ถามหน่อยครับ เกี่ยวกับความคิด, ความจำ และความฝัน

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย จื่อหลิง, 22 พฤศจิกายน 2010.

  1. จื่อหลิง

    จื่อหลิง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    294
    ค่าพลัง:
    +698
    คือ ผมสับสนกับความคิด,ความจำและก็ความฝันครับ แบบว่าแต่ก่อน ความคิดก็รู้ว่าความคิด จำก็จำ ฝันก็ฝัน แต่ทุกวันนี้ไม่รู้อะไรเป็นอะไรแล้วครับเพราะความรู้สึกมันเหมือนกันหมด เช่น เวลาฟังคนพูดเรื่องอะไรก็ตามในหัวผมมันจะประมวลผลออกมาเป็นรูปทางกายภาพหมด แม้ไม่เคยเห็นก็ตาม และผมจำอะไรก็จะจำเป็นภาพติดอยู่ในหัว ฝันก็เหมือนเกิดขึ้นจริง จนสับสนว่าอันไหนความคิด ความจำ ความฝันกันแน่ บางที่เหตุการณ์ปัจจุบันที่อยู่ตรงหน้าเหมือนมันเกิดขึ้นแล้ว แล้วมันเกิดขึ้นตอนไหนละ ? งงครับ โดยปกติคน จำ คิด และ ฝัน หรือ คิด จำ ฝัน หรืออีกอย่าง ฝัน จำ คิด ใครที่มีประสบการณ์เกี่ยวกับแนวนี้ชี้แนะหน่อยครับ

    ปล. สำนวนอาจจะเข้าใจยากหน่อยนะครับ ต้องขออภัย
     
  2. Hikikomori

    Hikikomori เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 เมษายน 2008
    โพสต์:
    508
    ค่าพลัง:
    +326
    อาการเหมือนผมเลยคือเหมือนสมองเริ่มรวน คิด จำ พูด อะไรไม่ค่อยได้ ฝันมาเป็นร้อยก็เริ่มลืมๆแล้วเหมือนกันจำอันที่ดีที่สุดพอแล้วตอนนี้ ที่คุณเห็นเป็นภาพเพราะเป็นเรื่องธรรมชาติรู้ครับ จินตนาการก็มีส่วนนิดๆ
     
  3. Plagruy

    Plagruy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    196
    ค่าพลัง:
    +130
    ไม่มีประสบการณ์อะไรเลยครับ ผมฝันทีก็เป็นเรื่องไร้สาระ
    แต่พอเคยอ่านการอธิบายเรื่องพวกนี้อยู่บ้าง อธิบายไม่เรียงลำดับนะครับ

    ทั้ง3อย่างเกี่ยวข้องกับจิต ส่วนปัญหาน่าเกิดเพราะสติ
    ความคิดเกิดจากจิต
    ความจำ เก็บอยู่ในจิตและกายละเอียด
    จิตพบทุกอย่างจะเก็บไว้เป็นความจำในจิตใต้สำนึกทันที(เสียง ภาพ กลิ่น สัมผัส)
    ความฝัน คือการที่จิตใจของเรารับรู้ออกจากกายหยาบไปในกายละเอียด
    ซึ่งจะเกิดขึ้นต่อเมื่อคุณเข้าภวังค์หลับ แปลว่าคุณไม่มีสติ หรือตั้งใจหลับ
    แล้วรับรู้ความจำทั้งหมดทั้งในจิตใต้สำนึกและในกายละเอียด ทำให้สร้างภาพต่างๆขึ้นมา
    ซึ่งภาพทั้งหมดคือการผสมปนเปของความจำ บางชนิดเกิดขึ้นในขณะที่เรามีสติในความฝัน
    บางชนิดเป็นลางบอกเหตุได้ หากแต่ก็มีจิตหลอกเหมือนกัน(จิตผ่านมาหลายภพชาติ)
    หากลองฝันติดต่อกันหลายรอบโดยมีสติ คุณจะพบว่าตัวเองเหนื่อยใจ
    ถ้าคนหลงในฝัน หรือนิมิตอื่นๆ จิตใจหลงไปกับสิ่งต่างๆในฝันเป็นเวลานาน
    การใช้จิตใจมากเกินไปโดยไม่มีสติในตัวไม่สามารถควบคุม ก็ไม่ต่างจากคนบ้า

    ฝรั่งมีกลุ่มที่ฝึก Lucid Dream คือการควบคุมความฝัน
    เนื่องจากพบว่าคนดังในอดีตต่างคิดสิ่งใหม่ๆได้ในความฝัน
    ตอนนี้มีการสร้างเครื่องมือช่วยในการควบคุมความฝันมากมาย
    หากอยากควบคุมฝันก็ต้องฝันแบบไม่เต็มที่ มีสติไปด้วย

    แต่ที่บอกว่าความคิดดันแปลผลเป็นภาพตลอด?
    อันนี้ผมว่าอาจต้องฝึกสติแบบอยู่ที่จุดๆเดียว เช่น อยู่ปลายจมูกตลอด อยู่หว่างคิ้วตลอด
    หรือ ให้กำหนดจิตอยู่กับสิ่งที่ทำอยู่ในปัจจุบันเท่านั้น(ในร่างกายเรานะ)
    หวังว่าช่วยเจ้าของกระทู้ได้ ผมก็ไม่มีความรู้เรื่องนี้เหมือนกัน ผิดก็ขออภัย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 พฤศจิกายน 2010
  4. จิ-โป

    จิ-โป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,006
    ค่าพลัง:
    +2,196
    โดยมากแ้ล้วอาการแบบนี้จะเกิดกับคนที่ผ่านการฝึกวิธีคิดแบบเซ็นหรือเต๋าครับ
    เมื่อจะเข้าถึงธรรมชาติ จิตที่เกิดดับอย่างรวดเร็วแต่เซ็นหรือเต๋านั้น จะทำให้จุดเกิด
    ดับตรงนี้สโลว์ เลยเหมือนกับว่าจำคิดฝัน พร้อมๆกันหรือจำแนกไม่ออกว่าเคยเห็น
    มาก่อนแล้ว ฝันมาก่อนแล้ว หรือเพิ่งเคยเห็นแต่คลับคล้ายว่าเคยเห็นนานแล้ว

    วิธีแก้ไข เมื่อฝึกมาแบบเต๋าก็แก้แบบเต๋าครับ
    แก้ตรงข้อที่"เห็นธรรมชาติเหมือนไม่เห็น" ให้กลายไปเป็น "เต๋าคือธรรมชาติ"
    หาตัว"เต๋า"นั้นให้เจอครับ จะจำแนกออกมาได้เอง จิตจะยกออกมาจากตรงนั้น

    แต่ถ้าจะบอกว่าไม่เคยฝึกวิธีคิดแบบเต๋าหรือเซ็นเลย แสดงว่าเป็นศาสนาอื่นไม่
    ใช่พุทธครับ เลยมาตกตรงนี้ เพราะตรงนี้ต้องมีวิธีคิดแบบพิเศษถึงมาตรงนี้ได้.

    ตอบผิดขออภัยครับ หมู่นี้คนรบกวนเยอะ.
     
