<VSN><<<มาใหม่ สายเขาอ้อ อ.ชุม,อ.ปาล,อ.คง, สรุปรายการหน้า๑๐๓>>><NSV>

ในห้อง 'พระเครื่อง วัตถุมงคล' ตั้งกระทู้โดย momotaro67, 25 ธันวาคม 2010.

  1. momotaro67

    momotaro67 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    7,026
    ค่าพลัง:
    +5,457
    มหัศจรรย์วันรับพระ15/9/54 ลูกศิษท์ เอาเลขท้าย จำนวนการสร้าง 28 ซื้อหวย ถูกไม่นับ มีประสบการณ์มหาลาภตั้งแต่พระออกเลยครับ
     
  2. THANAT BOON

    THANAT BOON Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มกราคม 2011
    โพสต์:
    488
    ค่าพลัง:
    +48
    พระกริ่งขุมทรัพย์ เนื้อ ชนวนก้นเบ้า ผสม ทองคำ เงิน โลหะมหามงคล และสรรพวิชาตะกรุดของท่าน ตอกโค้ด ฐานปิดแผ่นทองฝาบาตร สร้างจำนวน 3,528องค์ มีหมายเลขกำกับลำดับที่ 2298 องค์นี้เนื้อหาซะใจครับ




    [FONT=&quot]ให้บูชา[/FONT][FONT=&quot] 750[FONT=&quot]บาทครับ[/FONT][/FONT]<!-- google_ad_section_end -->
    <FIELDSET class=fieldset><LEGEND>รูปขนาดเล็ก</LEGEND>[​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    </FIELDSET>
    ขอจององค์นี้ไว้ก่อน โอนสิ้นเดือนนะครับ
     
  3. momotaro67

    momotaro67 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    7,026
    ค่าพลัง:
    +5,457
    รับทราบการจองครับ..............
    แม้พี่ถ้าได้องค์นี้ก่อนวันที่16 คงถูกทั้งบน และล่างเลยนะ 555
     
  4. THANAT BOON

    THANAT BOON Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มกราคม 2011
    โพสต์:
    488
    ค่าพลัง:
    +48
    น้องโมอย่ามาเย้ยน่า...พี่เพิ่งเปิดดูเมื่อเช้านี้แหละ ไม่งั้นเหมือนโมว่าแน่ มัวแต่ไปเน้นล๊อคเก็ตอยู่เจ๊งเลย ก็เลยต้องโป้งไว้ก่อน....อิอิ
     
  5. momotaro67

    momotaro67 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    7,026
    ค่าพลัง:
    +5,457
    ปล่อยวางบ้างเถอะพี่ แหม่มีแล้วก็แบ่งคนอื่นบ้าง แล้วชีวีจะสุขสันต์ 555
     
  6. THANAT BOON

    THANAT BOON Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มกราคม 2011
    โพสต์:
    488
    ค่าพลัง:
    +48
    จ้า...เข้าใจแล้วจ้า เชื่อโมแล้วครับ ชีวิตต้องหน้าเดิน...55555
     
  7. mrdon

    mrdon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มกราคม 2010
    โพสต์:
    1,317
    ค่าพลัง:
    +2,499
    มีอีกไหมขอจอง 1องค์ครับ
     
  8. momotaro67

    momotaro67 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    7,026
    ค่าพลัง:
    +5,457
    ยังมีเหลืออีกหนึ่งองค์สุดท้ายครับ
     
  9. momotaro67

    momotaro67 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    7,026
    ค่าพลัง:
    +5,457
    [​IMG]


    ประวัติ หลวงปู่สี ฉันทสิริ วัดเขาถ้ำบุญนาค
    หลวงปู่สี ฉันทสิริ วัดเขาถ้ำบุญนาค อำเภอตาคลี จังหวัดนครสวรรค์

    ประวัติหลวงปู่สี ฉันทสิริ ชาติภูมิ หลวงปู่สี ท่าน เป็นชาวอำเภอรัตนะ จังหวัดสุรินทร์ ท่านเกิดเมื่อปีจอ พ.ศ.๒๓๙๒ ตรงกับสมัยของรัชกาลที่๔ ส่วนเกิด วัน เดือน ใด ท่านไม่เคยบอก เมื่ออายุ ๒๑ ปี ท่านถูกเกณฑ์เข้ารับราชการทหาร เมื่อปลดจากการเป็นทหารแล้วท่านก็มายึดอาชีพค้าวัว ค้าควาย และเป็นพรานอยู่แถว ช่องแค-ตาคลี ซึ่งแต่เดิมมีสภาพเป็นป่าดงดิบ และยังไม่ได้ตั้งเป็นอำเภอตาคลี เมื่อมีการใช้นามสกุลขึ้น ตระกูลของท่านก็ใช้นามสกุลว่า “ดำริ” ชีวิตตอนเป็นหนุ่ม ท่านเป็นคนจริงไม่เคยเกรงกลัวใคร

