ธาตุ 4 ในอาหารชนิดต่างๆ

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย Tep_arale, 17 มกราคม 2009.

  1. Tep_arale

    Tep_arale สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มกราคม 2009
    โพสต์:
    7
    ค่าพลัง:
    +0
    [​IMG]



    เรื่อง ธาตุ 4 ในอาหารชนิดต่างๆ<?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    ในวันพุธที่ 7 ต.ค. ปี 2535 หลวงพ่อฤาษีท่านเมตตาสอนเรื่อง
    ธาตุ 4 ในอาหาร ชนิดต่าง ๆ มีความสำคัญ ดังนี้


    <o:p></o:p>
    1. ผักบุ้งมีไวตามินสูง โดยเฉพาะไวตามินเอ คนตาไม่ค่อยเห็นตอนกลางคืน
    เพราะขาดไวตามินเอ ผักบุ้งมีฤทธิ์ เป็นยาระบาย กินมากก็เสาะท้อง
    ท่านไม่ได้ฉันมานาน ทั้งๆ ที่ชอบ และยังรักษาโรคไตได้ ท่านไม่ได้ฉัน
    ก็เพื่อให้ท้องถ่ายง่ายแต่ถ้าเป็นผักบุ้งดองก็แสลงต่อโรคไต
    คนท้องผูกเพราะธาตุไฟไม่ทำงาน ในคนสูงอายุธาตุไฟอ่อนกำลังลง
    เพราะความเสื่อมของร่างกาย
    <o:p></o:p>
    2. อาหารรสจัดๆ ของเผ็ดร้อนเป็นของธาตุไฟ ซึ่งพวกคนแก่จะทานได้น้อย
    เมื่อธาตุไฟอ่อนกำลังลงทำให้ไม่สามารถขับธาตุลมให้ไปขับธาตุน้ำ
    ให้ไปไล่ธาตุดิน (ขี้หรืออุจจาระ) ให้ออกไปได้ ท้องคนแก่จึงผูกด้วยเหตุนี้
    <o:p></o:p>
    3. อาหารทุกชนิดมีทั้งคุณและโทษ ธรรมะที่เกี่ยวกับอาหารเป็นของละเอียด
    เพราเกี่ยวข้องธาตุ4 โดยตรงซึ่งพวกพุทธจริตเท่านั้นจึงจะพูดกันเจ้าใจได้ดี
    ยิ่งพวกที่กินอาหารโดยขาดการพิจารณาด้วยยิ่งเข้าไปกันใหญ่
    อาหาเรปฏิกูลสัญญา, ปัจจเวกขณะ 4 ซ้ำอาหารบางอย่างยังมีคุณค่า
    เป็นยารักษาโรค มีคุณค่าของอาหารต่างๆ กัน คนส่วนใหญ่กินอาหาร
    ตามสัญญาเดิม กินตามอุปทานของตน และกินเพราะติดในรูป รส กลิ่น สีของอาหาร
    <o:p></o:p>
    4. ที่สำคัญที่สุดก็คือ ไม่ทราบว่าขณะนี้ร่างกายกำลังขาดธาตุอะไร
    หรือมีธาตุอะไรเกินพอ จึงไม่สามารถเอาธาตุ 4 ภายนอกไปเสริมได้ถูก
    ดีไม่ดีแทนที่จะเป็นคุณกลับเป็นโทษก็ไม่น้อย
    <o:p></o:p>
    5. ผักมีธาตุน้ำๆกับดิน ข้าว เผือก มัน ฟักทอง มีธาตุดินมากกว่าธาตุน้ำ
    ต้มจืดมีธาตุน้ำมาก ต้มยำมีธาตุไฟและธาตุน้ำมาก ผักดองมีแก๊ส (ลม) และกรดมาก
    ดังนั้นหากขาดธาตุลมต้องกินผักดอง น้ำตาลมีธาตุไฟมาก เป็นของหวานในขนมและผลไม้
    ผลไม้มีธาตุน้ำมากกว่าธาตุดิน ซึ่งมีแร่ธาตุหลายชนิด ความหวานเป็นธาตุไฟ
    6.ทุเรียนมีธาตุลมมาก แต่พวกมีเม็ดเลือดเข้มข้นมาก อย่ากิน ความดันจะขึ้นสูงง่าย
    บางรายกินและลมดันขึ้นหัวใจวายตายก็มี ผลไม้ที่มีรสเปรี้ยวเป็นธาตุไฟ ฝรั่งมีธาตุดิน
    แตงมีน้ำ98 เปอร์เซ็นต์ เพราะฉะนั้นการกินจึงต้องใช้มัชฌิมา ไม่กินเพื่อให้อ้วน ให้ผอม
    ให้ผิวพรรณผ่องใส แต่กินตามที่ร่างกายต้องหารธาตุที่ขาด(ธรรมเรื่องอาหารนี้จึงยาก
    เพราะละเอียดมาก ดังนั้นผู้ที่รู้ดี รู้จริงในเรื่องนี้ จึงควรเป็นพระอรหันปฏิสัมภิทาญาณเท่านั้น)
    สัปปะรดเปรี้ยวใช้รักษาโรคนิ่ว เพราะน้ำสัปปะรดสามารถรักษาโรคนิ่วได้
    <o:p></o:p>
    7. น้ำปัสสาวะมีธาตุดินออกมามากเหมือนกัน แค่มองด้วยตาเปล่าไม่เห็น
    ต้องอาศัยโดยการดูกล้องขยาย ถ้าต้องการเห็นดูตาเปล่า น้ำปัสสาวะเป็นกรด
    ให้เอาด่างเติมลงไป จะเห็นธาตุดินที่ละลายอยู่ในกรด ตกตะกอนเป็นสีขาว ให้เห็นได้ชัดเจน
    <o:p></o:p>
    สภาพของธาตุดินที่เห็นได้ชัดคือกระดูก แต่ส่วนใหญ่อยู่ในรูปเหมือนโคลนที่อยู่ในน้ำเละๆ
    เปราะบางและสกปรก
    <o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    ธรรมะที่ได้จากการกินอาหาร<o:p></o:p>
    พอสรุปได้สั้นๆ ดังนี้

