เตือนพระหาเงิน ผิดทั้งวินัย ผิดทั้งกฏหมาย!

ในห้อง 'Black Hole' ตั้งกระทู้โดย THODSAPOL SETTAKASIKIT, 28 พฤศจิกายน 2010.

  1. THODSAPOL SETTAKASIKIT

    THODSAPOL SETTAKASIKIT เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    107
    ค่าพลัง:
    +101

    ย้อนไปทำความเข้าใจในจุดเริ่มใหม่ครับ

    เพราะทองเหลืองไม่ใช่พระพุทธเจ้า ผมก็เลยยกตัวอย่างครับ ว่า
    ...ถ้าจะกล่าวว่าพระพุทธเจ้านั่งอยู่ในโบสถ์ ก็หลอกกันสิครับ...
    ถ้าพระพุทธเจ้านั่งในโบสถ์ ก็จะว่าพระพุทธเจ้านั่งในโบสถ์
    คือ ทองเหลืองไม่ใช่พระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าไม่ใช่ทองเหลือง
    ก็เลยบอกว่าหลอกกันสิครับ นั่นคือรูปทองเหลือง เพราะรูปของพระพุทธเจ้าไม่มีอีกแล้วเมื่อพระองค์ปรินิพพาน ก็มีเรื่องยืนยันอยู่ รูปนั้นจึงเป็นทองเหลืองหล่อเป็นรูป

    แล้วพระพุทธเจ้ากล่าวเรื่องรูปอย่างไร?

    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
    เธอทั้งหลายจงเป็นผู้มีตนเป็นที่พึ่ง มีตนเป็นสรณะ ไม่มีสิ่งอื่นเป็นสรณะ
    จงเป็นผู้มีธรรมเป็นที่พึ่ง มีธรรมเป็นสรณะ ไม่มีสิ่งอื่นเป็นสรณะ
    อยู่เถิด ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อเธอทั้งหลายจะมีตนเป็นที่พึ่ง มีตนเป็น
    สรณะ ไม่มีสิ่งอื่นเป็นสรณะ มีธรรมเป็นที่พึ่ง มีธรรมเป็นสรณะ ไม่มี
    สิ่งอื่นเป็นสรณะอยู่ จะต้องพิจารณาโดยแยบคายว่า โสกะ ปริเทวะ
    ทุกข์ โทมนัส และอุปายาส มีกำเนิดมาอย่างไร เกิดมาจากอะไร
    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส และอุปายาส มี
    กำเนิดมาอย่างไร เกิดมาจากอะไร ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ปุถุชนผู้มิได้
    สดับแล้วในโลกนี้ ไม่ได้เห็นพระอริยเจ้าทั้งหลาย ไม่ฉลาดในธรรม
    ของพระอริยเจ้า ไม่ได้รับแนะนำในอริยธรรม ไม่ได้เห็นสัตบุรุษ
    ทั้งหลาย ไม่ฉลาดในธรรมของสัตบุรุษ ไม่ได้รับแนะนำในสัปปุริสธรรม
    ย่อมตามเห็นรูปโดยความเป็นตน ๑ ย่อมเห็นตนมีรูป ๑ ย่อมเห็นรูป
    ในตน ๑ ย่อมเห็นตนในรูป ๑ รูปนั้นของเขาย่อมแปรไป ย่อมเป็น
    อย่างอื่นไป โสกะ (โศกเศร้า,หมดกำลังใจ)ปริเทวะ (คร่ำครวญ,อาลัยอาวรณ์)
    ทุกข์(ความลำบาก) โทมนัส(เสียใจ) และอุปายาส(ความคับแค้นใจ)
    ย่อมเกิดขึ้นแก่เขา เพราะรูปแปรไปและเป็นอื่นไป
    เล่ม ๒๗ หน้า ๘๘
    http://palungjit.org/tripitaka/index.php
    http://www.dhammahome.com/front/tipitaka/
    http://www.samyaek.com/tripidok/book27/051_100.htm

    แล้วจริงไหมหล่ะ? แปรไปจากพุทธรูปเป็นทองเหลือง มีอาการตามนั้นหรือเปล่า
    ผู้ถูกสอนมาว่าทองเหลืองคือพุทธานุสติ หรือยึดเหนี่ยวไว้ในความโศกเศร้า พิลัยรำพัน ร้องไห้เสียใจ จนมีแค้นใจ คนที่เรียกทองเหลือง จริงหรือเปล่าหล่ะคิดเอาครับ

    คราวนี้มาดูที่พระพุทธเจ้าสั่งไว้ดีกว่า ที่ตัวสีน้ำเงินนั่นนะครับ

    มีตนเป็นที่พึ่ง มีตนเป็น
    สรณะ ไม่มีสิ่งอื่นเป็นสรณะ
    เคยได้ยินหรือเปล่าครับ
    ตนนั่นแหละเป็นที่พึ่งของตน

    เพราะบุคคลอาศัยคนอื่น ไม่สามารถเพื่อจะมีสวรรค์หรือมรรคเป็นที่ไปในเบื้องหน้าได้, ฉะนั้นตนนั่นแหละเป็นที่พึ่งของตน, คนอื่นจะทำอะไรได้
    http://www.dhammahome.com/front/webboard/show.php?id=11646
    เล่ม ๔๒ หน้า ๒๐๘
    http://palungjit.org/tripitaka/index.php
    http://www.dhammahome.com/front/tipitaka/

    มีธรรมเป็นที่พึ่ง มีธรรมเป็นสรณะ ไม่มีสิ่งอื่นเป็นสรณะอยู่
    เคยได้ยินหรือเปล่าครับ ธรรมแลย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม

    ธรรมแลย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม ธรรม
    บุคคลประพฤติดีแล้ว ย่อมนำสุขมาให้
    นี้เป็นอานิสงส์ ในธรรมที่ประพฤติดีแล้ว ผู้
    ประพฤติธรรมย่อมไม่ไปสู่ทุคติ.
    [๑๔๒๑] ธรรมแลย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม
    เหมือนร่มใหญ่ในฤดูฝน ฉะนั้น ธรรมปาละ-
    บุตรของเรา อันธรรมคุ้มครองแล้ว กระดูกที่
    ท่านนำเอามานี้ เป็นกระดูกสัตว์อื่น บุตรของ
    เรายังมีความสุข.
    เล่ม ๕๙ หน้า ๘๘๑
    http://palungjit.org/tripitaka/index.php
    http://www.dhammahome.com/front/tipitaka/
    http://www.samyaek.com/tripidok/book59/851_900.htm

    แล้วมีคำถามอีกหล่ะ แล้วธรรมข้อไหนหว่า?
    หลายท่านก็คงบ่นคงท่องกันมานานแล้ว
    พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ
    ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ
    สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ

    ค่อยต่อทีหลังแล้วกันครับ
    คุณประยุทธ์ใจเย็นๆ ไล่อ่านอันเก่าไปพลางๆก่อนนะครับ

    บุญจากการเปิดธรรมวินัยนี้ จงสำเร็จแก่ ญาติ เทวดาที่รักษา นายเวร เชื้อโรคข้า ครอบครัวข้า ชาวทิพย์ที่ดูแลกิจการที่เกี่ยวข้องกับข้า ชาวทิพย์ที่ดูแลรักษาพุทธศาสนา และผู้ต้องการตลอดไป

    น่าจะใช้ได้เน๊าะ พี่คมน์ อ้างอิงหน่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 มกราคม 2011
  2. เพียว

