อากาศหนาวทางภาคเหนือ ที่จ.น่าน นายเสนีย์ จิตตเกษม ผวจ.น่าน ประกาศให้ 15 อำเภอในจังหวัดเป็นพื้นที่ประสบภัยพิบัติหนาว

    โดยขอยกเว้นระเบียบแม้อุณหภูมิในพื้นที่ราบจะไม่ถึง 15 องศา นานติดต่อกัน 3 วัน เนื่องจากพื้นที่ จ.น่าน ส่วนใหญ่เป็นป่าเขา มีอุณหภูมิต่ำกว่าอยู่แล้ว จึงใช้การคาดการณ์ของกรมอุตุนิยมวิทยาที่คาดหมายลักษณะอากาศในรอบ 7 วันที่จะมีอุณหภูมิต่ำแทน เพื่อเร่งช่วยเหลือราษฎรที่ได้รับความเดือดร้อน

    ที่ จ.เชียงราย นายสมชัย หทยะตันติ ผวจ.เชียงราย กล่าวว่า พื้นที่เชียงรายมีผู้ประสบภัยหนาวทั้งสิ้น 309,595 คน และมีความต้องการเครื่องกันหนาวรวมกันทั้งสิ้น 323,202 ชิ้น

    ดังนั้น ทางจังหวัดจึงได้จัดตั้งศูนย์รับบริจาคช่วยเหลือผู้ประสบภัยหนาวที่ศาลากลางจังหวัด รับบริจาคอยู่อย่างต่อเนื่อง ส่วนที่อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ อ.จอมทอง จ.เชียงใหม่ นักท่องเที่ยวจำนวนมากเดินทางขึ้นเที่ยวยอดดอยอย่างไม่ขาดสายเพื่อชมน้ำค้างแข็งหรือแม่คะนิ้ง น.ส.สิริมา พรประสิทธิ์ อายุ 51 ปี กล่าวว่า ทุกปีจะเดินทางมาเที่ยวดอยอินทนนท์ ปีนี้ทางกรมอุตุนิยมวิทยาแจ้งว่าอากาศจะหนาวเร็วและหนาวกว่าทุกปี เชื่อว่าจะพบแม่คะนิ้งแน่นอน ก็มีให้เห็นบ้างถือว่ายังมีน้อยอยู่

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD><CENTER>ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์ข่าวสด
    [​IMG]</CENTER></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE border=5 borderColor=#728dac cellPadding=0 width=725 bgColor=#e2e2e2 align=center><TBODY><TR><TD bgColor=#ecfae0>เตือนดินถล่มชุมพร-ยันไร้สึนามิ</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE border=5 borderColor=#728dac cellPadding=0 width=725 align=center><TBODY><TR><TD bgColor=#ffffff><TABLE class=A14 border=0 cellSpacing=0 cellPadding=3 width="100%" align=center><TBODY><TR bgColor=#cccccc><TD vAlign=center> </TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE border=0 cellSpacing=2 cellPadding=2 width="95%"><TBODY><TR><TD vAlign=top><TABLE border=0 cellSpacing=2 cellPadding=2 bgColor=#f5f5f5 align=center><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD align=middle></TD></TR></TBODY></TABLE>
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE border=0 cellSpacing=2 cellPadding=2 width="95%"><TBODY><TR><TD vAlign=top>นายพินิจ พิชยกัลป์ กรรมการและรองเลขาธิการมูลนิธิสวนสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี นางศศิธร สุวรรณมณี วัฒนธรรมจังหวัดชุมพร

    นายจักรพงศ์ เปี่ยมเมตตา นายอำเภอหลังสวน จ.ชุมพร ตรวจสอบบริเวณสวนสมเด็จย่าที่ได้รับความเสียหายจากน้ำท่วมเมื่อต้นเดือนพฤศจิกายน กระแสน้ำพัดศาลาที่พัก ศาลาปฏิบัติธรรม ต้นไม้ สนามหญ้าเสียหายเป็นหลุมลึกประมาณ 5 เมตร ส่วนระบบไฟฟ้าส่องสว่างไม่สามารถใช้การได้


    นายธีระวัฒน์ ธีรรัฐพล ผู้อำนวยการสถานีอุตุนิยมวิทยาจังหวัดชุมพร กล่าวว่า ใน อ.พะโต๊ะ ยังมีฝนตกหนักในช่วง 2 วันที่ผ่านมา

    ผู้ว่าราชการจังหวัดชุมพรสั่งให้เฝ้าระวังดินถล่มอย่างใกล้ชิด หากเห็นว่าสถานการณ์ไม่ดีให้รีบอพยพราษฎรออกจากพื้นที่ทันที หลังวันที่ 14 พฤศจิกายน หย่อมความกดอากาศสูงระลอกใหม่จะเริ่มแผ่ลงมาปกคลุมประเทศไทยอีกครั้ง จะส่งผลให้ชุมพรมีฝนเพิ่มมากขึ้น คลื่นลมในทะเลจะมีกำลังแรงขึ้นอีกตั้งแต่วันที่ 15 พฤศจิกายนเป็นต้นไป แต่อย่าเชื่อข่าวลือเกี่ยวกับคลื่นสึนามิ ยืนยันว่ายังไม่มีข้อบ่งชี้ใดๆ ว่าจะเกิดสึนามิหรือพายุในอ่าวไทย จึงจัดรายการจับตาพยากรณ์ เพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องแก่ประชาชน เนื่องจากมีคนโทรศัพท์มาสอบถามเรื่องพายุและคลื่นสึนามิแต่ละวันจำนวนมาก


    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD><CENTER>ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์มติชน
    [​IMG]</CENTER></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  8. วรเดช

    วรเดช เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    1,753
    ค่าพลัง:
    +6,146
    [​IMG]

    12 พ.ย. 53 รายงานข่าวแจ้งว่า เหตุการณ์สุดระทึกครั้งนี้เกิดขึ้นที่บ้านหลังหนึ่งในอ.ไชยา เนื่องจากบ้านถูกดินถล่มทับไปกว่าครึ่งหลัง โดยนางอาภรณ์ สยมพร อายุ 38 ปี เจ้าของบ้านได้เล่าเหตุการณ์ด้วยอาการตื่นตระหนก ว่า

    ขณะเกิดเหตุฝนได้ตกอย่างหนัก ทำให้ดินที่หลังบ้านที่เป็นภูเขาสูงชันได้ถล่มลงทับตัวบ้าน และทับ ด.ญ.กัญญารัตน์ สยมพร อายุ 11 ปี บุตรสาว แต่โชคดีดินทับมาถึงแค่คอ ตนกับชาวบ้านที่เห็นเหตุการณ์ต้องใช้เวลานานกว่า 1ชั่วโมงช่วยกันขุดดินออก จึงสามารถช่วยชีวิตออกมาได้อย่างปาฏิหาริย์ โดยลูกสาวได้รับบาดเจ็บที่บริเวณขาทั้ง 2ข้าง
    ทั้งนี้ในหลายพื้นที่ของจ.สุราษฎร์ธานี ถูกฝนถล่มอย่างหนัก จนเป็นเหตุให้เกิดน้ำป่าจากเขาติดเขตอุทยานแห่งชาติแก่งกรุงได้ไหละลักเข้าทำลายกัดเซาะถนนจนมีดินถล่มหลายตำบลในอ.ไชยา
    เบื้องต้นนายมนตรี เพชรขุ้ม นายก อบจ.สุราษฎร์ธานี ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ส่งเครื่องจักรกลหนัก และประกาศรับอาสาสมัครที่มีรถยนต์ขับเคลื่อน 4 ล้อ เพื่อเข้าเปิดเส้นทางไปช่วยเหลือผู้ประสบภัยเป็นการด่วน
    เรียบเรียงข่าวโดย Mthai News
    <LI class=news_src_item>[​IMG]<LI class=news_src_item>[​IMG]
    Mthainews : ภาพเหตุการณ์ที่ ภูเขาไฟเมราปี ภูเขาไฟที่ใหญ่ที่สุดของอินโดนีเซียปะทุและระเบิดรุนแรงหลายครั้ง โดยได้พ่นเถ้าถ่านร้อนจากปากปล่อง ทำให้หินและเถ้าถ่าน ตกลงมาใส่พื้นที่อยู่อาศัยของชาวบ้าน

    นอกจากนี้ กลุ่มควันสีขาวพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าสูงกว่า 6,000 เมตร และการระเบิดครั้งล่าสุดยังพ่นลาวาและเถ้าถ่านไหลลงมาตามลาดเขาเป็นระยะทางกว่ากิโลเมตร หลอมละลายทุกอย่างที่ขวางหน้าด้วยอุณหภูมิที่ร้อนจัด
    ขณะเดียวกัน เมื่อภูเขาไฟปะทุหรือระเบิด จะทำให้เกิดแรงสั่นสะเทือนคล้ายแผ่นดินไหว พร้อมทั้งมีสภาพอากาศที่แปรปรวน อาทิ ฝนฟ้าคะนอง หิมะตก ลมแรงเหมือนพายุเข้า
    ทั้งนี้ สำหรับผลกระทบจากเหตุภูเขาไฟเมราปีปะทุและระเบิด ทำให้มียอดผู้เสียชีวิตเถึง 153 คนแล้ว ได้รับบาดเจ็บประมาณ 500 ราย โดยเถ้าถ่านยังสร้างความเสียหายกับบ้านเรือน ไร่นา และสัตว์เลี้ยงอีกเป็นจำนวนมาก รวมทั้งยังส่งผลต่อการบินของภูมิภาค ซึ่ง อินโดนีเซีย สิงค์โปร์ และมาเลเซีย ต้องงดหรือเลื่อนสายการบินเป็นจำนวนมาก เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบจากหมอกควันที่ส่งผลกับการบินของเครื่องบิน
    โดย Mthai news
    [​IMG][​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]

    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG][​IMG]

    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]

    [​IMG]
    ขอบคุณภาพประกอบจากรอยเตอร์

    <LI class=news_src_item>[​IMG]
     
  9. พลอยรุ้ง

    พลอยรุ้ง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    467
    ค่าพลัง:
    +2,088
    <TABLE class=contentpaneopen><TBODY><TR><TD class=contentheading width="100%"></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE class=contentpaneopen><TBODY><TR><TD vAlign=top>ฟันธง'สึนามิ'หวนคืน!! ไทยเกิดแน่หลัง20พ.ย. 'โหรคมช.'ตั้งจิต'รวมสี' 'ข่วงเจ้าฯ'เสร็จปท.สงบ

    [​IMG]

    "โหรคมช."จัดงานทำบุญมหากุศลประจำปีที่เชียงใหม่ อดีตคมช.-นายทหาร ตบเท้าร่วมงานเพียบ เตือนประเทศไทยเกิดสึนามิหลัง 20 พ.ย.นี้แน่ ฟันธงหากงานสร้างข่วงพระเจ้าล้านนาเสร็จ ประเทศจะสงบ

    วันที่ 7 พ.ย.2553 ที่บริเวณวิหารหลวงปู่เกวาลัน หมู่บ้านสุขิโต ถ.วงแหวนหน้าศาลากลาง ต.ป่าตัน อ.เมือง จ.เชียงใหม่ อาจารย์วารินทร์ บัววิรัตน์เลิศ โหร คมช.ได้จัดงานทำบุญมหากุศล ครั้งที่ 8 ประจำปี 2553 ในงานมีงานบุญทอดกฐิน ผ้าป่ากองเงิน กองทอง กองเพชร สมทบทุนสร้างข่วงพระเจ้าล้านนา พร้อมทั้งถวายชุดสังฆทานและเครื่องไทยทานต่างๆรวมถึงไถ่ชีวิตโค กระบือ และมอบทุนสาธารณประโยชน์ โดยมีบรรดาลูกศิษย์ทั้งข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ทหาร ตำรวจทั้งในอดีตและปัจจุบัน เข้ามาร่วมในงานทำบุญครั้งนี้ร่วม 1 พันคน โดยมี พล.อ.อ.ชลิต พุกผาสุข อดีตผู้บัญชาการทหารอากาศ เป็นประธานในพิธี

