ท่านเชื่อหลักทางพุทธศาสนาเพราะอะไร

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย albertalos, 13 สิงหาคม 2011.

  1. albertalos

    albertalos เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2006
    โพสต์:
    2,462
    ค่าพลัง:
    +1,137
    ท่านเชื่อหลักทางพุทธศาสนาเพราะอะไร
    ธรรมข้อใดที่ท่านแจ้งแก่ใจและเห็นว่าเป็นจริง
    ความเชื่อนั้นมีผลกับการดำเนินชีวิตอย่างไร
    และคิดว่าพระพุทธเจ้าต้องการสอนให้รู้ อะไร?

    แสดงความเห็นได้ตามอัทยาสัยเผื่อหลักธรรมที่แจ้งแก่ท่านใดจะเป็นประโยชน์แก่ท่านอื่นๆ
     
  2. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,478
    ค่าพลัง:
    +1,878
    เชื่อเพราะเห็นจริงด้วยตัวเอง ธรรมที่ว่าด้วย อนิจจัง ทุกขัง อนัตตาของสรรพสิ่ง รูป-นาม ทำให้ดำรงชีวิตด้วยสติ พระพุทธเจ้า สอนให้รู้ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค.
     
  3. Jubb

    Jubb เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    1,267
    ค่าพลัง:
    +2,134
    [​IMG]ถามง๊ายง่ายแต่ตอบย๊ากยาก
     
  4. albertalos

    albertalos เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2006
    โพสต์:
    2,462
    ค่าพลัง:
    +1,137
    ขอบคุณสำหรับคำตอบนะครับ

    คนส่วนไหย่ไม่เห้นว่ามันเป็นไตรลักษณ์จริง จึงยังคงยึดมั่น ไม่เห็นอริยสัจจริงจึงยังคงไม่พ้นทุข
    ความเชื่อที่ยังไม่ประกอปด้วยปัญญา แต่ก้เชื่อเพราะเห็นว่าเป็นสิ่งที่ดีจริง ท่าเชื่อพระพุทธเจ้าจริงคงทิ้งแล้วซึ่งความยึดมั่นถือมั่น
    ดังในพระสูตรต่างๆ เมื่อเหล่าพระสาวกได้สดับพระธรรมต่างเชื่อและเห็นจริงต่างออกบรรพชาเพราะเชื่อจริงเห็นจริง

    อนุโมทนาที่ท่านมีปัญญาจนสามารถเห็นพระไตรลักษณ์ และเข้าใจในอริยสัจธรรม
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 สิงหาคม 2011
  5. albertalos

    albertalos เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2006
    โพสต์:
    2,462
    ค่าพลัง:
    +1,137
    ขอหยิบยก ศรัทธา จากสารานุกรมวิกิพีเดีย

    ศรัทธา ๔
    ศรัทธาในทางพระพุทธศาสนามีสี่อย่าง คือ
    • กัมมสัทธา เชื่อกรรม เชื่อกฎแห่งกรรม เชื่อว่ากรรมมีอยู่จริง คือ เชื่อว่า เมื่อทำอะไรโดยมีเจตนา คือ จงใจทำทั้งรู้ ย่อมเป็นกรรม คือ เป็นความชั่วความดีมีขึ้นในตน เป็นเหตุปัจจัยก่อให้เกิดผลดีผลร้ายสืบเนื่องต่อไป การกระทำไม่ว่างเปล่า และเชื่อว่าผลที่ต้องการ จะสำเร็จได้ด้วยการกระทำ มิใช่ด้วยอ้อนวอนหรือนอนคอยโชค เป็นต้น
    • วิปากสัทธา เชื่อวิบาก เชื่อผลของกรรม เชื่อว่าผลของกรรมมีจริง คือ เชื่อว่ากรรมที่ทำแล้วย่อมมีผล และผลต้องมีเหตุ ผลดีเกิดจากกรรมดี ผลชั่วเกิดจากกรรมชั่ว
    • กัมมัสสกตาสัทธา เชื่อความที่สัตว์มีกรรมเป็นของตน เชื่อว่าแต่ละคนเป็นเจ้าของ จะต้องรับผิดชอบเสวยวิบาก เป็นไปตามกรรมของตน
    • ตถาคตโพธิสัทธา เชื่อความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า มั่นใจในองค์พระตถาคต ว่าทรงเป็นพระสัมมาสัมพุทธะ ทรงพระคุณทั้ง 9 ประการ ตรัสธรรม บัญญัติวินัยไว้ด้วยดี ทรงเป็นผู้นำทางที่แสดงให้เห็นว่า มนุษย์ คือเราทุกคนนี้ หากฝึกตนด้วยดีก็สามารถเข้าถึงภูมิธรรมสูงสุด บริสุทธิ์หลุดพ้นได้ ดังที่พระองค์ทรงบำเพ็ญไว้
     
  6. albertalos

    albertalos เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2006
    โพสต์:
    2,462
    ค่าพลัง:
    +1,137
    ศรัทธา ทำลายวิจิกิจฉา ศิลพตปรามาส และสักกายทิฐิได้หรือไม่?
     
