สอบถามเรื่องการบริจาคร่างกายครับ เกิดชาติหน้าจะพิการจริงหรอ?

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย tan1251, 7 เมษายน 2011.

  1. tan1251

    tan1251 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    44
    ค่าพลัง:
    +34
    คนโบราณเค้าบอกว่าถ้าเราบริจากร่างกายแล้ว
    พอตายไปเราจะไม่มีร่างกายหรอครับ
    ถ้าเกิดชาติหน้าก็จะพิการจริงไหมครับ เช่นตาบอด แขนด้วนฯลฯ
    ผมก็อยากบริจากน่ะเพื่อจะได้เป็นประโยชน์ต่อการแพทย์
    ตายไปก้เอาไปเผ่าไฟ คิดว่าน่าจะทำประโยชน์ได้มากกว่าการเอาไปเผ่าไฟเพระพระท่านบอกมา ตายไปเอาไปเผ่าไฟจะมีประโยชน์อะไร ไหนๆก็ตายแล้วน่าจะเอาไปทำประโยชน์ให้คนรุ่นหลังได้วินิจัยจะมีประโยชน์มากกว่า
    แต่ก็กลัวๆที่คนโบราณเค้าเล่ามาครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 8 เมษายน 2011
  2. Kenny17

    Kenny17 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2011
    โพสต์:
    2,979
    ค่าพลัง:
    +10,866
    ผมคิดว่าคงไม่เป็นความจริงครับ เพราะว่าถ้าเราทำความดีก็คงจะไม่มีผลแบบนั้น ถ้าชาติหน้าเราเกิดมาแล้วพิการ มันก็น่าจะมาจากกรรมเก่าของเรามากกว่า
     
  3. Phanudet

    Phanudet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    8,434
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +15,647
    ได้ยินครูบาอาจารย์ท่านได้เทศนาสอนไว้นะครับว่า การบริจาคร่างกายเป็นทานเมื่อตายไปแล้ว อานิสงค์เท่ากับเราบริจาคเสื้อผ้าที่ไม่ใช้แล้วหละครับ.....ท่านว่าเท่ากัน.....

    ส่วนที่ว่าไปเกิดใหม่ไม่ครบนั้นเป็นไปไม่ได้หละครับ....เราทำความดี...แม้ว่ามันจะเป็นสิ่งที่เราใช้มา..จนเราไม่ใช้แล้ว....ก็ยังชื่อว่าเราได้ทำความดีครับ....เพราะเขาเอาตัวเราเป็นครูเพื่อช่วยคนอื่นอีกเป็นร้อยเป็นพันคน....

    บริจาคส่วนใหน....ชาติหน้าได้อานิสงค์พิเศษ..คือส่วนนั้นจะดีเป็นพิเศษ.....
     
  4. SUGARSPAIN

    SUGARSPAIN Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    39
    ค่าพลัง:
    +64
    อย่ากังวลเลย บริจาคเถอะค่ะ..ดิชั้นก็จะบริจาคเช่นกัน
     
  5. krasin

    krasin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    395
    ค่าพลัง:
    +2,821
    อานิสงค์สูงมากๆ เปรียบเสมือนเราได้ช่วยต่อชีวิตคนอื่นอีกเป็นร้อยเป็นพันชีวิต การเวียนว่ายตายเกิดไม่ใช่ของสนุกนะครับ อย่ากลับมาเกิดอีกเลยครับ อธิฐานขอไปนิพพานกันให้หมดทุกคนนขครับ
     
  6. เมธาวี1

    เมธาวี1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    692
    ค่าพลัง:
    +1,051
    ถึงจะว่าอย่างนั้นก็เถอะ แต่จะมีใครมารับรองได้ แต่เรายังไงก็ไม่บริจาคอยู่ดีล่ะ
     
  7. pigbuta

    pigbuta เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    90
    ค่าพลัง:
    +294
    ไม่จริงครับ
    ยิ่งให้เรายิ่งได้ครับ อานิสงส์บางทีไม่ต้องรอชาติหน้า ชาตินี้อาจจะได้รับด้วยซ้ำ
     
