ใครศรัทธา หลวงปู่ทวด เหยียบน้ำทะเลจืด มาพูดคุยกันครับ

ลำแสงเหมือนกับจะมุ่งตรงไปยังณ จุด รวมจุดใดจุดหนึ่งด้วยมั้ยค่ะ
พลังเหนือธรรมชาติ

 

แสงเทียนนวหรคุณ ณ แสงเทียนชัย แสงเทียนวิปัสสีที่กำลังปรกติธรรมดาอยู่ภายในปริมณฑณก็พวยพุ่งเป็นลำแสงขึ้นสู่เพดานพระอุโบสถ

 

สักครู่นะครับ รู้สึกว่าเคยโพส บอกไปแล้วทีนึง ..เด๋วกลับไปหาก่อนว่าอยู่หน้าไหน...อ่อลืมไปต้องออกไปทานข้าวก่อนเด๋วจะกลับมา หาวิธีลงรูปใหญ่ให้ครับ ^^

 

เล่าเหตุการณ์ หนึ่งที่ลงบันทึกไว้นะคะ

แสดงถึงปาฏิหาริย์ของพระเครื่องหลวงปู่ทวดเหยียบน้ำทะเลจืด ที่ลงในหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ฉบับวันจันทร์ที่ 16 กันยายน 2545 พาดหัวข่าว
"หนุ่มรุ่นห้อยหลวงปู่ทวดยิงไม่เข้า" และเนื้อหาข่าวเดียวกันนี้ "ข่าวสด" พาดหัวว่า "ฮือฮาหนังเหนียว ห้อยพ่อทวด พ่อค้าหนุ่มรอดตาย โจ๋รุมยิง-แทงไม่เข้า"

รายละเอียดของเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อเวลา 00.30 นาฬิกาของวันที่ 13 กันยายน 2545 ด้วยเหตุทะเลาะวิวาทบริเวณร้านจำหน่ายกางเกงยีนส์หน้าตลาดรังสิต หมู่ 2 ตำบลประชาธิปัตย์ เมื่อนายสมพรรัตน์ พูลช่วย อายุ 28 ปี ซึ่งเป็นพ่อค้าขายเสื้อผ้า ได้ถูกคู่ อริหลายคนรุมใช้มีดดาบฟันและสาดกระสุนปืนกระหน่ำยิงใส่
ในที่เกิดเหตุนั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจพบปลอกกระสุนปืนขนาด .22 ตกอยู่ 1 ปลอก จึงได้เก็บไว้เป็นหลักฐาน
สำหรับนายสมพรรันต์นั้น นับเป็นเรื่องเหลือเชื่อว่าทั้งคมมีดและกระสุนปืนไม่สามารถสร้างบาดแผลแม้เพียงกระผีก จะมีก็แต่เพียงร่องรอยแห่งการกระทำที่เห็นปรากฎเพียงเล็กน้อย
ขนาดนายแพทย์ที่ทำการตรวจร่างกายนายสมพรรัตน์ ยังยอมรับว่าจากการตรวจสอบภายนอกพบว่าเสื้อที่ส่วมใส่บริเวณกลางหลังมีรอยถูกรอยกระสุนปืนขาดกระจุย แต่คมกระสุนไม่ระคายผิว จะมีก็แต่เพียงร่องรอยแดงช้ำ ส่วนที่แขนขวามีรอยแดงเป็นทางยาวซึ่งเกิดจากคมมีดที่คู่อริฟันเข้าใส่
นายแพทย์ วินัย เกตรานุวัฒน์ แพทย์โรงพยาบาลประชาธิปปัตย์ ผู้ตรวจร่างกายนายสมพรรัตน์ กล่าวว่า วันเกิดเหตุคนเจ็บถูกส่งเข้ามารับการรักษาตัว แต่เมื่อตรวจสอบบาดแผลตามร่างกายพบว่ามีร่องรอยขีดแดงๆ โดยเฉพาะที่แขนจะเห็นเด่นชัดมาก รวมทั้งบริเวณกลางหลังเป็นจุดแดงช้ำๆ แต่ตนไม่สามารถระบุได้ว่าเกิดจากเหตุใด ดังนั้นจึงไม่สามารถออกความเห็นได้
ผู้สื่อข่าวไปพบนายสมพรรัตน์บอกว่าเป็นคนนครศรีธรรมราช วันเกิดเหตุขณะนั่งขายกางเกงยีนส์กับเพื่อนอยู่ในร้าน ถูกกลุ่มวัยรุ่นประมาณ 10 คน วิ่งกรูเข้ามาทำร้าย โดยมีอาวุธปืนและมีดดาบเป็นอาวุธ ตนถูกคนร้ายจ่อยิงเข้าที่กลางหลัง 1 นัด จนรู้สึกเจ็บไปทั้งแผ่นหลัง แต่แข็งใจพยายามวิ่งหนีเอาตัวรอด แต่ก็ถูกกลุ่มวัยรุ่นวิ่งไล่ฟันด้วยมีดดาบหลายครั้ง ถึงขนาดใช้มีดฟันศีรษะ แต่ได้ใช้มือขวายกขึ้นปิด จึงถูกฟันท่อนแขน ก่อนวิ่งหนีแหวกวงล้อมของคนร้ายออกมาได้ แต่เมื่อพบแพทย์กลับบอกว่าไม่เป็นอะไรเลย
"ไม่ทราบเหมือนกันว่ามีเพียงรอยช้ำ เกิดอะไรขึ้นและรอดมาได้อย่างไร แต่ผมห้อยพระเครื่องอยู่ 4 องค์ โดย 1 ใน 4 เป็นหลวงพ่อทวดวัดช้างให้ จังหวัดปัตตานี สร้างเมื่อปี พ.ศ.2503 ลักษณะเป็นเหรียญเสมา เนื้อทองแดง ของพระอาจารย์ทิม ซึ่งตกทอดมาจากพ่อเมื่อหลายปีก่อน และนำมาห้อยคออยู่เป็นประจำ.....

