ภัยธรรมชาติ (จุดจบของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี) โดยหลวงพ่อทูล ขิปฺปปญฺโญ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย อภิราม, 31 ธันวาคม 2010.

  1. อภิราม

    อภิราม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    532
    ค่าพลัง:
    +9,005
    พระปัญญาพิศาลเถร
    (หลวงพ่อทูล ขิปฺปปญฺโญ)
    วัดป่าบ้านค้อ ต.เขือน้ำ อ.บ้านผือ จ.อุดรธานี


    [​IMG]


    คำปรารภ

    ...หนังสือเรื่อง "พุทธวงศ์ อายุขัยของมนุษย์ ภัยธรรมชาติ" เล่มนี้ ข้าพเจ้าได้เรียบเรียงขึ้น เพื่อให้ผู้ที่สนใจได้ศึกษาและพิจารณาเปรียบเทียบกับสถาณการณ์โลกในปัจจุบัน ที่กำลังเกิดขึ้นตามสถานที่ต่างๆ ทั่วโลก ภัยธรรมชาติประเภทต่างๆ ที่กำลังเกิดขึ้น จะมีความรุนแรงมากขึ้น ที่ยังไม่ทันเกิดก็จะเกิดในไม่ช้านี้ ล้วนแต่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นตามเหตุปัจจัย เป็นไปตามธรรมชาติในตัวของมันเอง ไม่มีใครมีอำนาจควบคุมหรือบังคับสั่งการอะไรได้​

    หากท่านผู้อ่านได้ทราบเรื่องราวที่มีในหนังสือเล่มนี้ ถ้ามีข้อสงสัยประการใด สามารถติดต่อสอบถามข้าพเจ้าได้โดยตรง ข้าพเจ้ายินดีที่จะให้ความกระจ่างในทุกเรื่องที่ได้เรียบเรียงลงในหนังสือเล่มนี้​

    ผู้มีปัญญาย่อมไม่ตั้งตนอยู่ในความประมาท สิ่งที่ผ่านมาก็ผ่านไปแล้วไม่สามารถแก้ไขอะไรได้ ขอให้ทุกท่านได้ใช้เวลาที่มีอยู่สร้างบุญกุศลบารมีตัวเองเอาไว้ให้มาก พวกเรามีโอกาสได้เกิดมาในยุคสมัยที่พระพุทธศาสนายังคงบริบูรณ์อยู่ จงพากันตั้งใจหมั่นสร้างเสริมบุญบารมี ทาน ศีล ภาวนา ให้ถึงพร้อมอย่างเต็มที่ เพื่อเป็นเหตุเป็นปัจจัยนำพาท่านทั้งหลายข้ามพ้นวัฏฏะ อันเต็มไปด้วยความระทมทุกข์ ไปสู่ฝั่งพระนิพพานดังที่ได้ปรารถนาไว้โดยเร็วพลันด้วยเทอญ...​

    พระปัญญาพิศาลเถระ
    (พระอาจารย์ทูล ขิปฺปปญฺโญ) ​

    ขอขอบพระคุณแหล่งที่มา : หนังสือภัยธรรมชาติ


    หลวงพ่อทูล ขิปฺปปญฺโญ เจ้าอาวาสวัดป่าบ้านค้อ อ.บ้านผือ จ.อุดรธานี
    มรณภาพแล้ว เมื่อเวลาประมาณ ๖ นาฬิกา วันที่ ๑๑ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๕๑
    ณ วัดป่าบ้านค้อ อ. บ้านผือ จ.อุดรธานี​


    ภาพอัฐิธาตุของหลวงพ่อทูล ซึ่งทางวัดป่าบ้านค้อ ได้ถ่ายภาพไว้ หลังพิธีพระราชทานเพลิงศพและเก็บอัฐิ


    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 ธันวาคม 2010
  2. อภิราม

    อภิราม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    532
    ค่าพลัง:
    +9,005
    ยุคภัยธรรมชาติที่รุนแรง

    [​IMG]


    โลกที่เราอยู่มีภัยนานาประการอันเป็นผลกระทบต่อชีวิต ทำให้ได้รับความทุกข์จากภัยธรรมชาติเป็นอย่างมากทีเดียว หลายชาติในอดีตได้เจอกับภัยธรรมชาติมาแล้ว เมื่อเกิดมาในชาตินี้ ขณะที่ภัยธรรมชาติยังไม่มาถึงตัวเราก็ไม่มีความรู้สึกเป็นทุกข์ แต่อีกไม่นานนัก เมื่อเราได้มาเกิดในโลกนี้อยู่บ่อยๆ ชีวิตก็ต้องเจอกับภัยธรรมชาตินี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เรื่องภัยธรรมชาตินี้จะเกิดมีขึ้นในโลกมนุษย์มากขึ้น และมีความรุนแรงมากขึ้น ในยุคต่อไป จะมีความรุนแรงเป็นอย่างมาก จะไม่มีใครในโลกนี้เอาชนะภัยธรรมชาตินี้ได้แต่อย่างใด​


    ภัยธรรมชาตจะเกิดขึ้นในตัวมันเอง เป็นภัยธรรมชาติที่มีอยู่ประจำโลกมาแต่กาลไหนๆเมื่อโลกนี้ได้เกิดขึ้นมานานหลายล้านๆปี ถึงกาลสมัยเปลือกโลกเสื่อมหมดคุณภาพลง เกิดขึ้นในสถานที่มีมนุษย์อยู่อาศัย จะเกิดขึ้นน้อยหรือเกิดขึ้นอย่างรุนแรงขึ้นอยู่ตามกฎเกณฑ์ของโลก​


    ภัยธรรมชาติที่จะกล่าวต่อไปนี้ เป็นภัยธรรมชาติที่จะเกิดขึ้นในช่วงที่
    อายุขัยของมนุษย์ต่ำกว่า ๑๐๐ ปีเป็นต้นไป จะทำให้มนุษย์ทั้งหลายได้ตายเป็นจำนวนมาก หากมนุษย์มีอยู่ในโลกประมาณ ๒ หมื่นล้านคน จะมีภัยธรรมชาติเกิดขึ้น มนุษย์จะล้มตายจากภัยธรรมชาตินี้ จะหาที่หลีกหนีไม่ได้ จะมีชีวิตอยู่รอดได้ประมาณ ๓๐ เปอร์เซ็นต์ของประชากรโลก แล้วเริ่มต้นชีวิตใหม่ โดยไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกสบายเหมือนยุคปัจจุบัน​


    ภัยธรรมชาตินี้จะเกิดต่อเนื่องกันยาวนาน จะหลบจากภัยธรรมชาติในจุดหนึ่งได้แล้ว ก็ไปเจอกับภัยธรรมชาติอย่างอื่นอีก ภัยธรรมชาตินี้มีอยู่เป็นจุดใหญ่ ๘ จุดด้วยกัน คือ ​


    ๑. วาตภัย จะเกิดลมพายุใหญ่ทั้งบนบกและในทะเล
    ๒. อุทกภัย จะเกิดน้ำท่วมอย่างรุนแรง
    ๓. ธรณีภัย จะเกิดแผ่นดินถล่มและแผ่นดินไหว
    ๔. อัคคีภัย จะเกิดความแห้งแล้ง ไฟไหม้ป่า
    ส่วนภัยธรรมชาติอย่างอื่นก็จะเกิดตามมา เช่น
    ๕. มลพิษภัย จะเกิดมลภาวะที่ร้ายแรง มีผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสัตว์เป็นอย่างมาก
    ๖. โรคภัย จะเกิดโรคระบาดนานาชนิด
    ๗. อาหารภัย จะเกิดการอดอยากในอาหาร
    ๘. โจรภัย ภัยจากกลุ่มคนพาลปล้นจี้ลักขโมย​


    ภัยธรรมชาติทั้งหลายนี้จะทำให้มนุษย์ในยุคนั้นอยู่กันด้วยความเดือดร้อนเป็นทุกข์อย่างมากทีเดียว ทั่วทุกมุมโลกจะมีภัยธรรมชาตินี้เกิดขึ้นเหมือนกัน ทุกประเทศเขตแดนจะไม่มีใครช่วยเหลือกันได้เลย ล้วนแล้วแต่ได้รับผลกระทบจากภัยธรรมชาตินี้อย่างทั่วถึงกัน​


