พญานาคราช 4 ตระกูล นครคำชะโนด

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย Ajarn Pithak, 23 พฤศจิกายน 2009.

  1. Ajarn Pithak

    Ajarn Pithak เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    1,367
    ค่าพลัง:
    +2,126
    ธรรมะ กวนๆ ของหลวงพ่อ


    เรื่องของการเหาะเหินเดินอากาศ

    มีผู้สงสัยถามไถ่หลวงพ่อว่า
    "เขาลือว่าหลวงพ่อเป็นพระอรหันต์ เป็นแล้วเหาะได้ไหมครับ"
    "แมงกุดจี่มันก็เหาะได้" ท่านตอบ
    (แมงกุดจี่ - แมลงชนิดหนึ่งอยู่กับขี้ควาย)

    อีกครั้งหนึ่งมีผู้ถามคล้าย ๆ กันว่า
    "เคยอ่านพบเรื่องพระอรหันต์สมัยก่อน ๆ เขาว่าเหาะได้จริงไหมครับ"
    "ถามไกลเกินตัวไป มาพูดถึงตอไม้ที่จะตำเท้าเราดีกว่า"ท่านกล่าว

    ขอของดีไปสู้กระสุน

    ทหารคนหนึ่งไปกราบขอพระเครื่องกันกระสุน
    จากหลวงพ่อ ท่านบอกหน้าตาเฉยว่า
    "เอาองค์นั้นดีกว่า เวลายิงกันก็อุ้มไปด้วย"
    ท่านชี้ไปที่พระประธาน

    ของขลัง

    มีคนชอบเล่นของนำเหรียญหลวงพ่อไปลองยิง
    เป็นอย่างไรยิงออกใหม
    ออกครับ หลวงพ่อแต่ไม่ถูก
    "โยม ลองเอาปืนหันเข้าหาตัวสิ ยิงออกใหม"

    เอ๊า

    มีเด็กหิ้วกรงขังนกมาชวนหลวงพ่อซื้อ
    เพื่อปล่อยนกในการทำบุญในสถานที่แห่งหนึ่ง
    "นกอะไร เอามาจากไหน"
    "ผมจับมาเอง"
    "เอ๊า...จับเองก็ปล่อยเองซิล่ะ" ท่านว่า

    ปวดเหมือนกัน

    โยมผู้หญิงคนหนึ่งปวดขามาขอร้องหลวงพ่อเป่าให้
    "ดิฉันปวดขา พลวงพ่อเป่าให้หน่อยค่ะ"
    "โยมเป่าให้อาตมาบ้างซิ อาตมาก็ปวดเหมือนกัน" ท่านตอบ

    อาย

    ครั้งหนึ่งหลวงพ่อรับนิมนต์เข้าวัง ขณะลงจากรถ
    มีท่านเจ้าคุณรูปหนึ่งเข้ามาทักว่า
    "คุณชา สะพายบาตรเข้าวัง ยังงี้ไม่นึกอายในหลวงหรือ"
    "ท่านเจ้าคุณไม่อายพระพุทธองค์หรือ ถึงไม่สะพายบาตรเข้าวัง" ท่านย้อน

    อาจารย์ที่แท้จริง

    ท่านชาคโรถูกหลวงพ่อส่งไปอยู่ประจำวัดสาขาแห่งหนึ่ง
    เมื่อมีโอกาสหลวงพ่อได้เดินทางไปเยี่ยม
    "เป็นไงบ้าง ชาคโร ดูผอมไปนะ" หลวงพ่อทัก
    "เป็นทุกข์ครับหลวงพ่อ" ท่านชาคโรตอบ
    "เป็นทุกข์เรื่องอะไรล่ะ"
    "เป็นทุกข์เพราะอยู่ไกลครูบาอาจารย์เกินไป"
    "มีตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เป็นอาจารย์ทั้งหก
    อาจารย์ฟังให้ดี ดูให้ดี เขาจะสอนให้เราเกิดปัญญา

    อาจารย์นกแก้วนกขุนทอง

    สมัยนี้มีครูบาอาจารย์สอนธรรมะมาก บางอาจารย์อาจสอนคนอื่นเก่ง
    แต่สอนตนเองไม่ได้ เพราะว่าสอนด้วยสัญญา (ความจำได้หมายรู้)
    จำขี้ปากคนอื่นเขามาสอนอีกที
    หลวงพ่อเคยแสดงความเห็นในเรื่องนี้ว่า
    "เรื่องธรรมะนี่จริงๆแล้ว ไม่ใช่เรื่องบอกกัน
    ไม่ใช่เอาความรู้ของคนอื่นมา
    ถ้าเอาความรู้ของคนอื่นมาก็เรียกว่าจะต้องเอามาภาวนาให้มันเกิดชัดกับเจ้าของ
    อีกครั้งหนึ่ง ไม่ใช่ว่าคนอื่นพูดให้ฟังเข้าใจแล้วมันจะหมดกิเลส
    ไม่ใช่อย่างนั้น
    ได้ความเข้าใจแล้วก็ต้องเอามาขบเคี้ยวมันอีกให้มันแน่นอนเป็นปัจจัตตังจริงๆ
    (ปัจจัตตัง - รู้เห็นได้ด้วยตนเอง,รู้อยู่เฉพาะตน)

    โรควูบ

    นักภาวนาคนหนึ่งถามปัญหาภาวนาของตนกับหลวงพ่อ
    "นั่งสมาธิบางทีจิตรวมค่ะ แต่มันวูบ
    ชอบวูบเหมือนสัปหงกแต่มันรู้ค่ะ
    มันมีสติด้วย เรียกว่าอะไรคะ"
    "เรียกว่าตกหลุมอากาศ" หลวงพ่อตอบ "ขึ้นเครื่องบินมักเจออย่างนั้น"

    นั่งมาก

    วันหนึ่งหลวงพ่อนำคณะสงฆ์ทำงานวัด
    มีวัยรุ่นมาเดินชมวัดถามท่านเชิงตำหนิ
    "ทำไมท่านไม่นำพระเณรนั่งสมาธิ ชอบพาพระเณรทำงานไม่หยุด"
    "นั่งมากขี้ไม่ออกว่ะ" หลวงพ่อสวนกลับ ยกไม้เท้าชี้หน้าคนถาม
    "ที่ถูกนั้น นั่งอย่างเดียวก็ไม่ใช่ เดินอย่างเดียวก็ไม่ใช่ ต้องนั่งบ้าง
    ทำประโยชน์บ้าง ทำความรู้ความเห็นให้ถูกต้องไปทุกเวลานาที
    อย่างนี้จึงถูก กลับไปเรียนใหม่ ยังงี้ยังอ่อนอยู่มาก
    เรื่องการปฏิบัตินี้ถ้าไม่รู้จริงอย่าพูด มันขายขี้หน้าตนเอง"

    ยศถาบรรดาศักดิ์

    ท่านกล่าวถึงสมณศักดิ์ที่ได้รับพระราชทานมาไว้ครั้งหนึ่งว่า
    "สะพานข้ามแม่น้ำมูล เวลาน้ำขึ้นก็ไม่โก่ง เวลาน้ำลดก็ไม่แอ่น"

    ศักดิ์ศรี

    หลวงพ่อเคยปรารภเรื่องภิกษุสะสมเงินทองปัจจัยส่วนตัวว่า
    "ถ้าผมสิ้นไป พวกท่านทั้งหลายค้นพบ หรือเห็นปัจจัยเงินทองอยู่ในกุฏิผม
    โอ๊ย...เสียหายหมด เสียศักดิ์ศรีพระปฏิบัติ"
     
  2. Ajarn Pithak

    Ajarn Pithak เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    1,367
    ค่าพลัง:
    +2,126
    ผู้มีปกติแผ่เมตตาเสมอๆ ย่อมได้อานิสงส์ ๑๑ ประการ


    ผู้มีเมตตา ย่อมเอาชนะใจผู้อื่น ซึ่งเป็นชัยชนะที่เด็ดขาด ไม่กลับแพ้ ผู้ตั้งอยู่ในเมตตาธรรม ชื่อว่าทำประโยชน์ทั้งแก่ตนเองและแก่ผู้อื่น เมตตาทำให้จิตใจสดชื่น ผ่องใส มีความสุข ดังที่พระพุทธเจ้าแสดงอานิสงส์ของเมตตาไว้ ดังนี้
    ๑. หลับก็เป็นสุข
    ๒. ตื่นก็เป็นสุข
    ๓. ไม่ฝันร้าย
    ๔. เป็นที่รักของมนุษย์ทั้งหลาย
    ๕. เป็นที่รักของอมนุษย์ คือภูตผีปีศาจทั้งหลาย
    ๖. เทวดาก็ช่วยปกป้องคุ้มครองภัยอันตรายต่างๆ
    ๗. ทั้งพิษและไฟ ตลอดทั้งศัสตราอาวุธ ก็ไม่อาจกล้ำกลาย
    ๘. จิตตั้งมั่นเป็นสมาธิได้เร็ว
    ๙. ผิวพรรณย่อมผ่องใส
    ๑๐. ตายก็มาสติ จิตใตไม่ฟั่นเฟือน
    ๑๑. เมื่อยังไม่บรรลุคุณธรรมที่สูงกว่า ย่อมเข้าถึง พรหมโลก
     
  3. samsak

    samsak สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    113
    ค่าพลัง:
    +14
    นาคอยู่ในน้ำ สมัยพุทธกาลยังมาช่วยบังฝนให้พระพุทธเจ้า
     
  4. Ajarn Pithak

    Ajarn Pithak เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    1,367
    ค่าพลัง:
    +2,126
    ทุกคนไปไหนกันหมดครับ เงียบเหงาจังเลย หายไปเลยอะ
     
  5. piyada20

    piyada20 สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    16
    ค่าพลัง:
    +1
    สวัสดีค่ะเป็นสมาชิกใหม่ขอเข้าชมรมด้วยคนนะคะ ขอรบกวนพี่ๆ ผู้รู้ผู้ผ่านการฝึกฝนมาก่อนพอดีดิฉันก็เพิงหันหน้ามาเริ่มปฏิบัติได้ไม่นานค่ะ แต่ก็มีอยู่ว่าจะชอบฝันเห็นอะไรเกี่ยวกับน้ำและพญานาคบ่อยมากค่ะ เช่นบางทีฝันเห็นได้เกาะหางพญานาคเล่นน้ำ พญานาคชวนไปเที่ยวเมืองบาดาลดิฉันไม่ไปเพราะว่ากลัวน้ำมาก ว่ายน้ำไม่เป็นค่ะ ในความฝันเห็นวังบาดาลกลางน้ำทะเลค่ะ พอดิฉันบอกว่าไม่ไปกลัวน้ำท่านก็สะบัดดิฉันขึ้นบนบก บนฝั่งก็เป็นวัดค่ะ เดินไปไหนก็เป็นรูปปั้นพระประมาณนี้
    ก็มีอยู่ครั้งหนึ่งฝันเห็นภพเมืองบาดาลเปิดตอนแรกเป็นน้ำทะเลกว้างใหญ่แต่พอภพเมืองบาดาลจะเปิดน้ำแห้งก่อนพอเสร็จแล้วเหมือนแผ่นดินแยกออกจากกัน เป็นเหมือนน้ำลาวาไหลลงสู่เมืองบาดาลประตูมิติเปิด ก็ไม่ได้ลงไปหรอกค่ะ กลัวอยู่ดี พอภพปิดแผ่นดินก็กลับมารวมกันเป็นน้ำแห้ง ดิฉันจะฝันเกี่ยวกับพญานาคบ่อย แต่ว่าด้วยความที่เราเพิ่งมาฝึกสมาธิ ก็เลยตีความหมายไม่ค่อยออกค่ะ แต่ก็พยายามคิดในแง่ดีว่าครั้งหนึ่งเราเคยเกิดเป็นลูกหลานท่านและก็แผ่เมตตา บุญกุศลไปถึงเมืองบาดาลค่ะ
    ถ้าหากว่าพี่ๆ ท่านใดผู้มีญาณแก่กล้ามีอะไรชี้แนะ ยินดีรับฟังนะคะ
     