    โดยก่อนที่พิธีทางสงฆ์จะเริ่มขึ้น อาจารย์วารินทร์ได้เปิดตัวหนังสือนิมิต 3 เรื่องเล่า ฉบับอาจารย์วารินทร์ โดยเป็นหนังสือการทำนายของอาจารย์วารินทร์ที่ได้ใช้นิมิตในการทำนายบนพื้นฐานของบุญ-กรรมเป็นหลัก โดยอาจารย์วารินทร์ได้กล่าวถึงการทำนายจากนิมิตที่ผ่านมาในทุกๆเรื่องตรงกับนิมิตทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องนิมิตจากดวงจิตที่เคยทำนายบุคคลทั้ง 4 คนจะได้ขึ้นดำรงตำแหน่ง ผบ.ทบ.คือ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุรรณ ,พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ,พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา และล่าสุด พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ซึ่งทั้ง 4 คนก็ได้ขึ้นเป็น ผบ.ทบ.ดังคำทำนาย

    ทั้งนี้ โหร คมช.ได้ตั้งจิตอธิษฐานถึงความต้องการที่จะรวมสีต่างๆให้เป็นสีธงชาติเท่านั้นเพื่อความสงบสุขของบ้านเมือง พร้อมกับได้กล่าวว่าหลังจากที่ได้สร้างข่วงพระเจ้าล้านนาเสร็จสมบูรณ์แล้วบ้านเมืองก็จะผ่อนคลายลงและเข้าสู่ความสงบร่มเย็นและสงบสุข

    ขณะที่บรรดาลูกศิษย์ ที่มาร่วมงานต่างก็ถามถึงเรื่องที่ทางอาจารย์วารินทร์ ได้เห็นจากนิมิตว่าจะเกิดคลื่นยักษ์สินามิขึ้นในประเทศไทยอีกครั้งว่าจะเป็นจริงหรือไม่ โดยอาจารย์วารินทร์ ได้กล่าวว่าภัยอันตรายทางธรรมชาติ ที่เกิดขึ้นเมื่อ 5 ปีที่ผ่านมา กำลังจะกลับคืนมาอีกครั้งหนึ่ง โดยตนได้เคยกล่าวมาเมื่อ 2-3 ปีที่แล้วว่าประเทศเราจะประสบอุทกภัยที่รุนแรง โดยในครั้งนี้ ทางหลวงปู่เกวลัน บอกว่าเป็นแค่เพียงการชิมลางเท่านั้น ส่วนภัยที่แท้จริงกำลังจะตามมาในช่วงหลังวันที่ 20 ของเดือนนี้เป็นต้นไป ซึ่งจะเรียกว่าภัยสึนามิครั้งรุนแรง เพราะในขณะนี้เริ่มเปิดตัวไปแล้วที่เกาะสุมาตรา เมื่อไม่นานมานี้และเมื่ออาทิตย์กว่าๆที่ฟิลิปปินส์

    "โดยในครั้งนี้ตนได้ถามหลวงปู่ฯว่าจะเกิดขึ้นที่ฝั่งอันดามันหรือว่าอ่าวไทย ซึ่งท่านบอกว่าสามารถเกิดได้ทั้งสองด้านในด้ามขวานทองของเรา ซึ่งภัยตัวนี้ถือว่าเป็นภัยที่มนุษย์สร้างขึ้น แต่อานิสงส์ตัวนี้ที่ทางพวกเราจะช่วยกันได้ก็ต้องช่วยกันตั้งจิตอธิษฐานในวันนี้ แต่ก็ไม่สามารถจะช่วยได้ทั้งหมด เพียงแค่คลายกรรมเท่านั้น และทางหลวงปู่ฯยังได้ขอให้บอกกล่าวแก่ทุกคนว่าอย่าประมาท ตรงไหนที่ไม่จำเป็นก็อย่าได้ไป เรื่องนี้หลังจากได้สัมภาษณ์ผ่านสื่อฉบับหนึ่งนำไปเผยแพร่ ซึ่งก็ไปตรงกับทางนายสมิทธ ธรรมสโรช อดีตอธิบดีกรมอุตุนิยมวิทยา ที่ว่าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นแน่ ทั้งนี้ให้ทุกคนหาทางป้องกัน แต่ทางด้านหลวงปู่ฯบอกว่าวิธีแก้ไข คือบุญเท่านั้นที่จะสามารถผ่อนคลายเหมือนที่ผ่านมา วันที่จะปรากฏอิทธิฤทธิ์แพ้บุญ บุญแพ้กรรม เพราะกรรมเป็นตัวกำหนด กรรมจะเบาลงหากมีการขออโหสิกรรม สิ่งนี้จะปรากฏขึ้นอย่างแท้จริง จึงขอให้พวกเราตั้งจิตอธิษฐานในครั้งนี้" โหรคมช. กล่าว

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  10. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,193
    เกิดแผ่นดินไหวในอินโดฯ วัดได้ 6.1 ริกเตอร์

    [​IMG]

    อินโดนีเซีย 12 พ.ย. - เกิดแผ่นดินไหวในอินโดนีเซีย วัดแรงสั่นสะเทือนได้ 6.1 ริกเตอร์

    เมื่อสักครู่ที่ผ่านมา มีรายงานว่า ได้เกิดเหตุแผ่นดินไหวรุนแรงในหมู่เกาะมาลุกุ ทางตะวันออกของอินโดนีเซีย วัดแรงสั่นสะเทือนได้ 6.1 ริกเตอร์ แต่ยังไม่มีการประกาศเตือนภัยคลื่นยักษ์สึนามิ และยังไม่มีรายงานว่า ก่อให้เกิดความเสียหายใด ๆ

    ทั้งนี้ อินโดนีเซีย เป็นประเทศที่ตั้งอยู่บนพื้นที่ที่เรียกว่า “วงแหวนภูเขาไฟ” จึงมักเกิดแผ่นดินไหวขึ้นบ่อยครั้ง เนื่องจากแผ่นเปลือกโลกเคลื่อนตัว .-สำนักข่าวไทย

    วันศุกร์ ที่ 12 พ.ย. 2553

    เกิดแผ่นดินไหวที่ปาปัวนิวกินี วัดได้ 5.8 ริกเตอร์

    [​IMG]

    ซิดนีย์ 12 พ.ย. - ศูนย์สำรวจธรณีวิทยาสหรัฐ รายงานว่า เกิดแผ่นดินไหวขนาด 5.8 ริกเตอร์ที่ปาปัวนิวกินีในเช้าวันนี้ แต่ยังไม่มีประกาศเตือนภัยคลื่นยักษ์สึนามิ

    แผ่นดินไหวดังกล่าวเกิดขึ้นที่เกาะบูเกนวิลล์ซึ่งลึกลงไปใต้ดิน 56 กิโลเมตร โดยมีศูนย์กลางอยู่ห่างไปทางตะวันตกของเมืองอราวา ราว 95 กิโลเมตร เมื่อเวลาประมาณ 06.30 น.ตามเวลาท้องถิ่น หรือเวลา 03.30 น.เช้าวันนี้ตามเวลาในไทย.-สำนักข่าวไทย

    วันศุกร์ ที่ 12 พ.ย. 2553

    น้ำท่วมในศรีลังกาลดระดับและมีผู้เสียชีวิตทั้งหมด 2 คน

    [​IMG]

    โคลัมโบ 12 พ.ย. - เจ้าหน้าที่ศรีลังกากล่าวว่า ประชาชนหลายพันคนในกรุงโคลัมโบนครหลวงของศรีลังกาย้ายออกจากที่พักชั่วคราวแล้ว ขณะที่น้ำท่วมเริ่มลดลง แต่มีชายคนหนึ่งจมน้ำเสียชีวิตวันนี้ ทำให้จำนวนผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นเป็น 2 คน

    ชายคนล่าสุดเสียชีวิตเพราะเรือพลิกคว่ำในแม่น้ำที่เอ่อล้นใกล้กรุงโคลัมโบ ซึ่งเกิดฝนตกหนักมากที่สุดในรอบ 18 ปีวานนี้ เจ้าหน้าที่จัดการภัยพิบัติของศรีลังกากล่าวว่า ประชาชนเกือบ 300,000 คน ต้องอพยพออกจากบ้านเรือน แต่มีหลายพันคนได้ออกจากที่พักชั่วคราว 16 แห่งที่ทางการจัดไว้ให้แล้ว ขณะที่อาคารรัฐสภาที่ตั้งอยู่บนเกาะกลางทะเลสาบถูกน้ำท่วมเช่นกัน ทำให้ประธานรัฐสภาต้องนั่งเรือตรวจอาคารวานนี้

    รัฐมนตรีกระทรวงชลประทาน กล่าวว่า น้ำท่วมเกิดจากการสูญเสียแอ่งน้ำต่าง ๆ ในกรุงโคลัมโบที่ทำหน้าที่เป็นแหล่งรองรับน้ำเมื่อฝนตก แอ่งน้ำส่วนใหญ่ถูกระบายออกเพื่อใช้สำหรับพัฒนาเป็นพื้นที่อยู่อาศัย รัฐบาลได้ส่งเจ้าหน้าที่ทหารบก ทหารเรือ และทหารอากาศ เข้าช่วยเหลือและบรรเทาทุกข์หลังน้ำท่วมหนักในพื้นที่ส่วนใหญ่ของเมืองหลวงที่มีประชากรอยู่อาศัยมากกว่า 600,000 คน -สำนักข่าวไทย

    วันศุกร์ ที่ 12 พ.ย. 2553

    ที่มา http://www.mcot.net
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  11. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,193
    ร้อยเอ็ด-น้ำท่วมหนัก อ.จังหาร

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    น้ำชีจำนวนมหาศาลจากจังหวัดมหาสารคามล้นตลิ่งไหลบ่าเข้าท่วมหมู่บ้านใน อ.จังหาร อย่างต่อเนื่อง ระดับน้ำสูง 1-2 เมตร นาข้าวจมน้ำกว่าพันไร่ จากนี้จะไหลบ่าไปที่ จ.ยโสธร ทางจังหวัดเตรียมป้องกันหนาแน่นและแจ้งให้ประชาชนเตรียมรับมือ

    วันนี้ (12 พ.ย.53) น้ำชีจำนวนมหาศาลจากจังหวัดมหาสารคาม ไหลบ่าเข้าท่วมบ้านเรือนประชาชน วัด โรงสีข้าวประจำหมู่บ้าน และนาข้าว บ้านเลิงคา หมู่ 8 และหมู่ 12 ต.ดินดำ อ.จังหาร อย่างต่อเนื่อง นาข้าวจมน้ำ กว่า 1,000 ไร่ ชาวบ้านต้องช่วยกันเก็บเกี่ยวข้าวหนีน้ำจ้าระหวั่น แต่ได้เพียงบางส่วน เนื่องจากระดับน้ำสูงขึ้นตลอดเวลา นอกจากนี้มีวัดพระศรีศากยประชาบำรุง ศาลาการเปรียญ กุฎิสงฆ์ ห้องน้ำห้องส้วม น้ำไหลบ่าเข้าท่วมและเพิ่มปริมาณสูงขึ้นตลอดเวลา พระจำนวน 5 องค์ ต้องลุยน้ำบิณฑบาต ส่วนญาติโยมต้องลุยน้ำเข้าไปถวายภัตตาหาร

    นอกจากนี้ยังมีวัดบ้านเลิงคา กลางหมู่บ้านที่ถมดินสูงหนีน้ำแต่ปริมาณน้ำมามากน้ำท่วมไปครึ่งวัดแล้ว หนักสุดภายในหมู่บ้านเลิงคา หมู่ 8 และหมู่ 12 ถูกน้ำชีที่ไหลเชี่ยวไหลผ่านหมู่บ้านอย่างน่ากลัวและท่วมสูง 1-2 เมตร โดยเฉพาะท้ายบ้าน มีบ้านเรือนราษฎรถูกน้ำท่วมแล้ว หมู่ 8 และ หมู่ 12 รวมทั้งสิ้น 176 หลังคาเรือน เนื่องจากน้ำจำนวนมหาศาลทะลักเข้าหมู่บ้านทุกทิศทุกทาง ชาวบ้านต้องอพยพออกจากหมู่บ้านมาอาศัยในบริเวณโรงเรียนบ้านเลิงคาซึ่งเป็นพื้นที่ถมดินสูงกว่า 2 เมตร

    นายกำจัด หัดจรวย ผู้ใหญ่บ้านเลิงคาหมู่ 8 และ นายสมัคร ฤทธิ์มนตรี ผู้ใหญ่บ้านเลิงคา หมู่ 12 กล่าวว่า ขณะนี้น้ำท่วมบ้านเลิงคาทั้ง 2 หมู่บ้านแล้ว 176 หลังคาเรือน ระดับน้ำสูง 1-2 เมตร วันนี้ระดับน้ำสูงขึ้นชั่วโมงละ 4 ซ.ม. ไร่นากว่า 1,000 ไร่จมน้ำเกี่ยวข้าวไม่ทัน วัวควายไม่มีหญ้ากิน วอนทางการที่เกี่ยวข้องส่งหญ้าแห้งและอาหารสัตว์มาช่วย คาดว่าน้ำจะท่วมนานนับเดือน ชาวบ้านเดือดร้อนเครื่องอุปโภคบริโภค น้ำดื่ม และโรคภัยไข้เจ็บเบียดเบียนแน่

