ถ้าตอนใกล้ตายจิตเราคิดว่าเกิดเป็นหญิง

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย candysky, 23 กันยายน 2011.

  1. candysky

    candysky สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    9
    ค่าพลัง:
    +3
    [​IMG]
    ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต​

    หลังจากตายเสร็จจะไปเกิดเลยหรือเปล่า หรือต้องไปใช้กรรมก่อน ในกรณีทำดีมาทั้งชีวิต
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 25 กันยายน 2011
  2. naroksong

    naroksong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    412
    ค่าพลัง:
    +1,135
    พระผู้มีพระภาคได้ตรัสดังนี้ว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราจักแสดงเหตุสำเร็จ
    ความปรารถนา แก่เธอทั้งหลาย พวกเธอจงฟังเหตุสำเร็จความปรารถนานั้น จง
    ใส่ใจให้ดี เราจักกล่าวต่อไป ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระผู้มีพระภาคว่า ชอบแล้ว
    พระพุทธเจ้าข้า ฯ

    พระผู้มีพระภาคจึงได้ตรัสดังนี้ว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุใน
    ธรรมวินัยนี้ เป็นผู้ประกอบด้วยศรัทธา ศีล สุตะ จาคะ ปัญญา เธอมีความ
    ปรารถนาอย่างนี้ว่า โอหนอ เราเมื่อตายไปแล้ว พึงเข้าถึงความเป็นสหายแห่ง
    กษัตริย์มหาศาลเถิด ดังนี้ก็มี เธอจึงตั้งจิตนั้น อธิษฐานจิตนั้น เจริญจิตนั้น
    ความปรารถนาและวิหารธรรมเหล่านั้น อันเธอเจริญแล้วอย่างนี้ ทำให้มากแล้ว
    อย่างนี้ ย่อมเป็นไปเพื่อความสำเร็จในภาวะนั้น ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้มรรค นี้
    ปฏิปทา เป็นไปเพื่อความสำเร็จในความเป็นสหายแห่งกษัตริย์มหาศาล ฯ

    ...ดูกรภิกษุทั้งหลาย ประการอื่นยังมีอีก ภิกษุเป็นผู้ประกอบ
    ด้วยศรัทธา ศีล สุตะ จาคะ ปัญญา เธอได้ฟังว่า เทวดาชั้นดาวดึงส์ มีอายุ
    ยืน มีวรรณะ มากด้วยความสุข เธอมีความปรารถนาอย่างนี้ว่า โอหนอ เรา
    เมื่อตายไปแล้ว พึงเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นดาวดึงส์เถิด เธอจึงตั้งจิต
    นั้น อธิษฐานจิตนั้น เจริญจิตนั้น ความปรารถนาและวิหารธรรมเหล่านั้น อัน
    เธอเจริญแล้วอย่างนี้ ทำให้มากแล้วอย่างนี้ ย่อมเป็นไปเพื่อความสำเร็จในภาวะ
    นั้น ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้มรรค นี้ปฏิปทา เป็นไปเพื่อความสำเร็จในความเป็น
    สหายแห่งเทวดาชั้นดาวดึงส์ ฯ

    ...ดูกรภิกษุทั้งหลาย ประการอื่นยังมีอีก ภิกษุเป็นผู้ประกอบ
    ด้วยศรัทธา ศีล สุตะ จาคะ ปัญญา เธอได้ฟังว่า สหัสสพรหม มีอายุยืน
    มีวรรณะ มากด้วยความสุข ดูกรภิกษุทั้งหลาย สหัสสพรหมย่อมน้อมจิตแผ่ไป
    ตลอดโลกธาตุพันหนึ่งอยู่ แม้สัตว์ทั้งหลายที่เกิดแล้วในสหัสสพรหมนั้น ก็น้อม
    จิตแผ่ไปอยู่ได้ เปรียบเหมือนบุรุษมีนัยน์ตาดี วางมะขามป้อมผลหนึ่งในมือแล้ว
    พิจารณาดูได้ ฉันใด ดูกรภิกษุทั้งหลาย สหัสสพรหมก็ฉันนั้นเหมือนกันแล
    ย่อมน้อมจิตแผ่ไปตลอดโลกธาตุพันหนึ่งอยู่ แม้สัตว์ทั้งหลายที่เกิดแล้วในสหัสส-
    *พรหมนั้น ก็น้อมจิตแผ่ไปอยู่ได้ เธอมีความปรารถนาอย่างนี้ว่า โอหนอ เราเมื่อ
    ตายไปแล้ว พึงเข้าถึงความเป็นสหายแห่งสหัสสพรหมเถิด เธอจึงตั้งจิตนั้น
    อธิษฐานจิตนั้น เจริญจิตนั้น ความปรารถนาและวิหารธรรมเหล่านั้น อันเธอ
    เจริญแล้วอย่างนี้ ทำให้มากแล้วอย่างนี้ ย่อมเป็นไปเพื่อความสำเร็จในภาวะนั้น
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้มรรค นี้ปฏิปทา เป็นไปเพื่อความสำเร็จในความเป็นสหาย
    แห่งสหัสสพรหม ฯ

    ...ดูกรภิกษุทั้งหลาย ประการอื่นยังมีอีก ภิกษุเป็นผู้ประกอบด้วย
    ศรัทธา ศีล สุตะ จาคะ ปัญญา เธอมีความปรารถนาอย่างนี้ว่า โอหนอ เราพึง
    เข้าถึงเจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุตติ อันหาอาสวะมิได้ เพราะอาสวะทั้งหลายสิ้นไป
    ทำให้แจ้งเพราะรู้ยิ่งด้วยตนเอง ในปัจจุบันอยู่ เธอจึงเข้าถึงเจโตวิมุตติ ปัญญา
    วิมุตติ อันหาอาสวะมิได้ เพราะอาสวะทั้งหลายสิ้นไป ทำให้แจ้งเพราะรู้ยิ่งด้วย
    ตนเอง ในปัจจุบันอยู่ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุนี้ย่อมไม่เกิดในที่ไหนๆ
    ----------------------------------------------
    อรรถกถาท่านอธิบายไว้ว่า

    บุคคลใดมีธรรม ๕ (ศรัทธา ศีล สุตะ จาคะ ปัญญา)ประการ แต่ไม่มีความปรารถนา คติของบุคคลนั้นไม่ต่อเนื่องกัน. บุคคลใดมีความปรารถนา แต่ไม่มีธรรม ๕ ประการ คติแม้ของบุคคลนั้นก็ไม่ต่อเนื่องกัน. บุคคลเหล่าใดมีธรรม ๕ ประการและความปรารถนาทั้งสองอย่าง คติของบุคคลเหล่านั้นต่อเนื่องกัน. อุปมาเหมือนบุคคลยิงลูกศรไปในห้วงอากาศ กำหนดไม่ได้ว่าจะเอาปลาย หรือตรงกลาง หรือเอาโคนลงฉันใด การถือปฏิสนธิของสัตว์ทั้งหลายเหล่านั้นก็ฉันนั้น เอาแน่นอนไม่ได้ เพราะฉะนั้น กระทำกุศลกรรมแล้วทำความปรารถนาในที่แห่งหนึ่งย่อมควร.