  8. พศวีร์

    พศวีร์ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    144
    ค่าพลัง:
    +29
    เมื่อลมไม่พัด ไฟก็ดับ เมื่อไฟดับน้ำที่เราต้มไว้ก็ไม่เดือด เมื่อน้ำไม่เดือดเนื้อที่เราตัมไว้ก็เน่าเปื่อย
    แล้วอย่างผมได้บริจาคไปทั้งร่าง จะเป็นอย่างไรบ้างล่ะ
     
  9. ิbonny

    ิbonny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    72
    ค่าพลัง:
    +260
    ครูบาท่านไหนว่าล่ะครับ มีงี้ด้วย
    การบริจาคอวัยวะถือเป็นการต่อชีวิตช่วยชีวิตคน ได้อานิสงส์มากนะครับ
    เหมือนการบริจาคเลือดอ่ะแหละ ผู้ที่สละได้แม้อวัยวะขณะที่ตายไปแล้ว
    ส่วนนึงคือการที่ท่านตัดการยึดมั่นในร่างกายได้ คือไม่ยึดติดกับร่างกาย
    ร่างกายก็คือขันธ์5 ประกอบด้วยดิน น้ำ ลม ไฟ ไม่มีเค้า ไม่มีเรา
    เป็นแค่สิ่งสมมติขึ้นมา ใครบริจาคอวัยวะได้แม้ใครก็ตามได้บุญทุกคน
    ไม่ต้องกลัวว่าจะเกิดมามีอวัยวะไม่ครบหรอก ท่านน่าจะกลัวการเกิดมากกว่า

    ขออนุโมทนาบุญกับผู้ที่บริจาคเลือดเนื้อและอวัยวะกับทุกท่านด้วยครับ......
    ผมเองบริจาคเกร็ดเลือดอยู่ ถ้าไม่สิ้นลมหายใจ
    ผมก็จะบริจาคต่อไป
     
  10. วงบุญพิเศษ

    วงบุญพิเศษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    486
    ค่าพลัง:
    +649
    คงไม่จริงหรอกครับ เมื่อครั้งพระสมณโคดมบำเพ็ญบารมีเป็นพระโพธิสัตว์ ก็

    ทรงมอบดวงตาเป็นทานมหาศาล ทรงสละศีรษะเป็นทานเป็นกองภูเขา ในชาติ

    สุดท้ายด้วยอาศัยทานบารมีนั้น จึงได้กายมหาบุรุษ


    การบริจาคร่างกายในวาระสุดท้ายที่เราไม่ได้ใช้นั้น จะหาทำชาติไหนได้บ้าง

    ในอดีตเทคโนโลยีไม่ก้าวหน้า การบริจาคชีวิตหรืออวัยวะเป็นทานก็เพียงการ

    สละให้เดรัจฉานกินของตนแทนกินลูกบ้าง ตัดศีรษะถวายเป็นพุทธบูชาบ้าง แต่

    ปัจจุบันการสละอวัยวะเหล่านั้นเป็นการต่ออายุ ต่อชีวิตของมนุษย์ ไม่ใช่เพียง

    เดรัจฉาน การสร้างทานอุปบารมีอย่างนี้ ควรทำเป็นอย่างยิ่ง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 เมษายน 2011
  11. ก้าวธรรม

    ก้าวธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    59
    ค่าพลัง:
    +155
    เราก็บริจาคดวงตาไปแล้วเหมือนกัน พ่อแม่พี่น้องก็ไม่เห็นด้วยนะ ว่ากันไปว่าชาติหน้าจะพิกลพิการ แต่เราเวลาเห็นคนตาบอดเดินเร่ร่อนร้องเพลงขอทาน ก็สลดใจคิดเดี๋ยวนั้นว่าถ้าเสกได้จะเสกให้เขามีดวงตาตอนนั้นเลย เขาจะได้ไม่ต้องมาทุกข์ยากลำบากแบบนี้ แต่มันเป็นไปไม่ได้ไง เราก็ทำได้แค่ตอนที่เราไม่ใช้แล้วบริจาคไป อวัยวะมนุษย์นี่บางทีมีเงินยังซื้อไม่ได้เพราะไม่มีคนขาย แต่ลองคิดดูสิว่าเราให้ฟรี จากจิตที่เราไม่หวงไม่ห่วงในกายนี้อีกแล้ว มันมาจากจิตที่เป็นกุศลน่ะ แล้วชาติหน้ามันจะพิกลพิการได้ไง เราศรัทธาในพระพุทธองค์ เราก็ต้องเชื่อแบบมีเหตุผล ทำดีได้ดีแน่นอน
     