    และหลังจากนี้เหลือระยะทางน้ำประมาณ 70 กิโลเมตร ปริมาณน้ำจะไหลบ่าไปที่จังหวัดยโสธร และเพื่อป็นการป้องกันน้ำชีทะลักเข้าท่วมต้นข้าวที่กำลังแก่จัด และบ้านเรือนประชาชนใน ต.ค้อเหนือ อ.เมืองยโสธร ซึ่งเป็นตำบลรอยต่อ อ.เสลภูมิ จ.ร้อยเอ็ด พ.อ.พิเศษสมชาย เพ็งกรูด ว่าที่ผู้บังคับการกรมทหารราบที่ 16 ค่ายบดินทรเดชา ได้ระดมทหารเกณฑ์กว่า 500 นาย นำกระสอบบรรจุทรายกว่า 5,000 ใบ นำขึ้นรถ ยีเอ็มซี ไปวางเสริมแนวพนังกั้นน้ำที่ริมลำชีบ้านแจ้งน้อย บ้านท่าเยี่ยม ต.ค้อเหนือ อ.เมืองยโสธร จ.ยโสธร ความยาวกว่า 3 กิโลเมตร พร้อมทั้งประชุมชาวบ้านจัดเวรยามเฝ้าระดับน้ำตลอด 24 ชั่วโมง พร้อมทั้งเตรียมข้าวของสัตว์เลี้ยง เด็กเล็กคนชราพร้อมอพยพทันทีหากระดับน้ำสูงขึ้นในขั้นอันตราย

    พร้อมกันนี้ พ.อ.พิเศษสมชาย เพ็งกรูด ยังได้ประสานให้เกษตรกรกลุ่มเลี้ยงปลาในกระชัง ในเขตลุ่มน้ำชีช่วงตั้งแต่ ต.ค้อเหนือ ต.เขื่องคำ ต.ขุมเงิน อ.เมืองยโสธร กว่า 100 ราย ให้จับปลาขนาดโตจำหน่าย และขอให้เกษตรกรงดนำปลาเล็กที่มีภูมิต้านทานน้อยลงเลี้ยง ในช่วงระยะนี้เป็นการชั่วคราว เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาขาดทุนจากปลาอาจจะตายได้ เพราะน้ำที่ไหลมาในลำน้ำชีอาจจะฉะล้างเอาสารเคมีมาด้วย

    ข่าวทีวีช่อง 3 วันศุกร์ ที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

    ที่มา http://www.krobkruakao.com
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  12. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,193
    สภาวะแวดล้อมในปัจจุบัน
    กับภัยพิบัติทางธรรมชาติและสุขภาพ
    โดย พระอาจารย์รัตน์ รตนญาโณ

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    มนุษย์ทุกเชื้อชาติ ทุกภาษา ได้ร่วมกันทำลาย “บ้าน” ของตน คือ “ดาวโลก” อย่างถาวรต่อเนื่องจนอาจกล่าวได้ว่า “บ้าน” หลังนี้ที่มีหลังคาบ้านที่เต็มไปด้วยรอยรั่ว รอยโหว่ จนไม่สามารถที่จะกันแดด กันฝน กันลม ได้อย่างมีประสิทธิภาพเหมือนกับบ้านเมื่อสร้างครั้งแรก หรือถ้าจะเปรียบ “ดาวโลก” เหมือนมนุษย์สักคนหนึ่ง จะเห็นได้ชัดว่าเป็นคนพิการ มีร่างกายไม่สมประกอบ คือ หัวโต ขาลีบ

    พฤติกรรมที่มนุษย์ทุกคนมีส่วนร่วมในการช่วยทำลาย “ดาวโลก” ทุกวัน จะโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม คือการใช้น้ำมันและการก่อให้เกิดสารเคมีสังเคราะห์ (สาร CFC)

    การใช้น้ำมัน มนุษย์ได้ขุดเจาะลงไปใต้พื้นโลก และนำน้ำมันขึ้นมาใช้ประโยช์ เพื่อเอื้อให้เกิดความสะดวกสบายในการดำรงชีวิตในทุกๆด้าน ทั้งด้านอาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย ยารักษาโรค ฯลฯ จึงเป็นสาเหตุทำให้ของเสียที่เกิดจากการเผาผลาญน้ำมันกลายเป็นควันดำลอยขึ้นไปสะสมอยู่ในชั้นบรรยากาศจนกระทั่งชั้นบรรยากาศหนักขึ้นตามลำดับ (มีศีรษะโตผิดปกติ) และการที่น้ำมันถูกขุดมาจากชั้นของหินใต้พื้นดิน ทำให้ปริมาณของเหลวใต้พื้นโลกลดลง เป็นสาเหตุที่ทำให้โลกกลวง (ขาลีบ เล็ก) ขาดความสมดุล ส่งผลกระทบทำให้การหมุนของ “ดาวโลก” ผิดปกติ คือหมุนช้าลงๆ จนบางครั้งแทบจะหยุดหมุนเอาเลยทีเดียว

    สารเคมีสังเคราะห์ หรือสาร CFC (คลอโร-ฟลูออโร-คาร์บอน/ Chloro-Fluoro-Cabon) เป็นสารเคมีที่เกิดจากโรงงานอุตสาหกรรมหลายชนิด และมีปริมาณเพิ่มมากขึ้นตามลำดับ เช่น อุตสาหกรรมผลิตน้ำยาฆ่าเชื้อ อุปกรณ์การแพทย์ อุตสาหกรรมผลิตโฟมและพลาสติกทุกชนิด อุตสาหกรรมผลิตชิ้นส่วนวงจอิเลกโทรนิค อุตสาหกรรมผลิตสารขับดันสเปรย์ต่างๆ อุตสาหกรรมผลิตสารก่อความเย็นในเครื่องปรับอากาศและตู้เย็น รวมทั้งควันเสียที่เกิดจากรถยนต์บางชนิด

    พระอาจารย์รัตน์ รตนญาโณ ได้ให้ความรู้เกี่ยวกับสาร CFC ไว้ดังนี้

    “สาร CFC เป็นสารที่มีคุณลักษณะพิเศษ คือเป็นธาตุที่เบากว่าธาตุอื่นๆ จึงมีอานุภาพสามารถทำลาย นิวเคลียสของธาตุชนิดอื่นที่หนักกว่า” ประกอบทั้งวิวัฒนาการทางวิทยาศาสตร์ในปัจจุบันนี้ ไม่ได้มุ่งค้นคว้าหาวิธีกำจัดสาร CFC ที่เกิดขึ้นแล้วให้หมดไปอย่างจริงจังเพราะมนุษย์ส่วนใหญ่มุ่งแต่จะค้นคว้าพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ เพื่อที่จะเอาชนะธรรมชาติ ดังนั้นมนุษย์ทุกคนต้องรับผลกรรมจากกการกระทำเหล่านั้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ดังวิกฤตการณ์ธรรมชาติ 4 อย่าง ที่กำลังเกิดขึ้นในปัจจุบันนี้ คือ

    1. การเกิดโอโซนโหว่ ซึ่งเกิดจากการที่บรรยากาศชั้นโอโซนในทุกทวีปทั่วโลก ถูกสาร CFC ทำลายโดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศไทยของเรา บรรยากาศชั้นโอโซนได้ถูกทำลายไปเมื่อปลายปี พ.ศ. 2542 เกิดผลกระทบโดยตรงต่อสุขภาพของมนุษย์ทุกคน เนื่องจากตามปกติแล้วบรรยากาศชั้นโอโซน มีประโยชน์ในการช่วยกรองรังสีอัลต้าไวโอเลตจากดวงอาทิตย์ ช่วยกรองของเสียจากชั้นบรรยากาศและห้วงอวกาศที่อยู่สูงขึ้นไป เป็นสิ่งที่ช่วยปิดกั้นไม่ให้ของเสียเหล่านั้นไหลมายังชั้นบรรยากาศโลกได้

    ดังนั้นเมื่อเกิดวิกฤตการณ์โอโซนโหว่ จึงทำให้ของเสียทุกชนิดดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น สามารถไหลผ่านเข้าสู่ชั้นบรรยากาศโลก และร่างกายมนุษย์ ทั้งทางผิวหนังและระบบหายใจ ทำให้เกิดโรคชนิดใหม่หลายชนิด และทำการรักษาได้ยากยิ่งตามลำดับ เพราะปรากฎการณ์ของธรรมชาติที่ผิดปกติจะเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดความหลายหลายซับซ้อนของโรคต่างๆ โดยเฉพาะโรคมะเร็ง โรคระบบทางเดินลมหายใจ โรคไต ฯลฯ

    2. การเปลี่ยนแปลงทิศทางการเคลื่อนที่ของพลังงานแม่เหล็กโลกถึง 2 ครั้งในปี พ.ศ. 2544 ซึ่งผู้เขียนจะอธิบายในเรื่องนี้พอสังเขป หากผู้อ่านอยากได้ความรู้เพิ่มเติมโดยละเอียดโปรดสอบถามได้จากพระอาจารย์รัตน์ รตนญาโณ

    “ดาวโลก” ของเรามีส่วนที่เป็นแกนกลางทอดยาวจากขั้วโลกเหนือไปยังขั้วโลกใต้ และเรียกว่า “แกนโลก” ซึ่งมีลักษณะเป็น “แกนสสาร” เป็นสิ่งที่มนุษย์รับรู้และเข้าใจได้อย่างเป็นรูปธรรมคู่กัน ดังนั้นจึงมี “แกนพลังงานโลก” วางซ้อนอยู่กับแกนสสารของโลกที่ตั้งอยู่ในแนวขั้วโลกเหนือ ขั้วโลกใต้ และเนื่องจาก “แกนพลังงานโลก” เป็นพลังงานที่ละเอียดจึงจำเป็นต้องใช้เครื่องมือที่มีความละเอียดคือ “จิต” เข้าไปศึกษา ค้นคว้าและติดตามการเปลี่ยนแปลง

    แกนพลังงานโลก มีองค์ประกอบที่สำคัญ 3 อย่าง คือ

    2.1 มโนธาตุ หมายถึงธาตุรู้ที่ถูกนำไปใช้เพื่อการเกิดเป็นมนุษย์ หรือสัตว์ มโนธาตุประกอบด้วย ธาตุเมตตา ธาตุบริสุทธิ์ และธาตุว่าง (ทารกที่ถือกำเนิดมาจากการโคลนนิ่ง / Cloning จะ ไม่มโนธาตุ เป็นองค์ประกอบสำคัญ เป็นการให้กำเนิดที่ผิดธรรมชาติ จนอาจกล่าวได้ว่า เป็นความหายนะครั้งสำคัญสำหรับมนุษยชาติ เพราะเป็นสิ่งที่ธรรมชาติยอมไม่ได้อีกต่อไป)

    2.2 ลมปราณ หรือกระแสลมปราณ หมายถึงธาตุสีเหลืองๆ ซึ่งมีแหล่งกำเนิดมาจากดวงอาทิตย์ศูนย์กลางของสุริยจักรวาล เป็นธาตุที่มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง สำหรับสิ่งมีชีวิตทุกชนิด เป็นธาตุที่เชื่อมระหว่างกายหยาบ (ร่างกาย) กับกายละเอียด (จิตวิญญาณ) ในภาวะปกติ ลมปราณหรือกระแสลมปราณจะไหลวนเวียนอยู่อย่างพอเพียง เพราะในทุกจังหวะ 1 วินาที ที่ดาวโลกถูกดึงเข้าและผลักออกจากศูนย์กลางของดวงอาทิตย์ในสุริยจักรวาล จะมีกระแสลมปราณไหลหมุนวนเข้าสู่ดาวโลกโดยอัตโนมัติ ฉะนั้นในภาวะปกติ ทุกจังหวะของการสืบลมหายใจเข้าเพื่อนำก๊าซออกซิเจนเข้าสู่หัวใจและปอด มนุษย์ทุกคนจึงได้รับกระแสลมปราณไหลเข้าสู่ร่างกายอย่างเพียงพอเช่นเดียวกัน