    *** ภัยธรรมชาตินี้จะเกิดมีทุกฤดูกาล ฤดูแล้ง ฤดูฝน ฤดูหนาว จะเกิดขึ้นต่อเนื่องกันไปเรื่อยๆ เกิดขึ้นในที่ไหนจะทำให้เกิดความเสียหายในที่นั้นๆ เป็นอย่างมากทีเดียว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง วาตภัย เป็นภัยที่มาอันดับหนึ่ง ถ้าไม่มีฝนตกลงมา ลมก็จะพัดเอาน้ำมหาสมุทรเป็นคลื่นขนาดใหญ่ ทำให้เรือน้อยใหญ่ไม่สามารถวิ่งฝ่าคลื่นน้ำขนาดใหญ่ไปได้ เรือพวกพ่อค้าวาณิชที่เคยส่งน้ำมันส่งอาหาร จากประเทศนั้นไปสู่ประเทศนี้ก็จะจอดนิ่งทันที ถ้ามีบ้านเรือนที่ปลูกชิดกันกับชายฝั่งก็จะมีผลกระทบอย่างแน่นอน ประชาชนจะมีความเดือดร้อนเป็นอย่างมาก​


    นี้เป็นส่วนหนึ่งที่ วาตภัย ทำให้น้ำในทะเลเกิดความแปรปรวน จะเป็นอยู่อย่างนี้ติดต่อกันยาวนาน ต่อเนื่องกันทั้งกลางคืนและกลางวัน ลมที่อุ้มเอาน้ำทะเลให้เป็นคลื่นขนาดใหญ่พัดไปมา ประชาชนที่อยู่ใกล้ฝั่งทะเลจะมีความเดือดร้อน ซึ่งเวลาหลายสิบปีที่ผ่านมานี้ ประชาชนได้รับผลกระทบจากลมที่พัดเอาน้ำทะเลทำให้เกิดความเสียหายมาแล้ว ในช่วงต่อไปไม่นานนักมนุษย์ที่อยู่ริมฝั่งทะเล ก็จะได้รับผลกระทบอย่างแน่นอน จะทำให้ทรัพย์สินเสียหายและมนุษย์ล้มตายเป็นจำนวนมากทีเดียว นี้คือน้ำท่วมอันเนื่องจากลมเป็นต้นเหตุ


    วาตภัยที่เกิดขึ้นในตัวของมันเอง ไม่มีน้ำทะเล ไม่มีฝนตกลงมา ลมนี้จะพัดพาไปในทิศทางต่างๆ ของตัวลมเอง ไม่มีสิ่งใดๆ จะไปขัดขวางห้ามได้ ถ้าพัดเข้าไปในป่าจะทำให้ต้นไม้ใหญ่น้อยหักโค่น ทำลายทรัพยากรป่าไม้เป็นอย่างมาก ถ้าลมได้พัดเข้าที่ชุมชนอยู่อาศัยจะทำให้บ้านเรือนพังพินาศไป คนจะขาดที่อยู่อาศัยหรือล้มตายเพราะอาคารบ้านช่องพังทับถม​


    *** ลมที่ว่านี้จะมีชื่อตามที่มนุษย์ตั้งให้ ชื่ออะไรไม่สำคัญ ข้อสำคัญคือ ความรุนแรงของลมแต่ละอย่างจะทำให้เกิดความเสียหายเหมือนกัน วาตภัยจะเกิดขึ้นบ่อยครั้งทั่วทุกหนแห่งของมุมโลก มนุษย์จะมีความทุกข์เดือดร้อนเพราะลมไม่น้อย เงินของรัฐบาลจะสร้างบ้านที่พักอาศัยให้ทุกครอบครัวจึงทำได้ยาก เพราะบ้านได้พังเสียหายเนื่องจากลมที่มีความรุนแรง จึงยากที่จะได้รับความสงเคราะห์ให้ทั่วถึงกันได้ ในเหตุการณ์อย่างนี้จะมีผลกระทบจากลมอย่างรุนแรงในภายภาคหน้าโน้น​


    *** วาตภัยเมื่อเกิดขึ้นแล้ว ถ้ามีฝนตกลงมา จะเป็นพลังบวกกับลมอย่างรุนแรง ถ้าฝนตกลงมาแรงลมก็เกิดขึ้นอย่างรุนแรง จะทำให้เกิดน้ำท่วมในที่ต่างๆอย่างกว้างขวาง ถ้าบ้านปลูกในที่ต่ำ น้ำก็จะท่วมอย่างหลีกหนีไม่ได้ ทั้งลมก็พัดทำให้บ้านเรือนเกิดความเสียหาย ทั้งน้ำก็ท่วมบ้าน ทรัพย์สินทั้งหลายเกิดความเสียหาย เรียกว่าสิ้นเนื้อประดาตัว ไม่มีทรัพย์สมบัติใดๆพอจะนำเอาติดตัวมาได้เลย คนก็จะล้มตายเป็นจำนวนมาก จึงยากที่จะพึ่งใครๆ ได้ หน่วยราชการและหน่วยงานอื่นๆ ที่รับผิดชอบ ก็ถูกภัยธรรมชาตินี้ทำลายเช่นกัน ข้าวปลาอาหาร น้ำดื่ม จะพากันอดอยากเป็นอย่างมาก เครื่องบริโภค เครื่องอุปโภค เสื้อผ้า ยารักษาโรค จึงยากที่ทางรัฐบาลจะให้ความช่วยเหลือได้​


    ความทุกข์เพราะสิ่งเหล่านี้ก็แสนสาหัสอยู่แล้ว หากคนในครอบครัวมีการพลัดพรากจากกัน หรือได้ตายไปเพราะภัยพิบัตินี้อีก คนทั้งหลายก็จะเพิ่มทวีความทุกข์เดือดร้อนยิ่งขึ้น ในช่วงนั้นจะเรียกร้องให้ใครๆมาช่วยเหลือเราจึงเป็นไปได้ยาก เพราะทุกคนก็ได้เจอกับภัยธรรมชาตินี้เช่นกัน ในเหตุการณ์อย่างนี้นับแต่จะทวีความรุนแรงมากขึ้น ในประเทศไทยหรือต่างประเทศ ก็เริ่มเกิดภัยธรรมชาตินี้ให้เห็นกันอยู่แล้ว ซึ่งจะมีความรุนแรงมากขึ้นและเกิดขึ้นบ่อยครั้ง ดังที่เห็นกันอยู่ในขณะนี้​


    ภัยธรรมชาตินี้จะเกิดมีความรุนแรงในภายภาคหน้า ในอดีตหลายล้านปีที่ผ่านมา ก็ได้มีภัยธรรมชาตินี้มาแล้วหลายครั้ง จะเกิดขึ้นในช่วงมนุษย์มีอายุขัยขาลง มีอายุขัยต่ำกว่า ๑๐๐ ปีเป็นต้นไป ภัยธรรมชาติก็จะเริ่มก่อตัวเกิดขึ้นเรื่อยๆ เกิดขึ้นน้อยบ้างมากบ้างและเกิดขึ้นอย่างรุนแรงบ้าง จะมีผลกระทบอย่างใหญ่หลวง ทั้งลมทั้งฝนที่เกิดต่อเนื่องกันเป็นเวลานาน ทั้งอากาศก็แปรปรวนในที่ทั่วไป ทำให้เกิดเป็นภัยธรรมชาติเป็นวงกว้างทุกมุมโลกทั่วถึงกันทุกประเทศเขตแดน​


    *** เครื่องบินที่เคยเหาะเหินเดินอากาศ ก็ไม่สามารถที่จะเดินทางไปไหนได้ เครื่องบินเป็นสิ่งอำนวยความสะดวกของชีวิต ในการเดินทางไปต่างประเทศนั้นประเทศนี้ก็จะสิ้นสุดลงไปตามยุคสมัย รถเรือ ที่เคยให้ความสะดวกในการไปมา ก็จะพากันจอดอย่างสนิท จะวิ่งไปมาไม่ได้เลย มนุษย์จะอยู่กันเป็นกลุ่มเล็กกลุ่มใหญ่ ใครอยู่กันที่ไหนก็อยู่กันไปในที่นั้น จะส่งข่าวสารติดต่อกันด้วยวิธีใดก็จะติดต่อกันไม่ได้เลย​



    ขอขอบพระคุณแหล่งที่มา : หนังสือภัยธรรมชาติ
     
  3. อภิราม

    อภิราม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    532
    ค่าพลัง:
    +9,005
    วาตภัย อุทกภัย ธรณีภัย

    [​IMG]

