ถามเกี่ยวกับอาการจากการทำสมาธิค่ะ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย Junejuly, 5 กันยายน 2011.

  1. oatthidet

    oatthidet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    3,498
    ค่าพลัง:
    +1,876
    เฝ้ามองดูความเป็นจริงที่เกิดขึ้นครับ ร่างกายหากไม่ทำความสะอาดจะส่งผลอย่างไร

    ไม่ว่าจะ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง หากไม่ทำความสะอาดเลยทั้งชีวิต จะให้ผลอย่างไร

    พิจารณาตามความเป็นจริงครับ แล้วสิ่งที่ได้ จะเป็นของจริงครับ
     
  2. Junejuly

    Junejuly Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    150
    ค่าพลัง:
    +38
    ขอบคุณค่ะคุณOatthidetที่กรุณาแนะนำ เวลาที่เราพิจารณาสังขารนี้ ตัวเราเป็นผู้คิดพิจารณา แล้วทำอย่างไรจิตจึงจะเกิดปัญญาและคิดขึ้นมาเองโดยที่เราไม่ได้บังคับคะ หรือดิฉันต้องพิจารณาให้บ่อยๆก่อนแล้วจิตจะจดจำและเกิดปัญญาขึ้นเองโดยอัตโนมัติคะ ตอนที่พิจารณาต้องนึกภาพของความเสื่อมของสังขารด้วยไหมคะ

    วิปัสนากรรมฐานนี่ทำให้จิตคิดสิ่งใดสิ่งหนึ่งขึ้นมาเองแล้วก็เกิดปัญญาขึ้นมาเองโดยที่เราไม่ได้นึกถึงหรือไม่ได้บังคับให้เกิดขึ้นใช่ไหมคะ
     
  3. oatthidet

    oatthidet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    3,498
    ค่าพลัง:
    +1,876
    ครับ จะเกิดการพิจารณาขึ้นมาเองได้นั้น จิตจะต้องเห็นความเป็นจริงก่อนครับ

    ฉนั้น ในช่วงแรกจึงต้องมีการบังคับ ด้วยการตรึกนึกขึ้นมาก่อน จนเห็นความเป็นจริง

    จิตจึงจะเข้าใจในความเป็นจริงนั้น จากนั้นจิตจะพิจารณาเอง โดยไม่ต้องบังคับ

    เราเป็นแต่เพียงเฝ้าดูเท่านั้นครับ ไม่ต้องไปช่วยคิดแต่อย่างใด
     
  4. oatthidet

    oatthidet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    3,498
    ค่าพลัง:
    +1,876
    สิ่งใดใดไม่ใช่ของใครหมด ไม่ปรากฎว่าใครเป็นเจ้าของ

    แม้เฝ้ารัก เฝ้าหวง เฝ้าหมายปอง ก็จำต้องทิ้งไว้ในโลกา

    คำกลอนนี้ เป็นสิ่งที่เตือนสติได้ดีครับ ผมจึงนำมาฝาก โดยคนที่นำคำกลอดนี้มาให้ผม

    คือคนที่เขาได้ทิ้งผมไป แต่ไม่ว่าด้วยเหตุผลใด ขณะนี้กลับทำให้ผมรู้สึกดี

    และ เขาได้สอนให้ผมรู้จัก อีกหลายๆอย่างในชีวิต จากที่เคยโกรธเขา กลับเพิ่งรู้ว่าเขาทำเพื่ออะไร

    อาจจะนอกประเด็จสักนิดครับ เพียงแต่จะอธิบายที่มาของบทกลอน และ เพิ่งได้มาเห็นว่า

    เป็นคำกลอนที่มีอยู่แล้ว จากพระอาจารย์ท่านหนึ่ง และ ผมเห็นว่าดี จึงนำมาฝากครับ
     
  5. Junejuly

    Junejuly Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    150
    ค่าพลัง:
    +38
    ขอบคุณค่ะ ประสบการณ์หลายๆอย่างที่เกิดขึ้นในชีวิตก็เป็นครูที่ดีสำหรับเราจริงๆค่ะ เป็นข้อคิดได้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ไม่ใช่ของเรา ไม่ควรไปยึดติด เมื่อตายไปก็เอาไปไม่ได้ เหลืออยู่เพียงจิตของเราเท่านั้น
     
  6. พรานยึ้ม

    พรานยึ้ม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    591
    ค่าพลัง:
    +682
    ถูกต้องจ้า ถูกต้อง สาธุคับผม
     
  7. ชินนา

    ชินนา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    192
    ค่าพลัง:
    +248
    - ผลของการปฏิบัติท่านวัดกันที่การละกิเลส(สังโยชน์ ๑๐) ไม่ใช่ระยะเวลาต้องเท่านั้นเท่านี้จึงจะสำเร็จ เข้าใจถูกแล้วครับ

    - คนแปลกหน้าที่ไหนเล่าคุ้ณ คนที่สนใจในการปฏิบัติด้วยกันก็ถือว่าเป็นพุทธบุตรด้วยกันนั่นแหละครับ แม้คนที่ยังไม่เข้ามาทางนี้ก็ถือว่าเป็นเพื่อนร่วมทุกข์ด้วยกันทั้งนั้นครับ แต่ว่าผมก็ไม่รู้เหมือนกันนะว่าทำไมถึงมาสนใจคุณ อยู่ๆ ก็อยากจะสนทนาด้วย อาจจะแปลกอย่างที่คุณเข้าใจละมั้ง