  5. จื่อหลิง

    จื่อหลิง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    294
    ค่าพลัง:
    +698
    ตอบคุณ Plagruy นะครับ การฝึกสตินี่ ผมฝึกมาตั้งแต่อยู่ ป.2 (พุทโธกำกับลมหายใจเข้าออก) ช่วงเข้าพรรษาไปวัดกับพ่อแม่ ฝึกจนถึง ป.5 ก็หยุดไปพักหนึ่งเพราะมันเริ่มติดเพื่อนแล้ว แล้วมารื้อฟื้นทีหลังจนอายุ 18 - 19 ปีทุกวันนี้ก็ฝึกเป็นประจำ ควบคุมความฝันผมไม่เคยแต่ควบคุมการนอนนี่เคย ทำได้บ้างทำไม่ได้บ้าง คือ นอน 15 นาทีจะรู้สึกนอน 1-3 ชั่วโมงสบายมากแต่ทำไปนานๆ มันติดนี้สิครับ

    ตอบคุณ จิโป ครับ พุทธเถรวาทครับ
     
  6. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    เดาเอานะ
    กำลังสมาธิมันลำ้หน้า สติตามไม่ทัน เลยเสียสมดุลย์
    ลองสวดมนต์หรือ พักผ่อนให้สบายๆ ปรับสมดุลย์ใจที่มันยุ่งเหยิงลง
    หยุดรับข้อมูลที่ทำให้เกิดจินตนาการฟุ้งซ่านก็จะช่วยได้ บ้าง
    ฟังเพลงบรรเลงสบายๆ เบาๆ พวกเพลงบำบัดก็ช่วยให้จิตสงบได้นะ
    จิตที่คิดมากฝันมากเพราะว่ามันรู้แล้วยึดสิ่งที่รู้ ปล่อยวางไม่ได้ ก็เลยยิ่งเตลิดไปใหญ่
    เพราะจิตขาดสติ ไม่ใช่เราขาดสตินะเพราะรู้น่ะรู้ตัว แต่จิตมันไม่รู้ตัวมันเลยคิดไม่หยุด
    คิดแบบ non-stop เครื่องร้อนจัด ลืมเบรคตัวเองให้ตัดตอนออกมาจากสิ่งที่รับรู้
    จิตเป็นอนัตตา บังคับไม่ได้นอกจากจิตมีสติรู้ตัวเองจึงหยุดตัวเองได้
    จิตรู้ว่าฟุ้งซ่าน จิตจึงหยุดฟุ้งซ่านได้ ถ้าจิตขาดสติไม่รู้ตัวก็ยาว
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 พฤศจิกายน 2010
  7. จิ-โป

    จิ-โป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,006
    ค่าพลัง:
    +2,196

    แหมพี่ เป็นยามหมู่บ้านรึยังไงถึงฝึกหลับทีละ15นาที ยังงี้หลับยามชัดๆ
    พักผ่อนจริงๆซะบ้างครับ เอาแบบตั้งใจหลับยาวๆจนเช้าซักสองสามวัน.
     
  8. จิ-โป

    จิ-โป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,006
    ค่าพลัง:
    +2,196
    เพิ่มเติมครับ แนะนำอีกทาง
    ท่านว่าเลียนแบบราชสีห์ เวลานอนตื่นให้ยังไม่ลืมตาก่อนแตให้รู้สึกตัวก่อนว่านอน
    อยู่ในท่าไหน เหมือนราชสีห์นอนตื่นจะกระดิกหางแล้วลืมตาปรือๆยังไม่ขยับตัว
    คนเราไม่มีหางก็ไม่ต้องกระดิก แค่ยังไม่ลืมตาให้รู้ว่านอนท่าไหนหันหัวไปทางไหน
    ของที่นอน แล้วค่อยๆลืมตา(ตรงนี้บางคนเห็นรอบๆข้างก่อนโดยยังไม่ลืมตาก็มี).
     
  9. mamboo

    mamboo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    1,129
    ค่าพลัง:
    +1,973
    ถ้าฝึกสติแล้ว ยังช่วยไม่ได้ .. ไม่รู้จะแนะนำยังไงล่ะค่ะ --'
     
  10. จื่อหลิง

    จื่อหลิง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    294
    ค่าพลัง:
    +698
    ก็เกือบบ้ามาแล้ว แต่บ้าในใจในะครับ ดีที่เก็บอารมณ์อยู่ เพระาไปอุปาทานความคิดยึดตัวตนมากเกินไป ดีที่กลับมาเป็นเหมือนเดิมเพราะพุทธานุสติ(ไปดูประวัติพระพุทธเจ้าแบบอนิเมชั่น) สวดมนต์ ถ้าสวดเกินชั่วโมงหลับครับ และยิ่งสวดหลายคนปากไป หูได้ยิน แต่มันกึ่งหลับกึ่งตื่นยังไงไม่รู้

    ไม่ใช่ครับผมจะทำเฉพาะผมเวลาทำการบ้านหรือรายงานเยอะๆครับ แบบว่า ตี 1 แบบนี้ครับมันช่วยได้มาก โดยปกตินอนเต็มที่ 6-8 ชั่วโมงก็เพียงพอแล้วครับ
     
  11. Mr.Boy_jakkrit

    Mr.Boy_jakkrit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    2,063
    ค่าพลัง:
    +2,676
    วันนี้ไปทำบุญถวายผ้าป่าฯมาที่วัดใกล้บ้านครับ

    ไปกัน 3 คน แฟนผมและน้องแฟนของผม
    ไปถึงกุฏิ กราบหลวงพ่อเสร็จ น้องแฟนก็ถามจำหนูได้ไม๊คะหลวงพ่อ เมื่อเช้าหนูก็มาทำบุญวันเกิดทีนึงแล้ว ?

    หลวงพ่อตอบว่า "ฉันไม่จำใครทั้งนั้น" แล้วท่านก็ทำกิจให้จนสำเร็จ (อวยพร,สาดน้ำมนต์)

    กลับมาที่คำพูดของหลวงพ่อนะ
    "ฉันไม่จำใครทั้งนั้น" ฟังๆดูหากไม่ใช่ผู้ปฏิบัติมาบ้างแล้วก็จะหาว่าหลวงพ่อท่านหยิ่ง พูดจาไม่เพราะเอาซะเลย ซึ่งจริงๆหลวงพ่อท่านก็กล่าวถูกแล้ว ไม่รู้จะจำไปทำไม เอาเป็นจำได้ก็ระลึกได้ จำไม่ได้ก็แปลว่าไม่ได้จำหรือลืมไปแล้ว ผ่านแล้วผ่านเลย

    อ่อ..เล่าข้ามขั้นตอนไป ไปทำบุญรอบแรกหลวงพ่อท่านชราภาพแล้ว อายุ 93 ปี
    ท่านจำวัด ตอนที่ไปน่ะ แล้วกลับไปอีกรอบสองท่านตื่นมาอย่างเต็มสติ ท่านสวดมนต์เบาๆตลอดเวลาเลย แต่พอแทรกคำถามไปท่านก็ไม่ได้เบลอไม่ได้เอ๋อหรือปฏิเสธที่จะตอบ ท่านก็ตอบอย่างฉับไวมากผิดกับบุคคลทั่วไป


    สรุปคือ เรากำลังจะบอกว่า อาการที่กล่าวกันมานั้น เรียกกว่าอาการฟุ้ง จะเป็นมากในกลุ่มผู้ที่เริ่มดูจิตดูใจนะ เราก็เป็นมาแล้วน่าเบื่อมากเหมือนจะเป็นโรคประสาทครุ่นคิด ซ้ำๆซากๆ เอาเป็นว่าอย่าคิดเอาแต่ถูกกับผิดหรือยึดคำคนนั้นคนนี้แม้แต่คำของเราเลย
    ท่านหาพระคาถายาวๆซักบทท่องนะ จะให้ได้จนขึ้นใจ ท่องอยู่อย่างนั้นแหละสวดได้ทั้งวันยิ่งจะดี มีสติอยู่ตลอดนะ หางานให้จิตทำก่อน คล่องแล้วค่อยกลับมาดูจิตต่อ(จะว่าไปเมื่อคล่องแล้วเขาก็กลับมาโอยอัตโนมัติเองแหละ สังเกตุจากอาการเมื่อวานคนจุดพลุงานลอยกระทง จุดแบบไม่รู้ตัว คนฟังหรือคนที่ได้ยินถ้าไม่มีสติจะตกใจนานมากบางทีอาจจะเสียวแวบๆที่หัวใจหรืออย่างร้ายแรงไปเลยก็ช๊อคไปเลย แต่คราวนี้ไม่ยอมรับว่าสะดุ้งแต่เรียกกลับได้เร็วมาก)

