จงมีสายตาที่ "ทะลุทะลวงผ่านมิติทั้งเจ็ด" แล้วท่านจะเห็นนิพพาน!

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย anakarik, 28 มิถุนายน 2011.

  1. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    โลกดั่งมายาภาพหลอกหลอน ที่ดวงตาอันหยาบของเรา ตกเป็นทาสของ
    โลกนี้เสมอ ทำให้เราเห็นสิ่งต่างๆ บิดเบือนไม่ตรงสัจธรรม และพอกพูนไป
    สู่ความหลงผิด (อวิชชา) เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แท้แล้ว "สัจธรรมทั้งหลายล้วนมี
    อยู่แล้ว และปรากฏอยู่ตรงหน้าท่านทั้งสิ้น" ทว่า ท่านไม่เห็นสัจธรรมเหล่า
    นั้นเพราะดวงตาแห่งธรรมที่ฝ้าฟาง เหมือนคนสวมแว่นที่เปรอะเปื้อนจึงไม่
    อาจมองเห็นสิ่งที่อยู่ตรงหน้าได้ตามจริงฉะนั้น นี่เพราะท่านทั้งหลายก็ล้วน
    อยู่ในร่างกายสังขารอันหยาบ จึงถูกความหยาบเหล่านั้นบดบังสัจธรรมจน
    หมดสิ้น เมื่อจิตที่ประภัสสรบริสุทธิ์ อยู่แล้ว แต่อยู่ในสังขารที่หยาบนั้น จึง
    ไม่อาจเข้าถึงสัจธรรมได้ ก็ด้วยถูกมิติแห่งสังขารครอบงำและบดบังนั่นเอง
    การที่จิตอันประภัสสรแล้วนั้นจะเข้าถึง เป็นหนึ่งเดียวกับธรรมได้ ก็ด้วยการ
    ทะลุทะลวงผ่านมิติของโลกนี้ทั้ง ๗ มิติให้ได้ ไม่เช่นนั้น โลกที่ซับซ้อนไป
    ด้วย "มิติทั้ง ๗" ย่อมจะบดบังสัจธรรมความจริงของบุคคลทั้งหลายต่อไป
    และนำท่านไปสู่ตัณหา, อุปทาน, อวิชชา, กิเลส และทุกข์ในท้ายที่สุด ซึ่ง
    ท่านเคยได้สัมผัสมันแล้ว เคยถูกโลกหลอกหลอนท่านมาแล้ว และท่านได้
    รับความทุกข์เพราะการหลอกหลอนของโลกนี้มานานมากพอแล้ว บัดนี้เป็น
    ช่วงโอกาสที่ดี ที่ท่านจะได้รับการปลดปล่อยจากมิติทั้งเจ็ดอันซับซ้อนของ
    โลก ที่ครอบงำหลอกหลอนท่าน ให้ท่านต้องตกเป็นทาสของโลกนี้เรื่อยไป
    ให้ท่านได้เห็นโลกตามจริงจากมิติทั้งเจ็ดและเห็นตรงสู่นิพพานพร้อมกัน...
     
  2. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    โลกในมิติที่หนึ่ง "มิติแห่งธาตุดิน" คือ ความเป็นตัวเป็นตน, เป็นรูปเป็นร่าง