จากหนังสือประวัติศาสตร์สมัย หลวงปู่ทวดเหยียบน้ำทะเลจืด
ชุมศักดิ์ นรารัตน์วงศ์ เรียบเรียง

 

วิธีลงรูป ขนาดใหญ่.......
ในกล่อง โพสข้อความข้างล่างสุด..
จะมีรูป paper clip (คลิปหนีบกระดาษ)กด--->เลือกรูปที่จะนำมาลงจากcom เสร็จแล้วกด อัพโหลด-->รอให้โหลดแป๊บนึงพออัพเสร็จ--->สังเกตุด้านล่างตรงช่อง ไฟล์ที่อัพโหลดทั้งหมดในขณะนี้ จะขึ้นหมายเลขรูปมาให้ --->กดตรงนี้
ก็จะขึ้นหน้าต่างใหม่มาให้เป็นรูปภาพที่จะนำมาลง--->ให้ก็อปปี้ ตรงช่องที่เราพิมพ์www. ข้างบนหนะ มาให้หมด ก็อปปี้เสร็จ..เราจะนำไปวางแระ--->
การกลับไปวางรูป.ให้กลับไปหน้าที่เราจะส่งข้อความตรงช่องที่เรากดpaper clip นั่นแหระแต่ให้มองหารูปภูเขา แล้วกดตรงรูปภูเขา--->จะขึ้นหน้าต่างใหม่
จะเห็นช่องให้ใส่เราก็นำ url ที่เราก็อปมาเมื่อกี้ ไปวางตรงช่องนี้..รูปก็จะเขามาอยู่ในกล่องส่งข้อความเราทันที--->สุดท้าย ก็กดส่งข้อความ
..จบ
..
วิธีนี้ต้องขอขอบคุณคุณNorragateครับที่ช่วยสอน..(deejai)

 

ตามวิธีนั้นเลยยยคร้าบบบ...(^_^)...