  6. pk010209

    pk010209 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    973
    ค่าพลัง:
    +2,634
    ไม่ได้หายไปไหนหรอกน้องยา พี่ก็วนๆๆๆอยู่แถวนี้ ^.^
    เมื่อเช้ามืดพี่ฝันว่า ไปวัดแห่งนึง เจอพระสงฆ์ชรารูปนึง พี่ก็ไปทำสังฆทานกับท่าน แล้วท่านก็พาพี่ไปที่กำแพงวัด มองออกไปเป็นแม่น้ำ ท่านก็ท่องคาถาอะไรไม่รู้ ซักพักมีพญานาค 2 ตน ตัวใหญ่มากนะ แต่ขอบอกว่าไม่เหมือนภาพวาด หรือที่เราเห็นๆกันทั่วไปนะ ดูน่ากลัวกว่ามาก พี่ตะลึงมากเลยตอนที่พญานาคชูคอขึ้นมา เกือบช็อคก็ว่าได้ละ เหมือนเราได้เห็นท่านด้วยตาเนื้ออะ ในฝันมันรู้สึกมึน งง ไปหมด จนพี่จำหน้าเค้าไม่ได้เลย แต่รู้สึกผูกผัน พี่เอื้อมมือไปจับหน้าท่านด้วย พญานาคอีกตนร้องไห้อย่างเดียว พอท่านๆหายไปก็ปรากฎคนๆนึง พระท่านบอกว่าเป็นพี่เมื่อชาติที่แล้ว ตอนแรกเค้าจะไม่ให้เห็นหน้าพี่ดึงเค้ามาจนได้เห็นหน้าเค้า หล่ออะหล่อมาก เราก็กอดกันร้องไห้ พี่ก็คุยกับเค้าว่าเป็นเรื่องจริงใช่มั๊ย เป็นท่านพ่อใช่มั๊ย(หมายถึงพญานาคที่พี่เอื้อมมือไปจับ) เค้าไม่พูดได้แต่พยักหน้าแล้วก็ร้องไห้ แล้วพี่ก็พยายามหากระดาษมาเขียนถึงท่านพญานาคตนนั้นจะฝากกลับไป หันไปอีกทีตัวพี่เมื่อชาติที่แล้วก็หายไป....
     
  7. pk010209

    pk010209 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    973
    ค่าพลัง:
    +2,634
    HAPPY NEW YEAR น้องยา และทุกๆคนนะคะ ช้าไปหนึ่งวัน อิอิ ขอให้น้องยาและทุกคนมีความสุข เงินทองมากมาย มีใช้ไม่ขาดมือนะ สุขภาพแข็งแรงค่ะ
     
  8. Ajarn Pithak

    Ajarn Pithak เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    1,367
    ค่าพลัง:
    +2,126
    HAPPY NEW YEAR 2554 ครับพี่ๆ และทุกๆคนครับ
    ขอให้ทุกคนมีความสุข เงินทองมากมาย มีใช้ไม่ขาดมือนะ สุขภาพแข็งแรงด้วยครับ
     
  9. Ajarn Pithak

    Ajarn Pithak เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    1,367
    ค่าพลัง:
    +2,126
    <TABLE border=5 borderColor=#fac963 cellPadding=0 width=725 bgColor=#e2e2e2 align=center><TBODY><TR><TD bgColor=#ecfae0>
    เรื่องของความทุกข์ง่ายๆที่คุณอาจจะหลงลืมไป...
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE border=5 borderColor=#fac963 cellPadding=0 width=725 align=center><TBODY><TR><TD bgColor=#ffffff><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=3 width="100%" align=center><TBODY><TR bgColor=#ffffcc><TD vAlign=center> </TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE border=0 cellSpacing=2 cellPadding=2 width="95%"><TBODY><TR><TD class=A2 vAlign=top><TABLE border=0 cellSpacing=2 cellPadding=2 bgColor=#f5f5f5 align=left><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD align=middle></TD></TR></TBODY></TABLE>
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE border=0 cellSpacing=2 cellPadding=2 width="95%"><TBODY><TR><TD class=A2 vAlign=top><TABLE border=0 cellSpacing=2 cellPadding=2 bgColor=#f5f5f5 align=center><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD align=middle></TD></TR></TBODY></TABLE>
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE border=0 cellSpacing=2 cellPadding=2 width="95%"><TBODY><TR><TD class=A2 vAlign=top><TABLE border=0 cellSpacing=2 cellPadding=2 bgColor=#f5f5f5 align=left><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD align=middle></TD></TR></TBODY></TABLE>
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE border=0 cellSpacing=2 cellPadding=2 width="95%"><TBODY><TR><TD class=A2 vAlign=top><TABLE border=0 cellSpacing=2 cellPadding=2 bgColor=#f5f5f5 align=center><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD align=middle></TD></TR></TBODY></TABLE>
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE border=0 cellSpacing=2 cellPadding=2 width="95%"><TBODY><TR><TD class=A2 vAlign=top><TABLE border=0 cellSpacing=2 cellPadding=2 bgColor=#f5f5f5 align=left><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD align=middle></TD></TR></TBODY></TABLE>
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE border=0 cellSpacing=2 cellPadding=2 width="95%"><TBODY><TR><TD class=A2 vAlign=top><TABLE border=0 cellSpacing=2 cellPadding=2 bgColor=#f5f5f5 align=center><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD align=middle></TD></TR></TBODY></TABLE>
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE border=0 cellSpacing=2 cellPadding=2 width="95%"><TBODY><TR><TD class=A2 vAlign=top><TABLE border=0 cellSpacing=2 cellPadding=2 bgColor=#f5f5f5 align=left><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD align=middle></TD></TR></TBODY></TABLE>
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE border=0 cellSpacing=2 cellPadding=2 width="95%"><TBODY><TR><TD class=A2 vAlign=top><TABLE border=0 cellSpacing=2 cellPadding=2 bgColor=#f5f5f5 align=center><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD align=middle></TD></TR></TBODY></TABLE>
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE border=0 cellSpacing=2 cellPadding=2 width="95%"><TBODY><TR><TD class=A2 vAlign=top><TABLE border=0 cellSpacing=2 cellPadding=2 bgColor=#f5f5f5 align=left><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD align=middle></TD></TR></TBODY></TABLE>
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE border=0 cellSpacing=2 cellPadding=2 width="95%"><TBODY><TR><TD class=A2 vAlign=top><TABLE border=0 cellSpacing=2 cellPadding=2 bgColor=#f5f5f5 align=center><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD align=middle></TD></TR></TBODY></TABLE>
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE border=0 cellSpacing=2 cellPadding=2 width="95%"><TBODY><TR><TD class=A2 vAlign=top><TABLE border=0 cellSpacing=2 cellPadding=2 bgColor=#f5f5f5 align=left><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD align=middle></TD></TR></TBODY></TABLE>
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE border=0 cellSpacing=2 cellPadding=2 width="95%"><TBODY><TR><TD class=A2 vAlign=top><TABLE border=0 cellSpacing=2 cellPadding=2 bgColor=#f5f5f5 align=center><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD align=middle></TD></TR></TBODY></TABLE>
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE border=0 cellSpacing=2 cellPadding=2 width="95%"><TBODY><TR><TD class=A2 vAlign=top><TABLE border=0 cellSpacing=2 cellPadding=2 bgColor=#f5f5f5 align=left><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD align=middle></TD></TR></TBODY></TABLE>
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE border=0 cellSpacing=2 cellPadding=2 width="95%"><TBODY><TR><TD class=A2 vAlign=top><TABLE border=0 cellSpacing=2 cellPadding=2 bgColor=#f5f5f5 align=center><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  10. อุตฺตโม

    อุตฺตโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,688
    ค่าพลัง:
    +1,931
    -สวัสดีครับท่านเจ้าของกระทู้และเพื่อนสมาชิกทุกท่าน

    -ภาพแรกนี้ผมใช้กล้องถ่ายภาพติดโดยบังเอิญบนท้องฟ้าในคืนวันที่ 31 ธันวาคม 2553

    เวลาประมาณ 20.30 นาฬิกา เหนือเมืองชัยนาทครับ ลองขยายภาพแรกดูนะครับ

    -ภาพที่สองผมนำมาลงคอมฯแล้วขยาย ต่อมาได้ถ่ายภาพนี้จากจอคอมฯมาให้ดูครับ

    -ภาพที่สามผมใช้กล้องถ่ายภาพขยายส่วนหัวครับ เห็นมีปาก มีเขี้ยว มีตา มีหู หน้าท้อง

    เหมือนงู ครับ

    -เรียนถามว่า "ใช่พญานาคกลางหาว"ที่ทำหน้าที่ให้ลมให้ฝนหรือเปล่าครับ.

    -แล้วคำว่า "ปู่นาคราช" นี้หมายถึงท่านองค์ใดครับ.

    -ขอความกรุณาท่านเจ้าของกระทู้หรือเพื่อนสมาชิกให้ความรู้แก่ผมด้วยครับ.
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • IMG_0515.JPG
      IMG_0515.JPG
      ขนาดไฟล์:
      7.9 KB
      เปิดดู:
      84
    • IMG_0610.JPG
      IMG_0610.JPG
      ขนาดไฟล์:
      3.6 MB
      เปิดดู:
      74
    • IMG_0636.JPG
      IMG_0636.JPG
      ขนาดไฟล์:
      4.9 MB
      เปิดดู:
      81
  11. Vatairat

    Vatairat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2010
    โพสต์:
    1,675
    ค่าพลัง:
    +2,294
    สวัสดีค่ะมาแนะนำตัวค่ะ เป็นลูกหลานพญานาคเช่นกันค่ะ
     
  12. pk010209

    pk010209 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    973
    ค่าพลัง:
    +2,634
    ปู่นาคราช เป็นการเรียกโดยให้ความเคารพไม่ได้เจอะจงอะไร เนื่องจากท่านๆมีอายุหลายร้อยปี
    ส่วนรูป ไม่ชัดเลยนะจ๊ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 มกราคม 2011
  13. Ajarn Pithak

    Ajarn Pithak เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    1,367
    ค่าพลัง:
    +2,126
    ขออภัยครับไม่ได้เข้ามานานครับ ใช่ครับ ปู่นาคราช เป็นการเรียกโดยให้ความเคารพไม่ได้เจาะจงอะไร เนื่องจากท่านๆมีอายุหลายร้อยปี หลายพันปี อะครับ ส่วนรูปที่แสดงอะครับผมเห็นแล้วรู้สึกขนลุกเลย อะครับ ผมก็ไม่ทราบเหมือนกันครับว่าเป็นองค์ไหน แต่นั้นท่านคงอยากให้คุณเห็น ครั้งแรกคุณเห็นคุณนึกถึงองค์ไหนหละครับ
     