    - คุณก็มีเรื่องเกี่ยวกับหลวงพ่อด้วยนี่ ไม่ต้องห่วงครับว่าจะได้กราบท่านตอนท่านมีชีวิตหรือไม่ ถ้ามีธรรมประจำใจ ก็เหมือนมีท่านอยู่ด้วย เราก็เหมือนอยู่กับท่าน ตลอดเวลาที่เรามีธรรม

    - วิปัสสนาญาณ คือการรู้ความจริงเพื่อการปล่อยวาง อย่างที่คุณฝึกสมาธิแล้วเห็นกายอีกกายหนึ่ง แล้วคุณก็ดูกายเนื้อที่นั่ง/นอนนั้น ดูแล้วเห็นว่าเป็นอะไร ใช่เราหรือเปล่า? ถ้าคำตอบว่าไม่ใช่
    ทำไมถึงไม่ใช่? ก็เพราะกายเนื้อนั้นต้องแก่ ต้องตาย ต้องสลายไปในที่สุด เป็นธรรมดา เราไม่มีอำนาจที่จะบังคับบัญชามันได้

    แล้วเราจะไปหลงมันทำไมกับร่างกายแบบนั้น เห็นแบบนี้จิตเราก็จะวางความยึดมั่นลง จิตเบาสบายเพราะได้รับผลจากวิปัสสนา

    ถ้าทำได้อย่างนั้น ก็ควรทำบ่อยๆ เพื่อให้เกิดปัญญาละเอียดเข้าไปยิ่งขึ้น สติก็เข้มแข็งขึ้นมาเองด้วยอำนาจของปัญญานั่นเองครับ
     
  8. Junejuly

    Junejuly Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    150
    ค่าพลัง:
    +38
    คุณชินนามีประสบการณ์เรื่องเกี่ยวกับหลวงพ่อไหมคะ ถ้าไม่เป็นการรบกวน ดิฉันอยากฟัง(อ่าน)เรื่องเล่าค่ะ ดิฉันชอบฟัง(อ่าน) แล้วอะไรทำให้คุณชินนาถวายตนเป็นลูกศิษย์ท่านคะ

    เคยอ่านหนังสือเกี่ยวกับหลวงพ่อฤาษีลิงดำ...ซาบซึ้งกับประโยคนี้ของท่านมากค่ะ..อ่านแล้วน้ำตาไหลเลย..ที่ท่านกล่าวว่า "..ถึงกายพ่อจะไม่อยู่กับลูกได้ตลอด แต่เมื่อลูกเป็นคนดีมีธรรมะ เมื่อนั้นขอให้ลูกรู้ว่าพ่อจะอยู่กับลูกเสมอ..."

    ตอนนี้ลองฝึกวิปัสสนากรรมฐานอยู่ค่ะ เพิ่งเริ่ม...เลยกำลังฝึกดูลมหายใจให้คล่องก่อนค่ะ :)
     
  9. ชินนา

    ชินนา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    192
    ค่าพลัง:
    +248
    ประสบการณ์เกี่ยวกับหลวงพ่อ ผมเคยพบท่านในฝันเพียงครั้งเดียว ตอนนั้นยังเป็นนักดื่มอยู่ ท่านมาเตือนคล้ายสั่งแหละครับ ว่าให้ผมเลิกดื่มแล้วรักษาศีล ๕ ซะ ไม่งั้นจะไม่สนใจอีกต่อไป แต่ผมยังดื้อกรอกน้ำเมาต่อ อีกไม่กี่เดือนผมก็ต้องเลิก เพราะทนแรงแห่งความทุกข์ไม่ไหว แค่นี้ครับ และผมก็ไม่เคยได้พบท่านตอนที่ท่านมีขันธ์อยู่เหมือนคุณเลยครับ แถมยังไม่เคยไปวัดท่าซุงซะด้วยซ้ำ ขาดทุึนกว่าคุณอีกเห็นไหม

    ที่ผมถวายตัวเป็นศิษย์ เพราะคำสอนของท่านเรื่อง "ขอถึงพระนิพพานชาตินี้" ครับ และคำสอนของท่านถูกจริตผมๆ ชอบในการสอนธรรมของท่าน ภาษาง่ายๆ เข้าใจง่าย สอนให้ปฏิบัติเพื่อพระนิพพานแบบง่ายๆ จริงๆก็ไม่ง่ายอย่างที่คิด แต่ก็ไม่ยากถ้าเรามั่นใจว่าเราจะทำให้ถึง แม้ไม่รู้ว่าถึงหรือไม่ถึง แต่ก็จะพยายามไปให้ได้ จะไปอย่างเดียว ที่เดียว คือ พระนิพพาน

    ดูลมหายใจให้คล่องก่อน ดีครับ อนุโมทนาครับ
     
  10. Junejuly

    Junejuly Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    150
    ค่าพลัง:
    +38
    คุณชินนาโชคดีจังค่ะที่เคยฝันเห็นท่าน ดิฉันไม่เคยแม้แต่จะฝันเห็นท่านหรือได้รับรู้เกี่ยวกับท่านด้วยตัวของดิฉันเองเลยค่ะ ถ้าวันนั้นเพื่อนไม่พาไปพบกับท่านร่างของปู่ฤาษีนารอดดิฉันก็ไม่มีวันได้รับรู้เกี่ยวกับหลวงพ่อเลยค่ะ

    ดิฉันอยากไปพระนิพพานด้วยค่ะ แต่ใจก็ยังลังเล..คือรู้ตัวว่ายังไม่ดีพอเลยไม่กล้าหวัง แต่อีกใจก็อยากไป..