    ----------------------------------------
    สรุปง่ายๆคือ ถ้าปราถนาผลใดๆก็ตามในสัมปรายภพ ต้องสะสม ศรัทธา ศีล สุตะ จาคะ ปัญญา


    ศรัทธา ได้แก่ ศรัทธาในสัมมาทิฐิ
    1. เห็นว่าการให้ทานมีผล
    2. การสงเคราะห์เกื้อกูลกันมีผล
    3. การเคารพบูชาผู้ปฎิบัติดี ปฎิบัติ ชอบธรรมมีผล
    4. ผลของกรรมดีกรรมชั่วมีอยู่
    5. คุณของมารดามีอยู่(บุตรสมควรตอบแทนบุญคุณ)
    6. คุณของบิดามีอยู่
    7. โลกนี้มี(เพราะเหตุ คือ ตัณหา สมุทัย)
    8. โลกหน้ามีอยู่
    9. พวกโอปปาติกะ (ผุดขึ้นเกิด) มี (หมายถึง สัตว์ที่ผุดขึ้นเกิดแล้วโตทันทีมีจริง อาทิเช่น ในภูมิทุคติ ได้แก่ สัตว์นรก เปรต อสุรกาย ในภูมิสุคติ ได้แก่ เทวดา พรหม อรูปพรหม)
    10. สมณพราหมณ์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบจนบรรลุมรรคผลนิพพานรู้แจ้งเห็นจริงด้วยตนเองแล้วสอนให้ผู้รู้ตามด้วยมีอยู่
    ศีล ได้แก่ ศีล 5 เป็นต้น

    สุตะ คือ การสดับฟังธรรมว่า อะไรเป็นกุศลมีผลดี อะไรเป็นอกุศลมีผลชั่ว อะไรควรทำไม่ควรทำ เป็นต้น

    จาคะ คือ การให้ทาน การเสียสละ เป็นต้น

    ปัญญา คือ การเห็นอริยสัจ และการปฎิบัติตามมรรคมีองค์ 8 เป็นต้น

    ขอให้เจริญในธรรมครับ
     
  3. Numsai

    Numsai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    5,778
    ค่าพลัง:
    +87,677
    ขึ้นอยู่กับผลของบุญ-บาป ปัจจุบัน และขึ้นอยู่กับว่า ตายตามอายุขัยหรือเปล่าค่ะ

    หากสร้างกุศลทั้งชีวิต ไม่เคยทำบาปเลย ส่วนใหญ่จะไปเกิดบนสวรรค์ เพื่อเสวยสุขก่อน แล้วจึงจะมาเกิดเป็นมนุษย์ แต่จะอยู่สวรรค์ชั้นใดนั้น ก็ขึ้นอยู่กับผลบุญที่เคยทำในชาติปัจจุบันเป็นหลักค่ะ

    กรณีที่มีบุญอยู่ แต่ไม่ได้ตายตามอายุขัย (เนื่องจากอุปฆาตกรรมมาตัดรอน ) จะไปเกิดเป็นสัมภเวสี สักพักใหญ่ แต่เป็นสัมภเวสีที่มีบุญหล่อเลี้ยงตัวเองไม่ต้องเร่ร่อน ไม่อดอยาก ประเภทนี้ สามารถล่องลอยไปไหนมาไหนได้ ปรากฏกายให้ผู้เกี่ยวข้องได้

    หากกรณีที่มีบาปมากกว่าบุญนั้น อาจจะไปเสวยทุกข์ในอบายภูมิก่อน จึงจะขึ้นมาจากนรก เปรต อสูรกาย และสัตว์เดรัจฉาน ตามลำดับ จึงจะได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ซึ่งจะเป็นหญิงหรือชายขึ้นอยู่กับบุญ-บาปเช่นกันค่ะ

    น้อยคนนักที่จะเกิดมาเป็นมนุษย์แล้ว ตายไปได้ไปเกิดเป็นมนุษย์ต่อเลย ต่อให้จิตอธิษฐานก็ยังต้องไปเสวยชาติก่อนตามที่ได้กล่าวมาแล้วค่ะ

    อนึ่ง พระพุทธองค์ท่านกล่าวว่า ..

    "การเกิดเป็นมนุษย์นั้น แสนยาก เปรียบเสมือนเต่าที่ว่ายน้ำอยู่กลางทะเล และมีห่วงยางลอยมา โอกาสที่เต่านั้นจะลอดกลางห่วงยางได้นั้น เปรียบเสมือนการมาเกิดเป็นมนุษย์"

    อีกทั้ง ในภพสวรรค์ สุคติภูมิของเหล่าเทวดาทั้งหลาย ก็คือ การได้เกิดมาเป็นมนุษย์นั่นเอง

    ท่านทั้งหลายอย่าได้ประมาทในการใช้ชีวิต จงเร่งสร้างความดี โดยให้ทาน รักษาศีล และเจริญภาวนา เพื่อสุคติภูมิในวันข้างหน้า

    ขออนุโมทนาบุญกับทุก ๆ ท่านด้วยค่ะ

    Numsai
     
  4. deelek

    deelek เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    6,696
    ค่าพลัง:
    +16,254
    กราบอนุโมทนา สาธุ
    ในการเผยแพร่พระธรรมด้วยครับ
    นิพพานัง ปัจจโย โหตุ
     
  5. Numsai

    Numsai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    5,778
    ค่าพลัง:
    +87,677
    ..กรณีต้องผ่านสำนักท่านพระยายมราช..

    ขอโปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านค่ะ ..


    ปกติแล้วชีวิตหลังความตาย มีความเชื่อว่า วิญญาณจะล่องลอยอยู่ ๗ วัน ช่วงนี้ญาติผู้เสียชีวิต ควรอุทิศบุญโดยตรง โดยถวายสังฆทาน เจาะจง ชื่อผู้เสียชีวิตโดยตรง

    ๑. พระพุทธรูป หน้าตัก ๕ นิ้วขึ้นไป(ช่วยให้มีรัศมีกายสว่างไสว)

    ๒. ผ้าไตรจีวร ๑ ผืน (มีผ้าทิพย์)

    ๓. อาหารคาว-หวาน พร้อมข้าว ตามกำลัง (มีอาหารทิพย์

    ๔. น้ำดื่ม (มีสระโบกขรณี หรือสระน้ำ บนสวรรค์)

    ๕. ดอกไม้ธูปเทียน

    แล้วอุทิศกรวดน้ำแก่ผู้เสียชีวิต


    ชีวิตหลังความตายนั้น จะเสวยผลบุญ-บาป แต่ขึ้นอยู่ว่า มีบุญหนัก หรือบาปหนัก หากมีบุญมาก จะมีราชรถมารอรับไปสวรรค์ตามกำลังบุญของตน หากบาปหนัก อาจจะพุ่งหลาวลงนรกไปเลย


    หากอัตราบุญ-บาป ใกล้เคียงกันจะผ่านสำนักท่านพระยมราชก่อน หรือหากเคยทำบุญอุทิศแก่ท่านพระยายมราช และให้ท่านเป็นพยานบุญ ก็จะผ่านสำนักท่านพระยายมราชเช่นกัน

    พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยานเถระ (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ) วัดท่าซุง ท่านเคยสอนลูกหลานเรื่องการทำบุญแล้วอุทิศบุญให้แก่ท่านพระยายมราช และให้ท่านพระยายมราชเป็นสักขีพยานในการทำบุญนั้น

    ดิฉันเองเป็นผู้หนึ่งที่เชื่อเรื่องนี้ และปฏิบัติตามคำสอนของท่าน ทราบว่า วิธีนี้มีผลมากค่ะ ขออนุญาตให้ฟังนะคะ

    กรณีที่ ๑ คุณอา ซึ่งญาติห่าง ๆ เป็นลูกชายของน้องสาวย่าของดิฉัน ท่านอยู่ต่างจังหวัด ดิฉันได้ทราบข่าวการเสียชีวิตด้วยโรคปัจจุบันทันด่วนของท่าน ไม่ได้ไปร่วมงานศพ เพียงแต่ทำสังฆทานไปให้

    ตลอดชีวิตของคุณอา ท่านดื่มสุราเป็นประจำ ทำบุญตามประเพณี เช่น ช่วยงานบวช งานวัดตามกำลัง

    หลังจากท่านเสียชีวิตเดือนกว่า คืนหนึ่ง ขณะที่ดิฉันนั่งกรรมฐานตามปกติ มีผู้มาแจ้งว่า ให้ไปที่สำนักพระยายมราช

    เมื่อไปถึงแล้ว บรรยากาศ วังเวงน่ากลัว สองฝากฝั่ง จะประกอบด้วยเจ้าหน้าที่ หรือที่เราเรียกว่า นายนิริยบาล ถือคบเพลิงอยู่เป็นแถว ตลอดแถวจะมีผนังที่เขียนภาพ การทรมานสัตว์นรก แต่ละภาพน่ากลัว สยดสยองมาก อีกทั้งมีอาวุธ สำหรับที่ใช้ทรมานสัตว์นรก

    เมื่อหันเข้าหาท่านพระยายมราช ดิฉันจะอยู่ทางฝั่งพยานบุญ ซึ่งอยู่ทางซ้ายมือของเรา ส่วนพยานบาป จะอยู่ด้านขวามือ

    ส่วน
    ดวงวิญญาณที่ได้รับการพิพากษาจะอยู่กลางลาน พร้อมท่านเจ้าหน้าที่คอยคุ้มกันไม่ให้หนี อีก ๒ ท่าน ดวงวิญญาณ จะไม่ใส่เสื้อผ้า

    เมื่อคุณอา ท่านเห็นดิฉัน ท่านก็ดีใจพูดว่า..

    "นาง ช่วยพ่อด้วย(ทางประเพณีทางบ้านดิฉัน มักจะเรียกอาว่า "พ่อ")" แล้วหันไปหาท่านพระยายมราช บอกว่า นี่งัยหลานผม เขาชอบปฎิบัติธรรม"

    ท่านพระยายมราชจึงกล่าว "ให้ลูกนึกถึงบุญที่ทำมา และอุทิศให้แก่ญาตินะลูกนะ" ดิฉันจึงตั้งจิตอธิษฐานต่อหน้าท่าน ขอรวมบุญทั้งหมดที่ทำอุทิศแก่ญาติผู้นั้น

    ได้ยินคุณอา ท่านเปล่งเสียง "สาธุ ..สาธุ..สาธุ." กายเปลี่ยนเป็นเทวดามีชฎาแหลม ทราบว่า ท่านไปอยู่ชั้นดาวดึงส์ เขตนอก(เขตที่บุญยังน้อย ตามอัตราบุญ-บาปเดิม) จากนั้นจึงได้รวมบุญอุทิศให้แก่ท่านพระยายมราช และนายนิริยบาลอีกครั้ง จึงขออนุญาตกลับ..และออกจากสมาธิ

    ขอผลบุญที่ให้ธรรมทานนี้ ขอน้อมถวายบูชาครูแด่พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง และครูบาอาจารย์ที่ไม่ได้กล่าวนามมาก็ดี

    และขออุทิศแด่ท่านพระยายมราช และนายนิริยบาล และนางนิริยบาลทุก ๆ ท่าน

    คราวหน้าจะมาเล่า case ต่อไปค่ะ

    ขออนุโมทนากับทุก ๆ ท่านที่ตั้งใจทำดีค่ะ

    Numsai
     
  6. พูน

    พูน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    595
    ค่าพลัง:
    +2,479
    อนุโมทนา สาธุครับ
    ท่าน จขกท. ถ้าอย่างนี้ มีสิทธิไปใข้กรรมตามที่เห็นครับ ส่วนจะผ่านที่อื่นก่อนไปที่หมายนั้นต้องดูตอนกำลังจะหลุดจากร่างไปว่ามีอะไรกระทบ มาทวงหรือเปล่า
     