  12. agga

    agga เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กันยายน 2010
    โพสต์:
    916
    ค่าพลัง:
    +148
    ผมเองก็เป็นคนหนึ่งที่ได้บริจาคร่างกายมาสักพักแล้ว ตอนที่ตัดสินใจบริจาคร่างกาย ทำให้ผมรู้สึกปล่อยวางได้มากขึ้น ไม่ยึดติดกับสังขาร แม้ว่าร่างกายที่ผมบริจาคไม่ได้นำมาใช้ตอนนี้ก็ตาม (ต้องรอให้เราสิ้นชีวิตเสียก่อน) แต่ตอนที่ผมได้ตัดสินใจที่บริจาคนั้น ก็ทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นมาในใจมาก
    อนุโมธนาสาธุ ด้วยครับ สาธุ สาธุ สาธุ
     
  13. หมีจ้า

    หมีจ้า Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    49
    ค่าพลัง:
    +95
    ได้บริจาคร่างกายไปหลายปีแล้วด้วย เคยได้ยินมาเหมือนกันว่าชาติหน้าจะพิการ แต่ไม่สนใจค่ะ ถือว่าเราทำบุญและไม่เชื่อด้วยว่าจะเกิดมาพิการ
     
  14. Phanudet

    Phanudet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    8,434
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +15,647
    อานิสงส์อุทิศดวงตาและอุทิศศพ

    โดย หลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง



    ผู้ถาม: ถ้าเราจะไม่เกิดอีกแล้ว และเรา อุทิศดวงตา ให้สภากาชาด แต่ถ้าบางทีเราไม่ถึงซึ่งพระนิพพานและเราต้องมาเกิดอีก อยากทราบว่า ตาเราจะบอดหรือไม่ครับ .?

    หลวงพ่อ: บอดแน่ ๆ เลย เสร็จ..ไม่มีตาดูน่ะซิ

    ผู้ถาม: ก็นั่นนะซิครับ กลัวจังเลยว่าจะไม่มีตาดู

    หลวงพ่อ:ต้องตอบว่า ตาจะแจ่มใสดีกว่าตาเดิม เพราะอานิสงส์อุทิศลูกตาเป็นทาน ไม่ใช่ตาบอดนะ

    ผู้ถาม:ลูกเคยตั้งใจไว้ว่า การบริจาคดวงตาและร่างกายเมื่อหลังจากตายแล้ว จะได้ประโยชน์ หลวงพ่อว่าดีไหมคะ ..?

    หลวงพ่อ: บุญน้อยไปให้เมื่อตายแล้ว ต้องให้เมื่อเป็น

    ผู้ถาม: ก็ตาบอดซิคะ

    หลวงพ่อ: ใส่ตาใหม่ ใส่ตาแก้วมันสวยกว่าตาเก่า ตาใสแจ๋วแต่มองอะไรไม่เห็น อย่างนี้พระพุทธเจ้าสมัยเมื่อเป็น พระเวสสันดร ไงล่ะ เขามาขอของภายนอกก็คิดว่า ทำไมไม่ขอดวงหทัย.. ทำไมไม่ขอดวงตา ..ทำไมไม่ขอแขนซ้ายแขนขวา ..ถ้าขอดวงตาเราจะควักให้ ขอแขนซ้ายจะตัดให้ ขอแขนขวาจะตัดให้ เป็นต้น
    แต่ว่าการตั้งใจแบบนั้นก็เป็นกุศลนะ กุศลย่อมเกิดตั้งแต่เริ่มคิด ตัดสินใจว่าจะให้ เวลาตายไปแล้วก็ได้บุญแน่ แต่สงสัยซิ .. ไปเกิดใหม่ตาจะโบ๋ เพราะมีคนสงสัยหลายคนมาถาม

    ผู้ถาม: แล้วจริง ๆ โบ๋ไหมครับ ..?