    ขอนอกเรื่องนิดนะคะ....ขออนุญาติเอาบุญมาฝากด้วยนะคะ...ดิฉันตั้งใจจะทานเจ 3 วัน(ที่ผ่านมา)และดิฉันก็ทำได้สำเร็จ แล้วดิฉันก็ตั้งใจจะไม่ทานเนื้อวัวตลอดชีวิต(ทำมาได้หลายเดือนแล้วค่ะ)และได้ร่วมบริจาคเงินเพื่อไถ่โค กระบือ 3 ตัวให้แก่โครงการธนาคารโค กระบือของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวค่ะ ขอแบ่งผลบุญกุศลนี้ให้แก่ทุกคนนะคะ

    ขอตัวไปนั่งสมาธิก่อนนะคะ แล้วมาคุยกันใหม่ :)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 1 ตุลาคม 2011
  11. ชินนา

    ชินนา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    192
    ค่าพลัง:
    +248
    อนุโมทนาด้วยนะครับ สาธุ

    เรื่องเคยพบท่านหรือไม่นั้นไม่สำคัญ แต่ถ้าอ่านคำสอนของท่านแล้วถูกใจ ก็ใช่เลยครับ เคยร่วมบุญกับท่านมาแล้วแน่นอนครับ

    ดิฉันอยากไปพระนิพพานด้วยค่ะ แต่ใจก็ยังลังเล..คือรู้ตัวว่ายังไม่ดีพอเลยไม่กล้าหวัง แต่อีกใจก็อยากไป..
    ตรงนี้ก็เป็นเรื่องของ "อธิษฐานบารมี" ที่กำลังยังไม่เข้มแข็งมากพอ ถ้าตัดใจตรงที่ "รู้ตัวว่ายังไม่ดีพอเลยไม่กล้าหวัง" เปลี่ยนเป็น "รู้ตัวว่ายังไม่ดีพอแต่ปรารถนาจะเข้าพระนิพพานให้ได้"

    การรู้ตัวว่ายังไม่ดี เป็นสิ่งดีที่น่าชื่นชม เพราะเราจะไ้ด้ไ่ม่ประมาท รีบเร่งขวนขวายเพื่อทำให้เราละความไม่ดีออกจากใจ ผิดกับคนที่ยังไม่ดีแต่กลับหยิ่งผยองอวดตัวว่าเลิศกว่าใคร ฉันดี ฉันเก่ง แบบนี้เป็นมานะทิฐิตัวฉกาจ ตัวร้ายมาก ควรระวังอย่างยิ่งครับ

    ขอฝากให้คุณ stillness พิจารณาเรื่องทุกข์นะครับ วันละนิดแต่บ่อยๆ ทำพอจิตสบายๆ เบาๆ เอากิจวัตรประจำวันที่กำลังทำนั่นแหละครับมาพิจารณา กินเอย ถ่ายเอย ทำงานเอย ร้อนหนาว เหนื่อยล้า ปัญหาจากการงาน ชำระร่างกาย ต้องเอาอกเอาใจผู้อื่น ทะเลาะกับคนอื่น ดูว่ากิจวัตรเหล่านี้เป็นความสุขหรือความทุกข์ สลับกับดูลมหายใจ นะครับ

    ทำพอสบายๆ เรื่อยๆ เดี๋ยวปัญญาจะค่อยๆ เกิดขึ้นทีละนิดๆ ไปเองครับ
     
  12. Junejuly

    Junejuly Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    150
    ค่าพลัง:
    +38
    ขอบคุณค่ะสำหรับคำแนะนำ

    เมื่อกี้นั่งสมาธิและเปิดฟังหลวงพ่อท่านเทศน์เกี่ยวกับกายคตา-วิปัสสนา ฟังไปก็คิดไปด้วย ทำให้เข้าใจหลายๆอย่างมากขึ้น และก็นึกถึงตนเองแล้วก็เห็นว่ายังมีอีกหลายอย่างที่จะต้องปรับปรุง แก้ไข ขัดเกลาและเปลี่ยนความคิดบางอย่างเสียใหม่ให้ไปในทางที่ดีขึ้น ฟังท่านเทศน์แล้วทำให้รู้สึกว่าดิฉันยังต้องปรับตัวปรับจิตอีกมากค่ะ

    คนที่สามารถพิจารณาสังขารจนเห็นร่างกายที่ไม่เที่ยง ที่น่าเกลียด ที่เน่าเปื่อยในจิตนี่เป็นการเห็นที่เกิดจากความนึกคิดขึ้นมาเองหรือว่าอยู่ๆจิตก็ทำให้เกิดภาพขึ้นมาเองโดยไม่ได้ไปบังคับคะ ตอนนี้ในช่วงที่ดิฉันกำลังฝึกพิจารณาอยู่ ภาพที่เกิดก็คือภาพจากความนึกคิดของดิฉันเองค่ะ

