ขอเชิญร่วมทำบุญสงเคราะห์พระภิกษุสงฆ์อาพาธ

ในห้อง 'ตลาด พระเครื่องเพื่อการกุศล' ตั้งกระทู้โดย พันวฤทธิ์, 29 พฤศจิกายน 2007.

  1. pinkpink

    pinkpink เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    1,246
    ค่าพลัง:
    +11,631
    "ผู้ใดต้องการอุปัฏฐากเราตถาคต ผู้นั้นจงไปอุปัฏฐากภิกษุไข้เถิด"

    โอนวันนี้ 14 มิย 54 เวลา15.25 น จำนวน 500 บาท

    กุศลในครั้งนี้ขอธิษฐานบูชาคุณ พระพุทธเจ้าทุกองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้า พระธรรม
    และพระอริยะสงฆ์ทั่งหลาย ครูอุปัชฌาอาจารย์ บุพการีทุกภพทุกชาติ

    ธรรมใดที่พระพุทธองค์ทรงตรัสแล้ว
    ขอให้ได้ดวงตาเห็นธรรมนั้น ในชาติปัจจุบัน
    เจริญในการงาน เจริญในธรรม
    เพื่อให้สามารถปฏิบัติธรรมและบำรุงพระศาสนา
    นับแต่บัดนี้ตราบเท้าเข้าสู่พระนิพพานสาธุ สาธุ
     
  2. BD

    BD เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    58
    ค่าพลัง:
    +419
    [​IMG]

    พระดีมีคุณค่าแต่ไม่ค่อยมีราคา พระดีท่านก็มักจะอยู่กับคนดีๆนะครับ ปู่ประถมเคยเอาพระสกุลนี้ไปถวายหลวงพ่อจรัล ที่วัดอ้มพว้นเมื่อกว่าสิบปีมาแล้ว ผมยังได้รับมาสององค์ จากพระเลขาของท่านกับศิษย์ก้นกุฏิของท่าน ท่านเคยบอกกับปู่ว่า พระนี้มีอานุภาพมาก พระปัจจุบันนี้ไม่มีอานุภาพเท่า ผมเห็นหลวงพ่อท่านแจกให้กับผู้ที่ไปกราบท่าน ท่านยังย้ำด้วยว่าพระนีัมีอายุร้อยกว่าปีแล้วให้เก็บรักษาไว้ให้ดี ผมขอแนนำให้ผู้ที่ได้เข้ามาอ่านหารีบไว้บูชานะครับ พระเริ่มจะหายากขึ้นแล้วครับ เพราะมีคนรู้คุณค่ากันมากขึ้น ตามเก็บกันหมด
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 15 มิถุนายน 2011
  3. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,097
    9 สิ่งมงคลสำหรับชีวิต
    <TABLE style="FONT-FAMILY: Tahoma, CordiaUPC; COLOR: rgb(0,0,0); FONT-SIZE: 10pt" border=0 cellSpacing=0 cellPadding=3 width="100%" align=center><TBODY><TR style="FONT-FAMILY: Tahoma, CordiaUPC; COLOR: rgb(0,0,0); FONT-SIZE: 10pt"><TD style="FONT-FAMILY: Tahoma, CordiaUPC; COLOR: rgb(0,0,0); FONT-SIZE: 10pt" vAlign=top align=middle><TABLE style="FONT-FAMILY: Tahoma, CordiaUPC; COLOR: rgb(0,0,0); FONT-SIZE: 10pt" border=0 cellSpacing=2 cellPadding=2 width="95%"><TBODY><TR style="FONT-FAMILY: Tahoma, CordiaUPC; COLOR: rgb(0,0,0); FONT-SIZE: 10pt"><TD style="FONT-FAMILY: 'MS Sans Serif', CordiaUPC; COLOR: rgb(0,0,0); FONT-SIZE: 13pt" class=A2 vAlign=top><TABLE style="FONT-FAMILY: Tahoma, CordiaUPC; COLOR: rgb(0,0,0); FONT-SIZE: 10pt" border=0 cellSpacing=2 cellPadding=2 bgColor=#f5f5f5 align=center><TBODY><TR style="FONT-FAMILY: Tahoma, CordiaUPC; COLOR: rgb(0,0,0); FONT-SIZE: 10pt"><TD style="FONT-FAMILY: Tahoma, CordiaUPC; COLOR: rgb(0,0,0); FONT-SIZE: 10pt">[​IMG]</TD></TR><TR style="FONT-FAMILY: Tahoma, CordiaUPC; COLOR: rgb(0,0,0); FONT-SIZE: 10pt"><TD style="FONT-FAMILY: Tahoma, CordiaUPC; COLOR: rgb(0,0,0); FONT-SIZE: 10pt" align=middle>

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR style="FONT-FAMILY: Tahoma, CordiaUPC; COLOR: rgb(0,0,0); FONT-SIZE: 10pt"><TD style="FONT-FAMILY: Tahoma, CordiaUPC; COLOR: rgb(0,0,0); FONT-SIZE: 10pt" vAlign=top align=middle><TABLE style="FONT-FAMILY: Tahoma, CordiaUPC; COLOR: rgb(0,0,0); FONT-SIZE: 10pt" border=0 cellSpacing=2 cellPadding=2 width="95%"><TBODY><TR style="FONT-FAMILY: Tahoma, CordiaUPC; COLOR: rgb(0,0,0); FONT-SIZE: 10pt"><TD style="FONT-FAMILY: 'MS Sans Serif', CordiaUPC; COLOR: rgb(0,0,0); FONT-SIZE: 13pt" class=A2 vAlign=top>9 สิ่งมงคลสำหรับชีวิต


    ๑. [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] ใจมงคล ทุกอย่างในชีวิตของคนเรานั้น " ใจ " นับเป็นสิ่งสำคัญที่จะนำพาเราไปสู่จุดมุ่งหมายปลายทางทั้งที่ดีและไม่ดีได้ ดังนั้น การเริ่มมงคลใดๆ จึงควรเริ่มที่ " ใจ " ก่อนเป็นอันดับแรก นั่นคือ การทำจิตใจดีให้มีขึ้นทุกๆวัน วิธีง่ายๆคือ ทุกเช้าที่ตื่นขึ้นมาก็ไม่คิดเรื่องร้ายๆไปล่วงหน้า เช่น.. ไม่คิดว่าเราจะถูกนายด่าไปก่อนเพราะเมื่อวานทำผิด การคิดล่วงหน้าเช่นนั้นจะทำให้จิตใจเราขุ่นมัว ไม่แจ่มใส ถึงทำผิดจริงก็ต้องคิดว่าแก้ไขได้

    ไม่บริโภคความโกรธเป็นอาหารเช้า คือ
    ไม่คิดจับผิดหรือโมโหโทโสนับแต่ลุกจากเตียง
    เช่น เช้ามาก็ไม่โมโหลูกที่ตื่นสาย
    ไม่ยัวะภริยาที่ทำไข่ลวกเป็นไข่ต้ม ไม่ฉุนรถเมล์ที่ไม่จอดรับ ฯลฯ
    แต่ให้เริ่มต้นทุกเช้าด้วยการ "คิดแต่เรื่องดีๆ "
    จะทำให้หน้าตายิ้มแย้มแจ่มใสเป็นพลังบวกที่จะดึงดูดให้คนอยากเข้าใกล้
    กลายเป็นคนมีเสน่ห์ เป็นมงคลข้อแรก

    ๒. [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] วาจามงคล คือ การพูดจาดี
    ซึ่ง " ดี " ในที่นี้หมายรวมถึง เนื้อหา ถ้อยคำน้ำเสียงที่ใช้เจรจาพาทีกับผู้อื่น
    ทั้งคนใกล้ชิดที่เป็นญาติสนิทมิตรสหาย ผู้ร่วมงาน
    รวมถึงคนไม่รู้จักที่เราต้องโอภาปราศรัยด้วย
    พูดง่ายๆว่าให้ใช้ " วาจาภาษาดอกไม้ " กับทุกๆ คนทุกๆ ระดับ
    และควรเป็นดอกไม้ที่มีกลิ่นหอมชวนดมด้วย
    เช่น ชมเขาว่า " วันนี้ คุณแต่งตัวสวยจังค่ะเหมือนสมัยคุณแม่ฉันยังสาว " เช่นนี้
    คงเป็นดอกอุตพิด ที่กลิ่นเหมือนอุจจาระทำให้คนฟังคิดแช่งชักหักกระดูก
    ด่าว่าเราในใจ อย่าพูดเสียเลยดีกว่า
    ดังนั้น วาจามงคล จึงควรเป็นคำพูดที่สุภาพไพเราะ
    และถ้อยคำเป็นประโยชน์ ไม่เพ้อเจ้อ เหลวไหล หรือส่อเสียด แดกดัน
    คนพูดดี ไปไหนก็มีแต่คนต้อนรับ เป็นมงคลข้อสองที่เราควรปฏิบัติ

    ๓. [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] กายมงคล คือ การแต่งกายให้เหมาะสม ถูกกาละเทศะ
    จะทำให้เราเกิดความเชื่อมั่นในตนเองและไม่ถูกตำหนิติเตียน ทั้งต่อหน้าและลับหลัง
    เป็นมงคลข้อที่สาม เพราะการไม่ถูกใครว่าย่อมเป็นสิ่งดีที่เป็นมงคลแก่เราตลอดวัน
    และหากจะใส่เสื้อผ้าตามหลักโหราศาสตร์เพื่อเสริมความมั่นใจหรือสร้างกำลังใจให้ตัวเองเพิ่มขึ้น ก็ย่อมได้ แต่ก็ต้องดูให้เหมาะด้วย เช่น ไม่ใส่สีม่วงไปในงานแต่งงานที่เจ้าภาพ
    เขาถือว่าเป็นสีแม่ม่าย แม้ว่าจะเป็นสีที่เขาบอกว่า เป็นสีแห่งโชคลาภของเราวันนั้นก็ตาม

    ๔. [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] ครอบครัวมงคล คือ การสร้างความรัก ความอบอุ่นในครอบครัวของเราเพราะครอบครัวเป็นพื้นฐานแรกที่จะช่วยสร้าง " สมาชิกมงคล " ให้แก่ชุมชนและประเทศชาติ
    นั่นก็คือ ผู้ที่เป็นพ่อแม่ ก็ต้องปฏิบัติหน้าที่ของตัวให้ถูกต้อง เหมาะสม
    ไม่เป็นตัวอย่างที่ไม่ดีแก่ลูกๆไม่เมามัวเรื่องเพศ มีผัวน้อย เมียน้อยให้ลูกทุกข์
    ไม่ทะเลาะเบาะแว้งซึ่งกันและกัน
    ขณะเดียวกันก็สอนลูกในทางที่ถูกที่ควร ฯลฯ อันจะนำมาซึ่งความสุขในบ้าน
    และเป็นมงคลที่จะเป็นพลังสำคัญในการต่อสู้กับชีวิตภายนอก

    ๕. [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] บ้านมงคล หมายถึง การจัดบ้านเรือนของเราให้สะอาดสะอ้าน
    ไม่รกเป็นรังหนู ถ้าหากในรอบปีที่ผ่านมา
    เราอาจวางสิ่งของ เสื้อผ้า ฯลฯ สุมจนเป็นกองขยะ
    ตามจุดต่างๆในห้องนอน ห้องทำงาน ห้องครัว หรือห้องรับแขก
    ก่อนปีใหม่หรือวันใดวันหนึ่งควรหาทางสะสาง และจัดเก็บบ้านให้เป็นระเบียบ เรียบร้อย
    เพราะบ้านเรือนที่โล่งสะอาด เรียบร้อย ก็เป็นการจัดฮวงจุ้ยที่ช่วยเสริมให้ผู้อยู่อาศัยให้เกิดความปลอดโปร่ง สบายใจ ไม่อึดอัด หงุดหงิด เพราะหาของไม่เจอ หรือเดินไปไหนในบ้านก็เตะโน่น ชนนี่ เหมือนมีอุปสรรคขัดขวางตลอดเวลา
    บ้านที่สะอาดมีระเบียบเรียบร้อย จึงเป็นมงคลข้อที่ห้า