    เอาล่ะๆ ขอแนะนำไว้เพียงเท่านี้ก่อนนะครับ
     
  12. PaiSol

    PaiSol Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    93
    ค่าพลัง:
    +48
    โดยส่วนตัวนะ เอาแบบ พอเข้าจัย ง่ายละ กัน
    เวลาฟังคนพูดเรื่องอะไรก็ตามในหัวผมมันจะประมวลผลออกมาเป็นรูปทางกายภาพหมด แม้ไม่เคยเห็นก็ตาม และผมจำอะไรก็จะจำเป็นภาพติดอยู่ในหัว ฝันก็เหมือนเกิดขึ้นจริง จนสับสนว่าอันไหนความคิด ความจำ ความฝันกันแน่ บางที่เหตุการณ์ปัจจุบันที่อยู่ตรงหน้าเหมือนมันเกิดขึ้นแล้ว แล้วมันเกิดขึ้นตอนไหนละ ?
    อย่างที่บ้านผมเรียกประมาณว่านิมิตร จะเกิดแบบที่คุณพูดมา แต่ว่าแต่ละคนจะเกิดแตกต่างกันออกไป และ มีไม่บ่อย ขึ้นด้วยปัจจัยหลายๆอย่าง
    และที่ว่าบางเหตุการณ์ที่เกิดตรงหน้า แปลง่ายๆนะ ก็เหมือนเป็นสัญญาเก่าเกิดเป็นภาพจากจิตใต้สำนึกส่วนที่ลึกมาก มันเป็นแบบเดียวคล้ายนิมิตรละ

    ผมไม่ค่อยรู้มากนะเอาแค่พอเข้าจัยอธิบายไม่รู้จะเข้าจัยเปล่าก็ขออภัย
     
  13. PaiSol

    PaiSol Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    93
    ค่าพลัง:
    +48
    มี2แบบนะ
    1. คือมีสิ่งที่คุ้มครอง
    2. เป็นโรคสมาธิสั้น

    ก็ไม่กล้าบอกว่าเป็นอย่างไร
     
  14. PaiSol

    PaiSol Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    93
    ค่าพลัง:
    +48
    คุณก็ทำถูกแล้วนอนแบบมีสติ แต่ถ้าว่า รู้ว่าติดในความสบายก็ทำให้มันลำบากสิ และฝึกควบคุมอีกนิดก็ใช้ได้ละ แต่ตรงให้ถูกจริตกับถูกทาง
     
  15. PaiSol

    PaiSol Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    93
    ค่าพลัง:
    +48
    กำลังสมาธิมันลำ้หน้า สติตามไม่ทัน เลยเสียสมดุลย์
    ตามนี้เลยงับ
    คือจิตมันนิ่งเกินไปละขาดสติเพราะมี ... คุ้มอยู่เลยเป็นอย่างนี้
     
  16. PaiSol

    PaiSol Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    93
    ค่าพลัง:
    +48
    สวดมนต์ ถ้าสวดเกินชั่วโมงหลับครับ และยิ่งสวดหลายคนปากไป หูได้ยิน แต่มันกึ่งหลับกึ่งตื่นยังไงไม่รู้
    ผมขอถามหน่อยว่าคุณมีครูบาอาจารหรือเปล่า ถ้าไม่มีแล้วถ้าเป็นแบบนี้อย่าไปสนจัย
    มันเป็นอาการปรกติคับ สำหรับ พวกพิเศษ แต่ไม่เกินมนุษย์ จงทำจัยละอยู่กับมัน
     
  17. วิญญาณนิพพาน

    วิญญาณนิพพาน ทีมงานอาสาฯ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2008
    โพสต์:
    22,458
    กระทู้เรื่องเด่น:
    51
    ค่าพลัง:
    +21,011
    ทุกอย่างเกิดขึ้นเเล้วดับไปครับ อย่าไปยึดติดกับสิ่งที่ผ่านไปทุกวินาทีเเล้วเราจะไม่สับสนครับคุณ จื่อหลิง เป็นได้ก็ลองโหลดหนังสือ " ชีวิตเป็นอย่างนี้ " ใต้ comment ของผมไปอ่านได้ครับ อ่านเเล้วคิดอะไรได้อีกเยอะครับ เจริญในธรรมครับ
     
  18. มีแปปเดียว

    มีแปปเดียว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มกราคม 2010
    โพสต์:
    889
    ค่าพลัง:
    +3,876
    น่าอนุโมทนาในอาการของเจ้าของกระทู้
    เหมือนท่านเหลาจื้อเช้าวันหนึ่งตื่นขึ้นและจำได้ว่าฝันว่าตนเองเป็นผีเสื้อ
    ท่านรำพึงว่า "เหลาจื้อฝันว่าเป็นผีเสื้อ หรือผีเสื้อฝันว่าเป็นเหลาจื้อ"
    แท้จริงความคิด ความจำ ความฝัน
    ก็คืออาการของนามที่เรียกว่าจิต
    จิตนี้เป็นอนัตตา
    จิตนี้เป็นมายา
    จึงไม่ควรยึดมั่นถือมั่นว่าจิตมีตัวตน หรือสาระใดให้ยึดถือ
    ขอท่านได้โปรดพิจารณา
     
  19. มีแปปเดียว

    มีแปปเดียว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มกราคม 2010
    โพสต์:
    889
    ค่าพลัง:
    +3,876
    จิตคือพุทธะ