  7. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,478
    ค่าพลัง:
    +1,878
    ยังเพียรรู้อยู่เลยครับ.
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 สิงหาคม 2011
  8. albertalos

    albertalos เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2006
    โพสต์:
    2,462
    ค่าพลัง:
    +1,137
    อนุโมทนาครับ เจริญในธรรมเช่นกันครับ
     
  9. bigboom007

    bigboom007 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    319
    ค่าพลัง:
    +570
    เคยไปปฏิบัติธรรม กำหนดสติ จนปิติเกิดน้ำตาไหลเองไม่หยุดเลย เคยนั่งสมาธิเองเห็นแสงสว่างเหมือนมีคนเปิดไฟแบบนั้นเลย เคยไปฝึกมโนตอนฝึกใจไม่เห็น จะมาเห็นเอาตอนที่บ้านเวลาจะตื่นนอนจะเห็นอะไรแปลกๆ แค่นั้นและ

    ปล.เคยเห็นอ่าไรแปลกๆอีกเยอะแต่ไม่อยากเล่า
     
  10. tumkuk

    tumkuk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    586
    ค่าพลัง:
    +1,851
    รู้เองเห็นเอง และเพราะปฏิบัติแล้วเห็นผลได้ด้วยตนเอง และยังนำาสู่เส้นทางเดินที่ดี ไม่ให้หลงงมงายในอบาย ...

    กฏแห่งกรรม...และกฏอีก3ข้อของกฏเหล็กประจำโลกครับ...คำสอนขององค์สมเด็จพระบรมศาสนาท่านทรงชี้แนะไว้ตามแต่จริตธรรมของแต่ล่ะคน แต่ล่ะคนก็มีวิธีบรรลุไม่เหมือนกัน...เห็นด้วยกับเจ้าของกระทู้...^^...

    ...ขอให้เจริญในธรรมทุกท่านเถิด...อิทัง บุญญะพะลัง....
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 สิงหาคม 2011
  11. ธรรมจริยา

    ธรรมจริยา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    60
    ค่าพลัง:
    +192
    ท่านเชื่อหลักทางพุทธศาสนาเพราะอะไร
    องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านมิได้สอนให้เชื่อท่าน แต่ท่านสอนให้คิด, พิจารณา,พิสูจน์ ด้วยต้นเองแล้วจึงเชื่อ
    ธรรมข้อใดที่ท่านแจ้งแก่ใจและเห็นว่าเป็นจริง
    สัจจธรรม (ธรรมหรือสิ่งต่างๆที่เป็นไปโดยธรรมดา เป็นไปโดยธรรมชาติ เป็นไปโดยความจริง)
    ความเชื่อนั้นมีผลกับการดำเนินชีวิตอย่างไร
    ในเมื่อเราเชื่อในสัจจธรรม ย่อมเห็นเองว่าอะไรดีหรือชั่ว คนทุกคนย่อมต้องการแต่สิ่งที่ดี หากคิดดี ทำดี พูดดี สิ่งดีๆก็จะบังเกิดขึ้น
    และคิดว่าพระพุทธเจ้าต้องการสอนให้รู้ อะไร?
    สอนให้รู้ถึงสิ่งที่พระองค์ตรัสรูด้วยพระองค์เอง คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค (มองเห็นความทุกข์, สาเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์, ผลของการที่ดับทุกข์แล้ว, วิธีการปฎิบัติเพื่อการดับทุกข์)

    แสดงความเห็นได้ตามอัทยาสัยเผื่อหลักธรรมที่แจ้งแก่ท่านใดจะเป็นประโยชน์แก่ท่านอื่นๆ
    ขอขอบคุณและโมทนากับทุกๆท่านด้วยครับ
     
  12. ธรรมะสวนัง

    ธรรมะสวนัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,305
    ค่าพลัง:
    +1,255
    เพราะพระพุทธศาสนา มีหลักการที่ตั้งอยู่บน เหตุ-ผล