    เพียว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มีนาคม 2005
    โพสต์:
    75
    ค่าพลัง:
    +492
    ทำไม๊มานั่งมุ่งเรื่องพระไม่ควรจับเงินกับไม่ให้ยึดพระพุทธรูป ไม่ต้องมีพระพุทธรูป สองอย่างนี้ทำแล้วจะเป็นข้อใหญ่ที่จะทำให้สำเร็จมรรคผลหรือ ยังไงผู้ปฏิบัติที่เข้าใจจริงก็ยังต้องยึดพระธรรมเป็นแนวทางปฏิบัติอยู่แล้ว แล้วนอกจากสองอย่างนี้แล้วไม่มีอย่างอื่นที่จะเป็นการปฏิบัติเพื่อการพ้นทุกข์อีกหรือ เหมือนมานั่งจับผิดพระอย่างหนึ่งว่า พระจับเงินแล้วผิด พระที่บอกว่าพระพุทธรูปคือสิ่งที่ไว้ระลึกถึงพระพุทธเจ้า เป็นสิ่งที่ผิด เพราะในพระไตรปิฎกบอกไว้ว่าไม่ใช่สรณะ แต่ในชีวิตประจำวันแม้พระไม่รับ ไม่จับเงิน แล้วความเป็นอยู่ที่เป็นชีวิตประจำวัน ก็มาจากเงินที่ชาวบ้านถวายให้ แล้วถ้าให้ถวายเงินผ่านกรรมการ หรือมัคทายก มีอะไรรับรองว่าทั้งสองมีความโลภหรือเปล่ามีความเป็นอริยะหรือเปล่า แต่ที่ดีก็มีนะ แต่ถ้าเกิดไม่ดีขึ้นมาล่ะจะทำยังไงดี
    ผมถึงเห็นว่ารู้สึกให้ความสำคัญกับสองข้อนี้มากเกินไป แทนที่จะให้ความสำคัญในข้อธรรมที่จะทำให้กิเลสมันลดลงดีกว่า โดยเฉพาะกิเลส และมานะในตัวเอง เลยไม่รู้ว่าเจ้าของกระทู้เคยบวชหรือยัง ถ้ายังน่าจะบวชแล้วใช้สองข้อนี้ปฏิบัติ แล้วมันทำให้กิเลสลดลงหรือไม่ แต่ถ้าเคยบวชแล้วไม่รู้ว่าเคยทำสองนี้หรือยัง ถ้ายัง ก็เป็นแต่เพียงผู้ศึกษามาแล้วถ่ายทอด จะให้ดีควรปฏิบัติด้วยตัวเองดูก่อนจะได้ทราบถึงผล ความรู้สึก และสภาพของจิตตัวเองว่าเป็นอย่างไรได้ละเอียดกว่านี้ ว่าไม่ไหว้พระพุทธรูปแล้วกิเลสลดลงจริงหรือ ความไม่หลงในรูป รส กลิ่น เสียง ลดลงจริงหรือ การที่ไม่จับเงิน ไม่รับเงิน ความโลภ ความหลง ลดลงจริงหรือ มิใช่เอาแต่พระไตรปิฎกมาอ้าง แต่ความรู้สึกของใจที่รับรู้จากการที่ได้ทำเองมันคงไม่เหมือนกัน เปรีบเหมือนน้ำถ้าไม่ได้ดื่มเองก็ไม่รู้ว่าร้อน หรือเย็น เค็ม หรือหวาน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 3 ธันวาคม 2010
  3. ทหารเก่า

    ทหารเก่า เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    3,027
    ค่าพลัง:
    +19,019
    ตอนนี้ผมสังเกตุ และอ่านดูกลายเป็นเรื่อง ของข้าถูกของเอ็งผิดไปแล้ว ครูอาจารย์แต่ละท่านอาจแนะนำมาไม่เหมือนกัน แต่มันก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่ ที่เราต้องมาเถียงกันว่าใครถูกใครผิด เหมือนคำพูดที่ว่า เอาตามบาลี กับเลี่ยงบาลี เราทุกคนต้องยอมรับในความจริงว่ายุคสมัยมันเปลี่ยนไป กุสโลบาย ของครูอาจารย์ที่สั่งสอนเราก็ล้วนแต่มีจุดหมายเดียวกัน การหยุดมิได้หมายความว่าเราผิดหรือถูก มนุษย์เรามีสติปัญญาไม่เท่ากัน กุสโลบายที่ท่านสอนจึงทำให้พุทธศาสนาดำรงค์อยู่จนถึงปัจจุบัน หากข้อความใดที่ผมแสดงความคิดเห็นทำให้ท่านระคายเคืองหรือไม่พอใจผมต้องขอกราบขอขมาด้วยครับเป็นความคิดเห็นส่วนตัวครับเพราะตัวผมเองก็ยังไม่บรรลุสัจธรรมใดๆครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • ctoon23.gif
      ctoon23.gif
      ขนาดไฟล์:
      22.9 KB
      เปิดดู:
      38
  4. Komodo

    Komodo หัวหน้าศูนย์ประชาสัมพันธ์ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    11,610
    กระทู้เรื่องเด่น:
    145
    ค่าพลัง:
    +104,605
    เยี่ยมครับ แบบนี้จะช่วยให้อ่านง่าย และเข้าใจง่ายขึ้นครับ

    โมทนา
     
  5. prayut.r

    prayut.r เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    150
    ค่าพลัง:
    +1,707
    ขออนุโมทนากับความเห็นของคุณ sompob16 ครับ
     
  6. prayut.r

    prayut.r เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    150
    ค่าพลัง:
    +1,707
    แต่ผมก็มีคำถามถึง จขกท. นะครับเพราะผมก็เคยบวช เรียกว่าบวชตามประเพณีก็ได้
    ช่วงบวชผมก็ได้รับกิจของสงฆ์ออกงานต่างๆ ก็ได้รับซองปัจจัยมามากมาย

    แต่อาศัยคำสอนของครูบาอาจารย์ว่าเงินที่เขาถวายนี้เป็นของสงฆ์ ไม่ได้เจาะจงว่าเป็นของส่วนตัวดังนั้นถ้าเราเอาไปใช้เป็นการส่วนตัวก็ซวย

    ด้วยความคิดนี้ เงินที่ญาติโยมถวายมาทั้งหมดผมก็มิได้นำมาใช้แม้สักบาท ตอนที่เก็บไว้ จนกระทั้งถึงฤกษ์สึก ก่อนสึกผมก็นำเงินทั้งหมดถวายเจ้าอาวาส ท่านก็นำเงินดังกล่าวไปเป็นส่วนในการสร้างโรงเรียนปริยัติธรรม

    ผมก็เกิดความสบายใจว่านอกจากญาติโยมจะได้บุญเป็นสังฆทาน (ซึ่งเกิดจากการถวายเงิน) แล้วยังได้บุญเป็นวิหารทานด้วย

    กรณีนี้ จขกท. พอจะระบุได้รึไม่ครับ ว่าคนที่ถวายเงินพระสงฆ์ และพระสงฆ์ที่ถวายเงินดังกล่าวเป็นสาธารณะ(สร้างวิหารทาน) อีกรอบเนี่ย บาปไหมครับ?
     
  7. poon-pan

    poon-pan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    2,300
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +7,126
    คุณ Komodo ถ้าจะอ้างอิงตั้งแต่สอนขึ้นไปนั้น ต้องทำอย่างไงครับ รบกวนด้วยครับ
     
  8. Komodo

    Komodo หัวหน้าศูนย์ประชาสัมพันธ์ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    11,610
    กระทู้เรื่องเด่น:
    145
    ค่าพลัง:
    +104,605
    ผมไม่เข้าใจคำถามครับ แต่การอ้างอิงหลาย ๆ กระทู้ ให้กดที่ [​IMG] (บวก)

    จากเครื่องหมายบอกจะเป็น เครื่องหมาย [​IMG] (ลบ)

    เมื่อเลือกมาถึงโพสต์สุดท้าย ให้กด [​IMG]

    จะสามารถตอบกลับได้หลายโพสต์ครับ

    โมทนา

    ปล. ไม่รู้ว่าตอบตรงคำถามหรือไม่นะครับ
     
  9. Komodo

    Komodo หัวหน้าศูนย์ประชาสัมพันธ์ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    11,610
    กระทู้เรื่องเด่น:
    145
    ค่าพลัง:
    +104,605
    ตัวอย่างนะครับ และถ้าต้องการพิมพ์แทรกในแต่ละโพสต์อ้างอิง ให้ดูในช่อง จะมี [ ] แทรกอยู่ ให้พิมพ์ระหว่าง QUOTE นั้นครับ

    ลองทดลองดูนะครับ

    โมทนา
     
  10. ปรมาภรณ์

    ปรมาภรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กันยายน 2007
    โพสต์:
    193
    ค่าพลัง:
    +1,739
    เรียน คุณทศพล
    เห็นกระทู้หลายกระทู้ของคุณ มันเหมือนคุณต้องการยัดเยียด สิ่งที่คุณยืดมั่นในส่วนคำสอนของวัดสามแยก แต่สมาชิกแถวนี้ต่างมีครูบาอาจารย์ที่นับถือกันหลาหหลาย ประมาณว่าสายใตรก็ของใคร การเอาพระวินัยของพระมาถกกัน อยากให้คุณช่วยวิเคราะห์มามันสมควรไหม เพราะอย่างไรเวปสามแยกก็มีข้อมูลอยู่แล้ว หากใครศรัทธาย่อมตามไปศึกษาเอง คุณว่าไหมค่ะ
     
  11. poon-pan

    poon-pan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    2,300
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +7,126
    ขอบพระคุณตุณ Komodo หลาย ๆ ครับ ดีใจจริง ๆ แหม งงอยู่ตั้งนาน
     