    พระพุทธเจ้าทั้งปวง และสัตว์โลกทั้งสิ้นไม่ได้เป็นอะไรเลย นอกจากเป็นเพียง จิตหนึ่ง นอกจากจิตหนึ่งแล้ว มิได้มีอะไรตั้งอยู่เลย จิตหนึ่ง ซึ่งปราศจากการตั้งต้นนี้ เป็นสิ่งที่มิได้เกิดขึ้น และไม่อาจถูกทำลายได้เลย
    มันไม่ใช่เป็นของมีสีเขียว หรือสีเหลือง และ ไม่มีทั้งรูป ไม่มีทั้งการปรากฏ ไม่ถูกนับรวมอยู่ในบรรดาสิ่งที่มีการตั้งอยู่ และไม่มีการตั้งอยู่ ไม่อาจจะลงความเห็นว่า เป็นของใหม่หรือเก่า ไม่ใช่ของยาวหรือของสั้น ของใหญ่หรือของเล็ก
    ทั้งนี้ เพราะมันอยู่เหนือขอบเขต เหนือการวัด เหนือการตั้งชื่อ เหนือการทิ้งร่องรอยไว้ และ เหนือการเปรียบเทียบทั้งหมด
    จิตหนึ่งนี้ เป็นสิ่งที่เราเห็นตำตาเราอยู่แท้ๆ แต่จงลองไปใช้เหตุผล (ว่ามันเป็นอะไร เป็นต้น) กับมันเข้าดูซิ เราจะหล่นลงไปสู่ความผิดพลาดทันที สิ่งนี้ เป็นเหมือนกับความว่าง อันปราศจากขอบทุกๆ ด้าน ซึ่งไม่อาจจะหยั่ง หรือวัดได้
    จิตหนึ่ง นี้เท่านั้นเป็น พุทธะ ไม่มีความแตกต่างระหว่างพุทธะกับสัตว์โลกทั้งหลาย เพียงแต่ว่าสัตว์โลกทั้งหลายไปยึดมั่นต่อรูปธรรมต่างๆ เสีย และเพราะเหตุนั้น เขาจึงแสวงหาพุทธภาวะจากภายนอก การแสวงหาของสัตว์เหล่านั้นนั่นเอง ทำให้เขาพลาดจากพุทธภาวะ การทำเช่นนั้น เท่ากับ การใช้สิ่งที่เป็นพุทธะ ให้เที่ยวแสวงหาพุทธะ และการใช้จิตให้เที่ยวจับฉวยจิต แม้ว่าเขาเหล่านั้นจะได้พยายามจนสุดความสามารถของเขา อยู่ตั้งกัปหนึ่งเต็มๆ เขาก็จะไม่สามารถลุถึงพุทธภาวะได้เลย
    เขาไม่รู้ว่า ถ้าเขาเอง เพียงแต่หยุดความคิดปรุงแต่ง และหมดความกระวนกระวายเพราะการแสวงหา เสียเท่านั้น พุทธะก็จะปรากฏตรงหน้าเขา เพราะว่า จิต นี้คือ พุทธะ นั่นเอง และ พุทธะ คือ สิ่งที่มีชีวิตทั้งหลายทั้งปวง นั่นเอง สิ่งๆ นี้ เมื่อปรากฏอยู่ที่สามัญสัตว์ จะเป็นสิ่งเล็กน้อยก็หาไม่ และเมื่อปรากฏอยู่ที่พระพุทธเจ้าทั้งหลาย จะเป็นสิ่งใหญ่หลวงก็หาไม่
    สำหรับการบำเพ็ญปารมิตาทั้ง ๖ ก็ดี การบำเพ็ญข้อวัตรปฏิบัติที่คล้ายๆ กันอีกเป็นจำนวนมากก็ดี หรือการได้บุญมากมายนับไม่ถ้วน เหมือนจำนวนเม็ดทรายในแม่น้ำคงคาก็ดี เหล่านี้นั้นจงคิดดูเถิด เมื่อเราเป็นผู้สมบูรณ์โดยสัจจะพื้นฐานในทุกกรณีอยู่แล้ว คือเป็น จิตหนึ่ง หรือ เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับพุทธะทั้งหลายอยู่แล้ว เราก็ไม่ควรพยายามจะเพิ่มเติมอะไรให้แก่สิ่งที่สมบูรณ์อยู่แล้วนั้น ด้วยการบำเพ็ญวัตรปฏิบัติต่างๆ ซึ่งไร้ความหมายเหล่านั้นไม่ใช่หรือ เมื่อไหร่โอกาสอำนวยให้ทำก็ทำมันไป และเมื่อโอกาสผ่านไปแล้ว อยู่เฉยๆ ก็แล้วกัน
    ถ้าเราไม่เห็นตระหนักอย่างเด็ดขาดลงไปว่า จิต นั้นคือ พุทธะ ก็ดี และถ้าเรายัง ยึดมั่นถือมั่น ต่อรูปธรรมต่างๆ อยู่ก็ดี ต่อวัตรปฏิบัติต่างๆ อยู่ก็ดี และต่อวิธีการบำเพ็ญบุญกุศลต่างๆ ก็ดี แนวความคิดของเราก็ยังคงผิดพลาดอยู่ และไม่เข้าร่องเข้ารอยกันกับ ทาง ทางโน้นเสียแล้ว
    จิตหนึ่ง นั่นแหละคือ พุทธะ ไม่มีพุทธะอื่นใดที่ไหนอีก ไม่มีจิตอื่นใดที่ไหนอีก มันแจ่มจ้าและไร้ตำหนิเช่นเดียวกับความว่าง คือ มันไม่มีรูปร่างหรือปรากฏการณ์ใดๆ เลย ถ้าเราใช้จิตของเราให้ปรุงแต่งความคิดฝันต่างๆ นั้น เท่ากับเราทิ้งเนื้อหาอันเป็นสาระเสีย แล้วไปผูกพันตัวเองอยู่กับรูปธรรม ซึ่งเป็นเหมือนกับเปลือก พุทธะซึ่งมีอยู่ตลอดกาลนั้น ไม่ใช่พุทธะของความยึดมั่นถือมั่น
    การปฏิบัติปารมิตาทั้ง ๖ และการบำเพ็ญข้อวัตรปฏิบัติต่างๆ ที่คล้ายคลึงกันอีกเป็นจำนวนนับไม่ถ้วน ด้วยเจตนาที่จะเป็นพุทธะสักองค์หนึ่งนั้น เป็นการปฏิบัติชนิดที่คืบหน้าทีละขั้นๆ แต่พุทธะซึ่งมีอยู่ตลอดกาลดังที่กล่าวแล้วนั้น หาใช่พุทธะที่ลุถึงได้ด้วยการปฏิบัติเป็นขั้นๆ เช่นนั้นไม่ เรื่องมันเป็นเพียงแต่ ตื่น และ ลืมตา ต่อจิตหนึ่งนั้นเท่านั้น และ ไม่มีอะไรที่จะต้องบรรลุถึงอะไร นี่แหละคือพุทธะที่แท้จริง พุทธะและสัตว์โลกทั้งหลาย คือ จิตหนึ่งนี้เท่านั้น ไม่มีอะไรอื่นนอกไปจากนี้อีกเลย
    จิตเป็นเหมือนกับความว่าง ซึ่งภายในนั้นย่อมไม่มีความสับสน และความไม่ดีต่างๆ ดังจะเห็นได้ ในเมื่อดวงอาทิตย์ผ่านไปในที่ว่างนั้น ย่อมส่องแสงไปได้ทั้งสี่มุมโลก เพราะว่าเมื่อดวงอาทิตย์ขึ้น ย่อมให้ความสว่างทั่วพื้นโลก ความว่างที่แท้จริงนั้น มันก็ไม่ได้สว่างขึ้น และเมื่อดวงอาทิตย์ตก ความว่างก็ไม่ได้มืดลง ปรากฏการณ์ของความสว่าง และความมืดย่อมสับเปลี่ยนซึ่งกันและกัน แต่ธรรมชาติของความว่างนั้น ยังคงไม่เปลี่ยนแปลงอยู่นั่นเอง จิตของพุทธะและของสัตว์โลกทั้งหลายก็เป็นเช่นนั้น