  7. bluebaby2

    bluebaby2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2010
    โพสต์:
    2,471
    ค่าพลัง:
    +4,288
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราจักแสดงธรรมบรรยายอันเป็นสังโยคะทั้ง วิสังโยคะแก่เธอ
    ทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงฟัง จงใส่ใจให้ดี เราจักกล่าว ภิกษุ เหล่านั้นทูลรับพระผู้
    มีพระภาคแล้ว พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ธรรมบรรยายอันเป็น
    สังโยคะทั้งวิสังโยคะเป็นไฉน ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็หญิง ย่อมสนใจสภาพแห่ง
    หญิงในภายใน กิริยา ท่าทาง ความไว้ตัว ความพอใจ เสียง และเครื่องประดับ
    ของหญิง เขาย่อมยินดี พอใจ ในสภาพของตนนั้นๆ เขายินดี พอใจในสภาพของ
    ตนนั้นๆ แล้ว ย่อมสนใจถึงสภาพของชายใน ภายนอก กิริยา ท่าทาง ความไว้ตัว
    ความพอใจ เสียง และเครื่องประดับ ของชาย ย่อมยินดี พอใจในสภาพของชาย
    นั้นๆ เขายินดี พอใจในสภาพของ ชายนั้นๆ แล้ว ย่อมมุ่งหวังการสมาคมกับชาย
    และสุขโสมนัสที่เกิดเพราะการ สมาคมกับชายเป็นเหตุ ดูกรภิกษุทั้งหลาย สัตว์ผู้
    พอใจในภาวะแห่งหญิงก็ถึง ความเกี่ยวข้องในชาย ด้วยอาการอย่างนี้แล หญิงจึง
    ไม่ล่วงพ้นภาวะแห่งหญิง ไปได้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ชายย่อมสนใจสภาพแห่งชาย
    ในภายใน กิริยา ท่าทาง ความไว้ตัว ความพอใจ เสียงและเครื่องประดับของชาย
    เขาย่อมยินดี พอใจ ในสภาพของตน เขายินดีพอใจในสภาพของตนนั้นๆ แล้ว
    ย่อมสนใจถึงสภาพ ของหญิงในภายนอก กิริยา ท่าทาง ความไว้ตัว ความพอใจ
    เสียง และเครื่อง ประดับของหญิง ย่อมยินดี พอใจในสภาพของหญิงนั้นๆ แล้ว
    ย่อมมุ่งหวังการ สมาคมกับหญิง และสุขโสมนัสที่เกิดเพราะการสมาคมกับหญิง
    เป็นเหตุ ดูกร ภิกษุทั้งหลาย สัตว์ผู้พอใจในภาวะแห่งชายก็ถึงความเกี่ยวข้องใน
    หญิง ด้วยอาการ อย่างนี้แล ชายจึงไม่ล่วงพ้นภาวะแห่งชายไปได้ ดูกรภิกษุทั้ง
    หลาย ความ เกี่ยวข้องย่อมมีด้วยอาการอย่างนี้แล ฯ
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ส่วนความไม่เกี่ยวข้องเป็นอย่างไร ดูกรภิกษุทั้งหลาย
    หญิงย่อมไม่สนใจในสภาพของหญิงในภายใน กิริยา ท่าทาง ความไว้ตัว ความ
    พอใจ เสียงและเครื่องประดับของหญิง เขาไม่ยินดี ไม่พอใจในสภาพแห่งหญิง
    ย่อมไม่สนใจถึงสภาพแห่งชายในภายนอก กิริยา ท่าทาง ความไว้ตัว ความ พอใจ
    เสียงและเครื่องประดับแห่งชาย เขาไม่ยินดี ไม่พอใจในสภาพแห่งชาย นั้นๆ แล้ว
    ย่อมไม่มุ่งหวังการสมาคมกับชายในภายนอก และสุขโสมนัสที่เกิด เพราะการ
    สมาคมกับชาย ดูกรภิกษุทั้งหลาย สัตว์ผู้ไม่พอใจในสภาพแห่งหญิง ก็ถึงความไม่
    เกี่ยวข้องในชาย ด้วยอาการอย่างนี้แล หญิงจึงล่วงพ้นสภาพแห่ง หญิงไปได้ ฯ
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ชายย่อมไม่สนใจในสภาพแห่งชาย กิริยา ท่าทาง
    ความไว้ตัว ความพอใจ เสียงและเครื่องประดับของชาย เขาไม่ยินดี ไม่พอใจ ใน
    สภาพแห่งชายนั้นๆ แล้ว ย่อมไม่สนใจถึงสภาพแห่งหญิงในภายนอก กิริยา ท่า
    ทาง ความไว้ตัว ความพอใจ เสียงและเครื่องประดับของหญิง เขาไม่ยินดี ไม่พอ
    ใจในสภาพแห่งหญิงนั้นๆ แล้ว ย่อมไม่มุ่งหวังการสมาคมกับหญิงใน ภายนอก
    และสุขโสมนัสที่เกิดเพราะการสมาคมนั้นเป็นเหตุ ดูกรภิกษุทั้งหลาย สัตว์ผู้ไม่พอ
    ใจในสภาพแห่งชาย ก็ถึงความไม่เกี่ยวข้องในหญิง ด้วยอาการอย่างนี้ แล ชายจึง
    ล่วงพ้นภาวะแห่งชายไปได้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ความไม่เกี่ยวข้องย่อม มีด้วย
    อาการอย่างนี้แล ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้แลชื่อว่าธรรมบรรยายอันเป็นทั้ง สังโยคะ
    และวิสังโยคะ ฯ
     
  8. เฮียปอ ตำมะลัง

    เฮียปอ ตำมะลัง ทุกสิ่งจบสิ้นลงด้วยความตาย วุ่นวายทำไม ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    24,969
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +91,130
    เรื่องที่ ๑
    ตายไม่สูญ...แล้วไปไหน


    จาก หนังสือ ตายแล้วไม่สูญ...แล้วไปไหน


    ....ความจริง "ตายแล้วไม่สูญ" และ "ตายแล้วไปไหน" นี้ไม่น่าจะเป็นที่ข้องใจของท่านเลย เพราะพระพุทธเจ้าตรัสไว้แล้วอย่างละเอียดว่า เมื่อตายจากโลกนี้ไปแล้ว ทางที่ไปก็มี ๕ สายคือ

    ๑) อบายภูมิ ได้แก่เกิดเป็นสัตว์นรก เป็นเปรต เป็นอสุรกาย และเป็นสัตว์เดรัจฉาน
    ๒) เกิดเป็นมนุษย์
    ๓) เกิดเป็นเทวดาหรือนางฟ้าอยู่บนสวรรค์
    ๔) เกิดเป็นพรหม
    ๕) ไปพระนิพพาน

    ท่านที่ตายแล้วจะไปเกิดที่ใด พระพุทธเจ้าก็ตรัสบอกเหตุที่จะไปเกิดไว้ครบถ้วนตามกฎของกรรมคือการกระทำ ได้แก่ความประพฤติดีหรือชั่วในสมัยที่เกิดเป็นมนุษย์นี้เอง กฎของกรรมหรือความประพฤติดีหรือชั่วที่จะพาไปเกิดในที่ใดที่หนึ่ง ตามที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ ๕ ทางนั้น ท่านว่าไว้อย่างนี้

    แดนเกิดสายที่หนึ่ง ที่เรียกว่า อบายภูมิ
    แดนเกิดสายที่หนึ่ง ที่เรียกว่า อบายภูมิ มีนรกเป็นต้นนั้น เป็นผลจากความประพฤติชั่ว คือก่อกรรมทำเข็ญในสิ่งที่สร้างความเดือดร้อนให้แก่คนและสัตว์ ท่านจัดกฎใหญ่ๆ ไว้ ๕ ประการคือ
    ๑) เป็นคนมีใจโหดร้าย ชอบข่มเหงรังแก เบียดเบียนคนและสัตว์ให้ได้รับความเดือดร้อนโดยเข้าใจผิดคิดว่าเป็นความดี หมายถึงละเมิดศีลข้อที่ ๑
    ๒) มือไว ชอบลักขโมยของที่เจ้าของยังไม่อนุญาต หรือฉ้อโกงเอาทรัพย์สินของคนอื่นด้วยเล่ห์กลโกง หมายถึงละเมิดศีลข้อที่ ๒
    ๓) ใจเร็ว ได้แก่มีจิตใจไม่เคารพในความรักของคนอื่น ชอบลอบทำชู้ บุตร ภรรยาและธิดา สามี ของคนอื่นด้วยความมัวเมาในกามคุณ หมายถึงละเมิดศีลข้อที่ ๓
    ๔) พูดปด ได้แก่พูดไม่ตรงต่อความเป็นจริงเพื่อหวังทำลายประโยชน์ของผู้อื่นโดยเจตนา หมายถึงละเมิดศีลข้อที่ ๔
    ๕) ชอบทำตนให้เป็นคนหมดสติ ด้วยการย้อมใจให้หมดความรู้สึกในการรับผิดชอบด้วยนํ้าเมา หมายถึงละเมิดศีลข้อที่ ๕
    กรรม คือความประพฤติในกฎ ๕ ประการนี้ ท่านว่าตายจากความเป็นคนแล้วไปสู่อบายภูมิมีตกนรกเป็นต้น