    ในมิติแรกที่หยาบที่สุดนี้ ท่านสามารถเห็นได้อย่างง่ายดายด้วยดวงตาเนื้อของท่าน
    แต่ท่านกำลังถูกสิ่งที่ท่านเห็นนั้นหลอกหลอนอยู่ เพราะสิ่งที่ท่านเห็นนั้น ก็เป็นเพียง
    "แสงสะท้อนจากดวงอาทิตย์" ลงสู่สิ่งหนึ่งๆ แล้วสะท้อนเข้าสู่ดวงตาของท่านอีกที
    นี่คือ "การอำพราง" ของแสงอาทิตย์ แต่นั่นก็ทำให้ท่านสามารถทำงานภายใต้แสง
    อาทิตย์ในยามกลางวันได้โดยง่าย เมื่อใดที่ท่านเปิดดวงตาแห่งพระจันทร์แล้ว ท่าน
    "จะสามารถเห็นได้แม้ยามกลางคืน" เพราะอาศัยแสงจากพระจันทร์ซึ่งเป็นแสงที่ไม่
    อาจมองเห็นได้ด้วยตาเนื้อ เป็นคลื่นพลังงานเย็นเยือกที่แผ่ออกมาจากดวงจันทร์ ที่
    เราเห็นดวงจันทร์เพราะดวงจันทร์สะท้อนแสงอาทิตย์เข้าสู่โลกแต่แท้แล้วดวงจันทร์
    ก็มีคลื่นแสงในตัวเอง เช่นเดียวกันทุกสิ่ง ที่มีคลื่นแสงในตัวเองทั้งสิ้น แต่ดวงตาเนื้อ
    ของมนุษย์จะรับแสงที่สะท้อนจากดวงอาทิตย์ได้ดีที่สุด และแทบจะรับแสงที่มาจาก
    แหล่งคลื่นพลังงานอื่นๆ ไม่ได้เลย ดังนั้น เราจึงกล่าวแก่ท่านว่า "ท่านถูกโลกหลอก"
    ทำให้ท่านเห็นสิ่งต่างๆ มีตัวมีตน เป็นตัวๆ เป็นก้อนๆ เหมือนธาตุดิน ที่ดูมีตัวตนเป็น
    ตัวๆ ก้อนๆ เป็นของแข็ง แท้แล้วทั้งหมดทั้งมวลนี้ ล้วนไม่เที่ยง ไม่จีรัง ไม่ใช่ตัวตน
    ที่จะยึดเป็นตัวใครของใครได้เลย ไม่นาน กาลเวลาก็แสดงธรรมให้ท่านเห็นถึงความ
    เปลี่ยนแปลงและไม่จีรังของสิ่งทั้งหลายที่ดูเหมือนมีตัวตน เป็นก้อนๆ เป็นของแข็ง,
    เป็น "มิติแห่งธาตุดิน" นี้ เมื่อท่านเห็นได้อย่างนี้แล้ว ท่านจะได้รับการปลดปล่อยไป
    จากกรงขังแห่งมิติของธาตุดิน ท่านจะอยู่เหนืออำนาจครอบงำของของแข็งต่างๆ ..
     
  3. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    โลกในมิติที่สอง "มิติแห่งธาตุน้ำ" คือ ความเป็นตัวเป็นตนไม่ชัดเจนเปลี่ยนได้


    ในมิติที่สอง มีความละเอียดเพิ่มขึ้นกว่ามิติแรกเล็กน้อย เมื่อท่านมอง "โลกทั้งใบ" ให้
    เหมือนมีแต่ "ธาตุน้ำ" อย่างเดียว ท่านจะเห็นโลกใบนี้ เหมือนน้ำ เหมือนของเหลว ที่
    มีตัวตนอยู่บ้าง แต่แปรเปลี่ยนสภาพจากรูปหนึ่ง ไปสู่อีกรูปหนึ่ง เมื่อผ่านการมองระยะ
    ยาว โลกเหมือนจะไหลไปมา พื้นผิวแปรเปลี่ยนแล้วหมุนเวียนเคลื่อนไหวได้ ทุกอย่าง
    จะดูคล้ายน้ำที่ไหลลื่น เปลี่ยนแปลงไปจากรูปหนึ่ง สู่รูปหนึ่ง จากจุดหนึ่ง ไปสู่จุดหนึ่ง
    ราวกับสายน้ำที่ไหลได้ฉะนั้น โลกทั้งโลกในมิติแห่งธาตุน้ำนี้ล้วนไหลไปมาแปรเปลี่ยน
    ไปเรื่อยๆ อนิจจัง, ไม่แน่นอน แต่มันก็ยังดู "เหมือนมีตัวตนอยู่ดี" คือ ดูเหมือนเป็นน้ำ
    นั้นเอง นี่คือ "มายาภาพแห่งมิติธาตุน้ำ" ที่หลอกหลอนท่าน ให้ท่านติดอยู่ในภาพนั้น
    ทำให้ท่านไม่อาจทะลุทะลวงผ่านไปสู่มิติที่ละเอียดขึ้นไปกว่านี้ได้ ขอให้ท่านลองดูว่า
    โลกในเวลาอันยาวนานแต่เหมือนย่อย่นให้สั้น และไหลเวียนไปมาได้ทั้งโลกนี้ มีตัวตน
    เหมือนธาตุน้ำจริงอยู่หรือ ในเมื่อความแปรปรวนนี้ในระดับที่ละเอียดขึ้นล้วนมีแต่ความ
    แปรปรวนฟุ้งกระจาย ของสิ่งต่างๆ ที่ปรุงประกอบกันขึ้นมาจนดูคล้ายมีตัวมีตนก็เท่านั้น
     