    หลวงปู่สี ท่านใช้ชีวิตความเป็นหนุ่มอยู่นานหลายปี จนกระทั่งบังเกิดความเบื่อหน่ายทางโลก จึงได้อุปสมบท โดยท่านบอกว่า ท่านบวชที่วัดบ้านเส้า อำเภอบ้านเส้า (อำเภอบ้านหมี่ ในปัจจุบัน) โดยมีพระครูธรรมขันธ์สุนทร เป็นพระอุปัชฌาย์ ส่วนคู่สวดท่านไม่ได้บอกว่ามีพระอาจารย์รูปใดบ้าง เมื่อบวชได้ระยะหนึ่งท่านได้เดินทางมาจำพรรษาอยู่ที่ ถ้ำเขาเสียบ เขตตำบลช่องแค อำเภอตาคลี เพราะว่าก่อนบวชท่านเคยอยู่ในเขตนี้มาก่อน
    หลวงปู่สี ท่านถือปฏิบัติในการออกธุดงค์ ตลอดเวลาที่ท่านยังมีสุขภาพร่างกายแข็งแรง หลวงปู่สี ท่านบอกว่าท่านธุดงค์ไปทั่วประเทศไทย จากเหนือถึงใต้ ตะวันออกถึงตะวันตก ท่านไปมาทั้งหมดเคยธุดงค์ไปฝั่งประเทศลาว จำพรรษาอยู่ในประเทศลาวหลายปี ธุดงค์เข้าประเทศพม่าเลยไปประเทศอินเดีย ไปนมัสการสถานที่สำคัญทางพระพุทธศาสนา ท่านยังเล่าว่ามีอยู่ครั้งหนึ่ง ท่านธุดงค์ไปภาคเหนือ เพื่อจะไปนมัสการพระบาทสี่รอย เมืองเชียงตุง ประเทศพม่า ท่านเดินหลงป่าไม่ได้ฉันอะไรเลยเป็นเวลา ๗ วัน จนรุ่งเช้าของวันที่ ๘ มีช้างป่านำหัวบัว และอ้อยมาถวายท่าน (ไม่ทราบว่าเป็นเทวดา หรือว่าเทวานุภาพดลใจให้ช้างนำมาถวาย ?) ท่านจึงนำหัวบัวต้มกับน้ำอ้อยฉัน และช้างยังเดินนำทางท่านไปจนพบกับบ้านของชาวบ้านป่า ท่านเล่าว่า ท่านเดินธุดงค์อยู่ในป่าแห่งหนึ่งทางภาคเหนือ พบชายหญิงกำลังกินอะไรกันอยู่ ท่านจึงเดินไปถามว่า ทำอะไรกันอยู่หรือ ทั้งสองก็ตอบหลวงปู่สีว่า กำลังกินยาอายุวัฒนะกันอยู่แต่หลวงพ่อมาช้าไป ยาหมดเสียแล้วจะมีเหลืออยู่ก็ตามใบไม้เท่านั้นเอง และทั้งสองคนก็เก็บยาที่ติดอยู่ตามใบไม้ให้ท่านฉัน ซึ่งมีอยู่เล็กน้อยเท่านั้น ท่านบอกว่าที่ท่านมีอายุยืนก็เพราะยานี้แหละ และยานี้ยังทำให้ท่านมีร่างกายแข็งแรง ไม่หลงลืมเหมือนคนแก่ทั่วๆไป
    ในการออกธุดงค์ของหลวงปู่สีนั้น หลานชายของท่านคนหนึ่งเคยติดตามไปด้วย ได้เล่าให้ฟังว่า ขณะนั้นยังเป็นสามเณรได้ติดตามหลวงปู่สีไปนมัสการพระพุทธบาทจังหวัดสระบุรี ค้างคืนที่พระพุทธบาท รุ่งเช้าพอฉันอาหารเช้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว หลวงปู่สีก็พาออกเดินทางกลับตาคลีทันที โดยหลวงปู่สีบังคับให้ผู้เล่าเดินออกหน้าตลอดเวลา หลวงปู่สีจะ เป็นคนเดินท้ายปรากฏว่ามาถึงตาคลีเป็นเวลาฉันอาหารเพลพอดี ซึ่งระยะทางจากพระพุทธบาทมาถึงตาคลีให้เดินเก่งอย่างไร ก็ไม่สามารถที่จะเดินถึงได้ภายในเวลาไม่ถึงครึ่งวัน แต่หลวงปู่สีพาเดินได้
    ในระหว่างที่เดินธุดงค์อยู่ทางภาคเหนือภาคอีสานนั้น หลวงปู่สี ท่านได้รู้จักกับพระเกจิอาจารย์ดังมากมาย อาทิเช่น หลวงปู่แหวน แห่งดอยแม่ปั๋ง เพราะมีคนจากตาคลีขึ้นไปกราบหลวงปู่แหวน แล้วหลวงปู่แหวนพูดถึงหลวงปู่สีให้เขาเหล่านั้นฟัง พ่อค้าในตลาดตาคลีชวนพวกรวม ๔ คนขึ้นไปกราบหลวงปู่แหวน เพื่อขอวัตถุมงคล แต่หลวงปู่แหวนไม่ยอมให้ โดยหลวงปู่แหวนบอกกับคนทั้งสี่ว่า ที่มากันนั้นดีๆ ไม่เอากัน มาเอากันถึงที่นี่ ทั้งหมดจึงถามหลวงปู่แหวนว่า ที่หลวงปู่พูดถึงน่ะหลวงพ่ออะไรครับ หลวงปู่แหวนจึงตอบว่าในคอพวกเอ็งก็ยังคล้องกันมาเลย ปรากฏว่าทั้ง ๔ คนที่ไปมีคล้องพระไปเพียงคนเดียว และพระที่คล้องไปคือเหรียญหลวงปู่สี เมื่อทั้งหมดกลับมาถึงตาคลีก็รีบพากันมาที่วัด เช่าเหรียญหลวงปู่สีกันเป็นการใหญ่ ทั้ง ๔ คนนี้ข้าพเจ้ารู้จักดี จะเขียนชื่อ นามสกุลลง แต่ก็ได้รับการขอร้องไว้
    ก่อนที่จะมาอยู่ที่วัดเขาถ้ำบุญนาค อำเภอตาคลีนั้น หลวงปู่สีท่านอยู่ ที่วัดหนองลมพุก อำเภอโนนสังข์ จังหวัดอุดรธานี ในปีพ.ศ.๒๕๑๒ พระครูนิวิฐปริยัติคุณ พร้อมด้วยชาวบ้าน ได้พากันไปนิมนต์หลวงปู่สีให้มาอยู่ที่วัดเขาถ้ำบุญนาค เพื่อช่วยสร้างวัดให้เจริญ ซึ่งขณะนั้นมีเพียงกุฏิเก่าๆเพียงสองสามหลังเท่านั้น หลวงปู่สีท่านก็เต็มใจมา เนื่องด้วยเพราะท่านเคยอยู่ในแถบนี้มาก่อน ในวันที่คณะผู้จะไปนิมนต์หลวงปู่สีจะไปถึงนั้น หลวงปู่สีท่าน ทราบล่วงหน้าแล้วว่าจะมีคนไปนิมนต์ท่าน ท่านเก็บของเครื่องใช้จำเป็นรอเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว และสั่งที่วัดหนองลมพุกว่า วันนี้จะมีคนมารับให้ไปอยู่ที่ตาคลีเพื่อช่วยสร้างวัด ซึ่งก็เป็นไปตามที่ท่านบอกไว้ทุกประการ
    ในระยะแรกที่หลวงปู่สีมาอยู่ที่วัดเขาถ้ำบุญนาคนั้น ท่านจำพรรษาอยู่ที่กุฏิไม้ หลังเล็กๆหน้าปากทางขึ้นถ้ำ (ปัจจุบันรื้อไปแล้ว) ในขณะนั้นคนในตลาดตาคลียังไม่ค่อยมีใครรู้จักหลวงปู่สี และท่านก็ไม่ได้แสดงอิทธิฤทธิ์อันใดให้ใครรู้ วันหนึ่งๆท่านจะนั่งตะบันหมากฉัน การฉันหมากของท่านก็ไม่เหมือนใคร เพราะท่านไม่ได้ฉันเปลือกไม้ที่มีขายตามท้องตลาดเหมือนที่คนกินหมากทั่วไป ซื้อมากิน หลวงปู่สี ท่านจะฉันแก่นไม้คูนแดงซึ่งจะมีคนตัดมาถวายตลอด ท่านจะนำมาฟันเป็นชิ้นๆ แล้วนำลงตำให้ละเอียดแล้วจึงฉันกับหมากแทนเปลือกไม้
    ในราวปลายปี พ.ศ.๒๕๑๓ ข้าพเจ้าได้ทราบจากเพื่อนว่า มีพระเป็นหลวงปู่แก่ๆ มาอยู่ที่วัดเขาถ้ำบุญนาค ข้าพเจ้าจึงชวนเพื่อนๆมาหา จุดประสงค์ที่มาหามิใช่ที่จะต้องการเครื่องรางของขลังแต่ประการใด แต่เพราะต้องการจะมาหาเลขเด็ด เพราะเพื่อนบอกว่าท่านบอกหวยได้แม่นยำมาก ในวันแรกที่มาหาท่านก็ไม่ได้แจกอะไรให้ แต่บอกใบ้หวยให้ ซึ่งหวยก็ออกตามที่ท่านบอก นับตั้งแต่นั้นมาข้าพเจ้าก็จะไปหาหลวงปู่สีเป็นประจำ อยู่มาวันหนึ่งข้าพเจ้าเห็นหลวงปู่สีมีอารมณ์ดี ข้าพเจ้าจึงถามหลวงปู่สีว่ามีของดีอะไรบ้าง ผมอยากจะได้เอาไว้ป้องกันตัว หลวงปู่สี ท่านขณะนั้นกำลังกินหมากอยู่ ก็คายชานหมากออกมาใส่ผ้าเหลืองที่ท่านใช้ทำเป็นผ้าขี้ริ้ว แล้วผูกส่งให้ข้าพเจ้าพร้อมทั้งบอกว่า”ห้ามแก้ออกนะ” หลวงปู่สี ท่านยังบอกอีกว่าหากใครเขาอยากยิงมึง มึงก็ถ่างก้นให้มันยิงเลย สามวันสามคืนก็ไม่ถูกมึง
    (คำพูดอันนี้มีนัยยะ คือคนที่เขามีของขลัง หรือสักยันต์กินว่าน ที่ว่าหนังเหนียวตีไม่แตกนั้น ถ้าจะฆ่าเอาชีวิตกันก็จะต้อง ใช้ไม้รวกทะลวงก้น เหมือนในเรื่องขุนช้าง-ขุนแผน ที่แสนตรีเพชรกล้า แม่ทัพเชียงใหม่ ฆ่าฟันเท่าไรก็ไม่ตายจนขุนแผนต้องเอาหลาวทะลวงก้นจึงถึงแก่ความตาย... หลวงปู่สี ท่านมีความมั่นใจมากในการอธิษฐานจิตของท่าน ถึงแม้คนที่ใช้ของๆท่านจะโดนยิงที่จุดตายจุดสำคัญก็ตาม ท่านรับรองว่าปลอดภัย)
    ข้าพเจ้ารับมาแบบไม่ค่อยเชื่อถือเมื่อ กลับถึงบ้านแล้วก็นั่งคุยกับเพื่อนๆถึงเรื่องนี้ ขณะนั้นมีพ่อค้าวัว-ควาย เป็นชาวปาทานอยู่ในตาคลีนั่งฟังอยู่ด้วย ซึ่งเขาบอกว่าเขาอยากลองยิงดู ข้าพเจ้ามอบชานหมากของหลวงปู่สีให้เขาไป เขานำไปคล้องคอไก่แล้วยิงปืนรีวอลเวอร์ ขนาด .๓๘ ระยะห่างประมาณ ๑ วาเศษเท่านั้น เขายิงหมดไป ๖ นัดไม่เคยถูกไก่เลย สักนัดเดียว ทั้งๆที่เขาเป็นคนที่ยิงปืนได้แม่นยำมากคนหนึ่ง นับแต่นั้นมาข้าพเจ้าจึงเชื่อถือใน ชานหมากหลวงปู่สี
    หลังจากที่ชาวป่าทานยิงไก่ได้ประมาณสัก ๑ อาทิตย์ ได้มีนายทหารอากาศกองบิน ๔ ชื่อ เรืออากาศโทครรชิต บัวอำไพ (ปัจจุบันยศนาวาอากาศเอก ข้าพเจ้าขอกราบประทานอภัยที่ต้องเอ่ยนามของท่านไว้ ณ ที่นี้ด้วย) ได้มาคุยกับข้าพเจ้าเรื่องชานหมากของหลวงปู่สี ในลักษณะที่ท่านไม่เชื่อว่าจะเป็นไปได้ที่จะยิงไม่ถูก ข้าพเจ้าจึงมอบชานหมากที่มีอยู่ให้ไป ๑ ก้อนเพื่อให้ไปทดลอง เที่ยงวันรุ่งขึ้น เรืออากาศโทครรชิตฯ ได้มาหาข้าพเจ้าที่บ้านพร้อมกับเพื่อนนายทหารอากาศอีก ๕-๖ คนโดยขอให้ข้าพเจ้าช่วยพาไปวัดหน่อย ต้องการจะได้ชานหมากอีก พร้อมทั้งเล่าให้ฟังว่า เมื่อได้รับชานหมากไปจากข้าพเจ้าแล้วจึงได้นำไปทดลอง โดยนำไปคล้องคอเป็ดแล้วยิง แต่ยิงเท่าไรก็ไม่ถูก ใช้ปืนถึง ๔ กระบอก และคนยิงก็เป็นมือปืนของกองบินทั้งนั้น ครั้นนำเป็ดออกเอาก้อนหินไปวางแทน ยิงก้อนหินกระเด็นเลย แต่ยิงเป็ดยิงเท่าไรก็ไม่ถูกเป็นที่มหัศจรรย์ใจมาก จึงพาเพื่อนทหารที่อยู่ในเหตุการณ์มาหาข้าพเจ้า เพื่อให้ช่วยพาไปพบหลวงปู่สี ซึ่งข้าพเจ้าก็พาไปพบ และก็ได้ชานหมากกันมาทุกคน ส่วนก้อนที่นำไปทดลองยิงเป็ดนั้น เรืออากาศโทครรชิตได้นำไปเลี่ยมทองคล้องอยู่จนทุกวันนี้
    หลังจากนั้นมาทหารอากาศกองบิน ๔ ตาคลี ต่างก็หลั่งไหลมาฝากตัวเป็นลูกศิษย์ของหลวงปู่สีอย่างมากมาย สถานีวิทยุกระจายเสียงทหารอากาศกองบิน ๔ ก็ออกอากาศเรื่องของหลวงปู่สีทุกวัน ทำให้หลวงปู่สีเป็นที่รู้จักกันทั่วไป และใครๆ ก็อยากได้ชานหมาก และวัตถุมงคลของหลวงปู่สี ทำให้หลวงปู่สีต้องเคี้ยวหมากแจกทั้งวัน ...... (ท่านสามารถอ่านเรื่องของหลวงปู่สี ฉันทสิริ วัดเขาถ้ำบุญนาค เพิ่มเติมได้ จากหนังสือ ”สู่แสงธรรม” ของ ท่าน พลอากาศตรี มนูญ ชมพูทีป (ยศเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๓๕) ซึ่งเป็นเรื่องที่เกี่ยงข้องกับหลวงพ่อฤาษีฯ ของเราด้วย ซึ่งที่ซอยสายลมยังมีวางจำหน่ายอยู่ครับ)
    กระผมขอกราบนมัสการ แทบเท้าหลวงปู่สี ฉันทสิริ ด้วยความเคารพอย่างสูง ธรรมใดที่ท่านบรรลุแล้ว ขอให้กระผมได้เข้าถึงธรรมนั้น โดยเร็วพลันด้วยเทอญ .....
    และกระผมขอกราบอาราธนาบารมี ของหลวงปู่สี ฉันทสิริ วัดเขาถ้ำบุญนาค หลวงพ่อฯ รวมทั้งครูบาอาจารย์ที่เคารพอย่างสูงทุกๆท่าน ได้โปรดคุ้มครอง ปกปักรักษาให้ทุกๆ ท่านโชคดี มีความสุข และได้บรรลุธรรมตามที่ท่านปรารถนาทุกประการ...ครับ
    ขออภัยครับ กระผมมีข้อมูลมาเพิ่มเติมอีกครับ เนื่องจากประวัติของหลวงปู่สี มีนักเขียนหลายท่านที่เขียนไว้ และแต่ละท่านก็อ้างว่าได้รับฟังมาจากหลวงปู่สี วัดเขาถ้ำบุญนาค หรือศิษย์ที่รับใช้ใกล้ชิด มีทั้งส่วนที่คล้ายคลึงกัน และแตกต่างกันบ้าง เพื่อให้เรื่องของท่านมีความสมบูรณ์ กระผมก็ขอนำเรียนเสนอเท่าที่พบ หากข้อความใดไม่เป็นความจริง กระผมขอกราบแทบเท้าหลวงปู่สี ฉันทสิริ วัดเขาถ้ำบุญนาค กรุณาอดโทษให้แก่กระผมผู้รู้เท่าไม่ถึงการณ์ด้วยเถิดครับ...
    ท่านนักเขียนที่ใช้นามว่า เต๋อ บางตัน เล่าว่า
    หลวงปู่สี ท่านเกิดเมื่อ พ.ศ.๒๔๙๒ ในปลายสมัยรัชกาลที่๔ ที่ อ.รัตนะ จังหวัดสุรินทร์ ท่านใช้ชีวิตในวัยหนุ่มอย่างโชกโชน จนอายุ ๒๙ ปีจึงเข้ารับราชการเป็นทหารเรือ อยู่ในกรุงเทพฯหลายปี แล้วออกจากราชการ ไปมีอาชีพค้าวัวค้าควายอยู่ระยะหนึ่ง จวบจนอายุได้ ๓๙ ปี ก็เกิดความเบื่อหน่ายในโลกีย์วิสัย เห็นว่าชีวิตที่ผ่านมาไม่มีอะไรเป็นแก่นสาร ท่านจึงตัดสินใจทำการอุปสมบทที่วัดบ้านเส้า ซึ่งอยู่ใน อ.บ้านหมี่ในปัจจุบัน โดยมีพระครูธรรมขันธ์ เป็นพระอุปัชฌาย์ เมื่อบวชได้ประมาณ ๕ วันได้เดินธุดงค์มาจำพรรษาที่ถ้ำเขาไม้เสียบ ต.ช่องแค จ.นครสวรรค์ เป็นเวลา ๓ ปี
    ขณะที่อยู่ถ้ำเขาไม้เสียบนั้น ท่านพยายามฝึกฝนสมาธิจิต จนมีความกล้าแข็งพอสมควรแล้ว(แสดงว่าท่านพอมีพื้นฐานทางด้าน คาถาอาคม และการฝึกจิตมาตั้งแต่สมัยเป็นฆราวาส) ท่านก็ได้เริ่มออกเดินธุดงค์สู่สถานที่ต่างๆ พร้อมทั้งเสาะหาอาจารย์ที่เก่งกล้าในเวทย์วิทยาคมเพื่อขอศึกษาเล่าเรียน โดยเดินขึ้นเหนือบ้าง อีสานบ้าง บางครั้งก็เข้าประเทศลาว ท่านเคยเดินธุดงค์จากพม่าเข้าไปประเทศอินเดีย ถึง ๒ ครั้ง ท่านเคยหลงอยู่ในป่าดงดิบแถบประเทศพม่าหลายวัน โดยไม่ได้ฉันอาหารเลย จนเกือบเอาชีวิตไม่รอด แต่ด้วยสมาธิจิตที่กล้าแข็ง วันหนึ่งหลวงปู่สีก็เดินไปพบกับชาวบ้าน ๒ คนผัวเมียกลางป่า...
    สองผัวเมียนั้นบอกท่านว่า แถบนี้ไม่มีบ้านผู้คนอยู่เลยสักหลังเดียว อีกทั้งเสือ สาง ช้างป่า ก็ชุกชุม มีคนหลงป่าตายในป่าแถบนี้หลายรายแล้ว พร้อมทั้งมอบยาให้ท่าน ๑ เม็ด บอกว่าเป็นยาสมุนไพร ปรุงจากรากไม้หลายชนิด เมื่อฉันแล้วจะทำให้อายุยืน ร่างกายแข็งแรง และทำให้ไม่หิวข้าว หิวน้ำ เมื่อท่านลองฉันดูก็เป็นจริงดังที่ชาวบ้าน สองผัวเมียบอก จึงคิดจะขอบใจแต่ปรากฏว่าหายไปแล้ว จึงรู้ว่าที่แท้แล้วเป็นเทวดามามอบยาทิพย์ให้ท่านนั่นเอง เพราะแถบนั้นไม่มีบ้านคน ซึ่งจากยาที่ท่านฉันนี่เองกระมัง ท่านจึงมีอายุยืนยาวถึง ๑๒๘ ปี
    เมื่อพบกับเทวดาแล้ว ท่านก็เดินหาทางออกจากป่าลึก ไม่นานก็พบกับช้างป่าโขลงใหญ่ ท่าทางดุร้าย แต่แปลกที่ช้างทั้งหมดคุกเข่าลงชูงวงแสดงความเคารพหลวงปู่สี เป็นที่อัศจรรย์ ท่านจึงขึ้นขี่คอช้างจ่าฝูง ให้มันพาออกจากป่าไปส่งที่ชายแดนพม่า ชาวบ้านป่าเห็นเข้าก็ตกอกตกใจกันใหญ่ ถามว่าเพราะเหตุใดช้างป่าจึงไม่ทำร้าย เพราะช้างป่าโขลงนี้ ปกติหากพบคน ไม่ว่าชาวบ้านหรือพระธุดงค์ มักจะเหยียบจนตาย แต่มันไม่ทำอะไรหลวงปู่สีทั้งยังพากันมาส่งถึงชายป่า ท่านก็ไม่ว่ากระไร หัวเราะหึๆ แล้วเดินจากไปโดยไม่พูดอะไรเลย
    คราวหนึ่งมีชาวบ้านตาคลีเดินทางไปกราบนมัสการหลวงปู่แหวนที่วัดดอยแม่ปั๋ง จ.เชียงใหม่ พอหลวงปู่แหวนรู้ว่ามาจากตาคลี ท่านก็ไล่ให้กลับ บอกว่า “มีเพชรอยู่ในบ้าน ยังไม่รู้จักอีก หลวงปู่สีน่ะ เป็นอาจารย์ของฉันเอง ฉันจะเก่งกว่าท่านได้อย่างไร” ชาวบ้านกลุ่มนั้นก็เดินทางกลับตาคลี มากราบหลวงปู่สีถามถึงเรื่องนี้ว่า จริงเท็จประการใด หลวงปู่ฯเล่าว่าหลวงปู่แหวนมาฝากตัวเป็นศิษย์ของท่านนานแล้ว ก่อนที่จะเป็นลูกศิษย์ของอาจารย์มั่น โดยท่านพบกับหลวงปู่แหวนที่จังหวัดเลย ขณะนั้นหลวงปู่แหวนยังเป็นพระหนุ่มๆ อยู่
    หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า กับหลวงปู่สีมี ความสนิทสนมกันมาก บางครั้งหลวงปู่สีจะมาจำพรรษาที่วัดปากคลองมะขามเฒ่า และแลกเปลี่ยนวิชาบางอย่างกัน วิชาของทั้งสองท่านจะมีลักษณะคล้ายๆ กัน เช่น การย่นระยะทาง การเสกใบไม้ เป็นต้น หลวงปู่ศุขมีอายุมากกว่าหลวงปู่สีประมาณ ๒ ปี ฉะนั้นหลวงปู่สีจึงมักเรียกหลวงปู่ศุขว่า หลวงพี่
    หลวงปู่สี เล่าให้ศิษย์ฟังว่า ในวันออกพรรษาท่านมักจะออกจากวัดที่ท่านจำพรรษา เพื่อธุดงค์ต่อไปที่อื่นๆ ในคราวที่จำพรรษาอยู่ที่วัดปากคลองมะขามเฒ่านั้น หลังจากออกพรรษาแล้วหลายวัน ท่านก็คิดว่าจะเดินธุดงค์ต่อไป แต่หลวงปู่ศุขขอให้ท่านรั้งอยู่ที่วัดก่อนรอให้ท่านกลับมาแล้วค่อยไป แต่ท่านอาจจะเห็นว่าเลยกำหนดมาหลายวันแล้ว พอหลวงปู่ศุขออกบิณฑบาต ท่านก็เก็บของ แล้วออกเดินทางทันทีไม่ยอมอยู่ตามคำขอ เมื่อหลวงปู่ศุขกลับจากบิณฑบาต ถามพระเณรในวัดก็รู้ว่าหลวงปู่สีไปแล้ว ท่านจึงสั่งให้พระเณรฉันข้าวไปก่อน แต่ให้ฉันรอท่านด้วย แล้วหลวงปู่ศุขก็เข้ากุฏิหอบเอาคัมภีร์ไสยศาสตร์ ๓ เล่มตามหลวงปู่สีไป ปรากฏว่าไปทันกันที่อ.ตาคลี จึงมอบคัมภีร์ทั้ง ๓ เล่มให้หลวงปู่สี แล้วจึงกลับมาที่วัด ปรากฏว่าพระเณรที่วัดเพิ่งฉันข้าวได้ไม่กี่คำเท่านั้น ซึ่งไม่น่าจะเป็นไปได้ เพราะระยะทางจากวัดปากคลองมะขามเฒ่า ไปอ.ตาคลี ประมาณ ๔๐-๕๐ กิโลเมตร นั่งรถยนต์ยังต้องใช้เวลาเกือบชั่วโมง แสดงว่าหลวงปู่ศุขใช้วิชาย่นระยะทาง พวกลูกศิษย์ก็ถามหลวงปู่สีว่า ชั่วเวลาที่หลวงปู่ศุขไปบิณฑบาต หลวงปู่สีเดินจากวัดปากคลองมะขามเฒ่ามาถึงตาคลีได้อย่างไร ท่านนิ่งไม่ตอบ แล้วล้มตัวลงนอนทันที ลูกศิษย์เลยไม่กล้าซักต่อ
    หลวงปู่สีท่าน เดินธุดงค์ไปหลายจังหวัด หลายประเทศเกือบตลอดระยะเวลาที่ท่านบวช จนท่านอายุได้ประมาณ ๙๐ ปี ครั้งสุดท้ายท่านไปสร้างวัดหนองลมพุก อ.โนนสังข์ จ.อุดรธานี ท่านพระครูนิวิฐปริยัติคุณ (สมบูรณ์) จึงไปนิมนต์ท่านลงมาช่วยสร้างวัดเขาถ้ำบุญนาค ซึ่งตอนนั้นยังเป็นสำนักสงฆ์ เมื่อปี พ.ศ.๒๕๑๒
    หลวงปู่สี ท่านเป็นพระที่ไม่สะสม ไม่ยึดติดในความสะดวกสบาย ท่านอยู่กุฏิไม้เก่าๆ หลังเล็กๆ ท่านพระครูฯเจ้าอาวาสจะสร้างกุฏิหลังใหม่ให้ แต่ท่านไม่ชอบ บอกว่าจะไม่ไปอยู่ พอช่างก่ออิฐเสร็จจะฉาบปูน ปรากฏว่าตั้งแต่เช้าถึงเที่ยงฉาบไม่ติด จนต้องเลิก พระรักษ์ซึ่งเป็นพระอุปัฏฐากของหลวงปู่สีจึงไปเรียนถามหลวงปู่สีว่า ทำไมไปแกล้งช่างปูน หลวงปู่สีว่า ท่านไม่ได้แกล้งเพียงแต่ท่านไม่อยากอยู่กุฏิใหม่ พระรักษ์จึงบอกว่า หากหลวงปู่ไม่อยากอยู่ก็ไม่เป็นไร ให้ช่างปูนเขาสร้างให้เสร็จเถิด หลวงปู่สี จึงบอกให้ช่างมาทำใหม่ และทำเสร็จในวันนั้น แต่ท่านก็ไม่เคยใช้เลย จนท่านมรณภาพแล้ว จึงนำร่างของท่านบรรจุในโลงแก้ว แล้วประดิษฐานไว้ที่กุฏินี้