    แดนเกิดสายที่สอง คือเกิดเป็นมนุษย์
    แดนเกิดสายที่สอง คือเกิดเป็นมนุษย์ ท่านว่าคนที่ตายแล้วจะมาเกิดเป็นมนุษย์ได้ ต้องมีกรรมบถ ๑๐ หรือที่รู้กันง่ายๆ ก็คือ เป็นคนมีศีล ๕ ประจำได้แก่
    ๑) เป็นคนมีเมตตาปรานี ไม่รังแกข่มเหง ทำร้ายใครไม่ว่าคนหรือสัตว์ มีความรัก เมตตาปรานีคนและสัตว์เสมอด้วยรักตนเอง
    ๒) ไม่มือไว คือเคารพสิทธิในทรัพย์สินของบุคคลอื่น ไม่ยอมถือเอาทรัพย์สินของใครมาเป็นของตน ในเมื่อเจ้าของไม่อนุญาตด้วยความเต็มใจ
    ๓) ไม่ใจเร็ว ละเมิดความรักในบุตร ธิดา ภรรยา สามีของบุคคลอื่น
    ๔) ไม่เป็นคนไร้สัจจะ พูดแต่เรื่องที่เป็นสาระตรงต่อความเป็นจริง
    ๕) ทำตนให้เป็นคนมีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ คือเป็นคนมีอารมณ์รับรู้ความดีความชั่วตามกฎของกรรม ไม่ปล่อยใจให้เลื่อนลอยด้วยน้ำเมาต่างๆ
    ท่านที่ทรงความดี ๕ อย่างนี้ได้ ท่านว่าตายจากความเป็นคนแล้ว มีสิทธิ์กลับมาเกิดเป็นมนุษย์ใหม่ได้

    แดนเกิดสายที่สาม ได้แก่สวรรค์
    แดนเกิดสายที่สาม ได้แก่สวรรค์ อาการที่ทำให้คนเกิดเป็นเทวดาหรือนางฟ้าบนสวรรค์ ท่านบรรยายไว้มาก แต่เมื่อสรุปกล่าวโดยย่อมี ๒ อย่างคือ
    ๑) เป็นคนมีความละอายต่อความชั่ว ไม่ยอมทำชั่วในที่ทุกสถาน
    ๒) เกรงผลของชั่ว จะทำให้เกิดความเดือดร้อน
    เหตุ ๒ ประการนี้ เป็นผลทำให้ตายจากความเป็นคนไปเกิดเป็นเทวดาหรือนางฟ้า

    แดนเกิดสายที่สี่ ได้แก่พรหมโลก
    แดนเกิดสายที่สี่ ได้แก่พรหมโลก พรหมกับเทวดามีดินแดนที่เกิดเป็นคนละแดนกัน พรหมท่านว่าศักดิ์ศรีดีกว่าเทวดาและมีชั้นภูมิสูงกว่า มีอำนาจมากกว่า มีความสุขดีกว่า ความสวยสดงดงามก็ดีกว่าเทวดา แต่พรหมไม่มีเพศคือไม่มีเพศหญิงเพศชาย ทั้งนี้เพราะพรหมไม่มีการครองคู่ อยู่โดดเดี่ยวอย่างพระสงฆ์ตามวัดคือไม่มีภรรยาสามี ท่านว่ามีความสุขสงบสงัด ท่านที่จะเป็นพรหมได้ท่านว่าต้องเป็นนักกรรมฐานและมีอารมณ์จิตสุดท้ายก่อนตาย อารมณ์จิตเป็นฌานที่เรียกว่า เข้าฌานตาย

    แดนเกิดสายที่ห้า ได้แก่พระนิพพาน
    แดนเกิดสายที่ห้า ได้แก่พระนิพพาน แดนนี้เป็นเขตที่รู้เรื่องกันยากมาก เพราะนักปราชญ์สมัยนี้ถือว่า "นิพพานสูญ" กันเป็นประเพณีไปแล้ว ขอบอกไว้ย่อๆ ว่า คนที่จะถึงพระนิพพานได้นั้นต้องมีความบริสุทธิ์ ๑๐ อย่างคือ

    ๑) ไม่เมาในตนเองหรือวัตถุต่างๆ ที่คิดว่าเป็นสมบัติของตน รู้สึกเสมอว่าจะต้องตายและพลัดพรากจากของรักของชอบใจแน่นอน ไม่มีอะไรที่จะมาห้ามความตายและความพลัดพรากได้ ทำจิตใจเป็นปกติเมื่อความตายมาถึงหรือเมื่อต้องพลัดพรากจากสิ่งที่ตนรัก
    ๒) ไม่สงสัยในคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ทรงสอนตามความเป็นจริงว่า ทุกอย่างในโลกนี้ไม่ว่าสิ่งที่มีชีวิตต้องทำลายตนเองลงในเมื่อกาลเวลามาถึง ไม่มีอะไรทรงสภาพเป็นปกติอยู่ได้ ใครทำความดี ความดีก็คุ้มครองให้มีความสุขใจ ใครทำชั่ว ความชั่วจะบันดาลความเดือดร้อนให้ แม้ผู้อื่นยังไม่ลงโทษ ตนเองก็มีความหวาดสะดุ้งเป็นปกติ
    ๓) รักษาศีลมั่นคง ดำรงจิตอยู่ในศีลเป็นปกติ
    ๔) ทำลายความใคร่ในกามารมณ์ให้สิ้นไปจากใจ ด้วยอำนาจความรู้ถึงความจริง รู้ว่าความรักเป็นเหตุให้เกิดความทุกข์ ภัยอันตรายที่มีขึ้นแก่ตนเพราะอาศัยความรักเป็นเหตุ
    ๕) มีจิตใจเต็มไปด้วยความเมตตาปรานี ไม่โกรธไม่จองล้างจองผลาญคิดทำอันตรายใคร ไม่ว่าใครจะแสดงอาการอย่างไร จิตก็ไม่คลายจากความเมตตา
    ๖) ไม่มัวเมาในรูปฌาน โดยคิดว่าการที่ตนทรงรูปฌานได้นี้ เป็นผู้ถึงที่สุดของความดี เมาฌานจนไม่สนใจความดีที่ตนยังไม่ได้
    ๗) ไม่มัวเมาในอรูปฌาน โดยคิดว่าความดีเพียงเท่านี้ ยังไม่เป็นทางสิ้นทุกข์
    ๘) มีอารมณ์เป็นปกติ ไม่คิดถึงเรื่องอารมณ์เหลวไหล มีจิตใจเต็มไปด้วยความหวังดี ไม่ว่าต่อคนหรือสัตว์ ตลอดเวลาที่ตื่นอยู่
    ๙) ไม่ถือตน ทะนงตน ว่าดีเลิศประเสริฐกว่าใคร มีอารมณ์ใจเป็นปกติ เห็นคน สัตว์ ทรัพย์สินทั้งหมดเป็นของธรรมดาที่จะต้องตายจะต้องสลายไป และมีอารมณ์ไม่หวั่นไหวเมื่อเข้าสังคมสมาคมใดๆ มีอาการเป็นเสมือนว่าสังคมนั้น สมาคมนั้นๆ เป็นกลุ่มของคนที่ต้องตาย ไม่ทำตัวใหญ่หรือเล็กจนน่าเกลียด ทำตนพอเหมาะพอสมควรแก่สมาคมนั้นๆ เรื่องของเขา เขาจะดีจะชั่วก็ตัวของเขา เราช่วยได้เราก็ช่วย ช่วยไม่ได้ก็เฉยไว้ ไม่สนใจที่จะไปเบ่งบารมีทับใคร
    ๑๐) ตัดความรักความพอใจในโลกีย์วิสัยให้หมด งดอารมณ์อยากดีอยากเด่น ทำอารมณ์เป็นพระพุทธในพระอุโบสถ พระพุทธท่านยิ้มเสมอ ท่านที่จะถึงพระนิพพานต้องยิ้มได้อย่างพระพุทธ ใครจะดีจะชั่วก็ยิ้ม เพราะเห็นเป็นของธรรมดามันหนีไม่ได้ไล่ไม่พ้น เมื่อยังมีตัวตนเป็นคนมันก็ต้องพบอาการอย่างนี้อยู่ ก็สบายใจ ความตายจะมาถึงก็ไม่สะดุ้งหวาดกลัวเพราะรู้ตัวอยู่เสมอว่าจะต้องตาย มีอารมณ์ใจปกติ ไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่ผูกพันทรัพย์สินหรือสัตว์หรือบุคคลอื่น เท่านี้ก็ไปพระนิพพานได้