  4. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    โลกในมิติที่สาม "มิติแห่งธาตุลม" คือ ความไม่มีตัวตน ว่างเปล่า เปลี่ยนแปลงได้


    ในมิติที่สาม ให้ท่านพิจารณาธาตุทั้งหลายให้ละเอียดลึกลงไปอีก เหมือนเห็นโลกทั้งใบนี้
    ไม่ใช่น้ำที่แปรปรวนลื่นไหลไปมาอีกต่อไป ท่านจะเห็นเหมือนโลกเป็นเพียงอากาศธาตุ ที่
    ประกอบด้วยธุลีเล็กๆ เหมือนฝุ่งผงประกอบกันขึ้นมาจนหนาแน่นเท่านั้น ไม่ม่ตัวตนของตน
    ที่ชัดเจนชัดแจ้ง ในระดับธาตุที่ละเอียดสุดละเอียดนี้ เกือบเป็นความว่าง แต่มันไม่ใช่ความ
    ว่าง เพราะมันมีอะไรบางอย่าง ขับเคลื่อน และเกิดการแปรปรวน, เปลี่ยนแปลง, เคลื่อนที่
    ไปได้อย่างสับสนอลหม่าน จนรวมๆ ตัวกันเป็นโลกใบนี้ เมื่อท่านเห็นโลกในลักษณะนี้แล้ว
    ดวงตาของท่านกำลังทะลุทะลวงเข้าสู่ "มิติที่สาม" ให้ท่านพิจารณาดูความแปรปรวนของ
    โลกใบนี้เหมือน "พายุก้อนใหญ่" ที่มารวมตัวกันจนดูเป็นก้อนกลมๆ ที่เรียกว่า "โลก" ใบนี้
    ท่านเห็นแต่อากาศในอณูอันละเอียดต่างๆ ที่ปรุงประกอบกันขึ้นมาเท่านั้น แล้วท่านก็ค่อยๆ
    พิจารณาละเอียดลงไปในอณูพื้นฐานเหล่านั้น ที่มีที่มาจากอณูธาตุเดียวกันแต่ปรุงประกอบ
    ไปแตกต่างกัน ทำให้ดูเหมือนมีสัณฐาน, รูปพรรณ, สีสันที่แตกต่างกันแต่แท้แล้วในระดับที่
    ละเอียดที่สุดนั้น มันไม่ต่างกันเลย มันเหมือนกับอากาศว่างเปล่าที่แปรปรวนไปมาเท่านั้น..
     
  5. Red Leaf

    Red Leaf เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    1,397
    ค่าพลัง:
    +4,547
  6. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    โลกในมิติที่สี่ "มิติแห่งธาตุไฟ" คือ ความไม่มีตัวตน นิ่ง มีแต่แสงสว่าง


    ในมิติที่สี่ ท่านพิจารณาเห็นโลกทั้งใบที่คล้ายอากาศธาตุว่างๆ แปรปรวนไปมา
    แล้วเห็นความแปรปรวนทั้งหลาย ก็คือ "ธรรมดาของระบบธรรมชาติ" ที่เป็นอยู่
    เช่นนั้นเอง ไม่ใช่ความไม่นิ่ง หรือความนิ่ง แต่มันเป็นเช่นนั้นของมันเอง มันอยู่
    อย่างนี้มานาน จนไม่อาจนับได้แล้ว ท่านเห็นโลกทั้งใบ เหมือนไม่ใช่ลมรวมตัว
    กันเป็นก้อนๆ อีก ท่านเห็นเหมือนแสง, มีแต่พลังงานแสงเท่านั้น ที่ปรุงประกอบ
    รวมตัวกันจนเป็นอณูธาตุต่างๆ และแสงเหล่านี้ มีระบบ, ระเบียบในตัวเอง แม้มี
    ความไม่เที่ยง แต่ก็มีระบบของมัน นั่นคือ "ความนิ่ง" หรือ "ความคงที่ในความ
    แปรปรวน" มันไม่ยุ่งเหยิงเหมือนพายุที่แปรปรวนอีกต่อไป มันเหมือนแสงสว่าง
    ล้วนๆ ทั้งก้อน, ทั้งใบ, ทั้งโลกใบนี้เป็นเหมือนก้อนแสงสว่างแห่งธาตุไฟเท่านั้น
    ขณะที่ท่านเห็นอย่างนี้ ตาของท่านกำลังทะลุทะลวงผ่านมิติที่สี่คือ มิติแห่งธาตุ
    ไฟ ท่านเห็นโลกเหมือนก้อนแสงไฟที่สว่างไสวเท่านั้น ไม่มีอื่น ท่านก็ได้รับการ
    ปลดปล่อยจากมิติที่สาม, จากภาพของโลกที่มีแต่ธาตุลม อันแปรปรวนนั้นแล้ว
     