    หลวงพ่อ: ไม่โบ๋ เพราะไปเกิดใหม่ ไม่ได้เอาตาดวงเก่าไปด้วยกายเก่าไม่ได้ไป เกิดใหม่ก็อาศัยบุญใหม่ การเกิดนี่ต้องมีบุญนะ คนไม่มีบุญเลยเกิดเป็นมนุษย์ไม่ได้ ต้องมีบุญช่วยให้เกิด แต่ว่าต้องสร้างกายใหม่ ไม่ใช่กายเก่า
    แต่ว่าตามหลักของการปฏิบัติท่านบอกว่า ถ้าคนเจริญสมาธิจิตอยู่ คือทรงสมาธิ เวลาตายถ้าจิตออกทางตา ตาทิพย์ จิตออกทางหู หูทิพย์ จิตออกทางปาก ปากทิพย์ จิตออกทางจมูก จมูกทิพย์ ถ้าจิตออกมือ มือทิพย์ ออกทางหน้าท้อง ถ้าท้องทิพย์ละแย่เลย

    ผู้ถาม:ทำไมหรือครับ ..?

    หลวงพ่อ: เลี้ยงไม่อิ่มนะซิ

    ผู้ถาม: “อ๋อ ..” (หัวเราะ)

    หลวงพ่อ: คำว่า “ทิพย์” หมายความว่าเกิดประโยชน์แก่สายนั้นตาดี อาจจะได้ทิพจักขุญาณ หรือว่าเป็นคนที่มีหูดีไว เป็นพิเศษ แก่เฒ่ามากแล้วคนอื่นเขาหูตึง เราก็ไม่ตึงไม่พร่า ปากดีพูดแล้วคนอื่นชอบฟังเกิดประโยชน์จากปากอย่างนี้เป็นต้น

    ผู้ถาม: แล้วที่บอกว่ากายทิพย์ออกจากร่าง ความจริงออกทางไหนครับ ..?

    หลวงพ่อ:ที่เขาฝึกเอากายออกไปใช่ไหม ..?

    ผู้ถาม :ครับ

    หลวงพ่อ: ไม่ต้องหาช่องละ นั่นไปเลย เวลาออกแบบนั้นก็เหมือนกับเข้านั่นแหละ เข้าไม่เลือกช่อง ออกก็ไม่เลือกช่อง เพราะเป็นนามธรรม อย่างกลางคืนเรานอนอยู่ห้องแคบ ๆ ถ้าผีมาหรือเทวดามาตั้งพันเราก็เห็นได้ แต่ไม่มีห้องกั้น เพราะว่าสภาพเป็นทิพย์

    ผู้ถาม: ทีนี้ก็มีคนคนหนึ่งได้ทำพินัยกรรมไว้ว่า ถ้าตายแล้ว ขออุทิศศพ ให้โรงพยาบาล ทีนี้ลูกหลานก็ไม่สบายใจ เพราะถ้าอุทิศให้โรงพยาบาลแล้ว กลัวพ่อจะไม่ไปผุดไปเกิดเพราะไม่ได้เผาศพ หลวงพ่อมีความเห็นว่าอย่างไรครับ .. ?

    หลวงพ่อ:ความจริงถ้าฉันเป็นลูกเป็นหลานฉันจะดีใจมาก ไม่ต้องเปลืองเงินทำศพ มีผลเท่ากันนะ พอตายลงไปปั๊บ ไอ้จิตนี่มันก็ไปตามสภาพตามกฎของกรรมอยู่แล้ว มันไม่อยู่หรอก มันไม่มานั่งห่วงซากศพ ไอ้ที่ว่านั่นห่วงซากศพน่ะไม่จริง

    ผู้ถาม: เวลาคนตายไปแล้วใหม่ ๆ กี่วันถึงจะรู้ว่าตายครับ. ?