    วาตภัย จะทำให้เกิดเป็นลมขึ้น ๒ จุดด้วยกัน คือ ​

    ๑. วาตภัยที่เกิดขึ้นจากความกดดันในชั้นบรรยากาศของโลกที่แปรปรวน ทำให้ลมเกาะกันเป็นกลุ่มเล็กกลุ่มใหญ่ จะเกิดเป็นช่องว่างให้ลมเกิดการหมุนตัว หลายคนเคยนั่งเครื่องบิน ได้ชนกับกลุ่มลมที่หมุนตัวอยู่ จะทำให้เครื่องบินตกหลุมอากาศเหมือนกับเครื่องบินได้วูบตัวลง หรือในบางครั้งเครื่องบินได้ชนกับกลุ่มลมที่หมุนตัวอยู่ จะทำให้เครื่องบินสั่นสะเทือนเพราะอากาศไม่ปกติ มีความแปรปรวน ถ้าเครื่องบินเล็กเดินทางผ่าน ก็จะเกิดอันตราย บังคับไม่ได้ ทำให้เสียหลักในการทรงตัวแล้วหมุนไปตามกระแสลม หรือตกลงพื้นดิน ทำให้เสียชีวิตดังได้ดูข่าวในปัจจุบัน​

    ถ้าเครื่องบินลำใหญ่ ลมกลุ่มเล็ก ก็พอจะบินผ่านไปได้ ถ้าลมกลุ่มใหญ่ มีกระแสพัดอย่างรุนแรง ถึงเครื่องบินจะใหญ่ก็ไม่สามารถบินผ่านไปได้ เครื่องบินจะขึ้นจากสนามและลงสู่สนามก็เป็นอันตรายเช่นกัน ทุกสนามบิน เมื่อมีลมเกิดขึ้นอย่างรุนแรง ห้ามเครื่องบินทุกชนิดขึ้นลง จะทำให้เป็นไปตามกระแส จนกว่าจะหมดกำลังลง เมื่อลมกลุ่มนี้หมดไป ลมกลุ่มใหม่เกิดขึ้นทั่วถึงกันในโลกนี้ ทุกสายการบินในโลกนี้ก็ต้องหยุดในการเดินทาง ถ้าลมเกิดขึ้นยาวนานเครื่องบินก็จอดสนิทยาวนานเช่นกัน

    *** ดาวเทียมเป็นสัญญาณสื่อสารที่สำคัญในยุคปัจจุบัน เครื่องคอมพิวเตอร์ อินเตอร์เน็ต และเครื่องรับสัญญาณจากดาวเทียมอื่นๆ มีจำนวนมาก ที่มนุษย์ได้สร้างขึ้นมาเพื่อความสะดวกในการทำงานได้อย่างรวดเร็ว เครื่องที่ใช้งานรับสัญญาณจากดาวเทียมเหล่านี้ ถ้าไม่มีสัญญาณของดาวเทียมในการสื่อสารจะทำงานไม่ได้

    *** ให้ฝึกทำใจไว้เลยว่า อนาคตต่อไปภายภาคหน้า เมื่อดาวเทียมมีปัญหาขัดข้องไม่สามารถส่งสัญญาณได้ จะไม่มีใครๆ ขึ้นไปแก้ไขให้ทำงานเป็นปกติได้ เพราะวาตภัยในห้วงอากาศกำลังหมุนตัวอย่างรุนแรง ท้องฟ้ากำลังแปรปรวนอย่างหนัก เครื่องบินอวกาศทุกชนิดไม่สามารถขึ้นไปสู่บนท้องฟ้าได้ ดาวเทียมก็จะมีปัญหาขัดข้องส่งสัญญาณข้อมูลอะไรไม่ได้ เครื่องอีเล็คทรอนิคส์ อินเตอร์เน็ต คอมพิวเตอร์ หรือเครื่องรับสัญญาณจากดาวเทียมอื่นๆ ก็ทำงานไม่ได้ เพราะสัญญาณของดาวเทียมเป็นต้นเหตุ ถึงมนุษย์จะมีความรู้ดี ได้สร้างดาวเทียม คอมพิวเตอร์ อินเตอร์เน็ต ขึ้นมาเพื่ออำนวยความสะดวกในการทำงาน ก็จะสิ้นสุดลงในยุคสมัย นี้คือจุดจบของมนุษย์ที่จะต้องรับในยุคต่อไป

    กรมอุตุนิยมวิทยามีความชำนาญในการติดตั้งเครื่องเตือนภัยทั้งหลาย ที่ได้ติดตั้งเพื่อรับข่าวสารจากภัยธรรมชาติต่างๆ ก็จะหยุดตัวลง ทำงานไม่ได้ ภัยธรรมชาติจะเกิดขึ้นในลักษณะใดก็ไม่สามารถรู้ได้ ภัยธรรมชาติจะเกิดขึ้นอย่างไรไม่มีใครๆรู้ล่วงหน้า เมื่อภัยธรรมชาติได้เกิดขึ้น มนุษย์ก็จะได้รับผลกระทบในทันที ทั้งวาตภัย อุทกภัยที่ได้เกิดขึ้นอย่างรุนแรงติดต่อกันเป็นเวลานาน มนุษย์ทั้งหลายในโลกนี้ จะอยู่กินหลับนอนกันไปด้วยความลำบาก

    ในยุคต่อไปเปลือกโลกจะเสื่อมอย่างรุนแรง จะก่อให้เกิดภัยธรรมชาติขึ้นในตัวของมันเอง เมื่อครบวงจรของเปลือกโลกเสื่อมก็จะมีเหตุการณ์อย่างนี้เกิดขึ้น จะหาวิธีป้องกันหยุดภัยธรรมชาตินี้ไม่ได้ มนุษย์ที่เกิดมาอาศัยโลกอยู่ เมื่อภัยธรรมชาติเกิดขึ้น ทุกคนต้องได้รับผลกระทบต่อภัยธรรมชาตินี้ ในขณะนี้หลายพื้นที่หลายประเทศได้เห็นภัยธรรมชาตินี้อยู่แล้ว หลายประเทศได้รับผลกระทบ มีความทุกข์เดือดร้อนไปตามๆกัน ฉะนั้น ทุกคนอย่าประมาท ตั้งสติให้ดี ในโลกนี้ อะไรจะเกิดก็ให้มันเกิด เมื่อแก้ไขไม่ได้ก็ต้องทำใจยอมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้น

    ๒. วาตภัยอีกจุดหนึ่งที่มนุษย์ต้องได้รับ นั้นคือลมใต้พื้นภิภพ จะมีความกดดันอย่างรุนแรง เปลือกโลกจุดไหนที่เสื่อมคุณภาพก็จะเกิดความกดดัน แผ่นดินจะเกิดแตกแยกจากกัน เรียกว่าลมประทุให้หินในพื้นภิภพได้แตกและกระจายอย่างกว้างไกล ถ้าเกิดบนบกก็เรียกว่า แผ่นดินไหว จะไหวมากไหวน้อยขึ้นอยู่กับความกดดันของลม มนุษย์จึงคิดคำนวณความรุนแรงออกมาเป็น ริคเตอร์ เท่านั้นเท่านี้ ถ้าเกิดแผ่นดินไหวในที่ชุมชนอย่างรุนแรง ก็จะทำให้บ้านอาคารมีความเสียหายเป็นอย่างมาก อาคารต่างๆ ก็จะพังทับถม หมู่มนุษย์ได้ล้มตายกันไปไม่มีใครๆ ช่วยกันได้

    การเกิดแผ่นดินไหวในลักษณะนี้ มีวาตภัยและธรณีภัยเกิดขึ้นพร้อมกัน และจะเกิดขึ้นบ่อยต่อเนื่องอย่างน้อย ๘ ริคเตอร์ขึ้นไป ถ้าเกิดขึ้น ๑๐ ริคเตอร์ หรือ ๑๒ ริคเตอร์ขึ้นไป เหตุการณ์อย่างนี้จะเกิดขึ้นในภายภาคหน้า อาคารบ้านช่องจะพังทลาย มนุษย์จะล้มตายเป็นจำนวนมาก จึงยากที่จะแก้ไขป้องกันได้ ความเป็นไปในลักษณะนี้ก็เพราะโลกธาตุได้เกิดขึ้นมายาวนาน ทุกอย่างจะต้องเปลี่ยนแปลงไปตามเหตุปัจจัยในตัวมันเอง ธาตุเดิม คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ อากาศธาตุ ทั้งบนอากาศหรือพื้นภิภพต้องเป็นอย่างนี้