  7. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    โลกในมิติที่ห้า "มิติแห่งอากาสธาตุ" คือ ความไม่มีตัวตน นิ่ง และว่างเปล่า


    ในมิติที่ห้า ให้ท่านพิจารณาเห็นโลกทั้งใบ ที่คล้ายก้อนไฟอยู่แต่เดิมนั้น เป็นเหมือน
    ความไม่แตกต่างกันของทั้งจักรวาล ทั้งจักรวาลนี้ก็ประกอบด้วยแสงต่างๆ ทั้งแสงที่
    มองเห็นและมองไม่เห็น มีแต่คลื่นพลังงานอันละเอียดสุดละเอียด ไม่มีอื่น เป็นหนึ่ง
    ดุจเนื้อเดียวกัน ดังนั้น "แสงสว่างและความมืด" ก็ไม่ต่างกัน เพราะต่างก็มีคลื่นแสง
    เพียงแต่เรามองเห็นหรือไม่ก็เท่านั้น ความมืดก็มีคลื่นพลังงานที่มองไม่เห็นอยู่ ดังนี้
    โลกที่ท่านเห็นเป็นก้อนแสงสว่างอยู่เดิม ก็ไม่ต่างอะไรกับจักรวาลที่ท่านคิดว่ามืดมิด
    มันเป็นหนึ่งเนื้อเดียวกัน มีแต่ความเป็นพลังงานอันละเอียดสุดละเอียด ไม่ต่างกันไม่
    ว่าจะมีแสงสว่างหรือไม่มี เพราะมีความละเอียดสุดละเอียดที่เหนือกว่าไปอีกขั้น ก็คือ
    "ความว่างเปล่า" ที่รองรับทั้งหมดทั้งมวลนี้อยู่ และมันก็อยู่ในทุกความมี ดังนั้น โลก
    นี้ทั้งใบก็เต็มไปด้วย "ความว่างเปล่า" ทั้งสิ้น ราวกับที่ว่างๆ กลมๆ อันหนึ่งเท่านั้นเอง
    ขณะที่ท่านเห็นโลกเป็นความว่างเปล่าทั้งสิ้นนี้ ท่านกำลังทะลุทะลวงเข้าสู่มิติที่ห้าซึ่ง
    ท่านจะได้รับการปลดปล่อยออกจากมิติที่สี่ (มิติแห่งแสงสว่างธาตุไฟ) สู่มิติที่ห้าแล้ว
     
  8. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    โลกในมิติที่หก "มิติแห่งวิญญาณธาตุ" คือ ความเชื่อมโยงเป็นหนึ่งเดียวกันทั้งหมด