  12. poon-pan

    poon-pan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    2,300
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +7,126
    ผมก็เห็นด้วยกับคุณ ปรมาภรณ์ แต่ไม่ทั้งหมดครับ คือผมก็ยังเห็นข้อดีของของ จขกท อยู่ในบางด้านครับ ผมเคยอ่าน พระนาคเสนกับพระยามิลินท์ ถามตอบกันหนักกว่านี้อีก แต่ก็ทำให้เข้าใจอะไร ๆ มากข้ึน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 ธันวาคม 2010
  13. poon-pan

    poon-pan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    2,300
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +7,126
    กำลังหัดทำตามคุณ Komodo อยู่ครับ

    ต้องขออภัยเพื่อน ๆ ด้วยครับ กระทู้อาจเลอะเทอะไปหน่อยครับ
     
  14. ปรมาภรณ์

    ปรมาภรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กันยายน 2007
    โพสต์:
    193
    ค่าพลัง:
    +1,739
    โปรดใช้ข้อมูลและปัญญาในการพิจารณา
    http://www.ch7.com/news/sbnews.aspx?NwType=02&SbType=04&SeqNo=23363

    จ่อฟันพระ เหยียบพุทธรูป


    โดย อิทธิ - โพสต์เมื่อ สิงหาคม 1st, 2008
    Tagged: แวดวงสงฆ์
    ภายหลังที่มหาเถรสมาคมได้มอบหมายให้สำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดเพชรบูรณ์ให้แจ้งความดำเนินคดีกับ พระเกษม อาจิณณสีโล สมภารแห่งที่พักสงฆ์สามแยก ต.วังกวาง อ.น้ำหนาว จ.เพชรบูรณ์ ในข้อหาดูหมิ่นพระพุทธศาสนา เนื่องจากพระเกษมไม่ทำตามคำสั่งของคณะสงฆ์ที่ให้กลับไปต้นสังกัดเดิมที่ จ.อุดรธานี หลังสร้างพฤติกรรมห้ามชาวบ้านกราบไหว้พระพุทธรูปอ้างเป็นเพียงวัตถุนั้น
    ต่อมาวันที่ 31 ก.ค. ผู้สื่อข่าวเข้าไปสังเกตการณ์ที่พักสงฆ์ป่าสามแยก บ้านห้วยยางทอง หมู่ 9 ต.วังกวาง อ.น้ำหนาว จ.เพชรบูรณ์ บรรยากาศเงียบเหงา มีเพียงลูกศิษย์ของพระเกษมอยู่ 10 กว่าคน ขณะเดียวกัน พ.ต.อ. มาโนช อนันต์ฤทธิกุล ผกก.สภ.น้ำหนาว ได้ส่งเจ้าหน้าที่ตำรวจ 2 นายร่วมกับเจ้าหน้าที่ป่าไม้และฝ่ายปกครองอีก 4 คนเข้าไปสังเกตการณ์ด้วย
    ส่วนที่วัดสนธิกร อ.เมืองเพชรบูรณ์ พระวิสุทธินายก เจ้าคณะจังหวัดเพชรบูรณ์ (ธรรมยุต) ได้เรียกประชุมคณะสงฆ์ หาข้อสรุปเกี่ยวกับพระเกษม โดยคณะสงฆ์มีมติดำเนินการกับพระเกษม 2 ข้อ คือ 1. ให้นิมนต์พระเกษมและพระลูกวัดออกจากวัดภายใน 7 วัน และให้ เจ้าหน้าที่ป่าไม้เข้าไปดูแลสถานที่ในเบื้องต้น 2. ให้ ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดเพชรบูรณ์ เป็นตัวแทนไปร้องทุกข์แจ้งความดำเนินคดีกับพระเกษม ข้อหาดูหมิ่นเหยียดหยามศาสนวัตถุอันเป็นที่เคารพสักการะของพุทธศาสนิกชน
    ทางด้าน นายอินทพร จั่นเอี่ยม ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดเพชรบูรณ์ หลังได้รับหนังสือคำสั่งของคณะสงฆ์ได้เดินทางไป สภ.เมืองเพชรบูรณ์ พร้อมนำภาพจาก นสพ.ไทยรัฐ ที่ลงรูปภาพข้อความที่เขียนไว้หน้าพระพุทธรูปว่า "ทองเหลืองหล่อนี้ ไม่ใช่ พุทธเจ้าแน่ ไม่ต้องกราบมัน" กับข้อความ "ห้ามนำดอกไม้และเครื่องบูชามาวางบริเวณนี้" และ แผ่นซีดีบันทึกภาพเคลื่อนไหวของพระเกษมที่แสดงท่าใช้เท้าเหยียบฐานพระพุทธ รูปเข้าหารือกับ พ.ต.ท.พิชิต พิชิตทรชน พนักงานสอบสวนถึงแนวทางการดำเนินคดีก่อนจะไปแจ้งความที่ สภ.น้ำหนาว
    จากนั้น นายอินทพรเปิดเผยว่า เรื่องการแจ้งความดำเนินคดีกับพระเกษมได้ประสานกับ พ.ต.อ.มาโนช อนันต์ฤทธิกุล ผกก.สภ.น้ำหนาว แล้วว่าจะไปแจ้งร้องทุกข์ ในวันที่ 1 ส.ค.นี้ ขณะที่ พ.ต.อ.มาโนชเปิดเผยว่า เมื่อมีการแจ้งความร้องทุกข์ พนักงานสอบสวนจะต้องรวบรวมพยานหลักฐานมาพิจารณาว่า ผู้ถูกกล่าวหามีความผิดหรือไม่ หากมีความเห็นว่าผิดตามที่แจ้งความ ต้องนำพยานหลักฐานเสนอต่อศาลจังหวัดหล่มสักขอหมายจับต่อไป คาดว่าต้องใช้เวลาประมาณ 1 สัปดาห์
    ส่วน นายมนูญ คำแพร นายก อบต.วังกวาง กล่าวว่า ตำบลวังกวางมีทั้งหมด 11 หมู่บ้าน มีเพียงเฉพาะคนในหมู่บ้านห้วยยางทองบางคนเท่านั้น ที่เข้าไปที่พักสงฆ์สามแยก เพราะพระเกษมจ้างให้ทำงานภายในที่พักสงฆ์ บางคนศรัทธาถึงขนาดทิ้งบ้านเรือน เรือกสวนไร่นาปล่อยให้ญาติดูแลแทนแล้วมาอยู่กับพระเกษม ส่วนชาวบ้านที่เหลือก็มีความคิดที่แตกต่างกันทั้งเห็นด้วยกับไม่ชอบ ก่อนหน้านั้นหลายปี ตนเคยไปร่วมงานศพลูกศิษย์ของพระเกษมที่ถูกแทงตาย ปรากฏว่า พระเกษม ได้นำศพตั้งไว้ 1 คืน โดยไม่สวดบังสุกุลหรือบทสวดทั่วไปเหมือนงานศพทั่วไป พอรุ่งขึ้นอีก 1 วันก็หามไปเผาทันที ทั้งที่ญาติคนตายไม่เต็มใจให้นำศพมาทำพิธี แต่พระเกษมส่งรถมารอรับศพถึงบ้าน
    ด้าน พระพยอม กัลยาโณ เจ้าอาวาสวัดสวนแก้ว จ.นนทบุรี ให้สัมภาษณ์ที่ จ.นครราชสีมา ถึงพฤติกรรมของพระเกษมว่า เรื่องความคิดสุดโต่งมีขึ้นอยู่เรื่อย คนไม่รู้จักคำว่าสายกลาง ชาวบ้านมีตั้งหลายระดับ อีกอย่างพระพุทธรูปเป็นสัญลักษณ์เหมือนศาสนาอื่นๆ อย่างพระพุทธชินราช คนเป็นทุกข์ไปกราบไหว้เห็นพระ พักตร์แจ่มใสเยือกเย็น พุทธลักษณะเด่น โครงหน้าอิ่มสุข ไม่อมทุกข์ ตนคิดว่า พระพุทธรูปอาจจะเผยแพร่ได้ดีกว่าองค์ที่บ้าไม่ให้ไหว้พระพุทธรูป บอกว่าตัวเองหลุดพ้นแล้ว ไม่นับถือวัตถุ ไม่ยึดถือวัตถุ คำว่า วัตถุตะยัง แปลว่า วัตถุที่เห็นแล้วเป็นบุญหู บุญตา ใครเห็นพระพุทธรูปแล้วรกหู รกตาก็แสดงว่า ตา หู ไม่ไหวแล้ว ฉะนั้นตัวท่านก็ต้องคิดถึงคนอื่นเขาบ้าง เรื่องนี้เจ้าคณะจังหวัดท่านจัดการอยู่แล้ว แต่พระจะดื้อแค่ไหนและจะเล่นงานกับคนดื้อยังไงเท่านั้น
    พระพยอมกล่าวอีกว่า เรื่องนี้ชาวพุทธต้องต่อต้านและคงไม่เอาไว้แน่นอนกับพระที่เป็นขนาดนี้ และอาจติดคุกได้ อย่างเช่น เอาน้ำกรดไปราดพระพุทธรูปก็เท่ากับทำลายวัตถุหรือทำลายศาสนสมบัติ อย่างน้อยก็ถูกดำเนินคดี เพราะทำลายทรัพย์สิน อย่างที่มีภาพปรากฏใช้เท้าเหยียบนั้นเป็นการทำลายจิตใจกันมาก ชาวพุทธคงไม่ปล่อยให้ ลอยนวลแน่ "ท่านเป็นพระแต่มาทำตัวแบบนี้ต้องโดนเสียบ้าง คนอย่างนี้ไม่ช้าก็จะเป็นเหมือนสวะในทะเลจะถูกคลื่นซัดขึ้นฝั่งหมด เพราะอ้างว่าหลุดลอยไป ลอยเป็นสวะไปเลย เดี๋ยวก็ถูกซัดขึ้นฝั่ง" พระพยอมกล่าว