    เมื่อพูดกันมาถึงทางหรือแดนเป็นที่ไป เมื่อตายแล้วว่ามี ๕ ทาง ท่านอาจจะสงสัยว่าเมื่อพระพุทธเจ้าตรัสไว้อย่างนั้น จะมีทางใดพิสูจน์ความจริงได้บ้างว่า คำสอนนั้นตรงต่อความเป็นจริง เคยมีใครบ้างไหมที่ฟังแล้วและเรียนข้อวัตรปฏิบัติตาม ไม่ใช่เรียนแล้วเอามาคุยอวดกัน ต้องเรียนแบบฝรั่งไม่ใช่เรียนแบบไทย ฝรั่งเขาสงสัยอะไรเขาค้นคว้าหาความจริงว่ามีหรือไม่เพียงใด สมัยนี้แม้แต่ดวงจันทร์ที่ทุกท่านคิดว่าเป็นของเกินวิสัย แต่ฝรั่งเขาไปดูจนได้เพราะเขาเรียนแล้วปฏิบัติด้วย ที่ว่าเรียนแบบไทยก็เพราะคนไทยเป็นคนมีบุญ ทุกอย่างไม่ต้องลงทุนคอยดูฝรั่งแสดงก็พอใจได้เปรียบกว่าฝรั่งมาก แต่ทว่าเนื้อแท้แล้ว เราก็รู้เพียงเขาว่าไม่ใช่เราเห็นเอง

    เรื่องของ "การตายแล้วไม่สูญ" และ "ตายแล้วไปไหน" ก็เหมือนกัน ถ้าเรียนกันแบบอ่านหนังสือแล้วก็ตั้งแง่สงสัยหรือเอาความรู้จากหนังสือที่อ่านจำได้แล้วเอาไปเบ่งบารมีกัน ก็ไม่ต่างอะไรกับคนนอนฝันหาความจริงไม่ใคร่ได้ ถ้าจะพบความจริงบ้างก็ต้องบังเอิญจริงๆ หลักเกณฑ์การปฏิบัติเพื่อรู้ว่าตายแล้วไปไหน ท่านสอนไว้ในหลักสูตรของวิชชาสาม ท่านให้เจริญสมาธิคือ เจริญกสิณกองใดกองหนึ่ง หรือเอากสิณเฉพาะเพื่อทิพจักขุญาณ ท่านให้ใช้เตโชกสิณเพ่งไฟ หรืออาโลกสิณเพ่งแสงสว่าง หรือโอทาตกสิณเพ่งสีขาว จนมีสมาธิถึงขั้นอารมณ์เริ่มเป็นทิพย์คือถึงอุปจารฌาน แล้วถือนิมิตกสิณเป็นสำคัญฝึกดูสวรรค์ นรก และพรหมโลก ถ้าทรงวิปัสสนาญาณด้วย ก็พิสูจน์พระนิพพานด้วยได้ การพิสูจน์คำสอนของพระพุทธเจ้าต้องฟังแล้วปฏิบัติตาม ท่านจึงจะหมดข้อสงสัยเพราะท่านรู้เองเห็นเอง แต่ถ้าฟังกันแล้วแต่ไม่ทำตาม ความหวังที่ตั้งใจต้องล้มเหลวแน่เพราะเป็นเพียงเสือกระดาษจะกัดใครตายได้ เวลานี้มีผู้ฝึก มโนมยิทธิเพื่อพิสูจน์คำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ตรัสว่า "ตายแล้วไม่สูญ" แดนอบายภูมิ แดนสวรรค์ แดนพรหม และแดนพระนิพพาน นั้นมีจริง เขาฝึกกันได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่เป็นจำนวนมาก ต่อไปก็จะขอนำเรื่องราวของท่านผู้ที่ตายไปแล้วกลับฟื้นขึ้นมาใหม่ และได้ไปพบไปเห็นในแดนต่างๆ ว่ามีอะไรบ้าง เพื่อเป็นตัวอย่างให้ท่านทั้งหลายได้ทราบตามความเป็นจริงว่า ตายแล้วไม่สูญ.."


    ����ͧ��� ��������٭...�������˹ �ҡ ���͹ ����Ҫ�����ҹ

    .
     
  9. crossis

    crossis Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    215
    ค่าพลัง:
    +84
    ไม่รู้นะ แต่ผมเคยตายมาแล้ว ถ้าอยากดูหลักฐาน ไปขอประวัติได้ที่ รพ.รัตนเวช
    ผมชื่อ ชวพล ชมภูนุกูลรัตน์

    เรื่องมันเกิด ราวๆ ปี 51 ผมขับรถไป ชนแหกโค้งที่สะพานก่อนเข้า อ. บางระกำ จ. พิษณุโลก
    พยานก็มี เจ้าของร้านมือถือสตางค์ ใต้ Big C พิโลก ขับรถตามผมไป
    เอาละ เล่าละนะ พวกไม่เชื่อ มันเยอะต้องยัดพยาน อยากรู้ ขอประวัติที่ รพ เอง ถามพยานเอง