    พระพุทธองค์ทรงตรัสรู้ อริยสัจ ๔ ความจริงแท้ ๔ ประการ
    ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ซึ่งก็อยู่บนหลัก เหตุผล

    เหตุ-จิตชอบแส่ส่ายออกไปหาเรื่อง (สมุทัย)

    ผล-ทุกข์โหมกระหน่ำทับถมจิตใจ (ทุกข์)

    เหตุ-ปฏิบัติสัมมาสมาธิตามหลักมรรค ๘
    ให้จิตระลึกรู้อยู่ที่ฐานที่ตั้งสติ ไม่แส่ส่ายออกไปหาเรื่อง (มรรค)

    ผล-จิตสงบตั้งมั่นไม่หวั่นไหว ทุกข์ไม่โหมกระหน่ำทับถมจิตใจ (นิโรธ)

    (smile)

     
  13. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    พระพุทธองค์ทรงเป็นนักเหตุผล ยืนบนหลักความจริงที่ตริตรองตามและปฏิบัติให้เห็นจริงได้
    พระพุทธองค์ทรงวางหลัก"หัวใจพระพุทธศาสนา"ในวันแห่งมาฆะฤกษ์(อาสาฬหบูชา)ไว้ชัดเจน
    ๑.ละชั่ว ๒.ทำดี ๓.ทำจิตใจของตนเองให้บริสุทธิ์หมดจดจากเครื่องเศร้าหมองทั้งหลาย
    พระพุทธองค์ยังทรงวา่งหลักปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้นของผู้ปฏิบัติสามารถให้เข้าถึงได้ด้วยตนเอง

    ขณะที่ลงมือปฏิบัติอยู่นั้น รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณนั้น
    ย่อมแสดงอาการไตรลักษณ์ออกมาให้ประจักชัดว่า
    นั่นไม่ใช่เรา เราเป็นนั่น นั่นไม่ใช่ตนของเราผู้ปฏิบัติ
    ส่วนจะแจ่มแจงชัดเจนแก่ใจและเห็นว่าเป็นจริงนั้น ขึ้นอยู่กับความเพียรพยายามของตนเองในการปฏิบัติ

    ชีวิตย่อมมรความอยู่ง่าย สะดวกสบายในการดำเนินไป เพราะมีหลักของจิตใจให้ระลึกรู้อยู่ตลอด

    พระพุทธองค์ทรงพร่ำสอนอยู่เสมอๆ "เรื่องการปฏิบัติเพียรเพ่ง คือการให้ลงมือปฏิบัติอริยมรรคอย่างจริงจัง

    เพราะอริยมรรคเป็นทางเดินของจิตสู่ความหลุดพ้น"(มีพระพุทธพจน์รับรองไว้)

    ผู้ที่เดินตามทางอริยมรรคนั้น ล้วนเป็นคนดีศรีสังคมทั้งสิ้นใช่หรือไม่?

    แวะมาเยี่ยม ข้อคิดเห็นใดๆนั้น ขอให้ยึดหลักกาลามสูตรไว้ก่อน

    อย่าเพิ่งเชื่อ อย่าเพิ่งปฏิเสธ ให้ฟังด้วยดี แล้วสมาทานน้อมนำไปพิจารณาให้รอบคอบ

    ว่าสิ่งที่สมาทานมานั้น เป็นสิ่งดี มีประโยชน์ ตริตรองตามจริงได้ ผู้รู้ไม่ติเตียน ค่อยเชื่อก็ยังไม่สาย...
     
  14. oatthidet

    oatthidet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    3,498
    ค่าพลัง:
    +1,876
    ที่ตัวกระผมเชื่อเพราะ เมื่อ15-16ปีก่อนนี้ เพื่อนผมได้ชวนไปนั่งกรรมฐานที่วัดแห่งหนึ่ง

    และก็ได้ไปนั่งกรรมฐานบ่อยครั้ง และ วันหนึ่งผมนั่งกรรมฐานอยู่จนถึงเวลาที่เขาเลิกนั่ง

    ผมได้ยินเสียงดนตรีที่ดังมาก เพราะเขามีจอฉายหนังมาตั้งฉายหนัง

    แต่ตัวกระผมนั้นไม่รู้ และ ได้บอกกล่าวกับเพื่อน ซึ่งเพื่อนผมบอกว่าเขาเปิดเพลงมาเกือบชั่วโมงแล้ว

    เพื่อนผมยังหาว่าผมบ้ารึเปล่า และ หลังจากนั้นก็เห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในที่ไกลออกไปจากที่ผมนั่งอยู่(แต่เป็นเฉพาะเวลานั่งกรรมฐาน)