    ถ้าเรามองดูพุทธะ ว่าเป็นผู้แสดงออก ซึ่งความปรากฏของสิ่งที่บริสุทธิ์ผ่องใส และรู้แจ้งก็ดี หรือมองสัตว์โลกทั้งหลายว่า เป็นผู้แสดงออกซึ่งความปรากฏของสิ่งที่โง่เง่า มืดมน และมีอาการสลบไสลก็ดี ความรู้สึกนึกคิดเหล่านี้ อันเป็นผลที่เกิดมาจากความคิดยึดมั่นต่อรูปธรรมนั้น จะกันเราไว้เสียจากความรู้อันสูงสุด ถึงแม้ว่าเราจะได้ปฏิบัติมาตลอดกี่กัปนับไม่ถ้วน ประดุจเม็ดทรายในแม่น้ำคงคาแล้วก็ตาม มีแต่จิตหนึ่งเท่านั้น และไม่มีสิ่งใดแม้แต่อนุภาคเดียวที่จะอิงอาศัยได้ เพราะ จิตนั้นเอง คือ พุทธะ
    เมื่อพวกเราที่เป็นนักศึกษาเรื่อง ทาง ทางโน้นไม่ลืมตาต่อสิ่งซึ่งเป็นสาระ กล่าวคือ จิตนี้ พวกเราจะปิดบัง จิต นั้นเสีย ด้วยความคิดปรุงแต่งของเราเอง พวกเราจะเที่ยวแสวงหา พุทธะ นอกตัวเราเอง พวกเรายังคงยึดมั่นต่อรูปธรรมทั้งหลาย ต่อการปฏิบัติเมาบุญต่างๆ ทำนองนั้น ทั้งหมดนี้เป็นอันตราย และไม่ใช่หนทางอันนำไปสู่ความรู้อันสูงสุดที่กล่าวนั้นแต่อย่างใด
    เนื้อแท้แห่งสิ่งสูงสุดสิ่งนั้น โดยภายในแล้วย่อมเหมือนกับไม้หรือก้อนหิน คือภายในนั้นปราศจาก การเคลื่อนไหว และโดยภายนอกแล้วย่อมเหมือนกับความว่าง กล่าวคือ ปราศจากขอบเขตหรือสิ่งกีดขวางใดๆ สิ่งนี้ไม่ใช่เป็นฝ่ายนามธรรม หรือฝ่ายรูปธรรม มันไม่มีที่ตั้งเฉพาะ ไม่มีรูปร่าง และไม่อาจจะหายไปได้เลย
    จิตนี้ไม่ใช่จิตซึ่งเป็นความคิดปรุงแต่ง มันเป็นสิ่งซึ่งอยู่ต่างหาก ปราศจากการเกี่ยวข้องกับรูปธรรมโดยสิ้นเชิง ฉะนั้น พระพุทธเจ้าทั้งหลาย และสัตว์โลกทั้งปวงก็เป็นเช่นนั้น พวกเราเพียงแต่สามารถปลดเปลื้องตนเองออกจากความคิดปรุงแต่งเท่านั้น พวกเราจะประสบความสำเร็จทุกอย่าง
    หลักธรรมที่แท้จริงก็คือ จิต นั่นเอง ซึ่งถ้านอกไปจากนั้นแล้วก็ไม่มีหลักธรรมใดๆ จิตนั่นแหละคือหลักธรรม ซึ่งถ้านอกไปจากนั้นแล้วมันก็ไม่ใช่จิต จิตนั้น โดยตัวมันเองก็ไม่ใช่จิต แต่ถึงกระนั้นมันก็ยังไม่ใช่ มิใช่จิต การที่จะกล่าวว่าจิตนั้นมิใช่จิต ดังนี้นั่นแหละ ย่อมหมายถึง สิ่งบางสิ่งซึ่งมีอยู่จริง สิ่งนี้มันอยู่เหนือคำพูด ขอจงเลิกละการคิดและการอธิบายเสียให้หมดสิ้น เมื่อนั้น เราอาจกล่าวได้ว่า คลองแห่งคำพูดก็ได้ถูกตัดขาดไปแล้ว และ พฤติของจิต ก็ถูกเพิกถอนขึ้นสิ้นเชิงแล้ว
    จิตนี้คือ พุทธโยนิ อันบริสุทธิ์ ซึ่งมีประจำอยู่แล้วในคนทุกคน สัตว์ซึ่งมีความรู้สึกนึกคิด กระดุกกระดิกได้ทั้งหมดก็ดี พระพุทธเจ้าพร้อมทั้งพระโพธิสัตว์ทั้งหลายทั้งปวงก็ดี ล้วนแต่เป็นของแห่งธรรมชาติอันหนึ่งนี้เท่านั้น และไม่แตกต่างกันเลย ความแตกต่างทั้งหลายเกิดขึ้นจากเราคิดผิดๆ เท่านั้น ย่อมนำเราไปสู่การก่อสร้างกรรมทั้งหลายทั้งปวงทุกชนิดไม่มีหยุด
    ธรรมชาติแห่งความเป็นพุทธะดั้งเดิมของเรานั้น โดยความจริงอันสูงสุดแล้ว เป็นสิ่งที่ไม่มีความหมายแห่งความเป็นตัวตนแม้แต่สักปรมาณูเดียว สิ่งนั้นคือ ความว่าง เป็นสิ่งที่มีอยู่ในทุกแห่ง สงบเงียบ และไม่มีอะไรเจือปน มันเป็นสันติสุขที่รุ่งเรืองและเร้นลับ และก็หมดกันเพียงเท่านั้นเอง
    จงเข้าไปสู่สิ่งสิ่งนี้ได้ลึกซึ้ง โดยการลืมตาต่อสิ่งนี้ด้วยตัวเราเอง สิ่งซึ่งอยู่ตรงหน้าเรานี้แหละ คือสิ่ง สิ่งนั้น ในอัตราที่เต็มที่ทั้งหมดทั้งสิ้น และสมบูรณ์ถึงที่สุดแล้ว ไม่มีอะไรนอกไปจากนี้อีก
    จิตคือพุทธะ (สิ่งสูงสุด) มันย่อมรวมสิ่งทุกสิ่งเข้าไว้ในตัวมันทั้งหมด นับแต่พระพุทธเจ้าที่ตรัสรู้แล้วทั้งหลายเป็นสิ่งที่สุดในเบื้องสูง ลงไปจนกระทั่งถึงสัตว์ประเภทที่ต่ำต้อยที่สุด ซึ่งเป็นสัตว์เลื้อยคลานและแมลงต่างๆ เป็นที่สุดในเบื้องต่ำ สิ่งเหล่านี้ทุกสิ่ง มันย่อมมีส่วนแห่งความเป็นพุทธะเท่ากันหมด และทุกๆ สิ่งมีเนื้อหาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับ พุทธะ อยู่ตลอดเวลา
    ถ้าพวกเราเพียงแต่สามารถทำความเข้าใจในจิตของเราเองได้สำเร็จ แล้วค้นพบธรรมชาติอันแท้จริงของเราเองได้ ด้วยความเข้าใจอันนี้เท่านั้น ก็จะเป็นที่แน่นอนว่า ไม่มีอะไรที่พวกเราจำเป็นที่จะต้องแสวงหาแม้แต่อย่างใดเลย
    จิตของเรานั้น ถ้าเราทำความสงบเงียบอยู่จริงๆ เว้นขาดจากการคิดนึก ซึ่งเป็นการเคลื่อนไหวของจิต แม้แต่น้อยที่สุดเสียให้ได้จริงๆ ตัวแท้ของมันก็จะปรากฏออกมาเป็นความว่าง แล้วเราก็จะพบว่ามันเป็นสิ่งที่ปราศจากรูป มันไม่ได้กินเนื้อที่อะไรๆ ที่ไหน แม้แต่จุดเดียว มันไม่ได้ตกลงสู่การบัญญัติว่าเป็นพวกที่มีความเป็นอยู่ หรือไม่มีความเป็นอยู่ แม้แต่ประการใดเลย เพราะเหตุที่ สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่เรารู้สึกไม่ได้โดยทางอายตนะ เพราะจิตซึ่งเป็นธรรมชาติที่แท้ของคนเรานั้น มันเป็นครรภ์หรือกำเนิด ไม่มีใครทำให้เกิดขึ้นและไม่อาจถูกทำลายได้เลย