    ในมิติที่หกให้ท่านพิจารณาเห็นโลกทั้งใบ ที่ประกอบด้วยเส้นสายอันละเอียดของปราณหรือ
    "วิญญาณธาตุ" หรือ "พลังงานทิพย์" ที่เชื่อมโยงสิ่งต่างๆ เข้าด้วยกันจนไม่อาจจะแยกแยะ
    ออกจากกันได้ ทั้งความมีและความว่าง ล้วนถูกเชื่อมโยงประสานเข้าด้วยกันด้วยพลังทิพย์
    นี้ ที่เรียกว่า "ปราณ" หรือ "วิญญาณธาตุ" ก็ดี ทั้งจักรวาลก็เป็นเช่นนี้ และแน่นอนว่าโลกที่
    ท่านอยู่ทั้งใบ ก็ประกอบด้วยพลังงานทิพย์ที่เรียกว่า "ปราณหรือวิญญาณธาตุ" นี้ด้วย ไม่ว่า
    จะเป็นสิ่งที่ท่านคิดว่ามีชีวิตหรือไม่มีชีวิต ล้วนแต่มี "วิญญาณ" ทั้งสิ้น มีพลังทิพย์ภายในที่
    มองเห็นหรือไม่เห็นก็ตาม อยู่ทั้งสิ้น เช่น พัดที่ท่านใช้ เดิมมีพลังงานทิพย์อ่อนๆ อยู่ภายใน
    แต่เมื่อท่านใช่แล้ว ปราณในร่างท่านก็แผ่เข้าสู่พัดนั้น ทำให้พัดมีพลังงานทิพย์เพิ่มขึ้น จาก
    ตัวท่านเองที่ใช้อยู่เสมอ นี่คือ "พลังงานทิพย์" ที่เชื่อมโยงสิ่งต่างๆ เข้าด้วยกัน ไม่อาจที่จะ
    แยกเป็นของใครของใครได้ชัดเจน เมื่อท่านเห็นเช่นนี้ ดวงตาของท่านได้ทะลุทะลวงโลกนี้
    ไปสู่ "มิติที่หก" คือ "โลกแห่งวิญญาณ" แล้ว ท่านจะเห็นโลกนี้มีแต่พลังงานทิพย์หรือพลัง
    ปราณหรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง โลกมีวิญญาณ ทุกอย่างในโลกล้วนแต่มีวิญญาณทั้งสิ้น นั่นเอง
    ขณะนี้ ท่านจะได้รับการปลดปล่อย ออกจากมิติของความว่าง ไปสู่ความเชื่อมโยงเป็นหนึ่ง
    เดียวกันด้วยพลังงานทิพย์อันละเอียด(วิญญาณ) จนไม่อาจแยกตัวใครของใครได้อีกต่อไป
     
  9. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    โลกในมิติที่เจ็ด "มิติแห่งมโนธาตุ" คือ ความประภัสสร, บริสุทธิ์ ซึ่งมีแต่ "รู้"