    และ มีอยู่วันหนึ่ง ที่ผมต้องเชื่อในสิ่งที่เห็นขณะนั่งกรรมฐาน คือ มีคนมาหาผมที่ร้านขายของ(เขาชื่อตาแหวง) และ ถามพ่อผมว่าผมไปไหน พอกลับมาพ่อผมบอกว่า ตาแหวงมาหาเมื่อกี้นี้

    ผมเลยถามพ่อว่า เขายืนตรงนี้ใช่ไหม พ่อผมตอบกลับมาว่า แถวนั้นแหละ

    ผมเลยปฎิบัติมาเรื่อยๆจนถึงทุกวันนี้ และ การใช้ชีวิตก็เป็นสุขดี มีความนึกคิดที่แตกต่างจากคนรุ่นเดียวกันอย่างสิ้นเชิง

    ขอให้เจริญในธรรมครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 สิงหาคม 2011
  15. albertalos

    albertalos เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2006
    โพสต์:
    2,462
    ค่าพลัง:
    +1,137
    อนุโมทนาสาธุธรรมทั้งหลายที่ท่านทั้งหลายได้พบได้เห็น ว่าธรรมนั้นดีจริงและเชื่อถือยึดถืออันเป็นเหตุสู่พระพุทธศาสนา

    ขอยกตัวอย่าง พระสารีบุตรผู้ได้สดับพระธรมจากพระอัสสชิเถระเกิดศรัทธา เชื่ออย่างมีปัญญา เห็นจริงในธรรม จนได้ดวงตาเห็นธรรม

    พระอัสสชิเถระได้แสดงความลึกซึ้งในคำสอน ของพระผู้มีพระภาคเจ้า ว่า
    "ท่านกล่าวบทอันลึกซึ้งละเอียดทุกอย่าง เป็นเครื่องฆ่าลูกศร คือ ตัณหา เป็นเครื่องบรรเทาความทุกข์ทั้งมวล ว่าธรรมเหล่าใด มีเหตุเป็นแดนเกิด พระตถาคตเจ้า ตรัสเหตุแห่งธรรมเหล่านั้น และความดับแห่งธรรมเหล่านั้น พระมหาสมณะเจ้ามีปกติตรัสอย่างนี้"
    เมื่ออุปติสสะได้ฟังก็ได้ดวงตาเห็นธรรม บรรลุโสดาบัน

    จากพระสูตรเรื่องนี้ชี้อะไรบางอย่างให้เรารู้ได้ว่า ศรัทธาที่ประกอปด้วยปัญญา และแท้จริงนั้น บางท่านได้ฟังธรรมแล้ว ก้ตัดวิจิกิจฉา ตัตศิลพตปรามาส และสักกายทิฐิลงได้ในทันที
    และบางท่าน ก้เชื่อสิ่งที่พระพุทธเจ้าสอน ได้ฟังแล้วก้รู้ว่า กามเป็นโทษ ไฟทั้งสามเป็นโทษ ก้ยังให้สิ้นไปซึ่งธุลีที่บดบังดวงตา สิ้นซึ่งอาสวะและอวิชาไปได้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 สิงหาคม 2011
  16. albertalos

    albertalos เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2006
    โพสต์:
    2,462
    ค่าพลัง:
    +1,137
    ขอบคุณที่ร่วมสนธนาและแสดงความคิดเห็นครับ ความเพียร วิริยะ ก้เป็นเครื่องธรรมให้ถึงที่สุดแห่งธรรมได้
    อนุโมธนาธรรมครับสาธุๆ
     
  17. albertalos

    albertalos เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2006
    โพสต์:
    2,462
    ค่าพลัง:
    +1,137
    บางท่านเพียงได้สดับพระธรรมเพียงครั้งเดียวเกิดศรัทธาที่แท้จริง ยังให้เกิดดวงตาเห็นธรรมและบางท่าน สามารถกำจัดกิเลศในขันธสันดารไปได้จนหมดสิ้นบรรลุซึ่งพระอรหันต์

    บางท่านนั้นได้ฟังธรรมแล้ว มีศรัทธาแต่กำลังของศรัทธานั้นยังไม่มากพอ ก้ยังอุส่าใช้ ความเพรียร วิริยะ พาตนให้ข้ามพ้นจากกองทุขนี้ไปได้เช่นกัน