    2.3 พลังงานแม่เหล็กโลก พลังงานแม่เหล็กโลกมีแหล่งกำเนิดมาจากดวงอาทิตย์ดวงแม่ ซึ่งเป็นศูนย์กลางของกาแลคซี่ทางช้างเผือกและมีอิทธิพลส่งแรงดึงมายังสุริยจักรวาลที่มีดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลางอีกทอดหนึ่ง พลังงานแม่เหล็กโลกมีคุณสมบัติพิเศษ คือเป็นพลังงานที่มีอานุภาพทำให้เกิดการย่อยสลายทำลายโมเลกุล ในสสารวัตถุ และสิ่งมีชีวิตทุกชนิดตามจังหวะของการดึงเข้าและผลักออกทุกๆ 1 วินาที จากดวงอาทิตย์ดวงแม่ ซึ่งตั้งอยู่ทางทิศเหนือ

    ด้วยคุณสมบัติพิเศษของสาร CFC คือการเป็นธาตุที่เบากว่าธาตุอื่น นอกจากได้ทำลายบรรยากาศชั้นโอโซนแล้ว สาร CFC ยังได้เข้าไปทำลาย มโนธาตุซึ่งเป็นธาตุประกอบที่สำคัญธาตุหนึ่งภายในแกนพลังงานโลก จึงเป็นสาเหตุทำให้พลังงานแม่เหล็กโลกในแกนพลังงานโลกถูกรบกวนด้วยเช่นกัน จึงเกิดการเคลื่อนที่เปลี่ยนทิศทางออกไปจากแนวทิศเหนือ-ทิศใต้เดิม นับได้ว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ ครั้งที่ 1 ซึ่งได้เกิดขึ้นในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2544

    ผลกระทบที่ตามมา คือพลังงานแม่เหล็กโลกได้กระทุ้งหรือทำการเสียดสีกับใต้พื้นโลก ทำให้ใต้พื้นโลกร้อนระอุ ก๊าซพิษถูกดันขึ้นมา เกิดภัยธรรมชาติขึ้นหลายอย่าง เช่น ภูเขาไฟระเบิด แผ่นดินไหว พายุ และน้ำท่วม ปรากฎขึ้นในทั่วทุกส่วนของโลก และเมื่อประมาณกลางเดือนตุลาคม พ.ศ. 2544 พลังงานแม่เหล็กโลกได้เคลื่อนที่เปลี่ยนทิศทางอย่างรุนแรงอีกครั้ง นับเป็นครั้งที่ 2 ซึ่งในครั้งนี้ พลังงานแม่เหล็กโลกได้แผ่กระจายไปทั่วทุกส่วนของชั้นบรรยากาศ และใต้พื้นโลกไม่สามารถรวมเป็นกลุ่มและคงสภาพของความเป็นแกนพลังงานได้อีกต่อไป ฉะนั้นจึงอาจกล่าวได้ว่า ในขณะนี้ไม่มีแกนพลังงานโลก

    วิกฤตการณ์ธรรมชาติที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ส่งผลกระทบต่อสุขภาพร่างกายและจิตใจของมนุษย์ เนื่องจากพลังงานแม่เหล็กโลกที่แพร่กระจายอยู่ทั่วทุกส่วนของบรรยากาศโลกได้ไหลเข้าสู่ร่างกายของมนุษย์อย่างต่อเนื่องตลอดเวลา ได้กลายเป็นสาเหตุที่สำคัญของความเจ็บป่วยหลายอย่าง จนยากที่จะค้นหาสาเหตุของโรคนั้นๆ ได้ด้วย ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ เช่นมีอาการเจ็บที่หัวใจแปล๊บๆ รู้สึกปวดเมื่อยไปทั่วร่างกายเหมือนกล้ามเนื้อถูกดึงรู้สึกปวดหรือมึนศีรษะโดยไม่มีสาเหตุ จิตใจหงุดหงิด เครียดและโกรธได้ง่าย อยากนอนตลอดเวลาเหมือนนอนไม่อิ่ม รวมทั้งออกผื่นคันตามร่างกาย

    3. สาร CFC เป็นสาเหตุทำให้เกิดพายุสุริยะ หรือการเกิดจุดดับบนดวงอาทิตย์ จากสภาพที่ “ดาวโลก” ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของแรงดึงดูดจากศูนย์กลางที่ใหญ่กว่า คือดวงอาทิตย์ของสุริยจักรวาล จึงทำให้สาร CFC จาก “ดาวโลก” ถูกดึงไปยังดวงอาทิตย์โดยอัติโนมัติตามจังหวะ 1 วินาที ของแรงดึงดูดระหว่างดวงอาทิตย์และดาวโลก

    สาร CFC ได้ทำลายพื้นผิวของดวงอาทิตย์เกิดเป็นจุดดับกระจายอยู่ทั่วๆ ไป และเมื่อจุดดับมีปริมาณเพิ่มมากขึ้นๆ จนเกิดการระเบิด ทำให้ของเสียจากดวงอาทิตย์ และสาร CFC รวมทั้งขยะจากอวกาศจะไหลย้อนกลับเข้าสู่ชั้นบรรยากาศโลกอีกครั้ง ตามลักษณะของแรงดึงที่มีระหว่างดาวโลกกับดวงอาทิตย์ประกอบกับบรรยากาศชั้นโอโซนที่เคยห่อหุ้มและป้องกันชั้นบรรยากาศโลกไว้นั้น ได้ถูกทำลายโดย สาร CFC แล้วเช่นกัน จึงเป็นสาเหตุทำให้ของเสียที่เกิดจากพายุสุริยะ รวมทั้งขยะอวกาศสามารถไหลเข้าสู่ชั้นบรรยากาศโลก และไหลซึมผ่านเข้าสู่ร่างกายมนุษย์ สัตว์ โดยทางลมหายใจ และผิวหนังได้เร็วยิ่งขึ้น

    4. จากวิกฤตธรรมชาติที่ได้เกิดขึ้นมาข้างต้นทั้ง 3 ข้อ ได้กลายเป็นสาเหตุสำคัญที่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติที่มีผลกระทบต่อสุขภาพของมนุษยชาติอย่างใหญ่หลวง คือการเกิดแปรปรวนของกระแสลมปราณถึง 2 ครั้ง

    4.1 วันอาทิตย์ที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2545 เวลาประมาณ 06.00 น. กระแสลมปราณที่มีประโยชน์ ซึ่งดาวโลกเคยได้รับจากการหมุนรอบดวงอาทิตย์ และไหลซึมเข้าสู่ร่างกายมนุษย์ตามธรรมชาติ โดยทางลมหายใจเข้าเช่นเดียวกับก๊าซออกซิเจนนั้นได้ลดปริมาณลงไปมาก จนถึงขั้นเป็นอันตรายต่อสุขภาพมนุษย์ได้เนื่องจากชั้นบรรยากาศโลกหนาแน่นเต็มไปด้วยของเสีย จึงให้กระแสลมปราณแทรกเข้าสู่ชั้นบรรยากาศโลกได้อย่างเจือจาง กลายเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ระบบภูมิต้านทานร่างกายลดลงและระบบทางเดินลมหายใจผิดปกติ รู้สึกอึดอัด ไม่สามารถหายใจได้ลึกถึงท้อง หายใจได้ลึกเพียงแค่คอหรือหน้าอกเท่านั้น รู้สึกชาตามปลายประสาทมือ แขนและขา

    อีกทั้งจะพบผู้ป่วย “มะเร็ง” เพิ่มมากขึ้นตามลำดับ เพราะประโยชน์ที่สำคัญของกระแสลมปราณ นอกจากจะเป็นธาตุที่ช่วยทำให้เกิดความสดชื่นกระปรี้กระเปร่ากับร่างกายแล้ว ยังมีความสำคัญในการช่วยดันระบายรังสีอัลตร้าไวโอเลตที่มนุษย์ทุกคนได้รับอยู่ทุกวันไม่ให้ตกค้างและสะสมอยู่ในร่างกายมากเกินไป จนไม่สามารถทำให้ปฏิกิริยากับนิวเคลียสในเซลล์ร่างกายของมนุษย์ ทำให้เปลี่ยนสภาพจากเซลล์กลมที่เป็นปกติให้กลายเป็นเซลล์เหลี่ยมที่ผิดปกติ ที่เรียกว่า เซลล์ “มะเร็ง” นั้นเอง

    4.2 วันพุธที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2546 เวลาประมาณ 04.15 น. กระแสลมปราณภายในดาวโลกของเราได้รับการกระทบอย่างรุนแรงที่สุด และในครั้งนี้มนุษย์ทุกคนจำต้องยอมรับผลจากการกระทำที่ได้ร่วมกันทำลายดาวโลกมาโดยตลอด เนื่องตากสภาพของชั้นบรรยากาศโลกที่ทวีความหนาแน่นของมลภาวะได้ปิดกั้นไม่ให้กระแสลมปราณ สามารถไหลผ่านเข้าสู่ร่างกายมนุษย์ได้ตามปกติ มนุษย์ทุกคนตกอยู่ในภาวะที่เสี่ยงต่อชีวิต ซึ่งอาจจะทำให้เสียชีวิตได้อย่างฉับพลัน โดยเฉพาะกลุ่มผู้ป่วยทางเดินลมหายใจทุกชนิด มะเร็ง เอดส์ ไต และความดันโลหิต และอาจทำให้มนุษย์มีอาการไหลตาย คือ นอนหลับจนสิ้นลมหายใจ หมดโอกาสที่จะแก้ไข หรือเป็นโรควูบ คือหมดสติฟุบลงไปและเสียชีวิตทันที ฉะนั้นแต่ละบุคคลควรจะหลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหรือการทำงานที่หักโหมเกินกำลัง ควรจะหยุดพักเมื่อรู้สึกเหนื่อย ควรหลีกเลี่ยงการอยู่กับแสงแดดนานๆ ควรนั่งเก้าอี้เพื่อทำงานแทนการก้มลงนาน ๆ


    ขอความสวัสดีจงมีแด่ท่าน

    ที่มา Google
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • อาวุธเ~1.JPG
      อาวุธเ~1.JPG
      ขนาดไฟล์:
      23.9 KB
      เปิดดู:
      81
    • 1.jpg
      1.jpg
      ขนาดไฟล์:
      58 KB
      เปิดดู:
      1,971
    • sunspots_earth_size_big.jpg
      sunspots_earth_size_big.jpg
      ขนาดไฟล์:
      62.5 KB
      เปิดดู:
      1,931
    • orora.jpg
      orora.jpg
      ขนาดไฟล์:
      35.6 KB
      เปิดดู:
      71
    • solar2.jpg
      solar2.jpg
      ขนาดไฟล์:
      54.2 KB
      เปิดดู:
      69
    • img135.jpg
      img135.jpg
      ขนาดไฟล์:
      47.9 KB
      เปิดดู:
      1,946
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 พฤศจิกายน 2010
  13. เมืองแก้ว

    เมืองแก้ว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    58
    ค่าพลัง:
    +539
    อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ มีพื้นที่ครอบคลุมอยู่ในท้องที่อำเภอดอยหล่อ อำเภอจอมทองและอำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่ ประกอบไปด้วยภูเขาสูงสลับซับซ้อน มีดอยอินทนนท์ซึ่งเป็นยอดเขาที่สูงที่สุดในประเทศไทย
    ในวันที 13 เดือนมิถุนายน พุทธศักราช 2521 คณะกรรมการอุทยานแห่งชาติ ได้ประกาศให้ดอยอินทนนท์เป็นอุทยานแห่งชาติ
    สภาพป่าเป็นต้นน้ำลำธารของแม่น้ำหลายสาย และเป็นส่วนหนึ่งของต้นน้ำปิงที่ให้พลังงานไฟฟ้าที่เขื่อนภูมิพล มีเอกลักษณ์ทางธรรมชาติที่สวยงาม เช่น น้ำตกต่างๆ โดยเฉพาะน้ำตกแม่ยะ ที่ได้ชื่อว่าสวยที่สุดของประเทศ
    อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์มีเนื้อที่ประมาณ 482.4 ตารางกิโลเมตร หรือ 301,500 ไร่
    สภาพภูมิประเทศทั่วไปประกอบด้วยภูเขาสลับซับซ้อน มีดอยอินทนนท์เป็นยอดเขาที่สูงที่สุด สูงจาก ระดับน้ำทะเล 2,565 เมตร ยอดเขาที่มีระดับสูงรองลงมาคือ ดอยหัวมดหลวง สูงจากระดับน้ำทะเล 2,330 เมตร ป่าอินทนนท์นี้เป็นแหล่งกำเนิดของต้นน้ำแม่กลาง แม่ป่าก่อ แม่ปอน แม่หอย แม่ยะ แม่แจ่ม แม่ขาน และเป็นส่วนหนึ่งของต้นน้ำแม่ปิงที่ให้พลังงานไฟฟ้าที่เขื่อนภูมิพล

    จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
     
  14. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,193
    พายุทรายพัดถล่มจีน สร้างความเดือดร้อนให้กับเมืองต่าง ๆ

    [​IMG]

    จีน 12 พ.ย.-พายุทรายที่พัดผ่านทางภาคตะวันตกเฉียงเหนือของจีนกำลังสร้างความเดือดร้อนให้กับเมืองต่าง ๆ ทางภาคตะวันออก รวมไปถึงบางส่วนของประเทศเพื่อนบ้าน

    สถานีโทรทัศน์ CCTV ของทางการจีนได้แพร่ภาพพายุทรายสีเหลือง ที่ปกคลุมหนาทึบเหนือมณฑลซานตงและมณฑลเหลียวหนิง ซึ่งส่งผลให้ทัศนวิสัยในเมืองจี้หนาน และต้าเหลียน ลดลง นอกจากนี้พายุทรายในจีนยังพัดไปไกลถึงบางส่วนของประเทศญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ด้วย

    ทรายที่ถูกกระแสลมแรงพัดพามา อาจส่งผลกระทบต่อการหายใจของผู้คนได้ จึงมีคำแนะนำให้ผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจอยู่แต่ในบ้าน.-สำนักข่าวไทย

    วันศุกร์ ที่ 12 พ.ย. 2553

    จีนจะละลายหิมะแก้ปัญหาขาดแคลนน้ำ

    [​IMG]

    ปักกิ่ง 12 พ.ย. - หนังสือพิมพ์โกลบอล ไทม์ส ของจีน รายงานวันนี้ว่า ทางการจีนจะรวบรวมและละลายหิมะในช่วงฤดูหนาว เพื่อบรรเทาปัญหาขาดแคลนน้ำในกรุงปักกิ่ง นครหลวงของจีน มาเป็นเวลานานหลายปี

    หนังสือพิมพ์โกลบอล ไทม์ส ระบุว่า รถ 2 คัน พร้อมเครื่องทำความร้อนพลังงานสูงที่สามารถละลายหิมะและน้ำแข็งได้ราว 100 ลูกบาศก์เมตร ในเวลา 1 ชั่วโมง จะถูกส่งไปยังบริเวณรอบจัตุรัสเทียนอันเหมิน รายงานระบุว่า หิมะที่มีความสะอาดจะถูกนำไปทิ้งไว้ในส่วนกั้นเขื่อนในแม่น้ำ 3 สายที่ไหลผ่านกรุงปักกิ่ง เพื่อใช้สำหรับทำความสะอาดถนน การชลประทาน และเพื่อเพิ่มระดับน้ำในแม่น้ำ และว่าพื้นที่ที่จะละลายหิมะถูกกำหนดในทั่วทั้งเมือง

    นับเป็นเวลาหลายปีที่ภาคเหนือของจีนต้องเผชิญภาวะขาดแคลนน้ำ ซึ่งผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่า เกิดจากปัญหาภาวะโลกร้อน ความแห้งแล้ง และความต้องการที่เพิ่มขึ้นจากประชาชนจำนวนหลายสิบล้านคนที่อาศัยในกรุงปักกิ่งและพื้นที่ที่กำลังพัฒนาอยู่โดยรอบ

    การบริโภคน้ำในกรุงปักกิ่ง ซึ่งมีประชากรเกือบ 20 ล้านคน และกำลังเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เพิ่มขึ้นเป็น 3,550 ล้านลูกบาศก์เมตร ในปี 2552 ที่ผ่านมา เทียบกับปริมาณน้ำประปาของกรุงปักกิ่ง ซึ่งมีเพียง 2,180 ล้านลูกบาศก์เมตร. - สำนักข่าวไทย

    วันศุกร์ ที่ 12 พ.ย. 2553

    ยอดผู้เสียชีวิตจากภูเขาไฟเมราปีในอินโดนีเซียเพิ่มเป็น 206 คน

    [​IMG]

    ภูเขาไฟเมราปี 12 พ.ย.- ยอดผู้เสียชีวิตจากการปะทุหลายระลอกของภูเขาไฟเมราปีในอินโดนีเซียเพิ่มขึ้นเป็น 206 คนในวันนี้

    ภูเขาไฟเมราปีปล่อยก๊าซร้อน ก้อนหิน และเศษซากต่างๆ มาเป็นเวลานานกว่า 2 สัปดาห์แล้ว หลังจากนิ่งสงบมาหลายปี และการระเบิดครั้งใหญ่ที่สุดเกิดขึ้นเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ซึ่งนับเป็นวันที่ภูเขาไฟมีความอันตรายที่สุดในรอบหลายทศวรรษ

    หน่วยงานจัดการภัยพิบัติแห่งชาติของอินโดนีเซียกล่าววันนี้ว่า ยอดผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นจาก 194 คน เป็น 206 คน หลังจากมีประชาชนเสียชีวิตจากปัญหาระบบทางเดินหายใจ หัวใจวาย และความเจ็บป่วยอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการปะทุของภูเขาไฟ และแม้ว่าเถ้าถ่านร้อนที่พ่นออกมาจากภูเขาไฟลดน้อยลงในวันนี้ แต่ผู้เชี่ยวชาญเตือนประชาชนให้อยู่ห่าง เนื่องจากภูเขาไฟสามารถปะทุขึ้นอีก. -สำนักข่าวไทย

    วันศุกร์ ที่ 12 พ.ย. 2553

    ภูเขาไฟฟิลิปปินส์พ่นเถ้าถ่าน แต่ยังไม่ปะทุ

    [​IMG]

    มะนิลา 12 พ.ย.- ภูเขาไฟบูลูซานทางภาคกลางของฟิลิปปินส์พ่นเถ้าถ่านและควันร้อนออกมา ทำให้ชาวบ้านตกใจตื่น แต่นักวิทยาศาสตร์กล่าวว่า ยังไม่ปะทุครั้งใหญ่ในเร็วๆ นี้

    ภูเขาไฟบูลูซานซึ่งเป็น 1 ในภูเขาไฟ 23 ลูกของฟิลิปปินส์ที่ยังคุกรุ่นเริ่มพ่นเถ้าถ่านอีกครั้งเมื่อสุดสัปดาห์ที่แล้ว ภายหลังพ่นหินละลายออกมาเมื่อ 3 ปีก่อน สถาบันภูเขาไฟฟิลิปปินส์รายงานว่า จากการตรวจวิเคราะห์เถ้าถ่านที่ปกคลุมในพื้นที่ 6 เขต พบว่าไม่มีหินละลายและยังไม่ระเบิด โดยภูเขาไฟสูง 1,560 เมตรดังกล่าวพ่นเถ้าถ่านและควันร้อนออกมาเหนือท้องฟ้าเป็นระยะทาง 500 เมตรเมื่อเช้าวันนี้ เจ้าหน้าที่ได้แจกจ่ายหน้ากาก เปิดศูนย์พักพิงชั่วคราวและเตือนเครื่องบินให้หลีกเลี่ยงการบินใกล้ภูเขาไฟ.-สำนักข่าวไทย

    วันศุกร์ ที่ 12 พ.ย. 2553

    ที่มา http://www.mcot.net
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  15. พนมกุเลน

    พนมกุเลน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,455
    ค่าพลัง:
    +7,618
    อยากให้ผู้หลักผู้ใหญ่ในรัฐบาลรีบไตร่ตรองเรื่องนี้แต่เนิ่นๆ เพราะมันเป็นอนาคตของคนทั้งประเทศก็ว่าได้เลยนะ อย่าให้มันเข้าตำรา เสียน้อยเสียยาก เสียมากเสียง่าย เพราะมัวแต่เงื้อง่าราคาแพง


    http://www.voicetv.co.th/content/24620/

    นายอาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา อดีตนักวิทยาศาสตร์องค์การนาซ่าบอกว่า แม้สถานการณ์ภัยธรรมชาติในไทย จะมีมาอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ยังถือว่าปลอดภัยกว่าหลายประเทศ แต่ว่าไทยไม่ควรไว้วางใจกับสถานการณ์

    เพราะหากดูจากข้อมูลขององค์การนาซ่าแล้ว พบว่าภายใน 20 ปี พื้นที่ภาคกลาง รวมถึงเมืองหลวงอย่างกรุงเทพมหานครจะจมอ...ยู่ใต้น้ำ

    โดยอีก 7 ปีข้างหน้าก็จะเห็นความรุนแรงชัดเจนขึ้น จึงเสนอให้ย้ายเมืองหลวงไปอยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เช่น จังหวัดนครราชสีมา บุรีรัมย์ ชัยภูมิ และจังหวัดมหาสารคาม

    " บริเวณที่ไม่มีรอยเลื่อนเลยก็แถวภาคอีสาน และตรงบริเวณนั้นพื้นที่ก็สูงพอ เกินกว่า 100 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล ภาคอีสานจะเป็นภาคที่เหมาะสมที่สุด ที่เราจะหาบริเวณสร้างเมืองหลวง วางแผนสร้างเมืองใหม่ "

    นายอาจองยังกล่าวในการบรรยายพิเศษ หัวข้อ มหันตภัยน้ำท่วมโลก ว่า การเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศของโลกเกิดจากภาวะโลกร้อน ทำให้ธารน้ำแข็งที่เกาะกรีนแลนด์ละลายเพิ่มขึ้น ซึ่งหากธารน้ำแข็งละลายหมด ก็จะทำให้น้ำทั่วโลกสูงขึ้น 6 - 7 เมตร

    ซึ่งจะส่งผลกระทบกับกรุงเทพฯ อย่างแน่นอน และประชาคมโลกต้องคิดเรื่องนี้อย่างจริงจัง โดยหากเป็นไปตามที่องค์การนาซ่าคาดการณ์เอาไว้ ก็จะมีหลายพื้นที่ในโลกที่จมน้ำเหมือนกรุงเทพฯ เช่นกัน

    อาทิ ประเทศเนเธอร์แลนด์ เมืองเซี่ยงไฮ้ ซึ่งขณะนี้บางประเทศก็เร่งศึกษาปรับรูปแบบการใช้ชีวิตของประชาชนแล้ว เช่น การสร้างบ้านแบบแพ
     
  16. Jubb

    Jubb เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    1,267
    ค่าพลัง:
    +2,134
    ในความน่ากลัวก็มีความงามเนอะ(จากรูปภูเขาไฟ)
     
  17. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,193
    มารู้จักกับโครงการ Project Blue Beam กับอาวุธควบคุมธรรมชาติ HAARP กัน

    [​IMG]

    หลังจากเหตุการณ์คลื่นยักษ์สึนามิที่เพิ่งผ่านพ้นไป พร้อมกับได้คร่าชีวิตผู้คนบนโลกไปถึงกว่า 200,000 ชีวิต หลายฝ่ายได้ตั้งคำถามกันว่า อะไรกันแน่คือสาเหตุของภัยพิบัติครั้งนี้

    บ้างเชื่อว่าเป็นเพียงปรากฏการณ์ตามธรรมชาติที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เท่านั้น บ้างก็ตั้งข้อสังเกตว่า อาจเป็นผลจากการที่มนุษย์ได้ตักตวงทรัพยากรและทำลายธรรมชาติ ไปอย่างมากมายมหาศาลเป็นเวลาช้านาน จนโลกขาดสมดุล ​

    นอกจากนี้ ยังมีผู้คนอีกกลุ่มที่แม้จะเห็นด้วยว่า การทำลายสภาพแวดล้อม โดยเฉพาะการปล่อยสารพิษที่ก่อให้เกิดปรากฏการณ์โลกร้อนนั้น เป็นสาเหตุสำคัญสาเหตุหนึ่งที่นำไปสู่สภาพดินฟ้าอากาศวิปริตทั่วโลก แต่ทว่าไม่พอเพียงที่จะใช้อธิบายปรากฏการณ์พิศดาลทางธรรมชาติต่างๆที่ เกิดขึ้นพร้อมๆกันในช่วงไม่นานมานี้ ​