    ๖. [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] เพื่อนมงคล คือ การคบหาเพื่อนที่ดีไว้เป็นสหาย
    เพราะเพื่อนที่ดีย่อมมีผลต่อความเจริญก้าวหน้าของชีวิต
    ส่วน เพื่อนที่ไม่ดีมีแต่พาเราไปสู่หนทางแห่งความหายนะ
    เช่น เพื่อนปอกลอก คิดเอาแต่ได้ฝ่ายเดียว คบเราเพราะมีผลประโยชน์มาเกี่ยวข้อง
    เพื่อนหัวประจบ ก็จะเออออไปกับเราทุกอย่างไม่ว่าจะทำดีทำชั่ว
    แต่ลับหลังกลับนินทา และที่ร้ายที่สุดคือ เพื่อนชวนฉิบหาย คือ ชวนให้เราดื่มเหล้า
    เมายาอี มั่วเซ็กส์และเล่นการพนัน
    เหล่านี้คบแล้วก็พาเราไปสู่ทางเสื่อมเสียทั้งสิ้น

    ส่วน เพื่อนแท้ คือมิตรที่ร่วมทุกข์ร่วมสุข แนะนำแต่สิ่งที่เป็นประโยชน์
    เมื่อเราทุกข์ก็ทุกข์ด้วย และหาทางช่วยเหลือ
    เมื่อสุขก็พลอยยินดี ไม่ริษยาเรา เป็นต้น การมีมิตรดีจึงเป็นมงคลอีกข้อ

    ๗. [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] ที่ทำงานมงคล ก็ใช้หลักเช่นเดียวกับบ้านมงคล
    นั่นคือ ต้องให้สถานที่ทำงานของเราสะอาดสะอ้าน
    เป็นระเบียบเรียบร้อย ถ้าทำทั้งหมดไม่ได้ อย่างน้อยที่สุด โต๊ะทำงานของเราก็ให้สะอาด สวยงาม ไม่รกหรือมีของกองสุมจนหาที่ว่างไม่ได้ และแม้แต่เราเองก็ไม่อยากนั่ง
    ไม่ว่าโต๊ะทำงานหรือที่ทำงานของเราก็เป็นดังกระจกสะท้อนถึงลักษณะของผู้ที่ทำงานอยู่ในสถานที่นั้นๆ
    ดังนั้น ที่ทำงานหรือโต๊ะทำงานจึงเป็นอีกมงคลหนึ่ง
    ที่จะก่อให้เกิด "First Impression" ต่อหน่วยงานหรือตัวเราเองได้

    ๘. [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] อาหารมงคล คือ อาหารที่กินแล้วมีประโยชน์ต่อตัวเรา
    และไม่ทำให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บ เช่น ทองหยิบทองหยอด
    แม้จะชื่อดี แต่อาจจะทำให้เราเป็นเบาหวาน หรือเป็นโรคอ้วนได้
    ดังนั้น เราจึงควรงดหรือกินแต่น้อยพอประมาณ
    แล้วไปกินผลไม้ชื่อมงคลอื่นแทน เช่น ส้มเช้ง ทับทิม กล้วยหอม เป็นต้น

    ๙. [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] กรรมมงคล กรรม ก็คือ การกระทำ หมายถึงให้เราพยายามทำสิ่งที่ดีๆให้ได้ทุกวัน
    หรือวันละเล็กละน้อย ถือว่าเป็นการสะสมบุญกุศลที่เป็นอีกมงคล
    ซึ่งจะส่งผลให้เรามีความสุขกาย สบายใจ เช่น
    ไหว้พระระลึกถึงพระรัตนตรัยก่อนออกจากบ้านทุกวัน
    งดกินเนื้อสัตว์ทุกวันเกิดในสัปดาห์
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>


    http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=cartoonthai&month=15-06-2011&group=13&gblog=191#ixzz1PLNYFyt6]Bloggang.com : cartoonthai - 9
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 มิถุนายน 2011
  4. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,097
    ของจริง ๕ ประการ...(หลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม)

    <TABLE border=0 cellSpacing=2 cellPadding=2 bgColor=#f5f5f5 align=center><TBODY><TR><TD>
    [​IMG]

    </TD></TR><TR><TD align=middle>
    </TD></TR></TBODY></TABLE>​

    ของจริงนั้น หายาก แต่แล้วก็ต้องทำขึ้นถึงจะได้
    ของจริงที่แท้มีอยู่ ๕ ประการ

    ๑. เกิดจริง

    ๒. แก่จริง

    ๓. เจ็บจริง

    ๔. ตายจริง

    ๕. พลัดพรากจากกันจริง ไม่มีกลับมาอีกแล้ว

    ตามหลักพระพุทธศาสนาที่พระพุทธเจ้าสอนชัดเจนมาก
    หากจะฟังโดยคิดพิจารณาแล้วนั้น จะเกิดประโยชน์มาก
    ปลุกกระตุ้นเตือนจิตให้เรามีสติ ให้เรามีความอดทน
    เพราะธรรมชาติชีวิตนี้มีของจริง ๕ อย่าง พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้ชัด
    เราเกิดมาในโลกนี้ไม่วายต้องเสื่อมลงทุกวัน
    การเจ็บป่วยไข้ การไม่เป็นปกติของร่างกายสังขารนั้น
    ก็เป็นธรรมชาติเป็นจริงแล้ว เรียกว่า เจ็บ
    เวทนาที่เราได้จากกัมมัฏฐานนี้ก็เรียกว่า เจ็บ
    ก็ขอให้ญาติโยมทั้งหลายอย่าตั้งอยู่ในความประมาท
    ความตายในชีวิตของเราเป็นอย่างนั้น
    โลกมนุษย์นี้หาความสุขไม่ได้ เวียนตายเวียนเกิดกันตลอดเวลา
    พระพุทธเจ้าจึงสอนชาวโลกให้พ้นทุกข์ อย่าสร้างทุกข์ไว้ในตัวเอง
    อย่าทำตัวและคนอื่นให้เดือดร้อน
    นอกเหนือจากเดือดร้อนแล้ว
    ท่านสอนไว้ชัดเจนแต่ไม่มีใครเอามาคิดเลย
    คือ ทำอะไรอย่าเบียดเบียนซึ่งกันและกันเลย
    อย่าเบียดเบียนคนอื่นเขา เราอยู่ได้สบาย ไม่เอารัดเอาเปรียบใคร
    ถ้าเรายอมเสียเปรียบเขาได้ก็เป็นดี ก็จะมีความสุข ซึ่งก็คือความสงบนั่นเอง
    สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม จากการกระทำของเขาเหล่านั้น
    ไม่มีใครเลยที่จะไม่มีกรรม
    กรรมมี ๒ อย่าง คือ กรรมดี และกรรมชั่ว
    กรรมชั่วนั้นเราไม่รู้เป็นของชั่ว ทำไปแล้วจึงรู้ว่ามันเดือดร้อนจริงๆ
    กรรมดีนั้น เราก็ไม่รู้เป็นของดี แต่ทำไปแล้วก็มีความสุข
    มีความเจริญรุ่งเรืองในชีวิตแน่นอนที่สุด
    เพราะเราไม่เบียดเบียนตนเอง และคนอื่น​

    ฉะนั้นญาติโยมทั้งหลายอย่าประมาท และพยายามตั้งสติอารมณ์
    สร้างความเพียรให้ได้ สร้างบารมีของเรา
    คนอื่นเอาบารมีมาให้เราไม่ได้
    บารมี ก็คือ ความเพียรที่เราตั้งใจเจริญพระกัมมัฏฐาน ทุกลมหายใจเข้าออก
    ความจริงในชีวิตนี้ และของจริง ๕ อย่าง
    วัยเสื่อมไปคือ แก่ เกิดมาแล้ววัยก็ต้องเสื่อมไปจนกระทั่งแก่
    บางคนไม่ทันแก่ ก็ต้องมาตาย
    คนเราในสากลโลกมนุษย์นี้ไม่ทราบว่าความดีคืออะไร เพราะเขาไม่เคยทำ
    แต่เขารู้เอารัดเอาเปรียบ มีเงินมีทองมากมาย ก่ายกองถือว่าเป็นความดี
    แต่เขาหาความสุขในจิตใจไม่ได้เลย
    การเจริญกัมมัฏฐานต้องการแสวงหาความสุข
    เรามีความสงบมากเท่าไรจะมีความเยือกเย็นใจมากเท่านั้น​

    เรานั้นวัยก็จะเสื่อมลงไปทุกวัน เราต้องแก่ไปทุกๆ วินาที
    แต่ความดีไม่มีอยู่กับเราเลย น่าเสียดายมาก
    อย่าคิดเลินเล่อ อย่าคิดพลาด อย่าคิดประมาท
    ความตายมาถึงเราเมื่อไรเราจะรู้ได้อย่างไร
    รีบทำดีเสียเดี๋ยวนี้ผลัดวันประกันพรุ่งไม่ได้
    มัจจุราชแห่งความตายจะมาสู่เราเมื่อไรก็ไม่รู้

    การเจริญพระกัมมัฏฐานเป็นการสร้างความดีของท่าน ไม่ใช่ใครทำให้
    ใครทำใครได้ ใครไม่ทำก็ไม่ได้ จะมาแบ่งแจกแจงกันอย่างไร
    ถ้าอาตมาแบ่งได้โยมก็ไม่ต้องมาทำ
    แบ่งความดีไปให้โยมคนละกิโล สองกิโล มันทำไม่ได้
    เพราะฉะนั้นของใครของมัน
    ต้องทำให้รู้ ทำให้แจ้ง ทำให้เห็นจริง ทำให้ได้ผล
    ทำให้เกิดสัจจะ ความจริงใจ ชีวิตนี้ก็จะแจ่มใส เกิดแสงสว่างด้วยปัญญา
    ความลับของกองการสังขารเราจะออกได้ และใช้เป็น
    วิธีการเช่นนี้นั้น หาคนที่จะสนใจได้ยาก
    เพราะเขาไร้บุญวาสนาที่จะมาสนใจ
    อ้างเลศว่ายังไม่ว่าง ยังมีงานอยู่มากหลาย
    ถ้าท่านอ้างเลศนี้แล้ว ไฉนเลยเราจะได้มีโอกาสสร้างความดีกับเขาได้
    ความดีมีทั่วไป ความชั่วก็มีทั่วไป
    ใครทำอย่างไรก็ได้อย่างนั้น
    เป็นของแน่เพราะเป็นกฎแห่งกรรมจากการกระทำของเรา
    ปัญหาของเราเอง เราก็ต้องแก้ปัญหาเอง ไม่ใช่ให้คนอื่นมาแก้ปัญหาให้
    คนอื่นมาแก้ไม่ได้ต้องตัวเราเองถึงจะลึกซึ้ง
    ใครจะจริงเท่าตัวเราเป็นปัจจัตตังที่อาตมาพูดเสมอมา​

    ท่านทั้งหลายอย่าได้ประมาท เพราะความประมาทเป็นหนทางแห่งความตาย
    บางคนที่จะรู้ว่าจะตายเมื่อไร นั้นอยากมาก
    ถ้าเรามีสติครบ เราจะเดินทางไปสู่สัมปรายภพ จะได้พบความสงบเยือกเย็น
    และเดินทางไปด้วยความดีอันนี้ จะไม่ดีกว่าหรือ
    จะเอาความชั่วติดตัวไปไปเหยียบโคลน
    เขาเรียกว่าสะเทือนน้ำสะเทือนบกไม่เรียบร้อย
    ไปเรือก็ติดแห้ง ไปรถก็ลงน้ำ ติดหล่ม เป็นอย่างนี้แหละหนอ
    อะไรจะสะดวกสบายเท่ากับ ปัจจัยเราที่สร้างความดีไว้ให้กับตัวเราเอง
    ความจริงทุกข์อยู่ของมันเอง ความสุขก็อยู่ของมัน
    แต่เราไปเอาทุกข์มาไว้ในใจ แล้วจะเกิดความสุขได้อย่างไร
    ความสุขก็หนีไปหมด ความทุกข์ก็เข้ามาแทนที่ สร้างความดีได้อย่างไร

