โลกหลังปี 2012 สู่มิติที่ห้า

"โลกหลังปี 2012 สู่มิติที่ห้า"​

โดย น.พ. ประสาน ต่างใจ
​

คำนำ

หนังสือ โลกหลังปี 2012 สู่มิติที่ห้า เป็นผลงานล่าสุด(มกราคม2545)ของอาจารย์หมอประสาน ต่างใจ งานเขียนเล่มที่ 4 ที่พิมพ์โดยสถาบันวิถีทรรศน์ เล่มแรกคือ ปริศนาจักรวาล ที่ได้รับการตอบรับอย่างอบอุ่นจากผู่อ่าน จนต้องพิมพ์ซ้ำเป็นครั้งที่ 2 เล่มที่สองคือ วิทยาศาสตร์จิตวิญญาณ ส่วนเล่มที่สามคือ ศตวรรษใหม่โลกไม่ต้องการมนุษย์อีกแล้ว! ซึ่งทั้ง 2 เล่มนี้ก็ได้รับการตอยรับอย่างดีเช่นกัน

หนังสือ โลกหลังปี 2012 สู่มิติที่ห้า เป็นอีกเล่มหนึ่งที่สถาบันวิถีทรรศน์ เห็นว่ามีความเหมาะสมและสอดคล้องกับสถานการณ์ของโลกปัจจุบัน นั้นคือสังคมโลกโดยส่วนรวมกำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในทุกทุกด้าน โดยเฉพาะการเปรียนแปลงกระบวนทัศน์ด้านจิตวิญญาณ และมุมมองของมนุษย์ต่อโลก ต่อสังคม และต่อความจริงที่รอบด้านและลึกซึ้งมากยิ่งขึ้น

อาจารย์หมอประสาน ต่างใจ นำเสนอคำกล่าวของเจมส์ เลิฟล็อค ที่ประกาศเมื่อกลาวงปี1989 ว่า การป่าวของโลกจะแสดงออกด้วยการล่มสลายของสังคมมนุษย์ และความล่มสลายที่ว่านี้จะเกิดขึ้นภายในสองสามทศวรรษข้างหน้า ในขณะที่ฟริตจ้อฟ แคปร้า ก็กล่าวว่าโลกกำลังจะล่มสลายหายนะอย่างรุนแรงในปี 2030 ซึ่งสอดคล้องกับงานด้านสิ่งแดล้อมของสถาบันจับตาโลก และข้อเสนอของนักคิด นักวิจัยและนักวิทยาศาสตร์คนอื่นๆ

นั่นก็หมายความว่า นับตั้งแต่ปี 2012 เป็นต้นไปถึงปี 2030 โลกจะถึงเวลาแห่งการล่มสลายหายนะเกือบจะสิ้นเชิงในทุกด้านทั้งสภาวะแวดล้อมทางธรรมชาติ การพังทลายของเศรษฐกิจ และสังคม การเมือง เต็มไปด้วยปัญหา สงครามและความรุนแรง ซึ่งไปสอดรับกับตำนานซึ่งได้มีการบันทึกไว้เป็นปฏิทินของชาวเผ่ามายาตั้งแต่ต้นคริสตกาล ปฏิทินมายายังบอกอีกว่าในช่วงตั้งแต่เดือนสิงหาคม1987 - ปี 2012 จะเป็นช่วงเวลาระหว่างกลางของมิติที่สี่สู่มิติที่ห้า ถือเป็นช่วงอันตลาย เพราะเป็นช่วงที่จะมีการล่มสลายทางธรรมชาติและจิตวิญญาณของชาวโลกส่วนใหญ่

แต่ขณะเดียวกันกฌจะเกิดการเปลี่ยนแปลงกระบวนทัศน์ทางจิตวิญญาณของคนอีกส่วนหนึ่ง ไปสู่จิตวิญญาณใหม่บริสุทธิ์ และเกิดการสร้างสังคมใหม่ และอารยธรรมใหม่ขึ้นมาท่ามกลางความหรักหักพังของสังคมเก่า ดังเช่นในปัจจุบันที่จะเห็นว่า มีขบวนการของพวกนิวเอจต่างๆ เช่น ขบวนการสุขภาพแบบองค์รวม กลุ่มแพทย์ทางเลือก กลุ่มความคิดใหม่ กลุ่มจิตวิญญาณใหม่ ขบวนการสตรีนิเวศน์ และขบวนการความเชื่ออื่นๆอีกมากมาย