    ประมาณปี ๒๕๑๙ ทาง วัดโพธิ์ทอง อ.ตาคลี จ.นครสวรรค์ ต้องการหารายได้ เพื่อก่อสร้างถาวรวัตถุ จึงมาขอบารมีท่านหล่อรูปเหมือนขนาด ๓ นิ้ว ของท่านเพื่อให้ประชาชนเช่าบูชา แต่ปรากฏว่าท่านอาพาธอยู่ที่โรงพยาบาล จึงขออนุญาตจากเจ้าอาวาส ต่อมาข่าวนี้ออกทางวิทยุ หลวงปู่ท่านได้ยิน ท่านลุกจากเตียงทันทีแล้วถามว่า ใครเอารูปกูไปหล่อ พระรักษ์ตอบว่า วัดโพธิ์ทองครับหลวงปู่ มาขอกับเจ้าอาวาสแล้ว ท่านบอกว่า ”มันไม่เคารพกู หล่อรูปกูไป ถ้าไม่เอามาให้กู ก็จำหน่ายไม่ออก” ปรากฏว่าจำหน่ายไม่ออกจริงๆ จนต้องนำมามอบให้หลวงปู่สี ๘๐๐ องค์ เก็บไว้ที่วัดโพธิ์ทอง ๒๐๐ องค์ ส่วนที่ถวายหลวงปู่สีนั้นมีคนมาเช่าบูชาเกือบหมด แต่ที่วัดโพธิ์ทองไม่มีคนไปเช่าบูชาเลย นับว่าวาจาของหลวงปู่สีศักดิ์สิทธิ์จริงๆ