    ต่อครับ
    ผมขับรถไป ประมาณ 160 กม/ชม หลบรถอ้อย แหกโค้งชนตอหม้อสะพาน ตัวรถกระเด็นไปห้อย อยุ่ระหว่างตะหลิ่งกับแม่น้ำยม (อันนี้ ตร. บอกมา พ.ต.ท. มนตรี แสงไพบูรณ์ รอง ผู้กำกับ นครสวรรค์ ขณะนี้) ขี้เกียดเล่าในทางโลกและ
    ขณะที่ รถกำลังพุ่งไปชนตอหม้อ ผมเห็น กระจกเป็นชิ้นเล็กๆ พุ่งมาหาผม แบบเห็นเป็นสายเลยครับ จากนั้น ก็ ตึบ หูเริ่มไม่ได้ยิน ความรู้สึก ไม่ได้รับรู้เลย ตายังเห็นอยู่นะ จากนั้น ตาก็ บอดไปเลย มองไม่เห็นอะ จากนั้น ลมหายใจหายไปเลย
    อยู่ดีๆ มันรู้สึกเหมือน หูอื้อๆ เหมือนตอนดำน้ำลึกๆอะครับ
    เห็น แสงวิ่งไปมา เป็นกลมๆนะ จำสีได้ด้วยครับ สีชมพู จากนั้นเป็นม่วง เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา
    เป็นดวงๆๆ ไม่รู้ คือไร (ตอนนี้ก็ คิดว่าน่าเป็น โอภาส ไหม?)
    จากนั้น ภาพและเสียง ที่เคยทำในอดีตเข้ามาในหัวตลอดครับ
    ทั้ง ดี และเลว เข้ามาเพียบ เหมือนมากระตุ้น ความทรงจำ แต่เร็วมากครับแต่ก็ดันรับรู้ได้หมด
    จากนั้น มันเกิดความรู้สึกเหมือนกับว่า ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นที่นี่ โลกใบนี้ เป็นแค่ความฝัน
    และผมกำลังจะตื่นขึ้นอีกที่นึง ซึ่งระหว่างนั้นผม ก็ไม่ได้ทำอะไรเลย นอกจาก จำภาพที่เคย
    ชนะแต่งกลอน ตอนป.6 และ กราบเท้าแม่ ผมมีความสุขมากๆ
    (คือ ผมเป็น คริสเตียนตอนนั้น ไม่ได้ทำสมาธิอะไรทั้งนั้น)
    จากนั้น ผมก็ตื่นขึ้น (จะพูดกี่ทีก็เหมือนเดิม ผมว่าผมเห็นจริงๆ ยืนยันนอนยันเลย)
    รุ้สึกเหมือนตนเองนอนอยู่ จากนั้น ยืนขึ้น และเหยียบไป บนต้นหญ้า
    มันเป็น หญ้าจริงๆ รู้สึกเแ็นหญ้าเลยครับ มีความรู้สึกชัดเจน มันไม่ใข่ฝัน เพราะฝันผมไม่เคยมีความรู้สึก จากนั้น รู้สึกอากาศหนาวนิดๆ แต่สบายๆ ผมมองไปโดยรอบ
    เห็น ภูเขา บนยอดมีหิมะ รอบๆมีดอกไม้หลายสี (คือ ก็ไม่ได้สนใจดอกไม้เท่าไร แต่รู้ว่ามันก็สวยดี) และเห็น ต้นไม้ 4-5 ต้น มีต้นใหญ่ๆอยุ่ตรงกลาง เห็นเด็ก 4-5 คน จับมือกัน ใส่ชุดขาว ไม่มีปีก เหมือนเรานี่แหละ จับมือ วิ่งเล่นกันเป็นวงกลม และมีผู้ชายอยู่ตรงกลาง ใกล้ๆต้นไม้นั้น กำลังนั่งสมาธิอยู่
    ผมเดินเข้าไปหา
    ผม : ที่นี่ที่ไหน
    ชายชุดขาว : เงียบ
    ผม : ที่นี่สวรรค์หรือ
    ชายชุดขาว : เงียบ
    ผม : พระเจ้า พระเยซูอยู่ที่ไหน
    ชายชุดขาว : เงียบ
    ผม : ตกลง... เออ... พระเจ้าอยู่ไหน
    ชายชุดขาว : ในความปรุงแต่งย่อมไม่มีอยู่
    ผม : ไม่รู้ถามไร ก็ นั่งนิ่งๆตาม
    สุดท้าย มันก็รู้สึกเหมือนกับว่า ที่ๆผมเห็นเป็นความฝัน และผมกำลังตื่นขึ้น
    ก็ลืมตาขึ้น เห็นหมอ กำลังเอาลูกกลิ้งอะไรไม่รู้ มีเมือกด้วย กลิ้งอยู่บนท้องผม
    พึ่งมารู้ทีหลัง คือ อุลตร้าซาว อ๋อแบบนี้นี่เอง

    ก็จบด้วยประการละ ชะนี้

    ตั้งแต่ นั่นจนผมมาเจอ พระ อาจารย์ อุบาลี อตุโล ผมก็เปลี่ยนเป็นพุทธ
    และได้ บวชเป็น ภิกษุ ในวัดของพระอาจารย์ ลี และก็ สึกมาแล้ว
    ทุกวันนี้ ลืมไปแล้วว่า พระเจ้าเป็นไง ไร้สาระ เชื่อไปได้ไง
    ไม่รู้นะ ถ้าจะเรียกที่ๆผมเห็นคืออะไร ผมไม่รู้
    แต่ที่แน่ๆๆ ผมจำได้ว่า ก่อนไปที่นั่น ผมเกิดปิติในความทรงจำที่ผมกราบเท้าแม่
    ก็ไม่รู้ครับ ชีวิตผม ก็เคยทำผิดศีลนะ แต่ไม่เคยฆ่าสัตว์ใหญ่ โกหกมีไหม ก็เคย ตอนนี้ก็ขอโทษหมดแล้ว วันนี้ผมก็พูดในสิ่งที่ผมเห็น พวกคุณ ก็พิจารณาเองว่าคืออะไร

    แต่ที่แน่ๆ ไม่มีพระเจ้า ผมยืนยัน ผมเชื่อพระเจ้ามาเป็นสิบปี
    ผมตาย ไม่เห็นพระเจ้าเลย ไม่มี เรื่องโกหกล้วนๆ
     
  10. Namushakamunibutsu

    Namushakamunibutsu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    1,347
    ค่าพลัง:
    +2,618
    ทำที่จำได้คุณอยากเกิดเป็นผู้หญิงหนิครับ....
    คือว่าไม่มีใครที่ตายแล้วต้องรอเกิดหรอกครับ ตายแล้วเกิดเลย
    จุติจิต ก็ต่อด้วยปฏิสนธิจิตเลยครับ ส่วนพวกผีๆที่เราเรียกกัน ก็คือพวกเปรตกับอสุรกาย
    ส่วนที่ว่า ตายแล้วจะเป็นเกิดเป็นอะไร ข้อนี้ขึ้นอยู่กับกำลังใจก่อนตาย หรือมรณาสันนวิถีครับ
     
  11. Ton_PB

    Ton_PB เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    4,463
    ค่าพลัง:
    +2,005
    ขอน้อมอนุโมทนาในธรรมทาน ความรู้และบทความทั้งหลาย อ่านแล้วทำให้ได้รู้อะไรขึ้นอีกเยอะ สาธุ สาธุ สาธุ
     
  12. prarth

    prarth Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    79
    ค่าพลัง:
    +41
    ขอทำบุญกุศลยิ่งๆขึ้นไป จากนั้นยากคาดหวังได้
     
  13. เบญจรักษ์

    เบญจรักษ์ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    10
    ค่าพลัง:
    +6
    ขออนุโมทนากับทุกท่านค่ะ ได้รับความรู้มากมายเลยค่ะ ขอบคุณมากๆ ค่ะ...
     