    นี่แหละท่านทั้งหลาย การเจริญกัมมัฏฐานเป็นยอดที่สุดในพระพุทธศาสนาแล้ว
    ถ้าเราไม่ปฏิบัติธรรมเราก็ไม่ได้อะไรเลย
    เราจะไปอ่านหนังสือธรรมะสักร้อยเล่มพันเล่ม มันก็เท่านั้น
    ก็ทำไม่ได้ อ่านได้ก็รู้แต่ในหนังสือแต่ไม่รู้จริงในจิตใจ
    เพราะเข้าไม่ถึงในจิตใจเลย
    การจะเข้าถึงจิตใจจะแสดงพฤติกรรมบอกให้คนอื่นได้ทราบนั้น
    อยู่ที่การปฏิบัติกัมมัฏฐาน ฐานะดีจิตใจเราจะได้แจ้งแสงสว่างมโนธรรม
    ชีวิตก็จะแจ่มใส ขอให้ญาติโยมคิดและมีสติ คิดการณ์ใกล้การณ์ไกล
    รู้จักการสับเปลี่ยนและเลื่อนฐานะของตัวเอง ให้เข้าไปสู่ความดีมีปัญญาต่อไป​

    ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นพระพุทธเจ้า
    ผู้ใดถึงพระพุทธเจ้า ผู้นั้นถึงธรรม
    เราปฏิบัติธรรมได้เราถึงจะรู้ว่าพระพุทธเจ้าคือใคร
    ท่านต้องลำบากเหนื่อยยากพระวรกาย
    สั่งสอนสรรพสัตว์ในโลกนี้ จนถึงแก่พระนิพพาน
    เราถึงธรรมแล้วความสุขสว่างแล้ว
    ตรงนี้แหละถึงพระพุทธเจ้า พระปัญญาคุณ พระวิสุทธิคุณ
    พระมหากรุณาธิคุณ ชัดเจนมากไม่มีอะไรชัดเจนเท่านี้แล้ว
    ถ้าเราผลัดเพี้ยนเปลี่ยนไป เราก็ผลัดตลอด จนกระทั่งตาย
    ตายไปแล้วก็เอาใส่โลงศพ จะเอาไปฝัง เอาไปสุสาน จะไปเผาก็เท่านั้นเอง
    ร่างกายสังขารก็เป็นเถ้าถ่าน เป็นธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม มันก็หมดไปแล้ว
    เหลือแต่ธาตุดินธาตุเดียว และต้องละลายไปตามดิน
    ไม่มีอะไรที่จะดีได้เท่ากับจิตใจเราเท่านั้น
    เพราะฉะนั้นเราต้องทำจิตใจให้ดี
    เราต้องแก้ไข เราปฏิบัติธรรมต้องประสบทุกข์คือความปวดเมื่อย
    และจิตใจมันออกไปโน้นไปนี่ มันน่ารำคาญ
    เป็นธรรมชาติเหมือนลิงค่างบ่างชะนี เช่นนี้
    เรากว่าจะทำให้ยุติลงได้แสนจะยากมาก

    คัดลอกจาก...
    http://jarun.org



     
  5. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,097
    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD><TABLE border=2 cellSpacing=0 borderColor=white cellPadding=3 width="100%"><TBODY><TR><TD></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
    ตัดไม้กับสมาธิ


    <!-- Main --><CENTER>[​IMG]</CENTER>

    ช่วงนี้เริ่มเข้าสู่ฤดูฝนอย่างเต็มตัว ฝนตกเกือบทุกวัน ทำให้ข้าพเจ้าหวนระลึกไปเมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมา คราวนั้นเกิดพายุฝนลมแรงในช่วงฤดูร้อนที่ผ่านมา ทำให้กิ่งไม้หักลงขวางทางจราจรหน้าบ้าน ข้าพเจ้าเองก็เลยอาสากึ่งถูกบังคับ ให้ไปตัดกิ่งไม้ซึ่งขวางทางนั้นเสีย ด้วยความที่ไม่ค่อยชำนาญเรื่องการใช้มีดพร้าเท่าไหร่ เพราะอาศัยอยู่ในเมือง ก็จับแต่เพียงคอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ (รู้สึกแย่...ยังไงก็ไม่รู้) ก็เลยเหนี่ยวมีดฟันกิ่งไม้ไม่ขาดเสียที ในใจนึกว่าจะเอากิ่งไม้ให้ขาดแต่งอย่างเดียว แต่ไม่ได้ดูว่าให้ดีว่าทุกครั้งที่ลงมีดไปนั้น รอยมีดไม่ได้ลงรอยเดิมเลย จึงใช้เวลานานกว่ากิ่งไม้จะขาดได้ อีกอย่างมดแดงเจ้ากรรมก็มารุมกัดเสียด้วย ทำให้ต้องรีบตัด แต่ยิ่งรีบก็เหมือนจะยิ่งช้า

    กลับหวนนึกดู การตัดไม้ก็ไม่ต่างอะไรกับการทำงาน ถ้าเรามัวแต่อย่างทำงานให้เสร็จ แต่ไม่ได้สนใจรายละเอียดของงานและวิธีการที่ถูกต้อง ก็ไม่ต่างอะไรกับคนที่ใช้แรงเป็นอย่างเดียว คิดไม่เป็น

    คิดแล้วจึงเอาใหม่ เพ่งสมาธิไปยังจุดที่ต้องการจะตัด แล้วลงมีดไปจุดนั้น สายตายังคงอยู่ที่เดิม มีสมาธิในทุก ๆ ขั้นตอน ไม่น่าเชื่อความนี้ลงมีดแค่สามครั้ง กิ่งไม้ก็ขาดได้อย่างง่ายดาย แล้วมีดก็ลงรอยเดิมทุกครั้ง

    ในทางพระพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าท่านใช้สมาธิเป็นเครื่องมือในการตัดกิเลส โดยตัวสมาธินั้นไม่สามารถตัดกิเลสได้โดยตรง เป็นแต่เพียงเครื่องมือประกอบเท่านั้น สิ่งที่ตัดกิเลสได้จริง ๆ นั้นคือปัญญา แต่ปัญญาเพียงอย่างเดียวโดยที่ไม่มีสมาธิประกอบ ก็ยากที่จะสามารถตัดกิเลสได้สำเร็จ เช่นเดียวกับการตัดกิ่งไม้ การมีตั่งจิตใจมั่นแน่วแน่ไม่กระส่ายกระสับ จ้องว่าจะตัดไม้ที่จุดนั้นเพียงจุดเดียวเรียกว่า การมีสมาธิ ส่วนการตัดไม้ให้ขาดได้นั้นต้องใช้มีด ตัวมีดก็เปรียบได้กับตัวปัญญา กิ่งไม้เปรียบเป็นกิเลส สองสิ่งคือ สมาธิและปัญญาจึงต้องเกี่ยวข้องกันทำงานประสานกันอย่างดี

    หากเรามีเพียงสมาธิอย่างเดียวไม่ได้ใช้ปัญญาก็ไม่สามารถตัดกิเลสได้ ในทางกลับกันหากไม่มีสมาธิ มีแต่ปัญญาเราก็ไม่สามารถตัดกิเลสได้ง่ายเช่นกันหรือหากได้ ก็ต้องใช้เวลานานหลายภพ หลายชาติทีเดียว

    สิ่งที่เกื้อหนุนอีกอย่างที่ไม่ได้กล่าวถึงคือเรื่องศีล ๆ นี้เป็นช่วยเสริมให้สมาธิและปัญญาสามารถเกิดได้อย่างต่อเนื่อง กล่าวคือ ศีลเป็นสิ่งที่คอยรักษาสมาธิ บำรุงปัญญา หากขาดศีลไปแล้ว ทั้งสมาธิและปัญญาก็เกิดขึ้นได้ยาก ศีลจึงเป็นพี่เลี้ยงที่คอยระวังและอุ้มชูเราตลอดเวลา และยังเป็นดั่งโล่ป้องกันอันตรายที่จะเกิดขึ้นกับเราได้อีกด้วย ผู้ที่อบรมรักษาศีลเสมอ จึงได้ชื่อว่าเป็นผู้ที่กำลังบ่มเพาะสมาธิ และปัญญาไปในตัว

    นี่คงเป็นตัวอย่างเล็ก ๆ น้อย ๆ กับธรรมะประจำวัน ธรรมะไม่ใช่เรื่องไกลตัว ธรรมะไม่ได้อยู่ในวัดเพียงอย่างเดียว แต่ธรรมะจริง ๆ แล้วกับการดำเนินชีวิตของเราในทุก ๆ วัน ทุก ๆ ลมหายใจ ขึ้นอยู่กับเราหยิบยกมาพิจารณา หรือจะมองข้ามไปก็เท่านั้น...
     
  6. chaipat

    chaipat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2007
    โพสต์:
    1,282
    ค่าพลัง:
    +11,099
    ภาพบรรยายการทำบุญ รพ. สงฆ์ ประจำเดือนพฤษภาคม 54

    ขอเริ่มต้นด้วยการบริจาคที่อาคารรับบริจาคครับ

    [​IMG]

    ยอดดังภาพ

    [​IMG]

    การช่วยกันจัดอาหารที่เตรียมจะถวายครับ

    [​IMG]

    กำลังรวมสมาชิกเพื่อถ่ายภาพครับ

    [​IMG]

    ขอเพิ่มเติมอีกนิด

    [​IMG]

    [​IMG]

    สมาชิกรุ่นใหญ่

    [​IMG]

    และแล้วก็พร้อมเพรียง

    [​IMG]

    อธิฐานจิตร่วมกัน

    [​IMG]

    [​IMG]

    สาธุครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • P1020906.JPG
      P1020906.JPG
      ขนาดไฟล์:
      169 KB
      เปิดดู:
      373
    • P1020908.JPG
      P1020908.JPG
      ขนาดไฟล์:
      121.1 KB
      เปิดดู:
      369
    • P1020909.JPG
      P1020909.JPG
      ขนาดไฟล์:
      165.3 KB
      เปิดดู:
      363
    • P1020911.JPG
      P1020911.JPG
      ขนาดไฟล์:
      151.5 KB
      เปิดดู:
      362
    • P1020913.JPG
      P1020913.JPG
      ขนาดไฟล์:
      174.4 KB
      เปิดดู:
      388
    • P1020921.JPG
      P1020921.JPG
      ขนาดไฟล์:
      159.6 KB
      เปิดดู:
      357
    • P1020925.JPG
      P1020925.JPG
      ขนาดไฟล์:
      169 KB
      เปิดดู:
      367
    • P1020929.JPG
      P1020929.JPG
      ขนาดไฟล์:
      160.1 KB
      เปิดดู:
      348
    • P1020930.JPG
      P1020930.JPG
      ขนาดไฟล์:
      186 KB
      เปิดดู:
      326
    • P1020931.JPG
      P1020931.JPG
      ขนาดไฟล์:
      184.2 KB
      เปิดดู:
      334
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 19 มิถุนายน 2011
  7. chaipat

    chaipat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2007
    โพสต์:
    1,282
    ค่าพลัง:
    +11,099
    ภาพบรรยายช่วงที่สอง

    พร้อมกันทำพิธี

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    หลังจากนั้นก็ช่วยกันถวายตั้งแต่ชั้น 6 ถึงชั้น 2

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    นานๆ สังครั้งกับภาพอาพาธของพระคุณเจ้า

    [​IMG]

    [​IMG]

    และรับศีล รับพรครับ

    [​IMG]

    สาธุครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • P1020933.JPG
      P1020933.JPG
      ขนาดไฟล์:
      172.7 KB
      เปิดดู:
      341
    • P1020935.JPG
      P1020935.JPG
      ขนาดไฟล์:
      152.2 KB
      เปิดดู:
      328
    • P1020939.JPG
      P1020939.JPG
      ขนาดไฟล์:
      178.3 KB
      เปิดดู:
      325
    • P1020941.JPG
      P1020941.JPG
      ขนาดไฟล์:
      181.3 KB
      เปิดดู:
      315
    • P1020943.JPG
      P1020943.JPG
      ขนาดไฟล์:
      168.7 KB
      เปิดดู:
      316
    • P1020947.JPG
      P1020947.JPG
      ขนาดไฟล์:
      158.4 KB
      เปิดดู:
      311
    • P1020949.JPG
      P1020949.JPG
      ขนาดไฟล์:
      168.1 KB
      เปิดดู:
      308
    • P1020950.JPG
      P1020950.JPG
      ขนาดไฟล์:
      170.1 KB
      เปิดดู:
      344
    • P1020951.JPG
      P1020951.JPG
      ขนาดไฟล์:
      166.2 KB
      เปิดดู:
      330
    • P1020952.JPG
      P1020952.JPG
      ขนาดไฟล์:
      158.6 KB
      เปิดดู:
      306
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 19 มิถุนายน 2011
  8. chaipat

    chaipat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2007
    โพสต์:
    1,282
    ค่าพลัง:
    +11,099
    ภาพบรรยายช่วงสุดท้าย