    พวกเขาเชื่อว่า คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าไม่ทราบแหล่งที่มา ที่ได้เริ่มปรากฏตัวขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา และได้ทวีความรุนแรงขึ้นในเดือนธันวาคมปีที่แล้ว คือสาเหตุที่แท้จริงของความวิปริตทั้งปวง ทั้งนี้ ฝ่ายหนึ่งคาดว่า คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้านี้มีที่มาจากการระเบิดในอวกาศที่ห่างไกล ของดาวที่เรียกว่าซูปเปอร์โนว่า แต่อีกฝ่ายเชื่อว่า เกิดจากอาวุธใหม่ที่มนุษย์เป็นผู้สร้างขึ้น พวกเขาเหล่านี้มีหลักฐานอะไร​

    ยุคแห่งวิปริตทางธรรมชาติ

    เมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมานี้เอง องค์กรสหประชาชาติได้จัดการประชุมขึ้น ณ เมืองโกเบ ประเทศญี่ปุ่นเพื่อหาทางแก้ไขผลกระทบ จากภัยพิบัติทางธรรมชาติที่เพิ่มขึ้นมากอย่างน่าตกใจ รายงานของที่ประชุมดังกล่าวระบุว่าในช่วงทศวรรษที่ผ่านมาประชากรโลกกว่า 2.5 พันล้านคนต้องประสพกับภัยภิบัติทางธรรมชาติ เป็นจำนวนที่เพิ่มมากขึ้นกว่าในช่วงทศวรรษก่อนถึง 60% และในจำนวนผู้บาดเจ็บและล้มตาย กว่าครึ่งเกิดจากอุทกภัยและแผ่นดินไหว

    ไม่เพียงแต่แนวโน้มการเกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติจะเพิ่มขึ้นในระยะยาวเท่านั้น แต่ทว่าเป็นที่น่าประหลาดว่าในปี 2547 จำนวนภัยภิบัติทางธรรมชาติดูเหมือนจะเพิ่มจำนวนและความรุนแรงขึ้นอย่างผิดปกติ

    ทั้งนี้บริษัทมิวนิก รี บรรษัทธุรกิจประกันภัยเสริม (reinsurance)รายใหญ่ที่สุดของโลกระบุในรายงานชื่อ "ภัยพิบัติทางธรรมชาติ" ประจำปี 2547 ว่าเป็นปีหายนะของธุรกิจประกันภัยทั่วโลก จากภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้นทั้งปีกว่า 560 ครั้ง

    ทางบริษัทประเมินความสูญเสียทางเศรษฐกิจ ที่เกิดจากภัยพิบัติในปีที่แล้ว ว่ามีมูลค่ารวมทั้งสิ้นไม่ต่ำกว่า5ล้านล้านบาท ทั้งนี้ยังไม่รวมความเสียหายที่เกิดจากคลื่นยักษ์สึนามิเมื่อวันที่ 26 ธันวาคม มูลค่าที่สูญเสียนี้มากกว่าความสูญเสียที่เกิดในปี 2546 กว่าถึงหนึ่งเท่าตัว

    ยิ่งไปกว่านี้ ตลอดหนึ่งปีมา มิได้มีแต่กรณีการเกิดคลื่นยักษ์สึนามิขึ้นเป็นครั้งแรกในมหาสมุทรอินเดียเท่านั้น ที่เป็นเหตุการณ์ผิดปกติทางธรรมชาติ ทว่ามีเหตุการณ์แปลกประหลาดอื่นๆเกิดขึ้นอีกมากมาย อาทิเช่น

    วันที่ 1 ธันวาคม 2547 เกิดคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าไม่ทราบแหล่งที่มา วัดความรุนแรงได้สูงสุดเป็นประวัติการณ์ไหลเข้าสู่ชั้นบรรยากาศโลก ยังผลให้เกิดปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ กล่าวคือ ทำให้พื้นที่กว่า220,000 ตารางกิโลเมตรในประเทศจีนถูกหมอกหนาปกคลุมในวันถัดมา จนทำให้การคมนาคมแทบทั้งหมดต้องหยุดชะงักลง และยังเกิดเหตุการณ์หมอกหนาจัดปกคลุมพื้นที่มหาศาลขึ้นอีก 2 ครั้งในวันที่ 14 และ 21 เดือนเดียวกันในประเทศจีนและอินเดียตอนเหนืออีกด้วย

    ผลของพลังงานแม่เหล็กอันไม่ทราบที่มานี้ ยังส่งผลให้เกิดปรากฏการณ์พิศดารอื่นๆอีกทั่วซีกโลกเหนือ เช่น เกิดลมพายุที่มีความรุนแรงเทียบเท่าพายุเฮอรีเคนในผรั่งเศส เยอรมัน อังกฤษ แคนาดา รัสเซีย และสหรัฐอเมริกา รวมทั้งส่งผลให้อุณหภูมิลดลงต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ในหลายพื้นที่อีกด้วย

    เดือนสิงหาคมและกันยายน เฮอริเคนอเล็กซ์ ไอแวน ฟรานซิส ชาลี และ จีน เฮอริเคนถึงสี่ลูกกับอีกหนึ่ง พายุโซนร้อนได้ก่อตัวขึ้นในเวลาไล่เลี่ยกัน ในแถบแคริบเบียนอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ยังผลให้มีผู้คนหลายพันคนใน 6 ประเทศต้องถึงแก่ชีวิตและอีกหลายแสนคนต้องปราศจากที่อยู่อาศัย

    เดือนสิงหาคมที่จีน เกิดพายุไต้ฝุ่นรานามิน พายุที่มีความรุนแรงที่สุดในรอบ 48 ปีทำให้มีผู้เสียชีวิต164 คน บาดเจ็บกว่า1,800 คน และคาดว่าถึงกว่า13 ล้านคนได้รับผลกระทบ

    เพียงในระยะเวลา 5เดือนหลังของปีที่แล้ว มีรายงานการเห็นลูกไฟอุกาบาตมากถึงกว่า 50 ครั้ง ทั่วโลก ในขณะที่สมาคมอุกาบาตของสหรัฐระบุว่า แทบเป็นไปไม่ได้ที่จะมีการเห็นลูกไฟอุกาบาต เกินกว่าเพียงปีละไม่กี่ครั้ง

    หน้าร้อนปี 2547 ญี่ปุ่นต้องเผชิญกับพายุไต้ฝุ่นมากครั้งที่สุด เป็นประวัติการณ์ เฉลี่ยแล้วหนึ่งลูกทุกสัปดาห์ตลอดฤดูกาล

    มีนาคม เป็นครั้งแรกที่มีพายุเฮอริเคนก่อตัวขึ้นในมหาสมุทรแอตแลนติกตอนใต้ ทำลายทฤษฎีที่เชื่อว่า เป็นไปไม่ได้ที่จะเกิดพายุเฮอริเคนก่อตัวขึ้นในบริเวณนี้ ด้วยลมพายุความเร็วถึง 150 กม./ชม. ยังผลให้มีผู้เสียชีวิตนับสิบคนในบราซิล

    นอกจากนี้ยังมีเหตุการณ์ผิดธรรมชาติต่างๆ อีกมากมายที่เกิดขึ้นทั่วไปตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมา เช่น ร้อนที่สุด หนาวที่สุด ฝนตกมากที่สุด แล้งที่สุด ภูเขาไฟปะทุขึ้นพร้อมกัน แผ่นดินไหว ลมพายุรุนแรงฯลฯ

    ธรรมชาติวิปริตเกิดจากทฤษฎีโลกร้อนจริงหรือ?

    ผู้คนทั่วไปมักเชื่อคำอธิบายทางวิทยาศาสตร์ว่า ความผิดปกติทางธรรมชาติที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้ มีต้นตอมาจากการเผาผลาญพลังงานฟอสซิล และทำให้เกิดกาซคาร์บอนไดออกไซด์ ประกอบกับการปล่อยสารซีเอฟซีที่ทำลายชั้นโอโซน ส่งผลให้เกิดปรากฏการณ์เรือนกระจกจนอุณหภูมิโลกสูงขึ้นเรื่อย ๆ

    ทว่าคำอธิบายข้างต้นหาได้เป็นที่ยอมรับเป็นเอกฉันท์ในวงการวิทยาศาสตร์ไม่ ตรงกันข้ามยังมีการโต้แย้งกัน ถึงข้อบกพร่องในทฤษฎีเรือนกระจกและทฤษฏีโลกร้อน ตลอดมา

    ทฤษฎีเรือนกระจกนั้น ข้อบกพร่องอยู่ที่ เหตุใดรูโหว่ในชั้นบรรยากาศโลก จึงไม่เกิดขึ้นเหนือพื้นที่ที่มีสถิติการปล่อยสารซีเอฟซี เป็นจำนวนมาก อาทิเช่น เหนือเมืองใหญ่และเขตอุตสาหกรรมต่างๆ แต่กลับไปเกิดขึ้นยังบริเวณขั้วโลกทั้งสองด้าน

    ทั้งนี้ ทีมวิจัยของอังกฤษได้รายงานเมื่อปลายปีที่แล้วว่า ชั้นโอโซนในบริเวณขั้วโลกใต้ มีปริมาณโอโซนต่ำกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาวถึง 10%

    ในส่วนของทฤษฎีโลกร้อนนั้น ผลการวิเคราะห์เปรียบเทียบการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิ ที่บริเวณผิวพื้นโลกและการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิ ในชั้นบรรยากาศระดับล่างและกลาง ในช่วง 20 ปีมานี้ พิสูจน์ว่าทฤษฎีนี้ผิดพลาด เนื่องจากพบว่า ในช่วงเวลาเดียวกันนี้ อุณหภูมิที่ผิวพื้นโลกสูงขึ้นจริง แต่อุณหภูมิในชั้นบรรยากาศกลับไม่มีการเปลี่ยนแปลง ซึ่งหากทฤษฎีโลกร้อนถูกต้องแล้ว อุณหภูมิทั้งสองบริเวณนี้จะต้องสูงขึ้นเช่นเดียวกัน

    คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าไม่ทราบที่มา:กุญแจไขปริศนา?

    นักวิทยาศาสตร์ตรวจพบคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (รังสีแกมม่า) นี้ได้ในบริเวณขั้วโลกเหนือเป็นครั้งแรกเมื่อกว่า 5 ปีมาแล้ว และหลังจากเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ก็ได้พบว่าปริมาณคลื่นไฟฟ้าแม่เหล็ก ได้เพิ่มขึ้นทั้งจำนวนความถี่และความรุนแรง

    ท้องฟ้าในบริเวณขั้วโลกเหนือที่ปกติมืดมิดตลอดเวลาในช่วงฤดูหนาว ปัจจุบันกลับมีแสงสว่างเกิดขึ้นเป็นประจำ "ขอบฟ้าถูกยกสูงเหมือนกับชูขึ้นด้วยมือของพระเป็นเจ้า" นายเดวิดสันกล่าว เขาเป็นหนึ่งในเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลแคนาดา ซึ่งประจำการอยู่ที่สถานีตรวจสอบอากาศเมืองเรซาลูด เบย์ ทวีปอาร์คติก

    นักวิทยาศาสตร์หลายฝ่ายเชื่อว่า คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าลึกลับนี้ คือต้นเหตุของความวิปริตทั้งหมดที่เกิดขึ้นตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมา

    ทั้งนี้ มีงานวิจัยของกลุ่มนักวิทยาศาสตร์ในสหรัฐที่พบว่า อิทธิพลรังสีแกมม่าสามารถทำให้เกิดรูโหว่ในชั้นโอโซน โลกเย็นลง ฝนกรดและการเกิดเมฆหมอกได้

    ผลของงานวิจัยนี้ได้ถูกยืนยันอีกครั้ง โดยการค้นพบของทีมนักวิทยาศาสตร์เยอรมัน จากสภาบันนิวเคลียร์ฟิสิกส์แมกส์ แพลงค์ สถาบันเลื่องชี่อของโลกในปี 2545

    ไม่เพียงแต่รังสีแกมม่าน่าจะเป็นสาเหตุของการเปลี่ยนแปลงทางภูมิอากาศเท่านั้น แต่ด้วยคุณสมบัติที่เป็นพลังงานแม่เหล็กจึงส่งผลต่อสนามแม่เหล็กโลก และอาจสามารถกระตุ้นให้เกิดแผ่นดินไหวหรือภูเขาไฟระเบิดได้อีกด้วย

    ผลการศึกษาของทีมนักวิทยาศาสตร์ ประจำสภาบันภูมิฟิสิกส์ประเทศจอร์เจีย จากการเก็บข้อมูลเปรียบเทียบเป็นเวลา 30 ปี จากปี 2501 - 2531 สรุปว่าปฏิกิริยาระหว่างโลกกับสนามพลังงานแม่เหล็ก เป็นปัจจัยหลักที่กระตุ้นให้เกิดแผ่นดินไหวที่มีความรุนแรงสูงกว่า 6 ริกเตอร์ขึ้นไป

    ในส่วนของจำนวนดาวตกที่เพิ่มขึ้นมากผิดปกติในปีที่แล้วก็เช่นกัน แม้จะยังไม่มีผลงานวิจัยในด้านนี้อยู่เลยก็ตาม แต่นักวิทยาศาสตร์คนสำคัญของโลกหลายคนก็เริ่มตั้งข้อสันนิษฐานว่า มีความเป็นไปได้ที่คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า อาจเกี่ยวข้องกับจำนวนดาวตกที่เพิ่มขึ้น

    คลื่นพลังงานแม่เหล็กเหล่านี้มาจากไหน?