    *** ภัยธรรมชาติอีกจุดหนึ่งที่จะเกิดขึ้นพร้อมกัน มีวาตภัย อุทกภัย ธรณีภัย ถ้าพื้นภิภพเสื่อมอยู่ในท่ามกลางมหาสมุทร ลมก็จะเกิดความกดดันให้เปลือกโลกส่วนที่เสื่อมแยกออกจากกัน ที่เรียกว่า แผ่นดินไหวในมหาสมุทรอย่างรุนแรง เมื่อแรงกดดันของลมปะทะกับชั้นหินที่มีความแข็ง ก็จะเกิดระเบิดอย่างกว้างขวาง หลายๆประเทศจะได้รับผลกระทบ ตายเป็นจำนวนมาก เมื่อชั้นหินได้แยกออกจากกันเป็นช่องใหญ่หลายจุดพร้อมกัน น้ำทะเลก็จะไหลลงสู่โพรงใต้พื้นภิภพเป็นจำนวนมาก น้ำทะเลก็จะลดลงอย่างเห็นได้ชัดทีเดียว เมื่อน้ำทะเลไหลลงสู่สู่โพรงดินขนาดใหญ่เต็มแล้ว วาตภัยในพื้นภิภพก็จะกดดันน้ำทะเลในส่วนนั้นกลับคืน น้ำทะเลก็จะถูกลมกดดันไหลขึ้นท่วมสถานที่ต่างๆ อาคารบ้านช่องก็จะพังเสียหายเป็นจำนวนมาก มนุษย์และสัตว์ก็จะล้มตายไปเป็นจำนวนมากเช่นกัน ที่เรียกว่า สึนามิ นั้นเอง

    *** ในลักษณะอย่างนี้เป็นเพียงวาตภัย อุทกภัย ธรณีภัยในพื้นภิภพเท่านั้น ถ้าหากเกิดวาตภัยขึ้นในช่องอากาศที่มนุษย์อาศัยอยู่ ความรุนแรงของภัยธรรมชาติก็จะเพิ่มมากขึ้นหลายเท่าตัว หรือหากมีอุทกภัยฝนได้กระหน่ำซ้ำเติมลงมาอีก ทั้งลมและฝนบนพื้นโลกไปบวกกับวาตภัยในพื้นภิภพ น้ำทะเลเดิมก็มีความปั่นป่วนอยู่แล้ว เมื่อลมและฝนซ้ำเข้าอีก มนุษย์จะอยู่กันอย่างไร เครื่องเตือนภัยสื่อสารกับสัญญาณดาวเทียมใช้ไม่ได้ ใครจะบอกว่าให้มนุษย์พากันหลบภัยในที่ไหน ในหมู่มนุษย์ก็จะเกิดความกลัวตายต่อภัยธรรมชาติเป็นอย่างมาก และยังเห็นเพื่อนมนุษย์ได้ตายให้เห็นต่อหน้าต่อตา จะเกิดความโกลาหลวุ่นวาย จะหลบตัวไปที่ไหนก็ไม่มีความปลอดภัย และภัยต่างๆก็จะเกิดตามมา เช่น โรคภัย มลพิษภัย อาหารภัย ความอดอยากหิวโหย โรคภัยต่างๆที่เกิดจากมลพิษภัย จะไม่มีหมอรักษา จะไม่มียาให้กิน เรียกว่า สิ้นเนื้อประดาตัว ถ้าเราเป็นคนหนึ่งที่ต้องประสบเหตุการณ์นี้ ลองคิดดูว่าเราจะเป็นอย่างไร


    ขอขอบพระคุณแหล่งที่มา : หนังสือภัยธรรมชาติ

     
  4. อภิราม

    อภิราม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    532
    ค่าพลัง:
    +9,005
    อัคคีภัย มลพิษภัย โรคภัย อาหารภัย โจรภัย


    [​IMG]


    อัคคีภัย หมายถึง ความร้อนจะเกิดขึ้นในโลกนี้อย่างรุนแรง ความแห้งแล้ง
    เพราะฟ้าฝนไม่ตกตามฤดูกาล ที่ผ่านมาเกิดภัยธรรมชาติขึ้นดังที่ได้อธิบายมาแล้ว มีวาตภัย อุทกภัย ธรณีภัย และ ภัย เช่น โรคภัย อาหารภัย โจรภัย มลพิษภัย เกิดขึ้นต่อเนื่องกัน ทำให้มนุษย์ทั้งหลายอยู่ด้วยความลำบาก เป็นทุกข์เดือดร้อนเป็นจำนวนมาก หากมีอัคคีภัยเกิดขึ้นซ้ำเติม ชีวิตความเป็นอยู่ของมนุษย์จะเต็มไปด้วยความทุกข์ยากแร้นแค้นแสนเข็ญ จึงเป็นเหตุให้มนุษย์อยู่ด้วยความอดอยากดิ้นรน ฝนจะตกลงมาน้อยไม่พอที่จะทำไร่ทำนา ดินฟ้าอากาษก็จะเกิดความแปรปรวนไปทั่วหนแห่งทุกข์มุมโลก​


    ในบางพื้นที่จะไม่มีฝนตกลงมาเลย ความร้อนจากแสงอาทิตย์แผดเผา ทำไร่ทำนาไม่ได้ผลแต่อย่างใด ในเหตุการณ์อย่างนี้จะมีความแห้งแล้งทั่วถึงกันในทุกมุมโลก อาหารการกินจะขาดแคลนขัดสน คนจะล้มตายเป็นจำนวนมากเพราะความอดอยากหิวโหย จะเกิดโจรภัย ลักปล้นจี้ให้ได้มาซึ่งอาหารเพื่อให้ชีวิตอยู่ได้ ในหมู่สัตว์เดรัจฉานไม่มีอาหารที่จะกินก็จะล้มตายกันไปเช่นกัน ​


    *** อัคคีภัยที่จะเกิดขึ้นในภายภาคหน้าโน้น คนที่เกิดมาในยุคนั้นจะได้เผชิญต่อภัยธรรมชาตินี้อย่างแน่นอน จะหลบหลีกหนีไปอยู่ในมุมโลกซีกไหนก็ไม่พ้นจากภัยธรรมชาติเหล่านี้ได้ ในยุคสมัยที่ประชากรโลกมีจำนวนประมาณ ๒ หมื่นล้านคน ภัยธรรมชาตินี้จะเกิดขึ้นเต็มรูปแบบทั่วทุกมุมโลก มนุษย์จะได้รับผลกระทบล้มตายไปเพราะอัคคีภัยเป็นจำนวนมาก ความร้อนจาก
    แสงแดดจะเผาเพิ่มความร้อนขึ้นหลายเท่า การจะรักษาชีวิตอยู่รอดได้นั้นยากมาก นับจากวันนี้ไปความร้อนจะทวีความรุนแรงหลายเท่าตัว จะเกิดความร้อนไปทั่วทุกมุมโลก ความร้อนที่เกิดขึ้นจากดวงอาทิตย์บนโลกและความร้อนที่จะเกิดขึ้นในแผ่นดิน จะทำให้เกิดความร้อนระอุขึ้นทุกหนแห่ง มนุษย์และสัตว์ทั้งหลายจะล้มตายเป็นจำนวนมาก จะหาสถานที่หลบภัยในที่ต่างๆหาได้ยาก​


    ถ้าหากเราเป็นคนหนึ่งอยู่ในเหตุการณ์อย่างนี้ก็จะได้รับความเดือดร้อนเหมือนคนทั่วไป ก่อให้เกิด อาหารภัย คือ ข้าวปลาอาหารเครื่องอุปโภคบริโภคจะขาดแคลนอดอยาก ตามมาด้วย โรคภัย คือภัยจากโรคต่างๆก็จะเกิดตามมา ในปัจจุบันมีโรคระบาดหลายชนิดที่เกิดขึ้นมาโดยบไม่ทราบสาเหตุ และยังหาวิธีรักษาไม่ได้ ซึ่งเกิดขึ้นทั้งมนุษย์และสัตว์ เช่น โรคเอดส์ โรคไข้หวัดนก โรคไข้หวัดใหญ่ โรคซาร์ เมื่อเกิดโรคภัยอย่างรุนแรง จะหาหมอหายามารักษา จะหาได้ยาก ​


    *** เมื่อประสบปัญหาอาหารภัย โรคภัย ก็จะเกิดโจรภัยการจี้ปล้นเพื่อให้ได้มาซึ่งอาหาร มนุษย์จะเบียดเบียนกันเอง เกิดความกลัวความหวาดระแวงในทรัพย์สิน ชีวิตของมนุษย์จะมีความเดือดร้อนอย่างแสนสาหัส แต่ละครอบครัวจะสูญเสียบุคคลที่เรารัก และพลัดพรากจากกันไป พ่อแม่ลูกหลาน ญาติมิตร เหมือนได้ติดอยู่ในความมืด ไม่รู้ข่าวสารซึ่งกันและกัน เพราะได้หนีตายไปคนละทิศละทาง การไปมาในที่ไหน จะไม่มีความสะดวกสบายเหมือนในยุคปัจจุบัน ไฟฟ้าจะใช้ในเวลาค่ำคืนก็ไม่มี ฟืนที่จะหามาก่อไฟเพื่อบรรเทาความหนาวเย็นก็หาได้ยาก เสื้อผ้าที่จะนำมานุ่งห่มก็ขาดแคลน เรียกว่า สิ้นเนื้อประดาตัว​