    หลวงพ่อ: เอาตัวรู้หรือว่าใจรู้ ถามให้ถูก แต่ความจริงนะ ถ้าตายเดี๋ยวนั้นก็รู้เดี๋ยวนั้น ไม่ใช่กี่วัน ฉันเคยตายหลายวาระฉันรู้ ไม่ต้องไปถามชาวบ้านที่ไหนหรอก พอมันออกจากร่างปั๊บก็เห็นร่างกายเนื้อนอนอยู่แล้ว อารมณ์จิตนึกรังเกียจทันที ไม่ใช่พอใจ ไม่ใช่เสียดายนะ แต่รังเกียจไอ้ตัวนั้น
    ฉะนั้นไอ้เรื่องตายแล้วจะเผาหรือไม่เผา ไม่ต้องวิตกกังวล จิตใจเป็นไปตามสภาพของมันอยู่แล้ว ถ้าฉันเป็นลูกเป็นหลาน ฉันยุส่งเลย เอาไปให้เขาเถอะ ตายปุ๊บเราก็ยกไปโรงพยาบาลไม่ต้องนิมนต์พระมาบังสกุลด้วย


    จากหนังสือ หลวงพ่อตอบปัญญาธรรม ฉบับพิเศษ เล่ม 4


    การบริจาคโลหิตและการบริจาคร่างกาย - ลานธรรมเสวนา - หน้า 1.8
     
  15. Phanudet

    Phanudet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    8,434
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +15,647
    บริจาคโลหิตเป็นทาน


    โดย หลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง

    ผู้ถาม: ทีนี้การ บริจาคโลหิตเป็นทาน นั้น อยากจะเรียนถามว่าเป็นทานขั้นไหนครับ .? ​

    หลวงพ่อ: เขาเรียกว่า “ทานภายใน” นะ จะถือว่าเป็นปรมัตถทานไม่ได้ เขาเรียกทานภายใน คือให้ของในกายนี่เป็นทานภายใน ให้ของนอกกายเขาเรียกว่า "ทานภายนอก" นะ ยังจะถือว่าเป็นปรมัตถทานไม่ได้นะ ถ้าเป็นปรมัตถทานต้องอย่างที่พระพุทธเจ้าท่านทำ ​

    ผู้ถาม: เป็นยังไงครับหลวงพ่อ.? ​

    หลวงพ่อ: เชือดเนื้อเอาไปเลี้ยงเขาเลย ​

    ผู้ถาม: ถึงขนาดนั้นเชียวหรือครับ.? ​

    หลวงพ่อ: ใช่ นั่นเป็น ปรมัตถทาน เราถือว่าเป็นปกติทานก็แล้วกัน แต่เป็นทานภายในเพราะอานิสงส์สูงมากอาจจะสูงกว่าทานภายนอกสักหน่อยหนึ่งนะ ​

    ผู้ถาม: แล้วการบริจาคโลหิต กับ การอุทิศร่างกายให้กับโรงพยาบาลเป็นทาน อันไหนจะมีอานิสงส์มากกว่ากันครับ .? ​

    หลวงพ่อ: อุทิศเลือดให้ขณะที่ยังไม่ตายมีอานิสงส์สูงกว่าเมื่อตายแล้ว ตายแล้วเหมือนของเขาทิ้งแล้ว ร่างกายใช้อะไรไม่ได้ มีประโยชน์เพียงแค่วัตถุทาน จะให้มีอานิสงส์เท่ากับให้เลือดตอนมีชีวิตนั้นไม่ได้แน่ ใช่ไหม ..
    ดูอย่างพระพุทธเจ้าสมัยเมื่อเป็น พระเวสสันดร ตอนนั้นที่คนเขามาขอช้างหรือของต่าง ๆ พระองค์ก็คิดว่าทำไมไม่ขอดวงตา ถ้าขอท่านก็จะให้ ไม่ว่าจะเป็นแขนซ้ายหรือแขนขวาก็จะให้ นี่ทานตั้งใจให้ตอนมีชีวิตอยู่ ไม่ใช่ตอนตายแล้ว ฉะนั้นถ้าให้ได้ก็เป็นปรมัตถบารมี​

    ผู้ถาม: ทีนี้ถ้าบริจาคร่างกายให้นักศึกษาแพทย์เขาศึกษาต่อเมื่อเราตายแล้ว แต่อธิษฐานไว้ว่า “ตายเมื่อไรขอพ้นจากวัฏสงสาร” อย่างนี้จะมีโอกาสไม่ให้มาเกิดอีกใช่หรือเปล่าครับ ?​