    ยังไม่มีข้อมูลที่แน่ชัดถึงที่มาของคลื่นพลังงานแม่เหล็กลึกลับ ซึ่งยังคงสร้างความวิปริตทางธรรมชาติทั่วโลกในขณะนี้ นักวิทยาศาสตร์ส่วนหนึ่งคาดว่า คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้านี้ น่าจะมาจากการระเบิดของซุปเปอร์โนวา หรือดาวฤกษ์ที่กำลังจะดับสูญชื่อ SN1987a เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นห่างจากโลก 12,000 ล้านปีแสงเมื่อปี2530 การระเบิดครั้งนั้นถือเป็นการระเบิดที่รุนแรงที่สุดในจักรวาล เป็นอันดับสองรองจากการระเบิดที่เรียกว่าบิ้กแบงในปี2540

    "การระเบิดของดาว SN1987a ปลดปล่อยพลังงานอภิมหาศาลในหนึ่งวินาที เทียบได้กับพลังงานของดาวฤกษ์ทั้งหมดในจักรวาลรวมกัน" สำนักข่าวซีเอ็นเอ็นรายงาน ทั้งนี้คาดว่าโลกจะสามารถแลเห็นการระเบิดนี้ได้ก่อนปี2553

    ทั้งนี้ ยังมีนักวิทยาศาสตร์อีกส่วนหนึ่ง ที่เชื่อว่าคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าปริศนานี้ มีที่มาจากในโลกนี้เองและเกิดจากการกระทำของมนุษย์ หลายฝ่ายชี้ชัดมายังอาวุธในโครงการของกองทัพสหรัฐที่มีชื่อว่าฮาร์พ(High Frequency Active Auroral Reseach Program) หรือ HAARP

    ฮาร์พเป็นส่วนสำคัญในยุทธศาสตร์การริเริ่มป้องกันทารทหาร ของกระทรวงกลาโหมสหรัฐ หรือที่รู้จักกันในชื่อโครงการสตาร์วอร์ ฮาร์พถูกริเริ่มขึ้นในยุคของประธานาธิบดีเรแกน โดยมีวัตถุประสงค์หลักคือ เพื่อศึกษา "การใช้ไอโอโนสเฟีย (ชั้นบรรยากาศระดับสูง) เพื่อเป้าหมายของกระทรวงกลาโหม"

    นายอีสแมน เจ้าของลิขสิทธิ์เทคโนโลยีที่ใช้ในโครงการนี้ กล่าวถึงฮาร์พว่า "สามารถรบกวนระบบโทรคมนาคมทั้งหมดในพื้นที่ขนาดใหญ่มากบนโลก... เบี่ยงเบนทิศทางหรือทำลายจรวดและเครื่องบิน... ปรับเปลี่ยนภูมิอากาศ..."

    ดอกเตอร์เมกิช นักวิทยาศาสตร์ผู้หนึ่งที่ติดตามโครงการฮาร์พ อธิบายถึงการทำงานของอาวุธนี้ว่า ฮาร์พ "อาศัยเทคโนโลยีการส่งคลื่นวิทยุพลังมหาศาล เพื่อยกบริเวณชั้นบรรยากาศส่วนบน (ไอโอโนสเฟีย) ของโลกขึ้น โดยเล็งพลังงานไปยังพื้นที่บนชั้นบรรยากาศและเผาบริเวณนั้นจนร้อน( หลอมละลายจนกลายเป็นเสมือนจานพลาสม่าขนาดยักษ์ที่สามารถรับส่งคลื่นได้) จากนั้นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าก็จะสะท้อนกลับมายังโลกและทะลุทะลวงทุกสิ่งทุกอย่าง ทั้งที่มีชีวิตและไม่มี"

    อะไรที่ชี้ว่าเทคโนโลยีในการบังคับดินฟ้าอากาศมีจริง

    หลักฐานที่น่าเชื่อถือที่สุด อยู่ที่การยอมรับเกี่ยวกับเทคโนโลยีในการบังคับดินฟ้าอากาศ ของบุคคลสำคัญ สถาบันและองค์กรชั้นนำระดับโลกต่างๆ อาทิเช่น

    เอกสารชื่อ "กองทัพอากาศสหรัฐ 2025" ที่ประกาศใช้ในปี 2539 ได้ระบุเป้าหมายในอนาคตของกองทัพอากาศสหรัฐว่า "การเปลี่ยนแปลงดินฟ้าอากาศ จะเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ความมั่นคง ทั้งในและระหว่างประเทศและสามารถกระทำได้แบบเอกภาคี... มันเป็นไปได้ทั้งเชิงการรุกและรับหรือกระทั่งในการข่มขู่ศัตรู... ความสามารถในการทำฝน หมอกและพายุหรือเพื่อเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศนอกโลก... และการสร้างดินฟ้าอากาศต่างๆ นี้ล้วนเป็นส่วนหนึ่งของเทคโนโลยีแบบบูรณาการ ซึ่งสร้างเสริมศักยภาพให้กับสหรัฐหรือลดทอนศักยภาพของศัตรู..."

    จริงอยู่ที่ข้อความข้างต้นนี้เป็นเพียงเป้าในอนาคต แต่ก็หมายถึงว่า ก่อนหน้าการประกาศ สหรัฐได้ทำเริ่มลงทุนพัฒนาและทดลองเทคโนโลยีการควบคุมดินฟ้าอากาศ เป็นประจำมาเป็นเวลาช้านาน จนกว่าจะมั่นใจได้ว่าสามารบรรลุภาระกิจที่ตั้งไว้ได้

    ปี 2539 สำนักข่าวรอยเตอร์ได้รายงานคำพูดของนายวิเลียม โคเฮน รัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมสหรัฐที่กล่าวถึงการก่อการร้าย ณ มหาวิทยาลัยจอร์เจีย ตอนหนึ่งมีใจความว่า "การป้องกันเกี่ยวกับอาวุธที่ไม่ธรรมดาจะต้องเพิ่มมากขึ้น เมื่อกลุ่มผู้ก่อการร้ายพัฒนาอาวุธเคมีและเชื้อโรค และกรรมวิธีทางพลังงานแม่เหล็กที่สามารถเปิดรูโหว่ ในชั้นโอโซนหรือกระตุ้นให้เกิดแผ่นดินไหวหรือภูเขาไฟระเบิดได้"

    เป็นไปได้หรือที่กลุ่มผู้ก่อการร้าย จะสามารถค้นคิดอาวุธร้ายแรงเหล่านี้ได้ด้วยตัวเอง ? เพราะตลอดมาพวกเขามีศักยภาพเพียงการลอกเลียน และประยุกต์อาวุธขึ้นจากเทคโนโลยี ที่มีบรรดาประเทศมหาอำนาจได้ค้นคิดพัฒนาและใช้การได้จริงแล้วทั้งสิ้น

    ปี2544 วุฒิสมาชิกจากรัฐโอไฮโอนาย เดนิส คูชินิชได้ เสนอร่างกฎหมายเลขที่ HR2977 ว่าด้วยการห้ามใช้อาวุธในอวกาศ ตอนหนึ่งของร่างนี้กล่าวถึง "อาวุธทางภูมิอากาศหรืออาวุธทางรอยเลื่อนของชั้นแผ่นดิน" เป็นไปได้หรือ ที่ผู้ที่เป็นถึงวุฒิสมาชิกสหรัฐ จะกล้าเสนอกฎหมายนี้หากปราศจากหลักฐานข้อเท็จจริง เกี่ยวกับการพัฒนาอาวุธเหล่านี้

    นอกจากบุกคลสำคัญและองค์กรของสหรัฐเองจะกล่าวถึงการพัฒนาและทดลอง อาวุธที่เปลี่ยนแปลงดินฟ้าอากาศแล้ว บุคคลสำคัญและ องค์กรในระดับโลกต่างๆก็ได้เคยแสดงความกังวลเกี่ยวกับการใช้อาวุธนี้ด้วย

    ที่ประชุมใหญ่องค์กรสหประชาชาติประจำปี 2540 ได้มีการลงนามในอนุสัญญา "การห้ามใช้เทคโนโลยี การปรับเปลี่ยนดินฟ้าอากาศเพื่อการทหารและการรุกราน ที่สร้างผลกระทบที่กว้างขวาง ยาวนานและรุนแรง" ทั้งนี้นิยามของ "เทคโนโลยีการปรับเปลี่ยนดินฟ้าอากาศ" หมายถึง "เทคโนโลยีที่จงใจเปลี่ยนแปลงกระบวนการทางธรรมชาติ การเคลื่อนไหว องค์ประกอบ โครงสร้างของโลกรวมถึงชั้นบรรยากาศต่างๆหรืออวกาศ"

    หลักฐานที่ชี้ถึงแสนยานุภาพของฮาร์พ

    ในปี 2546 สมาชิกของคณะกรรมาธิการถึงสี่คณะ ของสภาสูงสุดรัสเซียหรือสภาดูม่า และสมาชิกสภาทั้งหมด 90 ท่าน ได้ร่วมกันลงชื่อในรายงานเสนอต่อประธานาธิบดีวลาดีเมีย ปูติน องค์กรสหประชาชาติและประเทศสมาชิก องค์กรระหว่างประเทศต่างๆ ผู้นำและรัฐสภาทุกประเทศ องค์กรทางวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียงและสื่อมวลชนชั้นนำของโลก เพื่อเรียกร้องให้ประชาคมโลกมีมติห้ามสหรัฐทดลองอาวุธที่มีแสนยานุภาพสูงนี้ ในรายงานนี้ปรากฏข้อความดังนี้ "ภายใต้โครงการฮาร์พ สหรัฐกำลังสร้างอาวุธใหม่ทางธรณีฟิสิกส์ ซึ่งอาจสามารถส่งอิทธิพลต่อชั้นบรรยากาศใกล้โลก ด้วยคลื่นวิทยุความถี่สูง"

    "แสนยานุภาพที่เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดนี้ อาจเปรียบเทียบได้กับการเปลี่ยนแปลงจากอาวุธมีคมสู่อาวุธปืน หรือจากอาวุธธรรมดาสู่อาวุธนิวเคลียร์"

    รายงานนี้ยังระบุอีกว่าสหรัฐกำลังสร้างอาวุธฮาร์พนี้ในพื้นที่สามแห่ง แห่งแรกที่รัฐอลาสก้า สหรัฐอเมริกา แห่งที่สองที่กรีนแลนด์และที่สามในประเทศนอร์เว ทั้งนี้สหรัฐเตรียมที่จะเริ่มทดลองอย่างเต็มที่ได้ตั้งแต่ต้นปี 2546

    "เมื่ออุปกรณ์ทั้งหมดได้ถูกส่งขึ้นสู่อวกาศจาก อลาสก้า นอร์เวและกรีนแลนด์ ความแม่นยำในการกำหนดเป้าหมายพร้อมกับอานุภาพอันมหัศจรรย์ จะนำไปสู่ความสามารถอันแท้จริงในควบคุมชั้นบรรยากาศใกล้โลก" รายงานของสภาดูม่าสรุป

    ก่อนหน้านี้ในปี 2541 คณะกรรมมาธิการด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ความมั่นคงและนโยบายการทางทหาร ก็ได้เคยร้องเรียนต่อรัฐสภาสหภาพยุโรป จากกรณีที่สหรัฐปฏิเสธครั้งแล้วครั้งเล่า ในการเปิดเผยข้อมูลและอนุญาตให้องค์กรอิสระนานาชาติ เข้าไปตรวจสอบโครงการฮาร์พ อีกทั้งยังเรียกร้องให้รัฐสภายุโรปร่างสนธิสัญญาระหว่างประเทศ ว่าด้วยผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมจากกิจกรรมทางการทหารอีกด้วย