    เมื่อต้นปี ๒๕๑๙ ทางวัดเขาถ้ำบุญนาค มีงานประจำปีตรงกับวัดหนึ่งทางชลบุรี ซึ่งมานิมนต์หลวงปู่สีไปเป็นประธาน โดยท่านรับปากว่าจะไปในวันที่ ๑๘ มีนาคม พอถึงวันที่กำหนด พระเณรก็เห็นท่านอยู่ที่วัดไม่ได้ไปไหน แต่วันที่ ๑๙ มีนาคม ชาวชลบุรีที่ได้ยินกิตติศัพท์ของหลวงปู่ ก็เหมารถตามมาที่วัดเขาถ้ำบุญนาค ถามหาหลวงปู่สี แล้วถาม ว่า เมื่อวานนี้หลวงปู่ใช่ไหมที่ไปพรมน้ำมนต์ให้ญาติโยมที่ชลบุรี พระเณรที่นั่งอยู่ด้วยถึงกับงง ถามว่าหลวงปู่ไปกับใคร หลวงปู่ไม่ตอบ ล้มตัวลงนอนตามเคย พอถึงเพล ชาวชลบุรีก็นำอาหารที่เตรียมไปมาถวาย ท่านก็ลุกขึ้นมารับประเคน แล้วนั่งยองฉันอาหาร มีแมวหมาล้อมหน้าล้อมหลัง ชาวชลบุรีเห็นอย่างนั้นก็หมดศรัทธา ว่าท่านไม่ค่อยสำรวม ได้เดินทางต่อไปวัดท่าซุง จ.อุทัยธานี เพื่อกราบนมัสการหลวงพ่อฤาษีฯ และได้เล่าให้หลวงพ่อฤาษีฯ ฟังถึงหลวงปู่สี ว่าเป็นพระไม่น่านับถือ หลวงพ่อฯ กลับตอบว่า กราบฉันแสนครั้งยังไม่เท่าได้กราบหลวงปู่สีครั้งเดียว ต่อมาศิษย์ชาวชลบุรีกลุ่มนี้กลายมาเป็นศิษย์ที่นับถือหลวงปู่สีมากที่สุดกลุ่มหนึ่ง
    ที่อำเภอตาคลีมีเด็กคนหนึ่ง พ่อแม่นับถือหลวงปู่สีมาก ได้เอาเหรียญของท่านให้เด็กห้อยคอ ต่อมาเด็กเป็นหัดแล้วตาย พ่อแม่ก็จัดการเผาตามประเพณี ปรากฏว่าเผาศพหมดถ่านไป ๒ กระสอบ ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะไหม้ จึงลองเขี่ยดูตามตัว พบเหรียญผูกเชือกร่มห้อยคออยู่ จึงนำมาดูด้วยความแปลกใจเพราะแม้แต่เชือกร่มก็ยังไม่ละลาย ต้องนำเหรียญออกจึงเผาได้ตามที่ต้องการ
    ศิษย์ของท่านคนหนึ่ง มีบ้านเดิมอยู่ที่จังหวัดพิจิตร เป็นเจ้าของวงดนตรี และเป็นนักร้องรูปหล่อ (หากบอกชื่อ นักฟังเพลงทุกคนจะต้องรู้จัก) เคยมาหาท่านแล้วปรับทุกข์ว่า เงินที่ขายที่ทางได้หลายล้านนั้น เลี้ยงลูกวงไปเกือบหมดแล้ว เหลือเพียงไม่กี่แสนบาท ขอให้หลวงปู่แนะนำว่าควรจะเลิกวงดนตรี หรือเล่นต่อไป หลวงปู่สีบอกว่าให้เล่นต่อเพราะว่าต่อไปนี้ จะดังไปทั่วประเทศ ศิษย์คนนั้นก็ให้สัจจะว่า ถ้าดังทั่วประเทศเหมือนหลวงปู่ว่าจริง จะมาเล่นฟรีให้วัดปีละครั้งทุกปี ต่อมาก็ปรากฏว่าวงดนตรีนี้มีชื่อเสียง ระดับเดียวกับวงดนตรีสายัณห์ สัญญา รับงานแสดงทั่วประเทศ สร้างความร่ำรวยให้เป็นอย่างมาก และเขาก็นำวงมาแสดงตามสัญญาทุกปี จนกระทั่งหลวงปู่สีมรณภาพ ก็ยังมาเล่นให้ฟรีจนถึงปี ๒๕๒๕ ก็ไม่มาเล่นเช่นเคย พอปี ๒๕๒๖ ชื่อเสียงของวงก็เริ่มตกต่ำลงเรื่อยๆ จนในปี ๒๕๒๗ จึงกลับมาขอขมาเล่นให้ฟรีอีก ปัจจุบันนี้เริ่มมีชื่อเสียงขึ้นมาอีกครั้ง (ตอนเขียนเรื่องนี้ปี ๒๕๒๘ นะครับ) ใครเคยให้สัจจะไว้กับหลวงปู่สี ถ้าไม่รักษาสัจจะ จะต้องมีอันตกต่ำไม่มีความเจริญ
    ปกติหลวงปู่สีท่าน ชอบหมอลำมาก (เข้าใจว่าเป็นแหล่เทศน์ แต่ลูกศิษย์เข้าใจว่าเป็นหมอลำ) เมื่อท่านมรณภาพไปแล้วทุกปีในวันที่ ๒๓ กุมภาพันธ์ ทางวัดจะจัดงานครบรอบวันมรณภาพของท่าน โดยมีหนังกลางแปลง ๑ จอ และหมอลำ จัดมาได้สองปี ปีต่อไปงดหมอลำ ให้มีหนังกลางแปลงอย่างเดียวเพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย ปรากฏว่ารถฉายภาพยนตร์ไปเสียกลางทาง จน ๓ ทุ่มจึงได้ตั้งจอ พอจะฉายไฟดับ ต้องแก้ระบบไฟฟ้า และฝนตั้งเค้ามาทันทีทันใด แล้วตกอย่างหนัก เป็นอันว่าฉายภาพยนตร์ไม่ได้ จนต่อมาต้องมีหมอลำ (แหล่เทศน์)ถวายท่านด้วย (นี่แหละครับ ถือเป็นบทเรียน ลูกศิษย์เวลาจะทำอะไรต้องเคารพครูบาอาจารย์ ต้องขออนุญาตท่านก่อน เมื่อคราววัดโพธิ์ทองหล่อรูปหลวงปู่สี ก็ครั้งหนึ่งแล้ว น่าจะจำกันไว้ พวกเราลูกศิษย์หลวงพ่อฯ ก็ขอให้ถือเป็นแบบอย่าง อะไรไม่แน่ใจให้เรียนถามท่านก่อน มโนมยิทธิก็ได้กันเยอะแยะ จะทำอะไรเรียนถามท่านก่อนจะปลอดภัยที่สุดครับผม)
    หลวงปู่สีท่าน ป่วยด้วยโรคต่อมลูกหมากบวม โดยเข้าโรงพยาบาลเมื่อเดือนกันยายน พ.ศ. ๒๕๑๙ และเข้าๆ ออกๆ โรงพยาบาลอยู่ ๒-๓ ครั้ง พอถึงปลายเดือน ๓ ท่านก็บอกกับพระเณรในวัดว่า เดือน ๔ ท่านจะไปแล้ว ซึ่งก็เป็นจริงตามนั้น ท่านมรณภาพในวันที่ ๒๓ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๒๐ เวลา ๓ โมงเย็น ตรงกับ วันขึ้น ๖ ค่ำ เดือน ๔ อายุ ๑๒๘ ปี
    ก่อนท่านมรณภาพ ท่านพระครูนิวิฐปริยัติคุณ ถามท่านว่า หากหลวงปู่สีไป แล้วใครจะสร้างศาลาต่อล่ะ เพราะยังสร้างค้างอยู่ ท่านบอกว่า เสร็จแน่ จะมีคนช่วยสร้างเยอะ อย่าเอาศพท่านไปเผาก็แล้วกัน ซึ่งต่อมาศพของหลวงปู่สี ก็ไม่เน่าเปื่อย มีผู้คนศรัทธาไปร่วมทำบุญสร้างศาลากันมาก จนศาลาเสร็จเรียบร้อย และยังมีเงินเหลือพอที่จะสร้างหอสวดมนต์ได้อีก ๑ หลัง ในปี พ.ศ. ๒๕๒๓ หลังจากท่านมรณภาพแล้ว ๓ ปี คณะศิษย์ได้นำศพท่านออกมาจากโลงแก้ว เพื่อจะเปลี่ยนผ้าครองให้ท่านใหม่ ช่างภาพในอำเภอตาคลี มาขอกรรมการถ่ายรูปท่านไป ๕ รูป เมื่อล้างฟิล์มออกมา ปรากฏว่าไม่ติดสักรูปเดียว รูปอื่นๆ อีก ๓๑ รูป มีภาพทุกใบ เป็นเรื่องอัศจรรย์มาก เพราะแม้แต่ศพของท่านยังถ่ายรูปไม่ติด หากผู้ใดจะถ่ายรูปศพท่าน จะต้องจุดธูป ๙ ดอก ขอต่อท่านก่อน มิฉะนั้นจะถ่ายรูปไม่ติดเพราะเป็นเช่นนี้หลายรายแล้ว ชาวตาคลีรู้เรื่องนี้ดีทุกคน


    [​IMG]
    [​IMG]


    มีบางคนไปนมัสการพระศพของหลวงปู่สี แล้วนำเอาเถ้าขี้ธูป และก้านธูปในกระถางหน้าศพท่าน กลับไปเลี่ยมห้อยคอแทนพระเครื่อง ปรากฏว่ามีอานุภาพดีมากทางป้องกันอันตรายต่างๆ อีกทั้งโชคลาภค้าขายก็ไม่ใช่ย่อย ฉะนั้นก้านธูป และขี้ธูปในกระถางธูปหน้าศพท่าน จึงมักไม่ค่อยมีเหลือ หากผู้ใดไปนมัสการท่าน ลองจุดธูปแล้วอธิษฐานขอจากหลวงปู่สี แล้วดึงเอามาบูชาเพียงก้านเดียวก็พอ อย่าโลภมากเป็นอันขาด รับรองว่าใช้แทนวัตถุมงคลของท่านได้เป็นอย่างดี


    [​IMG]

    เขียนโดย อำพล เจน

    คำชี้นำ ถึงแหล่งที่อยู่พระเครื่องดีอย่างที่ได้สืบมากันมาตลอดนั้น ได้มีมาถึงผมอีกแล้วอย่างน่าทึ่ง

    “พระของหลวงปู่สียังมีอยู่” คุณวิชิต ฉลองชัยวรการ บอกผมเหมือนลมพัดผ่านไปวูบหนึ่งในตอนบ่ายของต้นเดือนมิถุนายน
    “หลวง ปู่ ศรีผีย่านหรือครับ” วูบไหวที่ฉาบฉวยนั้นทำให้ผมไพล่นึกไปถึง หลวงปู่ศรี ฐิตธมฺโม วัดหลวงสุมังคลาราม ศรีสะเกษ ที่ได้เคยเขียนถึงพระเครื่องรุ่นสุดท้ายของท่านไปนานแล้วอย่างช่วยไม่ได้

    ก็ “สี” กับ “ศรี” คือคำเดียวกันเมื่ออยู่ในปากที่เปล่งออกมา

    หูที่เหมือนต้นอ้อก็เพี้ยนไป

    สัพพัง อะปราทัง ขะมะถะเม ภันเต

    ถ้าจะต้องระลึกถึง หลวงปู่สี ฉันฺทสิริ อย่างปุบปับฉับพลัน จะระลึกถึงอะไร

    คง มีแต่คำอันเคยก้องหูไม่จางคลายที่หลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ บอกปัดการเสกพระครั้งหนึ่ง กับคณะผู้สร้างพระกลุ่มหนึ่งที่เพิ่งเดินทางมาจากเขาถ้ำบุนนาค ด้วยเหตุผลอันน่าตื่นใจจริง