    ในมิติที่เจ็ด ให้ท่านพิจารณาเห็นโลกทั้งใบที่เดิมประกอบด้วยวิญญาณธาตุล้วนๆ ทั้งใบ
    ให้ละเอียดลงไปอีก ถึง "จุดรากฐาน" ของกระแสปราณ, กระแสพลังงานที่เชื่อมโยงกัน
    นี้ ท่านจะสามารถ "สาวไปถึงต้นตอของกระแสปราณ" คือ "จิต" หรือ "มโนธาตุ" ที่ได้
    ปลดปล่อยพลังงานเหล่านี้ออกมาได้ ดังนี้ ท่านจะเห็นรากเหง้าของปราณหรือวิญญาณ
    ก็คือ "จิตหรือมโนธาตุ" ให้ท่านพิจารณาไปถึง "รากฐานหรือรากเหง้า" ให้ได้ ไม่ว่าจะมี
    พลังปราณแตกต่างกันอย่างไร ร้อนหรือเย็น, ขาวหรือดำ, ลบหรือบวก, ดีหรือเลว ฯลฯ
    ล้วนมี "รากเหง้า" อย่างเดียวกัน คือ "ความใสบริสุทธิ์" ไม่มีทวิสภาวะ (หรือคู่ตรงข้าม)
    มนุษย์ทุกคนก็ล้วนมีใจที่ใสบริสุทธิ์ ไม่มีใครอยากทำความชั่วเลย แต่เพราะพลังงานอื่น
    ขับดัน, สถานการณ์บีบบังคับ ฯลฯ เท่านั้น ทำให้พวกเขากระทำไป และในอีกมุมหนึ่ง ก็
    ไม่มีใครอยากทำความดีด้วย เพราะถ้าไม่ต้องเกิด, แก่, เจ็บ, ตาย, กิน, ขับถ่าย ฯลฯ ก็
    ไม่ต้องทำอะไร ความดีก็ไม่ต้องกระทำ, ความชั่วก็ไม่ต้องกระทำ แต่เพราะยังไม่นิพพาน
    ยังเวียนว่ายตายเกิดอยู่ จึงต้องกระทำดีบ้าง, ชั่วบ้าง ต่างกันไปตามเหตุปัจจัยที่ปรุงนั้นๆ
    ประกอบกันเป็นสภาวะธรรมอย่างหนึ่ง เกิดขึ้นแล้วดับไปเป็นอีกอย่างหนึ่ง เช่นนี้ไม่สิ้นสุด
    ดังนั้น เมื่อท่านกลับสู่ "รากฐานอันแท้" แล้ว ท่านจะเห็นแต่ "ความใสบริสุทธิ์ประภัสสร"
    ของจิตหรือมโนธาตุอันเป็นรากเหง้าที่ก่อให้เกิดกระแสปราณ หรือพลังทิพย์เหล่านี้ ซึ่งก็
    เป็น "หนึ่งเดียวกัน ใสบริสุทธิ์เช่นเดียวกัน" ไม่ต่างกันเลย ท่านเห็นโลกทั้งใบมีแต่จิตเช่น
    นี้ ไม่ว่าอะไรๆ ก็มีจิต เช่น พัดที่ท่านใช้ มันไม่ได้มีจิตในแบบที่ท่านเห็นในตอนแรก มันก็
    ไม่ได้มีจิตในตัวตนของตน (อัตตา) แต่มันมีจิตในแบบอนัตตาคือ พลังงานทิพย์ในพัดนี้
    จะเชื่อมโยงไปถึง "จิตวิญญาณรากฐาน" ที่ให้กำเนิดพัด (ครูต้นธาตุต้นธรรมผู้สร้างพัด)
    ดังนั้น "พัดจึงมีจิต" มีมโนธาตุ" ทุกอย่างในโลกล้วนมีจิต มีมโนธาตุ ในแบบอนัตตาไม่
    ใช่ในแบบตัวตนของตน (อัตตา) ไม่ใช่จิตของพัด, แต่เป็น "จิตต้นรากเหง้า ต้นธาตุ ต้น
    ธรรม ผู้ให้กำเนิดพัด" นั่นเอง เมื่อท่านเห็นเช่นนี้แล้ว ท่านจะเข้าสู่มิติที่เจ็ด คือ "มิติแห่ง
    จิต" หรือ "มิติแห่งมโนธาตุ" ที่มีแต่ความใสซื่อบริสุทธิ์, ประภัสสร และเป็นหนึ่งเดียวกัน
    ท่านจะได้รับการปลดปล่อย ออกจากมิติแห่งวิญญาณธาตุ อันยังคงมีความแตกต่าง ไปสู่
    ความไม่แตกต่างกันของจิตหรือมโนธาตุ ที่มีแต่ความใสซื่อบริสุทธิ์, ประภัสสรฯ เท่านั้น
    ณ จุดนี้ ท่านจะสัมผัสได้แต่ "การรู้" ซึ่งเป็นธรรมชาติของจิตที่ทำหน้าที่เพียงแต่รู้เท่านั้น
     
  10. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    ท้ายที่สุดแห่งการมอง ให้ท่านลองพิจารณาโลกในมิติสุดท้ายที่มีแต่จิตประภัสสรที่ทำหน้าที่แต่เพียง "รู้" เท่านั้น สรรพสิ่งล้วนมีจิต ไม่ใช่ในแบบตัวตนของตน (อัตตา) แต่แบบอนัตตา คือ "ความเชื่อมโยงกันไปถึงจิตอันเป็นรากฐาน" นั้นๆ ท่านเห็นโลกใบนี้ มีแต่การรู้เท่านั้น ให้ท่านพิจารณาลึกขึ้น, ละเอียดขึ้น ถึง "ความไม่รู้" ซึ่งตรงข้ามกับความรู้ อันปรุงประกอบมาเป็นโลกใบนี้ด้วยเช่นกัน ระหว่างความรู้และความไม่รู้นั้น ในท้ายที่สุด ในระดับที่ละเอียดที่สุด "ล้วนไม่แตกต่างกัน" เช่น น้ำ น้ำรู้หรือไม่ว่าจะไหลไปในแม่น้ำ? น้ำ ไม่จำเป็นต้องรู้ แต่น้ำก็ไหลไปในแม่น้ำได้ ใช่หรือไม่? สรรพสิ่งบนโลกในมิติแห่งจิตนั้น มีแต่จิต เต็มไปด้วยจิต และประกอบมาจากจิตล้วนๆ มีแต่ตัวรู้, ผู้รู้ แต่ในธรรมชาติซึ่งซ้อนกันอยู่นี้ "มันไม่แตกต่างกันเลยระหว่างรู้และไม่รู้" ดังกล่าว น้ำ ก็มีจิต แต่ไม่ใช่ในแบบตัวตนของตน อยู่ในแบบอนัตตา เป็นความเชื่อมโยงถึงกันไปยังรากเหง้าแห่งจิตเท่านั้น แม้ว่าน้ำจะมีจิตหรือไม่มี, รู้หรือไม่รู้ก็ตาม แต่น้ำก็เป็นน้ำ และทำหน้าที่น้ำได้ไม่ต่างกัน ใช่หรือไม่? ดังนั้น ท้ายที่สุดแห่งการมองนี้ ท่านจะทะลุผ่านทุกมิติ ทั้ง ๗ มิตินั้น และเห็นในสิ่งสุดท้าย คือ "ความไม่แตกต่างกัน" ไม่ว่าจะเป็นความรู้หรือไม่รู้ เพราะสรรพสิ่งก็ล้วนเป็นธรรมะ, ธรรมชาติ ไม่เที่ยง, ไม่ใช่ตัวใครของใคร เป็นเช่นนั้นเองอยู่แล้วในตัว มันดำเนินไปโดยธรรมชาติอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องรู้หรือไม่รู้ ก็เป็นไปโดยธรรมชาติเองอยู่แล้ว ดังนี้ฯ
     