    นอกเรื่องอีกแล้วค่ะ -- เมื่อก่อนตอนที่ยังไม่เริ่มมาปฏิบัติธรรมอย่างจริงจัง ดิฉันเคยไปเยี่ยมคนรู้จักที่เชียงใหม่แล้วทีนี้เขาให้ดิฉันพักที่บ้านเขา เป็นบ้านเรือนไทย ทำด้วยไม้สวยมาก ก่อนนอนดิฉันก็ไหว้พระ อธิษฐานจิตขออนุญาตเจ้าที่เจ้าทาง ผีบ้านผีเรือนมานอนพักหนึ่งคืน พอเริ่มจะหลับก็ได้ยินเสียงบรรเลงของดนตรีไทยโบราณ ได้ยินแบบเหมือนก้องอยู่ในหัว/หูเราเลยค่ะ(เหมือนเวลาเราฟังmp3ด้วยหูฟังน่ะค่ะ) ตอนนั้นเกิดความกลัวทำอะไรไม่ถูกเลยค่ะ(คิดดูดีๆเขาก็ไม่ได้มาทำร้ายอะไรเรา เพียงแต่สัญชาตญาณของเรารู้สึกกลัวในสิ่งที่มองไม่เห็นเอง) ก็ได้แต่สวดมนต์ขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิคุ้มครอง แต่เสียงดนตรีก็ยังไม่หายไป ได้ยินสักพักใหญ่เลยค่ะกว่าจะเงียบไปเอง ไม่รู้ว่าดิฉันทำอะไรบกพร่องหรือเปล่า(หรือเพราะแค่อธิษฐานของนอนพักหนึ่งคืนไม่ได้จุดธูปขออย่างเป็นทางการ?) ตอนเช้าถามคุณพ่อ คุณพ่อก็บอกว่าไม่เห็นได้ยินอะไรเลยเมื่อคืน ดิฉันไม่รู้ว่าทำไมถึงชอบได้ยินเสียงของสิ่งที่มองไม่เห็นบ่อยมาก(แต่โชคดีที่ไม่เคยเห็น) pig_cryy

    ...แค่เล่าสู่กันฟังค่ะ ไม่มีอะไร ถ้าใครมีอะไรจะมาเล่าให้ฟังก็ได้นะคะ ดิฉันชอบฟังแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและประสบการณ์ค่ะ :)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 2 ตุลาคม 2011
  13. ชินนา

    ชินนา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    192
    ค่าพลัง:
    +248
    เข้าท่าๆ ครับ ทำสมาธิด้วยการฟังเทศน์ ดีครับดี:cool:
    ฟังด้วยจิตมีสมาธิทำให้เกิดปัญญา หลวงพ่อบอกไว้เสมอครับ แล้วก็ดีมากที่รู้ว่าเรายังบกพร่อง อย่างนี้ก็เรียกปัญญาได้เหมือนกันครับ ถ้าคนไม่มีปัญญาจะไม่เห็นความบกพร่องของตัวเองหรอกจริงไหมครับ เยี่ยมๆๆ

    การพิจารณาอะไรก็ตาม ก็เพื่อต้องการทำให้จิตสงบเป็นสมาธิ ที่สามารถนทำให้จิตเห็น/รู้ตามความเป็นจริงของสัจจะธรรม จิตเห็นความจริงอันเถียงไม่ได้ จึงเกิดการยอมรับเพราะไม่มีอะไรมาโต้แย้งสัจจะธรรมได้

    ลำดับแรกๆ ก็ต้องมีการยกเอาข้อธรรมหรือการเพ่งภาพขึ้นมาพิจารณาแบบจงใจก่อน เพื่อให้จิตเห็นไปตามสิ่งที่เราคิดพิจารณา เมื่อทำอย่างนี้บ่อยๆ เข้า ความชำนาญก็เกิด จิตจะจำในเรื่องที่เคยคิด ความรวดเร็วของจิตก็ทำงานโดยอัตโนมัติเมื่อถึงคราวที่จิตอยากจะพิจารณาธรรม หรือเมื่อเห็นธรรมที่เป็นอันเดียวกันนั้นขึ้นมาเอง เช่น เราพิจารณาเรื่องความตาย เราก็คิดๆๆๆไป ได้ปัญญาบ้าง ไม่ได้ปัญญาบ้าง ก็ไม่เป็นไรทำไปตามแบบก่อน แต่พอมีเหตุการณ์เกี่ยวกับความตายของคนอื่นบ้าง ของสัตว์อื่นบ้าง จิตจะหยิบเอาเรื่องความตายขึ้นมาพิจารณาเทียบเคียงทันที ทีนี้จิตก็เห็นความจริงที่เป็นเรื่องจริงๆ อยู่ตรงหน้า ปัญญาก็จะเกิดตอนนี้แหละครับ