    “หลวงปู่สีเอามือซาวพระ 3 ที ดีกว่าฮาเสกพระปีหนึ่งหนา”

    เบื้อง หลังคำปฏิเสธอันได้โชว์ถึงความ ยิ่งใหญ่ของหลวงปู่สีนี้มีอยู่ว่า กลุ่มผู้สร้างพระดังกล่าว ได้สร้างพระมากราบขอบารมีหลวงปู่สีปลุกเสกให้ แต่ท่านกลับไม่ทำอะไรเลย นอกไปจากควานมือออกมาซาวพระ 3 ครั้ง

    จะหลับตาสักพริ้มหนึ่งก็ไม่มี จะบริกรรมมนต์อันใดสักซุบซิบหนึ่งก็ไม่ได้ยิน จะเป่าลมปากสักฟู่หนึ่งก็ไม่เห็น

    ด้วยกิริยาประหนึ่งซาวข้าวสารที่ ไม่เหมือนเสกพระอย่างนั้น ยังจะเป็นการเสกพระอยู่หรือ

    ถ้าเป็น – จะขลังอยู่หรือ

    ฟ้าแลบก็ยังจะดูช้ากว่าการเสกพระของหลวงปู่สี เพราะมันยังจะต้องมีเค้าของเมฆฝนก่อน

    ไม่มีอะไรทำให้เกิดความมั่นใจ ได้เลย ว่างั้นเถิด

    พวกเขาจึงตกลงใจหอบหิ้วพระทั้งหมดขึ้นดอยแม่ ปั๋ง กราบขอหลวงปู่แหวนปลุกเสกให้อีกสักครั้ง

    นี่คือที่มาของคำ ปฏิเสธอันน่าตื่นใจ มันเปิดแสงสว่างจ้าในหัวใจทุกคนจนเต็มปรี่ ศรัทธาขยายพองคับอกเพียงคำพูดสั้น ๆ แค่นั้น
    “ท่านเอามือถูกพระน่ะดีแล้ว หนา ฮายังไม่เคยเอามือถูกพระเลย”

    ใครจะไปรู้ว่า หลวงปู่แหวน ท่านถือเอาหลวงปู่สีเป็นครูบาอาจารย์ของท่านอีกรูปหนึ่ง

    นี่คือความ จริงบนดอยแม่ปั๋งที่มีต่อเขาถ้ำบุนนาค

    มี ผู้บอกผมว่า หลวงปู่สี เป็นเพื่อนกับหลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า เรื่องนี้ผมไม่เคยทราบ แต่มันทำให้ผมนึกถึงอีกแง่หนึ่งว่า ในบรรดาภิกษุรุ่นราวคราวเดียวกับหลวงปู่ศุข ที่เกิดในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 เห็นมีแต่หลวงปู่สีรูปเดียวเท่านั้น ที่มีชีวิตยืนยาวมาจนถึงรัชสมัยพระเจ้าอยู่หัวพระองค์ปัจจุบัน

    แม้ หลวงปู่เคน วัดเขาอีโต้ ปราจีนบุรี จะเป็นภิกษุอีกรูปหนึ่งที่มีอายุเกินร้อยปี แต่เมื่อเปรียบกับหลวงปู่สีแล้วหลวงปู่เคนยังมีอายุน้อยกว่า

    หลวงปู่สี ฉันฺทสิริ เกิด พ.ศ. 2392 ได้เห็นการผลัดเปลี่ยนแผ่นดิน 6 ครั้ง เรียกว่าเป็นภิกษุ 6 แผ่นดิน ได้เต็มปากเต็มคำ

    มี บันทึกของฝ่ายศิษย์ท่านหนึ่งบอกว่า เรื่องอายุยืนของหลวงปู่สีนั้น มีเหตุมาจากท่านได้ฉันยาอายุวัฒนะในป่าภาคเหนือของประเทศไทยในสมัยที่ยัง ธุดงค์ ท่านได้พบคนกลุ่มหนึ่งโดยบังเอิญ พวกเขามีทั้งหมด 4 คน กำลังล้อมวงดื่มกินอะไรบางอย่าง เมื่อท่านเข้าไปใกล้ ๆ ก็พากันเอะอะว่า
    “หลวง พ่อมาช้าไป พวกผมเพิ่งกินยาอายุวัฒนะหมด ไปเดี๋ยวนี้ แต่ที่หกรดอยู่ตามใบไม้ใบหญ้าก็พอมีอยู่ หลวงพ่ออย่างรังเกียจเลย ขอให้ฉันเสียเถิด”

    ไม่มีใครรู้คนกลุ่มนี้เป็นใครมาจากไหน แต่ยาเพียงไม่กี่หยดก็ทำให้ท่านกลับเป็นภิกษุอายุยืนได้อย่างน่าอัศจรรย์

    เรื่อง นี้ฟังแปลกดี ถือเป็นเรื่องลี้ลับ ที่คนหลายคนกำลังพยายามค้นหาแต่หาไม่พบ ถ้าหากว่ายาอายุวัฒนะนั้นเป็นของที่หาได้ง่าย ๆ และแพร่หลาย คงจะมีผู้อายุยืนเป็นร้อยปีอีกมาก รวมทั้งผมก็เอาด้วยคนหนึ่งแน่ ๆ

    อัต ประวัติของหลวงปู่สี ฉันฺทสิริ ไม่ค่อยมีปรากฏแพร่แหลายสักเท่าไหร่ แต่ชื่อเสียงและกิตติคุณของท่านเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางทั่วไป ซึ่งผมก็จะได้นำมาเล่าไว้ในที่นี้ อย่างเท่าที่จะทำได้ โดยอาศัยข้อเขียนเก่า ๆ จากหลายท่านที่ได้เขียนเผยแพร่ไว้ และจะเล่าแต่พอย่อ ๆ ให้ได้แต่ใจความสำคัญเท่านั้น

    ภูมิลำเนา – ปฐมวัย

    หลวง ปู่สีเป็นชาวสุรินทร์ สถานที่เกิดปัจจุบันอยู่ในเขตอำเภอรัตนะ เข้าไปอยู่กรุงเทพฯ ตั้งแต่ยังเป็นเด็ก อาศัยในวัดสุทัศน์ ศึกษาเล่าเรียนเบื้องต้นที่นี่ จนถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ท่านถูกเกณฑ์ทหารและเป็นทหารจนกระทั่งปลด พอปลดแล้วไปนครสวรรค์ ประกอบอาชีพล่าสัตว์ และค้าวัวควายอยู่ในเขตอำเภอตาคลี

    บวช

    อายุ 40 ปี ท่านจึงได้บวชที่วัดบ้านเช่า (บ้านหมี่) จังหวัดลพบุรี มีพระครูธรรมขันธ์ เป็นพระอุปัชฌาย์ หลังจากบวชได้ 7 วัน ก็ออกจากวัดบ้านเช่าไปพักจำพรรษาที่ถ้ำเขาเลียบ ในเขตตำบลช่องแค อำเภอตาคลี จังหวัดนครสวรรค์ เปิดฉากชีวิตธุดงค์ด้วยก้าวแรกที่นี่

    ชีวิต ธุดงค์

    หลวง ปู่สี ใช้ชีวิตในเพศบรรพชิตด้วยการเดินธุดงค์เป็นส่วนใหญ่ เคยธุดงค์ไปถึงพระบาท 4 รอย และประเทศอินเดีย รวมทั้งลาวก็เคยจำพรรษาอยู่หลายปี

    หลวงปู่ เล่าว่าตอนธุดงค์ไปพระบาท 4 รอย เมืองเชียงตุง นั้น หลงป่าอยู่ 11 วัน ไม่ได้ฉันอาหาร พอรุ่งเช้าวันที่ 12 ขณะกำลังนั่งสวดมนต์ ได้มีช้างป่า 2 เชือก นำหัวบัวและอ้อยมาถวาย ท่านจึงได้หัวบัวมาต้มกับน้ำอ้อยฉันเป็นอาหาร ช้างป่าทั้ง 2 เชือกก็ไม่หนีไปไหน มันรอจนหลวงปู่ฉันเสร็จแล้วเดินนำทางหลวงปู่ออกจากป่า

    หลวงปู่สี เลิกธุดงค์เมื่ออายุ 114 ปี เนื่องจากเห็นว่าสังขารไม่อำนวยแล้ว และท่านได้มาพำนักที่วัดเขาถ้ำบุนนาคในปี พ.ศ. 2511

    ปาฏิหาริย์และพลังจิต

    หลวง ปู่สีเป็นผู้ที่สามารถรู้เหตุการณ์ล่วงหน้า เช่นเมื่อปี 2512 ท่านบอกกับกรรมการวัดว่า ใต้สระน้ำในวัดเขาถ้ำบุนนาคนี้มีพระพุทธรูปโบราณ 2 องค์จมอยู่ ต่อปลายปีน้ำในสระจะแห้ง ให้ขุดพระขึ้นมาเสีย

    พอปลายปีน้ำในสระก็แห้งจริง คณะกรรมการวัดลงมือขุดจนพบพระพุทธรูป 2 องค์จริง

    คราวเกิด จลาจล 14 ตุลาคม 2516 ที่เรียกว่าวันมหาวิปโยค นายณัฐพันธุ์ เหลืองบำรุงรักษ์ ชาวอำเภอตาคลี ไปกราบหลวงปู่เพื่อขอหวย

    เรียกว่า “ขอปัญหา”

    หลวงปู่บอกว่า ปัญหางวดนี้บ่มีหรอก ในเมืองยุ่งกันอยู่

    เหตุ จลาจลตอนนั้นยังไม่รุนแรงและไม่มีใครเล่าให้ท่านฟัง และเรื่องประกาศระงับการออกสลากในตอนนั้นก็ยังไม่มีวี่แวว มามีประกาศงดออกสลากภายหลังจากท่านได้พูดไปแล้วหลายวัน

    ย่นระยะเวลาได้

    คราว ที่ท่านธุดงค์ไปพระบาทสระบุรีกับหลานชายซึ่งขณะนั้นยังบวช เป็นสามเณร เดี๋ยวนี้คือ หลวงตาแว่น ซึ่งผมไม่แน่ใจว่าท่านยังอยู่ดีหรือไม่ ถ้ายังอยู่ดีสุขภาพแข็งแรง ตอนนี้ท่านจะมีอายุประมาณ 89 ปี เรื่องนี้ก็หลวงตาแว่นนี่แหละเป็นผู้เล่าไว้ตั้งแต่ปี 2517 โน่น

    หลวง ตาแว่นเล่าว่า ได้ติดตามหลวงปู่สีไปพระบาทสระบุรี แต่พอขากลับ ฉันอาหารเช้าเสร็จที่พระบาทฯ หลวงปู่สีบอกให้ท่านเดินนำหน้า พอเดินมาถึง ต.ช่องแค ปรากฏว่ายังไม่เที่ยง ทันเวลาฉันเพลพอดี

    “ระยะทางจาก อ.พระพุทธบาท ถึง ต.ช่องแค เกือบ ๆ 200 กิโลเมตร ถ้านั่งรถยนต์ขับเร็ว ๆ ก็ใช้เวลาร่วม 3 ชั่วโมง ไม่รู้ว่าเดินถึงช่องแคทันฉันเพลได้ยังไง”