 

ทดลองทำตามที่คุณ Norragate บอกครับ
หลวงปู่ทวด ของอาจารย์ทวี ทิวแก้วครับ

 

เห็นสร้อยเม็ด ดำ ดำ ที่คอคุณ นอร์ นึกถึงองค์นี้เลยครับ ^^

 

งามมากๆครับ

 

งดงามมาก มีข้อมูลมั้ยค่ะ....เกี่ยวกับลป.ทวดองค์นี้


เล่าเรื่องต่อค่ะ...
ขุนพันธรักษ์ราชเดช กับสุดยอดของขลังจากวัดช้างให้

16 ปีต่อมา หลังจากสร้างวีรกรรมปราบเจ้าพ่อเขาบูโด

ในปีพุทธศักราช 2497 ห้วงเวลาที่ขุนพันธ์ดำรงตำแหน่งรองผู้บังคับการตำรวจภูธร เขต 8 นครศรีธรรมราช ขุนพันธรักษ์ราชเดชซึ่งมีความผูกพันกันหลายครั้งหลายหนกับ พระอาจารย์ทิม และ หลวงปู่ทวดเหยียบน้ำทะเลจืด
แห่งวัดช้างให้ เพราะเดินทางไปวัดช้างให้บ่อยๆ โดยเฉพาะการทำพิธีพุทธาภิเษกพระเครื่องครั้งแรก ของวัดช้างให้ในสมัยพระอาจารย์ทิม ขุนพันธ์ได้เดินทางไปร่วมพิธีด้วย กระทั่งได้รับ "เครื่องรางของขลัง"สำคัญชิ้นหนึ่ง
เป็นเครื่องรางของขลังที่ว่ากันว่าในโลกนี้มีเพียง 3 ชิ้นเท่านั้น!