    ที่มา:
    ไทยรัฐ
     
  15. ทหารเก่า

    ทหารเก่า เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    3,027
    ค่าพลัง:
    +19,019
    อ่านเรื่องนี้แล้ว ฉุนเลยครับคนที่ชื่อเกษมแล้วโกนหัวนี่มันสงสัยเป็นประเภทลัทธิใหม่ดูถูกดูหมิ่นหระพุทธรูปซึ่งเราเปรียบเสมือพระพุทธเจ้าพวกนี้มันนรก
     
  16. THODSAPOL SETTAKASIKIT

    THODSAPOL SETTAKASIKIT เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    107
    ค่าพลัง:
    +101
    อันนี้มันค้างคาอยู่หลายวันครับ จึงไปตรวจสอบอีกที ก็เป็นอันแน่นนอนว่า เปล่งวาจาไม่ถูกกาล เป็นการเปล่งวาจาเกินขอบเขต
    ผิดตรงไหนแก้ตรงนั้น เรื่องพระพุทธเจ้าก็สอนให้ทำครับ
    จึงต้องขออภัย ขอขมา ไว้ ณ ที่นี้ครับ
    เล่ม ๖๖ หน้า ๖๒๒
    http://palungjit.org/tripitaka/index.php
    http://www.dhammahome.com/front/tipitaka/
    http://www.samyaek.com/tripidok/book66/601_650.htm
    การติเตียน หรือ การสรรเสริญจะมีโดยส่วนเดียวหรือไม่?
    เล่ม ๔๒ หน้า ๔๖๒
    http://palungjit.org/tripitaka/index.php
    http://www.dhammahome.com/front/tipitaka/
    http://www.samyaek.com/tripidok/book42/451_470.htm


    หลายคนสงสัยว่า ทำไมต้องถามชื่อหนักหนานี่ ไม่เข้าใจเลย
    เล่ม ๔ หน้า ๙๓๘
    http://palungjit.org/tripitaka/index.php
    http://www.dhammahome.com/front/tipitaka/
    http://www.samyaek.com/tripidok/book04/901_950.htm
    **เพิ่มให้ชัดเจนอยู่ ในหน้า ๙๓๕ บรรทัด ๑๓
    การเปิดเผยตัวจึงเป็นการเคารพธรรมอย่างหนึ่งครับ
    เพราะการเคารพในธรรม ด้วยอานุภาพแห่งธรรม จึงทำให้ผู้ถามนั้นเข้าใจ ทั้งผู้บอกก็เข้าใจลึกซึ้งไปในธรรมวินัยที่บอกกล่าว
    ทั้งผู้ติดตามก็กระจ่างยิ่งขึ้น อันจะนำไปใช้ได้อย่างถูกต้องต่อไป
    ด้วยความเคารพในธรรม



    ไม่เกี่ยวกับใครจะเชื่อถือหรือไม่เชื่อ เพราะไม่ได้หวังให้มาเชื่อถือตนเอง
    เพราะตนเองยังเป็นปุถุชนอยู่ ยังมีความผิดพลาดหลายอย่าง ไม่กล่าวว่าไม่มี ดังนั้นจึงควรพิจารณาคำสอนของพระพุทธเจ้าเป็นหลัก
    หากเกิดความเลื่อมใส ควรเลื่อมใส ในคำสอนของพระพุทธเจ้า อันจะเป็นทางเจริญในแต่ละบุคคลคนโดยไม่เกี่ยวกับผู้เปิดธรรมวินัย
    เพราะความรู้ความเข้าใจย่อมเกิดจาก ธรรมมานุภาพ ไม่ใช่อานุภาพผู้ชี้แจง


    *เพิ่มทีหลัง ความหมายของปุถุชน
    เล่ม ๑๗ หน้า ๕๔
    http://palungjit.org/tripitaka/index.php
    http://www.dhammahome.com/front/tipitaka/
    http://www.samyaek.com/tripidok/book17/051_100.htm


    บุญจากการเปิดธรรมวินัยนี้ จงสำเร็จแก่ ญาติ เทวดาที่รักษา นายเวร เชื้อโรคข้า ครอบครัวข้า ชาวทิพย์ที่ดูแลกิจการที่ข้าเกี่ยวข้อง ชาวทิพย์ที่ดูแลรักษาพุทธศาสนา และผูต้องการตลอดไป
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 มกราคม 2011
  17. THODSAPOL SETTAKASIKIT

    THODSAPOL SETTAKASIKIT เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    107
    ค่าพลัง:
    +101
    ถ้าตรวจกับ พระพุทธเจ้าแล้ว ไม่เข้ากับสิ่งที่พระพุทธเจ้าบัญญัติว่าถูกต้อง ไปเข้ากับสิ่งที่พระองค์บัญญัติว่าไม่ถูกต้อง ก็เป็นอันว่ามีโทษครับ ถ้าตรวจแล้วเข้ากับสิ่งที่พระพุทธเจ้าบัญญัติว่าถูกต้อง ไม่เข้ากับสิ่งที่พระองค์ บัญญัติว่าไม่ถูกต้อง ก็เป็นคุณครับ
    หากผิดพระพุทธเจ้าก็ไม่ใช่ว่าจะไม่สอนวิธีแก้ไขนะครับ แต่เราต้องยอมรับความจริงตามธรรมวินัยก่อนครับ
    ผิดคือผิด ถูกคือถูก ธรรม คือ ธรรม ไม่ใช่ธรรม คือ ไม่ใช่ธรรม
    วินัยคือวินัย ไม่ใช่วินัยคือไม่ใช่วินัย
    การยอมรับความจริงนี้พระพุทธเจ้า สรรเสริญว่าเป็น วัฒนธรรมในวินัยของพระอริยะครับ

    แต่เพราะมหาบพิตรทรงเห็นความผิดโดยเป็นความผิดจริงแล้ว ทรงสารภาพตามเป็นจริง ฉะนั้น ตถาคตขอรับทราบความผิดของมหาบพิตร ก็การที่บุคคล เห็นความผิดโดยเป็นความผิดจริง แล้วสารภาพตามเป็นจริง รับสังวร(สำรวมระมัดระวัง)ต่อไป นี้เป็นวัฒนธรรมในวินัยของพระอริยะแล.
    เล่ม ๑๑ หน้า ๓๓๖
    http://palungjit.org/tripitaka/index.php
    http://www.dhammahome.com/front/tipitaka/
    http://www.samyaek.com/tripidok/book11/301_350.htm

    ผม ก็เคยทำแบเดียวกันนี้ตอนที่บวชตามประเพณีเหมือนกันครับ ผมก็ทำผิดมาก่อนเหมือนกันครับไม่ใช่เป็นผู้บริสุทธิ์มาก่อน เท่าที่เคยถามหลวงปู่ ท่านก็บอกว่า มันคนละส่วนกันเพราะสึกออกมาแล้ว
    ท่านให้ขอขมาต่อพุทธ ธรรม สงฆ์บ่อยๆครับ ถ้าบวชเข้าไปใหม่จะต้องทำการแก้ไข
    คือแก้ไขไม่ไปทำอีกนะครับ ไม่ใช่แก้ไขแล้วไปทำ แก้ไขแล้วไปทำ แก้ไขแล้วไปทำ อย่างนั้นไม่เรียกแก้ไขครับ

    ซึ่ง ในพระวินัยก็มีเรื่องเทียบเคียงอยู่ครับ เรื่องพระเป็นอาบัติถูกคณะสงฆ์ยกออกจากหมู่คณะแล้วสึกออกมาแล้วจะบวชเข้าไปใหม่ พระพุทธเจ้าให้สอบถามเรื่องการจะแก้ไขหรือไม่ครับ
    เล่ม ๖ หน้า ๓๖๔
    http://palungjit.org/tripitaka/index.php
    http://www.dhammahome.com/front/tipitaka/
    http://www.samyaek.com/tripidok/book06/351_400.htm

    การเปิดเผยเป็นการทำตนให้มีความผาสุก อยู่หน้า ๓๘๐
    คำอธิบาย ธรรมอันตราย คือ การปกปิดมันเป็นธรรมอันตราย อยู่หน้า ๓๘๒
    คำอธิบาย ความผาสุกอยู่ หน้า ๓๘๒

    แล้วถ้าคุณประยุทธ์เห็นล้อกลมอยู่กลางธงกรมศาสนา คุณประยุทธ์จะนึกถึงอะไรครับ?