    [​IMG]

    เมื่อเสร็จแล้วก็มา กรวดน้ำกันสักนิด

    [​IMG]

    ปิดฉากท้ายนี้ด้วยการประกาศยอดบุญทั้งหลายในเดือนพฤษภาคม 54 นี้

    รวมถึงการทำบุญเพิ่มหลายสิ่งอย่างครับ

    [​IMG]

    และโปรดอย่าลืมอนุโมทนาสาธุกันด้วยนะครับ

    เป็นกุศลผลบุญทั่วพร้อมไปด้วยกันครับ

    สาธุครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • P1020955.JPG
      P1020955.JPG
      ขนาดไฟล์:
      153.2 KB
      เปิดดู:
      297
    • P1020956.JPG
      P1020956.JPG
      ขนาดไฟล์:
      182.7 KB
      เปิดดู:
      335
    • P1020958.JPG
      P1020958.JPG
      ขนาดไฟล์:
      171.5 KB
      เปิดดู:
      305
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 19 มิถุนายน 2011
  9. Lee_bangkok

    Lee_bangkok เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    1,751
    ค่าพลัง:
    +4,741
    อนุโมทนาบุญกับท่านใจสติปัญญาด้วยนะครับผม ที่ช่วยเก็บภาพนะครับผม
     
  10. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,097
    [​IMG]

    พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า:
    “โย ภิกขเว มํ อุปฏฐเหยย โส คิลานํ อุปฏฐเหยย”
    "ผู้ใดปราถนาจะอุปปัฏฐากเราตถาคต ผู้นั้นพึงรักษาภิกษุป่วยไข้"
    การให้การพยาบาลหรือบำบัดโรคภัยไข้เจ็บของพระสงฆ์ เท่ากับการได้อุปัฏฐาก พระพุทธองค์เลยทีเดียว เคย ได้ยินมาว่า "ผู้ใดที่ได้ถวายอาหารหรือสิ่งของต่อพระพุทธเจ้า ไม่ว่าจะเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า หรือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า บุญที่เกิดจากการถวายทานนั้น มีอานิสงส์มากจริงๆ ถึงขนาดผู้นั้นตั้งจิตอธิษฐาน ขอให้ได้เป็นสาวก หรือ อัครสาวก หรือ ปราถนาพุทธภูมิ ก็ได้สมดังใจปรารถนาเลย"

    หาก เป็นดังว่าจริงแล้ว ตามพระพุทธดำรัสที่กล่าวมาข้างต้นนั้น การที่เราดูแลช่วยเหลือปรนนิบัติต่อพระภิกษุผู้อาพาธ เท่ากับว่าเราได้สร้างกุศลต่อพระพุทธองค์โดยตรงเลยทีเดียว ดังนี้ ผลบุญคงจะมหาศาล ดังกับว่าเราได้ถวายทานต่อพระพุทธเจ้าเลย

    ดัง นั้น การที่เรามีโอกาสหรือตั้งใจที่จะปรนนิบัติดูแลช่วยเหลือพระภิกษุสงฆ์ ที่ป่วย ไข้ อาพาธ แล้วเราน้อมจิตของเราระลึกถึงองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะส่งผลต่อจิตใจอันเป็นกุศลเป็นอย่างมาก และหากมีอนิสสงส์ดังพุทธดำรัส แล้วละก็ บุญจากการอุปัฏฐากพระพุทธองค์ย่อมมีกำลังกุศลมหาศาล
    *****************************************
    ท่านเป็นชาวเมืองสาวัตถี ฟังธรรมเทศนาของพระศาสดาแล้วมีความเลื่อมใส ขอบรรพชาอุปสมบท ตั้งใจบวชตลอดชีวิต

    ต่อ มาโรคชนิดหนึ่งเกิดขึ้นแก่ท่าน เป็นต่อมเล็กๆ เกิดขึ้นตามผิวหนังก่อน แล้วโตขึ้นเรื่อยๆ เท่าเมล็ดถั่วเขียว เมล็ดถั่วดำ เมล็ดกระเบา เท่าผลมะขามป้อม และเท่าผลมะตูมตามลำดับแล้วแตก น้ำเหลืองไหลทั่วกาย ร่างของท่านปรุพรุนไปด้วยรอยแผลจึงได้นามว่า "ปูติตัตตติสสะ" แปลว่า "พระติสสะผู้มีกายเน่า" ต่อมากระดูกของท่านแตกเจ็บปวดแสนสาหัส ผ้านุ่งผ้าห่มของท่านเปื้อนด้วยเลือดและหนอง พวกลัทธิวิหาริก อันเตวาสิกของท่านรังเกียจพากันทอดทิ้งท่านหมดสิ้น ท่านหมดที่พึ่ง นอนอยู่คนเดียว
    เช้าวันหนึ่งพระศาสดา ทรงตรวจดูอุปนิสัยของเวไนยสัตว์ พระปูติคัตต์เข้าไปในข่ายพระญาณ ทรงทราบว่า ปูติคัตต์มีอุปนิสัยแห่งอรหัตผล และไม่มีใครเป็นที่พึ่ง นอกจากพระองค์เพียงผู้เดียว จึงเสด็จออกจากพระคันธกุฎี ประหนึ่งเสด็จจาริกไปในวิหาร เสด็จไปที่กุฎีของพระปูติคัตต์
    ทรงถามทราบความทั้งหมดแล้ว เสด็จไปสู่โรงไฟ ทรงติดไฟล้างหม้อ ใส่น้ำแล้วยกขึ้นสู่เตาไฟ ประทับยืนในโรงไฟเพื่อรอน้ำให้เดือด ทรงทราบว่าน้ำเดือดแล้ว เสด็จไปจับปลายเตียงข้างหนึ่งที่พระปูติคัตต์นอน มีพระประสงค์จะยกเตียงด้วยพระองค์เอง

    ขณะนั้นภิกษุหลายรูป เห็นดังนั้น จึงขออาสาทำเสียเอง ช่วยกันยกเตียงของพระปูติคัตต์ไปยังโรงไฟ
    พระศาสดาทรงให้นำรางมา ทรงเทน้ำร้อนใส่ แล้วสั่งให้ภิกษุเหล่านั้นเปลื้องผ้าห่มของภิกษุป่วยออก ขยำด้วยน้ำร้อน แล้วให้ผึ่งแดดไว้

    พระ ศาสดาประทับยืนอยู่ที่ใกล้เธอ ทรงรดน้ำอุ่นให้เอง ทรงถูสรีระของภิกษุป่วย ให้อาบน้ำอุ่น เมื่อผ้าห่มแห้ง ทรงให้เอาผ้าห่มนั้นนุ่ง ดึงเอาผ้านุ่งออกมาให้ขยำน้ำร้อนแล้วผึ่งแดดไว้ เมื่อตัวของเธอแห้ง ผ้านุ่งก็แห้ง พระศาสดาให้เธอนุ่งผืนหนึ่งและห่มผืนหนึ่ง

    พระปูติคัตต์ได้รับปฏิบัติเช่นนั้นสรีระก็กระปรี้กระเปร่าขึ้น จิตหยั่งลงสู่เอกัคคตารมณ์ (มีอารมณ์เดียว ไม่วอกแวก)
    พระศาสดา ทรงทราบว่าจิตของพระปูติคัตต์ พร้อมที่จะรับพระธรรมเทศนาแล้ว จึงตรัสพระคาถาว่า

    "อจิรํ วตยํ กาโย" เป็นอาทิ มีนัยและคำอธิบายดังได้พรรณนามาแล้วแต่ต้น
    เมื่อจบเทศนา พระปูติคัตต์ได้บรรลุอรหัตผล แล้วปรินิพพาน คนเหล่าอื่นก็ได้สำเร็จอริยผลมีโสดาปัตติผล เป็นต้น

    พระผู้มีพระภาคเจ้า โปรดให้ทำฌาปนกิจศพแล้ว ทรงเก็บอัฏฐิธาตุแล้วโปรดให้ทำเจดีย์ไว้
    ภิกษุทั้งหลายสงสัยทูลถามพระศาสดาว่า "ภิกษุผู้มีอุปนิสัยแห่งพระอรหัตเช่นนี้ เหตุไรจึงมีร่างกายเปื่อยเน่า และกระดูกแตก?"

    พระศาสดาตรัสตอบว่า เป็นผลอันเกิดแต่อดีตกรรม ในสมัยพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่ากัสสป พระติสสะเป็นพรานนก ฆ่านกบำรุงอิสรชน คือรับจ้างฆ่านกให้คนใหญ่คนโต นกที่เหลือก็เอาขาย นกที่เหลือจากขายก็หักปีกหักขาเก็บไว้ เพราะคิดว่า ถ้าฆ่าแล้วเก็บไว้มันจะเน่าเสียหมด ตนต้องการบริโภคเท่าใดก็ปิ้งไว้ นกที่เขาหักปีกหักขาไว้นั้นขายในวันรุ่งขึ้น
    วันหนึ่ง เมื่อโภชนะอันมีรสดีของเขาสุกแล้ว เขากำลังเตรียมบริโภค พระขีณาสพองค์หนึ่งมาบิณฑบาตหน้าบ้าน เขาเห็นพระแล้วคิดว่า
    "เราได้ฆ่าสัตว์มีชีวิตเสียมากมายแล้ว บัดนี้ พระมายืนอยู่หน้าเรือน โภชนะอันดีของเราก็มีอยู่ เราควรถวายอาหารแก่ท่าน"
    เขาคิดดังนั้นแล้ว ได้รับบาตรพระใส่โภชนะอันมีรสเลิศจนเต็มบาตรแล้วถวายบิณฑบาตนั้น ไหว้พระด้วยเบญจางคประดิษฐ์แล้วว่า
    "ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ด้วยกุศลผลบุญนี้ ขอข้าพเจ้าพึงบรรลุธรรมที่ท่านบรรลุแล้วด้วยเถิด" พระเถระอนุโมทนาว่า "จงเป็นอย่างนั้นเถิด"

    "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย" พระศาสดาตรัสในที่สุด "ผลทั้งหมดได้เกิดแก่ติสสะเพราะกรรมของเขาเอง เพราะทุบกระดูกนก จึงยังผลให้มีร่างกายเปื่อยเน่า กระดูกแตก อาหารบิณฑบาตที่ถวายแก่พระขีณาสพและอธิษฐานเพื่อธรรมยังผลให้เธอบรรลุธรรม คือพระอรหัตผล ภิกษุทั้งหลายกรรมที่บุคคลทำแล้วย่อมไม่ไร้ผล"

    http://www.luangpordu.com/?cid=4533...topic&forum_id=41264&topic_id=101429&pageno=2
     
  11. chaipat

    chaipat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2007
    โพสต์:
    1,282
    ค่าพลัง:
    +11,099
    รายนามผู้บริจาคทุนนิธิในเดือนพฤษภาคม 2554 ที่ผ่านมาครับ

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    ผมขออนุโมทนาสาธุในบุญกุศลที่ท่านทั้งหลายได้ร่วมกันสร้างในครั้งนี้ครับ

    พบกันใหม่อีกครา ในวันอาทิตย์ที่จะถึงนี้ครับ

    สาธุครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 21 มิถุนายน 2011
  12. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,097
    กิจกรรมที่ รพ.สงฆ์ ประจำเดือนนี้เป็นวันอาทิตย์ที่ 26 มิถุนายน 2554 ที่จะมาถึงนี้ โดยนัดพบเพื่อจัดเตรียมสังฆทานอาหารที่โรงอาหารด้านข้าง รพ.สงฆ์ในเวลา 7.30 น.-8.00 น.
    เหมือนเช่นเคย

    จึงขอแจ้งให้ผู้ที่สนใจได้ทราบทั่วกัน โดยผมและนายสติ ได้เบิกเงินจากบัญชีของทุนนิธิฯ มาเพื่อเตรียมการบริจาคเรียบร้อยแล้ว ซึ่งมีรายละเอียดการบริจาคสำหรับเดือนนี้ตามประมาณการดังนี้