โลกหลังปี 2012 สู่มิติที่ห้า จึงเป็นการนำเสนอมิติใหม่ของสังคมอนาคตหลังความปั่นป่านครั้งใหญ่ผ่านไป

อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่า โลกหลังปี 2012 สู่มิติที่ห้า จะเป็นโลกที่พอมีความหวังสวยงามอยู่บ้าง หากมนุษย์สามารถปรับเปลี่ยนทัศนคติ และวิถีการดำเนินชีวิตได้ทันการ หันมาสนใจสภาพแวดล้อม อยู่อย่างเรียบง่ายและสมดุลกับธรรมชาติ

แม้จะมีคำกล่าวว่า หลังพายุ ฟ้าจะสดใส แต่ในสภาพความเป็นจริงจะเป็นเช่นคำกล่าวหรือไม่ มีแต่มนุษย์เท่านั้นที่จะให้คำตอบกับตนเองได้​

 

หนังสื่อเล่มนี้เขียนมา10ปีแล้วครับ

แต่เข้ากับเหตุการณ์ปัจจุบันจริงๆ

ถ้าสมาชิคสนใจผมจะนำมาพิมพ์ลงให้อ่านกันครับ

 

ผมสนใจอ่านครับแต่คงหาซื้อไม่ได้เเล้วอะครับ
ขอความกรุณาแบ่งปันนำมาให้อ่านด้วยนะครับ
ขอบคุณครับผม

 

ผมสนใจครับ
แบ่งปันให้อ่านหน่อยครับ
ขอบคุณครับ*-*

 

น่าสนใจ

<iframe src=http://www.pantip.com/cgi-bin/cafe/hits3.cgi?action=vote&id=10252348" width="1" height="1" style="display: none;">
</iframe>

 

มารออ่าน ชอบแนวนี้เหมือนกัน

 

แควนตัมจิตกับพุทธปรัชญา
​

ผู้เขียนเป็นวิทยากรของมหาวิทยาลัยสงฆ์สองมหาวิทยาลัยคือ มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย และมหามกุฏราชวิทยาลัย โดยมีหน้าที้ถวายข้อมูลใหม่ๆ ทางด้านวิทยาศาสตร์ที่ทุกวันนี้มาสอดคล้องแนบขนาน โฉพาะในแระเด็นระหว่างวิทยาศาสตร์ทางจิตและแควนตัมฟิสิกส์กับอภิปรัชญาที่อยู่เบื่องหลังหรือที่เป็นส่วนของที่มาและกระบวนการเรียนรู้ ของศาสนาแทบจะทุกศาสนา ซึ่งแน่นอนยย่อมจะเน้นความสอดคล้องต้องกันอย่างเป็นพิเศษของวิชาการใหม่ๆ กับพุทธศาสนา โดยถวายให้กับสถาบันฝึกอบรมพระธรรมทูตที่ไปปรพจำวัดไทยในต่างประเทศ ซึ่งสำหรับมหาจุฬาฯ นั้นผู้เขียนบรรยายมานับรวมปีนี้ก็เป็นปีที่หกแล้ว ส่วนมหามกุฏราชวิทยาลัยนั้นเพิ่งถวายเป็นปีที่สาม นอกจากนั้นก็ยังเป็นอาจารย์พิเศษให้กับนักศึกษาปริญญาโทของสองสถาบันตลอดช่วงเวลาดังกล่าวด้วย สำหรับนักศึกษาของคณะบัณฑิตวิทยาลัยนั้นจะมีทั้งฆราวาสและพระ โดยเฉพาะที่เป็น นักศึกษาทั้งหมดจะมีพื้นฐานระดับต่างๆ ตั้งแต่เปรียญสี่ถึงเปรียญเก้าประโยค

​

 

อะแน่นอน โลกศิวิไลย์อยู่ไม่ไกลใจเย็นๆ สถานการณ์ย่อมสร้างวีระบุรุษเสมอ เมื่อเวลามาถึง อิน พรหม ยม ยักษ์ จักร่วมมือกันอย่ากังวล

 

ผมสนใจแนวนี้อ่ะคับ ชอบมากๆเลย หากเราไม่สนใจเรื่องจิตวิญญาณก็ไม่มีอะไรน่าสนใจ
(ความคิดเห็นส่วนตัว)

 

แล้วจะมีใครเชื่อเรากันล่ะคับพี่? ใครที่คิดไม่เหมือนคนทั่วไป มันถูกมองว่า"เพี้ยน" ใช่ป่ะคับ?
(แต่ส่วนตัวผมไม่แคร์)

 