    และอันไหนเป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าสอนโดยตรงครับ?
    แล้วมีความเข้าใจหรือไม่ ว่าทำไมจึงต้องงัดเรื่องรูปทองเหลืองครับ
    มีที่มาที่ไป เป็นปากทางเข้าพุทธศาสนา ถ้ามีก้อนหินใหญ่ขวางทางเกะกะอยู่ ไม่งัดก้อนหินใหญ่ที่มันขวางอยู่ออก มันเกะกะชาวพุทธที่หวังทางเจริญ เพราะทางนี้เป็นปากทางเดินของชาวพุทธที่หวังเจริญตามคำสอนของพระพุทธเจ้า เป็นทางอันผู้หวังพ้นจากทุกข์เดิน หาใช่ทางของผู้ยังหวังจะวนอยู่กับทุกข์เดิน
    การศึกษเล่าเรียนนั้นพระพุทธเจ้าสรรเสริญครับ จึงยังควรเรียนต่อไปก่อนหากยังไม่เข้าใจ
    http://palungjit.org/threads/%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%8D%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B8%93%E0%B9%8C%E0%B9%81%E0%B8%AB%E0%B9%88%E0%B8%87-%E0%B8%9E%E0%B8%B8%E0%B8%97%E0%B8%98.188433/


    ธรรมนี้ไม่ใช่จะรู้เรื่องได้ด้วยแค่ผู้อื่นบอก หรือ เพียงแค่นึก ตรึก ตรอง พระอานนท์โดนพระพุทธเจ้าดุมาแล้วครับ


    เรื่องที่โยงลิ้งไปส่วนใหญ่คงไม่เข้าใจกันแน่ เอาอย่างนี้ดีกว่าครับ จะอธิบายให้ฟังครับ แต่จะเห็นไปด้วยกันหรือไม่นั้น คงไม่บังคับกัน มันเป็นเรื่องของความรู้ไม่ใช่เรื่องของการบังคับ

    มาดูตรงนี้ก่อนครับ
    ดูก่อนเปสสะ ข้อนี้เป็นอย่างนั้น ดูก่อนเปสสะ ข้อนี้เป็น อย่างนั้น ก็สิ่งที่รกชัฏ คือมนุษย์ สิ่งที่ตื้น คือสัตว์
    ดูก่อนเปสสะ บุคคล ๔
    จำพวกนี้มีอยู่ หาได้อยู่ในโลก ๔ จำพวกนั้นเป็นไฉน. ๑. ดูก่อนเปสสะ บุคคลบางคนในโลกนี้ ทำตนให้เดือดร้อน ประกอบการขวนขวายในการทำตนให้เดือดร้อน. ๒. ส่วนบุคคลบางคนในโลกนี้ ทำผู้อื่นให้เดือดร้อนและประกอบความขวนขวายในการทำผู้อื่นให้เดือดร้อน. ๓. บุคคลบางคนในโลกนี้ ทำตนให้เดือดร้อน และประกอบความขวนขวายในการทำตนให้เดือดร้อน ทำผู้อื่นให้เดือดร้อน และประกอบความขวนขวายในการทำผู้อื่นให้เดือดร้อน. จากนั้นก็ไปอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม ที่หน้า ๗ (จะยกออกมามันยาวมากให้เข้าไปพินิจพิจารณาในนั้นเอาครับ)

    ๔. ส่วนบุคคลบางคนในโลกนี้ ไม่ทำตนให้เดือดร้อน ไม่ประกอบความขวนขวายในการทำตนให้เดือดร้อน ไม่ทำผู้อื่นให้เดือดร้อน ไม่ประกอบความขวนขวายในการทำผู้อื่นให้เดือดร้อน. อันนี้อยู่หน้า ๑๐ คือ สายกลางที่พระพุทธเจ้าดำเนิน ง่ายๆคือทางที่พระพุทธเจ้าเดินมาและสั่งสอนให้สาวกไปในทางนี้

    ในสายกลางที่พระพุทธเจ้าประพฤติปฏิบัตินั้น มีเรื่องเว้นขาดจากการรับ ทองและเงิน อย่างชัดเจนครับ

    ๑๑. เว้นขาดจากการทัดทรง ประดับและตกแต่งร่างกายด้วยดอกไม้
    ของหอม และเครื่องประเทืองผิว อันเป็นฐานแห่งการแต่งตัว.
    ๑๒. เว้นขาดจากการนั่งนอนบนที่นั่งที่นอนอันสูงใหญ่.
    ๑๓. เว้นขาดจากการรับทองและเงิน.
    ๑๔. เว้นขาดจากการรับธัญญาหารดิบ.
    ๑๕. เว้นขาดจากการรับเนื้อดิบ
    ๑๖. เว้นขาดจากการรับสตรีและกุมารี.
    ๑๗. เว้นขาดจากการรับทาสีและทาส.
    ๑๘. เว้นขาดจากการรับแพะและแกะ.
    ๑๙. เว้นขาดจากการรับไก่และสุกร.
    ๒๐. เว้นขาดจากการรับช้าง โค ม้า และลา .
    ๒๑. เว้นขาดจากการรับไร่นาและที่ดิน.

    ทำไมสมณะจึงต้องรักษาศีล?
    ส่วนการที่บุคคลผู้ทุศีล มีธรรมอันลามก มีความประพฤติสกปรก น่ารังเกียจ ปกปิดกรรมชั่ว มิใช่สมณะ แต่ปฏิญาณว่าเป็นสมณะ มิใช่ผู้ประพฤติพรหมจรรย์ แต่ปฏิญาณว่าประพฤติพรหมจรรย์ เน่าใน มีความกำหนัดกล้า เป็นดังหยากเยื่อเข้าไปนั่งกอดหรือนอนกอดพระราชธิดา บุตรสาวพราหมณ์หรือบุตรสาวคฤหบดี ผู้มีฝ่ามือฝ่าเท้าอ่อนนุ่มนั้น ย่อมเป็นไปเพื่อความฉิบหายมิใช่ประโยชน์ เพื่อความทุกข์ตลอดกาลนานแก่เขา และผู้นั้นเมื่อตายไป ย่อมเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก
    เล่ม ๓๗ หน้า ๒๖๑
    http://palungjit.org/tripitaka/index.php
    http://www.dhammahome.com/front/tipitaka/
    http://www.samyaek.com/tripidok/book37/251_300.htm


    ถ้า จะว่าตึงก็ยอมตึงไปกับพระพุทธเจ้าก็แล้วกันครับ ไม่ได้ไปกลางแบบคนทั่วไป ที่ว่ากลางแบบดีเกินไป หย่อนมาชั่วหน่อย เพราะกลาง ไม่ตึง แต่ไม่ใช่ความหมายของพระพุทธเจ้า เพราะคำสอนของพระองค์สอนให้เป็นผู้ประพฤติโดยชอบธรรม อันไม่มีใครๆในมนุษย์ เทวดา มาร พรหม ติเตียนได้
    เล่ม ๓๗ หน้า ๑๗๘
    http://palungjit.org/tripitaka/index.php
    http://www.dhammahome.com/front/tipitaka/
    http://www.samyaek.com/tripidok/book37/151_200.htm
    ถ้าจะว่าตึงก็ตึงไปตามพระพุทธเจ้านี่แหล่ะครับ ง่ายดีเหมือนกันครับ