    ขอยกตัวอย่างพระสูตรบางเรื่องให้พิจารนา

    พระนันทะเถระ


    พระศาสดาทรงทรมานพระนันทะ

    พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถามว่า “ ดูก่อนนันทะ เธอเคยจารึกไปป่าหิมพานต์หรือเปล่า “
    พระนันทะกราบทูลว่า “ ไม่เคยไปเลยพระพุทธเจ้าข้า “
    พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า “ ดูก่อนนันทะ ถ้าเช่นนั้นเราไปกัน “
    พระนันทะกราบทูลว่า “ ข้าแต่พระองค์ ข้าพระพุทธเจ้าไม่มีฤทธิ์จะไปได้อย่างไรพระพุทธเจ้าข้า “
    พระศาสดาตรัสว่า “ ดูก่อนนันทะ เราจะพาเธอไปด้วยกำลังฤทธิ์ของเราเอง “
    แล้วทรงจับมือพระนันทะเหาะขึ้นไปสู่อากาศ ในระหว่างทาง ทรงแสดงถึงนาที่ถูกไฟไหม้แห่งหนึ่งแล้วทรงแสดงถึงนางลิงตัวหนึ่งซึ่งมีจมูกและหางด้วน มีขนถูกไฟไหม้ มีผิวเป็นริ้วรอย หุ้มห่อไว้เพียงแต่หนัง นั่งนับเจ่าอยู่บนตอไฟไหม้ แล้วตรัสถามว่า
    “ ดูก่อนนันทะ เธอเห็นลิงตัวนั้นไหม “
    พระนันทะกราบทูลว่า “ เห็นพระพุทธเจ้าข้า “
    พระศาสดาตรัสว่า “ เธอจงกำหนดไว้ให้ดี “
    ครั้นแล้วก็ทรงพาพระนันทะไปทรงชี้ให้ดูพื้นมโนสิลา ประมาณหกสิบโยชน์ สระใหญ่เจ็ดสระ มีสระอโนดาตเป็นต้น แม่น้ำใหญ่ห้าสาย และภูเขาหิมพานต์อันน่ารื่นรมย์หลายร้อยลูก ซึ่งเรียงรายไปด้วยเขาทอง เขาเงิน และเขาแก้วมณี แล้วตรัสถามว่า
    “ ดูก่อนนันทะ เธอเคยเห็นภพดาวดึงส์หรือ “
    พระนันทะกราบทูลว่า “ ไม่เคยเห็นพระพุทธเจ้าข้า “
    พระศาสดาตรัสว่า “ ดูก่อนนันทะ เธอจงมาเราจักแสดงภพดาวดึงส์แก่เธอ “
    แล้วทรงพาไปถึงภพดาวดึงส์ ประทับนั่งเหนือบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ ท้าวสักกเทวราช พร้อมด้วยหมู่เทวดาในเทวโลกก็พากันเสด็จมาเฝ้า ทั้งหมดได้ถวายบังคมแล้วนั่ง ณ ส่วนหนึ่ง เหล่าเทพอัปสรประมาณ ๕๐๐ นางอัปสรเหล่านั้นแม้ทั้งหมดเคยให้น้ำมันทาเท้าแก่สาวกทั้งหลายของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่า กัสสป จึงเป็นผู้มีเท้าดุจเท้าของนกพิราบ ผู้เป็นนางบำเรอ ก็พากันมาถวายบังคมนั่งอยู่ข้างหนึ่ง.
    พระศาสดาทรงให้พระนันทะดูนางอัปสร ๕๐๐ เหล่านั้นบ่อย ๆ ด้วยอำนาจกิเลส ตรัสถามว่า
    “ นันทะ เธอเห็นนางอัปสรสีเท้านกพิราบเหล่านี้ไหมเล่า “
    พระนันทะกราบทูลว่า “ เห็นพระพุทธเจ้าข้า “
    พระศาสดาตรัสถามว่า “ นางอัปสรเหล่านี้งาม หรือนางชนปทกัลยาณีงาม “
    พระนันทะกราบทูลว่า “ ข้าแต่พระองค์ นางลิงขนเกรียนเทียบกับนางชนปทกัลยาณีฉันใด นางชนปทกัลยาณีก็ฉันนั้น เมื่อเทียบกับนางอัปสรเหล่านี้ก็เทียบได้เพียงนางลิง “
    พระศาสดาตรัสถามว่า “ นันทะบัดนี้เธอจักทำอย่างไรเล่า “
    พระนันทะกราบทูลว่า “ ข้าแต่พระองค์ ทำกรรมอะไรจึงจะได้นางอัปสรเหล่านั้น “
    พระศาสดาตรัสว่า “ บำเพ็ญสมณธรรมซิ “
    พระนันทะกราบทูลว่า “ ข้าแต่พระองค์ หากพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นผู้รับรองเพื่อให้นางเหล่านี้ ข้าพระพุทธเจ้าจักบำเพ็ญสมณธรรม “
    พระศาสดาตรัสว่า “ ดูก่อนนันทะ จงบำเพ็ญสมณธรรมเถิด เราจะเป็นผู้รับรองเธอ “
    พระเถระถือพระตถาคตเป็นผู้รับรองในท่ามกลางหมู่เทวดาแล้วจึงกราบทูลว่า “ ข้าแต่พระองค์ ขอพระองค์อย่าทำให้เนิ่นช้านัก เชิญเสด็จมา ไปกันเถิด ข้าพระองค์จักบำเพ็ญสมณธรรม “