    เวลาท่านแนะนำเรื่องการพิจารณาหรือทำสมาธิอะไรก็ตาม ท่านจะเน้นย้ำเรื่องของทางสายกลาง คือ ทำพอสบายๆ ให้จิตเบาสบายไม่เคร่งเครียด ทำไมถึงบอกอย่างนี้? ก็จะได้เป็นการทำให้จิตได้เห็นสภาวะธรรมได้ชัดเจนแจ่มใส ทำให้ละวางเกิดปีติ สุขอันเกิดจากการพิจารณาธรรม เมื่อจิตเห็นความจริง และความจริงนั้นทำให้จิตมีความสุข จิตก็จะเพลิดเพลิน พอใจในการปฏิบัติธรรม เห็นความสุขนี้เป็นของประเสริฐ ดีกว่าสุขจากทางโลกอย่างเทียบกันไม่ติด

    เมื่อจิตเชื่อมั่นแล้วการปฏิบัติก็จะไม่เป็นการลำบากที่จะต้องคอยกระตุ้นเตือน จิตจะทำงานของเขาเองตามธรรมชาติ มีแต่จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตามกำลังของปัญญา


    เรื่องที่เล่านั้นก็เป็นเรื่องที่บางท่านก็ว่าแปลก บางท่านก็ว่าไม่แปลก
    ผมก็เคยได้ยินเสียงเพลงนะ แต่เป็นเพลงมโหรีที่เขาใช้เปิดตอนมีงานศพ ได้ยินทั้งคืน แล้วคืนนั้นก็ขับรถไปต่างจังหวัด กลับบ้านมานอนก็ยังได้ยินก้องอยู่ในหูหรือในหัว แหม ไอ้ผมก็คิดว่าจะเป็นวันตายซะแล้ว ดันมาได้ยินเพลงแบบนี้ ก็เลยได้คิดไปถึงเรื่องความตายไปในตัวเสร็จ ได้กำไรเลย555
     
  14. Junejuly

    Junejuly Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    150
    ค่าพลัง:
    +38
    ตอนนี้เวลานั่งสมาธิดิฉันเปิดฟังเทศน์ของหลวงพ่อทุกครั้งเลยค่ะ ฟังไปคิดไปเพลินดีค่ะ พอท่านเทศน์จบก็นึกว่าอ้าว..จบแล้วเหรอ...เพิ่งฟังไม่นานเอง พอดูเวลาจริงๆก็ชม.หนึ่งแล้ว รู้สึกตื้นตันใจในความเมตตากรุณาของท่านที่ท่านอุตส่าห์สละเวลามานั่งอัดเสียงสอนธรรมะให้ทุกคนได้ศึกษา :)

    ฮ่าๆๆ โชคดีของคุณชินนาเลยเนอะ แถมเป็นเพลงมโหรีงานศพอีกต่างหาก ได้พิจารณามรณานุสติไปเลย เสียงดนตรีไทยโบราณที่ดิฉันได้ยิน...สงสัยคุณผีบ้านผีเรือนท่านมาบรรเลงกล่อมให้ดิฉันหลับมังคะ ฮ่าๆๆ

    วันนี้ยังไม่มีอะไรมาอัพเดทค่ะ กำลังค่อยๆฝึกทางวิปัสสนากรรมฐาน อยากฝึกไปเรื่อยๆจนชิน จนคล่อง หากมีอะไรที่ดิฉันสงสัยดิฉันขอรบกวนถามอีกนะคะ แล้วคุณชินนาฝึกกรรมฐานอะไรคะ คุณชินนาคิดจะไปบวชไหมคะ
     
  15. ชินนา

    ชินนา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    192
    ค่าพลัง:
    +248
    - คุณเริ่มติดหลวงพ่อแล้วละซิ:cool:

    - เพลงดนตรีไทย ผมก็คิดแบบคุณแหละครับ ในฐานะที่คุณรู้จักนอบน้อมต่อเจ้าบ้าน:cool:

    - ถามได้ครับ ยินดีครับ

    - กรรมฐานที่ผมใช้ประจำวันก็ำไม่มีรูปแบบที่ตายตัว จิตพอใจกรรมฐานอะไรก็ใช้อันนั้น แต่ที่ประจำตัวจริงๆคืออานาปานสติ(กำหนดรู้ลมหายใจ) เป็นกรรมฐานหลักที่ทิ้งไม่ได้ครับ
     
  16. Junejuly

    Junejuly Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    150
    ค่าพลัง:
    +38
    ขอบคุณค่ะคุณDutchanee :) ขอให้คุณDutchaneeเจริญในธรรมและสำเร็จมรรคผลนะคะ คุณDutchaneeกำลังฝึกกรรมฐานกองไหนอยู่คะ
     
  17. syamK

    syamK สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    40
    ค่าพลัง:
    +15
    อนุโมทนา สาธุด้วยครับคุณ Stillness เป็นกำลังใจให้ครับ
    เมื่อคืนผมนอนสมาธิแบบกำหนดลมหายใจ พุทธ โธ ครับ ตอนแรกๆท่องไป กำหนดลมหายใจไป ตอนหลับตาเราจะเห็นภาพมันเคลื่อนไปเคลื่อนไปเคลื่อนมา พอสักแป้ป รู้สึกวูปขึ้นมาที่หัวครับ แล้วภาพมันนิ่งๆ ตอนนี้นรู้สึกดีมาก จากนั้นก็ภาวนาไปเรื่อย แล้วความคิดเรื่องความโลภก็เข้ามา(พอดีผมทำธุรกิจเสริมเลยต้องวางแผนครับแก้ยังไงก็ไม่หายมันเข้ามาแทรก) เลยเลิกทำแล้วก็นอนครับ อยากทราบว่าอาการแบบนี้ เป็นขณิกสมาธิใช่หรือป่าวครับ
     