ขุนพันธ์ฯ ย้อนรำลึกความหลังในครั้งปี 2497 ก่อนที่จะมีการทำพิธีพุทธาภิเษกพระเครื่องหลวงปู่ทวดรุ่นแรกว่า ในสมัยนั้นไม่มีพิธีการอะไรใหญ่โตดังเช่นปัจจุบัน แต่เป็นการทำพิธีอย่างง่ายๆ ไม่มีอะไรซับซ้อน จุดประสงค์หลักของการทำพิธีคือมุ่งให้หลวงพ่อทวดเป็นผู้มาปลุกเสกเองมากกว่า
"อาจารย์นองก็พูดแบบนั้น "ฉันทิพย์ พันธรักษ์ราชเดช ลูกชายคนหนึ่งของขุนพันธ์ที่ได้รับถ่ายทอดวิทยาคมและสรรพวิชาแทบทุกกระเบียดนิ้ว จากบิดา เล่าประสบการณ์ที่ได้รับการถ่ายทอดจากบิดาให้ฟังอีกทีหนึ่ง
เหตุการณ์ครั้งสำคัญที่ผูกพันกับขุนพันธ์ฯโดยตรงเกิดขึ้นในช่วงเวลาเดียวกันนี้นี่เอง!!
โดยในช่วงเวลานั้น พระอาจารย์ทิม ได้นำผง ขี้เถ้าที่บรรจุอยู่ในหม้อที่ขุดได้บริเวณหน้าวัดช้างให้อันเป็นจุดที่เป็นสถูปหลวงปู่ทวดในปัจจุบัน และสันนิฐานว่าเป็นผงขี้เถ้าที่เก็บรวบรวมได้หลังจากมีการฌาปนกิจสังขารของหลวงปู่ทวดแล้ว มาปั้นผสมเป็นลูกกลอนกลมๆ จำนวน 3 ลูก
และผงขี้เถ้าที่ได้มาจากหม้อนี้ก็คือส่วนหนึ่งที่นำมาผสมทำพระเครื่องในปีพุทธศักราช 2497
ผงขี้เถ้าที่นำมาปั้นเป็นก้อนกลมๆ สีเทาขนาดปลายนิ้วก้อยเท่ากันหมดทั้ง 3 ก้อนหลังจากปั้นเสร็จแล้วลูกแรกพระอาจารย์ทิมได้เก็บไว้กับตัว ลูกที่สองมอบให้กับพระอาจารย์นอง และลูกที่สามมอบให้กับขุนพันธ์ ซึ่งเมื่อขุนพันธ์ได้รับมาแล้วได้นำไปใส่ตลับพลาสติกผนึกปิดตายไว้ ไม่ได้เลี่ยมอะไรทั้งสิ้น และได้พกติดตัวไว้ตลอดเวลา
กระทั้งวันหนึ่งได้นั่งทำสมาธิภาวนาอยู่ในห้องพระอันเป็นวัตรปฏิบัติที่ขุนพันธ์ทำอยู่เป็นประจำ ปรากฎว่าได้เกิดปาฎิหาริย์ขึ้นเมื่อองค์หลวงพ่อทวดได้ประทับเป็นนิมิตมาหาขุนพันธ์
ภาพข้างหน้าที่ขุนพันธ์ได้พบเห็นเวลานั้น แม้เป็นภาพเลือนรางของบุคคลที่ลักษณะศีรษะโต ส่วนลำตัวพองใหญ่ ในมือกำสิ่งของอะไรอยู่โดยบอกว่าจะเอามาให้ขุนพันธ์โดยในขณะที่ขุนพันธ์มองเห็นองค์หลวงปูทวดนิมิตมาหานั้นได้เป็นลำแสงสีขาวจากหลวงพ่อที่มายืนอยู่ตรงหน้าด้วย แสงสีขาวนั้นพุ่งตรงมาหายังสะดือของขุนพันธ์ หลังจากนิมิตของหลวงปู่ทวดก็ค่อยๆ จางหายไป โดยท่านได้ยกมือขึ้นโบกลาขุนพันธ์ พร้อมกับบอกว่าให้เก็บสิ่งของที่มอบให้ไว้ให้ดี ถ้ากระทำการเรื่องใดแล้วประสบปัญหาอะไรก็ตามก็ให้คิดถึงท่าน

 

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นครั้งนี้ทำให้ขุนพันธ์ มั่นใจว่าผงขี้เถ้าที่พระอาจารย์ทิมนำมาปั้นและผสมในพระเครื่องรุ่นแรกนั้นเป็นขี้เถ้าที่เกิดขึ้นหลังจากฌาปนกิจหลวงปู่ทวดจริง
หลังจากเหตุการณ์ครั้งนั้นแล้วขุนพันธ์ได้มีโอกาสพบปะกับอาจารย์นอง จึงได้เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้อาจารย์นองฟัง แต่ในส่วนของอาจารย์นองเองเล่าว่ายังไม่เคยเจอปรากฎการณ์เช่นที่ว่า
กระทั่งต่อมาได้มีการทำพิธีพุทธาภิเษกพระเครื่องหลวงปู่ทวดอีกครั้งหนึ่งปี 2505 ซึ่งในครั้งนั้นมีเหตุการณ์ที่ผู้เข้าร่วมพิธีจำนวนมากได้ประจักษ์อภินิหารสำคัญ อีกครั้งหนึ่งเมื่อได้มีการนำเกลือก้อนมาละลายในน้ำที่อยู่ในขันแล้วลองพากันชิมน้ำดู ปรากฏว่าแทนที่น้ำจะเค็มตามเกลือ แต่กลับจืดสนิท
ในครั้งนี้นี่เองที่หลวงปู่ทวดได้มาประทับทรงขุนพันธ์อีกครั้งหนึ่ง ขุนพันธ์ซึ่งยังมีความสงสัยว่านิมิตที่เคยเห็นนั่นใช่องค์หลวงปู่ทวดหรือไม่ จึงเอ่ยปากถามว่า "ที่เคยมานิมิตให้เห็นนั้นใช่หลวงพ่อทวดจริงหรือ"
หลวงปู่ทวดในนิมิตของขุนพันธ์ก็ถามขุนพันธ์ว่า "จำไม่ได้หรือไม่ ว่าเราเคยได้พบกันมาแล้วครั้งหนึ่ง"
เหตุการณ์การพบปะกันครั้งแรกก็คือช่วงที่ขุนพันธ์ได้รับมอบลูกอมกลมปั้นจากพระอาจารย์ทิม นั่นเอง