  14. Ajarn Pithak

    Ajarn Pithak เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    1,367
    ค่าพลัง:
    +2,126
    <TABLE class=contentpaneopen><TBODY><TR><TD vAlign=top>
    พญานาคสอนธรรมะภาวนา

    ธรรมมะที่ท่านสอนนั้นท่านบอกว่า ได้ฟังจากองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเราพิจารณาแล้วเป็นธรรมที่ละเอียดแล้วยังทำให้เราใช้ในชีวิตประจำวันได้ด้วยความเป็นสุขถึงจะมีความทุกข์ก็สามารถผ่านไปได้ด้วยธรรม อย่างเช่นการรักษาศีลนั้นบางคนรักษาศีลแล้วทำให้ตัวเองมีความทุกข์เพราะต้องพะวงว่าตัวเองจะทำผิดศีลที่รับมาจากพระสงฆ์แต่ท่านสอนว่าการรักษาศีลนั้นสำคัญอยู่ที่จิตใจเราทำดีแล้วไม่ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อนเท่านั้น ก็คือการรักษาศีลแล้วอย่างเช่นข้อที่ห้ามฆ่าสัตว์ ถ้าเราเดินไปเหยียบมดตายเราก็จะเป็นทุกข์ว่าเราผิดศีลแล้ววันนั้นทั้งวันเราจะกลุ้มใจอยู่กับการคิดว่าตัวเองผิดศีลเพราะเป็นความเชื่อฝังในสายเลือดมาตั้งแต่เกิดถูกอบรมสั่งสอนมาแบบนี้แต่การรักษาศีลที่ดี คือ เราทำจิตให้ดีตลอดเวลา คิดดีทำดีถ้าเผลอไปเหยียบมดตาย ก็ขออโหสิกรรม เพราะเราไม่เจตนาในชาติก่อนเขาคงเคยเหยียบเราเหมือนกันก็ขออโหสิกรรมและแผ่เมตตาให้เขาขอตัดกรรมกันในชาตินี้เลย แค่นี้ราก็ไม่เป็นทุกข์กับทำผิดศีลแล้วเพราะเรามีจิตใจที่ดีเป็นฐานเดิมอยู่แล้ว ไม่มีเจตนาที่จะฆ่านี่แหล่ะคือเพราะรักษาศีล

    ขอพูดถึงอีกข้อ คือการดื่มสุราบางคนเข้าวัดฟังพระเทศน์มาว่าการดื่มเหล้านั้นผิดศีลจึงเป็นความเชื่อมาแต่นานนม แต่ท่านสอนว่าการดื่มเหล้านั้นจะไม่ให้ผิดศีลนั้นคือดื่มแล้วไม่ทำให้ใครเดือดร้อนก็ถือว่าไม่ผิดสมมติว่าพากันนั่งดื่มเหล้าอยู่ที่บ้านตัวเองพอสักพักมีเสียงดังเอะอะพูดคุยกันเสียงดังทำให้บ้านข้างเคียงรำคาญใจนั่นแหละถือว่าผิดศีล แต่ถ้านั่งดื่มเหล้าแล้วพูดคุยกันธรรมดาเมาแล้วก็หลับไปไม่ทำให้ใครเดือดร้อน ก็ถือว่าไม่ผิดศีล เพราะศีลคือธรรม และธรรมก็คือใจศีลแปลว่าปกติเราจะทำอะไรด้วยความปกติของตัวเราสิ่งนี้คือการักษาศีลไมทำให้ใครเดือดร้อนก็ถือว่าไม่ผิดศีลอย่างเช่นเราคือหนองน้ำใหญ่ ที่ไม่มีสิ่งใดอยู่ในน้ำเลยแต่มีคนโยนของลงในน้ำนั้นกระเพื้อมนี่แหล่ะถือว่าไม่ปกติสรุปก็คือเมื่อมีผู้เดือดร้อนคือบุคคลที่ 2 เราก็ถือว่าผิดแล้วชีวิตก็คือการทำตัวให้อยู่ในธรรม ไม่มีใครเดือดร้อนก็ถือว่าประเสริฐแล้ว

    นิพพาน คำว่านิพพานนั้นพูดกันมากว่า ต้องบวชเป็นพระถึงจะถึงนิพพานคนที่ครองเรือนจะไม่ถึงนิพพานแต่ท่านสอนว่านิพพานนั้นคือความสุขและองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านตรัสก่อนปรินิพพานว่าภิกษุภิกษุณี อุกบาสก อุกบาสิกาผู้ใดถึงอริยะสัจ 4 มรรค 8 ก็ถึงนิพพานแล้ว

    อริยะสัจ 4 คือ ทุกข์ ถูกปรุงแต่งด้วย หู ตา จมูก ลิ้น กาย ใจ คือ
    หู ได้ยินเกิดความอยากได้ก็เป็นทุกข์
    ตา มองเห็นสิ่งนั้นสิ่งนี้ แล้วเกิดความไม่พอใจไม่ชอบก็เป็นทุกข์ เช่นเห็นคนเดินผ่านมาแล้วเราไม่ชอบคนนั้น แล้วตำหนิเขาอย่างนั้นอย่างนี้แล้วเราก็เกิดทุกข์
    จมูก เราได้กลิ่นหอมก็เกิดทุกข์ ได้กลิ่นเหม็นก็เกิดทุกข์ เช่นเราเดินผ่านผู้หญิงสวยคนหนึ่งเขาใส่น้ำหอมเดินผ่านมาพอเราได้กลิ่มหอมก็ทำให้เราเป็นทุข์เพราะอยากได้ครอบครองในหญิงคนนั้นและมีผู้หญิงอีกคนเดินมาก็หญิ่งคนนั้นไม่ประพรมน้ำหอมมาในตัวมีกลิ่นที่ไม่พึงพอใจเราก็เกิดทุกข์ตำหนิติเตือนเขา
    ลิ้น สมมุติว่าเราได้ชิมอาหารรสดีสักอย่าง แล้วติดใจ ก็กินอย่างนั้นไปพออิ่มแล้วไม่สามารถกินอีกได้ก็เป็นทุกข์ ว่าเราไม่น่าอิ่มเร็วเลย เราอยากกินอีกวันหลังเรากินอีกนะก็เป็นทุกข์ ในการติดรสชาติของอาหารก็เกิดทุกข์
    กายคือการสัมผัสแล้วเกิดความอยากก็เป็นทุกข์อยากได้อยากมีในสิ่งนั้นก็เป็นทุกข์
    ใจ เมื่อได้เห็น ได้ยิน ได้ฟัง ได้สัมผัสได้สัมผัสใจก็เป็นประธานในการสั่งให้ตัวเองทุกข์ด้วยความอยากได้ในสิ่งที่มีอยู่ในโลก
    สมุทัย คือ การรู้จักทุกข์เมื่อเข้าใจในทุกข์ เข้าใจในทุกข์ก็เข้าใจในความต้องการในสิ่งทำให้เกิดทุกข์
    นิโรธ คือ การหาวิธีดับทุกข์ เมื่อรู้ว่าสิ่งนี้คือทุกข์และรู้จักทุกข์เราก็คิดหาวิธีดับทุกข์ คือ ความอยากของเรานั้น จะเป็นมากแค่ไหนทำให้เราเดือดร้อน หรือไม่ เมื่อพิจารณาแล้วก็ดับทุกข์ด้วยมรรค
    มรรค คือ วิธีดับทุกข์ เมื่อเข้าใจทุกข์แล้วก็ดับทุกข์ด้วยใจเช่นเราอยากใส่ทองคำแต่เงินไม่พอ เราก็เป็นทุกข์เราก็ดับทุกข์ด้วยการไม่ทำให้ตัวเองเดือดร้อน คือ ลดความอยากได้ลงจนเราพร้อมนี่แหล่ะ คือการดับทุกข์ คือการไม่ทำให้ตัวเองและผู้อื่นเดือดร้อนพิจารณาดีแล้ว เข้าใจดีแล้ว ก็เกิดธรรมในใจ

    มรรค 8 คือการเห็นชอบ เมื่อเห็นอะไรแล้วไม่เกิดทุกข์ ก็ถือว่าดีแล้ว
    การคิดชอบ เมื่อเราคิดดี ทำดี ไม่เดือดร้อนใคร ก็เป็นธรรม
    การดำริชอบ เมื่อเราพูดจาดีกับคนอื่น ก็เกิดผลดี เป็นธรรม
    การงานชอบ เมื่อเราทำงานตามหน้าที่ของเราได้รับ ก็เป็นธรรม
    เลี้ยงชีพชอบ เมื่อเราเข้าใจธรรมแล้วก็จะเลี้ยงชีพ โดยชอบธรรม
    เพียรชอบ เมื่อเราเข้าใจธรรม การพรากเพียร ก็จะอยู่ในธรรม
    สติชอบ เมื่อสติมีธรรมะได้แล้วไม่คิดตำหนิใคร ก็คือธรรม
    สมาธิชอบ เมื่อทุกอย่างเป็นธรรมหมด การภาวนาสมาธิก็เกิดธรรม

    ธรรมคือใจ ใจก็คือธรรม หมายความว่า ผู้ใดเห็นตัวเองแล้วก็เห็นธรรมผู้ใดเห็นธรรมมแล้วก็เห็นพระพุทธเจ้าที่เป็นบรมครูในการปฏิบัติจิตใจให้ดีและก้มกราบท่านด้วยความยินดีและพอใจ คำว่านิพพานคือความสุขเมื่อเกิดความทุกข์ เราแก้ได้ก็เป็นสุข เราอยู่ด้วยมรรค 8 เราก็หมดทุกข์ก็มีสุขนั่นคือนิพพาน ลองศึกษาดูครับมีธรรมอีกมากมายที่ท่านสอนไว้เขียนให้ศึกษา

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  15. Ajarn Pithak

    Ajarn Pithak เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    1,367
    ค่าพลัง:
    +2,126
    สวัสดีครับ พี่น้องทุกท่าน ญาติธรรมทุกท่าน ผมไม่ค่อยได้เข้ากระทู้ เลยครับช่วงนี้ สบายดีกันหรือป่าวครับ ช่วงนี้ ยุ่งกะงานนิดหน่อย เลยไม่มีเวลาว่างมาตอบกระทู้ครับ ขออภัยนะที่นี้ด้วยครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 กุมภาพันธ์ 2011
  16. Ajarn Pithak

    Ajarn Pithak เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    1,367
    ค่าพลัง:
    +2,126
    คุณมารดา บิดา...หลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม
    มารดา บิดา เป็นบุคคลที่รู้จักกันทั่วโลก
    คนเราเกิดมาเห็นโลกอันกว้างใหญ่นี้ได้
    เพราะมารดาบิดาเป็นผู้ให้กำเนิด
    เป็นผู้ให้อวัยวะทุกส่วนของร่างกายแก่ลูก
    ซ้ำมารดาบิดายังบำเพ็ญตนเป็นยอดนักบุญ
    สำหรับชีวิตของลูกอีกด้วย
    เป็นผู้เสียสละความสุขของตนเองทุกๆ อย่าง
    เฝ้าทะนุถนอมเอาใจใส่ลูกทุกเวลา
    ทำทุกอย่าง เพื่อความผาสุขของลูก
    ลูกต้องการปรารถนาสิ่งใด อันเป็นสิ่งที่ไม่เหลือวิสัย
    ก็พยายามจัดหาให้ทุกอย่าง เป็นผู้ใกล้ชิดลูกยิ่งกว่าใครๆ
    ทุกคนจึงรู้จักมารดาบิดาดี