    เหตุการณ์อย่างนี้จะมีเกิดขึ้นในภาบภาคหน้าอย่างแน่นอน ภัยธรรมชาติเหล่านี้ เมื่อไม่เกิดขึ้นกับตัวเองก็รู้สึกว่าเฉยๆ เหมือนในยุคนี้ แม้มีภัยธรรมชาติได้เกิดขึ้นอยู่บ้างเราก็ไม่มีความเดือดร้อน ดังคำว่า ไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา เพราะถือว่าไม่ได้เป็นเรื่องของเราและไม่ใช่ญาติของเรา จึงไม่มีความรู้สึกเดือดเนื้อร้อนใจแต่อย่างใด เพราะเข้าใจว่าเป็นเรื่องของคนอื่น ถ้าเหตุการณ์อย่างนี้เกิดขึ้นกับตัวเองเมื่อไร จึงจะได้เกิดความรู้สึกตัว​


    อัคคีภัยความร้อนในยุคปัจจุบันก็เริ่มมีผลกระทบอยู่แล้ว ต่อไปจะเพิ่มความรุนแรงมากขึ้น มนุษย์จะอยู่ด้วยความลำบากเป็นอย่างมากทีเดียว ความร้อนที่เกิดขึ้นจะหาวิธีป้องกันได้ยาก เพราะเป็นภัยธรรมชาติเกิดขึ้นในตัวของมันเอง หมู่มนุษย์แม้จะมีส่วนทำให้ความร้อนของโลกนี้เพิ่มพูนขึ้นอยู่บ้าง แต่ในความเป็นจริงแล้ว โลกร้อนขึ้นเพราะเปลือกโลกเสื่อมนั่นเอง​


    อัคคีภัยความร้อนในพื้นภิภพจะเป็นเหตุให้ภูเขาไฟเกิดการปะทุมากขึ้น ภูเขาไฟจะบวกกับวาตภัยลมก็จะกดดันให้ภูเขาไฟระเบิดขึ้นอย่างรุนแรง ลาวาเถ้าถ่านก็จะฟุ้งกระจายขึ้นไปสู่อากาศและตกลงมา มนุษย์ก็จะได้รับผลกระทบเป็นอย่างมาก จะเกิดเป็นมลพิษนานัปการ​


    *** มนุษย์จะเกิดการเจ็บป่วยล้มตาย ที่อยู่อาศัยก็จะถูกฝุ่นเถ้าจากภูเขาไฟทับถม สถานที่อาศัยที่ได้ถูกภัยธรรมชาติอย่างอื่นทำลายมาก่อนแล้ว ยังได้รับผลกระทบจากภูเขาไฟเพิ่มเติมซ้ำอีก มนุษย์จะอยู่ก็ด้วยความลำบาก ความทุกข์ยากก็จะเกิดตามมา จะหาสถานที่หลบภัยที่ไหนก็แทบไม่มี เพราะในช่วงนี้จะมีอากาศแปรปรวนไปทั่วทุกมุมโลก ความร้อนจากอัคคีภัยจะทำให้ภูเขาไฟเกิดปะทุขึ้นหลายๆจุดต่อเนื่องกัน แต่ละวันมนุษย์จะหาที่หลบภัยจากกลิ่นไออันเป็นพิษอยู่ตลอดเวลา จะหาหน่วยงานใดเข้าไปช่วยเหลือนั้นเป็นของยาก มีความลำบากในการกินอยู่หลับนอน เนื่องจากภัยธรรมชาติหลายอย่างที่เกิดขึ้น ประเทศใดหรือสถานที่แห่งใดไม่มีภูเขาไฟระเบิดก็ยังได้รับภัยธรรมชาติอย่างอื่นอยู่นั่นเอง


    *** อัคคีภัยความร้อนจะมีผลกระทบต่อคลังแสง หมายถึงอาวุธที่เป็นพิษภัยที่มนุษย์ได้สร้างเอาไว้มาก เช่น ระเบิดปรมาณู นิวเคลียร์ที่เป็นพิษอย่างรุนแรง หลายๆประเทศที่เก็บอาวุธเหล่านี้เอาไว้ในสถานที่ต่างๆ อาวุธทั้งหลายเหล่านี้เมื่อถูกความร้อนมากขึ้นก็จะเกิดการระเบิด สารพิษก็จะกระจายขึ้นสู่อากาศ ลมก็จะพัดไปทั่วทุกมุมโลก มนุษย์ที่รับสารพิษเหล่านี้เกิดเป็นโรคภัยก็จะพากันล้มตายเป็นจำนวนมาก ผู้ที่คิดทำอาวุธร้ายแรงนี้ขึ้น ไม่ได้คิดถึงผลกระทบที่จะเกิดตามมา เรื่องอัคคีภัยอันเป็นภัยธรรมชาตินั้นอาจจะคิดไม่ถึง จึงได้สร้างอาวุธที่ร้ายแรงขึ้น


    ปัญหาโลกร้อนในขณะนี้ มีสาเหตุส่วนหนึ่งมาจากมนุษย์ทำให้อากาศของโลกมีความร้อน แต่ส่วนใหญ่ความร้อนเกิดจากอัคคีภัยอันเป็นความร้อนจากภัยธรรมชาติเอง ดังความร้อนที่มนุษย์ได้รับกันอยู่ในขณะนี้ ทุกๆปีความร้อนมีแต่จะเพิ่มขึ้น ดินฟ้าอากาศก็จะเกิดการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่เลวร้ายขึ้นเรื่อยๆ มนุษย์จะอยู่ด้วยความลำบาก ภัยธรรมชาตินี้ จะไม่มีวิธีป้องกันได้เลย ถ้าหวนคิดย้อนหลังสัก ๕๐ ปีที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน จะรู้ได้ชัดว่าความร้อนเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก และจะมีความร้อนเพิ่มขึ้นทุกๆปี นี้คือมนุษย์ในยุคต่อไปจะได้รับผลกระทบเป็นอย่างยิ่ง



    *** มลพิษภัยที่เกิดขึ้นตามมา คือ มลพิษทางน้ำ น้ำใช้ที่เกิดการปนเปื้อนสารพิษ สารเคมี และสิ่งสกปรก จนเน่าเสีย ซึ่งมาจากการปนเปื้อนสารเคมีของโรงงานอุตสาหกรรมต่างๆ ที่ประสบปัญหาน้ำท่วมขังเป็นเวลานาน มลพิษทางอากาศ อากาศมีฝุ่นควันที่เป็นพิษปนเปื้อน เมื่อคนหายใจเข้าไป ก่อให้เกิดโรคภัยและล้มตายเป็นจำนวนมาก และมลพิษจากขยะและสิ่งปฏิกูลที่มนุษย์เป็นผู้สร้าง ก็จะถูกน้ำพัดออกมาทำให้เน่า เกิดโรคระบาดติดเชื้อมากมาย

    มลพิษเหล่านี้ จะมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมที่มนุษย์อาศัยอยู่เป็นอย่างมาก จะมีผลกระทบต่อร่างกาย ทำให้เกิดเจ็บไข้เป็นโรคร้ายต่างๆตามมานานัปการ ที่ผ่านมามนุษย์ได้คิดค้นทางวิทยาศาสตร์ทางเคมีที่จะนำมาใช้ให้เป็นประโยชน์ แต่หารู้ไม่ว่า สิ่งเหล่านี้จะเกิดเป็นโทษในภายหลัง ทั้งสัตว์บกและสัตว์น้ำ ยังได้รับผลกระทบดังที่เห็นกันอยู่ทุกวันนี้ แม้มนุษย์ก็ได้รับผลกระทบอยู่ แต่ยังไม่รู้ตัว ที่เรียกว่า ตายผ่อนส่ง

    มลพิษภัยเหล่านี้มีผลกระทบต่อร่างกาย และมีผลกระทบถึงทางใจ ทำให้เกิดอารมณ์ที่หงุดหงิด เพราะว่าได้รับผลจากมลพิษภัยธรรมชาตินั้นเอง เมื่อสังคมของมนุษย์ได้รับมลพิษจากภัยธรรมชาติมากขึ้น อารมณ์ที่แสดงต่อกัน ล้วนแล้วแต่มีอารมณ์ที่เป็นพิษด้วยกัน นี้เรียกว่า ถึงยุคสมัยในการเปลี่ยนแปลงไปของโลก