    วัตถุมงคล

    แทบ ไม่น่าเชื่อสำหรับภิกษุที่มีคุณวิเศษเพียบพร้อม อย่างหลวงปู่สี จะไม่เคยสร้างเครื่องรางของขลังและพระเครื่องใด ๆ เลยจนกระทั่งปี พ.ศ. 2517

    สาเหตุ ที่ท่านไม่ทำของขลัง มีเรื่องเล่าว่า สมัยที่ท่านอายุได้ 70 กว่าปี ขณะจำพรรษาอยู่วัดป่า จ.ลพบุรี หลวงปู่เคยทำผ้ายันต์ให้ชายคนหนึ่งไป ต่อมาชายคนนั้นได้ปรากฏชื่อระบือในฐานที่เสือปล้น เขย่าขวัญประชาชนทั่ว ๆ ไป

    เจ้าหน้าที่ปราบไม่ได้

    ยิงเท่าไหร่ ๆ กระสุนก็ไม่ระคายผิว

    ไม่เคยเลือดตกยางออก เพราะอาวุธตำรวจ จนกระทั่งตัดสินใจเข้ามอบตัวสำนึกผิดเอง

    เมื่อมอบตัวกับตำรวจแล้ว เจ้าเมืองลพบุรีได้มีบัญชาให้นำตัวชายผู้นี้เข้าพบเป็นกรณีพิเศษ เพื่อถามคำถามสำคัญว่า “มีอะไรดี”

    เขาควักผ้ายันต์ของหลวงปู่สีให้ เจ้าเมืองดู

    หลัง จากนั้นท่านเจ้าเมืองได้เดินทางไปกราบหลวงปู่สีถึง วัดป่า และขอร้องท่านไว้ว่าต่อไปอย่าให้ของขลังใครอีกเลย กลัวคนมันจะเป็นโจรกันหมด

    แต่นั้นมาไม่เคยมีใครได้เครื่องรางของ ขลังจากหลวงปู่สีอีกเลย

    จน กระทั่งปี 2517 ท่านมีอายุ 125 ปี 85 พรรษา และมาพำนักอยู่วัดเขาถ้ำบุนนาคแล้ว ทางกรรมการวัดซึ่งได้ดำเนินการก่อสร้างพระอุโบสถมาตั้งแต่ปี 2514 ติดขัดเรื่องทุนทรัพย์มาโดยตลอด ได้ตัดสินใจกราบขอพึ่งบารมีท่านว่า
    “ถ้า หลวงปู่ไม่ออกของขลัง โบสถ์จะไม่เสร็จ”

    ท่านจึงเริ่มให้ชานหมากที่ เคี้ยวอยู่แก่คนทั่ว ๆ ไปที่มากราบท่านเป็นประเดิม

    ชานหมากก็ไป สร้างชื่อว่า แคล้วคลาด คงกระพัน ดียิ่งนัก ซึ่งคนในตลาดตาคลีเข้าใจดีทุกคน

    ใน ที่สุดพระเครื่องต่างๆ ก็ได้ถูกสร้างขึ้น ทดแทนชานหมากอย่างเป็นเรื่องเป็นราวโดยคณะกรรมการวัด และลูกศิษย์หลายฝ่ายได้ร่วมกันจัดสร้างขึ้นในรูปของเหรียญและพระเนื้อผง โดยมีเป้าหมายการสร้างอยู่ที่พระอุโบสถแทบทุกรุ่นทุกพิมพ์

    พระผงอายุยืนผสมชานหมาก หลวงปู่สี สร้างปี17

    มีส่วนผสมดังนี้

    ผงว่าน108 ดอกบัวบูชาหลวงพ่อโสธร
    ขี้ธูปจากที่บูชา สมเด็จโต วัดระฆัง วัดชนะสงคราม วัดอรุณขี้ธูปและดอกไม้จากศาลหลักเมือง ดอกไม้บูชาพระแก้วมรกต ดอกไม้บูชาพระนอนวัดโพธิ์ และศาลหลักเมืองที่สำคัญๆน้ำมนต์จากวัดระฆัง วัดชนะสงครา วัดอรุณ หลวงพ่อพระพุทธชินราช พิษณุโลก วัดสระเกศ วัดชัยพฤกษ์ วัดอินทร์ผงดินใจกลางเมือง และดินจาก4 ทิศ ชานหมาก และน้ำหมากรวมทั้งผงวิเศษที่ท่านเขียนขึ้นขององค์หลวงปู่สี ซึ่งได้นำไปให้หลวงปู่สีปลุกเสกเดี่ยวอีก



    [FONT=&quot]*ปิดรายการนี้[/FONT][FONT=&quot]ครับ[/FONT]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • SAM_6794.JPG
      SAM_6794.JPG
      ขนาดไฟล์:
      85.7 KB
      เปิดดู:
      87
    • SAM_6798.JPG
      SAM_6798.JPG
      ขนาดไฟล์:
      88.3 KB
      เปิดดู:
      89
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 กันยายน 2011
  10. mrdon

    mrdon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มกราคม 2010
    โพสต์:
    1,317
    ค่าพลัง:
    +2,499
    โอนเงินค่าบูชาพระที่จองไว้ให้แล้วครับ รายละเอียดส่งให้แล้วทางPMครับ ขอบคุณครับ:cool:<?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
     
  11. momotaro67

    momotaro67 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    7,026
    ค่าพลัง:
    +5,457
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 กันยายน 2011
  12. momotaro67

    momotaro67 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    7,026
    ค่าพลัง:
    +5,457
    รายการใหม่ เดินทางแล้วนะครับเช้านี้ 21/9/54

    mrdon : RF199179490TH<!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end -->
     
  13. momotaro67

    momotaro67 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    7,026
    ค่าพลัง:
    +5,457
    ปิดรายการนี้ให้พี่นอกเว็ปครับ
     
  14. momotaro67

    momotaro67 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    7,026
    ค่าพลัง:
    +5,457
    [​IMG]

    เหรียญรุ่นแรก หลวงปู่สีมั่น วัดห้วยลาด บล็อคนิยม "อุแตก" เนื้อทองแดงกะไหล่ทอง หายาก

    เหรียญหลวงปู่สีมั่นสร้างเมื่อปี 2509 ที่มีพิธีการสร้างเหมือนหลวงปู่ทวดคือโดยการเข้าทรงโดยพระอาจารย์ ขาว ติสสวังโส ณวัดห้วยลาดซึ่งหลวงปู่สีมั่นมาประทับทรงตั้งแต่ปี พศ.2496-2499 เมื่อตอนเข้าทรงใหม่ๆ ลูกศิษย์หลายคนสงสัยว่า ท่านเป็นภิกษุองค์เดียวกันกับหลวงปู่ทวด วัดช้างไห้หรือไม่ หลวงปู่สีมั่น ท่านทราบวาระกระแสจิตความสงสัยของบรรดาลูกศิษย์เหล่านั้นก็บอกลูกศิษย์ไปว่า "พระที่ชื่อทวดน่ะไม่มีหรอก มีแต่พระที่ชื่อว่า โค๊ะ(หลวงปู่ทวด) เป็นพระร่วมสมัยเดียวกับหลวงปู่ แต่เดิมพระโค๊ะนั้นบวชเรียนเอาความรู้ทางปริยัติ ได้รับสมณะศักดิ์ทางสงฆ์ แต่ภายหลังได้ออกปฏิบัติวิเวกธุดงค์กรรมฐานหาความสงบทางจิตใจ นับว่าเป็นพระภิกษุที่ดีจริงองค์หนึ่งทีเดียว" นั้นเป็นคำพูดของหลวงปู่สีมั่น บอกกล่าวผ่านร่างทรงคือพระอาจารย์ขาว หลวงปู่สีมั่นได้เข้าประทับทรงได้สอนหลักธรรมต่างๆให่แก่ลูกศิษย์และสอนคาถาอาคมต่างๆซึ่ง

    อาจารย์สีมั่น สมัยก่อน เก่งขึ้นชื่อมากครับ ได้มีคาถา ใช้ตกทอดกันมามีดังนี้ครับ
    [​IMG]

    เหรียญรุ่นนี้ได้สร้างขึ้นเพื่อแจกทหารที่ไปรบในประเทศเวียดนาม หลายคนได้รับแจก หลวงปู่สีมั่นติดตัวไป และต่างก็มีประสบการณ์กันมากมาย จึงทำให้เหรียญนี้โดงดั่งต่างคนเริ่มแสวงหากันยกใหญ่ ถ้าเหรียญไม่ผ่านการใช้เลยผิวเนื้อเหรียญจะกลับและบางเพราะสร้างเมื่อ ปี 2509 มีทั้งเนื้อทองแดง, อัลปาก้า
    และเนื้อทองแดงกะไหล่ทอง ซึ่งเนื้อทองแดงกะไหล่ทองนี้จะมีจำนวนน้อยกว่า หายากสุด

    ประสบการณ์
    ในปี ๒๕๑๗ มีกลุ่มนายทหารมารับเหรียญนี้แล้วนำไปลองภายในวัดโดยวางไว้บนขอนไม้แล้วใช้ ปืน 9 มม.เล็งยิงไปที่เหรียญปรากฏว่า !!!กระสุนยิงไม่ออก จึงเป็นที่กล่าวขานและนิยม ในวงการข้าราชการทั่วไปครับ

    [​IMG][​IMG]


    [​IMG]
    ซูมมือหลวงพ่อให้เห็นตำหนิที่นิ้ว


    [​IMG]
    บล็อคนิยมปลายอุนาโลมแตก

    [​IMG]
    บล็อคนิยมอุแตก ยันต์ต้องแตกเส้นคมด้วยครับ



    [FONT=&quot]*ปิดรายการนี้[/FONT][FONT=&quot]ครับ[/FONT]​
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • lpsm1.jpg
      lpsm1.jpg
      ขนาดไฟล์:
      110.1 KB
      เปิดดู:
      1,407
    • lpsm2.jpg
      lpsm2.jpg
      ขนาดไฟล์:
      106.5 KB
      เปิดดู:
      1,402
    • lpsm3.jpg
      lpsm3.jpg
      ขนาดไฟล์:
      82.4 KB
      เปิดดู:
      1,253
    • lpsm4.jpg
      lpsm4.jpg
      ขนาดไฟล์:
      66.6 KB
      เปิดดู:
      1,340
    • lpsm5.jpg
      lpsm5.jpg
      ขนาดไฟล์:
      62.5 KB
      เปิดดู:
      1,259
    • n83328_155.jpg
      n83328_155.jpg
      ขนาดไฟล์:
      61.6 KB
      เปิดดู:
      1,438
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 พฤษภาคม 2012
  15. momotaro67

