ธรรมพระบูรพาจารย์(หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต)

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย คุรุวาโร, 14 ตุลาคม 2011.

  1. sinfadza

    sinfadza Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    164
    ค่าพลัง:
    +37
    รบกวนดูให้ผมด้วยนะครับ อยากทราบว่าควรฝึกกรรมฐานใดที่เหมาะกับจริตตัวเองครับ และอดีตชาติของตัวเองครับ

    ชื่อสุรวุฒิ สินฝาด วันพฤหัส ที่ 5 ธค.34 เวลา 10.34น. ปีมะแม

    ขอบพระคุณมากๆครับ
     
  2. ^ _ ^

    ^ _ ^ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    62
    ค่าพลัง:
    +50
    เห็นท่านคุรุวาโรสละเวลาดูให้หลายท่าน อนุโมทนาบุญด้วยครับ
     
  3. Dear-Dear

    Dear-Dear Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    43
    ค่าพลัง:
    +45

    คุณคุรุวาโรคะ เคยเป็นที่พอ สงบ ดิ่ง นิ่ง ปิติ สุข แล้วลมหายใจเบา เบามาก และต่อมาก็รู้สึกว่าไม่หายใจ คือร่างกายไม่ต้องการลมเข้าชั่วระยะหนึ่งเลย แต่ก็ปล่อยไปตามธรรมชาตินะคะ ดูไปจนกว่าจะหายใจ ไม่ได้บีบคั้นอะไร
     
  4. pannich

    pannich สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    14
    ค่าพลัง:
    +18
     
  5. chocolate kiss

    chocolate kiss Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กันยายน 2011
    โพสต์:
    60
    ค่าพลัง:
    +95
    ขอบคุณมากและขออนุโมทนาในทานค่ะ :cool:
     
  6. ติงติง

    ติงติง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    38,272
    ค่าพลัง:
    +82,730
    ขอขอบพระคุณคุณคุรุวาโรมากนะคะ ^^
    พอดีที่บ้านมีลูกแก้วพญานาคสีเขียวน้ำทะเลองค์หนึ่งคะ หนักประมาณ ๒๕ กิโลกรัม พอเห็นก็รู้สึกรักใคร่ผูกพันมาก ทีแรกคิดว่าจะนำไปถวายวัด แต่ด้วยความผูกพันจึงบูชาไว้ในห้องพระ แล้วหาลูกแก้วองค์ที่โตกว่าหนัก ๓๕ กิโลกรัมสีเขียวมรกตไปถวายแทนค่ะ

    ขอความกรุณาท่านช่วยแนะนำกรรมฐานที่ถูกจริต และแนวทางในการปฏิบัติเพื่อความก้าวหน้าในทางธรรมด้วยค่ะ กราบอนุโมทนา.
     
  7. dollyta

    dollyta เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 เมษายน 2009
    โพสต์:
    808
    ค่าพลัง:
    +297
    ถือว่าเป็นคำถามต่อแล้วกันครับ *-*:boo:
     
  8. phutsa

    phutsa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    261
    ค่าพลัง:
    +852
    ขอทราบด้วยคนครับ ผมอยากรู้ว่ากรรมฐานกองใดที่ผมเคยได้มาในอดีต แล้วฝึกในชาติปัจจุบันแล้ว จะได้ผลเร็วที่สุุดขอคุณคุุรุวาโรได้โปรดสงเคราะห์บอกกรรมฐานกองนั้นแก่ผมเถิดครับ ขอบคุณมาก ๆ ครับ
     
  9. คุรุวาโร

    คุรุวาโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    3,465
    ค่าพลัง:
    +13,430
    อดีตมาจากสัมเวสีครับ ชาตินี้พวกเขาตามคุณมาด้วยครับ ประมาณอายุ ก่อน 20 ปี พวกเขาพยายามมาเตือนคุณ เช่น นอนทับคุณบ้าง ทำให้หายใจไม่ออกบ้างนะครับ หลังจากนั้นคุณเคยไปฝึกวิชาบางอย่างที่เกี่ยวกับนิมิตครับ และก็ได้นิมิตมาจริงๆ เมื่อติดนิมิตโอกาสจะแก้ ต้องฝึกกสินน้ำครับ เพื่อแก้นิมิตก่อน ไม่นั้นยากที่จะก้าวหน้าครับ

    ขอให้เจริญในธรรมครับ
     
  10. คุรุวาโร

    คุรุวาโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    3,465
    ค่าพลัง:
    +13,430
    อดีตมาจากคน ที่เป็นโยคี เรียนวิชาไสยดำนะครับ ชาตินี้เวลานั่งสมาธิอาจจะเคยเห็นนิมิตสีดำเป็นวงๆครับ ภาวนาพุทโธ นะดีแล้วครับ แต่ต้องทำพิธีกั้นมารซะหน่อยครับ ในกระทู้นี้ผมเขียนไว้อยู่ครับ
     