    ในการทำปฏิกิริยาตอบสนองต่อสิ่งแวดล้อมต่างๆ นั้น มันเปลี่ยนรูปของมันเองออกมาเป็นปรากฏการณ์ต่างๆ เพื่อสะดวกในการพูด เราพูดถึงจิตในฐานะที่เป็นตัวสติปัญญา แต่ในขณะที่มันไม่ได้ทำการตอบสนองต่อสิ่งแวดล้อม คือไม่ได้เป็นตัวสติปัญญาที่นึกคิด หรือสร้างสิ่งต่างๆ ขึ้นมานั้น มันเป็นสิ่งที่ไม่อาจถูกกล่าวถึงในการที่จะบัญญัติว่ามันเป็นความมีอยู่ หรือไม่ใช่ความมีอยู่
    ยิ่งไปกว่านั้น แม้ในขณะที่มันทำหน้าที่สร้างสิ่งต่างๆ ขึ้นมา ในฐานะที่ตอบสนองต่อกฎแห่งความเป็นเหตุและผลของกันและกันนั้น มันก็ยังเป็นสิ่งที่เรารู้สึกไม่ได้โดยทางอายตนะ ตา หู จมูก ลิ้น กาย และมโนทวาร อยู่นั่นเอง ถ้าเราทราบความเป็นจริงข้อนี้ เราทำความสงบเงียบสนิทอยู่ในภาวะแห่งความไม่มีอะไร ในขณะนั้น พวกเรากำลังเดินอยู่แล้วในทางแห่งพระพุทธเจ้าทั้งหลายโดยแท้จริง ดังนั้น เราควรเจริญจิตให้หยุดอยู่บนความไม่มีอะไรเลยทั้งสิ้น
    มูลธาตุทั้ง ๕ ซึ่งประกอบกันขึ้นเป็นวิญญาณนั้น เป็นของว่างเปล่า และมูลธาตุทั้ง ๔ ของรูปกายนั้น ไม่ใช่เป็นสิ่งซึ่งประกอบกันขึ้นเป็นตัวของเรา จิต จริงแท้นั้น ไม่มีรูปร่าง และไม่มีอาการมาหรืออาการไป ธรรมชาติเดิมแท้ของเรานั้นเป็นสิ่งๆ หนึ่ง ซึ่งไม่มีการตั้งต้นที่การเกิด และไม่มีการสิ้นสุดลงที่การตาย แต่เป็นของสิ่งเดียวกันรวด และปราศจากการเคลื่อนไหวใดๆ ในส่วนลึกจริงๆ ของมันทั้งหมด
    จิตของเรากับสิ่งต่างๆ ซึ่งแวดล้อมเราอยู่นั้นเป็นสิ่งๆ เดียวกัน ถ้าเราทำความเข้าใจได้ตามนี้จริงๆ เราจะได้ลุถึงความรู้แจ้งเห็นแจ้งได้โดยแวบเดียวในขณะนั้น และเราเป็นผู้ที่ไม่ต้องเกี่ยวข้องในโลกทั้งสามอีกต่อไป เราจะเป็นผู้อยู่เหนือโลก เราไม่มีการโน้มเอียงไปสู่การเกิดใหม่อีกแม้แต่นิดเดียว เราจะเป็นแต่ตัวเราเองเท่านั้น ปราศจากความคิดปรุงแต่งโดยสิ้นเขิง และเป็นสิ่งเดียวกับสิ่งสูงสุดสิ่งนั้น เราจะได้ลุถึงภาวะแห่งความที่ไม่มีอะไรปรุงแต่งได้อีกต่อไป ฉะนั้น นี่แหละคือหลักธรรมที่เป็นหลักมูลฐานอยู่ในที่นี้
    สัมมาสัมโพธิ เป็นชื่อของการเห็นแจ้งชัดว่าไม่มีธรรมใดเลยที่ไม่เป็นโมฆะ ถ้าเราเข้าใจความจริงข้อนี้แล้ว ของหลอกลวงทั้งหลายจะมีประโยชน์อะไรแก่เรา
    ปรัชญา คือความรู้แจ้ง ความรู้แจ้ง คือจิตต้นกำเนิดดั้งเดิม ซึ่งปราศจากรูป ถ้าเราสามารถทำความเข้าใจได้ว่า ผู้กระทำและสิ่งที่ถูกกระทำ คือจิตและวัตถุเป็นสิ่งๆ เดียวกัน นั่นแหละ จะนำเราไปสู่ความเข้าใจอันลึกซึ้ง และลึกลับเหนือคำพูด และโดยความเข้าใจอันนี้เอง พวกเราจะได้ลืมตาต่อสัจธรรมที่แท้จริงด้วยตัวเราเอง
    สัจธรรมที่แท้จริงของเรานั้น ไม่ได้หายไปจากเรา แม้ในขณะที่เรากำลังหลงผิดอยู่ด้วยอวิชชา และไม่ได้รับกลับมา ในขณะที่เรามีการตรัสรู้ มันเป็นธรรมชาติแห่งภูตัตถตา ในธรรมชาตินี้ไม่มีทั้งอวิชชา ไม่มีทั้งสัมมาทิฐิ มันเต็มอยู่ในความว่าง เป็นเนื้อหาอันแท้จริงของจิตหนึ่งนั้น เมื่อเป็นดังนี้แล้ว อารมณ์ต่างๆ ที่จิตของเราได้สร้างขึ้น ทั้งฝ่ายนามธรรมและฝ่ายรูปธรรม จะเป็นสิ่งซึ่งอยู่ภายนอกความว่างนั้นได้อย่างไร
    โดยหลักมูลฐานแล้ว ความว่างนั้นเป็นสิ่งซึ่งปราศจากมิติต่างๆ แห่งการกินเนื้อที่ คือปราศจากกิเลส ปราศจากกรรม ปราศจากอวิชชา และปราศจากสัมมาทิฏฐิ พวกเราต้องทำความเข้าใจอย่างกระจ่างแจ้งว่า โดยแท้จริงแล้ว ไม่มีอะไรเลย ไม่มีมนุษย์สามัญ ไม่มีพุทธทั้งหลาย เพราะว่าในความว่างนั้น ไม่มีอะไรบรรจุอยู่แม้เท่าเส้นขนที่เล็กที่สุด อันเป็นสิ่งซึ่งสามารถจะมองเห็นได้โดยทางมิติ หรือกฎแห่งการกินเนื้อที่เลย มันไม่ต้องอาศัยอะไร และไม่ติดเนื่องอยู่กับสิ่งใด มันเป็นความงามที่ไร้ตำหนิ เป็นสิ่งซึ่งอยู่ได้ด้วยตัวมันเอง และเป็นสิ่งสูงสุดที่ไม่มีอะไรสร้างขึ้น มันเป็นเพชรพลอยที่อยู่เหนือการตีค่าทั้งปวงเสียจริงๆ เราต้อง แยกรูปถอด ด้วยวิชชา มรรคจิต เหตุต้องละ ผลต้องละ ใช้หนี้ก็หมด พ้นเหตุเกิด