  14. ปรมินทร์29

    ปรมินทร์29 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2011
    โพสต์:
    98
    ค่าพลัง:
    +156
    ขออนุโมทนาบุญด้วยคนค่ะ ขอกุศลผลบุญที่มีจงเกิดแรงบรรดาลให้แก่ทุกท่านทุกคนเทอญ
     
  15. oon_dee

    oon_dee สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    232
    ค่าพลัง:
    +24
  16. lionking2512

    lionking2512 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,525
    ค่าพลัง:
    +7,632
    ไม่เคยแม้แต่จะคิดครับ
    เพราะจิตเป็นชายนั้นสามารถช่วยเหลือผู้คนได้เต็มกำลังกว่า
     
  17. Numsai

    Numsai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    5,778
    ค่าพลัง:
    +87,677
    ...Case study 2- ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต...

    ขออนุโมทนาบุญกับทุก ๆ ท่านที่เข้ามาตอบกระทู้ เพื่อเป็นธรรมทานค่ะ เรื่องที่จะเล่านี้ เป็นปัจจัตตัง โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านค่ะ...

    ย้อนหลังประมาณเดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๓ ดิฉันได้รับโทรศัพท์จากท่านหนึ่ง ซึ่งเคยร่วมบุญกับดิฉันว่า...ขณะนี้(เวลาประมาณ ๑๗.๐๐ น.) คุณพ่อประสบอุบัติเหตุเข้าห้อง I.C.U. เลือดไหลไม่หยุด อยากทราบว่า ท่านจะรอดหรือไม่


    เมื่อตั้งจิตถามพระและครูบาอาจารย์เห็น....กายละเอียดบิดาท่านผู้นั้นยืนอยู่ปลายเตียง ยืนแบบงง ๆ จึงได้เรียนท่านผู้นั้นว่า ให้ไปทำสังฆทานอุทิศบุญให้คุณพ่อด่วน(ตามที่ได้กล่าวมาแล้ว หน้า ๑ )

    โดยหลักการแล้ว วิญญาณของผู้ประสบอุบัติเหตุก็ตาม หรือผู้เสียชีวิตด้วยการป่วยก็ตาม หากอัตราบุญ-บาปใกล้เคียงกัน ส่วนใหญ่จะเป็นสัมภเวสีล่องลอยอยู่ ๗ วัน จากนั้นจะมีเจ้าหน้าที่มารับไปยมโลก เพื่อพิพากษา ซึ่งเราท่านทั้งหลายเคยได้ยินเรื่องของท่านผู้เสียชีวิตไปเข้าฝันคนนั้น คนนี้ หรือไปให้ได้ยินเสียงต่าง ๆ

    หลังจากได้ปลอบใจ และให้กำลังใจท่านผู้นั้นแล้ว เมื่อถึงเวลา ๑ ทุ่มกว่า ๆ จึงตั้งจิตตรวจสอบอีกครั้ง พบว่า มีเจ้าหน้าที่ (นายนิริยบาล) ๒ ท่านกำลังนำตัวคุณพ่อของกัลยาณมิตรไปสำนักพระยายมราช

    จึงได้โทรแจ้งกัลยามิตรท่านนั้นให้ทราบทันที จากนั้นจึงได้ตั้งจิตอีกครั้ง พบว่า คุณพ่อของท่านผู้นั้นได้อยู่ต่อหน้าท่านพระยายมราชแล้ว

    ภาพที่เห็นคือ มีชายชราผู้หนึ่งเปลือยกายไม่สวมเสื้อผ้า โดยมีนายนิริยบาล ล่ามโซ่คุม ๒ ท่าน

    จึงได้กราบเรียนท่านพระยายมราช ขอเป็นพยานบุญ ท่านพระยายมราชสอบถามว่า รู้จักคนนี้มั๊ย ท่านผู้เสียชีวิตบอกว่า..ไม่รู้จัก

    ท่านพระยมราชกล่าวต่อไปว่า "ลูกชายของเจ้าเคยร่วมบุญกันมา โมทนากับเขาเสียซิ" ปรากฏว่า กายของท่านได้เปลี่ยนไปเป็นเพียงภุมเทวา เนื่องจากจิตยังไม่ใสเท่าที่ควร และยังมึนงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

    เมื่อเห็นเช่นนั้นจึงแจ้งให้บุตรชาย(ท่านผู้ร่วมบุญ) ให้รวมบุญอุทิศบุญให้แก่บิดาของเขา โดยให้เขากำหนดจิตให้ปรากฏต่อหน้าท่านพระยายมราช แปลกที่เห็นเขาปรากฏต่อหน้าบิดาในลานพิพากษา เมื่อวิญญาณบิดาเห็น ปลื้มปิติใจที่พบลูกชาย เพราะเป็นบุคคลที่ท่านรู้จัก
    จึงจับมือลูกชายกล่าวว่า

    "ลูก ๆ ช่วยพ่อด้วย" จึงได้บอกท่านผู้นั้นว่า

    "ขอให้คุณตั้งจิตรวมบุญทั้งหมด และกล่าวให้คุณพ่ออนุโมทนาบุญเลยค่ะ"

    ท่านผู้นั้นทำตามอย่างว่าง่าย ปรากฏว่า กายคุณพ่อเปลี่ยนเป็นเทวดาชั้นจาตุมหาราช สวมชุดคล้ายคนเล่นโขน มีชฎาแหลม ทันที ทราบภายหลังว่า ท่านเป็นบริวารของท่านท้าวเวสสุวรรณ

    จึงได้เรียนให้ท่านผู้เป็นบุตรชายทราบ และได้กราบลาท่านพระยายมราช และนายนิริยบาล

    เมื่อทราบว่า คุณพ่อได้จุติเป็นเทวดาแล้ว ในทางโลกมนุษย์ ท่านก็หมดลมหายใจทันที กัลยาณมิตรท่านนั้นได้ขอบคุณและบอกว่า งานศพ ทุกคนทราบว่า คุณพ่อไปดีและไม่เศร้าใจแต่อย่างใด

    สรุปในเรื่องนี้ ทราบภายหลังว่า หากอัตราบาปของเรามากกว่า กำลังบุญ หลังเสียชีวิต จะส่งผลให้ลงนรกได้ทันที

    แต่เนื่องจากบุตรชายเป็นผู้มีสัมมาทิฐิ และอุทิศบุญให้แก่ท่านพระยายมราชเป็นพยานทุกครั้ง

    ผลบุญนี้จึงส่งผลให้ผ่านสำนักพระยายมราชก่อน จึงทำให้สามารถช่วยให้บุพการีพ้นจากอบายภูมิได้ค่ะ

    ขอผลแห่งการให้ธรรมทานครั้งนี้ จงบังเกิดแก่ท่านเทวดาเจ้าของเรื่อง บุตรชายผู้เป็นลูกกตัญญู ตลอดทั้งท่านพระยายมราช ผู้อนุญาตเผยแผ่เรื่องนี้ และนายนิริยบาลทุกท่าน

    ขออนุโมทนาบุญค่ะ

    Numsai






     

แชร์หน้านี้

Loading...