นี่จึงนับเป็นหนึ่งใน "เครื่องรางของขลัง" ชิ้นสำคัญที่อยู่ในตัวขุนพันธ์
กาลต่อมาเมื่อเข้าสู่วัยชราภาพ ขุนพันธ์ได้มอบลูกปั้นจากขี้เถ้านี้ให้ลูกชายคนโต คือ ฉันทิพย์ พันธรักษ์ราชเดช
ฉันทิพย์ พันธรักษ์ราชเดช เล่าว่า หลังจากปี 2535 ได้มีโอกาสไปกราบไหว้พระอาจารย์นองร่วมกับเจ้าหน้าที่ไฟฟ้าเขต 3 จังหวัดนครศรีธรรมราชหลังจากที่พระอาจารย์นองทำพระเครื่อง รุ่น เอ็ม 16 แล้วเสร็จไม่นาน และได้เรียนถามพระอาจารย์นองว่าลูกปั้นกลมที่ได้รับมอบจากอาจารย์ทิมยังอยู่หรือไม่พระอาจารย์นองตอบว่า
"ยังอยู่"
"หลังจากนั้นอาจารย์นองยังเดินไปหยิบมาให้ผมดู ผมจึงบอกกล่าวกับพระอาจารย์นองว่าลูกพ่อมีอยู่หลายคนจึงไม่รู้ว่าผมจะได้ลูกปั้นนี้หรือไม่ ถ้าท่านอาจารย์เมตตาผมจะขอของอาจารย์ไว้ล่วงหน้าก่อนจะได้หรือไม่"
พระอาจารย์นองตอบว่า "ได้" แต่จะให้หลังจากที่ท่านได้ตายไปแล้ว

 

ต่อมาเมื่ออาจารย์นองมรณภาพไปแล้ว ปรากฏว่าฉันทิพย์ลูกชายขุนพันธ์ไม่ได้ไปร่วมงานเพราะไม่ได้ข่าวมาก่อน ในที่สุดเครื่องรางของขลังชิ้นนี้จึงไม่รู้ว่าไปตกอยู่ในมือใคร เช่นเดียวกับของอาจารย์ทิมที่หายสาบสูญอย่างไร้ร่องรอยไปก่อนหน้านี้
แต่ ฉันทิพย์ บอกว่า "ถึงเดี๋ยวนี้ถ้าผมเห็นผมจำได้หมดเพราะทั้ง 3 ลูกมีลักษณะเหมือนกัน
อย่างไรก็ดีก่อนหน้าไม่นานมานี้ ขุนพันธ์ยังมี ของดี ที่เกี่ยวพันกับหลวงปู่ทวดอยู่อีกอย่างหนึ่ง นั้นก็คือพระเครื่องปลวงปู่ทวดรุ่นปี 2497 เพราะหลังจากทำพิธีเสร็จแล้ว
ครานั้นขุนพันธ์ได้บริจาคทรัพย์ส่วนตัวไปเป็นมูลค่า 3,500 บาท จึงได้พระเครื่องหลวงพ่อทวดมาจำนวนหนึ่ง
"ตอนนั้นพ่อได้พระเครื่องหลวงพ่อทวดรุ่นปี 2497 เนื้อว่านมาประมาณ 3 กระป๋องโอวัลติน พอพ่อได้มาแล้วนำกลับมาบ้าน หลังจากนั้นมีคนมาขอเรื่อยๆ พ่อก็แจกไปกระทั่งปี 2527 เมื่อเห็นว่าใกล้หมดแล้วจึงประกาศหยุดแจก พร้อมกับนำพระเครื่องที่เหลือมอบให้กับลูกๆ คนละองค์
ท้ายที่สุดแล้ว กล่าวสำหรับปริศนาของลูกปั้นกลมจากขี้เถ้า จำนวน 3 ลูก ถึงวันนี้ยังเป็นเรื่องดำมืดว่า อีก 2 ลูกซึ่งเป็นส่วนของอาจารย์นองและอาจารย์ทิมไปตกในมือผู้ใด?
แต่แน่นอนว่า 1 ใน 3 นั้นเป็นสมบัติอันมีค่ายิ่งของขุนพันธรักษ์ราชเดช ที่ต่อมาได้มอบเป็นมรดกที่ประเมินค่าไม่ได้ให้กับลูกชายคนหนึ่งที่ชื่อ
"ฉันทพย์ พันธรักษ์ราชเดช"