    1 รพ.สงฆ์

    - ถวายค่าสังฆทานอาหาร 6,000.- (ประมาณการพระสงฆ์ไว้
    200 รูป โดยจะถวายเป็นอาหารกล่องๆ ละ 30.-) เป็นเงิน 6,000.-
    - ถวายค่าเวชภัณฑ์ส่วนกลาง 5,000.-
    - ถวายค่าโลหิต 5,000.-
    รวม 16,000.-

    2 รพ.ภูมิภาค

    - รพ.แม่สอด จ.ตาก 8,000.-
    - รพ.สมเด็จพระยุพราช (ปัว) 5,000.-
    จ.น่าน
    - รพ.สมเด็จพระยุพราชด่านซ้าย 8,000.-
    จ.เลย
    - รพ.มหาราช จ.เชียงใหม่ 5,000.-
    - รพ.ศรีนครินทร์ จ.ขอนแก่น 8,000.-
    - รพ.50 พรรษาฯ จ.อุบล 5,000.-
    - รพ.สงขลา จ.สงขลา 8,000.-
    - รพ.ปัตตานี จ.ปัตตานี 5,000.-
    รวม 52,000.-

    รวมเงินบริจาคตามข้อ 1.+2. = 68,000.- (หกหมื่นหกแปดพันบาทถ้วน)


    3. กิจกรรมพิเศษประจำเดือน

    สำหรับในเดือนนี้ เป็นเดือนที่ครบรอบการทำกิจกรรมถวายสังฆทานอาหารแด่พระภิกษุสงฆ์ที่อาพาธที่ รพ.สงฆ์ และเป็นเดือนที่ครบรอบในการบริจาคไปตาม รพ.ต่างๆ กว่า 3 ปี กับ 6 เดือนที่ก่อตั้งทุนนิธิฯ ขึ้นมา ดังนั้น ในวาระนี้ ผมจึงได้มอบพระพิมพ์สมเด็จฯ ที่หากดูด้วยตาในแล้ว จะพบว่าองค์ผู้อธิษฐานจิตไว้คือท่านเจ้าประคุณสมเด็จ (โต) นั่นเอง โดยพระพิมพ์ดังกล่าวเป็นพระพิมพ์สมเด็จขนาดจิ๋ว ปิดทองไว้ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง เป็นพระพิมพ์ที่มีอิทธิคุณครบเครื่องทีเดียว ผมใส่ถุงทองไว้ให้ทุกท่านที่ไปร่วมงานเท่านั้น ส่วนท่านที่อยู่ไกล แต่ได้เคยทำบุญมาแล้ว รออีกนิดนึง ว่ามีเหลือจากงานเท่าใดถึงจะแจกให้กันครับ ในเดือนที่แล้วมีผู้ไปร่วมงานพอประมาณสัก 50-60 คน จึงได้ปัจจัยบริจาคมามากทีเดียว ซึ่งถ้านับการทำบุญอื่นๆ ในคราวเดียวกัน เช่นบริจาคเพื่อจัดหาเลนส์แก้วตาเทียมให้พระสงฆ์ที่เจ็บป่วยด้วยโรคตาเป็นต้อ ที่ รพ.ศรีนครินทร์ จ.ขอนแก่น รวมถึงการสร้างพระประธาน และงานบุญอื่นๆ ด้วยแล้ว เป็นยอดเงินในคราวเดียวกันกว่าแสนหนึ่งหรือแสนสองหมื่นบาททีเดียว นับว่าน่าอนุโมทนาอย่างยิ่งครับ

    เช่นเดียวกัน หากในวันอาทิตย์นี้ ท่านใดที่ได้เข้ามาอ่านงานบุญนี้ในกระทู้ทำบุญสงฆ์อาพาธ หากไม่ติดขัดในภารกิจใดๆ ผมในนามประธานทุนนิธิฯ ก็ขอเรียนเชิญท่านไปทำกิจกรรมโดยการไปถวายสังฆทานแด่พระสงฆ์ที่อาพาธบนตึกด้วยกันครับ ไปให้เห็นถึงสภาพต่างที่พระสงฆ์ท่านขาดผู้ที่ดูแล ไปเป็นกำลังใจให้ท่านว่าอย่างน้อยยังมีญาติโยมอีกกลุ่มหนึ่งที่มาคอยดูแล แล้วเจอกันตามเวลาที่นัดหมายข้างต้นครับ งานทั้งหมดใช้เวลาทำกิจกรรมรวมแล้วไม่เกินสองชั่วโมง ได้ทั้งบุญ ได้ทั้งพระพิมพ์เป็นที่ระลึก แต่อย่าลืมติดนมไปสักโหล หรือผลไม้ไปสักหน่อย เพื่อไปใส่ถุงถวายท่าน หรือจะเป็นปัจจัยหรือสิ่งของขบฉันอื่นๆ ก็ได้เช่นกัน จะได้มีอานิสงส์บุญครบถ้วนตามบุญกิริยาวัตถุทุกประการ บุญที่ท่านทำท่านได้ไป ทุนนิธิฯ และทุกคนที่ทำกิจกรรมเป็นเพียงผู้ที่คอยช่วยเหลือให้ท่านได้รับความสะดวกในการทำบุญต่างๆ ที่มีต่อพระสงฆ์อาพาธทุกรูปครับ

    นับถือ

    พันวฤทธิ์
    21/6/54

    [​IMG]



    รูปตัวอย่างพระพิมพ์ที่แจกให้ฟรีเพื่อเป็นที่ระลึกของทุนนิธิฯ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 100_2536.JPG
      100_2536.JPG
      ขนาดไฟล์:
      1.1 MB
      เปิดดู:
      128
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 มิถุนายน 2011
  13. kratium

    kratium เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มกราคม 2007
    โพสต์:
    484
    ค่าพลัง:
    +3,670
    เดือนนี้ เป็นวันเกิดคุณพ่อ เลยชวนพ่อทำบุญด้วยกันค่ะ เมื่อวานนี้ 21/06/18.08น. โอนเงินทำบุญกับทุนนิธิ 500 บาท อยากไปร่วมบุญวันอาทิตย์นี้ด้วยจัง อนุโมทนาบุญกับทุกท่านค่ะ
     
  14. Ton_PB

    Ton_PB เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    4,463
    ค่าพลัง:
    +2,005
    ได้โอนปัจจัยร่วมบุญถวายแด่สงฆ์อาพาทแล้ว จำนวน 200 บาท

    บุญที่ข้าพเจ้าทำนี้ขออุทิศถวายตามที่ข้าพเจ้าประสงค์ด้วยเทอญ สาธุ
    และขออนุโมทนาบุญกับทุกท่านด้วยครับ
     
  15. พิช

    พิช เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    76
    ค่าพลัง:
    +596
    ร่วมทำบุญด้วยครับ

    วันนี้ได้โอนปัจจัยร่วมทำบุญแล้ว 500 บาทจากบัญชี 1210462 ธ.กรุงไทย และขออนุโมทนาบุญกับทุกท่านด้วยครับ
     
  16. aries2947

    aries2947 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    2,031
    ค่าพลัง:
    +11,622
    วันนี้ ผม ภรรยา และครอบครัว ได้โอนเงินเพื่อร่วมทำบุญด้วย 200 บาทครับ
    ขอบคุณมากครับ
    มหาโมทนาบุญทั้งหมดทั้งมวลด้วยนะครับ
     
  17. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,097


    รายละเอียดการบริจาคประจำเดือน มิถุนายน 2554


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  18. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,097
    สำหรับในวันอาทิตย์นี้ มีพระสงฆ์ที่อาพาธสำหรับการถวายสังฆทานภัตตาหารเช้าที่ รพ.สงฆ์ ประมาณ 130 รูป ซึ่งคราวนี้น้อยกว่าปกติมาก ซึ่งก็ถือว่าเป็นที่น่ายินดี เพราะยอดพระสงฆ์อาพาธน้อยลงแสดงถึงว่ามีโรคที่ต้องรักษาแบบผู้ป่วยในน้อยลง โดยส่วนใหญ่อาจจะมารักษาด้วยอาการป่วยเพียงเล็กน้อยประเภทผู้ป่วยนอกมารักษาเบื้องต้นแล้วกลับเลย แต่อย่างไรก็ตาม พระสงฆ์ที่เป็นผู้ป่วยในเหล่านี้ ก็ยังคงต้องดูแลกันต่อไป ก็นับว่ายังเป็นบุญของพวกเราที่ยังได้ช่่วยเป็นกำลังใจให้ท่าน และให้ท่านเป็นเนื้อนาบุญกับเรา ดังนั้น หากทุกท่านไม่ได้ติดภารกิจใดๆ ก็ขอเรียนเชิญไปร่วมกิจกรรมด้วยกันครับ สำหรับใบอนุโมทนาบัตรและสรุปบัญชีการบริจาคของ รพ.สมเด็จพระยุพราชด่านซ้าย จ.เลยในเดือน พ.ค. 54 ที่ผ่านมา เท่าที่ผมได้รับมาในขณะนี้ ก็ขอนำมาลงให้ได้ร่วมอนุโมทนากันครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  19. rak-dee001

    rak-dee001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    154
    ค่าพลัง:
    +482
  20. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,097
    บารมี ยิ่งยวด หรือ ยิ่งใหญ่...พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต)

    [​IMG]

    บารมี ยิ่งยวด หรือ ยิ่งใหญ่
    โดย พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต)



    ให้ธรรม-ให้ทุน

    ขอเจริญพร วันนี้ ก็เช่นเดียวกับครั้งก่อนๆ คือคณะคุณโยมมิสโจ พร้อมด้วยญาติมิตรลูกศิษย์ท่านที่เคารพนับถือ ได้ทำบุญถวายภัตตาหาร สำหรับวันนี้เป็นรายการประจำเดือน กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2531

    นอกจากเลี้ยงภัตตาหารแล้ว คราวนี้ คุณโยมยังได้ทำทานพิเศษอีกอย่างหนึ่ง คือได้ชักชวนญาติมิตรร่วมกันสร้างหนังสือ “พุทธธรรม” สำหรับถวายแก่วัดต่างๆ แก่พระสงฆ์ และญาติโยม สาธุชนที่สนใจใฝ่ธรรมทั้งหลาย ซึ่งเมื่อกี้นี้อาตมาก็ได้อนุโมทนาไปครั้งหนึ่งแล้ว ในตอนที่คุณศุภนิจ คุณศุภวรรณ และคุณสุจินต์ ได้มาถวายหนังสือนี้ไว้ก่อน นอกจากได้สร้าง คือทำให้มีขึ้นมาแล้ว ก็ได้นำมาถวายอาตมาสำหรับไปแจกต่ออีกด้วย

    โดยสรุปก็คือ การบริจาคทรัพย์สร้างหนังสือ “พุทธธรรม” นี้ เป็นการทำบุญ 2 ชั้น ทั้งเผยแพร่ธรรม และถวายทุนการศึกษาแก่พระเณร คือว่า หนังสือนี้โยมได้สร้าง โดยไปจัดหามาจากมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ซึ่งได้พิมพ์หนังสือนี้ขึ้น เพื่อจะหาทุนมาให้การศึกษาแก่พระภิกษุสามเณร

    มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยนี้ เรียกกันว่าเป็นมหาวิทยาลัยสงฆ์ มีพระเณรเรียนอยู่ประมาณ 1,500 องค์ นับว่าเป็นจำนวนมาก พระเณรเหล่านี้พักอยู่ตามวัดต่างๆ ทั่วกรุงเทพมหานคร ตลอดจนจังหวัดใกล้เคียง ไปถึงเมืองนนท์ เมืองปทุมธานี พระเณรเหล่านี้ไม่ใช่เป็นพระที่อยู่เฉพาะในกรุงเทพฯ หรือจังหวัดใกล้เคียง แต่เป็นพระเณรที่มาจากทั่วประเทศ คือมาจากทุกภาคเกือบจะทุกจังหวัดทั่วประเทศไทย ซึ่งมาเล่าเรียนศึกษา เรียนนักธรรม เรียนบาลี เช่นได้เปรียญต่างๆ แล้ว ก็มาเรียนเพิ่มเติมในมหาวิทยาลัยสงฆ์อีก