  11. sinfadza

    sinfadza Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    164
    ค่าพลัง:
    +37
    ว่าทำไมชาตินี้มีอต่เรื่องทุกข์ใจต่างๆนาๆชีวิตไม่เป็นสุขเลยครับ

    เรื่องพิธีกั้นมาร รบกวนช่วยบอกหน้าหน่อยนะครับว่าอยู่หน้าที่เท่าไหร่จักขอบพระคุณมากเลยครับ

    ช่วยแนะนำให้ผมหลุดพ้นจากความคิดฟุ้งซ่านเหล่านี้ด้วยเถิดครับ

    ขอบพระคุณมากครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 ตุลาคม 2011
  12. mamypogo

    mamypogo Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กันยายน 2011
    โพสต์:
    54
    ค่าพลัง:
    +60
     
  13. คุรุวาโร

    คุรุวาโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    3,465
    ค่าพลัง:
    +13,430
    fuller

    สังขารมันเป็นเรื่องของธาตุที่ไม่เสมอกันนะครับ ลองหาวัตถุมงคลของพระอาจารย์ฝั้น มาอารธนาติดตัวดูครับ และเจริญพระคาถาที่ลงไว้ในเหรียญนั้น คือคาถานกยูงทอง สวดทุกเช้า-ค่ำ ก็น่าจะดีขึ้นครับ

    ขอให้เจริญในธรรมครับ
     
  14. คุรุวาโร

    คุรุวาโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    3,465
    ค่าพลัง:
    +13,430
    อัปปนาสมาธิ

    ภวังคุปัจเฉท คือ จิตจะรวมเป็นหนึ่งตัดอารมณ์ภายนอกทั้งปวงทั้งหมด แล้วก็ตั้งอยู่เป็นหนึ่งในที่เดียว จะไม่มีอารมณ์ใดๆทั้งหมด นอกจากอารมณ์ของภวังค์ อารมณ์ของภวังค์นี้ คล้ายๆ กับไปอยู่ในที่แจ้งแห่งหนึ่ง มีความรู้สึก แต่ในที่แจ้งนั้นจะเกิดนิมิตมีอาการต่างๆ เช่น เห็นรูปก็จะเพลินในรูปนั้น เห็นแสงสว่าง ก็จะเพลินในแสงสว่างนั้น เมื่อจิตถอนจากภวังคุปัจเฉทะแล้ว จะไม่รู้เรื่องอะไรทั้งหมด หรือรู้ก็เป็นกลางๆ
    อัปปนาฌาน เพ่งจิตอย่างเดียว จนจิตรวมเข้าเป็นหนึ่งเหมือนกันแล้วไม่รู้อะไรทั้งหมด เรียกว่า อัปปนาฌาน สำหรับ อัปปนาสมาธินั้น เหมือนอัปปนาฌาน แต่รวมเข้าไปแล้วมีสติพิจารณาอารมณ์ของสมาธินั้นอยู่ตลอดเวลา เรียกว่า
    อัปปนาสมาธิ
     
  15. mamypogo

    mamypogo Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กันยายน 2011
    โพสต์:
    54
    ค่าพลัง:
    +60
    ถ้าให้เทียบแล้ว อัปปนาฌานนี่เทียบเท่ากับฌานที่เท่าไหร่ครับ ใช่ปฐมฌาน หรือเปล่าครับหรือสูงกว่านั้นครับ
     
  16. คุรุวาโร

    คุรุวาโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    3,465
    ค่าพลัง:
    +13,430
    การตั้งคำบริกรรมของหลวงปู่แหวน