    [​IMG]


    พระนันทะสำเร็จอรหัตผล

    พระศาสดาตรัสเรียกพระธรรมเสนาบดีมา แล้วตรัสว่า ดูก่อนสารีบุตร นันทะน้องชายของเรา ได้ยึดเราเป็นผู้รับรอง เพราะเรื่องนางอัปสรทั้งหลายในท่ามกลางหมู่เทวดาในดาวดึงส์เทวโลก โดยอุบายนี้แหละพระองค์ทรงแจ้งแก่ภิกษุที่เหลือโดยมากแก่อสีติมหาสาวกเป็นต้นว่า พระมหาโมคคัลลานะเถระ พระมหากัสสปเถระ พระอนุรุทเถระ พระอานนท์ผู้เป็นคลังพระธรรม
    พระธรรมเสนาบดีสารีบุตรเข้าไปหาพระนันทะเถระกล่าวว่า ท่านนันทะ นัยว่าท่านยึดเอาพระทศพลเป็นผู้รับรอง ณ ท่ามกลางหมู่เทวดาในดาวดึงส์เทวโลกว่า เมื่อได้นางเทพอัปสรจักบำเพ็ญสมณธรรมจริงหรือ แล้วย้ำว่าเมื่อเป็นอย่างนี้การอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ของท่าน ก็เกี่ยวข้องด้วยมาตุคาม มิใช่หรือ ท่านนั้นไม่ต่างอะไรกับกรรมกรผู้รับจ้างทำการงานเพื่อต้องการสตรี พระเถระละอายยอมจำนนในถ้อยคำดังกล่าว
    พระอสีติมหาสาวกและภิกษุที่เหลือทั้งสิ้นก็ได้ทำให้ท่านพระนันทะละอายโดยอุบายเช่นเดียวกันนี้
    ครั้งนั้นแล ท่านพระนันทะขวยเขิน ละอาย รังเกียจด้วยวาทะว่า คนรับจ้างบ้าง ด้วยวาทะว่าคนที่พระศาสดาทรงไถ่ไว้บ้าง ของเหล่าภิกษุสหาย จึงหลีกออกไปปฏิบัติธรรมอยู่แต่ผู้เดียว แล้วไม่ประมาท มีความเพียร ต่อกาลไม่นานเลย ได้ทำให้แจ้งซึ่งที่สุดพรหมจรรย์อันยอดเยี่ยม ซึ่งกุลบุตรทั้งหลายผู้ออกจากเรือนเพื่อบวชต้องการ ด้วยความรู้ยิ่งเอง สำเร็จแล้ว ได้ทำให้แจ้งซึ่งที่สุดพรหมจรรย์อันยอดเยี่ยม รู้ชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจจำต้องทำ ๆ เสร็จแล้ว กิจอื่นอีกเพื่อความเป็นอย่างนี้ไม่มี เป็นอันว่าท่านพระนันทะ ได้เป็นพระอรหันต์องค์ใดองค์หนึ่ง ในบรรดาพระอรหันต์ทั้งหลาย.
    ครั้นเมื่อบรรลุธรรมอันวิเศษแล้วจึงได้กล่าวคาถาว่า
    <TABLE class=MsoTableGrid style="BORDER-RIGHT: medium none; BORDER-TOP: medium none; BACKGROUND: #f3f3f3; BORDER-LEFT: medium none; BORDER-BOTTOM: medium none; BORDER-COLLAPSE: collapse" cellSpacing=0 cellPadding=0 border=1><TBODY><TR style="HEIGHT: 103.5pt"><TD style="BORDER-RIGHT: maroon 1.5pt solid; PADDING-RIGHT: 5.4pt; BORDER-TOP: maroon 1.5pt solid; PADDING-LEFT: 5.4pt; PADDING-BOTTOM: 0cm; BORDER-LEFT: maroon 1.5pt solid; WIDTH: 80%; PADDING-TOP: 0cm; BORDER-BOTTOM: maroon 1.5pt solid" vAlign=top width=657>เรามัวแต่ประกอบการประดับตกแต่ง
    เพราะไม่มีโยนิโสมนสิการ มีใจฟุ้งซ่าน กลับกลอก ถูกกามราคะเบียดเบียน
    เราได้ปฏิบัติโดยอุบายที่ชอบ ตามที่พระพุทธเจ้าผู้เป็นเผ่าพันธุ์พระอาทิตย์ ฉลาดในอุบาย