  11. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    จบการสื่อสารจากเทพสามตา
    (พระวัชรเนตรวิสุทธิเทพ)


    ๒๘ มิ.ย. ๒๐๑๑
    รับการสื่อสารโดย "อพอลโล่"
     
  12. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,478
    ค่าพลัง:
    +1,878
    การเห็นความจริงแท้มันเป็นเช่นนั้นเอง (ยถาภูตาญานทัสนะ) นำไปสู่ นิพพืทาญาน(คลายความยึด) จะเห็นได้ว่า ไม่ใช่ความคิด จะต้องรู้แจ้งด้วยใจ(ปราศจากวจีสังขาร รู้ ไม่ใช่เห็น) อธิบาย วิมุติ มันก็ยิ่งห่างจากสภาวะวิมุติจริง ต้องบอกให้เข้าสู่ อริยสัจ4 อริยมรรคมีองค์8เท่านั้น อธิบายไปคนรับสาห์น ก็ไปไม่ถูกเท่านั้น
     
  13. Andromeda Galaxy

    Andromeda Galaxy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2011
    โพสต์:
    277
    ค่าพลัง:
    +314
    แวะเข้ามารับข่าวสารเช่นเคย
    ขอบคุณอพอลโล่นะคะที่นำสารมาฝากอยู่เป็นระยะๆ
     
  14. SUGAR__SPICE

    SUGAR__SPICE สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    17
    ค่าพลัง:
    +0
    that's Amazing to discovered
     
  15. Red people

    Red people เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    237
    ค่าพลัง:
    +153
    ยอมรับว่า ตามไม่ทัน ไม่รู้เรื่องเลย แต่ก็ขอบคุณที่แบ่งปันความรู้ให้นะครับ
     
  16. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722

    ดีแล้ว เหมือนมาอาบน้ำแล้วก็กลับไป ไม่มีอะไรติดตัวดีครับ
     
  17. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    ขออนุญาติอธิบายเพิ่มเรื่อง "วิญญาณขันธ์ กับ จิต" นะครับ


    หลายท่านถูกสอนมาว่าวิญญาณขันธ์คือจิต สองอย่างคือ อย่างเดียวกัน
    อยากให้ท่านพิจารณาอย่างนี้ครับ จิต มีลักษณะ ประภัสสร บริสุทธิ์ ใช่ไหม?
    ถ้าวิญญาณขันธ์เป็นจิตจริง วิญญาณขันธ์ก็ต้องบริสุทธิ์ประภัสสรด้วยนะสิ?
    ถ้าจริงเช่นนั้น จิตวิญญาณ เช่น เทวดา (เทวดามีจิตกับวิญญาณแต่ไม่มีสังขาร)
    ก็ต้อง "บริสุทธิ์ประภัสสร" ทั้งตัว ไม่มีส่วนที่ไม่บริสุทธิ์ เช่นนี้ ทุกองค์ไม่เว้นแม้
    แต่มาร นะสิ? (แต่มารนี่ กายทิพย์ หรือวิญญาณขันธ์ ดำ นะครับ แต่จิตก็ใส)