    ส่วนลูกส่วนมาก หารู้จักและซึ้งถึงพระคุณของผู้เป็นมารดาบิดาไม่
    คงรู้จักแต่เพียงว่าชายผู้ให้กำเนิดแก่คนเรียกว่า บิดา
    หญิงผู้ให้กำเนิดแก่ตนเรียกว่า มารดา เท่านั้น
    แท้จริงแล้ว ท่านผู้ให้กำเนิดทั้งสองนั้น เป็นผู้มีพระคุณมากมาย
    สุดที่ลูกผู้กตัญญูรู้คุณ จะทดแทนพระคุณให้สิ้นสุดได้

    เพราะเหตุนี้เอง พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้เป็นนาถของโลก
    ทรงซึ้งถึงพระคุณของผู้เป็นมารดาบิดาผู้อนุเคราะห์บุตร
    ว่าเป็นพระพรหม เป็นบุรพเทวดา
    เป็นบุรพาจารย์ เป็นอาหุเนยยบุคคล ของบุตรดังนี้

    มารดา บิดา เป็นผู้ที่มั่นคงในพรหมวิหารธรรม
    โดยไม่ยอมทิ้ง เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ในลูกของตน
    ย่อมมีเมตตารักใคร่ในลูก
    ปรารถนาจะเห็นลูกของตนปราศจากโรคภัยเบียดเบียน
    มีความสุข ร่าเริง แจ่มใส
    มีกรุณา สงสาร เมื่อลูกของตนต้องประสบความทุกข์
    คิดแต่จะช่วยให้พ้นจากความทุกข์ความเดือดร้อน
    มีความสุขความเจริญ เมื่อเห็นว่าลูกของตนมีความสุข
    สามารถเลี้ยงและปกครองตนเองและครอบครัวให้มีความสุขได้
    ก็พลอยมีมุทิตายินดีด้วย ไม่อิจฉาริษยาในความสุขของลูก
    เมื่อเห็นลูกต้องประสบทุกข์เดือดร้อน ก็ไม่ซ้ำเติม
    วางจิตมัธยัสถ์เป็นกลางเสมอ
    มารดาบิดา จึงเป็นดุจท้าวมหาพรหมที่ไม่เคยละภาวนา ๔ ในหมู่สัตว์
    จึงได้รับนามบัญญัติว่าเป็น “พระพรหมของลูก”

    มารดา บิดา เป็นผู้พิทักษ์รักษาลูกก่อนเทวดาทั้งปวง
    นับตั้งแต่ลูกในครรภ์ เมื่อลูกเกิดมาแล้ว ก็เอาใจใส่ดูแล
    แม้บางคราวลูกทุบตีตน เพราะไม่รู้เดียงสา
    แทนที่มารดาบิดาจะเกลียดและโกรธ
    กลับยกโทษให้และยังเพิ่มความรักใคร่ในลูกของตนเสียอีก
    ไม่คำนึงถึงความผิดใดๆ ของลูกทั้งสิ้น
    บางครั้งลูกทำผิด มารดาบิดาก็ดุว่ากล่าวหรือลงโทษ
    แต่ด้วยใจริงแล้ว ไม่ปรารถนาจะให้ลูกของตนเดือดร้อน
    ทำไปด้วยความรักความหวังดี
    ปรารถนาให้ลูกของตนมีความสุขความเจริญ
    มารดาบิดาจึงชื่อว่าเป็นเทวดา คือ ผู้ประเสริฐสุดสำหรับลูก
    ท่านไม่พยายามที่จะทำความชั่วให้ปรากฏแก่ลูก
    เกรงลูกจะถือเอาแนวปฏิบัติสร้างตนในทางที่ผิด
    เมื่อลูกรู้จักคุณแล้ว ทำปฏิการะตอบแทน
    จึงเป็นบุญเป็นกุศลอันยิ่งใหญ่
    เพราะเหตุที่ท่านทั้งสองบำเพ็ญตน เป็นเหมือนพระวิสุทธิเทพผู้ประเสริฐ
    ซึ่งท่านไม่ปรารภถึงความผิดใดๆ ที่พวกคนพาลก่อขึ้น
    มุ่งแต่ให้พวกเขามีความสุขความเจริญฝ่ายเดียว
    คุณความดีของมารดาบิดาข้อนี้เอง
    ท่านจึงได้นามว่า “บุรพเทวดาของลูก”

    มารดา บิดา เป็นทั้งครูอาจารย์ก่อนกว่าครูอาจารย์อื่นๆ
    เป็นผู้แนะนำอบรมสั่งสอนให้ลูกรู้จักกิน นอน พูด ทำ
    รู้จักดีชั่ว ควรไม่ควร เป็นทั้งผู้สอนและผู้ฝึกหัดให้ทุกอย่าง
    ท่านจึงสงเคราะห์มารดาบิดาว่าเป็นบุรพทิศในทิศ ๖
    คุณความดีข้อนี้เอง ท่านจึงได้นามว่า “บุรพาจารย์ของลูก”

    มารดา บิดา เป็นผู้มีพระคุณหลายประการดังกล่าวมาแล้ว
    เป็นทั้งผู้ให้กำเนิด เป็นทั้งผู้เลี้ยงดูให้อุปการะและสั่งสอน
    จนเป็นผู้สมควรอย่างยิ่งที่ลูกผู้กตัญญูรู้คุณ จะพึงนำสักการะ
    มีอาหารและผ้าผ่อนท่อนสไบ เป็นต้น
    มาบูชาเป็นการตอบแทนพระคุณท่าน
    เพราะเมื่อสักการะบูชาท่านแล้ว ย่อมได้ผลานิสงส์มาก
    เหมือนได้สักการะบูชาแด่พระอรหันต์ขีณาสพ
    ท่านจึงได้นามว่าเป็น “อาหุเนยยบุคคลของลูก"

    มารดา บิดา เป็นทั้งผู้สร้าง และผู้อุปถัมภ์ เป็นผู้ให้กำเนิดแก่ลูกแล้ว
    ก็ต้องรับภาระเป็นผู้อนุเคราะห์เลี้ยงดูอีก ไม่ทอดทิ้ง
    พยายามที่จะเสกสรรปั้นแต่งลูกของตนให้เป็นคนดี
    เพราะเหตุนี้เอง พระมหามุนีศาสดาจารย์
    จึงตรัสแก่คฤหบดีบุตรชื่อ สิคาลกะว่า ดูกร คฤหบดีบุตร
    มารดาบิดาพึงอนุเคราะห์บุตรของตนโดยสถาน ๕ คือ

    ๑. ป้องกันบุตรธิดามิให้ทำความชั่ว
    ๒. ส่งเสริมให้ตั้งอยู่ในความดี
    ๓. ให้ศึกษาศิลปวิทยา
    ๔. หาคู่ครองที่สมควรให้
    ๕. มอบทรัพย์ให้ในสมัย

    เพราะมารดาบิดา มีพระคุณอันใหญ่หลวงดังกล่าวมานี้
    ผู้เป็นลูกจึงต้องคำนึงระลึกถึงเสมอ และหาทางตอบแทนพระคุณ
    แม้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ทรงสนองพระคุณของพระชนนี
    เพื่อชดใช้ค่าข้าวป้อนและค่าน้ำนม
    โดยเสด็จไปจำพรรษา ณ ดาวดึงส์พิภพ
    แล้วทรงแสดงพระอภิธรรมโปรด จึงเป็นเนตติแบบอย่างอันดี
    สำหรับพุทธบริษัทผู้เคารพนับถือในพระองค์ จึงพึงปฏิบัติตาม
    ถ้าหวังจะบำเพ็ญตนเป็นลูกที่ดี
    จึงเป็นการสมควรแล้ว ที่จะหาทางสนองพระคุณท่าน
    ตามฐานะและโอกาส ด้วยการเลี้ยงดูท่านให้ได้รับความสุข
    เป็นการแสดงกตัญญูกตเวทิตาธรรมต่อท่านผู้ดำรงอยู่ในฐานะบุพการี
    ผู้ทำอุปการให้แก่ตนก่อน
    ข้อนี้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสแก่คฤหบดีบุตร ชื่อ สิคาลกะ ว่า
    ดูกร คฤหบดีบุตร เมื่อมารดาบิดา
    ได้อนุเคราะห์บุตรธิดาโดยสถาน ๕ แล้ว
    บุตรธิดาพึงปฏิการะตอบแทนโดยสถาน ๕ เช่นเดียวกัน คือ

    ๑. ท่านเลี้ยงมาแล้ว เลี้ยงท่านตอบ
    ๒. ช่วยทำกิจของท่าน ไม่ดูดาย
    ๓. ดำรงวงศ์สกุล ไม่ให้เสื่อม
    ๔. ประพฤติตนให้เป็นคนควรได้รับมรดก
    ๕. เมื่อท่านล่วงลับไป ทำบุญอุทิศให้แก่ท่าน

    ทั้ง ๕ สถานนี้ สถานต้นเป็นข้อที่ผู้เป็นลูกควรทำ
    เพราะเราเจริญเติบโตได้ก็อาศัยที่ท่านมีเมตตาจิตให้การเลี้ยงดู
    เมื่อท่านแก่เฒ่าลงจึงเป็นหน้าที่ที่ลูกจะพึงเลี้ยงดูท่าน
    เป็นการตอบแทน เป็นการชดใช้หรือทดแทนพระคุณท่านที่ทำไว้ก่อน
    มีภาษิตบทหนึ่งสำหรับเตือนใจผู้เป็นลูก
    ให้ทดแทนพระคุณท่านด้วยการเลี้ยงดูว่า
    อันทิศเบื้องหน้า บิดามารดาพึ่งอาศัย
    อย่าได้ดูถูก หมั่นปลูกอาลัย หมั่นเลี้ยงท่านไป ตราบม้วยชีวา
    การเลี้ยงท่านนั้น ท่านแสดงไว้ ๒ ประการ คือ

    ๑. การเลี้ยงภายนอก ได้แก่ การอุปฐากอย่างต่ำ
    ๒. การเลี้ยงภายใน ได้แก่ การอุปฐากอย่างสูง

    การเลี้ยงภายนอกนั้น ได้แก่ การจัดหาข้าวปลาอาหาร
    และผ้าผ่อนท่อนสไบให้แก่ท่าน
    เป็นการเลี้ยงและให้ความสุขทางกายแก่ท่าน
    อันนับว่า เป็นอามิสบูชา เป็นส่วนการอุปฐากอย่างต่ำ

    ส่วนการเลี้ยงดูภายในนั้น ได้แก่ การเลี้ยงดูน้ำใจท่าน
    โดยเป็นผู้เชื่อฟังตั้งอยู่ในคำสั่งสอนไม่ขัดข้อง
    ทั้งเป็นผู้หาโอกาส ทำให้ท่านเป็นผู้มีจิตใจ เป็นผู้เจริญด้วยคุณธรรม
    หาทางนำท่านผู้ไม่มีศรัทธาให้มีศรัทธา
    ผู้ไม่มีศีลให้มีศีล ผู้ไม่มีจาคะการบริจาค ให้มีจาคะการบริจาค
    ผู้ไม่มีปัญญาให้มีปัญญา
    ดังพระสารีบุตรเถระเจ้าแนะนำมารดาผู้เป็นมิจฉาทิฏฐิ ให้เป็นสัมมาทิฏฐิ
    นับว่าเป็นปฏิบัติบูชา เป็นส่วนแห่งการอุปฐากอย่างสูง