หลวงปู่ทวดคุ้มครองค่ะ

 

Ohhhh แจ่มมากๆครับคุณ นวโกฏิ.....(^_^)

 

เรื่องที่แปลกอยู่อย่างครับ คือ พระเครื่องหลวงปู่ทวด เศียรจะโตกว่าพระเครื่องปกติทั่วไป การสร้างพระเครื่องหลวงปู่ทวดวัดทางใต้ส่วนใหญ่จะขอพิมพ์จากองค์ท่านเองครับ

มีเรื่องมาเล่าให้ฟังด้วยครับ

ผมเคยไปดูพระเครื่องหลวงปู่ทวด ที่วัดเอี่ยมวรนุช ตอนนั้นมีรุ่นประวัติศาสตร์เมืองปัตตานี ของทางวัดตุยง เพิ่งออกมาใหม่ ๆ เจ้าของร้านให้บูชาพระเครื่องในวัดเอี่ยมวรนุช (ตรงศาลาที่มีการดูดวง ไม่ทราบว่าเป็นของทางวัดหรือเปล่า) เจ๊เจ้าของร้านเล่าให้ผมฟังว่า พระรุ่นนี้ท่านอาจารย์พล วัดนาประดู่ นั่งสมาธิขอพิมพ์จากหลวงปู่ทวด ได้พิมพ์มา(เนื้อว่านพิมพ์ลักษณะเศียรโต) ฝ่ายลูกศิษย์ลูกหาทางกรุงเทพไม่ชอบครับ ไม่เอาไม่สวย ให้แกะพิมพ์ขึ้นมาใหม่ให้เศียรเล็กกว่าเดิม จากแบบพิมพ์ที่ท่านอาจารย์พลเห็นในนิมิต หลังจากแกะบล๊อคเสร็จเริ่มกดพิมพ์เท่านั้นแหละครับ เปี๊ยะ..... บล็อคแตก ภายหลังก็ต้องกลับมาใช้แบบพิมพ์เดิมที่ท่านอาจารย์พลเห็นในนิมิตครับ ถึงได้สร้างสำเร็จขึ้นมาได้ ...

 

ขอบคุณคร้าบบบบบบบ

 

ประสบการณ์ แบบขำ ๆ ของรูปเหมือน"หลวงปู่แดง วัดศรีมหาโพธิ์"