    แต่ถ้าคุณแยกธาตุสองธาตุนี้ได้ชัดคือ "วิญญาณธาตุ" กับ "มโนธาตุ" แล้ว
    คุณจะเห็นว่าอะไรที่ใสบริสุทธิ์ และอะไรที่เป็น "เครื่องปรุงแต่งจิต" กันแน่
    แล้วคุณจะชัดเจนว่า "ทำไม จิตนั้นไม่ต้องฝึกอะไรเลย" และ "ทำไมต้อง
    ชำละล้างวิญญาณให้ใสสะอาด" ถ้าแยกตรงนี้ได้ชัด ก็ฝึกตนได้แล้วครับ
    แต่ถ้าแยกไม่ได้ ฝึกตนไป ก็ฝึกผิดทาง ไม่รู้ฝึกอะไร และทำไมต้องฝึก
    (ลองอ่านบทความในมิติที่หกกับเจ็ดให้ชัดๆ นะครับว่าต่างกันอย่างไร)
     
  18. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,478
    ค่าพลัง:
    +1,878
    จิตเป็นประภัสสร จริง แต่มีอวิชชา ตัณหา มโนสัญเจตนา และกิเลสที่จรมา ไม่อย่างนั้น จิตเดิมต้องเข้าสู่นิพพานไปแล้ว จิตเดิมไม่เคยลิ้มรส นิพพาน ต้องจิตหลุดพ้นเท่านั้น ด้วยอริยมรรคมีองค์8 ไม่อย่างนั้นก็ยังมี อวิชชา เวียนเกิด ตาย อยู่อย่างนี้
     
  19. panup

    panup Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    94
    ค่าพลัง:
    +57
    ใช่แล้วครับจิตเมื่อผ่านอะไร ๆ แต่ในส่วนคุณอพอลโลเรียกว่ามิติทั้งเจ็ดก็เห็นแล้วครับ

    แค่เห็นนี่ก็ว่ายากยอดยากแล้ว แต่ที่ยากขึ้นไปอีกคือ ชำระธาตุขันธ์ของผู้เห็นสิครับ

    เพราะวิญญานมีขันธ์อยู่เลยเรียกว่าวิญญานขันธ์ ถ้าไม่มีขันธ์อยู่ในวิญญานแล้วก็เป็นวิญญานที่ไม่มีขันธ์

    ถ้าจะเปรียบกับพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าเคยเปรียบเทียบเหมือนดั่งกับคนพายเรือข้ามแม่น้ำ พายไปก่อนยังไม่รู้เลยว่าอีกฝั่งของแม่น้ำอยู่ตรงใหน (แต่ตัดสินใจต่อเรือต่อแพ และออกจากฝั่งแล้ว และเชื่อว่าต้องมีอีกฝั่งหนึ่งแน่นอน)

    เมื่อพายไปจนถึงจุดจุดหนึ่งสายตามองไปเห็นฝั่งหนึ่งแล้ว ...เห็นหนทางแล้ว ก็ยังต้องพายต่อไปอีกใกลเพื่อให้ถึงฝั่งนั้น แต่มีจุดหมายแล้ว

    *** คุณอพอลโลครับ ตามหัวข้อกระทู้นั้นผู้เห็นนี่พ้นจากผู้รู้เป็นผู้ตื่นเลยนะครับ

    แถมอีกสักนิด เมื่อพายจนถึงฝั่งแล้ว ผู้พายก็ทิ้งแพ ทิ้งพาย เดินข้ามฝั่งไป...ต้องเดินต่อไปอีก...แล้วจะเดินไปใหนอีกละ หรือไม่ต้องเดินแล้ว แค่ปลดปล่อยของหนัก พักให้หายเหนื่อยจากการเดินทางใกลมานาน หรือรอใครมารับ หรือรอกาล...


    ฤาว่าจะเป็นยุคใหม่จริง ๆ ซึ่งถ้าจริงการกวาดบ้าน ชำระโลกให้สะอาดก็จริงเช่นกัน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 มิถุนายน 2011
  20. COME&Z

    COME&Z เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    1,144
    ค่าพลัง:
    +234
    อ่านแล้วสรุปได้ว่า ปล่อย และ วาง....
    สบายๆ ชอบค่ะ^ ^
     

แชร์หน้านี้

Loading...