    ลูกบางคนเลี้ยงมารดาบิดา เพราะเห็นแก่ทรัพย์สมบัติ
    ไม่คำนึงถึงพระคุณเป็นส่วนใหญ่
    การทำเช่นนั้นไม่ชื่อว่าเป็นการสนองพระคุณท่าน
    อันเป็นส่วนกตัญญูกตเวทีเลย
    หากมารดาบิดาไม่มีทรัพย์สมบัติแล้ว
    ลูกก็ไม่เลี้ยงดูนำพาปล่อยให้เป็นอยู่ตามยถากรรม
    ลูกเช่นว่านี้เป็นลูกอกตัญญู ไม่รู้จักคุณ

    เพราะเหตุนั้นการเลี้ยงดูท่าน
    จึงเป็นหลักอันสำคัญที่ลูกผู้กตัญญูกตเวทีจะพึงทำ
    เพราะเป็นเหตุนำมงคลคือความเจริญมาให้
    ดังพระศาสดาตรัสไว้ในมงคลสูตรว่า

    มาตาปิตุอุปฏฐานํ เอตมฺมํคลมุตฺตมํ
    การเลี้ยงดูมารดาบิดา เป็นมงคลอย่างสูงสุด
    พระพุทธเจ้าทรงยกย่องและสรรเสริญผู้เลี้ยงมารดาบิดาไว้มาก
    แม้ภิกษุผู้บวชในพระธรรมวินัย ก็ยังทรงอนุญาตให้เลี้ยงมารดาบิดาได้
    เที่ยวบิณฑบาตได้อาหารมา แม้ตนเองมิยังไม่ได้ฉันก็ให้แก่มารดาบิดาได้
    ไม่ชื่อว่าทำศรัทธาไทยของทายกให้เสียไป ทั้งไม่มีโทษทางพระวินัยด้วย
    การช่วยเหลือทำกิจการงานของท่านนั้น เป็นหน้าที่ที่ลูกจะพึงกระทำ
    เพราะเป็นการผ่อนแรงท่าน ที่ตรากตรำหาเลี้ยงเรามา
    ไม่ทำตนเป็นคนดูดาย เอาแต่เที่ยวเตร่หาความสนุกสนาน
    ปล่อยให้ท่านทั้งสองทำงานอาบเหงื่อต่างน้ำไปตามลำพัง
    อย่างน้อยผู้เป็นลูกต้องนึกบ้างว่า มารดาบิดาของลูกทุกคน
    เมื่อมีลูกก็ย่อมปรารถนาหวังพึ่งพาอาศัยบ้าง
    โบราณภาษิตบทหนึ่งกล่าวไว้ว่า

    “มีลูกเหมือนปลูกต้นโพธิ์ เมื่อใหญ่เมื่อโตจะได้อาศัย
    ยามเจ็บไข้จะได้ฝากไข้ ยามตายจะได้ฝากผี เวลาดีๆ เอาไว้ใช้สอย”

    ฉะนั้น จึงเป็นหน้าที่ที่ลูกไม่พึงละเลย
    ในการช่วยเหลือทำกิจการงานของท่าน
    ส่วนการประพฤติตนเป็นคนดี
    เมื่อรักษาวงศ์สกุลของตนไม่ให้เสียหาย
    และการประพฤติตนให้เป็นคนสมควรรับ
    และปกครองทรัพย์มรดกของท่านนั้น ก็ล้วนเป็นหลักสำคัญทั้งนั้น
    นอกจากจะเป็นการทำตนให้เจริญแล้ว
    ยังเป็นการทำให้ท่านพอใจและเกิดความสุข
    อันเป็นการเลี้ยงน้ำใจท่านด้วย

    ส่วนประการหลังนั้น เป็นการสนองพระคุณครั้งสุดท้าย
    แม้จะเป็นการทำลับหลังก็ตาม ก็เป็นการแสดงออกให้เห็นว่า
    ตนเป็นลูกกตัญญูกตเวที ไปลืมความดีที่ท่านทำไว้แก่ตน
    ขวนขวายที่จะทำตอบแทนในเมื่อมีโอกาส
    เป็นการประกาศให้ทราบว่าเป็นคนหน้าคบหาสมาคม
    แม้ฝ่ายหนึ่งล่วงลับไปแล้ว ก็ยังระลึกถึงและหาทางสนองคุณ
    ฉะนั้นเมื่อมารดาบิดาล่วงลับไปจึงเป็นหน้าที่
    ที่ลูกต้องทำบุญอุทิศให้โดยแท้
    ถ้าอยากเป็นลูกดี ก็ควรนึกถึงภาษิตเตือนใจบทหนึ่งที่ว่า

    ลูกไม่ดี มีเท่าไร ไม่คุ้ม
    ดุจลูกตุ้ม แกว่งไกว ไพร่สถุล
    แต่ลูกดี มีหลัก รู้จักคุณ
    หมั่นทำบุญ อุทิศให้ เมื่อวายปราณ.

    การทดแทนพระคุณมารดาบิดานั้น
    พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้
    ในมาตาปิตุคุณสูตรทุตนิบาต อังคุตตรนิกาย ความว่า

    ภิกษุทั้งหลาย เราไม่กล่าว การทำตอบแทนได้ง่ายแก่ท่านทั้งสอง
    ท่านทั้งสองนั้นคือใคร? คือมารดาบิดา
    บุตรพึงประคับประคองมารดาบิดาด้วยบ่าขวาบิดาด้วยบ่าซ้าย
    เขามีชีวิตอยู่ถึง ๑๐๐ ปี และเขาพึงบำรุงมารดาบิดานั้น
    ด้วยการอบกลิ่น การนวด การให้อาบน้ำ และการดัด
    และท่านทั้งสองนั้นพึงถ่ายอุจจาระปัสสาวะรดบนบ่าทั้งสอง
    นั่นแหละภิกษุทั้งหลาย อนึ่งบุตรพึงสถาปนามารดาบิดาไว้
    ในราชสมบัติอันเป็นอิสราธิปัตย์แห่งแผ่นดินใหญ่นี้
    อันมีรัตนะ ๗ ประการมากมาย
    กิจอย่างนั้นยังไม่เป็นอันบุตรทำแล้วหรือทำตอบแล้วแก่มารดาบิดานั้นเลย
    ข้อนั้นเป็นเพราะเหตุไร? ภิกษุทั้งหลาย เพราะมารดาบิดา
    เป็นผู้มีอุปการะมาก เป็นผู้บำรุงเลี้ยง
    แสดงโลกนี้แก่บุตรทั้งหลาย

    ภิกษุทั้งหลาย
    ก็บุตรใดและยังมารดาบิดาผู้ไม่มีศรัทธาให้ดำรงมั่นอยู่ในศรัทธา
    ยังมารดาบิดาที่ทุศีลให้สมาทานดำรงมั่นอยู่ในศีล
    ยังมารดาบิดาตระหนี่เหนียวแน่น ให้ดำรงมั่นอยู่ในจาคะ
    ยังมารดาบิดาผู้ไร้ปัญญา ให้สมาทานดำรงมั่นอยู่ในปัญญา
    ภิกษุทั้งหลาย ด้วยเหตุนี้มีประมาณเท่านี้แหละ
    กิจนั้นจึงชื่อว่า เป็นอันบุตรทำแล้ว ทำตอบแทนแล้ว
    ทำยิ่งแล้วแก่มารดาบิดา ดังนี้
    เมื่อลูกทำได้ดังแสดงมานี้ จึงชื่อว่าเป็นการทดแทนพระคุณท่าน
    เป็นเหตุให้บุตรได้รับผลานิสงส์หลายประการคือ

    ๑. เป็นมงคล คือมีความสุขความเจริญแก่ชีวิต

    ๒. เป็นที่สรรเสริญของนักปราชญ์

    ๓. เป็นเหตุให้ปฏิบัตินั้นพ้นจากทุกข์ทั้งปวง
    เพื่อจะแสดงอานิสงส์ของบุตรเพื่อเลี้ยงมารดาบิดานั้น
    พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงเรื่องพญานกแขกเต้า
    บรมโพธิสัตว์ เป็นอุทาหรณ์ ความว่า

    ดังได้ยินมาแต่กาลก่อน พระบรมโพธิสัตว์ เสวยพระชาติเป็นพญานกแขกเต้า
    อาศัยอยู่ป่าไม้งิ้ว แถบไหล่เขา
    วันหนึ่งพาบริวารไปหาอาหารยังป่าหิมพานต์
    เพื่อเลี้ยงมารดาบิดาของตน
    ครั้งนั้นมีพราหมณ์ผู้หนึ่งชื่อว่าโกสิยะพราหมณ์ อาศัยอยู่ในสาลิยะคาม
    พราหมณ์ได้ใช้บริวารไปหว่านข้าวสาลี
    ในเนื้อที่ประมาณ ๗๐๐๐ ไร่ แล้วให้บริวารอยู่รักษา
    พระโพธิสัตว์ก็พาบริวารไปลงในนาของโกสิยะพราหมณ์
    ฝูงนกแขกเต้าทั้งหลาย กินอิ่มแล้วบินมาแต่ปากเปล่า
    ส่วนพระโพธิสัตว์เจ้ากินแล้วก็คาบรวงข้าวมาเลี้ยงมารดาบิดาทุกๆ วัน
    บุรุษที่รักษานาข้าวสาลี จึงไปบอกแก่โกสิยะพราหมณ์ พ
    ราหมณ์ก็สั่งให้จับพญานกแขกเต้าทั้งเป็น อย่าฆ่าให้ตาย
    บุรุษผู้รักษานาก็ทำบ่วงแล้วดักพระโพธิสัตว์ จับพระโพธิสัตว์ได้
    มัดมาให้แก่พราหมณ์ พราหมณ์จึงไต่ถามว่า ดูกรท่านผู้เป็นปักษี
    ท่านมาคาบรวงข้าวสาลีของเราไปทุกๆ วัน
    ท่านมีความโกรธเคืองเราหรือๆ
    ท่านนำไปใส่ยุ้งใส่ฉางไว้เป็นประการใด

    พระโพธิสัตว์จึงแจ้งว่า เรามิได้โกรธเคืองท่าน ยุ้งฉางสำหรับใส่ก็ไม่มี
    เรานำข้าวสาลีของท่านไปเพราะเหตุ ๓ ประการ คือ

    ๑. เอาไปใช้หนี้เก่า
    ๒. เอาไปฝังไว้
    ๓. เอาไปให้เขายืม

    พราหมณ์จึงถามว่า เอาไปใช้หนี้เก่าก็ดี เอาไปฝังไว้ก็ดี
    เอาไปให้เขายืมก็ดี ท่านทำอย่างไร? พระโพธิสัตว์บอกว่า

    เอาไปใช้หนี้เก่า นั้นคือเอาไปเลี้ยงมารดาบิดาที่ชราหากินไม่ได้
    ท่านเลี้ยงเรามาไว้เติบใหญ่
    เหมือนหนึ่งเป็นเจ้าหนี้เราควรเลี้ยงดูท่านเหมือนเป็นลูกหนี้
    เพราะฉะนั้น เราจึงคาบรวมข้าวสาลีไปให้แก่มารดาบิดาทุกวัน

    เอาไปฝังไว้ นั้นคือไปให้นกทั้งหลายที่เจ็บไข้
    และมีขนปีกยังอ่อนหากินไม่ได้ ให้เป็นทานการกุศล