    เริ่มต้นในสายวัดป่า ค่อนข้างยาก นั้นเพิ่มให้อีกแล้วกันครับ
    "นั่งให้สบายๆ เอาขาขวาทับขาซ้าย มือขวาทับมือซ้าย ตั้งกายให้ตรง วางท่าสง่าผ่าเผยยิ้มแย้มแจ่มใส เมื่อกายของเราสบายแล้วระลึกที่พึ่งของเรา คือคุณพระพุทธ คุณพระธรรม คุณพระอริยสงฆ์เป็นสรณะที่พึ่งที่ระลึก ที่กราบไหว้ที่สักการบูชา ให้ระลึกพระพุทธเจ้าอยู่ในใจ พระธรรมอยู่ในใจ พระอริยสงฆ์อยู่ในใจ เชื่อมั่นอย่างนั้นแล้วนึกคำบริกรรมว่า " พุทโธ" ธัมโม สังโฆ พุทโธ ธัมโม
    สังโฆ พุทโธ ธัมโม สังโฆ " สามหนแล้วให้รวมเป็น"พุทโธ พุทโธ" อย่างเดียว
    หลับตา งับปากเสีย ระลึกเอาในใจ "พุทโธไ คือ ความรู้ ระลึกเข้าไปในใจ ลิ้นก็ไม่กระดุกกระดิก ระลึกเอาในใจของเรา พุทโธ คือความรู้อยู่ตรงไหนแล้วตั้งสติไว้ตรงนั้น ตาที่เพ่งดูที่ตรงนั้น หูก็ไปฟังที่ตรงนั้น ดูเพื่อเหตุใดฟังเพื่อเหตุใด
    เราอยากได้ยินเราอยากรู้เราอยากเห็นว่าบุญกุศลมันเป็นยังไง บาปมันเป็นยังไง สุขมันเป็นยังไง ทุกข์มันเป็นยังไง นี่เราอยากรู้ เรามาทำบุญ ได้บุญหรือยัง ให้ดู จิตของเรานี่แหละคือ พุทธะ ผู้รู้ พากันกำหนด ณุ้ว่าผู้รู้อยู่ตรงไหนแล้วตั้งสติตรงนั้น เพ่งดูไปตรงนั้น พอจิตสงบดี มีความสุขความสบาย เย็นอกเย็นใจไม่ทุกข์ไม่ร้อนไม่วุ่น นี่นำความสุขความเจริญมาให้ในปัจจุบันและในเบื้องหน้า ดูจิตของเราอย่างนี้แหละ เราทำอย่างนี้ต้องการความสุขความเจริญ พยายามปลดปล่อย สัญญาอารมณ์ทั้งหมดทั้งอดีต อนาคต แล้วภาวนาในใจว่า
    "พุทโธๆ" จนกว่าใจจะหยุดนิ่งจึงทิ้งคำภาวนา
    ต่อจากนี้จงสังเกตุดูลมหายใจเข้าออก ว่าช้า-เร็ว ยาวสั้น หนักเบา หยาบละเอียด อย่างไร ถ้าอย่างใดดีเป็นที่สบาย ก็จงรักษาลมนั้นๆไว้ให้คงที่ ถ้าอย่างใดไม่ดีไม่สะดวก ไม่สบาย ก็จงปรับปรุงแก้ไขและตกแต่งให้พอดี ใช้ธรรมวิจยสัมโพชฌงค์ เป็นหลักพิจารณา(ตอนที่ขยับขยายเปลี่ยนแปลงนี้ ไม่ต้องใช้คำภาวนา ทิ้งคำว่า พุทโธ เสียก็ได้) ต้องคอยระวังจิตอย่าให้วอกแวก หวั่นไหว และแส่ส่ายไปตามสัญญาอารมณืภายนอก วางตัวเฉยเหมือนกับมีเรานั่งอยู่คนเดียวในโลก
     
  17. คุรุวาโร

    คุรุวาโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    3,465
    ค่าพลัง:
    +13,430
    สัญญาทั้งหมดเป็นตัว สังขาร คือจิตคือนึกไปในเรื่องราวต่างๆ ทั้งอดีต อนาคต แล้วก็เกิดปรุงแต่งเป็นดีไม่ดี ชอบไม่ชอบ สิ่งที่ทำให้ดวงจิตเกิดความไม่สงบวุ่นวายเหล่านี้ จัดเป็นนิวรณธรรมทั้งสิ้น เป็นตัวสังขารที่ปรุงแต่งใจ เป็นตัวทำลายความดี ในการเจริญสมาธิ เพราะฉะนั้นเราต้องจำเป็นต้องขจัดทิ้งให้ทั้งหมด ตัวสังขารนี้ ถ้าคิดนึกไปในเรื่องของโลก ก็เป็นสังขารโลก ถ้านึกไปในเรื่องของธรรมก็เป็ฯสังขารธรรม ทั้งสองอย่างนี้ ย่อมเกิดจาก อวิชชา คือความไม่รู้ ถ้าตัวไม่รู้นี้ดับก็จะเกิด วิชชา ขึ้นมาแทนที่ ฉะนั้น เราต้องพยายามเพิ่มกำลังแห่งสมาธิขึ้นอีก จนสังขารเหล่านี้ดับไป เมื่อนั้น อวิชชาก็จะดับไปด้วย คงเหลือแต่ วิชชา คือตัวรู้ ตัวรู้อันนี้เป็นตัว ปัญญา แต่เป็นปัญญาที่เกิดขึ้นในตัวเอง เกิดจากความสงบนิ่งของดวงจิตที่ตั้งอยู่ในปัจจุบันธรรมเป็นตัวความรู้ที่ลึกซึ้งมาก แต่ตัวรู้นี้ยังเป็นโลกีย์ปัญญา เพราะเกิดจากสัญญา ยังเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับชาติภพอยู่ บางทีก็ไปรู้ในเรื่องอดีต รู้เห็นชาติภพของตนเองที่เป็นมาแล้ว เรียกว่า บุพเพนิวาสญาณ
     