    momotaro67 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    7,026
    ค่าพลัง:
    +5,457
    [​IMG]
    พระบรมธาตุไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี
    พระบรมธาตุซึ่งประดิษฐานอยู่ ณ วัดพระธาตุไชยาในตำบลเวียง อำเภอพุมเรียง เมืองไชยาเก่า พระบรมธาตุสร้างมาตั้งแต่ครั้งสมัยโบราณนับได้กว่าพันปี ตามหลักฐานศิลาจารึกพระพุทธรูป ต่าง ๆ
    ไม่ทราบว่าใครเป็นผู้สร้างเพราะไม่มีการบันทึกไว้ถึงจะมีการซ่อมแซมเมื่อ องค์พระบรมธาตุชำรุดทรุดโทรมก็ไม่ได้มีการจารึกให้รู้ไว้เป็นหลักฐาน ครั้งล่วงมาเป็นเวลานาน ชนชั้นหลังไม่สามารถจดจำบันทึกการเริ่มต้นเพื่อชนรุ่นต่อ ๆ ไป
    การสร้างพระบรมธาตุถึงจะเป็นองค์พระธาตุไม่ใหญ่โตนักอยู่ในตำบลที่ห่างไกลจากตัวเมือง แต่เมื่อดูศิลปของช่างโบราณที่สร้างขึ้นอย่างวิจิตร ประณีตสวยงามมาก คงเป็นเจ้าผู้ครองนครในสมัยนั้นที่มีบารมีกำลังไพร่พล พาหนะมากมาย จึงสร้างอย่างมั่นคงแข็งแรง
    ความสามารถของช่างโบราณที่ทำพระเจดีย์ ไม่ได้ใช้ปูนเป็นบายสอผูกอิฐเลย เขาใช้ป่นอิฐให้ละเอียดใส่ไปตามช่องระหว่างแผ่นอิฐอย่างใช้ปูน แต่อิฐก็แข็งตัวได้ดี ในที่หมิ่น ๆ ไม่หลุดและเคลื่อนได้ง่าย ๆ ถึงตอนแรกจะใช้ของเหนียว ๆ เจือปน แต่กาลเวลาล่วงเลยมานานของเหนียวหมดอายุลงแต่ไม่ว่าตรงที่ใดถึงจะมีรากไม้ขึ้นเบียดเบียนทำให้แตก ก็ไม่ค่อยมีอันตรายเท่าใดการใช้บายสอทำยากมากแต่ก็ทนดีกว่าปูน อิฐที่ใช้เผาไฟมีความคงทน ภายหลังเมื่อมีการซ่อมแซมใช้อิฐใหม่เข้าไปแต่ก็ผุพังอิฐเดิมยังมั่นคงอยู่ในสภาพดี
    [​IMG]
    วิธีก่อองค์พระบรมธาตุ จะเอาอิฐเข้าก่อปรับถูรอยเหลี่ยมให้เท่ากัน และนำเอาศิลามาใช้แทนอิฐในที่สำคัญ ๆ เช่น วงกรอบ ซุ้มประตูและยอด เป็นต้น ที่รอยต่อของศิลาต่อศิลายังใช้ศิลาเป็นแกนอีกด้วย การทำลวดลายไม่ได้ใช้พอกหรือปั้นปูนเลย หรือการปั้นลายในขณะดินเปียกแล้วเผา การสลักลวดลายสลักลงในอิฐเมื่อก่ออิฐเสร็จเป็นรูปร่าง จากนั้นก็ขัดทั่วทั้งองค์ แล้วลงรักปิดทองปัจจุบันยังมีร่องรอยของรักและทองติดอยู่กับอิฐหลายแห่ง


    [​IMG]
    รูปลักษณะของพระธาตุ
    องค์พระธาตุเท่าที่วัดได้สูงจากฐานใต้ดินถึงยอดสุด 24 เมตร ความกว้างของฐาน 13 เมตร ยาว 18 เมตร ตอนต่อจากพื้นขึ้นไปถึงองค์หอระฆังลดชั้นมีหน้าบันหน้ามุข และมีบราลีทุก ๆ ชั้น แต่บราลีมักทำเป็นรูปเจดีย์เล็กๆ ตลอดทรวดทรงของเจดีย์ที่บรรจุพระบรมธาตุองค์นี้ คนทั่วไปต่างชมว่าพระบรมธาตุนี้สวยงามวิจิตรกว่าที่อื่น ถึงจะเป็นเจดีย์ที่ไม่สูงใหญ่แต่ก็มีลวดลายลดหลั่นชั้นเชิงชดช้อย
    กำแพงพระระเบียงเป็นรูป4 เหลี่ยมจัตุรัส กว้าง 19 วา ต่อมาเป็นกำแพงชั้นนอกยาว 50 วา กว้าง 27 วา สูง 3 ศอก ตามระเบียงประดิษฐานพระพุทธรูปศิลา ล้อมรอบพระบรมธาตุส่วนมากชำรุดนับได้ 180 องค์ พระพุทธรูปเหล่านี้ชาวบ้านเรียกว่า พระเวียน
    ฐานเจดีย์ระหว่างพระเวียนเดิมโบราณเคยปูด้วยอิฐหน้าวัว ปัจจุบันยังเหลืออยู่บางส่วนเจดีย์เล็กส่วนมากยอดพังเสียหายหมดทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ มีวิหารเรียกว่าวิหารปาก ก็หักพังเหลือแต่พระพุทธรูปศิลาแดง ปางสะดุ้งมารหน้าตักกว้าง 7 ศอก
    ส่วนวิหารต่าง ๆ มี
    วิหารทางทิศตะวันออก เรียกว่า วิหารหลวง อยู่ในเขตระเบียงมีพระพุทธรูปใหญ่ ขนาดหน้าตักกว้าง 4 ศอก หลายองค์ทั้งพระพุทธรูปขนาดใหญ่และย่อม
    นอกกำแพงชั้นนอกทิศตะวันออกเฉียงเหนือ มีโบสถ์ พรหมณ์ มีพระพุทธรูปต่าง ๆ ของพระโพธิสัตว์ พระอิศวรปัจจุบันได้นำมาเก็บไว้ที่กรุงเทพฯ
    ทิศตะวันตกของพระบรมธาตุ มีพระอุโบสถ ติดต่ออกไปจากกำแพงระเบียง
    องค์พระธาตุไชยา เป็นเจดีย์สมัยศรีวิชัย สร้างตามลัทธิมหายาน ประมาณปี พ.ศ.1300 สมัยอาณาจักรศรีวิชัยเรืองอำนาจ แผ่ปกครองตั้งแต่เมืองไชยา จนตลอดแหลมมาลายู องค์พระบรมธาตุตั้งอยู่ระหว่างพระอุโบสถกับพระวิหารหลวง มีระเบียงคดล้อมรอบทั้ง 4 ด้าน ตรงฐานพระบรมธาตุขุดเป็นสระกว้างประมาณ 50 ซม. ลึกประมาณ 60-70 ซม. จนมองเห็นฐานเดิม การสร้างด้วยอิฐโบกปูน
    ก่อนที่จะทำการบูรณะในสมัยพระชยาภิวัฒน์ (หนู ติสฺโส) ฐานของพระบรมธาตุจมอยู่ต่ำกว่าพื้นดิน จะมีน้ำขังอยู่โดยรอบฐานตลอดทั้งปี
    บางปีหน้าแล้งน้ำแห้งจะมีตาน้ำผุผุดขึ้นมา ชาวบ้านแตกตื่นพากันมาตักน้ำไปรักษาโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ เพราะถือว่าเป็นน้ำทิพย์อันศักดิ์สิทธิ์ ต่อมาทางวัดเกรงว่าน้ำจะซึมมากัดเซาะฐานพระบรมธาตุอาจได้รับความเสียหาย จึงเอาปูนซีเมนต์ปิดตาน้ำนั้นเสีย
    องค์พระบรมธาตุเจดีย์ไชยาเป็นรูปทรงสี่เหลี่ยมจัตุรมุขย่อมุม มุขด้านหน้า ทางทิศตะวันออกเปิด มีบันไดขึ้นไปด้านในมีพระพุทธรูปภายในเจดีย์ เมื่อเข้าไปด้านในจะเห็นองค์เจดีย์กลวง มุขทั้งสามด้านทึบหมด
    ผนังอิฐที่ก่อขึ้นไปแบบไม่สอ เรียงลดหลั่นขึ้นไปจนถึงยอดเจดีย์ ที่มุมฐานของพระบรมธาตุ มีเจดีย์ทิศหรือเจดีย์บริวารตั้งซ้อนอยู่
    หลังคาทำเป็นสามชั้นลดหลั่นกันขึ้นไป ในแต่ละชั้นประดับวงโค้งขนาดเล็กและสถูปจำลอง 24 องค์
    เหนือขึ้นไปเป็นส่วนยอดเดิมหักชำรุดพังลงมาหมด การซ่อมแปลงใหม่ในรัชกาลที่ 5 ได้ขยายยอดให้สูงขึ้นกว่าเดิม เริ่มที่คอระฆังทำเป็นดอกบัวขนาดใหญ่ องค์ระฆังเป็นรูป 8 เหลี่ยมเหนือถัดขึ้นไปเป็นบัลลังก์บัวกลุ่ม และปลียอดตามลำดับ
    เฉพาะที่ปลียอดเดิมหุ้มด้วยเงิน เหนือปลียอดขึ้นไปประดับด้วยทองคำปรุ 3 ชั้น ฉัตรนี้ของเดิมหุ้มด้วยทองคำหนัก 82 บาท 3 สลึง แต่ได้ถูกคนร้ายลักลอบเอาไป ทางวัดจัดทำขึ้นมาใหม่เมื่อ พ.ศ. 2481 เป็นทองวิทยาศาสตร์ขึ้นประดิษฐานแทน ปัจจุบันได้ทำฉัตรทองคำขึ้นประดิษฐานแทนของเก่าแล้ว
    ลวดลายที่ปะดับเจดีย์ที่ซุ้มจรนำหรือซุ้มวงโค้งรูปเกือกม้า (กุฑุ) ประดับอยู่ส่วนบนหลังคาของพระบรมธาตุสลับกับรูปสถูปจำลอง ของเดิมสลักในแผ่นอิฐเป็นรูปหน้าคน มีลายรูปมังกรหรือหน้ากาลประดับ
    การบูรณะพระบรมธาตุเจดีย์ครั้งใหญ่ในรัชกาลที่ 5 มีการซ่อมแปลงซุ้มด้วยปูนปั้น ลวดลายที่ปรากฏในปัจจุบันเป็นของใหม่ผสมของเก่า พระยาธนกิจรักษาได้พรรณนาถึงลักษณะเจดีย์พระบรมธาตุ ไว้ในหมายเหตุการณ์เสด็จพระราชดำเนินเลียบมณฑลปักษ์ใต้ รัชกาลที่ 6 พ.ศ. 2458 ไว้ดังนี้
    พระธาตุองค์นี้เป็นเจดีย์ย่อมกว่าที่เมืองนครศรีธรรมราช และฐานอยู่ต่ำกว่าพื้นดิน เป็นฐานสี่เหลี่ยมมีน้ำขังอยู่รอบฐานแต่ก่ออิฐถือปูนไว้เป็นเขื่อนกั้นไว้โดยรอบบนฐานมีซุ้มปั้นลาย ซุ้มด้านหน้ามีพระพุทธรูปแลตราแผ่นดินรัชกาลที่ 5 ด้านหลังเป็นเทพประนมด้านข้างเป็นช้าง 3 เศียรและนกยูง มีรูปสิงห์รูปเหรา รูปผีเสื้อ ดูลายเก่าทับลายใหม่ปนกัน ตอนบนเป็นพระเจดีย์กลม ยอดปลีหุ้มทองคำ มีฉัตร 3 ชั้น
    เจดีย์พระบรมธาตุไชยา ตั้งอยู่กลางลานล้อมรอบด้วยระเบียบคด ที่มุมลานมีเจดีย์รายรวม 4 องค์ พื้นลานเจดีย์ระหว่างเจดีย์ถึงวิหารคด เดิมโบราณปูด้วยอิฐหน้าวัว การซ่อมแซมในรัชกาลที่ 5 ได้เปลี่ยนเป็นกระเบื้องซีเมนต์ ปัจจุบันได้เปลี่ยนมาเป็นกระเบื้องดินเผา
    พระวิหารคด
    พระระเบียงหรือวิหารคด รอบเจดีย์พระบรมธาตุไชยา มีแปลนเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส กว้างยาวด้านละ 39 เมตร สูง 4 เมตร ภายในระเบียงประดิษฐานพระพุทธรูปสกุลช่างไชยา ขนาดและปางต่าง ๆ รวมทั้งสิ้น 180 องค์ มีพระเจดีย์ หอระฆัง และมณฑปภายในวิหารคด ที่ภายในประดิษฐานรูปปั้นทองเหลืองของพระไชยาภิวัฒน์ (หนู ติสฺโส) ผู้บูรณปฏิสังขรณ์เจดีย์พระบรมธาตุไชยา ในสมัยรัชกาลที่ 5
    พระวิหารหลวง
    พระวิหารหลวง ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกขององค์เจดีย์พระบรมธาตุไชยา สร้างยื่นล้ำเข้าไปในพระวิหารคด ภายในพระวิหารหลวงมีพระรูปน้อยใหญ่ประดิษฐานอยู่หลายองค์ ด้านหลังพระวิหารหลวงด้านตะวันตก เดิมเป็นห้องลับแล สำหรับนมัสการพระบรมธาตุ ปัจจุบันใช้เป็นพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ ประจำจังหวัดสุราษฏร์ธานี (วัดพระบรมธาตุไชยา) สำหรับแสดงโบราณวัตถุต่าง ๆ แล้วยังใช้เป็นสถานที่บำเพ็ญกุศลและประชุมคณะสงฆ์
    พระอุโบสถ
    พระอุโบสถตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกขององค์พระบรมธาตุไชยาอยู่นอกกำแพงวิหารคด สันนิษฐานว่าสร้างใน พ.ศ. 1330 สมัยอาณาจักรศรีวิชัย เขตพันธสีมากว้าง 13.15 เมตร ยาว 18.80 เมตร แต่เดิมมีใบพันธสีมาใบเดียว เรียงรายรอบพระอุโบสถ จนถึง พ.ศ. 1800 พระพุทธศาสนาลัทธิเถรวาทแบบลังกาได้แผ่เข้ามา พระสงฆ์ลังกาได้ทำพิธีผูกพันธสีมาซ้ำในอุโบสถที่เดิมอีกครั้งหนึ่ง เพื่อให้พุทธศาสนามีความบริสุทธิ์มั่นคง และสมบูรณ์ยิ่งขึ้น ใบพัทธสีมาจึงปักเป็นคู่แฝดโดยมากมักจะเป็นพระอารามหลวง ด้วยเหตุนี้วัดพระบรมธาตุไชยา จึงมีใบพัทธสีมา 2 ใบ ภายในพระอุโบสถมีพระประธานเป็นพระพุทธรูปศิลาทรายแดง ปางมารวิชัยสมัยอยุธยา
    พระอุโบสถหันหน้าไปทางทิศตะวันตก ซึ่งผิดกับพระอุโบสถทั่วไป ที่นิยมหันหน้าไปทางทิศตะวันออกทั้งนี้อาจเป็นเพาะเมื่อกราบไหวพระประธานใน โบสถ์แล้วก็กราบไหว้พระบรมสารีริกธาตุที่บรรจุในพระบรมธาตุเจดีย์ด้านหลังไป พร้อม ๆ กัน