    ทางผู้บริหารมหาวิทยาลัยสงฆ์นี้ ก็จะต้องหาทุนมาจัดการศึกษา แต่ไม่ค่อยจะมีทุนรอน จึงต้องหาวิธีที่จะได้รับความอุปถัมภ์มาจากด้านต่างๆ ก็เลยพิมพ์หนังสือนี้ขึ้นเป็นสื่อในการที่จะหาทุน และนอกจากหาทุนแล้ว ก็จะได้เป็นการเผยแพร่พระพุทธศาสนาไปด้วยพร้อมกัน

    เพราะฉะนั้น เมื่อญาติโยมไปจัดหาซื้อหนังสือนี้มา ในขั้นที่หนึ่ง ก็ได้ช่วยให้ทุนการศึกษาแก่พระภิกษุสามเณร ซึ่งเป็นการบริจาคทานที่มอบแก่ส่วนรวม จึงเรียกว่าเป็นสังฆทาน เมื่อเป็นสังฆทาน ก็เป็นทานที่พระพุทธเจ้าทรงสรรเสริญมาก ว่ามีผลยิ่งใหญ่ อันนี้ก็เป็นทานขั้นที่หนึ่ง พอเริ่มซื้อก็ได้ทำบุญไปแล้ว

    ขั้นที่สอง เมื่อนำหนังสือนี้มาแจกแก่ญาติโยม รวมทั้งนำมาถวายอาตมาให้ไปแจกต่อด้วย ก็เรียกว่าเป็นธรรมทาน ที่เป็นยอดของทาน เมื่อกี้เป็นสังฆทานก็เป็นทานยิ่งใหญ่แล้ว พอมาเป็นธรรมทานก็เป็นทานชั้นเลิศอีก ดังที่โยมก็คงเคยได้ยินพุทธภาษิตบทหนึ่งที่ว่า

    สพฺพทานํ ธมฺมทานํ ชินาติ
    แปลว่า การให้ธรรมชนะการให้ทั้งปวง


    ให้ธรรม คือยอดทาน

    ธรรมทานนี้ชนะทานทุกอย่าง เพราะเป็นการให้แสงสว่างแก่ชีวิต คนที่ได้ธรรมะไปแล้วก็รู้จักที่จะดำเนินชีวิตของตนให้ถูกต้อง โดยมีจิตใจที่มีความสุข และประพฤติตัวดี บำเพ็ญประโยชน์แก่ผู้อื่น ช่วยให้สังคมมีความสุข มีความเจริญ และก้าวหน้าในธรรม การที่จะปฏิบัติธรรมถูกต้อง ไม่ว่าจะเจริญศีล สมาธิ หรือปัญญาอย่างไรก็ตาม ก็จะต้องรู้จักธรรมะ เพราะฉะนั้นการให้ธรรมะก็คือให้ทางปฏิบัติและทางดำเนินชีวิตที่ถูกต้อง

    แม้แต่จะไปทำทานอื่น หรือการที่คนจะไปช่วยเหลือกัน จะทำความดีอะไรๆ ก็เพราะเข้าใจธรรมะ หรือเคยได้ยินได้ฟังคำสอนที่ถูกต้อง ถ้าได้รู้จักคำสอนที่ถูกต้อง คือธรรมะนี้แล้ว ก็จะสามารถทำความดีได้ทุกอย่าง แต่ถ้าไม่รู้จักธรรมะ ก็ไม่รู้ว่าจะทำอะไรจึงจะถูกต้อง ก็อาจจะประพฤติผิดพลาดได้มากมาย พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า

    “การให้ธรรมเป็นการให้ที่เลิศประเสริฐสุด”

    เมื่อโยมและญาติมิตรมาแจกหนังสืออย่างนี้ คือ สร้างหนังสือนี้มอบให้แก่ที่อื่นหรือแก่บุคคลอื่น ก็เท่ากับว่าแจกจ่ายธรรมะ เป็นการให้ทานที่ประเสริฐที่สุด และเป็นการทำบุญที่สำคัญ
    ทำไมโบราณว่า จารึกธรรมหนึ่งอักษร
    เท่ากับสร้างพระพุทธปฏิมาหนึ่งองค์


    มีคติแต่โบราณบอกว่า การสร้างพระธรรม แม้แต่หนึ่งตัวอักษร ถือว่ามีคุณค่าเท่ากับได้สร้างพระพุทธรูปหนึ่งองค์ โบราณถือกันมาอย่างนี้ เพราะถ้าได้ทำบุญสร้างอักษรจารึกพระธรรมไปแล้ว ก็จะทำให้คนได้รู้เข้าใจว่า จะประพฤติปฏิบัติอย่างไรจึงจะถูกต้อง

    แม้แต่เราจะรู้จักปฏิบัติต่อพระพุทธรูปถูกต้อง เราก็ต้องรู้จักพระธรรมด้วย เพราะพระพุทธรูปนั้น เป็นแต่เพียงวัตถุที่สร้างเป็นรูปเปรียบของพระพุทธเจ้า ถ้าเราไม่รู้จักธรรมะ ไม่รู้จักคำสอน เราก็ไม่รู้ว่าจะมีพระพุทธรูปไปทำไม แล้วเราควรจะทำอย่างไรต่อพระพุทธรูปนี้

    การที่เราได้นึกถึงพระพุทธรูป และไปหาพระพุทธรูปมา หรือไปไหว้พระพุทธรูป ก็เพราะว่า เราได้รู้จักพระธรรม ได้รู้จักคำสอนว่า อ๋อ พระพุทธรูปนี้ เป็นองค์แทนพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้ามีพระคุณอย่างนั้นๆ เราจึงได้แสดงความเคารพนับถือพระองค์ อย่างนี้เรียกว่ารู้จักพระพุทธคุณด้วยอาศัยธรรมะ เพราะฉะนั้น การให้ธรรมะจึงเป็นสิ่งสำคัญมาก

    นอกจากนั้น เวลาเราไหว้พระพุทธรูป เราจะทำใจอย่างไรถูกต้อง ก็ต้องอาศัยพระธรรมมาสอนอีกเหมือนกัน ว่าเวลาไหว้พระนะ จะต้องทำจิตใจให้สงบ ให้ผ่องใสเบิกบานอย่างนั้นๆ ระลึกพระคุณอย่างนั้นๆ การที่เราปฏิบัติถูกต้อง ก็เพราะอาศัยพระธรรม

    พระธรรมมีความสำคัญอย่างที่กล่าวมา ท่านจึงถือว่าการสร้างพระธรรม แม้แต่เพียงตัวอักษรหนึ่ง มีค่ามากเท่ากับสร้างพระพุทธรูปหนึ่งองค์ แล้วถ้าสร้างหลายตัวอักษร ก็ยิ่งมีค่ามากขึ้น คำสอนธรรมะนี้จารึกข้อธรรมที่สำคัญทุกอย่างไว้ เป็นเครื่องสืบต่อพระศาสนา

    อันนี้ก็เป็นสาระสำคัญที่แสดงถึงประโยชน์หรืออานิสงส์ที่เกิดขึ้นจากการสร้างหนังสือธรรมะ หรือคัมภีร์ขึ้นมาเผยแพร่


    ทำบุญให้ดี ทำทีเดียวได้ครบทั้งทาน-ศีล-ภาวนา

    การที่โยมมาทำบุญวันนี้ อย่างที่ทำกันมาทุกๆ เดือน ถวายทานแล้วมาสังสรรค์กันในหมู่ญาติมิตร แล้วก็มาบำเพ็ญธรรมทานอย่างนี้ ทั้งหมดนั้นก็เป็นการบำเพ็ญบุญกิริยา คือการทำบุญตามหลักพระพุทธศาสนา ซึ่งเราได้ทำกันในด้านต่างๆ ดังที่ได้เคยกล่าวมาแล้วหลายครั้ง โดยเฉพาะที่เห็นชัดๆ ก็คือทาน

    ตอนแรกก็ถวายทาน ถวายภัตตาหาร แล้วก็รักษาศีล ดังที่ได้สมาทานศีลกันเมื่อกี้นี้ แล้วก็ได้ภาวนา คือทำจิตใจและสติปัญญาให้เจริญงอกงามขึ้น ทำจิตให้เจริญด้วยการทำใจให้สงบ ให้เบิกบานผ่องใส แล้วก็เจริญปัญญาด้วยการฟังธรรม เมื่อฟังธรรมะไปแล้ว ใจคอสบาย เกิดความสว่าง เข้าใจธรรมะ รู้ว่าอะไรจริง อะไรถูกต้อง อะไรดีงาม มีความรู้ความเข้าใจในหลักคำสอนมากขึ้น ก็เจริญปัญญา แม้จะยังไม่ได้บำเพ็ญสมาธิอะไรก็เรียกว่าเป็นภาวนา

    รวมแล้วก็คือปฏิบัติตามหลัก 3 ประการที่เรียกว่าเป็นบุญกิริยา คือ ทาน ศีล และภาวนา ถ้าเราปฏิบัติถูกต้อง มาทำบุญกันในวันนี้ ก็ได้ครบทั้ง 3 อย่าง ได้ทั้งทาน ทั้งศีล และภาวนา


    ทำบุญสูงขึ้นไป กลายเป็นบารมี

    ว่าถึงการทำบุญนี้ แยกได้เป็นหลายระดับ คือในขั้นต้นๆ นี้เราอาจจะทำพอเป็นพื้นฐานสำหรับการปฏิบัติธรรมขั้นต่อไป เช่นว่า ในการบำเพ็ญทานเราก็อาจจะแบ่งปันบริจาคบำรุงต่างๆ พอเป็นพื้นฐานสำหรับความมั่นคงงอกงามของการรักษาศีลและสำหรับการบำเพ็ญภาวนา หรือในการรักษาศีล ก็รักษาพอเป็นพื้นฐานของความสัมพันธ์ในสังคมที่ดีงาม สูงขึ้นไปก็เป็นพื้นฐานในการบำเพ็ญสมาธิอะไรต่างๆ เหล่านี้ เรียกว่าเป็นการบำเพ็ญกุศลทำความดีในขั้นพื้นฐาน สำหรับการก้าวไปสู่ธรรมะขั้นสูงขึ้นไป

    อีกระดับหนึ่ง บางทีเราอาจจะอยากปฏิบัติให้ยิ่งกว่านั้น จึงมีการทำดี ในขั้นเป็น “บารมี” ซึ่งก็เป็นเรื่องที่น่าสนใจขั้นหนึ่ง คือบางท่านไม่ได้คิดแต่เพียงว่า ทำบุญ หรือทำความดีเป็นพื้นฐานเบื้องต้นเท่านั้น แต่อยากจะทำให้เป็นบารมี ซึ่งเป็นคำสำคัญอย่างหนึ่ง ผู้ใดต้องการจะทำความดีให้ยวดยิ่งให้เป็นพิเศษ ก็ทำให้ถึงขั้นเป็นบารมี

    ในขั้นบารมี ถามว่าบารมีเป็นอย่างไร คำว่า “บารมี” นั้นก็คล้ายๆ กับคำที่เราเคยได้ยินบ่อยๆ เราเคยได้ยินคำที่พูดว่า บรม หรือปรม คำว่าบรมหรือปรมนี้เป็นคำชุดเดียวกับบารมี และคำว่าบารมีนั้น ก็มาจากคำว่าบรมหรือปรมนั่นเอง

    บรมหรือปรมแปลว่าอย่างยิ่ง เช่นบรมสุข ก็แปลว่าความสุขอย่างยิ่ง หรือเราเรียกบุคคลที่สูงสุด อย่างที่นำมาใช้กับสมเด็จพระราชินี ก็เรียกพระบรมราชินี ใช้กับบุคคลก็ตาม ใช้กับอะไรก็ตาม ก็ใช้ในระดับสูงอย่างยิ่ง หรือสูงสุด

    คำว่าบรม ก็มาเป็นบารมี “บารมี ก็คือธรรมะ หรือ คุณธรรมที่บำเพ็ญอย่างยิ่งยวด เพื่อจะบรรลุจุดหมายที่สูงส่ง”

    จะเห็นว่าเป็นเรื่องสูงทั้งนั้น การปฏิบัติและคุณธรรมที่ปฏิบัตินั้น ก็บำเพ็ญอย่างยิ่งยวด และบำเพ็ญไปก็มีจุดหมายที่จะบรรลุถึงสิ่งที่ดีงามสูงสุด เช่นเพื่อจะเป็นพระพุทธเจ้า