ผู้เขียนเองบังเอิญเป็นวิยากรหรืออาจารย์พิเศษในคณะต่างๆของมหาวิทยาลัยอื่นๆ มานานตลอดเวลาร่วมเจ็ดแปดปีมานี้ ดังนั้นจึงอดที่จะคิดเปรียบเทียบการตอบของนิสิตนักศึกษาระหว่างมหาลัยต่าง กับมหาวิทยาลัยสงฆ์ไม่ได้ เมื่อนำมาเปรียบเทียบระหว่างกันบนรูปแบบเนื้อหาและจำนวนของคำถามแล้ว พบว่ามีความแตกต่างกันมากอย่างเห็นได้ชัด นักศึกษาที่เป็นพระดูจะมีความรู้ความเข้าใจ และมีความสนุกสนานกับประเด็นทางวิทยาศาสตร์ใหม่ไม่ว่าจะเป็นด้านฟิสิกส์แควนตัมหรือวิทยาศาสตร์ทางจิตอย่างมากและรวดเร็วหรือไม่ก็ทันที ดังจะเห็นได้ว่าบ่อยครั้งเหลือเกินที่เมื่อจบการบรรยายหรืออภิปราย พระหลายรูปจะพูดถึงฟิสิกส์ใหม่ว่า สิ่งที่เคยค้างคาในใจมานาน แทบจะอันตรธานหายไปหมด ที่เป็นเช่นนั้น อาจเป็นเพราะว่า

 

ประการแรก พระนักศึกษามีพื้นฐานของวิชาพุทธศาสตร์ที่ว่าไปแล้วทุกวันนี้คือ สาขาย่อยสาขาหนึ่งของกลุ่มวิชาวิทยาศาสตร์ทางจิตที่ยอมรับกัน และวิทยาศาสตร์ทางจิตยุคสมัยใหม่เองก็ได้ความหมายความเข้าใจมาจากบางส่วนของแควนตัมฟิสิกส์

ประการที่สอง นักศึกษาเป็นพระย่อมมีความห่างเหินไม่ว่าในด้านวิทยาศาสตร์กายภาพหรือพฤติกรรม-ต่อความรู้ด้านโลกกายวัตถุหรือเรื่องราวที่เป็นประเด็นทางโลกียะมากกว่านักศึกษาธรรมดาๆยิ่งนัก ดังนั้นเมื่อสัมผัสกับวิทยาศาสตร์ใหม่ ในด้านของจิตที่ก้าวล่วงผ่านตัวตนหรือแควนตัมฟิสิกส์ที่ก้าวล่วงระดับมหภาค-สสารพลังงานที่ได้รับรู้ด้วยประสาทภายนอกหรือด้วยเครื่องมือที่ทำหน้าที่แทนประสาทสัมผัสนั้นๆ-พระที่เป็นนักศึกษาผู้ที่ย่อมมีการปฏิบัติจิตปฏิบัติธรรมมาบ้าง-ไม่ว่ามากหรือน้อย-ย่อมมีความแตกต่างกับผู้หมกมุ่นอยู่กับกระแสโลกียะตลอกเวลา

 

คนเขียนชื่อเหมือน อาจารยฺผมเลยเหะ
เห็นสนใจด้านนี้อยู่มาก
คนเดียวกันเปล่าหวา ต้องไปถามดูละ เพื่อได้หนังสือฟรี yimm

 

คนเขียนมี ชื่อล็อกอิน ในบอร์ดนี้ป่าวครับ ... ^-^

 

คนเขียนคือ น.พ. ประสาน ต่างใจครับ

จากหนังสือของท่าน

แต่ผมนำมาพิมพ์ลงในห้องนี้ให้ท่านที่สนใจแนวนี้ได้อ่านกันครับ

จะทยอยพิมพ์ไปเลื้อยๆนะครับ ถ้ายังมีคนอ่านอยู่

 

ท่านเขียนถึง 2012

ก่อนที่จะมีกระแสปฏิทินมายา หรือเปล่าครับ

ถ้าใช่ แล้วทำไมถึง 2012

 

สุขกามานิ ภูตานิ โย ทณฺเฑน น หึสติ
[SIZE=+1]อตฺตโน สุขเมสาโน เปจฺจ โส ลภเต สุขํ[/SIZE]
[SIZE=+1]สัตว์ทั้งหลายย่อมต้องการความสุข ผู้ใดแสวงหาสุขเพื่อตน[/SIZE]
[SIZE=+1]ไม่เบียดเบียนเขาด้วยอาชญา ผู้นั้นละไปแล้ว ย่อมได้สุข[/SIZE]