    คำว่า "โลก" มีคำจำกัดความอยู่ ๓ อย่าง คือ

    ๑. สิ่งที่มีจิตครองร่าง

    ๒. สิ่งที่ไม่มีจิตครองร่าง

    ๓. อากาศ

    ทั้ง ๓ อย่างนี้รวมกันจึงเรียกว่า "โลก" จะขาดอย่างใดอย่างหนึ่งไม่ได้ ภัยธรรมชาติทั้งหลายที่จะเกิดขึ้น ก็เพราะธรรมชาติมีความเสื่อมไปตามอายุขัยในตัวมันเองที่เรียกว่าเปลือกโลกเสื่อม จึงได้เกิดภัยธรรมชาติขึ้นดังที่รู้เห็นกันในปัจจุบัน และจะเกิดขึ้นต่อไปในภายหน้า ผู้ที่เกิดมาในยุคนั้นจะได้ประสบต่อภัยธรรมชาตินี้ต่อไป


    ขอขอบพระคุณแหล่งที่มา : หนังสือภัยธรรมชาติ

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 ธันวาคม 2010
  5. อภิราม

    อภิราม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    532
    ค่าพลัง:
    +9,005
    จุดจบของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

    [​IMG]


    ในยุคสมัยที่พวกเราอยู่ในโลกปัจจุบันนี้ จะมีปัญญาชนที่มีความรู้ดีในหลักวิทยาศาสตร์ มีความฉลาดในอินเตอร์เน็ต คอมพิวเตอร์ เทคโนโลยี มีความสามารถทำดาวเทียมขึ้นโคจรในอวกาศ เพื่อเป็นสื่อถ่ายทอดข่าวสารลงมาสู่เทคโนโลยีและสื่อสารในอินเตอร์เน็ตอย่างคล่องตัวฉับไวในการทำงาน ได้นำมาใช้เป็นประโยชน์ในสังคมยุคนี้ได้เป็นอย่างดี เรียกว่าเป็นยุคของปัญญาชนมีความโดดเด่นที่สุดเช่นกัน เหตุผลที่ว่านี้ในกลุ่มปัญญาชนทั้งหลายเหล่านี้ยังศึกษาไม่ถึง จึงได้มองโลกไปในทางที่ดีไปเสียทั้งหมด ส่วนความไม่ดีที่เลวร้ายไม่ได้คิดวางแผนรองรับไว้เลยนั้น คือภัยธรรมชาติที่จะเกิดในยุคต่อไป ​

    หลังจากภัยธรรมชาติได้ผ่านไปแล้ว แทนที่ชีวิตความเป็นอยู่ของมวลมนุษย์จะมีความสุขสบายก็ตรงกันข้าม ชีวิตความเป็นอยู่ยิ่งย่ำแย่เลวร้ายลง จะได้รับมลพิษจากภัยธรรมชาติที่ตกค้างอยู่เป็นอย่างมาก ดินฟ้าอากาศจะมีการเปลี่ยนแปลงไป จะมีมลพิษภัยนานาประการได้เกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ มนุษย์ทั้งหลายจะอยู่กันด้วยความเป็นทุกข์ มีความลำบากอย่างแสนสาหัส ทุกคนต้องดิ้นรนเพื่อเอาชีวิตอยู่รอด ไม่มีใครๆช่วยเหลือกันได้ ​

    *** ทางฝ่ายบริหารการปกครอง บ้านเมืองเหมือนได้ถูกยุบตัวลงโดยปริยาย หน่วยงานราชการทุกกระทรวงทบวงกรม ก็ได้รับผลกระทบต่อภัยธรรมชาตินี้เช่นกัน เอกสารข้อมูลในการทำงานต่างๆ เกิดความเสียหาย ข้อมูลในอินเตอร์เน็ต เว็บไซต์ คอมพิวเตอร์ หรือเครื่องรับสัญญาณจากดาวเทียมสื่อสารต่อกันไม่ได้ เพราะดาวเทียมเองก็เกิดมีปัญหาขัดข้องในการส่งสัญญาณ ไม่ทำงานสื่อสารลงมาสู่คอมพิวเตอร์ อินเตอร์เน็ต หรือเครื่องรับสัญญาณอื่นใดได้เลย ผู้มีความรู้ในทางคอมพิวเตอร์ในแผนกใดก็ตาม เมื่อสัญญาณจากดาวเทียมส่งเข้าไม่ได้ คอมพิวเตอร์ก็ทำงานไม่ได้ ความรู้ที่มีอยู่ก็เอาไปทำงานอะไรไม่ได้ นี้คือการทำงานสื่อสารในทางวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีต่างๆก็จะสิ้นสุดจบลงตรงนี้ ชีวิตความเป็นอยู่ก็จะต้องเริ่มต้นใหม่ตามธรรมชาติเอง

    มนุษย์ในยุคปัจจุบันนี้ ยอมรับว่ามีปัญญา ค้นคิดเอาสิ่งต่างๆมาเป็นสิ่งอำนวยความสะดวกได้ดี คิดประดิษฐ์สื่ออุปกรณ์ในการทำงานช่วยความจำแทนสมองเก็บความรู้เอาไว้ แต่ก็น่าเป็นห่วง ที่มนุษย์อ้างตัวว่าเป็นผู้มีความฉลาด แล้วเอาความรู้ความสามารถุไปฝากไว้กับคอมพิวเตอร์ อินเตอร์เน็ต เมื่อสัญญาณจากดาวเทียมยังทำงานได้อยู่ก็ทำงานให้สำเร็จได้ เมื่อสัญญาณดาวเทียมมีปัญหาขัดข้อง คอมพิวเตอร์ อินเตอร์เน็ตก็เกิดความขัดข้องเช่นกัน จะทำงานให้สำเร็จเป็นไปได้ยากหรือเป็นไปไม่ได้เลย วิธีการไม่ตรงต่อเป้าหมาย จะนำมาใช้กับปัญญาความรู้ความสามารถของตัวเองไม่ได้ ในหลักการข้อมูลต่างๆทางหลักปฏิบัติ การเอาปัญญาความรู้ความสามารถไปฝากไว้กับคอมพิวเตอร์ อินเตอร์เน็ต ก็มีปัญหาไปด้วย จึงไม่สามารถดึงข้อมูลข่าวสารออกมาใช้งานได้เลย ถ้าเป็นอย่างนี้ความรู้ความฉลาดก็จะกลายเป็นความโง่ขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว

    *** ความรู้ในทางวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ หรือศาสตร์อื่นก็เอามาใช้งานไม่ได้ แม้แต่คณิตศาสตร์ บวก ลบ คูณ หาร ด้วยกระดาษ ปากกาด้วยปัญญาความรู้ของตัวเองก็ทำไม่ได้ ต้องอาศัยเครื่องคิดเลขหรือหรือเทคโนโลยีอย่างอื่นช่วยให้ทำงานได้ แม้แต่เบอร์โทรศัพท์ก็บันทึกเก็บเข้าในเครื่องไว้ทั้งหมด เมื่อสัญญาณของดาวเทียมมีปัญหา โทรศัพท์ก็มีปัญหาไปด้วย หรือสถานที่ทำงานของราชการและเอกชน จะต้องอาศัยเทคโนโลยีที่เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ อินเตอร์เน็ต กระแสไฟฟ้า และอาศัยสัญญาณของดาวเทียมช่วยให้ทำงานได้ ถ้าสิ่งเหล่านี้ถูกทำลายจากภัยธรรมชาติจนหมดสภาพไปแล้ว หลักการวิธีการแผนงานที่เป็นโครงสร้างพัฒนาก็มีปัญหาตามมาเช่นกัน เมื่อในยุคนี้มีเหตุการณ์อย่างนี้เกิดขึ้น ความเป็นอยู่ของมนุษย์จะอยู่กันอย่างไร การพัฒนาหรือธุรกิจต่างๆเหมือนกับว่า ได้ปิดตัวลงแบบถาวร จากนั้นไปจะไม่มีเทคโนโลยีทุกประเภทมาประกอบสื่อในการทำงานอะไรได้เลย คำว่า "ตนแลเป็นที่พึ่งของตน" ก็จะพลอยหมดความหมายทำอะไรไม่ได้ ความรู้ความสามารถความฉลาดจะหดหายไปจากตัวเองโดยไม่รู้ตัว จะเป็นผลกระทบในการทำงานและการปกครองอย่างใหญ่หลวง