    เอาไปให้เขายืม นั้นคือเอาไปให้ลูกยังอยู่ในรังยังหากินไม่ได้
    นานไปเขาโตใหญ่ เขาจะเลี้ยงเราเมื่อแก่ชรา

    พราหมณ์ทราบดังนั้น มีความโสมนัสยินดี
    บอกแก่พระโพธิสัตว์ว่า นับแต่นี้ไป
    เราจะมอบนาข้าวสาลีให้ท่าน จงพาบริวารมากินเถิด
    แล้วแก้เชือกที่มัดเท้าออกให้
    ฝ่ายพระโพธิสัตว์ก็รู้จักประมาณ รับเอาเพียงเนื้อที่ ๘ ไร่เท่านั้น
    แล้วให้โอวาทแก่พราหมณ์ ให้ตั้งอยู่ในธรรมสุจริต
    ลงพราหมณ์ไปสู่ป่าไม้งิ้วอันเป็นที่อยู่แห่งตน

    เรื่องนี้ชี้ให้เห็นว่า การเลี้ยงมารดาบิดานั้น เป็นมงคล
    คือ เป็นความดีสำหรับผู้ปฏิบัติ ดังเช่นพระยานกแขกเต้า
    ได้รับนาข้าวสาลีจากพราหมณ์ ไม่ต้องเดือดร้อนอีกต่อไป
    เป็นที่สรรเสริญของนักปราชญ์ คือ ผู้รู้
    ดังเช่นพญานกแขกเต้าได้รับการสรรเสริญจากโกสิยะพราหมณ์
    เป็นเหตุทำตนให้พ้นจากความทุกข์ทั้งปวง
    เหมือนพญานกแขกเต้าได้รับอิสระ
    พ้นจากเครื่องพันธนาการของพราหมณ์

    เพราะฉะนั้น เราทั้งหลายหญิงชายที่เกิดมาจงอย่าได้ประมาท
    จงปฏิบัติมารดาบิดาให้มีความสุข ทั้งส่วนที่เป็นอามิสบูชา และปฏิบัติบูชา
    เพราะเหตุว่ามารดาบิดา เป็นผู้มีคุณมาก
    จะเอาแผ่นดินและน้ำ ท้องฟ้าอากาศและเขาสุเมรุราช
    มาชั่งด้วยคุณมารดาบิดาเบากว่า
    และยังชื่อว่าผู้ปฏิบัติย่อมได้รับประโยชน์ทั้งชาตินี้และชาติหน้าด้วย

    แข่งบุญวาสนาเราแข่งกันไม่ได้
    ภาษิตท่านกล่าวไว้ว่า ยามบุญมากาไก่กลายเป็นหงษ์
    ยามบุญลงหงษ์เป็นกาหน้าฉงน
    น้ำไม่เซาะเกาะไม่พังพึงวังวน
    วิสัยผลที่จะผลิตเพราะเหตุมี
    หรือดังคำพังเพยที่กล่าวว่า
    เวลาบุญมา ปัญญาก็ช่วย ที่ป่วยก็หาย ที่หน่ายก็รัก
    เวลาบุญไม่มา ปัญญาก็ไม่ช่วย ที่ป่วยก็หนัก ที่รักก็หน่าย
    สิ่งทั้งหมดที่มันปรากฏการณ์อยู่แก่ตัวเราในปัจจุบัน
    มันเป็นผลที่ไหลมาจาเหตุจากภพก่อนทั้งนั้น
    สมดังคำพระอัสสชิเถระกล่าวแก่อุปติสสะมาณพว่า

    เยธมฺมาเหตุปพฺพวา เตสํเหตุ ํ ตถาคตโต
    ธรรมทั้งหลายย่อมไหลมาจากเหตุ
    คือ มีเหตุเป็นแดนเกิด
     
  17. Ajarn Pithak

    Ajarn Pithak เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    1,367
    ค่าพลัง:
    +2,126
    ศีล คือ ชีวิต...ชีวิต คือ ศีล หลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม

    คนที่บอกว่าเขารักชีวิต แต่เขาไม่รักษาศีล
    จะเชื่อถือได้อย่างไรว่าเขารักชีวิตจริง

    ศีล คือ ชีวิต...ชีวิต คือ ศีล

    คนไม่มีศีล เปรียบเสมือนต้นไม้ที่ไม่มีราก
    เมื่อถูกลมพัดก็ย่อมล้ม

    คนไม่มีศีล เหมือนการสร้างบ้าน
    สร้างตึกที่ไม่มีรากฐานไม่มีเสาเข็ม
    ย่อมล้มเป็นธรรมดา

    คนไม่มีศีล เหมือนคนไม่มีเท้าย่อมเดินไม่ได้
    เหมือนรถไม่มีล้อแล่น วิ่งไม่ได้

    คนไม่มีศีล เหมือนคนเป็นใหญ่เป็นโต แต่ไม่มีความรู้
    ย่อมปกครองทรัพย์ ปกครองลูกน้องไม่ได้ดี

    คนไม่มีศีล จะเจริญสมาธิและกระทำให้เกิดปัญญา
    และวิมุตติไม่ได้ และสำเร็จมรรคผลนิพพานไม่ได้

    คนมีศีล ตกน้ำไม่ไหล ตกไฟก็ไม่ไหม้
    (ไม่ว่าจะอยู่ในหมู่คนพาลหรือคนดี ย่อมรักษาตัวรอดได้)

    คนมีศีล จะนั่งนอน หลับตื่น ก็เป็นสุขอยู่ในกาลทุกเมื่อ
    ไม่มีวิปฏิสาร (คือความเดือดร้อนใจ)

    คนมีศีล มีชีวิตอยู่เพียงวันเดียวย่อมประเสริฐกว่า
    ผู้ไม่มีศีลซึ่งมีชีวิตอยู่ตั้งร้อยปี

    คนมีศีล ย่อมไม่ทำบาปแม้ในที่ลับ
    เพราะมีความตรงและจริงใจต่อตนเอง

    คนมีศีล ย่อมไปสู่ทุคติจตุรบาย

    ศีล คือ เครื่องรางที่ป้องกันอบายภูมิได้อย่างศักดิ์สิทธิ์

    คนมีศีล ย่อมมีสุคติเป็นที่ไปเบื้องหน้า

    คนมีศีล จะค้าขายก็จะมีแต่ความเจริญโดยส่วนเดียว

    คนมีศีล เข้าสมาธิก็ง่าย ไม่สะดุ้งตกใจง่าย

    คนมีศีล ย่อมไม่ฝันลามก ย่อมไม่ฝันร้าย

    คนมีศีล บรรลุธรรมก็ง่าย

    คนมีศีล ย่อมไม่ก่อกรรมทำบาป

    คนมีศีล คือ ผู้ที่มีจิตศรัทธาในพระรัตนตรัยอย่างแท้จริง
    (คือเชื่อในพระรัตนตรัยจริงๆ)

    คนมีศีล ย่อมเห็นโทษของบาปแม้เพียงเล็กน้อย

    เพราะผิดศีลข้อ ๑ จึงมีกรรม อายุสั้น มีโรคภัยไข้เจ็บมาก

    เพราะผิดศีลข้อ ๒ จึงมีกรรม ทรัพย์สมบัติต้องวิบัติ
    ด้วยแรงกรรมต่างๆ เช่น ดิน น้ำ ลม ไฟ

    เพราะผิดศีลข้อ ๓ จึงมีกรรม ภริยา-สามี นอกจิต นอกใจ
    บุตร-ธิดาไม่อยู่ในโอวาทคบชู้สู่ชาย

    เพราะผิดศีลข้อ ๔ จึงมีกรรม พูดจาไม่มีคนเชื่อถ้อยฟังคำ
    ตาบอด หู หนวก เป็นอัมพาต

    เพราะผิดศีลข้อ ๕ จึงมีกรรม โง่เง่า หลงทำกาลกิริยา เป็นบ้า เป็นใบ้

    รักษาศีลให้ได้ มีสุคติเป็นที่ไปแน่นอน

    รักษาศีลให้ได้ มีโภคทรัพย์แน่นอน

    รักษาศีลให้ได้ มีนิพพานเป็นที่ไป และเข้าถึงแน่นอน

    คัดลอกจาก...
     
  18. Ajarn Pithak

    Ajarn Pithak เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    1,367
    ค่าพลัง:
    +2,126
    พุทธทำนาย

    การเตรียมจิตวิญญาณ

    1. ชำระกรรมให้เบาบาง โดยหยุดโลภ โกรธ หลง ทำจิตใจให้สงบเบิกบาน เพราะวันนั้นจะมีผู้ที่เส้นโลหิตในสมองแตกเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก เพราะเสียงที่ดังกึกก้องไปกระตุ้นเส้นเลือดในสมองให้แตก ดังนั้นต้องปล่อยวางทำจิตให้เป็นบวก จะช่วยได้มาก
    2. มีสำนึกทางจิตวิญญาณ
    3. ฝึกการละวาง
    4. มีสติรู้ตัวตลอดเวลา
    5. ฝึกการทำโฆษกรรม ขออภัยต่อเจ้ากรรมนายเวร หรือผู้ที่เราล่วงละเมิด

    การดูแลแก่นแท้ยามมีภัย
    1. ได้ยินเสียงใดให้ละวางเสียงนั้น / รู้เห็นสิ่งใดให้ละวางสิ่งนั้น ต้องไม่รับรู้ ไม่รับเห็น ไม่รู้ ไม่ชี้ ไม่ว่าจะได้ยินเสียงคนข้างบ้านร้องเพราะกำลังจะตาย หรือได้ยินเสียงใดที่น่าหวาดกลัว ต้องได้ยินแล้วผ่านเลยไป หากละวางไม่ได้จะเกิดอาการ “ ตายก่อนตาย “ ( รู้ว่าตนเองจะต้องตายแน่ๆ หรือการตายทั้งเป็น )
    2. ยอมรับให้ได้ต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ต้องมีสติตลอดเวลา
    3. อย่าอยู่นิ่งเฉย เพราะจะทำให้กลัวมากขึ้น ควรหากิจกรรมทำ เช่น อ่านหนังสือธรรมะ เพื่อให้จิตเป็นบวกเกิดความอิ่มเอิบ
    4. สังเกตธรรมชาติก่อนนาทีวิกฤติจะเกิดขึ้น

    ลางบอกเหตุก่อนเกิดภัยธรรมชาติครั้งใหญ่ ( ระยะ 2 )
    ท้องฟ้ามืดมิดผิดปกติ ใบไม้จะพลิกคว่ำพลิกหงายแลดูหดหู่ สัตว์ทั้งหลายจะไม่ปรากฏกายให้เห็น แต่ถ้ามีสัตว์เลี้ยงอยู่ในบ้านจะเห็นมันวิ่งลุกลี้ลุกลนผิดปกติ หรือบางตัวจะนอนนิ่งน้ำตาซึม
    เรื่องเวลาที่แน่นอนนั้น ขอบอกตามตรงว่าไม่ทราบ เพราะจริงๆ แล้วน่าจะเกิดตั้งแต่ ค.ศ.1999 ตามที่นอสตราดามุสทำนายเอาไว้ แต่เมื่อดูจากเหตุการณ์ในปัจจุบันแล้ว ภัยธรรมชาติที่รุนแรงอย่างไม่เคยพบเห็นมาก่อนในชีวิตนี้ และจากคำบอกเล่าของครูบาอาจารย์ต่างๆ คิดว่าจะเกิดภายใน 1 – 3 ปีนี้...
    เป็นกรรมของสัตว์โลกนะ ครูบาอาจารย์ท่านเคยบอกว่าระบบจะเริ่มล้างมนุษย์ปลายปี 47 ( ทีแรกคิดว่าไม่มีอะไรเกิดแล้ว จิตเกือบเผลอปรามาสครูบาอาจารย์ ) แล้วจะมีเหตุอื่นมาล้างเรื่อยๆ ด้วยระบบภัยพิบัติทางดิน น้ำ ลม ไฟ โรคระบาด และอุบัติภัยสงคราม และจะหนักขึ้นเรื่อยๆ จนพระจักรพรรดิลงมา ภัยพิบัติจึงจะสงบ
    ต่อไปที่จะวิบัติหนักๆ ก็คือ ไต้หวัน ญี่ปุ่น ฟิลิปปินส์ อเมริกา ฯลฯ เคยถามครูบาอาจารย์ว่าไม่เคยมีใครเปลี่ยนได้เลยหรือ ท่านบอกว่า “ ไม่ได้ “ ท่านว่า “ ปูยีเว้าก็ปานพระเจ้าเว้านั่นแหละ ในโลกนี้ไม่มีใครเปลี่ยนแปลงได้ เพราะกรรมของมนุษย์เป็นแบบนั้น “