    สิ่งมีชีวิตและไม่มีชีวิตในจักรวาล มีนับไม่ถ้วนรวมแล้วมี รูปกับนาม สองอย่างเท่านั้น นามเดิม ก็คือ ความว่างของจักรวาล เข้าคู่กันเป็น เหตุเกิด ตัวอวิชชา เกิดเหตุก่อ ที่ใดมีรูป ที่นั้นต้องมีนาม ที่ใดมีนาม ที่นั้นต้องมีรูป รูปนามรวมกัน เป็นเหตุเกิดปฏิกิริยา ให้เปลี่ยนแปลงตลอดกาล และ เกิดกาลเวลาขึ้น คือรูปย่อมมีความดึงดูดซึ่งกันและกัน จึงเป็นเหตุให้รูปเคลื่อนไหว และหมุนรอบตัวเองตามปัจจัย รูปเคลื่อนไหวได้ ต้องมีนาม ความว่างคั่นระหว่างรูป รูปจึงเคลื่อนไหวได้
    เมื่อสภาวธรรมเป็นอย่างนี้ สรรพสิ่งของวัตถุ สสารมีชีวิต และไม่มีชีวิตจึงต้องเปลี่ยนแปลง เป็นไตรลักษณ์ เกิด ดับ สืบต่อทุกขณะจิตไม่มีวันหยุดนิ่งให้คงทนเป็นปัจจุบันได้
    จิต วิญญาณ ก็เกิดมาจาก รูปนามของจักรวาล มันเป็นมายาหลอกลวงแล้วเปลี่ยนแปลงให้คนหลง จากรูปนามไม่มีชีวิต เปลี่ยนมาเป็นรูปนามที่มีชีวิต จากรูปนามที่มีชีวิต มาเป็นรูปนามมีชีวิตที่มีจิตวิญญาณ แล้วจิตวิญญาณก็เปลี่ยนแปลงแยกออกจากกัน คงเหลือแต่ นามว่างที่ปราศจากรูป นี้ เป็นจุดสุดยอดของการหลอกลวงของรูปนาม
    ต้นเหตุเกิดรูปนามของจักรวาลนั้น เป็นเหตุเกิด รูปนามพิภพ ต่างๆ ตลอดจนดวงดาวนับไม่ถ้วน เพราะไม่มีที่สิ้นสุด รูปนามพิภพต่างๆ เป็นเหตุให้เกิด รูปนามพืช รูปนามพืชเป็นเหตุให้เกิด รูปนามสัตว์ เคลื่อนไหวได้ จึงเรียกกันว่า เป็นสิ่งมีชีวิต
    ความจริง รูปนามจะมีชีวิตหรือไม่มีชีวิตมันก็เคลื่อนไหวได้ เพราะมันมีรูปกับนาม เป็นเหตุเป็นผลให้เกิดปฏิกิริยาอยู่ในตัว ให้เคลื่อนไหวตลอดกาล และ(เกิด) การเปลี่ยนแปลง บางอย่างเรามองด้วยตาเนื้อไม่เห็น จึงเรียกกันว่าเป็นสิ่งไม่มีชีวิต
    เมื่อรูปนามของพืชเปลี่ยนมาเป็นรูปนามของสัตว์ เป็นจุดตั้งต้นชีวิตของสัตว์ และเป็น เหตุให้เกิด จิต วิญญาณ การแสดง การเคลื่อนไหว เป็นเหตุให้เกิดกรรม
    สัตว์ชาติแรกมีแต่สร้างกรรมชั่ว สัตว์กินสัตว์ และ(มี)ความโกรธ โลภ หลง ตามเหตุ ปัจจัย ภายนอกภายในที่มากระทบ กรรมที่สัตว์แสดง มี ตา หู จมูก ลิ้น กาย ๕ อย่าง ไปกระทบกับ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ๕ อย่าง แล้วมาประทับ บรรจุ บันทึก ถ่ายภาพ ติดอยู่กับ รูปปรมาณู ซึ่งเป็น สุขุมรูป แฝงอยู่ในความว่าง เราไม่สามารถมองเห็นด้วยตาได้ ที่แฝงอยู่ในความว่างระวางคั่น ตา หู จมูก ลิ้น กาย นั้นไว้ได้หมดสิ้น
    เมื่อสัตว์ชาติแรกเกิดนี้ ได้ตายลง มี กรรมชั่ว อย่างเดียว เป็น เหตุให้สัตว์ต้องเกิดอีก เพื่อให้สัตว์ต้อง ใช้หนี้ กรรมชั่วที่ได้ทำไว้ แต่สัตว์เกิดขึ้นมาแล้วหายอม ใช้หนี้เกิด กันไม่ มันกลับ เพิ่มหนี้ ให้เป็น เหตุเกิด ทวีคูณ ด้วยเพศผู้เพศเมียเกิดเป็น สุขุมรูป ติดอยู่ใน ๕ กองนี้ เป็นทวีคูณจนปัจจุบันชาติ
    ดังนั้น ด้วยอำนาจกรรมชั่วในสุขุมรูป ๕ กอง ก็เกิดหมุนรวมกันเข้าเป็น รูปปรมาณูกลม คงรูปอยู่ได้ด้วยการหมุนรอบตัวเอง มิหยุดนิ่ง เป็นคูหาให้จิตใจได้อาศัยอยู่ข้างใน เรียกว่า รูปวิญญาณ หรือจะเรียกว่า รูปถอด ก็ได้ เพราะถอดมาจากนามระวางคั่น ตา หู จมูก ลิ้น กาย นั่นเอง ซึ่งเป็นสุขุมรูปแฝงอยู่ในความว่าง รูปวิญญาณ จึงมีชีวิตอยู่คงทนอยู่ ยืนนานกว่า รูปหยาบ มีกรรมชั่วคอยรักษาให้หมุนคงรูปอยู่ ไม่มีเทพเจ้าองค์ใดฆ่าให้ตายได้ นอกจาก นิพพาน เท่านั้น รูปวิญญาณจึงจะสลาย
    ส่วนการแสดงกรรมของสัตว์ที่ประทับอยู่ในสุขุมรูป มีรูป ตา หู จมูก ลิ้น กาย ๕ กองนั้นรวมกันเข้าเรียกว่า จิต จึงมี สำนักงานจิต ติดอยู่ในวิญญาณ ๕ กอง รวมกันเป็นที่ทำงานของ จิตกลาง แล้วไปติดต่อกับ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ภายนอก ซึ่งเป็นสื่อติดต่อของจิต ดังนั้น จิต กับ วิญญาณ จึงไม่เหมือนกัน จิตเป็นผู้รู้สึกนึกคิด ส่วนวิญญาณเป็นคูหาให้จิตได้อาศัยอยู่ และเป็นยานพาหนะพาจิตไปเกิด หรือจะไปไหนๆ ก็ได้ เป็นผู้รักษา สุขุมรูป รูปที่ถอดจากรูปหยาบ มีรูปเพศผู้ เพศเมีย รูป ตา หู จมูก ลิ้น กาย อยู่ในวิญญาณไว้ได้เป็นเหตุเกิดสืบภพต่อชาติ
    เมื่อสัตว์ตาย ชีวิตร่างกายหยาบของภพภูมิชาตินั้นๆ ก็หมดไปตามอายุขัย (ของ) ชีวิตร่างกายหยาบของภูมิชาตินั้นๆ ส่วนชีวิตแท้ รูป ปรมาณู วิญญาณ จะไม่ตายสลายตาม จะต้องไปเกิดตามภพภูมิต่างๆ ตามเหตุปัจจัยของวัฏฏะหมุนเวียนเปลี่ยนไปด้วย
    ชีวิตแท้-รูปถอดหรือวิญญาณหมุนรอบตัวเอง นี้เอง เป็นเหตุให้จิตเกิดดับ สืบต่อ คอยรับเหตุการณ์ภายนอกภายในที่มากระทบ จะดีหรือชั่วก็สะสมเข้าไว้ เป็นทุน เหตุเกิด เหตุดับ หรือปรุงแต่งต่อไป จนกว่า กรรมชั่ว-เหตุเกิด จะหมดไป ชีวิตแท้-รูปถอดหรือวิญญาณ ก็จะหยุดการหมุน รูปสุขุม-รูปวิญญาณ ซึ่งเกิดมาจากกรรมชั่ว สืบต่อมาแต่ชาติแรกเกิด ก็จะสลายแยกออกจากกันไป คงรูปอยู่ไม่ได้ มันก็กระจายไป ส่วนกิจกรรมดี ธรรมะที่ติดอยู่กับวิญญาณ มันก็จะกระจายไปกับรูปปรมาณู คงเหลือแต่ความว่างที่คั่นช่องว่างของรูปปรมาณูทุกๆ ช่อง ฉะนั้น โดยปราศจากรูปปรมาณู ความว่างนั้น จึงบริสุทธิ์และสว่าง รวมเข้ากับความว่าง บริสุทธิ์ สว่าง ของจักรวาลเดิม เข้าเป็นหนึ่งเรียกว่า นิพพาน