  18. Junejuly

    Junejuly Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    150
    ค่าพลัง:
    +38
    สวัสดีค่ะคุณSyamK อนุโมทนาสาธุกับคุณด้วยนะคะ เท่าที่เคยศึกษามา..แต่ละคนจะมีอาการต่างกันไปค่ะ ไม่ว่าจะเห็นหรือเกิดอะไรขึ้นก็ตามแต่ท้ายสุดเรารู้สึกว่าจิตมีความอิ่มเอิบ สงบ รู้สึกเบาสบาย สดชื่น..อาการเหล่านี้คือปิติสุขค่ะ แรกๆดิฉันก็เป็นค่ะ จิตมันชอบคิดไปนู่นไปนี่แต่ก็พยายามดึงจิตกลับมาที่พุทโธค่ะ จิตมันซุกซน ชอบออกนอกแถวค่ะ อิ อิ....ตอนนี้ดิฉันก็ยังเป็นอยู่บ้างค่ะ แต่ดีขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก :) สู้ๆนะคะ ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่นค่ะ ทำแบบสบายๆ ค่อยเป็นค่อยไปนะคะ ตอนนี้ดิฉันมุ่งมาฝึกวิปัสสนากรรมฐานค่ะ พยายามเพียรฝึกอยู่ทุกวันเหมือนกันค่ะ :)

    ส่วนที่ถามว่าเป็นขณิกสมาธิหรือไม่นั้น ดิฉันยังไม่เก่งหรือชำนาญพอจะให้คำตอบที่ถูกต้องได้อ่ะค่ะ ขอโทษนะคะ แต่ดิฉันได้ลองค้นหาข้อมูลมาให้ค่ะ ไม่ทราบว่าจะพอช่วยคลายความสงสัยให้ได้บ้างหรือไม่

    อันนี้คัดลอกมาจากบทความที่หาได้ทางเว็บข้างล่างนี้นะคะ (http://www.larnbuddhism.com/grammathan/meditation2.html)

    ขณิกสมาธิ

    ขณิกสมาธิ แปลว่า ตั้งใจมั่นได้เล็กน้อย หรือนิดๆ หน่อยๆ คำว่า สมาธิ แปล ว่า ตั้งใจมั่น ต้องมั่นได้นิดหน่อย เช่น กำหนดจิตคิดตามคำภาวนา ภาวนาได้ประเดี่ยว ประด๋าว จิตก็ไปคว้าเอาความรู้สึกนึกคิดอารมณ์ภายนอกคำภาวนามาคิด ทิ้งองค์ภาวนาเสีย แล้วกว่าจะรู้ตัวว่า จิตซ่าน ก็คิดตั้งบ้านสร้างเรือนเสียพอใจ อารมณ์ตั้งอยู่ในองค์ภาวนาไม่ได้ นานอย่างนี้ ตั้งอยู่ได้ประเดี๋ยวประด๋าว อารมณ์จิตก็ยังไม่สว่างแจ่มใส ภาวนาไปตามอาจารย์ สั่งขาดๆ เกินๆ อย่างนี้แหละที่เรียกว่า ขณิกสมาธิท่านยังไม่เรียก ฌาน เพราะอารมณ์ยัง ไม่เป็นฌานท่านจึงไม่เรียกว่า สมาบัติ เพราะยังไม่เข้าถึงกฎที่ท่านกำหนดไว้