    [​IMG]
    พระพุทธรูปศิลาทรายแดง 3 องค์
    พระพุทธรูปศิลาทรายแดง 3 องค์ ประดิษฐานอยู่กลางแจ้ง บนลานภายในกำแพงแก้ว ด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือ สร้างในสมัยอยุธยา โดยฝีมือสกุลช่างไชยา อาสน์ที่นั่งเป็นของใหม่เพื่อยกให้พระพุทธรูปสูงขึ้น สันนิษฐานว่าบริเวณที่ตั้งพระพุทธรูปศิลาทรายแดง เดิมเป็นวิหาร แต่เมื่อกาลเวลาผ่านไปก็ชำรุดทรุดโทรมหรือจากภัยสงคราหรือภัยธรรมชาติ จนปัจจุบันไม่มีวิหารหลงเหลืออยู่อีกแล้ว นอกจากพระพุทธรูปศิลาทรายแดง 3 องค์ เศียรหักไป 2 องค์ จนกระทั่งท่านเจ้าคุณพระชยาภิวัฒน์ (หนู) กับพระวินัยธรรมยวด สุริโย ได้บูรณะพระพุทธรูปทั้ง 3 จนเสร็จสมบูรณ์ เมื่อ พ.ศ. 2478 ดังที่เห็นในปัจจุบัน


    <center>[​IMG]</center> รูปปั้นหล่อ พระชยาภิวัฒน์ (หนู ติสฺโส)
    พระราชทินนามเต็มว่า “พระชยาภิวัฒน์ สุภัทรสังฆปาโมกข์” เป็นชาวบางมะเดื่อ ตำบลบางมะเดื่อ อำเภอพุนพิน (แม่น้ำพุมดวง) สุราษฎร์ธานี เคยแสดงตลกหลวงหน้าพระที่นั่งในสมัยพระพุทธเจ้าหลวง ได้อุปสมบทเมื่อายุ 20 ปีบริบูรณ์
    ท่าได้ปกครองคณะสงฆ์ในจังหวัดสุราษฎร์ธานี ให้มีความเป็นระเบียบเรียบร้อย ผลงานที่เป็นคุณประโยชน์ต่อพระพุทธศาสนาคือ การบูรณปฏิสังขรณ์พระบรมธาตุเจดีย์ไชยา และเสนาสนะของวัดจนสำเร็จเรียบร้อยในสมัยรัชกาลที่ 5 รวมเวลาบูรณะ 14 ปี
    เมื่อพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จประพาสมณฑลภาคใต้ นมัสการพระบรมธาตุไชยา ทรงโปรดให้พระชยาภิวัฒน์เจริญชัยมงคลคาถา ทรงถวายน้ำมนต์ที่ฝ่าพระหัตถ์ และปะพรมน้ำพระพุทธมนต์แก่ลูกเสือป่า ท่านได้ดำรงตำแหน่งเจ้าคณะจังหวัดสุราษฎร์ธานี เป็นเวลา 40 ปี จนถึง พ.ศ. 2473 จึงลาออกจากตำแหน่งเจ้าคณะจังหวัด เพราะชราภาพ และถึงแก่มรณภาพเมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2475 รวมอายุได้ 86 ปี พรรษา 66
    เหลือแต่คุณงามความดีที่เป็นที่เคารพสักการะของชาวสุราษฎร์ธานี จึงมีการหล่อรูปเหมือนทองเหลืองของท่าน พระชยาภิวัฒน์ (หนู ติสฺโส) ประดิษฐานอยู่ในมณฑปวิหารคด เพื่อเป็นที่สักการบูชาของอนุชนรุ่นหลังสืบไป


    เหรียญพระชยาภิวัฒน์(ลพ.หนู) หลังพระบรมธาตุไชยา จ.สุราษฎร์ธานี เนื้อกะไหล่เงินเก่า ผิวหิ้ง


    [​IMG][​IMG]






    [FONT=&quot]ให้บูชา[/FONT][FONT=&quot] 550[FONT=&quot]บาทครับ[/FONT][/FONT]​
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • ck1.jpg
      ck1.jpg
      ขนาดไฟล์:
      116.4 KB
      เปิดดู:
      1,467
    • ck2.jpg
      ck2.jpg
      ขนาดไฟล์:
      119.3 KB
      เปิดดู:
      1,427
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 พฤษภาคม 2012
  16. momotaro67

    momotaro67 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    7,026
    ค่าพลัง:
    +5,457
    รายการใหม่ เดินทางแล้วนะครับเช้านี้ 23/9/54

    ธีรวิช : EI209576762TH<!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end -->
     
  17. momotaro67

    momotaro67 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    7,026
    ค่าพลัง:
    +5,457
    [​IMG]

    หลวงปู่อิง โชติโญ วัดโคกทม เถราจารย์ 5 แผ่นดิน ที่มีอายุยืนยาวมาถึงปี 2543 ( อายุ 115 ปี )

    เกิดเมื่อปี 2428 ในสมัยรัชกาลที่ 5 ที่ ต.บ้านสะแกชำ อ.เมือง จ.บุรีรัมย์

    หลวงปู่ถือธุดงควัตร อยู่ในป่าลึก อาศัยอยู่ในถ้ำ ทั้ง พม่า ลาว เขมร ได้พบกับพระอาจารย์เก่งๆ หลายองค์
    และได้เคยฝากตัวเป็นศิษย์หลวงปู่มั่นฯ ที่ภูเขาควาย ประเทศลาว เพื่อศึกษาการปฏิบัติธรรมเป็นเวลา 3 เดือน
    ก่อนออกเดินธุดงค์ต่อไป


    [​IMG]

    หลวงปู่อิง ท่านเก่งมากครับ ขนาดหลวงปู่หมุนยังให้ยอมรับว่าเก่งจริง

    หลวงปู่ละสังขารเมื่อวันที่ 11 มี.ค.2544 อายุ 116 ปี ได้รับพระราชทานเพลิงศพเป็นกรณีพิเศษ เมื่อวันที่ 1 เม.ย.2544



    [​IMG]

    ตอนประชุมเพลิงศพหลวงปู่ ปรากฏศพหลวงปู่ ไม่ไหม้ไฟ เพียงแต่ดำเป็นตอตะโก จนต้องมีการขอขมาต่อสังขารของท่าน ขอให้ไหม้ไฟไปตามธรรมชาติ....

    หลวงปู่ออกจากป่า เมื่อปี 2536 เหรียญรุ่นนี้ถือว่า เป็น "รุ่นแรก"ของหลวงปู่ เมื่อคราวไปเยี่ยมพระอาจารย์สมพงษ์ วัดพระแก้ว จ.เพชรบูรณ์

    เหรียญรุ่นแรก หลวงปู่อิง โชติโญ วัดโคกทม ออกวัดพระแก้ว เพชรบูรณ์ ปี 37 อายุ 107 ปี ท่านเป็นสหธรรมิกกับหลวงปู่หมุน วัดบ้านจาน

    [​IMG][​IMG]



    [FONT=&quot]*ปิดรายการนี้[/FONT][FONT=&quot]ครับ[/FONT]​
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • lpe3.jpg
      lpe3.jpg
      ขนาดไฟล์:
      60.9 KB
      เปิดดู:
      3,150
    • lpe4.jpg
      lpe4.jpg
      ขนาดไฟล์:
      54.6 KB
      เปิดดู:
      3,149
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 ตุลาคม 2011
  18. momotaro67

    momotaro67 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    7,026
    ค่าพลัง:
    +5,457
    ประวัติและเรื่องราวที่น่าเลื่อมใส หลวงปู่อิง โชติโญ
    -- ต้นฉบับจาก นิตยสารโลกทิพย์ ปีที่ 17 ฉบับที่ 359 ประจำเดือนกุมภาพันธ์ 2543 -- <fieldset class="fieldset"> <legend>รูปขนาดเล็ก</legend> [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG]
    </fieldset>
     
  19. momotaro67

    momotaro67 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    7,026
    ค่าพลัง:
    +5,457

    [FONT=&quot]ปิดให้ลูกค้าเก่า 2เหรียญครับ ขอให้หายไวๆ นะครับ[/FONT]

    [FONT=&quot]คงเหลือ 8เหรียญแล้วนะครับ [/FONT]

    [FONT=&quot]ใครสนใจจ้องอยู่อย่าช้านะครับ พระหลวงปู่หมุนไปไกลแล้ว เก็บพระหลวงปู่อิงดีกว่าขยับตามแน่นอนครับ ยิ่งเป็นรุ่นแรกจริงๆ ปลุกเสกสมัยพึ่งออกจากป่ามาใหม่ๆพลังเต็มเปี่ยม [/FONT]
    น่าบูชาอนาคตไกล ไม่รีบเก็บไม่ได้แล้วนะครับ คอนเฟริมครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 กันยายน 2011
  20. momotaro67

    momotaro67 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    7,026
    ค่าพลัง:
    +5,457

แชร์หน้านี้

Loading...