    <o:p></o:p>
    1. ก่อนจะกินอาหาร เอาจิตคิดขอถวายอาหาร เพื่อบูชาความดีของพระพุทธองค์
    เพื่อเอาบุญเสียก่อน เพื่อความไม่ประมาทในธรรม ควรอาราธนาคาถาป้องกัน
    และทำลายพิษที่อาจมีอยู่ในอาหารเสียก่อนทุกครั้ง
    <o:p></o:p>
    2. พิจารณาอาหารเป็นอาหเรปฏิกูลสัญญา รวมทั้งคุณและโทษของอาหารที่บริโภคด้วย
    เพราะบางคนแพ้หรือไม่ถูกกับอาหารบางชนิด ก็ต้องเว้นเสีย และจำเป็นให้ได้ด้วย
    (หลวงพ่อท่านไม่ฉันทุเรียนและสัปปะรด เพราะไม่ถูกกับร่างกายของท่าน)
    <o:p></o:p>
    3. เห็นวัฏฏะ เห็นสันติธรรม เห็นไตรลักษณ์ของธาตุ 4 เราจึงเอาธาตุ 4 ภายนอก (อาหาร)
    เข้ามาเสริมธาตุ 4 (ร่างกาย)อยู่เสมอ เป็นวัฏฏะหรือสันติ หรือไตรลักษณ์
    เวียนอยู่อย่างนี้กระทั่งเกิดจนตาย ไม่มีวันหยุด หยุดเมื่อใดก็ตายเมื่อนั้น
    <o:p></o:p>
    4. พิจารณาเห็นทุกข์จากการหาอาหาร, ปรุงหรือประกอบอาหาร,
    ระหว่างบริโภคและหลังบริโภคอาหารมีทุกข์ตลอดเวลา มีรายละเอียดอย่างมาก
    ตั้งแต่การถางป่า ขุดตอไม้ ไถ ปลูก ระวัง รักษา เก็บเกี่ยวข้าว ขอเขียนตัวอย่างย่อๆ ไว้แค่นี้
    (รวมทั้งทุกข์จากการประกอบอาหารและทุกข์จากข้ออื่นๆ จากอาหารด้วย)
    <o:p></o:p>
    5. ทุกข์จากระเบียบวินัย มารยาทในการบริโภค โดยเฉพาะพระสงฆ์ มีข้อบังคับอยู่มาก
    จะฉัน จะนั่ง จะเอื้อมมือตักอาหาร จะเอาช้อนเข้าปาก จะเคี้ยวอาหารไม่ให้มีเสียงดัง
    ห้ามพูด ห้ามคุยระหว่างฉัน และอีกมากมาย
    <o:p></o:p>
    6. ทุกข์การจากติดในรูป รส กลิ่น สีของอาหาร อันเป็นทุกข์ที่เกิดจากใจ
    จากกิเลส ตัณหา อุปาทานที่เกาะติดใจมาทุกๆชาติ หากเรารู้ไม่ทัน
    <o:p></o:p>
    7. ให้จบลงในอาหาร มรณานุสสติควบอุสมานุสสติ โดยคิดว่าอาหารมื้อนี้
    อาจเป็นมื้อสุดท้ายที่เราบริโภค ความตายอาจเกิดกับเราเมื่อไหร่ก็ได้
    หากกายพร้อมเมื่อไร จิตเราก็พร้อมจะไปพระนิพพานเมื่อนั้น นิพพาน สุขขัง
    และจงอย่าลืมอุทิศส่วนกุศลให้กับอาทิสสมานกายของผู้บริจาคสังขารเป็นทาน
    เป็นอาหารให้เรายังชีวิตอยู่ด้วยทุกๆครั้ง ในข้อนี้จิตใครละเอียดแค่ไหน
    ก็จิตละเอียดแค่นั้น ขอเขียนไว้เป็นแค่ตัวอย่างเท่านั้น ผมขอจบไว้สั้นๆแค่นี้
    เพราะเรื่องอาหาเรปฏิกูลสัญญา พระองค์สอน เฉพาะพวกพุทธจริตเท่านั้น
    จึงมีรายละเอียดมาก และบารมีธรรมของคนก็สะสมมาไม่เหมือนกัน
    จิตอยู่ระดับไหน ย่อมรู้ในระดับนั้นเป็นธรรมดา