    ในยุคนี้สมัยนี้เราได้สร้างความเจริญไว้ในโลกมีมากมายหลายอาชีพ ได้สร้างสิ่งอำนวยความสะดวกสบายให้แก่ตัวเองและส่วนรวมเอาไว้ จะทำงานในแผนกใดจะทำได้อย่างรวดเร็วทันใจ ทำได้ทั้งดาวเทียมการใช้สัญญาณสื่อสาร ทำเครื่องบิน รถ เรือ เพื่อเป็นสิ่งอำนวยความสะดวกในการเดินทาง จะไปไหนมาไหนได้รวดเร็วทันใจตามที่ต้องการ เมื่อภัยธรรมชาติยังไม่เกิดความรุนแรง ก็พออาศัยขับขี่ไปมาได้ ในวันหนึ่งข้างหน้าเมื่อเกิดภัยธรรมชาติขึ้นรุนแรง สิ่งอำนวยความสะดวกในการไปมาก็จะหมดยุคหมดสมัยไป มิใช่ว่ามนุษย์มีความรู้ดีมีปัญญาที่ฉลาดมีความสามารถจะรักษาไว้ได้ ตัวภัยธรรมชาตินั้นเองจะเป็นตัวตัดสินชี้ขาดแทนมนุษย์อยู่แล้ว เพราะเทคโนโลยีที่มนุษย์คิดขึ้นมาใช้งาน จะเป็นเพียงบางยุคบางสมัยเท่านั้น ถ้าได้ศึกษาประวัติศาสตร์ของโลกว่ามีความเป็นอยู่และเป็นมาอย่างไร ก็ไม่ปรากฏว่ามีเทคโนโลยีที่ก้าวไกลเหมือนในยุคปัจจุบัน ฉะนั้น มนุษย์ไม่ควรลืมตัวว่า "สิ่งที่ตัวเองสร้างขึ้นใช่ว่าจะอยู่ถาวรตลอดไป" เพราะในทุกอย่างที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติ หรือเกิดขึ้นจากความสามารถของมนุษย์สร้างขึ้นมาก็ตาม ทุกอย่างจะต้องตกอยู่ในความเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัยนั้นๆ

    *** เมื่อวาตภัย อุทกภัย อัคคีภัย และภัยต่างๆ ได้ทำลายในสิ่งอำนวยความสะดวกที่มนุษย์ได้สร้างขึ้นให้หมดไปแล้ว หมู่มนุษย์ในยุคนั้นก็จะเหลืออยู่น้อยและอยู่กันเหมือนเศษมนุษย์เดนตาย จะพากันอยู่สถานที่ใดก็หาเลี้ยงชีพพอให้มีชีวิตอยู่ได้ไปวันต่อวัน ไม่มีความคิดในการเสริมสร้างพัฒนาความเจริญในทางโลก ไม่มีความเจริญในทางพัฒนาแต่อย่างใด การไปมาหาสู่ซึ่งกันและกันต่างสถานที่ ไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกในการเดินทางเหมือนในยุคปัจจุบัน จะส่งข่างสารต่อกันด้วยวิธีใด ก็จะทำไม่ได้ว่าใครพากันอยู่ที่เมืองอะไรอยู่ที่ไหนจะไม่รู้กัน จึงเป็นต่างกลุ่มต่างอยู่ ไม่รู้กันว่าใครเป็นญาติของใคร พี่น้องอยู่ที่ไหนจะไม่รู้กัน

    แม้แต่การศึกษาหาความรู้ในหลักวิธีการต่างๆ ก็ไม่มีครูผู้ให้คำแนะนำสั่งสอน จะอ่านหนังสือไม่ได้ เขียนหนังสือไม่ได้ ต่างคนต่างกลุ่มทำมาหากินเท่านั้น ถ้าจะดูประวัติศาสตร์ประกอบเพื่อเป็นพยานหลักฐาน ก็ให้ดูประวัติแต่ละประเทศว่ามีความเป็นมาอย่างไร ทำไมตัวหนังสือไม่เหมือนกัน ทั้งภาษาสื่อต่อกันแต่ละประเทศก็พูดกันไม่รู้เรื่อง ก็เพราะครั้งก่อนได้ประสบภัยธรรมชาติ ที่เดนตายก็เกาะกันเป็นกลุ่ม นานๆเข้าเป็นกลุ่มใหญ่ กลายเป็นประเทศจึงแตกต่างกันทางภาษา

    *** ที่ข้าพเจ้าได้อธิบายเรื่องภัยธรรมชาติให้ท่านรู้ ก็เพราะมีหลักฐานในประวัติศาสตร์ที่มีความแตกต่างกัน เรื่องภาษา ตัวหนังสือ วัฒนธรรม ประเพณี ที่เหมือนกันบ้าง ต่างกันบ้าง นับจากถูกภัยธรรมชาติในยุคนั้นผ่านมาอีกยาวนานจนกว่าจะเกาะกลุ่มกันได้ จึงได้ตั้งสื่อภาษาเป็นของตัวเองขึ้น เพื่อสื่อสารต่อกัน จนกลายเป็นประเทศในปัจจุบัน มีประเทศใหญ่บ้างประเทศเล็กบ้างตามประชากรของแต่ละประเทศนั้นๆ แต่ละประเทศจะมีภาษากลางของแต่ละประเทศในการสื่อสารกัน แต่ละประเทศก็มีชนเผ่าหลายกลุ่มผนวกไว้ด้วยกัน แต่ละเผ่าก็มีภาษาเป็นของตัวเอง พูดเฉพาะในกลุ่มของตัวเอง แต่ก็ต้องศึกษาภาษากลางของประเทศตัวเองเพื่อสื่อสารกันเอาไว้ หลายๆ ชนเผ่าที่เล็กๆ ก็หลงลืมในภาษาเผ่าของตัวเอง เพราะเคยชินต่อภาษาของประเทศจนลืมตัว ภาษากลางแต่ละประเทศจะพูดไม่เหมือนกัน ถึงความหมายจะเหมือนกันแต่สื่อในการพูดจะไม่เหมือนกัน ส่วนภาษากลางของโลกใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลักจะสื่อสารกันได้ทั่วโลก


    ขอขอบพระคุณแหล่งที่มา : หนังสือภัยธรรมชาติ
     
  6. อภิราม

    อภิราม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    532
    ค่าพลัง:
    +9,005
    บทสรุป


    ที่ข้าพเจ้าได้อธิบายเรื่องภัยธรรมชาติ ก็ได้อธิบายไว้แล้ว ท่านผู้อ่านทั้งหลายที่มีการศึกษามากและมีการศึกษาน้อย หรือผู้ไม่เคยศึกษาในประวัติศาสตร์เหล่านี้ หลายๆท่านต้องคิดกันหนักพอสมควร ว่าเรื่องเหล่านี้จะพอเชื่อถือได้แค่ไหน หรือไม่เชื่อเลยก็เป็นได้​

    เฉพาะเรื่องภัยธรรมชาติ บางคนไม่เชื่อเลยว่าจะเกิดขึ้น บางคนอาจจะเชื่ออยู่บ้างแต่คิดว่ากว่าจะเกิดขึ้นอีกนาน หากตายไปก่อนแล้วจะไม่ได้เจอไม่มีผลกระทบกับตัวเอง ให้ท่านคิดต่อไปอีกว่าเชื่อในผลของกรรมหรือไม่ และเชื่อในภพชาติการเกิดใหม่หรือไม่ เมื่อจิตยังมีกิเลสตัณหาเป็นเชื้อพาให้มาเกิด จิตก็ต้องกลับมาเกิดเป็นชาติใหม่ได้ เมื่อได้มาเกิดในชาติใหม่ก็จะได้เจอต่อภัยธรรมชาตินี้อีกมิใช่หรือ เรื่องความไม่เชื่อต่อผลกรรมดีกรรมชั่ว เรื่องไม่เชื่อในภพชาติในการเกิดใหม่ ความไม่เชื่อในเรื่องอย่างนี้นั้น เป็นความเห็นเฉพาะตัวเท่านั้น ในหลักสัจธรรมความจริงจะเป็นสิ่งตายตัว ไม่เป็นไปตามความเห็นตามที่เรามีความเข้าใจอยู่นั่นเอง ​