    ยกตัวอย่างพระพุทธเจ้าของเรานี้ แต่ก่อนก็เป็นพระโพธิสัตว์ซึ่งได้บำเพ็ญธรรมะต่างๆ ธรรมะที่พระองค์บำเพ็ญนั้น มีจุดหมายสูงยิ่งว่าจะเป็นพระพุทธเจ้า ก็เลยบำเพ็ญอย่างยิ่งยวด เหนือกว่าที่คนธรรมดาจะทำได้ จึงเรียกว่าเป็น “บารมี”

    บารมีทำได้หลายอย่าง และมีหลายขั้น

    ธรรมะต่างๆ ที่สามารถจะบำเพ็ญให้เป็นบารมีได้ก็มีมาก อย่างพระพุทธเจ้าของเรานี้ ต้องบำเพ็ญคุณธรรมสำคัญที่เป็นหลักถึง 10 ประการ ขอยกเอาแต่ชื่อธรรมนั้นๆ พอให้เห็นว่าพระพุทธเจ้าของเราบำเพ็ญบารมีอะไรบ้าง ดังนี้

    ทาน การให้ ในที่นี้เน้นการให้ด้วยน้ำใจเสียสละอย่างยิ่ง

    ศีล การรักษากายวาจาให้อยู่ในวินัยและวัตรปฏิบัติที่สูงขึ้นไป

    เนกขัมมะ การสลัดความสุขส่วนตัว การเสียสละเรื่องทางโลกทั่วไป เช่นที่ปรากฏเป็นการออกบวช

    ปัญญา ความรู้เข้าใจสังขาร หยั่งเห็นสัจธรรม

    วิริยะ ความเพียร

    ขันติ ความอดทน

    สัจจะ ความจริง จริงใจ จริงวาจา จริงกาย (ทำจริง)

    อธิษฐาน ความตั้งใจมุ่งมั่นเด็ดเดี่ยว

    เมตตา ความปรารถนาดีต่อเพื่อนมนุษย์ สัตว์ร่วมโลกทั้งหลาย

    อุเบกขา ความวางใจเป็นกลางได้ ความดำรงอยู่ในธรรมไม่หวั่นไหวเอนเอียง

    นี่คือคุณธรรมต่างๆ ที่ว่าพระพุทธเจ้าได้ทรงบำเพ็ญอย่างยิ่งยวด

    แม้บารมีนี้เอง ก็ยังแบ่งเป็นขั้นๆ ที่จริงเป็นบารมีก็ยิ่งยวดอยู่แล้ว แต่ยิ่งยวดก็ยังแบ่งเป็นยิ่งยวดขั้นธรรมดา ยิ่งยวดขั้นสูงขึ้นไป และยิ่งยวดขั้นสูงสุด

    ยิ่งยวดขั้นธรรมดา เรียกว่าบารมีเฉยๆ ถ้ายิ่งยวดสูงขึ้นไปอีก ขั้นจวนสูงสุด เรียกว่าอุปบารมี และบำเพ็ญยิ่งยวดขั้นสูงสุดทีเดียว เรียกว่าปรมัตถบารมี

    ยกตัวอย่างง่ายๆ เช่นจะบำเพ็ญทาน พระพุทธเจ้าเมื่อยังเป็นพระโพธิสัตว์ก็บำเพ็ญเอาจริงเอาจังมาก ทำอย่างสม่ำเสมอ ถ้าทำในขั้นต้น เป็นบารมีธรรมดา ก็คือสละทรัพย์สินสิ่งของมากมายช่วยเหลือมนุษย์ทั้งหลาย เห็นคนยากจน คนตกยากลำบากมีความทุกข์อะไรต่างๆ ก็พยายามช่วยเหลือ ขั้นนี้เรียกว่าทานบารมี

    ถ้าเสียสละขั้นสูงขึ้นไป บางคราวมีเหตุจำเป็นต้องถึงกับเสียสละอวัยวะของตน ก็สละให้ได้ การเสียสละขั้นนี้ เรียกว่าอุปบารมี

    ในบางครั้ง เช่นว่าจะรักษาธรรมะ รักษาความถูกต้องดีงาม รักษาสัจธรรมไว้ ต้องเสียสละอย่างสูงสุด ถึงกับเสียสละชีวิตก็ต้องทำ อย่างที่พระพุทธเจ้าทรงเคยเสียสละชีวิต ในตอนที่เป็นพระโพธิสัตว์ ทานที่บำเพ็ญถึงขั้นนี้ เรียกว่าปรมัตถบารมี เป็นบารมีขั้นสูงสุดในด้านทาน

    คุณธรรมอื่นๆ ก็เหมือนกัน ก็แบ่งเช่นนี้ คือ ชั้นยิ่งยวดธรรมดาเป็นบารมี ขั้นสูงเป็นอุปบารมี และขั้นสูงสุด เป็น ปรมัตถบารมี


    ทำความดีขนาดไหน จึงจะได้เป็นบารมี

    เราชาวพุทธหรือผู้ศึกษาธรรมทั้งหลายนี้ ถ้าต้องการปฏิบัติธรรมให้เป็นบารมี ก็ต้องตั้งใจจริงจัง โดยมีจุดหมายสูงสุด

    มีจุดหมายสูงสุดคืออะไร ก็เช่นตั้งเป้าหมายจะเป็นพระพุทธเจ้า หรือแม้แต่ตั้งเป้าหมายว่าจะเป็นพระมหาสาวก จะบรรลุธรรม เป็นพระอรหันต์ผู้หมดกิเลส คือมีเป้าหมาย ไม่ใช่บำเพ็ญอย่างเลื่อนลอย นี่เป็นประการที่หนึ่ง ซึ่งเป็นลักษณะของบารมี คือมีจุดมุ่งหมาย ไม่ใช่ทำอย่างเลื่อนลอย

    ประการที่ 2 ทำอย่างจริงจังสม่ำเสมอ ไม่ใช่ทำๆ หยุดๆ ต้องเอาจริงเอาจัง อย่างพระพุทธโพธิสัตว์ในชาติหนึ่งๆ ก็จะมีบารมีที่เป็นจุดเด่นอย่างหนึ่งว่าจะบำเพ็ญคุณความดีข้อนี้ แล้วก็ทำอย่างจริงจัง เช่น ในพระชาติใดถือสัจจะคือความจริง ก็ตั้งมั่นอยู่ในความจริงมั่นคง ซื่อสัตย์สม่ำเสมอตลอดไปไม่ยอมทำให้คลาดเคลื่อนจากความจริง ถ้าทำได้อย่างนี้ก็อยู่ในระดับบารมี

    ประการต่อไป ลักษณะของบารมี คือมีการสะสม เพิ่มพูนมากขึ้นๆ เรื่อยๆ จนกระทั่งมีลักษณะหนึ่งคือ เกิดความเคยชิน คนที่บำเพ็ญคุณธรรมอย่างใดอย่างหนึ่งเป็นประจำสม่ำเสมอและสั่งสมมามาก จะมีความเคยชินในการประพฤติปฏิบัติสิ่งนั้น จนกระทั่งกลายเป็นการแสดงออกอย่างอัตโนมัติเป็นไปเอง

    เหมือนคนที่บำเพ็ญเมตตา มีความปรารถนาดีต่อผู้อื่นอยู่เสมอ ตั้งใจที่จะช่วยเหลือคนทั้งหลาย ก็จะมีอาการแสดงออกเป็นความเอื้อเฟื้อเกื้อกูลพร้อมที่จะช่วยเหลือด้วยความ ยิ้มแย้มแจ่มใส เมื่อทำเป็นประจำสม่ำเสมอเอาจริงเอาจัง ต่อมาก็จะเป็นนิสัยประจำตัว มีการแสดงออกเป็นอัตโนมัติ โดยไม่ต้องตั้งใจ

    คนอ่อนแอ ไปไม่ถึงบารมี

    แม้แต่คุณธรรมที่ประพฤติปฏิบัติกันโดยทั่วไปนี้ ก็ต้องระลึกไว้ว่า ไม่ใช่ทำนิดๆ หน่อยๆ ก็จะเห็นผล บางคนพอปฏิบัติธรรมสักอย่างไปนิดหน่อย ก็นึกแต่จะเอาผล ชอบเรียกร้องว่าทำไมจึงยังไม่ให้ผล บางทีก็เกิดความท้อใจ แต่ที่แท้ตัวเองมิได้ปฏิบัติอย่างจริงจัง

    ยกตัวอย่างเช่นคนบางคน ตั้งร้านค้าขึ้นมาร้านหนึ่ง ทำการค้าขายโดยสุจริต แต่ไม่ค่อยได้กำไร เกิดความรู้สึกว่าเมื่อค้าขายตรงไปตรงมาไม่ค่อยได้ผล ก็ชักจะท้อใจ

    แต่ถ้าเขามีความมั่นคงในงานซื่อสัตย์สุจริตนั้น ทำไปทำมาจนกระทั่งในที่สุดคนรู้แพร่หลายกระจายกว้างขวางถึงระดับหนึ่ง คนทั่วไปก็เกิดมีความเชื่อถือ พอนึกถึงหรือพูดถึงคนนี้หรือร้านนี้แล้ว เขาก็รู้กันทั่วไปเข้าใจทันทีว่า เจ้านี้ละตรงไปตรงมา ซื่อสัตย์สุจริต จนกระทั่งว่าถ้าเข้าร้านนี้แล้วไม่ต้องต่อราคาเลย อย่างนี้ก็เรียกว่าพอจะอยู่ในระดับเป็นบารมีได้ คือทำอย่างจริงจังและเป็นประจำสม่ำเสมอ มีความคงเส้นคงวา จนทำให้เกิดความเชื่อถือ

    พูดง่ายๆ ว่า บุคคลบางคนบำเพ็ญคุณธรรมบางอย่างเป็นประจำ จนกระทั่งคุณธรรมนั้นปรากฏออกมาในกิริยาอาการลักษณะทั่วไป คนไหนเห็นแล้วก็รู้จักคนนั้นในลักษณะของคุณธรรมข้อนั้นไปเลย นี่เรียกว่าเป็นการบำเพ็ญในระดับที่เรียกว่าเป็นบารมี


    นึกถึงพระพุทธเจ้าเป็นแบบอย่าง จะได้ไม่ท้อใจ

    ฉะนั้น ขอให้เรานึกถึงพระพุทธเจ้า จะได้ไม่ท้อใจ เพราะถ้าเราไม่มีตัวอย่าง เราก็จะท้อใจว่า ได้บำเพ็ญธรรมะข้อนี้ไปแล้วก็ยังไม่เห็นผลอะไร เลยท้อใจคิดว่าจะเลิก อย่าทำดีกว่า คนอื่นเขาไม่เห็นต้องลำบากอย่างนี้ บางคนทำไม่ดีกลับได้ผล ก็ทำให้ไม่สามารถปฏิบัติก้าวหน้าไปได้

    แต่ถ้านึกถึงพระพุทธเจ้าและมองไปตามพระประวัติของพระองค์ ได้คิดว่าบางครั้งพระองค์ทำความดีแล้วต้องประสบความทุกข์ ถูกคนอื่นข่มเหงรังแกเดือดร้อนมากมาย แต่พระองค์ก็ไม่เคยยอมท้อถอยเลย ประวัติของพระพุทธเจ้าครั้งเป็นพระโพธิสัตว์ เป็นแบบนี้มาก แต่พระองค์ก็ยืนหยัดในความดีนั้น จนประสบความสำเร็จจากการทำความดีของตนเอง แต่ต้องอาศัยกาลเวลายาวนาน และมีความมั่นคง มีความอดทนเป็นอย่างยิ่ง เพราะฉะนั้น คุณธรรมที่บำเพ็ญในระดับบารมีจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง

    การที่เรายึดเอาพระพุทธเจ้าเป็นตัวอย่าง เป็นที่ระลึก ก็เพราะจะได้เป็นเครื่องส่งเสริมกำลังใจของตนเองด้วย

    อย่างเรามีพระพุทธรูปไว้นี้ นอกจากระลึกถึงพระพุทธคุณที่สวดกันว่า
    อรหํ สมฺมาสมฺพุทฺโธ ภควา พุทฺธํ ภควนฺตํ อภิวาเทมิ