    เมื่อสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ทรงสร้างชีวิตพระพุทธศาสนา ให้ก่อเกิดอย่างบริบูรณ์ดังพระประสงค์แล้ว พระพุทธองค์จึงได้ทรงเสด็จสู่อนุปาทิเสสนิพพาน (นิพพานไม่มีอุปาทิเหลือ, ดับกิเลสไม่มีเบญจขันธ์เหลือ คือสิ้นทั้งกิเลสและชีวิต) เป็นผู้หมดสิ้นทุกตัณหา เป็นผู้ดับรอบโดยลักษณาการแห่งอนุปาทิเสสนิพพานของพระพุทธองค์ก็คือ ลำดับแรก ก็เจริญฌานดิ่งสนิทเข้าไปจนถึงสัญญาเวทยิตนิโรธ หมายความว่า เข้าไปดับลึกสุดอยู่เหนือ อรูปฌาน
    ในวาระแรกนั้น พระองค์ยังไม่ได้ดับขันธ์ต่างๆ ให้สิ้นสนิทเป็นเด็ดขาดแต่อย่างใด ยังเพียงเข้าไปเพื่อทรงกระบวนการแห่งการสู่นิพพาน หรือนิโรธ เป็นครั้งสุดท้ายแห่งชีวิต พูดง่ายๆ ก็คือสู่สิ่งที่พระองค์ได้ทรงสร้าง ได้ทรงพากเพียรก่อเป็นทาง เป็นแบบอย่างไว้ เป็นครั้งสุดท้ายเสียหน่อย ซึ่งเรียกได้ว่าสิ่งอันเกิดจากที่พระองค์ได้ยอมอยู่กับธุลีทุกข์ อันเป็นธุลีทุกข์ที่มนุษย์ธรรมดา (เป็น) ผู้ที่มีจิตหยาบเกินกว่าจะสัมผัสว่า มันเป็นทุกข์
    นี่แหละ กระบวนการกระทำจิตตน ให้ถึงซึ่งสัญญาเวทยิตนิโรธนั้น เป็นกระบวนการที่พระอนุตตรสัมมาสัมพุทธเจ้า พระผู้เป็นยอดแห่งศาสดาในโลกเท่านั้นที่ทรงค้นพบ ทรงนำมาตีแผ่เผย แจ้งออกสู่สัตว์โลกให้พึงปฏิบัติตาม เมื่อทรงสิ่งซึ่งสุดท้ายนี้แล้ว จึงได้ถอยกลับมาสู่สภาวะต้น คือ ปฐมฌาน แล้วจึงได้ตัดสินพระทัยสุดท้าย เสด็จดับขันธ์ต่างๆ ไปทีละขันธ์ วิญญาณขันธ์แห่งชีวิต และร่างกายนั้น เพราะต้องดับสังขารขันธ์ หรือสังขารธรรมชั้นแรกเสียก่อน วิญญาณขันธ์จึงได้ดับ ดังนั้น จึงไม่มีเชื้อใดเหลืออยู่แห่งวิญญาณขันธ์ที่หยาบนั้น
    พระองค์เริ่มดับ สังขารขันธ์ หรือ สังขารธรรม ชั้นในสุดอีกที อันจะส่งผลให้ก่อ วิภวตัณหา ได้ชั้นหนึ่งเสียก่อน แล้วจึงได้เลื่อนเข้าสู่ ทุติยฌาน แล้วจึงดับ สัญญาขันธ์ เลื่อนเข้าสู่ ตติยฌาน เมื่อ พระองค์ดับสังขารขันธ์ หรือสังขารธรรม ชั้นในสุดอีกที ก็เป็นอันเลื่อนเข้าสู่ จตุตถฌาน คงมีแต่ เวทนาขันธ์ สุดท้ายแห่งชีวิต นั้นแล คือลักษณาการแห่งขั้นสุดท้ายของการจะดับสิ้นไม่เหลือ
    เมื่อพระองค์ดับ สังขารขันธ์ หรือ สังขารธรรม ใหญ่สุดท้ายที่มีทั้งสิ้นแล้ว แล้วก็มาดับ เวทนาขันธ์ อันเป็น จิตขันธ์ หรือ นามขันธ์ ที่ในจิตส่วนในคือ ภวังคจิต เสียก่อน แล้วจึงได้ออกจาก จตุตถฌาน พร้อมกับมาดับ จิตขันธ์ หรือ นามขันธ์ สุดท้ายจริงๆ ของพระองค์เสียลงเพียงนั้น
    นี่ พระองค์เข้าสู่นิพพานอย่างจริงๆ อยู่ตรงนี้ พระองค์ไม่ได้เข้าสู่นิพพานในฌานสมาบัติอะไรที่ไหนดอก เมื่อพระองค์ออกจากจตุตถฌานแล้ว จิตขันธ์หรือนามขันธ์ก็ดับพร้อม ไม่มีอะไรเหลือ นั่นคือ พระองค์ ดับเวทนาขันธ์ในภาวะจิตตื่น หรือวิถีจิตปกติของมนุษย์ ครบพร้อมทั้งสติและสัมปชัญญะ ไม่ถูกภาวะอื่นใดที่มาครอบงำอำพราง ให้หลงใหลใดๆ ทั้งสิ้น เป็นภาวะแห่งตนเองอย่างบริบูรณ์
    เมื่อ เวทนาขันธ์ สุดท้ายแท้ๆ จริงๆ ได้ถูกทำลายลงอย่างสนิท จึงเป็นผู้บริสุทธิ์ หมดสิ้นแล้วซึ่งสังขารธรรม และหมดเชื้อ จิตขันธ์ หรือ นามขันธ์ ทั้งปวงใดๆ ในพระองค์ท่าน ไม่มีเหลือ คงทิ้งแต่ รูปขันธ์ อันจะมีชีวิตนั้นไม่ได้แน่ เพราะรูปไม่ใช่ชีวิตหากสิ้นนามเสียแล้ว ก็คือแท่ง คือก้อนวัตถุหนึ่ง เท่านั้นเอง
    นั่นแล คือ ลำดับฌาน ที่พระอนุรุทธเถระเจ้าได้นำฌานจิตเข้าไปดู เป็นวิธีการดับโดยแท้ ดับโดยจริงโดยพระองค์เป็นผู้ดับเองเสียด้วย





    [​IMG]


    พระราชวุฒาจารย์ (หลวงปู่ดูลย์ อตุโล)

     
  20. Ongsathit

    Ongsathit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    625
    ค่าพลัง:
    +572
    อุปทาขันธ์ 5 (สัญญาขันธ์) ไม่เที่ยง สิ่งใดไม่เที่ยงสิ่งนั้นเป็น ทุกข์ ความจำ ความนึกคิดเป็นขันธ์ทั้งนั้น จิตคือความนึกคิด เจตสิกคือการปรุงแต่งความนึกคิด อย่าพยายาม วิ่งตามสิ่งเหล่านี้เลย ควร รีบสร้าง สติ (สติ คือ ความรู้สึกตัว สมาธิ คือ ความตั้งมั้นในความรู้สึกตัว ปัญญา คือ ความรอบรู้) หากมี มหาสติ มหาปัญญา ท่านก็ คือ พระอรหันต์ น้อยๆแล้ว
     

แชร์หน้านี้

Loading...