    ส่วนคำว่า ดูยุคสมัยบ้าง ดูกาลเวลาบ้าง คำนี้รู้สึกจะใช้กันเยอะในหมู่ผู้นับถือพุทธ
    ถ้าใครหรือคนอื่นใด คิดอย่างนี้ ยิ่งเป็นพระ ยิ่งควรสึกออกมาเสียโดยไว เพราะยุคมันเปลี่ยนไปแล้ว
    ถ้าเป็นโยมก็
    เลิกกราบเลิกไหว้พระภิกษุ เลิกทำบุญให้ทาน เลิกเลี้ยงภิกษุ เลิกไปวัด เลิกเชื่อว่าทำบุญแล้วจะได้บุญ เพราะยุคสมัยมันเปลี่ยนไปแล้ว
    ภิกษุนี้ก็ไม่เป็นภิกษุแล้ว สมัยมันเปลี่ยนไปแล้ว ไม่ต้องเคารพ
    แม้แต่มีผู้มาด่าโครตกัน ก็ไม่ควรจะเจ็บปวด เพราะพระพุทธเจ้ากล่าวว่ามันมี แต่ยุคมัยเปลี่ยนไปแล้ว ตัวโกรธไม่มีอีกแล้วในยุคนี้
    ต่อไปก็จะไม่แก่ ไม่เจ็บ และก็จะไม่ตาย ในผู้ที่คิดอย่างนี้
    เพราะยุคมันเปลี่ยนไปแล้ว คำของพระพุทธเจ้าใช้ไม่ได้
    เลิกตามที่บอกมานี่ซะในผู้ที่คิดอ่านอย่างนี้ เพราะยุคสมัยมันเปลี่ยนไป

    แต่ เพราะไม่มีกาลไม่มีสมัย ทำบุญก็ได้บุญแน่นอน ทำบาปก็ได้บาปแน่นอน ทำอย่างไรได้อย่างนั้น ใช้กายทำ บาปย่อมปากฏแก่กาย ใช้วาจาทำบาปย่อมปรากฏแก่ปาก ใช้ใจทำบาปย่อมปรากฏแก่ใจ
    พระพุทธเจ้า ตรัสว่ามีเกิด แก่ เจ็บ และ ต้องตายกันทุกคน ธรรมนี้ เป็นอกาลิโก คือไม่จำกัดกาล ไม่มีกาลเวลา
    ในพระไตรปิฎกก็มีวิธีจัดการเกี่ยวกับเงินทองอยู่ ไม่ใช่ไม่มี เป็นคำที่ใช้อ้างไปในหมู่คนไม่เอาศีล ไม่ดำรงอริยศีลไว้
    ซึ่ง ชาวพุทธส่วนใหญ่ไม่รู้โดยมาก จึงมีกลุ่มผู้ศึกษาและเปิดเผยธรรมวินัยออกมาทำงานเปิดให้ชาวพุทธรู้จักวิธี ที่ต้องปฏิบัติให้ถูกต้องกับหลักศาสนา ส่วนใครรู้แล้วจะทำหรือไม่ทำ มันสุดแท้แล้วแต่ใครผู้จะเข้าใจในบาปบุญ ผู้เปิดแต่คนมีหน้าที่เปิด แต่จะขวางหรือเข้ากับใคร ไม่เอามาเกี่ยวให้ยุ่งยากมากไป เพราะไปกับพระพุทธเจ้านี่แหล่ะ ง่ายๆดี
    เล่ม ๓๑ หน้า ๓๓๒
    http://palungjit.org/tripitaka/index.php
    http://www.dhammahome.com/front/tipitaka/
    http://www.samyaek.com/tripidok/book31/301_350.htm


    ก่อนอื่นต้องทำความรู้จักกับสูตรนี้ก่อนครับ
    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ พึงกล่าวอย่างนี้
    ว่า ผู้มีอายุทั้งหลาย ข้อนี้ข้าพเจ้าได้สดับมา ได้รับมาเฉพาะพระพักตร์ พระ
    ผู้มีพระภาคเจ้าว่า นี้เป็นธรรม นี้เป็นวินัย นี้เป็นคำสอนของพระศาสดา
    พวกเธอไม่พึงชื่นชม ไม่พึงคัดค้านคำกล่าวของภิกษุนั้น. ครั้นไม่ชื่นชม ไม่
    คัดค้านแล้ว พึงเรียนบทพยัญชนะเหล่านั้นให้ดีแล้ว สอบสวนในพระสูตร
    เทียบเคียงในพระวินัย. ถ้าสอบสวนในพระสูตร เทียบเคียงในพระวินัย ลง
    ในพระสูตรไม่ได้ เทียบเคียงในพระวินัยไม่ได้. พึงถึงความตกลงใจในข้อนี้ว่า
    นี้ไม่ใช่คำสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น และภิกษุนี้จำมาผิดแล้ว
    แน่นอน ดังนั้น พวกเธอพึงทิ้งคำกล่าวนั้นเสีย. ถ้าเมื่อสอบสวนในพระสูตร
    เทียบเคียงในพระวินัย ลงในพระสูตรได้ เทียบเคียงในพระวินัยได้. พึงถึง
    ความตกลงใจในข้อนี้ว่า นี้คำสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น และ
    ภิกษุนี้จำมาถูกต้องแล้วแน่นอน ภิกษุทั้งหลาย พวกเธอพึงทรงจำมหาปเทส
    ข้อที่หนึ่งนี้ไว้.
    เล่ม ๑๓ หน้า ๒๙๓
    http://palungjit.org/tripitaka/index.php
    http://www.dhammahome.com/front/tipitaka/
    http://www.samyaek.com/tripidok/book18/251_300.htm

    แล้วไปดูอีกที่ในสูตรเดียวกัน
    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ พึงกล่าวอย่างนี้ว่า ภิกษุผู้เป็นเถระอยู่ในอาวาสโน้น เป็นพหูสูต มีอาคมอันมาถึงแล้ว ทรงธรรม ทรงวินัย ทรงมาติกา ข้าพเจ้าได้สดับมา ได้รับมาเฉพาะหน้าพระเถระนั้นว่า นี้เป็นธรรม นี้เป็นวินัย นี้เป็นคำสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้า ดังนี้ พวกเธอ ไม่พึงชื่นชม ไม่พึงคัดค้านคำกล่าวของภิกษุนั้น. ครั้นไม่ชื่นชม ไม่คัดค้านแล้ว เรียนบทพยัญชนะเหล่านั้นให้ดีแล้ว สอบสวนในพระสูตรเทียบเคียง ในพระวินัย. ถ้าบทพยัญชนะเหล่านั้น(คำเหล่านั้น)สอบสวนในพระสูตร เทียบเคียงในพระวินัย ลงในพระสูตรไม่ได้ เทียบเคียงในพระวินัยไม่ได้. พึงถึงความตกลงใจในข้อนี้ว่า. . . นี้คำสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น และพระเถระนั้นจำมาถูกต้องแล้วแน่นอน ภิกษุทั้งหลาย พวกเธอพึงทรงจำมหาปเทสข้อที่สี่นี้ไว้. พวกเธอพึงทรงจำมหาปเทส ๔ เหล่านั้นไว้ ด้วยประการฉะนี้.
    เล่ม ๑๓ หน้า ๒๙๕
    http://palungjit.org/tripitaka/index.php
    http://www.dhammahome.com/front/tipitaka/
    http://www.samyaek.com/tripidok/book13/251_300.htm

    เพราะฉะนั้นควรทำอย่างไรกับคำสอนข้อนี้หล่ะ?
    ไม่ใช่หลวงพ่อฤาษีลิงดำจะไม่มีคำสอนที่ถูกนะ เพราะท่านก็เอามาจากพระไตรปิฎกอยู่ ไม่ใข่จะขาดไปเลย ถ้าผู้ทำไตรวิชชา อภิญญากลับมาตบฐานในไตรสรณคมณ์ให้แน่นหนาถูกต้องแล้วไต่ไปตามลำดับขั้นตอน ตามที่พระพุทธเจ้าสอน การเกิดขึ้นของไตรวิชชา อภิญญาจะแน่หนาแข็งแรง พระพุทธเจ้าสอนไว้ละเอียดแล้วครับเรื่องนี้
    ผู้ศึกษาในแต่ละสำนักจึงต้องรู้จักว่าอันไหนน้ำเค็ม อันไหนน้ำกร่อย

    ดูก่อนปหาราทะ มหาสมุทรมีรสเดียว คือ รสเค็ม ฉันใด
    ดูก่อนปหาราทะ ฉันนั้นเหมือนกัน ธรรมวินัยนี้มีรสเดียว คือ
    วิมุตติรส ก่อนปหาราทะ ข้อที่ธรรมวินัยมีรสเดียว คือ วิมุตติรส
    นี้เป็นธรรมที่น่าอัศจรรย์อันไม่เคยมีมาประการที่ ๖ ในธรรม
    วินัยนี้ ที่ภิกษุทั้งหลายเห็นแล้ว ๆ จึงอภิรมย์อยู่.