    สำหรับเมืองไทย ต่อไปกรุงเทพฯ ก็มิใช่จะปลอดภัยเพราะฝ่ายรักษาภายในของ กทม. เริ่มถอนระบบออกไปมากแล้ว และต่อไปภาคใต้แทบจะไม่เหลือ จะเป็นเกาะ เป็นแก่งทั้งหมด เราเข้าใจว่าภัยพิบัติในภาคใต้เป็นสัญญาณของยุคจักรพรรดิที่กำลังจะเริ่มต้น ที่จริงมีสัญญาณอย่างอื่นด้วย แต่เป็นเรื่องเฉพาะบุคคล
    เช่น เรื่องธาตุแก้วเจ็ดประการที่เริ่มเข้ามาสู่ระบบแล้ว และมีสิ่งของอื่นๆ อีกหลายอย่างที่กระจัดกระจายกันอยู่ในหลายประเทศ เป็นต้น
    ผู้ที่ไม่มีหน้าที่และเข้าไม่ถึงระบบธาตุเหล่านี้ก็จะไม่สามารถเข้าใจได้ ถ้าใครมีจิตที่เอ็กซเรย์ธาตุได้ก็จะเข้าใจว่าอะไรเป็นอะไร อย่างแก้วมังกรและแก้ววิเศษของเทวดาก็อาจเป็นของไร้ค่าในโลกมนุษย์ เพราะความไม่รู้
    ครูบาอาจารย์เคยเล่าว่า แค่นาคโก่งหลังขึ้นมามนุษย์ก็ตายเป็นเบือแล้ว ต่อไปบางที่ก็จะหายไปทั้งเกาะ นี่ยังไม่นับภัยพิบัติจากท้าวกกนาคแถวลพบุรี ที่ในไม่ช้า ( ช่วงท้ายๆ ของภัยพิบัติ ) จะลุกขึ้นมา ( ภายใน ) เพื่อไปรอรับพระจักรพรรดิ ขณะที่ทหารลิง 18 กองพลที่เคยเฝ้ายักษ์ตนนี้อยู่ที่อื่น ครูบาอาจารย์ท่านว่ายักษ์กกนาคตนนี้มีพิษมาก แค่พลิกตัว พิษของยักษ์ก็จะทำให้เกิดโรคระบาดร้ายแรงได้ มนุษย์จะตายไปครึ่งโลก แต่คนที่มีศีลก็ไม่เป็นไร
    เราค่อนข้างมั่นใจว่าภายในปี 2560 ประเทศไทยจะได้เป็นมหาอำนาจ และไทยกับลาวจะรวมกันเป็นหนึ่ง ( ประเทศเดียวกัน ) ท่านไหนขยันหมั่นเพียรรักษาศีล ภาวนา ก็จะได้มีโอกาสอยู่ในยุคใหม่ต่อไป ส่วนท่านที่ยังไม่มีศีลธรรมพอก็คงจะต้องไปตามวิถีกรรมของตนเอง
    ศาสนาอื่นนั้นไม่มีเหลือ เมื่อถึงเวลาแล้วจะหนีตายมาพึ่งศาสนาพุทธกันหมด เท่าที่ทราบต่อไปมหาอำนาจอย่างเช่น อเมริกา อังกฤษ ฯลฯ จะต้องมาพึ่งพาไทย ศูนย์กลางโลก ศูนย์กลางศาสนา อยู่ในประเทศไทย ซึ่งต่อไปที่แห่งหนึ่งในประเทศไทยจะเป็นใจกลางโลก ใจกลางศาสนา

    ในยุคจักรพรรดิ ทั้งโลกจะถูกปกครองโดย 3 ร่มโพธิ์ศรีอัญญาสิทธิ์และอัญญาธรรม พระจักรพรรดิจะเป็นพระมหากษัตริย์ของโลก อย่างที่พวกยิวเขาคิดจะครองโลกกันนั้นไปไม่ถึงดวงดาวหรอก เพราะวิทยาศาสตร์ถึงทางตันแล้ว
    เหตุที่เกิดในภาคใต้ ซึ่งเป็นเขตพระพุทธศาสนายังรุนแรงขนาดนี้ ต่อไปเหตุที่เกิดในเขตศาสนาอื่นๆ นั้น จะรุนแรงกว่านี้มาก และความหายนะที่จะเกิดขึ้นนั้นก็จะมากด้วย

    ถ้าหากศึกษาถึงเชื้อของจิตวิญญาณเดิมของการมาเกิด ก็จะเข้าใจว่าอย่างอิสลามและคริสต์นั้นเชื้อจิตวิญญาณเดิม หรือต้นธาตุของจิตวิญญาณของพวกนี้ เป็นพวกยักษ์ตระกูลต่างๆ ดังนั้นที่ครูบาอาจารย์ท่านว่าพวกยักษ์นอกศาสนาเขาตีกันนั้น ก็พวกยักษ์เหล่านี้แหละที่มีปัญหา และพวกยักษ์เหล่านี้ก็มาเกิดมากในยุคนี้ ส่วนในเขตประเทศไทยและประเทศใกล้เคียงจะเป็นเชื้อนาค เชื้อเทวดา เชื้อครุฑ คนในเขตประเทศไทยส่วนใหญ่ก็วนเวียนอยู่กับการเกิดเป็นเชื้อต่างๆ เหล่านี้ ขึ้นอยู่กับชาติที่ทำบารมีมาเด่นๆ ว่าเคยทำบารมีในภพภูมิไหนมามาก ก็จะมีความเกี่ยวพันกันกับภพภูมิเหล่านั้น และเมื่อถึงเวลาก็จะเป็นการทำบารมีร่วมกันระหว่างภพภูมิ และบางครั้งการทำงานจากภายในก็จะส่งผลออกมาสู่ภายนอก แต่คนไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นภายใน ที่เห็นก็คือผลที่แสดงออกมาภายนอก แต่คนไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นภายใน ที่เห็นก็คือผลที่แสดงออกมาภายนอก และพยายามอธิบายกันด้วยเหตุและผลทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งเป็นการรู้นอกแต่ไม่รู้ใน คล้ายๆ กับวิทยาศาสตร์พยายามอธิบายเหตุผลภายนอก แต่ไม่เข้าใจถึงกฎแห่งกรรม ซึ่งเป็นเหตุอยู่ภายใน เป็นต้น นี่คือรู้ไม่แจ้งในเรื่องนั้นๆ ก็เลยเกิดความ “ ประมาท “

    ต่อไปจะมีพระจักรพรรดิเป็นผู้ปกครองโลก พระยาธรรมิกราชจะคล้ายพระสังฆราช และจะมีพระโพธิสัตว์อีกองค์หนึ่ง จะทำหน้าที่คล้ายกับนายกรัฐมนตรี ซึ่งสามร่มโพธิ์ศรีก็คือ สามโพธิสัตว์ที่ลงมาทำหน้าที่ดูแลพระพุทธศาสนานั้นเอง และก็มีเหล่าอัญญาสิทธิ์ อัญญาธรรม ที่ตามลงมาทำหน้าที่อีกจำนวนหนึ่ง บางคนก็รู้ตัวแล้ว บางคนก็อาจยังไม่รู้ตัวเอง ถึงเวลาแล้วก็คงจะได้เห็นว่าของจริงนั้นเป็นอย่างไร ซึ่งบางท่านจะมีชื่อเสียงในหมู่เทพ เทวดา นาค ครุฑ กุมภัณฑ์ ฤๅษี มุนี ดาบส ฯลฯ พวกเขาเหล่านั้นก็รอยุคพระยาธรรมิกราช แต่พวกมนุษย์ไม่รู้จักเพราะท่านเหล่านี้จะอยู่อย่างเงียบๆ และลี้ลับ ครูบาอาจารย์ท่านเคยเปรยๆ ให้ฟังว่า สำหรับผู้ทำบารมีเข้มข้นแล้วนั้น “ ดังบ่ดี ดีบ่ดัง “

    จากที่ครูบาอาจารย์ท่านเล่าสู่กันฟัง สิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้ ไม่มีใครที่จะสามารถหลีกเลี่ยงได้เพราะกรรมเป็นตัวกำหนด และยุคพระยาธรรมิกราชก็เป็นพุทธประเพณี เป็นเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในกึ่งกลางพระพุทธศาสนา ในยุคของพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ อย่างในยุคพระเวสสันดร ( ซึ่งเป็นช่วงประมาณกึ่งกลางศาสนาของพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง ) หลังจากพระเวสสันดรได้พรแปดประการจากพระอินทร์แล้ว หลังจากนั้นไม่นานก็เกิดยุคพระยาธรรมิกราชหรือยุคพระจักรพรรดิขึ้น ถ้าจำไม่ผิดรู้สึกว่าลูกชายพระเวสสันดรจะเป็นพระจักรพรรดิในสมัยนั้น ในยุคร่วมสมัยในปัจจุบันนี้มีบุคคลผู้หนึ่งทำทานบารมีจนได้พรแปดประการจากพระอินทร์แล้วเช่นกัน ก็พอจะอนุมานได้ว่ายุคพระยาธรรมิกราชนั้นเข้ามาใกล้ปลายจมูกแล้ว

    ใครที่คิดจะทำบุญกุศลอะไรก็ให้รีบเร่งทำ หากเมื่อใดที่ผู้ที่เขาได้พรพระอินทร์เขาทำอธิษฐานบารมีเพื่อดูแลพระศาสนา ( ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการปรารถนาพุทธภูมิ ) ระบบที่เขาทำหน้าที่ภายในเขาก็จะทำงานตามลำดับ เมื่อถึงตอนนั้นจะเห็นคุณค่าของศีลธรรม ของศีลห้า ศีลแปด ของบุญบารมีที่แต่ละท่านบำเพ็ญเพียรสั่งสมมา