    อุปจารสมาธิ

    อุปจารสมาธินี้เรียกอุปจารฌาน ก็เรียก เป็นสมาธิที่มีความตั้งมั่นใกล้จะถึง ปฐมฌานหรือปฐมสมาบัติ นั่นเอง อุปจารสมาธิคุมอารมณ์สมาธิไว้ได้นานพอ สมควร มีอารมณ์ใสสว่างพอใช้ได้ เป็นพื้นฐานเดิมที่จะฝึกทิพยจักษุญาณได้ อารมณ์ ที่อุปจารสมาธิเข้าถึงนั้นมีอาการดังนี้
    1. วิตก คือความกำหนดจิตนึกคิดองค์ภาวนาหรือกำหนดรูปกสิณ จิตกำหนด อยู่ได้ไม่คลาดเคลื่อน ในเวลานานพอสมควร
    2. วิจาร การใคร่ครวญในรูปกสิณนิมิต ที่จิตถือเอาเป็นนิมิตที่กำหนด มีอาการ เคลื่อนไหวหรือคงที่ มีสีสันวรรณะเป็นอย่างไร เล็กหรือใหญ่ สูงหรือต่ำ จิตกำหนดรู้ไว้ได้ ถ้าเป็นองค์ภาวนา ภาวนาครบถ้วนไหม ผิดถูกอย่างไร กำหนดรู้เสมอ ถ้ากำหนดลมหายใจ ก็กำหนดรู้ว่า หายใจเข้าออกยาวหรือสั้น เบาหรือแรง รู้อยู่ตลอดเวลาอย่างนี้ เรียกว่าวิจาร
    3. ปีติ ความปลาบปลื้มเอิบอิ่มใจ มีจิตใจชุ่มชื่นเบิกบาน ไม่อิ่มไม่เบื่อในการ เจริญภาวนาอารมณ์ผ่องใส ปรากฏว่าเมื่อหลับตาภาวนานั้นไม่มืดเหมือนเดิม มีความ สว่างปรากฏคล้ายใครนำแสงสว่างมาวางไว้ใกล้ๆ บางคราวก็เห็นภาพและแสงสีปรากฏ เป็นครั้งคราว แต่ปรากฏอยู่ไม่นานก็หายไป อาการของปีติมีห้าอย่างคือ
      ๓.๑ มีการขนลุกขนชัน ท่านเรียกว่าขนพองสยองเกล้า
      ๓.๒ มีน้ำตาไหลจากตาโดยไม่มีอะไรไปทำให้ตาระคายเคือง
      ๓.๓ ร่างกายโยกโคลง คล้ายเรือกระทบคลื่น
      ๓.๔ ร่างกายลอยขึ้นเหนือพื้นที่นั่ง บางรายลอยไปได้ไกลๆ และลอยสูงมาก
      ๓.๕ อาการกายซู่ซ่า คล้ายร่างกายโปร่ง และใหญ่โตสูงขึ้นอย่างผิดปกติ อาการทั้งห้าอย่างนี้ แม้อย่างใดอย่างหนึ่ง เป็นอาการของปีติ ข้อที่ควรสังเกตก็คือ อารมณ์จิตชุ่มชื่นเบิกบานแม้ร่างกายจะสั่นหวั่นไหว บางรายตัวหมุนเหมือนลูกข่างแต่จิตใจ ก็เป็นสมาธิแนบแน่นไม่หวั่นไหว มีสมาธิตั้งมั่นอยู่เสมอ การกำหนดจิตเข้าสมาธิก็ง่าย คล่อง ทำเมื่อไรเข้าสมาธิได้ทันที อาการของสมาธิเป็นอย่างนี้
    4. สุข ความสุขชื่นบาน เป็นความสุขที่ละเอียดอ่อน ไม่เคยปรากฏการณ์มาก่อน เลยในชีวิต จะนั่งสมาธินานแสนนานก็ไม่รู้สึกปวดเมื่อย อาการปวดเมื่อยจะมีก็ต่อเมื่อคลาย สมาธิแล้ว ส่วนจิตใจมีความสุขสำราญตลอดเวลา สมาธิก็ตั้งมั่นมากขึ้น อารมณ์วิตกคือการ กำหนดภาวนา ก็ภาวนาได้ตลอดเวลา การกำหนดรู้ความภาวนาว่าจะถูกต้องครบถ้วนหรือ ไม่เป็นต้น ก็เป็นไปด้วยดีมีธรรมปีติชุ่มชื่นผ่องใสความสุขใจมีตลอดเวลาสมาธิตั้งมั่นความ สว่างทางใจปรากฏขึ้นในขณะหลับตาภาวนา อาการตามที่กล่าวมาทั้งหมดนี้แหละที่เรียกว่า อุปจารสมาธิ หรือเรียกว่า อุปจารฌาน คือเฉียดๆ จะถึง ปฐมฌาน อยู่แล้ว ห่างปฐมฌาน เพียงเส้นยาแดงผ่า ๓๒ เท่านั้นเอง ตอนนี้ท่านยังไม่เรียกฌานโดยตรง เพราะอารมณ์ ยังไม่ครบองค์ฌานท่านจึงยังไม่ยอมเรียกว่าสมาบัติ เพราะยังไม่ถึงฌาน
    ปฐมฌาน หรือ ปฐมสมาบัติ