    หลวงพ่อ: ถ้าเวลาจะตายนะ จิตตัดกิเลสแน่นอน ไม่อยากมาเกิดอีก หรือเมื่อนั้นเมื่อเวลาจะตาย จิตตัดความรักในระหว่างเพศ ตัดความโกรธ ก็ไม่มาเกิดอีก มันไม่แน่นะ เดาส่งไม่ได้ มันเฉพาะจิตใช่ไม่…จะเดาไม่ได้ แต่บังเอิญก่อนที่จะตาย เวลานี้ทรงอารมณ์ของพระโสดาบันได้นะ และก็ตัดสินใจไว้เสมอทุกเช้าว่า “ร่างกายนี้ตายเมื่อไร ขอไปนิพพานเมื่อนั้น” อันนี้จิตทรงตัวแน่นอน อย่างนี้ไปได้ทันที ​

    จากหนังสือ หลวงพ่อตอบปัญญาธรรม ฉบับพิเศษ เล่ม 4 ​

     
  16. Phanudet

    Phanudet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    8,434
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +15,647
    ครูบาอาจารย์ท่านข้างบนนี้หละครับ.....ท่านกล่าวไว้...ผมก็ว่าตามท่าน....

    ท่านว่าเป็นทานอานิสงค์น้อย.....ผมก็ต้องตอบตามท่านหละครับ.....

    คุณพอใจจะเชื่อหรือไม่เชื่อมันก็เป็นสิทธิของคุณนะ.....
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 เมษายน 2011
  17. Kama-Manas

    Kama-Manas เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    5,351
    ค่าพลัง:
    +6,491
    หนูจี๊ดก็บริจาคไปแล้ว แต่กำลังจะไปทำการยกเลิก ด้วยเหตุผลบางอย่างค่ะ ทุกอย่างมีเหตุและผล
     
  18. จันทโค

    จันทโค เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    1,866
    ค่าพลัง:
    +35,603
    สาธุ โมทนาด้วยนะครับ
    ที่บอกว่าคนโบราณ บอกนะ เป็นแค่พูดกันต่อๆๆๆกันมานะครับ ไม่มีจารึกว่านานแค่ไหน แต่คงไม่ถึง ๕๐ กว่าๆๆๆ ปีหรอกมั้งครับ เพราะการบริจาคศพให้การแพทย์พึ่งจะมีนะครับ

    จริงๆๆแล้ว การบริจาคร่างกายให้ นศ.แพทย์เพื่อศึกษานั้น เป็นการดีมาก เพื่อให้ นศ.แพทย์เรียนรู้และศึกษาเกี่ยวโครงสร้างทั้งหมดภายในร่างกายของคน ซึ่งเป็นประโยชน์มาก เท่ากับว่าท่านเองได้ให้ปัญญาความรู้แก่ นศ.แพทย์ทุกๆๆอย่างเลยนะครับ

    ฉะนั้น อานิสงส์ที่ท่านจะได้ในชาติหน้า คือ รูปงามและได้ปัญญา นะครับ
     
  19. จันทโค

    จันทโค เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    1,866
    ค่าพลัง:
    +35,603
    สาธุ อนุโมทนาด้วยนะครับ
    ท่านกล่าวถูกแล้วครับ

    ผมเองก็ บริจาคร่างกาย(หลังจากเสียชีวิต)แล้วเหมือนกัน และผมเองก็โทรไปเล่าให้แม่ฟัง แม่ก็บอกว่า " ดีแล้วลูก จะได้เป็น ครูใหญ่ให้ นศ.แพทย์นะลูก "
     
  20. ิbonny

    ิbonny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    72
    ค่าพลัง:
    +260
    ต้องขออภัยด้วยครับที่ผมอ่านแล้วไม่เคลียร์เอง ถ้ายกตัวอย่างที่หลวงพ่อฤาษีลิงดำที่ผมก็เคารพรักมากที่สุดมาตั้งแต่ตอนแรกก็น่าจะกระจ่างกันทุกท่านครับ..



     

แชร์หน้านี้

Loading...