    ได้ทรงสั่งสอนแนะนำ แล้วถอนจิตที่จมลงในภพขึ้นได้ ดังนี้
    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
    ครั้งนั้น เทวดาองค์หนึ่ง ยังพระเชตวันทั้งสิ้นให้สว่าง ในส่วนแห่งราตรีแล้ว เข้าไปเฝ้าพระศาสดา ถวายบังคมแล้ว กราบทูลว่าเรื่องที่พระนันทะบรรลุพระอรหัตแด่พระบรมศาสดา
    ท่านพระนันทะนั้น รุ่งขึ้นจึงเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ถวายบังคมแล้ว ได้กราบทูลคำนี้ว่า “ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงเป็นผู้ประกันของข้าพระองค์ เพื่อให้ได้ซึ่งนางอัปสร ๕๐๐ ซึ่งมีเท้าดุจเท้านกพิราบ ด้วยการรับรองใด ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์เปลื้องพระผู้มีพระภาคเจ้าจากการรับรองนั่น ”
    พระผู้มีพระภาคตรัสว่า “ นันทะ เราก็กำหนดใจของเธอด้วยใจของเรา ทราบแล้วว่า เธอได้ทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุตติ อันหาอาสวะมิได้ เพราะสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย ด้วยความรู้ยิ่งเอง สำเร็จแล้วอยู่ในทิฏฐธรรม แม้เทวดาก็บอกเนื้อความนี้แก่เรา นันทะเมื่อใดแล จิตของเธอ พ้นแล้วจากอาสวะทั้งหลาย เพราะมีความไม่ยึดมั่น เมื่อนั้น เราก็พ้นจากการรับรองนั้น.”
    ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเปล่งอุทานนี้ในเวลานั้นว่า
    <TABLE class=MsoTableGrid style="BORDER-RIGHT: medium none; BORDER-TOP: medium none; BACKGROUND: #f3f3f3; BORDER-LEFT: medium none; BORDER-BOTTOM: medium none; BORDER-COLLAPSE: collapse" cellSpacing=0 cellPadding=0 width="80%" border=1><TBODY><TR style="HEIGHT: 103.5pt"><TD style="BORDER-RIGHT: maroon 1.5pt solid; PADDING-RIGHT: 5.4pt; BORDER-TOP: maroon 1.5pt solid; PADDING-LEFT: 5.4pt; PADDING-BOTTOM: 0cm; BORDER-LEFT: maroon 1.5pt solid; WIDTH: 100%; PADDING-TOP: 0cm; BORDER-BOTTOM: maroon 1.5pt solid" vAlign=top width=657>“เปือกตมคือกามอันผู้ใดข้ามได้แล้ว
    หนามคือกามอันผู้ใดย่ำยีได้แล้ว
    ผู้นั้น บรรลุความสิ้นไปแห่งโมหะ
    ย่อมไม่หวั่นไหวในเพราะสุขและทุกข์.”
    </TD></TR></TBODY></TABLE>​

    บางท่านได้ฟังธรรมแล้ว แต่ยังมิได้บรรรลุธรรมนั้น แต่อาศัยความเพรียรพยามเพื่อบรรลุธรรมนั้น และทำที่สุดแห่งธรรมนั้น
    อนุโมทนาสาธุธรรมท่านทั้งหลาย
     
  18. albertalos

    albertalos เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2006
    โพสต์:
    2,462
    ค่าพลัง:
    +1,137
    พระนันทะถูกฟ้อง