    ทั้งนี้ สหรัฐประกาศว่า ปัจจุบันโครงการฮาร์พกำลังอยู่ในชั้นตอนสุดท้ายของการขยายกำลังส่ง และคาดว่าจะสร้างเสร็จสมบูรณ์ให้ใช้การได้เต็มที่ในราวปี 2549 (ปัจจุบัน แน่นอนคงใช้ได้อย่างเต็มที่แล้ว)

    สรุป

    ในวันนี้คงไม่มีประโยชน์อันใด ที่จะพยายามติดตามค้นหาข้อเท็จจริงถึงสาเหตุของวิปริตทางธรรมชาติ ที่กำลังเกิดขึ้นกับโลกใบนี้ เพราะไม่ว่าจะเป็นฝ่ายที่เชื่อว่าเป็นฝีมือของธรรมชาติ หรือฝั่งที่เชื่อว่าเป็นฝีมือมนุษย์ ต่างก็เห็นพ้องต้องกันว่า มวลมนุษยชาติกำลังจะเผชิญหน้ากับภัยพิบัติที่ใหญ่หลวงในอนาคตอันใกล้นี้ แต่แน่นอนการคาดการณ์ของพวกเขาอาจะผิดก็ได้

    สิ่งที่สังคมไทยน่าจะพิจารณาก็คือ ในอนาคตอันใกล้นี้ มีความเป็นไปได้ที่สังคมไทยจะต้องเผชิญกับมหันตภัยทางธรรมชาติต่างๆ ที่รุนแรงและใหญ่หลวงเสียยิ่งกว่าคลื่นยักษ์สึนามิที่เพิ่งผ่านพ้นไป ทว่า ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้านี้ โอกาสที่ประชาชนคนไทยจะต่อสู้จนได้รัฐบาลที่ดี พอที่เรียกได้ว่าพวกเขาคือตัวแทนของพวกเรานั้น แทบเป็นไปไม่ได้เลย และต่อให้ความฝันนี้เป็นจริง พวกเขาก็มิอาจปกป้องช่วยเหลือพวกเราจากภัยพิบัติต่างๆเหล่านี้ได้เลย

    ฉะนั้นวันนี้ การคิดแต่เพียงการต่อสู้ทางการเมืองจึงไม่เพียงพอเสียแล้ว เพื่อไม่ประมาท เราควรต้องเริ่มคิดอ่านเตรียมการ เพื่อความอยู่รอดของพวกเรากันเองด้วย

    ที่มา http://www.dektriam.net/TopicRead.aspx?topicID=104390
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 พฤศจิกายน 2010
  18. ~:*พนมวัน*:~

    ~:*พนมวัน*:~ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    274
    ค่าพลัง:
    +1,214
    ในวันที่โลกมีสัญญาณเตือนถึงภัยพิบัติครั้งใหญ่ออกมาเป็นระยะ อยากจะชวนท่านที่ถูกส่งมาทำหน้าที่ มาช่วยกันให้ธรรมะ ให้คำเตือนภัย รวมถึงให้องค์ความรู้ในเรื่องต่างๆ ที่เป็นประโยชน์กับผู้คนกันค่ะ

    เป็นโครงการดีๆ ที่ต้องการอาสาสมัคร แบ่งปันความรู้ รวมถึงประสบการณ์ดีๆ ให้กับคนรอบข้างค่ะ ไม่ว่าจะเป็นองค์ความรู้ตามความถนัด ความสนใจ หรือวิชาชีพด้านไหนก็ได้ เช่น เกษตร สิ่งแวดล้อม วิทยาการ เทคโนโลยี เศรษฐศาสตร์ ศิลปะ คหกรรม กีฬา ฯ


    โครงการนี้มีชื่อเป็นทางการว่า “รักษาโรค รักษาใจ ใฝ่ดีถวายพ่อหลวง” ซึ่งจริงๆ แล้ว ไม่ใช่เรื่องของการแพทย์อะไรทั้งหมดนะคะ เพียงแค่เป็นส่วนหนึ่งเองค่ะ และเป็นโครงการที่มีคนกลุ่มหนึ่ง ร่วมกับสำนักพระพุทธศาสนาแห่งชาติ จัดขึ้นในช่วงเวลาต่อไปนี้


    [​IMG]


    ตั้งแต่เวลา 09.00 - 12.00 น. ในเดือน ธันวาคม 2553

    - วันศุกร์ที่ 3 ธันวาคม 2553 วันเปิดโครงการ
    - วันจันทร์ที่ 6 ธันวาคม 2553
    - วันศุกร์ที่ 10 ธันวาคม 2553
    - วันจันทร์ที่ 13 ธันวาคม 2553
    - วันศุกร์ที่ 17 ธันวาคม 2553
    - วันจันทร์ที่ 20 ธันวาคม 2553
    - วันศุกร์ที่ 24 ธันวาคม 2553
    - วันจันทร์ที่ 27 ธันวาคม 2553 วันปิดโครงการ

    สถานที่
    ลานธรรมจามจุรี สถานีวิทยุพระพุทธศาสนาแห่งชาติ พุทธมณฑลสาย 4



    รายละเอียดต่างๆ สอบถามได้จาก คุณคเนพร พิทักษ์พงค์ 085-199-3347 นะคะ



    [​IMG]
     
  19. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,193
    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%"><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>น้ำท่วมสุราษฎร์หลายพื้นที่ยังน่าห่วง</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=center><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=4><TBODY><TR><TD class=body vAlign=center align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=center align=left>12 พฤศจิกายน 2553 18:13 น.</TD></TR></TBODY></TABLE>
    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    </TD></TR></TBODY></TABLE>สุราษฎร์ธานี -สถานการณ์น้ำท่วมในสุราษฎร์ฯหลายพื้นที่ยังน่าเป็นห่วงแม้ฝนจะหยุดตก ล่าสุดปลัดจังหวัดลงพื้นที่แจกของช่วยผู้ประสบภัยอีก

    ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จ.สุราษฎร์ธานี หลายพื้นที่ยังน่าเป็นห่วงแม้ว่าฝนจะหยุดตกแล้วก็ตาม แต่ยังมีน้ำท่วมในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะพื้นที่เป็นที่ลุ่มเนื่องจากบางแห่งเป็นที่รองรับน้ำ เช่น พื้นที่บ้านไทรงาม ม.4 ต.ท่าสะท้อน อ.พุนพิน จ.สุราษฎร์ธานี ระดับน้ำเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆโดยที่น้ำไหลมาจากพื้นที่ อ.พระแสง ,บ้านนาสาร ,เคียนซา ลงสู่พื้นที่แห่งนี้ เพราะเป็นที่ลุ่มและอยู่ริมแม่น้ำตาปี ล่าสุดน้ำท่วมทุกพื้นที่รถทุกชนิดไม่สามารถสัญจรไปมาได้ ต้องใช้เรือเพียงอย่างเดียว พืชผลทางการเกษตรได้รับความเสียหายทั้งหมด

    ล่าสุดวันนี้ (12 พ.ย.) นายชะลอศักดิ์ วานิชย์เจริญ ปลัดจังหวัด สุราษฎร์ธานีพร้อมเจ้าหน้าที่จำนวนหนึ่งนำข้าวสารอาหารแห้งไปแจกจ่ายทุกครัวเรือนจำนวน 240 ชุด ซึ่งพื้นที่บ้านไทรงามนั้นชาวบ้านไม่ย้ายออกไปอยู่ที่อื่น เนื่องจากชาวบ้านส่วนใหญ่เคยชินกับสภาพน้ำท่วม และส่วนใหญ่มีบ้าน 2 ชั้น จึงอาศัยอยู่ได้ และดำเนินชีวิตตามปกติ เพียงแต่ประกอบอาชีพไม่ได้เท่านั้น อีกทั้งกระแสไฟฟ้ายังใช้งานได้ตามปกติ

    ทั้งนี้ พื้นที่ อ.พุนพิน มีพื้นที่ถูกน้ำท่วมทั้งหมด 13 หมู่บ้าน 6 ตำบลทั้งหมดเป็นที่ราบลุ่ม รับน้ำจากที่อื่นและอยู่ริมแม่น้ำตาปี ได้แก่ ม.2 ต.กรูด ม.4 ต.ท่าสะท้อน,ม.3 ,7 ต.ท่าข้าม ม.3 ต.ศรีวิชัย ม.2, 3 ต.ตะปานและม.2,3,4,5,7,8 ต.ลีเล็ด เป็นแหล่งรับน้ำสุดท้ายก่อนสู่ทะเล ทางอำเภอคาดการณ์ว่าน้ำจะท่วมนานจนถึงสิ้นเดือน

    ส่วนพื้นที่อื่น ๆมีรายงานน้ำท่วมเช่นกันแต่ส่วนใหญ่ชาวบ้านยังสามารถช่วยเหลือตัวเองได้ ซึ่งภาครัฐช่วยเหลือในเรื่องของข้าวสารอาหารแห้ง เพื่อประกอบอาหารเป็นหลัก นอกจากนั้นในพื้นที่ ม. 4 ต.ปากหมาก อ.ไชยา ที่ถูกน้ำป่าไหลหลากถนนถูกตัดขาด ล่าสุดฝนหยุดตกเครื่องจักรกลหนักของ อบจ.สุราษฎร์ธานี สามารถเข้าทำการปรับสภาพถนนได้บางส่วนแล้ว

    ที่มา http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9530000160304
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  20. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,193
    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%"><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>สพฉ.ห่วงหน้าหนาวไฟไหม้ ให้โทร. 1669 ช่วยเหลือด่วน</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=center><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=4><TBODY><TR><TD class=body vAlign=center align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=center align=left>12 พฤศจิกายน 2553 14:51 น.</TD></TR></TBODY></TABLE>
    [​IMG]

    </TD></TR></TBODY></TABLE>สพฉ.ห่วงภัยหนาว เกิดอุบัติเหตุ เพลิงไหม้ ย้ำสายด่วน 1669 พร้อมรับมือ และประสานความช่วยเหลือ 24 ชั่วโมง
    นพ.ประจักษวิช เล็บนาค รองเลขาธิการสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.) กล่าวว่า จากการติดตามสถานการณ์ภัยหนาว พบว่าขณะนี้มีหลายจังหวัดโดยเฉพาะในพื้นที่ภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือกำลังประสบภัยจากสภาพอากาศหนาวเย็น ดังนั้นทางสพฉ.จึงเป็นห่วงภัยที่อาจเกิดขึ้นเนื่องจากอากาศหนาว

    รองเลขาธิการ สพฉ.กล่าวว่า ภัยหนาวที่ สพฉ.ได้รับแจ้งผ่านหมายเลข 1669 ส่วนใหญ่คือ อุบัติเหตุจราจร เนื่องจากในช่วงอากาศหนาวจะมีทัศนวิสัยไม่ดีหรือผู้ขับขี่ส่วนใหญ่มีความเชื่อว่าการดื่มแอลกฮอล์ทำให้ร่างกายอบอุ่นซึ่งเป็นความเชื่อที่ผิดจึงเพิ่มความเสี่ยงทำให้เกิดอุบัติเหตุจราจรมากขึ้น

    นอกจากนี้ ประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่อากาศหนาวจะต้องระมัดระวังวิธีช่วยให้ร่างกายอบอุ่นด้วย เช่น การผิงไฟเพราะมีความเสี่ยงอาจทำให้เกิดเพลิงไหม้ ไฟลวก และขาดอากาศหายใจ เนื่องจากสำลักควันได้ อย่างไรก็ตาม ทาง สพฉ.มีแผนเตรียมพร้อมรับมือภัยต่างๆ และเฝ้าระวังอยู่แล้ว รวมทั้งมีการซ้อมแผนเป็นประจำจึงขอให้ประชาชนมั่นใจว่าทาง สพฉ.สามารถให้คำแนะนำและให้ความช่วยเหลือได้ ดังนั้น หากผู้ประสบภัยหนาว ได้รับอุบัติเหตุหรือเจ็บป่วย สามารถโทร.แจ้งได้ที่หมายเลข 1669 เพื่อขอความช่วยเหลือ และขอคำแนะนำได้ตลอด 24 ชั่วโมง

    ที่มา http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9530000160194
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 พฤศจิกายน 2010

แชร์หน้านี้

Loading...