    ปฐมฌาน หรือปฐมสมาบัตินี้ ท่านกำหนดองค์ของปฐมฌาน หรือปฐมสมาบัติไว้ ๕ อย่างดังต่อไปนี้
    1. วิตก จิตกำหนดนึกคิด โดยกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก ว่าหายใจเข้าหรือออก ถ้าใช้คำภาวนา ก็รู้ว่าเราภาวนาอยู่ คือภาวนาไว้มิให้ขาดสาย ถ้าเพ่งกสิณ ก็กำหนดจับภาพ กสิณอยู่ตลอดเวลาอย่างนี้เรียกว่าวิตก
    2. วิจาร ถ้ากำหนดลมหายใจ ก็ใคร่ครวญกำหนดรู้ไว้เสมอว่า เราหายใจเข้าหรือ หายใจออก หายใจเข้าออกยาวหรือสั้น หายใจเบา หรือแรง ในวิสุทธิมรรคท่านให้รู้กำหนด ลมสามฐานคือ หายใจเข้าลมกระทบจมูก กระทบอก กระทบศูนย์เหนือสะดือนิดหน่อย หายใจ ออกลมกระทบศูนย์ กระทบอกกระทบจมูกหรือริมฝีปาก
      ถ้าภาวนา ก็กำหนดรู้ไว้เสมอว่าเราภาวนาถูกต้องครบถ้วนหรือไม่ประการ ใด ถ้าเพ่งภาพกสิณ ก็กำหนดหมายภาพกสิณว่า เราเพ่งกสิณอะไร มีสีสัน วรรณะเป็นอย่างไร ภาพกสิณเคลื่อนหรือคงสภาพ สีของกสิณเปลี่ยนแปลงไป หรือคงเดิม ภาพที่เห็นอยู่นั้นเป็นภาพกสิณที่เราต้องการ หรือ ภาพหลอนสอด แทรกเข้ามา ภาพกสิณเล็กหรือใหญ่ สูงหรือต่ำ ดังนี้เป็นต้น อย่างนี้เรียกว่า วิจาร
    3. ปีติ ความชุ่มชื่นเบิกบานใจ มีเป็นปกติ
    4. ความสุขเยือกเย็น เป็นความสุขทางกายอย่างประณีต ซึ่งไม่เคยมีมาใน กาลก่อน
    5. เอกัคคตารมณ์ มีอารมณ์เป็นหนึ่ง คือ ตั้งมั่นอยู่ในองค์ทั้ง ๔ ประการนั้น ไม่คลาดเคลื่อน
    ข้อที่ควรสังเกตก็คือ ปฐมฌาน หรือ ปฐมสมาบัตินี้ เมื่อขณะทรงสมาธิอยู่นั้น หูยังได้ยินเสียงภายนอกทุกอย่าง แต่ว่าอารมณ์ภาวนาหรือรักษาอารมณ์ไม่คลาดเคลื่อน ไม่รำคาญในเสียง เสียงก็ได้ยินแต่จิตก็ทำงานเป็นปกติ อย่างนี้ท่านเรียกว่า ปฐมฌาน คือ อารมณ์เพ่งอยู่ โดยไม่รำคาญ ในเสียงทรงความเป็นหนึ่งไว้ได้ ท่านกล่าวว่า กายกับ จิตเริ่มแยกตัวกันเล็กน้อย แล้วตามปกติจิตย่อมสนใจในเรื่องของกาย เช่นหูได้ยินเสียง จิตก็คิดอะไรไม่ออกเพราะรำคาญในเสียง แต่พอจิตเข้าระดับปฐมฌาน กลับเฉยเมย ต่อเสียงคิดคำนึงถึงอารมณ์กรรมฐานได้เป็นปกติที่ท่านเรียกว่า ปฐมสมาบัติ ก็ เพราะ อารมณ์สมาธิเข้าถึงเกณฑ์ของปฐมฌานที่จิตกับกายเริ่มแยกทางกันบ้างเล็กน้อย แล้วนั่นเอง

    อารมณ์- ปฐมฌานโดยย่อมีดังนี้
    1. วิตก ความตรึกนึกคิดถึงอารมณ์ภาวนา
    2. วิจาร ความใคร่ครวญทบทวนถึงองค์ภาวนานั้นๆ ครบถ้วนถูกต้องหรือไม่เพียงใด
    3. ปีติ ความเอิบอิ่มใจ มีความชุ่มชื่นเบิกบานหรรษา
    4. สุข มีความสุขสันต์ทางกายและจิตใจอย่างไม่เคยมีมาในกาลก่อน เป็นความสุข อย่างประณีต
    5. เอกัคคตา มีอารมณ์เป็นหนึ่ง คือ ทรงวิตก วิจาร ปีติ สุข ไว้ได้โดยไม่มีอารมณ์ อื่นเข้ามาแทรกแซง
    องค์ปฐมฌาน หรือ ปฐมสมาบัติ ๕ อย่างที่กล่าวมาแล้วนี้ ต้องปรากฏพร้อม ๆ กันไปคือ นึกคิดถึงองค์ภาวนาใคร่ครวญในองค์ภาวนานั้น ๆ ว่า ครบถ้วนถูกต้องหรือ ไม่ประการใด มีความชุ่มชื่นเบิกบานใจ มีอารมณ์ผ่องใสสว่างไสวในขณะภาวนา มีความสุข สันต์หรรษา มีอารมณ์จับอยู่ในองค์ภาวนา ไม่สนใจต่ออารมณ์ภายนอก แม้แต่เสียงที่ได้ยิน สอดแทรกเข้ามาทำให้ได้ยินชัดเจน แต่จิตใจก็ไม่หวั่นไหว ไปตามเสียงนั้น จิตใจคงมั่นคง อยู่กับอารมณ์ภาวนาเป็นปกติ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 3 ตุลาคม 2011
  19. syamK

    syamK สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    40
    ค่าพลัง:
    +15
    สวัสดีครับคุณ Stillness อนุโมทนาสาธุกับบทความดีๆที่หามาให้อ่านด้วยครับ ขอบคุณครับ^^
     
  20. Junejuly

    Junejuly Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    150
    ค่าพลัง:
    +38
    ตามที่คุณSyamKกล่าวมาน่าจะเป็นขณิกสมาธิ ดีจังค่ะ เห็นไหมคะว่าเราจะสังเกตุได้ว่าเรามีการพัฒนาขึ้นจากตอนเริ่มใหม่ๆ ต่อไปก็จะดีขึ้นเรื่อยๆค่ะถ้าหมั่นฝึก สู้ๆนะคะ ถ้ามีอะไรที่ดิฉันพอจะช่วยตอบได้ก็จะทำอย่างสุดความสามารถค่ะ ถ้าดิฉันตอบไม่ได้ก็หวังว่าจะมีคนที่รู้มาช่วยตอบให้ค่ะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...