ตอนปี 50 ตอนนั้นคุณแม่ผมบังคับให้ไปเรียนขับรถและสอบใบขับขี่ครับ ตัวผมเองขี้เกียจมากมายปิดเทอมทั้งที่อยากนอนอยู่บ้านสบาย ๆ คุณแม่ผมก็หาสารพัดเหตุผลเพื่อให้ผมยอมไปเรียนขับรถให้ได้ จนพาไปเช่าพระหลวงปู่ทวด วัดศรีมหาโพธิ์ ให้หลวงพี่ที่รู้จักมาเชียร์ให้ไปเรียนขับรถด้วย หลวงพี่ท่านว่า "เผื่อพาท่านไปหามวลสารไง" เอ้าเรียนก็เรียน และแล้วผมก็ไปเรียนขับรถประมาณเกือบ 1 เดือนครับ ร้อนก็ร้อนเพราะรถอาจารย์ที่สอนแกไม่ติดฟิล์มกันแดด จากหน้าขาวๆคมๆหล่อ ๆ แบบจีนผสมแขกของผม "ดำเกรียมไปหมด" มาจนถึงวันสอบใบขับขี่ครับ ในรถของผมจะมีพระเครื่องเยอะมากครับสอดไว้ใต้ที่บังแดด หลวงปู่ทวด หลวงปู่ปลอด หลวงพ่ออุทัย วัดวิหารสูง หลวงตาเณรคำ วัดป่าประดับทรงธรรม ฯ และที่หน้ารถจะมี รูปเหมือน หลวงปู่แดง วัดศรีมหาโพธิ์ ติดไว้คู่กับเสือ หลวงพ่อเปิ่น วัดบางพระ ครับ ตอนสอบใบขับขี่ผมบอกหลวงปู่ทวด หลวงปู่แดง วัดศรีมหาโพธิ์ เล่น ๆ ครับ ประมาณว่า หลวงปู่ หลวงตา สอบผ่านน่ะผ่านน่ะ ระหว่างการสอบครับ ผมขับรถอยู่ในบริเวณสนามสอบ มีรถคันหนึ่งที่ตามหลังผมมาถอยหลังยาวไปหน่อยลากกรวยตามไปด้วยค่อนข้างไกลพอสมควร จนกรรมการคุมสอบใบขับขี่ต้องวิ่งตามรถคันนั้นไปบอกให้หยุด ตอนนั้นผมด้วยความตื่นเต้นครับในสนามสอบผมผ่าไฟแดง และขับรถแบบหลุด ๆ อีกมากมายครับ แต่กรรมการคุมสอบมองไม่เห็นเพราะไปวิ่งตามรถคันนั้นอยู่ครับ
สรุป "ผ่านมาได้ไงเนี๊ยะ ..... งง"
เรื่องนี้เป็นเรื่องประสบการณ์ติดตลก สุดฮาที่สุดในชีวิตผมเลยครับ

 

ราตรีสวัสดิ์ครับทุกท่าน
เข้ามาแอบอ่าน ประสบการณ์ของพี่ๆตั้งแต่กลางวัน
ขอตัวไปนอนก่อนครับ

 

เขามาอ่านเช่นกันครับ...............................

 

ท่านขุนพันธ์ยังดีน่ะครับที่ไม่แจกพระหมด คุณปู่ผมแจกของจริงเลยครับสมัยท่านอาจารย์ทิมยังอยู่คุณปู่ผมได้ หลวงพ่อทวด 2497 กับ หลวงพ่อทวด รุ่นพินัยกรรม ปี 05 มาอย่างละเป็นร้อยองค์ หลวงพ่อทวดนวล หลวงปู่ดำให้มาเป็นลัง ๆ สมัยนั้นใครมาเยี่ยมท่านใครมากราบท่าน ท่านจะให้พระกลับไปด้วย คุณปู่ผมแจกจนหมดเลยจริง ๆ ครับ ขนาดพระบูชา ท่านเก็บ หลวงปู่ทวด ขนาดพระบูชา ปี 03 ไว้ องค์เดียวจริง ๆ โชคยังดีที่ยังพอมีหลวงพ่อทวดนวล เหลืออยู่ประมาณหนึ่งกำมือ ลูกหลานแอบเศร้านิด ๆ ครับ โฮกกกกกกกก ๆๆๆๆๆๆ