    เล่ม ๓๗ หน้า ๔๐๔
    http://palungjit.org/tripitaka/index.php
    http://www.dhammahome.com/front/tipitaka/
    http://www.samyaek.com/tripidok/book37/401_450.htm

    พระพุทธเจ้าไม่ได้อ่อนแอ และไม่ได้สอนให้สาวกอ่อนแอนะ

    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย หากจะมีพวกโจรผู้มีความประพฤติ
    ต่ำช้า เอาเลื่อยที่มีด้ามสองข้าง เลื่อยอวัยวะใหญ่น้อยของพวกเธอ แม้ในเหตุนั้น
    ภิกษุหรือภิกษุณีรูปใดมีใจคิดร้ายต่อโจรเหล่านั้น ภิกษุหรือภิกษุณีรูปนั้น
    ไม่ชื่อว่าเป็นผู้ทำตามคำสั่งสอนของเรา เพราะเหตุที่อดกลั้นไม่ได้นั้น ภิกษุ
    ทั้งหลาย แม้ในข้อนั้น เธอทั้งหลายพึงศึกษาอย่างนี้ว่า จิตของเราจักไม่
    แปรปรวน เราจักไม่เปล่งวาจาที่ชั่ว เราจักอนุเคราะห์ผู้อื่นด้วยประโยชน์
    เราจักมีเมตตาจิตไม่มีโทสะในภายใน เราจักแผ่เมตตาจิตไปถึ่งบุคคลนั้น และ
    เราจักแผ่เมตตาจิตอันไพบูลย์ ใหญ่ยิ่ง หาประมาณมิได้ ไม่มีเวร ไม่มีพยาบาท
    ไปตลอดโลก ทุกทิศทุกทาง ซึ่งเป็นอารมณ์ของจิตนั้น ดังนี้ ภิกษุทั้งหลาย
    พวกเธอพึงศึกษาด้วยอาการดังที่กล่าวมานี้แล.

    เล่ม ๑๘ หน้า ๒๖๔
    http://palungjit.org/tripitaka/index.php
    http://www.dhammahome.com/front/tipitaka/
    http://www.samyaek.com/tripidok/book18/251_300.htm

    ลอง คิดดูนะ อย่างนี้พระองค์ยังให้ภิกษุอดกลั้น ขนาดถ้าโจรเอาเลี่อยมาหั่นอวัยวะน้อยใหญ่ ยังสอนให้อดทนอดกลั้น แล้วแค่ศีลจะไม่สอนให้อดทนอดกลั้นเชียวหรือ?

    เหล่าภิกษุ สามเณร ชี อุบาสก อุบาสิกา สำนักต่างๆเป็นผู้เดินตามภายหลัง หรือ เป็นผู้ที่ใหญ่โดยไม่สนธรรมวินัย
    ท่านพระอานนท์กล่าวว่า ดูก่อนพราหมณ์ ไม่มีเลยแม้สักรูปหนึ่งผู้
    ถึงพร้อมด้วยธรรมทุก ๆ ข้อ และทุก ๆ ประการ ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าพระ-
    องค์นั้นผู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธทรงถึงพร้อมแล้ว เพราะพระผู้มีพระ
    ภาคเจ้าพระองค์นั้น ทรงให้มรรคที่ยังไม่อุบัติได้อุบัติ ที่ยังไม่เกิดได้เกิด
    ตรัสบอกมรรคที่ยังไม่มีใครบอก ทรงทราบมรรค ทรงรู้มรรค และทรงฉลาด
    ในมรรค ส่วนเหล่าสาวกในบัดนี้ เป็นผู้ดำเนินตามมรรค จึงถึงพร้อมใน
    ภายหลังอยู่
    เล่ม ๒๒ หน้า ๑๕๔
    http://palungjit.org/tripitaka/index.php
    http://www.dhammahome.com/front/tipitaka/
    http://www.samyaek.com/tripidok/book22/151_200.htm

    การถือธรรมวินัยของพระพุทธเจ้าเป็นใหญ่นี้ไม่ใช่ผู้อื่นคิดขึ้นทำขึ้น แต่พระพุทธเจ้าได้สั่งไว้แล้วอย่างชัดเจน

    ดูก่อนอานนท์ บางที่พวกเธอจะพึงมีความคิดอย่างนี้ว่า ปาพจน์มีพระศาสดาล่วง
    แล้ว พระศาสดาของพวกเราไม่มี ข้อนี้พวกเธอไม่พึงเห็นอย่างนั้น ธรรมก็ดี
    วินัยก็ดีอันใดอันเราแสดงแล้ว ได้บัญญัติไว้แล้วแก่พวกเธอ
    ธรรมและวินัยอันนั้นจักเป็นศาสดาแห่งพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา

    เล่ม ๑๓ หน้า ๓๒๐
    http://palungjit.org/tripitaka/index.php
    http://www.dhammahome.com/front/tipitaka/
    http://www.samyaek.com/tripidok/book13/301_350.htm

    เพราะฉะนั้นธรรมวินัยนี้ จึงเป็นเครื่องดำรงศาสนานี้ไว้ ให้ยั่งยืนยาวนาน ไม่ใช่สำนักใดสำนักหนึ่ง หรือ คนใดคนหนึ่ง

    อนึ่ง สุตตะ เคยยะ เวยยากรณะ คาถา อุทาน
    อิติวุตตกะ ชาดก อัพภูตธรรม เวทัลละ ของพระผู้มีพระภาคเจ้าทั้งสาม
    พระองค์นั้นมีมาก สิขาบทก็ทรงบัญญัติ ปาติโมกข์ก็ทรงแสดงแก่สาวก
    เพราะอันตรธานแห่งพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าเหล่านั้น เพราะอันตรธานแห่ง
    สาวกผู้ตรัสรู้ตามพระพุทธเจ้าเหล่านั้น สาวกชั้นหลังที่ต่างชื่อกัน ต่างโคตรกัน
    ต่างชาติกัน ออกบวชจากตระกูลต่างกัน จึงดำรงพระศาสนานั้นไว้ได้ตลอด
    ระยะกาลยืนนาน ดูก่อนสารีบุตร ดอกไม้ต่างพรรณที่เขากองไว้บนพื้นกระดาน
    ร้อยดีแล้วด้วยด้าย ลมย่อมกระจายไม่ได้ ขจัดไม่ได้ กำจัดไม่ได้ซึ่งดอกไม้
    เหล่านั้นข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะเขาร้อยดีแล้วด้วยด้าย ฉันใด เพราะ
    อันตรธานแห่งพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าเหล่านั้น เพราะอันตรธานแห่งสาวก
    ผู้ตรัสรู้ตามพระพุทธเจ้าเหล่านั้น สาวกชั้นหลังที่ต่างชื่อกัน ต่างโคตรกัน
    ต่างชาติกัน ออกบวชจากตระกูลต่างกัน จึงดำรงพระศาสนานั้นไว้ได้ตลอด
    ระยะกาลยืนนาน ฉันนั้นเหมือนกัน
    เล่ม๑ หน้า ๑๔
    http://palungjit.org/tripitaka/index.php
    http://www.dhammahome.com/front/tipitaka/
    http://www.samyaek.com/tripidok/book01/001_050.htm
    แล้วถ้าไม่เอา สิขาบท หรือวินัยบัญญัติ ก็เท่ากับทำให้ศาสนาอันตรธานโดยฉับพลัน

    สิขาบทก็มิได้ทรงบัญญัติ ปาฏิโมกข์ก็มิได้ทรงแสดงแก่สาวก เพราะอันตรธาน
    แห่งพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าเหล่านั้น เพราะอันตรธานแห่งสาวกผู้ตรัสรู้ตาม
    พระพุทธเจ้าเหล่านั้น สาวกชั้นหลังที่ต่างชื่อกัน ต่างโคตรกัน ต่างชาติกัน
    ออกบวชจากตระกูลต่างกัน จึงยังพระศาสนานั้นให้อันตรธานโดยฉับพลัน
    ดูก่อนสารีบุตร ดอกไม้ต่างพรรณที่เขากอบไว้บนพื้นกระดาน ยังไม่ได้ร้อย
    ด้วยด้าย ลมย่อมกระจาย ขจัด กำจัดซึ่งดอกไม้เหล่านั้นได้ ข้อนั้นเพราะเหตุ
    อะไร เพราะเขาไม่ได้ร้อยด้วยด้าย ฉันใด เพราะอันตรธานแห่งพระผู้มี
    พระภาคพุทธเจ้าเหล่านั้น เพราะอันตรธานแห่งสาวกผู้ตรัสรู้ตามพระพุทธเจ้า
    เหล่านั้น สาวกชั้นหลังที่ต่างชื่อกัน ต่างโคตรกัน ต่างชาติกัน ออกบวชจาก
    ตระกูลต่างกัน จึงยังพระศาสนานั้นให้อันตรธานโดยฉับพลันฉันนั้นเหมือนกัน
    เล่ม ๑ หน้า ๑๓
    http://palungjit.org/tripitaka/index.php
    http://www.dhammahome.com/front/tipitaka/
    http://www.samyaek.com/tripidok/book01/001_050.htm