    ที่มาของข้อมูล




    <DIR>ธรรมะที่นำไปสู่ความหลุดพ้นเล่มที่ 6
    โดย พระราชพรหมยานมหาเถระ หลวงพ่อฤาษีลิงดำวัดท่าซุง
     




    </DIR>รวบรวมโดย

    พล.ต.ท.นพ. สมศักดิ์ สืบสงวน
    จากหนังสือ ธรรมที่นำสู่ความหลุดพ้น
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 19 มีนาคม 2011
  2. seahero

    seahero เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    335
    ค่าพลัง:
    +602
    ขอบคุณครับ เป็นความรู้มากเลย
     
  3. wara43

    wara43 ทีมผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 เมษายน 2006
    โพสต์:
    9,108
    ค่าพลัง:
    +16,130
    [​IMG][​IMG] ขอกราบโมทนาสาธุครับ สาธุ...[​IMG][​IMG]
     
  4. bcbig_beam

    bcbig_beam เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    1,811
    ค่าพลัง:
    +3,246
    พิจารณาเห็นทุกข์จากการหาอาหาร, ปรุงหรือประกอบอาหาร, ระหว่างบริโภคและหลังบริโภคอาหารมีทุกข์ตลอดเวลา มีรายละเอียดอย่างมาก ตั้งแต่การถางป่า ขุดตอไม้ ไถ ปลูก ระวัง รักษา เก็บเกี่ยวข้าว ขอเขียนตัวอย่างย่อๆ ไว้แค่นี้ (รวมทั้งทุกข์จากการประกอบอาหารและทุกข์จากข้ออื่นๆ จากอาหารด้วย)

    ให้จบลงในอาหาร มรณานุสสติควบอุสมานุสสติ โดยคิดว่าอาหารมื้อนี้อาจเป็นมื้อสุดท้ายที่เราบริโภค ความตายอาจเกิดกับเราเมื่อไหร่ก็ได้ หากกายพร้อมเมื่อไร จิตเราก็พร้อมจะไปพระนิพพานเมื่อนั้น นิพพาน สุขขัง และจงอย่าลืมอุทิศส่วนกุศลให้กับอาทิสสมานกายของผู้บริจาคสังขารเป็นทาน เป็นอาหารให้เรายังชีวิตอยู่ด้วยทุกๆครั้ง ในข้อนี้จิตใครละเอียดแค่ไหน ก็จิตละเอียดแค่นั้น ขอเขียนไว้เป็นแค่ตัวอย่างเท่านั้น ผมขอจบไว้สั้นๆแค่นี้ เพราะเรื่องอาหาเรปฏิกูลสัญญา พระองค์สอน เฉพาะพวกพุทธจริตเท่านั้น จึงมีรายละเอียดมาก และบารมีธรรมของคนก็สะสมมาไม่เหมือนกัน จิตอยู่ระดับไหน ย่อมรู้ในระดับนั้นเป็นธรรมดา

    ขอกราบโมทนาในธรรมทานด้วยครับ
    สาธุ สาธุ อนุโมทามิ
     
  5. makcloud

    makcloud เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มกราคม 2009
    โพสต์:
    424
    ค่าพลัง:
    +535
    ขอบคุณครับ ขอบคุณครับ ขอบคุณครับ
     
  6. ชนะ สิริไพโรจน์

    ชนะ สิริไพโรจน์ ทีมผูัดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    5,891
    กระทู้เรื่องเด่น:
    14
    ค่าพลัง:
    +35,260
    สาธุ ขออนุโมทนาเป็นอย่างสูงครับ
     
  7. พุทธทาส

    พุทธทาส Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กันยายน 2009
    โพสต์:
    49
    ค่าพลัง:
    +27
    ได้ความรู้มากมายเลยครับ อนุโมทนากับเจ้าของกระทู้ด้วยครับ
     
  8. เกิดมานาน

    เกิดมานาน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กันยายน 2009
    โพสต์:
    167
    ค่าพลัง:
    +2,547
    ผมขอกราบ ๆ ๆ และขออนุโมทนาเป็นอย่างสูงในธรรมที่นำมาเผยแพร่ให้ได้รับบุญกันในครั้งนี้ครับสาธุ สาธุ สาธุ
     
  9. liescene

    liescene สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    2
    ค่าพลัง:
    +0
    ขอร่วมอนุโมทนาสาธุครับ
    ทำให้คิดได้เลย ว่า อาจจะเป็นอาหารมื้อสุดท้ายของเรา
    ไม่ได้กินเพื่ออยาก : )
     

แชร์หน้านี้

Loading...