    ให้ลองนึกถึงเหตุการณ์คลื่นยักษ์ในภาคใต้ดูว่า คลื่นยักษ์ขนาดไหนที่จะทำให้ด้ามขวานไทยเหลือเป็นเกาะเป็นแก่ง และคลื่นยักษ์ขนาดไหนที่จะสามารถทำให้เกาะขนาดประเทศไต้หวันหายวับไปได้ในพริบตา เมื่อไหร่ก็ตามที่นาคใหญ่ทำงานจะสั่นสะเทือนไปทั้งโลก หากจะเทียบเหตุการณ์ในภาคใต้ที่ผ่านมาเป็นแค่นาคใหญ่โก่งหลังหรือสะดุ้งเพียงเล็กน้อย ลองจินตนาการดูว่าหากพวกนาคบางพวกมีหน้าที่ทำฤทธิ์ เพื่อล้างพวกผู้มีศีลธรรมไม่เพียงพอสำหรับอยู่ในยุคพระธรรมบนโลกนี้ ก็จะเหลือคนไม่มากอย่างที่พระสูตรบอกไว้
     
  19. Ajarn Pithak

    Ajarn Pithak เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    1,367
    ค่าพลัง:
    +2,126
    สุภาษิตอีสาน



    ฟังเอาท่อนคำสอนโลกใหม่ไผยังบ่ฮู้เขิงแก้วสิฮ่อนคนฟังเอาเด้อพี่น้องเพิ่นสิฮ่อนหาคนดีไผผู้มีศีลธรรมอยู่เขิงคาค้าง ไผเดินทางผิด เส้นทำตนเป็นคนชั่ว มันสิลอดกระด้งบ่มีค้างแผ่นเขิงเขิงแผ่นนี้ได้ชื่อว่าเขิงคำ เป็นคำสอนพระพุธโธเฮาตั้ง เพิ่นได้วางเอาไว้โพธิ์ศรีห่มใหญ่ สิเอาคนอยู่ซ้น โพธิ์กว้างสิอยู่เย็น โพธิ์นี้บ่ได้ปลูกตามดินเป็นโพธิ์ศีลโพธิ์ธรรมหว่านมาแต่เมืองฟ้าเว้านำธรรมคงฮู้ครูเฮาสอนสั่งคำพระสังฆเจ้าโปราณเฒ่าว่ามา พระศรีอาริยะเพิ่นสร้างโพธิ์ศรีสามห่มเอาคนเข้าอยู่ซ่นโพธิ์สิอยู่เย็นนี้หาหกแม่นคำสอนบ่อนพระองค์นำทางชี้ เอาว่าโพธิ์ศรีสามต้นคนเฮาสิได้เพิ่งตกมาฮอดเขิงข่อนตอนท้ายศาสนา พระศรีอารย์เพิ่นสิลงมาค้นเอาผู้ประเสริฐเลือกแต่ผู้ล้ำเลิศกระทำสร้างแต่บ่อนดีอันว่าพวกปล้นจี้เรื่องโหดสามารย์ ยมพิบาลมาจับเข้าสู่อเวจีกว้างให้ทำดีเอาไว้ เพื่อเอาตนเข้าฮ่ม มนุษสาโลกกว้างคนสิล้มท่าวตาย เพิ่นสิมาเลือกเอาไว้สามร่มโพธิ์ศรีให้พอดีเขิงแก้ว มันหากเถิงคาวแล้ว คนเฮาอย่านอนอยู่ ให้พากันตื่นถ้อนอย่านอนนิ่งสิเพิงไผ เดียวนี้แสงธรรมจ้าองค์พุทโธกำลังส่องมองไปไสก็เจิดจ้าแสงธรรมเจ้าส่องมาหวังให้โลกนี้กว้างปวงประชาชาวโลกพ้นจากมารหมู่ฮ้าใจเจ้าสิอยู่เย็น อย่าพากันเกียจคร้านเด้อท่านผู้ถือศิ่นถ้าไปกินนำพระผู้เพิ่นมีบุญล้นไผผู้ทนเอาไว้มีใจมั่นเที่ยงกะสิเถิงแห่งห้องวิมานแก้วอยู่เย็นทุกสิ่งในโลกนี้ ล้วนแต่อนิจจังวะคะสังขาราบ่เที่ยงตรงเด้อฟ้า ให้ทำดีเอาไว้เอาคนเข้าฮ่มให้พากันสร้างทางสิเข้าร่มโพธิ์ อย่าทำตนเป็นคนโก้หากินนำคนโง่ ฮู่ว่าโง่แล้วอย่าไปซ้ำตื่มแถม กรรมสิแนบนำก้นบ่ทันคนสิเห็นดอกไผผู้ทำชั่วช้ากรรมฮ้ายหากสิเห็นมันสิลอนกระด้งบ่ค้างว่างตาเขิง อย่าพากันเลวทรามให้จำจื่อเอาไว้ หากแม่นคำสอนเจ้าองค์พุทโธสอนสั่งขอให้ชาวพี่น้องฟังแล้วให้จื่อเอาจังสิเห็นทางเข้า โพธิ์ศรีสามห่มสู่อันมีทางลมภัยน้ำทั้งสามสิไหวหวั่นเฮงสิมาเตงตื่มซ้ำทำให้หมุ่นมะลายคนจะตายไปพร้อมนๆ นับบ่กัน ปีกุนผ่านเข้าไปแล้วสิแพวขึ้นกว่าแต่หลัง ไผผู้ยังอยู่เหลือค้างสิเห็นทางบุญบาป นอกจากกรรมหมู่ฮ้ายใจเจ้าสิชื่นบาน อย่าพากันเกียจคร้านให้ตั่งต่อถือศีลธรรม จังสิมีอันสูงอยู่สบายหายฮ้อน องค์พระธรรมเจ้าสิลงมาครองโลก หากสิเห็นเที่ยงแท้ไผทำสร้างบุญทันนั้น พระองค์เนาอยู่ยังเมืองใหญ่กรุงศรีปัจจุบัน อยู่เมืองล้านช้าง เพิ่นสิมาถึงแท้เดือนสิบเอ็ดมื้อแปดค่ำ พ.ศ. สองพันห้าร้อยปีกุนแท้แน่นอน พ.ศ. ล่วงมาถึงห้าโลกากว้างเมืองหลวงสิฮอดแฮ่งมนุษย์สิประสบเดือดฮ้อนทางสิพ้นแม่นบ่มี คันไผทำชั่วฮ้ายเมืองฟ้าสิบ่เห็น มีแต่จมลงพื้นอเวจีหม้อใหญ่ ท่านพระศรีเพิ่นสิกอดบ่ได้ อันนี้หากมีในห้องครองธรรม โลกใบนี้เป็นโลกใหม่ภัยมหันต์ศาสนาสองพันล่วงมาถึงแล้วคนเขาแซว ๆ เว้าโลกาบ่เก่าบางผองเจ็บป่วยไข้ตายเกินวัยเกินขนาดโรคประหลาดก็หากมาใหม่เรื่อยยาแก้ก็บ่ทัน อัศจรรย์น้อฟ้าโลกามันเปลี่ยนบ่เคยเห็นกะซ่างพ้อน้อนี้จังแม้นกรรม อันว่าทางฝนโลกาบ่คือเก่าคั่นว่าตกก็หากตกมาล้นจนท่วมทั่วแดนดินว่าแล้งจนแผ่นดินแดงคันว่าหนาวก็หนาวพาโลต่างหลังเหลือล้น คนเขาแซวๆ เว้าเป็นไปหมดทุกอย่างภัยพิบัติต่างๆก็หากบังเกิดขึ้นตายได้ง่าย พระเจ้ากล่าว ขอให้ชางพี่น้องฟังแล้วให้จื่อเอาท่านเอย
     
  20. Ajarn Pithak

    Ajarn Pithak เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    1,367
    ค่าพลัง:
    +2,126
    สงกรานต์ ไม่ใช่ของไทยแห่งเดียว แต่มีในหลายประเทศ
    <table align="center" border="0" cellpadding="3" cellspacing="0" width="100%"><tbody><tr bgcolor="#FFFFCC"><td valign="center"> </td></tr> <tr><td align="center" valign="top"><table border="0" cellpadding="2" cellspacing="2" width="95%"><tbody><tr><td class="A2" valign="top"> <table align="center" bgcolor="#F5F5F5" border="0" cellpadding="2" cellspacing="2"><tbody><tr><td>[​IMG]</td></tr><tr><td align="center">
    </td></tr></tbody></table>


    สงกรานต์ ไม่ใช่ของไทยแห่งเดียว
    แต่มีในหลายประเทศ เช่น เขมร, ลาว,พม่า





    สงกรานต์ ถูกทำให้เชื่อมานานแล้วว่าเป็นวันขึ้นปีใหม่ไทยแท้ๆ มาแต่โบราณกาล แต่ไม่เป็นความจริง เพราะสงกรานต์เป็นประเพณีทางศาสนาพราหมณ์

    มีกำเนิดในชมพูทวีป (อินเดีย) เกี่ยวกับดวงอาทิตย์ย้ายจากราศีมีนเข้าสู่ราศีเมษ จึงไม่ใช้ประเพณีไทยแท้ๆตามที่กล่าวอ้าง

    สงกรานต์ ของศาสนาพราหมณ์แพร่หลายจากชมพูทวีปเข้าสู่อุษาเคนย์ ถึงราชสำนักสุวรรณภูมิราวหลังพ.ศ. 500 แล้วเป็นพิธีกรรมสำคัญอยู่ในราชสำนักก่อน


    สมัยแรกๆยังไม่แพร่หลายลงสู่สามัญชนชาวบ้าน ต้องใช้เวลาอีกนานมาก จนราวหลัง พ.ศ. 2000 ถึงลงสู่สามัญชนชาวบ้าน


    ราช สำนักในสุวรรณภูมิที่อยู่ใกล้ทะเลแล้วรับศาสนาพราหมณ์และพุทธ ล้วนมีสงกรานต์เหมือนๆกัน เช่น กัมพูชา, ไทย, ลาว, พม่า, ฯลฯ หลังจากนั้นแพร่หลายเข้าสู่ดินแดนภายใน เช่น ล้านนา, ล้านช้าง, จนถึงสิบสองพันนา (ในจีน)
    บ้านเมืองเหล่านี้มีประเพณีสงกรานต์เหมือนกันทั้งหมดสืบจนทุกวันนี้ แล้วบอกว่าเป็นวันขึ้นปีใหม่ของตนทั้งนั้น
    ดังนั้น สงกรานต์จึงไม่ได้มีที่ไทยแห่งเดียว แต่มีทั่วไปทั้งในกัมพูชา, ลาว, พม่า, รวมทั้งในจีน


    วันขึ้นปีใหม่ เป็นประเพณีตะวันตก มีกำเนิดทางตะวันตก ไม่ใช่ของตะวันออก จึงไม่ใช่ของไทยแท้ๆ เพราะไทยแท้ๆไม่มีประเพณีวันขึ้นปีใหม่


    เดือนอ้าย หมายถึง เดือนที่ 1 อยู่ช่วงเวลาตั้งแต่หลังลอยกระทงกลางเดือน 12 รุ่งขึ้นก็เริ่มเดือนอ้ายนับเป็นขึ้นฤดูกาลใหม่ แล้วขึ้นนักษัตรใหม่ของ ดินแดนสุวรรณภูมิ เช่น กัมพูชา, ลาว, และไทย เทียบสากลได้ว่าขึ้นปีใหม่ แต่ก็ไม่ใช่ขึ้นปีใหม่ หากเป็นขึ้นฤดูกาลใหม่ หรือ ขึ้นนักษัตรใหม่



    ขอบคุณ sujitwongthes



    ที่มา สงกรานต์ ไม่ใช่ของไทยแห่งเดียว แต่มีในหลายประเทศ : อาหารสมอง

    </td></tr></tbody></table></td></tr></tbody></table>
     

แชร์หน้านี้

Loading...