    ถ้าจะมีคนไม่นับถือพระพุทธศาสนาด้วยแค่ว่าไม่เป็นไปตามดั่งใจหวัง แม้พระมาลุงกยบุตร ก็คิดอย่างนั้น
    เล่ม ๒๐ หน้า ๒๙๘
    http://palungjit.org/tripitaka/index.php
    http://www.dhammahome.com/front/tipitaka/
    http://www.samyaek.com/pratripidok/index.php?topic=30.0

    หลวงปู่เคยบอกว่าประเทศไทย ๖๐ กว่าล้านคน เอาแค่ ล้านละ ๑ คน ที่เข้าใจก็พอ ท่านว่าได้ปีละคนก็พอแล้ว
    ผมก็ว่าอย่างนั้นเหมือนกันครับ ล้านละ ๑ คน
    ก็น่าจะพอแล้วมั้ง ที่บึกบึนไม่อ่อนแอ ในล้านคน คนที่จะไปตามคำสอนของพระพุทธเจ้า ๑ คน กับ หมื่นล้าน เลือกหนึ่งคนดีกว่า ที่กล้าหาญทำตามคำสอนอย่างถูกต้อง ยังหวังพอที่จะได้สืบศาสนาอย่างถูกต้องต่อไป

    บุญจาการเปิดเผยธรรมวินัยนี้ จงสำเร็จแก้ญาติ เทวดาที่รักษา นายเวร เชื้อโรคข้า ครอบครัวข้า ชาวทิพย์ที่ดูแลรักษากิจการที่ข้าเกี่ยวข้อง ชาวทิพย์ที่ดูแลรักษาพุทธศาสนา และผู้ต้องการตลอดไป
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 มกราคม 2011
  18. prayut.r

    prayut.r เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    150
    ค่าพลัง:
    +1,707
    ยังไงเสียก็อนุโมทนากับความตั้งใจของ จขกท. นะครับเพราะปัญญาและบารมีของแต่ล่ะท่านสั่งสมมาไม่เท่ากัน ตัวผมอาจจะด้อยปัญญาและยังยึดติดกับโลกธาตุอยู่ ก็อาจไม่ค่อยเข้าใจแนวทางนี้

    แต่ด้วยเจตนาของ จขกท. ที่ต้องการยึดพุทธพจน์เป็นแบบแผนและปฏิบัติอย่างแน่วแน่ ก็ขออนุโมทนาบุญส่วนนี้แหละครับ
     
  19. THODSAPOL SETTAKASIKIT

    THODSAPOL SETTAKASIKIT เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    107
    ค่าพลัง:
    +101
    ก็เป็นธรรมดาครับ เราเคยได้ยินได้ฟังกันแต่จากพระ แต่เมื่อมาเจอจากคำของพระพุทธเจ้าโดยตรง ก็ต้องยอมรับว่า ช็อคกันเป็นธรรมดาครับ เพราะปัจจุบันผิดออกมาจากพระพุทธเจ้ามากแล้ว ทั้งประชาชนรู้ในพระไตรปิฎกน้อยเข้า ทั้งที่พระเอาออกมาก็เป็นอัตโนมัติโดยมาก คือที่ตนเข้าใจ แต่ไม่ได้ตรวจเช็คกับธรรมวินัย
    ก็เอาออกมาสอนจนหลายๆที่หนีไปคนละเรื่องคนทางกับพระพุทธเจ้าสอนแต่บอกว่าพระพุทธเจ้าสอน เป็นธรรมของพระพุทธเจ้าก็เคยเจออยู่
    การที่แต่ละคนจะเข้าใจเลยทันทีนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายในศาสนานี้
    เล่ม ๔๕ หน้า ๔๘
    http://palungjit.org/tripitaka/index.php
    http://www.dhammahome.com/front/tipitaka/
    http://www.samyaek.com/tripidok/book45/001_050.htm
    อัตตสัมมาปณิธิ = อัตตา+สัมมา+ปณิธิ,ปณิธาน = ตน+ถูกต้อง+ตั้งไว้ = เป็นผู้ตั้งตนไว้อย่างถูกต้อง โดยธรรม

    ปุพเพกตปุญญตา
    = ปุพเพ,บุพพ+กต,กฤต+ปุญญตา = เก่าก่อน+ทำแล้ว+บุญ =บุญที่เคยทำไว้แต่เก่าก่อน

    สัทธัมมัสสวนะ = สัท + ธัมมัส + สวนะ =
    ศรัทธา,ความเชื่อมั่น + ธรรม + สนทนา = การสนทนาธรรมเพื่อความตั้งมั่นในคำสอน

    สัปปุริสูปัสสยะ
    = สัปปุริส + ปัสสยะ = สัตบุรุษ + ผัสสะ = การคบหาสัตบุรุษ,การได้ยินการได้ฟังคำของสัตบุรุษ,การได้พบสัตบุรุษ

    การได้พบเจอธรรมวินัยนี้เป็นของง่ายหรือเป็นของยาก?
    เล่ม ๓๗ หน้า ๔๕๑
    http://palungjit.org/tripitaka/index.php
    http://www.dhammahome.com/front/tipitaka/
    http://www.samyaek.com/tripidok/book37/451_500.htm

    บุญจากการเปิดเผยธรรมวินัยนี้ จงสำเร็จแก่ญาติ เทวดาที่รักษา นายเวร เชื้อโรคข้า
    ครอบครัวข้า ชาวทิพย์ที่ดูแลกิจการที่ข้าเกี่ยวข้อง ชาวทิพย์ที่ดูแลรักษาพุทธศาสนา
    และผู้ต้องการตลอดไป
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 มกราคม 2011
  20. THODSAPOL SETTAKASIKIT

    THODSAPOL SETTAKASIKIT เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    107
    ค่าพลัง:
    +101
    ดูก่อนกัสสป ข้อนั้นเป็น
    อย่างนี้คือ เมื่อหมู่สัตว์เลวลง พระสัทธรรมกำลังเลือนหายไป สิกขาบท
    จึงมีมากขึ้น ภิกษุที่ตั้งอยู่ในพระอรหัตผลจึงน้อยเข้า สัทธรรมปฏิรูป(การเปลี่ยนคำสอน เช่น รับเงินไม่ได้ว่ารับเงินได้)
    ยังไม่เกิดขึ้นในโลกตราบใด ตราบนั้นพระสัทธรรมก็ยังไม่เลือนหายไป และ
    สัทธรรมปฏิรูปเกิดขึ้นในโลกเมื่อใด เมื่อนั้นพระสัทธรรมจึงเลื่อนหายไป
    ทองเทียมยิ่งไม่เกิดขึ้นในโลกตราบใด ตราบนั้นทองคำธรรมชาติก็ยังไม่
    หายไป และเมื่อทองเทียมเกิดขึ้น ทองคำธรรมชาติจึงหายไปฉันใด
    พระสัทธรรมก็ฉันนั้น สัทธรรมปฏิรูปยังไม่เกิดขึ้นในโลกตราบใด ตราบ
    นั้นพระสัทธรรมก็ยังไม่เลื่อนหายไป เมื่อสัทธรรมปฏิรูปเกิดขึ้นเมื่อใด
    เมื่อนั้นพระสัทธรรมจึงเลือนหายไป.
    [๕๓๓] ดูก่อนกัสสป ธาตุดินยังพระสัทธรรมให้เลือนหายไปไม่
    ได้ ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม ก็ยังพระสัทธรรมให้เลือนหายไปไม่ได้
    ที่แท้โมฆบุรุษ (บุคลไร้แก่นสาร เป็นที่พึ่งไม่ได้)ในโลกนี้ต่างหาก เกิดขึ้นมาก็ทำให้พระสัทธรรมเลือนหายไป
    เล่ม ๒๖ หน้า ๖๓๑
    http://palungjit.org/tripitaka/index.php
    http://www.dhammahome.com/front/tipitaka/
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 มกราคม 2011

แชร์หน้านี้

Loading...