    หรือ สวดบทยาวเป็นพุทธคุณ ๙ ประการว่า
    อิติปิ โส ภควา อรหํ สมฺมาสมฺพุทฺโธ ฯเปฯ แล้ว

    ซึ่งเรามักระลึกถึงพระคุณทั่วๆ ไป แบบนึกกว้างๆ ลางๆ แต่บางทีเราก็ไม่ได้แยกแยะให้ลึกซึ้งในแต่ละด้าน ความจริงนั้นถ้าเราแยกออกไปให้ละเอียด เราจะเห็นพระคุณแต่ละข้อๆ ว่าพระองค์ได้ฝึกพระองค์มาอย่างไร พัฒนาตนเองมาอย่างไร ได้บำเพ็ญคุณธรรมมาลำบากลำบนเสียสละแค่ไหน ประสบความยากลำบากแค่ไหน ถ้าเราได้เห็นปฏิปทาของพระองค์อย่างนั้นแล้ว จะได้มาเป็นเครื่องเตือนใจให้เรามีความเข้มแข็งอดทนในความดี

    แม้แต่ในชาติปัจจุบันเราก็ยังเห็นว่า พระพุทธเจ้าทรงมีความเสียสละเป็นอย่างยิ่ง การที่จะได้ตรัสรู้นี้ไม่ใช่ง่ายๆ ต้องเสียสละชีวิตที่มีความสุขสำราญในรั้วในวัง สละทรัพย์สมบัติทุกสิ่งทุกอย่างออกไปอยู่ป่า และตอนที่ไปอยู่ในป่าพระองค์ต้องลำบากทุกข์ยากขนาดไหน อดๆ อยากๆ ถูกคนที่เขามาล้อมาเลียน มาทำอะไรต่างๆ โดยที่ว่าพระองค์ไม่ถือสา ต้องผจญกับความหวาดกลัวต่างๆ แล้วก็จาริกไปศึกษาเล่าเรียนในสำนักต่างๆ ปฏิบัติทุกอย่างเท่าที่จะทำได้ จนในที่สุดประสบความสำเร็จด้วยความเพียรของพระองค์ อย่างพุทธภาษิตที่ว่า

    วิริเยน ทุกฺขมจฺเจติ
    คนล่วงทุกข์ได้ด้วยความเพียร

    หมายความว่า จะประสบความสำเร็จพ้นจากความทุกข์ได้ก็ด้วยความเพียร อันนี้เป็นลักษณะอย่างหนึ่งของพระพุทธเจ้า

    ถ้าเราได้ศึกษาประวัติของพระพุทธเจ้าในแง่ด้านต่างๆ ได้เห็นตัวอย่างการทำความดีของพระองค์แล้ว ก็จะมาเป็นเครื่องเตือนใจ และเป็นแบบอย่างแก่เราทั้งหลาย ทำให้เรามีความเข้มแข็งอดทน มีกำลังใจในการที่จะทำความดี ไม่ท้อถอย ไม่หวั่นระย่อต่ออุปสรรคและความทุกข์ยากต่างๆ

    ระลึกถึงการบำเพ็ญบารมีของพระพุทธเจ้า
    แล้วน้อมบารมีเข้ามาสู่ตัวของเรา


    นอกจากนั้น ในเวลาที่บำเพ็ญคุณธรรมความดีเหล่านั้น แม้จะมีความทุกข์ความลำบากในภายนอก แต่จิตใจมีความสุข คือ มีความสุขในการที่จะทำความดี มีความปลาบปลื้มใจอยู่เสมอ นี้ก็เป็นคติอย่างหนึ่งที่เราควรจะได้จากการบำเพ็ญคุณธรรมขั้นยิ่งยวดที่ เรียกว่าบารมี

    ในแง่หนึ่งก็คือ การมองบารมีจากตัวอย่างการปฏิบัติของพระพุทธเจ้า แล้วโยงมาสู่การที่จะสร้างให้เป็นบารมีของตัวเราเอง

    เพราะฉะนั้น ท่านผู้ใดที่ต้องการจะปฏิบัติธรรม ในขั้นที่ว่าให้เป็นพิเศษขึ้นไป โดยมานึกว่า เราจะไม่หยุดอยู่เพียงการปฏิบัติคุณธรรมขั้นพื้นฐาน หรือเพียงเป็นบันไดขั้นต่อไปๆ เท่านั้น แต่เราจะบำเพ็ญคุณธรรมในระดับที่เรียกว่าเป็นบารมี คือการบำเพ็ญอย่างยิ่งยวด เพื่อบรรลุจุดหมายที่สูงส่ง ก็จะเป็นการประพฤติปฏิบัติธรรมอีกระดับหนึ่ง ซึ่งจะนำผลดีมาให้ในระยะยาว นำไปสู่คุณประโยชน์อย่างกว้างขวางและสูงส่งแก่โลก

    ที่ได้กล่าวมาในวันนี้ เป็นการพูดถึงการปฏิบัติธรรมอีกแบบหนึ่ง ในชุดที่เรียกว่าบารมี ซึ่งมีความหมายดังที่ได้กล่าวมา การที่พูดนี้ก็เพื่อเป็นเครื่องประดับสติปัญญาของญาติโยม ให้เข้าใจเรื่องการปฏิบัติธรรมที่เรียกว่าบารมี นับว่าเป็นขั้นที่ 1 คือพูดพอเป็นความรู้ความเข้าใจ และถ้าจะให้ได้ผลยิ่งขึ้นไป ก็คือท่านผู้ใดเห็นว่าเราน่าจะทำในขั้นนั้นบ้าง ก็นำมาประพฤติปฏิบัติตามอย่างจริงจัง บารมีก็จะเกิดขึ้นในตัวของเรา


    บารมีแบบไทย เสี่ยงภัย ต้องระวัง

    ในภาษาไทยนั้น เรานำคำว่าบารมีมาใช้กันผิดมากถูกน้อย โดยเฉพาะในยุคปัจจุบัน เดี๋ยวนี้คำว่าบารมีมีความหมายเพี้ยนไป เราเห็นว่าคนไหนมีอิทธิพล มีเงินมีอำนาจ ยิ่งใหญ่ ก็เรียกว่าเขามีบารมี เวลาพูดว่าคนนี้มีบารมีมาก ก็หมายความว่ามีพวกพ้องบริวารมาก หรือมีอิทธิพลมาก สามารถจะทำอย่างนั้นอย่างนี้ได้ เรียกว่าเป็นบารมี ความหมายที่เพี้ยนไปนี้คือไปมองที่ผล เอาผลที่เกิดขึ้น แต่ของพระท่านมองที่เหตุ คือ การทำเหตุ “การทำความดีที่เป็นตัวเหตุ เรียกว่าเป็นบารมี”

    แต่คนไทยเรามามองที่ผล ว่าคนที่มีกำลังมีอิทธิพลอย่างนั้นแล้วเรียกว่าเป็นบารมี ก็เลยเป็นความหมายที่เคลื่อนคลาดไป ถ้าจะปฏิบัติให้ถูกต้องตามหลักพระพุทธศาสนา จะต้องไปเน้นที่ตัวการประพฤติปฏิบัติ หรือตัวคุณธรรมที่จะบำเพ็ญนั้น แล้วทำ “เหตุ” สำเร็จแล้ว ก็จะเกิดเป็น “ผล” ขึ้นเอง และเป็นผลที่ดีงาม เป็นคุณแท้จริง ไม่ใช่อิทธิพลที่ส่งผลร้ายคุกคามข่มขี่คนอื่น

    ถ้าเราตั้งใจทำความดีอย่างจริงจัง ก็จะเกิดเป็นบารมีขึ้นมาอย่างที่ว่า คนที่ทำความดีจนกระทั่งเห็นกันชัดๆ คนรู้กันทั่วไป เป็นที่เชื่อถือในเรื่องนั้นๆ ได้รับความเคารพนับถือในระดับนั้นๆ ก็เพราะเขาได้สั่งสมบารมีมามาก เราก็เลยเรียกสั้นๆ ว่า เขามีบารมีมาก ก็คือเขามีคุณธรรมความดีที่ได้สั่งสมมามากนั่นเอง

    เราจะต้องพยายามทำความเข้าใจในเรื่องบารมีให้ถูกต้อง พยายามตรวจสอบกันอยู่เสมอ ในภาษาไทยนี้คำศัพท์ต่างๆ ทางธรรมะที่นำมาใช้นั้น ความหมายคลาดเคลื่อนไปไกลก็มีมากมาย ศัพท์ประเภทนี้คนนำมาใช้ต่อๆ ตามๆ กัน แล้วความหมายก็เลือนไป


    คำศัพท์ธรรมในภาษาไทย
    ต้องสะสางความเข้าใจกันให้ดี


    ตัวอย่างง่ายๆ คำหนึ่ง คือ “สังเวช” คำว่าสังเวชนี้ ภาษาไทยนำมาใช้กลายเป็นเสียเลย คือมักมาเข้าใจกันไปว่า สลดหดหู่ใจ ถ้าสังเวชอย่างนี้ก็เป็นกิเลส เป็นนิวรณ์ ทำให้ใจไม่เข้มแข็ง ไม่มีกำลังใจที่จะปฏิบัติธรรม

    ขอให้ระลึกว่า ในการปฏิบัติธรรม ต้องมีจิตใจเข้มแข็ง มีกำลังใจแกล้วกล้า ถ้าไปหดหู่ท้อถอยก็ไม่เป็นธรรมะ เพราะฉะนั้น ก็ไม่เป็นกุศล

    สังเวชนี้ คำเดิมหมายถึง “เร้าใจให้ได้สำนึก” หรือเร้าใจให้ได้คิด คือ ให้ฉุกใจได้คิดถึงคุณความดีว่า เราอย่ามัวประมาท เราต้องเร่งขวนขวายทำความดีนะ ถ้าเห็นเหตุการณ์อะไรอย่างใดอย่างหนึ่ง เหตุการณ์นั้นเร้าใจเราให้เกิดความคิด ให้หยุดยั้งความชั่วร้ายเหลวไหล และหันมาสู่ความถูกต้องดีงาม หรือว่าเรากำลังมีความมัวเมา ลุ่มหลงอะไรอยู่ เหตุการณ์นั้นสิ่งนั้นกระตุกหรือกระตุ้นใจ ทำให้เราหยุดชะงักแล้วหันมาคิดในทางที่ดี เกิดกำลังที่จะหันมาสร้างสรรค์ความดี ความรู้สึกอย่างนั้น เรียกว่าเกิดความสังเวช

    เพราะฉะนั้น เรื่องศัพท์ธรรมะในภาษาไทยนี้จะต้องมีการตรวจสอบกันหลายคำ ที่พูดมานี้เป็นเพียงตัวอย่าง วันนี้อาตมามุ่งไปพูดคำว่าบารมีก็พอสมควรแก่เวลา

    ที่พูดนี้ก็เป็นการเริ่มต้น ถ้าหากจะมีการสนทนาธรรมกัน บางทีโยมอาจจะมีข้อสงสัยอะไร แม้แต่ในเรื่องศัพท์แสงต่างๆ ก็นำมาเสนอต่อไปได้

    ตอนนี้ อาตมาก็ขออนุโมทนาคุณโยมมิสโจ พร้อมทั้งญาติมิตร ลูกศิษย์ ท่านที่เคารพนับถือ ที่ได้ทำบุญถวายภัตตาหารในวันนี้ และได้บำเพ็ญธรรมทาน ด้วยการสร้างหนังสือธรรมะในพระพุทธศาสนาแจกจ่ายกันไป เพื่อให้เกิดความรู้ เกิดแสงสว่างแห่งปัญญาให้ก้าวหน้าในธรรมต่อไป

    ขอให้พลังกุศลนี้ ประกอบเข้ากับอานุภาพของคุณพระรัตนตรัย จงเป็นปัจจัยอภิบาลรักษาทุกท่านให้มีความร่มเย็นเป็นสุข เจริญด้วยจตุรพิธพรชัย มีกำลังกาย กำลังใจ กำลังสติปัญญา ในการที่จะดำเนินชีวิต และทำกิจหน้าที่การงาน ให้ประสบความก้าวหน้า และความสำเร็จ และจงงอกงามในพระธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตลอดกาลนาน เทอญ


    ธรรมจักร
     

แชร์หน้านี้

Loading...