    ความเห็นของหมู่มนุษย์ในอดีตมีความแตกต่างกันอยู่แล้ว ในยุคปัจจุบันหรืออนาคตภายภาคหน้า ความเห็นของมนุษย์ก็จะมีความแตกต่างกันตลอดไป ใครจะมีความเห็นผิด ใครจะมีความเห็นถูกเป็นเรื่องธรรมดาของมนุษย์ เช่นนับถือศาสนาต่างกัน นับถือพระเจ้าคนละองค์ ความเห็นก็มีความแตกต่างกันอยู่บ้าง ขึ้นอยู่กับนำสื่อคำสอนของพระเจ้ามาตีความเพื่อให้เกิดความเชื่อ ใครเชื่อในคำสอนของพระเจ้าอย่างไรก็ปฏิบัติกันไป หรือนับถือศาสนาอะไรก็ได้ เรื่องบาปบุญคุณโทษ ตายไปจะเกิดใหม่หรือไม่เกิด ก็จะไม่สนใจในสิ่งเหล่านี้​

    ถึงจะไม่เชื่อในสิ่งเหล่านี้ก็ไม่เป็นไร ข้อสำคัญให้เราทำดีเอาไว้ในชีวิตนี้ก็แล้วกัน เพราะการทำดีการพูดดีและมีความเห็นที่เป็นธัมมาธิปไตยนี้ต่างหากที่จะเป็นเส้นทางให้จิตจะต้องได้รับผลในทางที่ดี ถ้ามีความเห็นเป็นอัตตาธิปไตย ในทุกเรื่องจะเข้าข้างตัวเอง จะเป็นเหตุให้เกิดปัญหาแก่ตัวเองและสังคมส่วนรวม ที่เรียกร้องความสมานฉันท์ความรักสามัคคีให้เกิดขึ้น แต่ไม่หยุดความก้าวร้าว กล่าวคำนินทาว่าร้ายซึ่งกันและกัน จะให้ความสมานฉันท์เกิดขึ้นได้อย่างไรเล่า นี้คือเอาอัตตาธิปไตยมาเป็นหลักยืนโดยไม่รู้ตัว ความสมานฉันท์ในกลุ่มน้อยกลุ่มใหญ่จึงเป็นไปได้ยาก หรือเป็นไปไม่ได้เลย

    การศึกษาไม่ควรผูกขาดในใบประกาศนียบัตร ว่าจบในระดับนั้นระดับนี้มาจึงจะเชื่อถือได้ ที่จริงใบประกาศนียบัตรเป็นเพียงหลักฐานยืนยันในวุฒิการศึกษาเท่านั้น หรือจำกัดว่าผู้มีความรู้มากมีความรู้น้อยในสาขาอาชีพนั้นๆ สำหรับความผิดถูกชั่วดี จะเอาวุฒิการศึกษามาเป็นตัวตัดสินไม่ได้ เพราะความผิดถูกชั่วดีเป็นผลที่เกิดจากความเห็น​

    ถ้ามีความเห็นผิด จะจบการศึกษาในระดับไหนมาก็ลบล้างความเห็นผิดไม่ได้ หนำซ้ำความรู้ยังเป็นตัวหนุนให้เกิดความเห็นผิดเพิ่มขึ้นไปอีก ถ้ามีความเห็นถูก ถึงจะมีความรู้น้อยความรู้มาก ก็เป็นประโยชน์มีคุณค่าให้แก่ตัวเองและสังคมส่วนรวมได้ หรือผู้ไม่มีความรู้ทางหลักวิชาการในภาคการศึกษามา แต่ใจมีความรักความสงสารในหมู่คณะ เป็นผู้ไม่เห็นแก่ตัว มีความเห็นใจและเข้าใจคนอื่น เพียงเท่านี้ความสมานฉันท์ก็เริ่มตั้งหลักได้แล้ว เมื่อตั้งหลักของเหตุปัจจัยในคำว่าสมานฉันท์ไม่ถูกต้องและเข้าข้างตัวเอง ความรักสามัคคีความสมานฉันท์จะเกิดขึ้นได้ยาก เพราะไปเอาความรู้เอาวุฒิในการศึกษามาประกอบอัตตาของตัวเอง แล้วไปเรียกร้องเอาความถูกต้องชอบธรรมให้เกิดขึ้นในสังคม
    ในใจตัวเองยังมีอคติ สมานฉันท์จึงเกิดขึ้นไม่ได้

    คำสอนของพระพุทธเจ้าหลายหมวดหมู่มีเหตุผลเชื่อถือได้ ข้าพเจ้าได้นำประวัติพุทธวงศ์ ประวัติของอายุขัยของมนุษย์ และภัยธรรมชาติ ทั้ง ๓ หมวดนี้ นำมาอธิบายโดยย่อพอให้เข้าใจอยู่บ้าง เฉพาะเรื่องภัยธรรมชาติให้เราสังเกตติดตามดูให้ดี ว่าภัยธรรมชาติทั้ง ๘ จุดนั้นเป็นอย่างไร ในอดีตจนถึงปัจจุบัน ภัยธรรมชาติเกิดขึ้นอย่างไร นับแต่ปัจจุบันไปสู่อนาคต ต่อไปจะมีภัยธรรมชาติเกิดขึ้นอย่างไรบ้าง​

    เมื่อได้อ่านหนังสือเล่มนี้ต้องตั้งสติให้ดี ใช้ปัญญารอบรู้เท่าทันในความเป็นอยู่ของโลกนี้ให้ได้ ใครจะเชื่อหรือไม่เชื่ออย่างไร ถือว่าเป็นกรรมของสัตว์โลก ช่วยเหลือไม่ได้ ข้าพเจ้าได้ศึกษามาและได้สังเกตุภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้นในอดีต และมีแนวโน้มที่จะเกิดเป็นภัยธรรมชาติในอนาคตนั้น มีสูง จึงได้บอกเตือนเอาไว้ว่าจะหาวิธีป้องกันตัวเองได้อย่างไร มิใช่ว่าเมื่อภัยธรรมชาติเกิดขึ้นถึงตัวแล้วจึงตื่นตัว จะตั้งหลักก็ไม่ทัน ปัญหาต่างๆก็เกิดตามมา จะหาที่หลบซ่อนตัวก็ไม่ทันต่อเหตุการณ์ อย่าไปคิดว่าภัยธรรมชาตินี้เป็นเรื่องไกลตัว หลายๆประเทศ ภัยธรรมชาติได้เกิดขึ้นมีผลกระทบต่อมนุษย์มากทีเดียว เราคนหนึ่งจะต้องได้รับผลกระทบจากภัยธรรมชาตินี้ในยุคต่อไป วาตภัย อุทกภัย อัคคีภัย ธรณีภัย มลพิษภัย โรคภัย อาหารภัย โจรภัย ภัยทั้ง ๘ นี้จะมีอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือหลายอย่าง เราจะต้องได้รับผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ จะหาวิธีป้องกันอย่างไรที่จะผ่อนหนักให้เป็นเบา เพื่อให้ชีวิตอยู่รอด พวกเราทั้งหลายจงอย่าประมาท ให้มีความกลัวต่อธรรมชาตินี้เอาไว้ ​

    ที่ข้าพเจ้าได้อธิบายในเรื่องภัยธรรมชาตินี้ ก็เพื่อเตือนสติไม่ให้ประมาท ให้ตื่นตัวอยู่เสมอ ว่าอีกวันหนึ่งข้างหน้าเราต้องเจอต่อภัยธรรมชาตินี้อย่างแน่นอน เพราะเราได้มาเกิดในยุคสมัยที่โลกกำลังแปรปรวน หรือมาเกิดในยุคเปลือกโลกเสื่อม ไม่ควรที่จะไปกล่าวโทษต่อภัยธรรมชาตินี้ ต้องโทษตัวเองว่า เรามาเกิดในในยุคนี้ทำไม เราต้องทำใจยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้น เพราะโลกเป็นอย่างนี้โดยธรรมชาติในตัวของมันเอง อย่าไปเชื่อมั่นในเทคโนโลยีและหลักวิทยาศาสตร์จนลืมตัว สิ่งเหล่านี้มนุษย์สร้างขึ้นมาเพื่ออำนวยความสะดวกในชั่วระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น เมื่อถึงกาลเวลาของโลกที่เปลี่ยนแปลงไป หลักวิชาการต่างๆก็ไม่สามารถช่วยเราได้เลย

    ข้าพเจ้าขออภัยท่านผู้รู้ทั้งหลายเอาไว้ในที่นี้ หากมีประโยคที่บกพร่องไม่เหมือนกับที่ท่านได้ศึกษามา คิดว่าท่านคงไม่ติดใจ เพราะข้าพเจ้ามีความรู้น้อย คิดว่าท่านผู้รู้ทั้งหลายคงให้อภัย


    ขอขอบพระคุณแหล่งที่มา : หนังสือภัยธรรมชาติ

    อ่านประวัติพุทธวงศ์และอายุขัยของมนุษย์เพิ่มเติมได้ คลิกที่เว็บเลยครับ

     

แชร์หน้านี้

Loading...