    ต่อมาวันหนึ่ง ภิกษุทั้งหลายผู้ยังไม่ทราบว่าพระนันทเถระบรรลุพระอรหัตแล้ว จึงได้ถามท่านพระนันทะว่า “ นันทะผู้มีอายุ เมื่อคราวก่อนท่านกล่าวว่า ‘ ข้าพเจ้าเป็นผู้กระสันแล้ว ’ บัดนี้จิตของท่านเป็นอย่างไร ? ” พระนันทะตอบว่า “ ผู้มีอายุ ความห่วงใยในความเป็นคฤหัสถ์ของเราไม่มี ” พวกภิกษุได้ฟังคำนั้นแล้ว กล่าวกันว่า “ ท่านนันทะ พูดไม่จริง ย่อมพยากรณ์พระอรหัตผล ในวันที่แล้ว ๆ มา กล่าวว่า ‘ ข้าพเจ้าเป็นผู้กระสันแล้ว ’ แต่บัดนี้กล่าวว่า ‘ ความห่วงใยในความเป็นคฤหัสถ์ของเราไม่มี ” ดังนี้
    แล้วไปกราบทูลความนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสว่า “ ภิกษุทั้งหลาย ในวันที่แล้ว ๆ มา อัตภาพของนันทะได้เป็นเช่นกับเรือนที่เขามุงไม่ดี แต่บัดนี้เป็นเช่นกับเรือนที่เขามุงดีแล้ว เพราะว่านันทะนี้ จำเดิมแต่กาลที่ตนเห็นนางเทพอัปสรแล้ว พยายามเพื่อบรรลุที่สุดแห่งกิจของบรรพชิตอยู่ ได้บรรลุกิจนั้นแล้ว ” ได้ทรงภาษิตพระคาถาเหล่านี้ว่า
    <TABLE class=MsoTableGrid style="BORDER-RIGHT: medium none; BORDER-TOP: medium none; BACKGROUND: #f3f3f3; BORDER-LEFT: medium none; BORDER-BOTTOM: medium none; BORDER-COLLAPSE: collapse" cellSpacing=0 cellPadding=0 width="80%" border=1><TBODY><TR style="HEIGHT: 207.5pt"><TD style="BORDER-RIGHT: maroon 1.5pt solid; PADDING-RIGHT: 5.4pt; BORDER-TOP: maroon 1.5pt solid; PADDING-LEFT: 5.4pt; PADDING-BOTTOM: 0cm; BORDER-LEFT: maroon 1.5pt solid; WIDTH: 80%; PADDING-TOP: 0cm; BORDER-BOTTOM: maroon 1.5pt solid" vAlign=top width=657>ยถา อคารํ ทุจฉนนํ วุฏฐี สมติวิชฌติ
    เอวํ อภาวิตํ จิตตํ ราโค สมติวิชฌติ.
    ยถา อคารํ สุจฉนนํ วุฏฐี น สมติวิชฌติ
    เอวํ สุภาวิตํ จิตตํ ราโค น สมติวิชฌติ.
    “ฝนย่อมรั่วรดเรือนที่มุงไม่ดีได้ฉันใด
    ราคะย่อมเสียดแทงจิตที่ไม่ได้อบรมแล้วได้ฉันนั้น.
    ฝนย่อมรั่วรดเรือนที่มุงดีแล้วไม่ได้ฉันใด
    ราคะก็ย่อมเสียดแทงจิตที่อบรมดีแล้วไม่ได้ฉันนั้น.”
    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    ในกาลจบคาถา ชนเป็นอันมากได้บรรลุอริยผลทั้งหลาย มีโสดาปัตติผลเป็นต้น เทศนาได้สำเร็จประโยชน์แก่มหาชนแล้ว.


    [​IMG]
     
  19. PraAraHun

    PraAraHun สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    55
    ค่าพลัง:
    +22
    ไม่่รู้ว่าทำไมผมถึงได้รักพระพุทธเจ้าองค์นี้นัก..ถึงแม้่ว่าตอนนี้จะยังรักษาศีลได้ไม่ครบ แต่ส่วนลึกๆก็อยากปฏิบัติให้ได้อย่างท่าน อยากเจอท่าน อยากกราบแทบเท้าท่าน
     
  20. albertalos

    albertalos เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2006
    โพสต์:
    2,462
    ค่าพลัง:
    +1,137
    พระสูตร พระวินัย และพระอภิธรรม พระไตรปิฏก ทั้งสาม มีคุณควรแก่การยกย่องและศึกษา

    ชนผู้ไม่รู้ธรรม แม้เพียงใด้สดับรับธรรมโอสถของพระพุทธเจ้า ก้สามารถแก้โรคทุขได้

    ขออย่าปรามาสพระธรรม ว่าสิ่งอื่นใดประเสิทกว่าเลิศกว่าเลย
    อนุโมทนาธรรมปติบัติสาธุๆ
     

แชร์หน้านี้

Loading...