  18. phutsa

    phutsa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    261
    ค่าพลัง:
    +852
    โอ้ จริงดังที่คุณคุรุวาโรว่าเลยครับ สมัยเด็ก ๆ ผมชอบถูกผีอำ มานอนทับ แล้วทำให้หายใจไม่ออก แต่พอโตมา ๆ ก็เริ่มหายไป หรือจะเป็นเพราะผมอายุเกิน 20 ปี เขาก็ไป ทุกครั้งที่ผีอำผมจะตกใจกลัวและโกรธมากนึกว่าเป็นเจ้ากรรมนายเวรมาแกล้ง ก็พยายามนั่งสมาธิ สวดมนต์ไปให้ แล้วผมเลยคิดอยากฝึกวิธีที่สามารถติดต่อกับเขาได้ ผมเลยศึกไปฝึกมโนมยิทธิ ของหลวงพ่อฤาษีลิงดำมาครับ แต่แล้วด้วยภาระทางโลกก็ทำให้ผมหยุดฝึก เพราะการฝึกต้องมีครูมีคอยตรวจทานผมฝึกคนเดียวกลัวจะเป็นอุปาทานเลยเลิกไปครับ ส่วนเรื่องเตือนนี้ผมอยากรู้ว่าเขามาเตือนอะไรเหรอครับ เพราะผมเข้าใจผิดคิดว่าเขามาแกล้ง จนผมโกรธขนาดว่าในเมื่อเขาจองเวรเราขนาดนี้ ถ้ามีโอกาสผมจะจองเวรคืนบ้าง(ตอนนั้นโทสะแรงมาก เพราะโดนบ่อย ๆ) ต่อไปผมก็จะลองฝึกกสิณน้ำดังคำที่คุณคุรุวาโรว่า เพราะเหจตุการณ์ทั้งหมดตรงกับผมเลยครับ แล้วผมอยากรู้ว่าเขามาเตือนอะไรผมครับ หรือต้องการส่วนบุญ ขอบคุณมากครับ
     
  19. คุรุวาโร

    คุรุวาโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    3,465
    ค่าพลัง:
    +13,430
    ญาตปริญญาวิธี

    เจริญญาตปริญญาวิธี คือ ทำความรู้อยูเฉยๆ หรือมีสติกำหนดจิตนิ่งเฉยต่อนิมิตนั้นๆ ทุกประการ เมื่อนักปฏิบัติใหม่ ในเวลานั่งสมาธิภาวนาจิตกำลังสงบตั่งมั่นเป็นขณิกสมาธิ หรือ อุปจารสมาธิ แล้วกำลังก้าวหน้าเข้าสู่อัปปนาสมาธิ บังเกิดนิมิตอันใดอันหนึ่งมาปรากฏเฉพาะหน้า ครั้นจะถือเอานิมิตนั้นเป็นอารมณ์ก็ถือไม่ได้ เพราะเป็นเหตุให้เผลอสติ จิตนั้นก็ถอนจากสมาธิ นิมิตนั้นก็หายไป จำเป็นต้องเจริญญาตปริญญาวิธี คือมีสติกำหนดจิตทำความกำหนดรู้นิ่งเฉยอยู่ตลอดเวลา จนกว่านิมิตนั้นสงบหายไปเอง
    ญาตปริญญาวิธีนี้ เป็นวิธีอบรมบ่มอินทรีย์ให้มีกำลังแก่กล้า คือ ทำให้จิตของเรามีความเชื่อมั่นและมีความเพียรมากขึ้น มีสติดีขึ้นตลอด ทำให้จิตตั้งมั่นแน่วแน่จริงๆ จนเกิดมีปัญญาเฉลียดฉลาดมากขึ้นโดยลำดับ
    ความรู้ความเห็นบางประการบังเกิดขึ้น แล้วกลายเป็น สัญญาวิปลาส จิตวิปลาส ทิฐิวิปลาส ความรู้ความเห็นเหล่านั้นไม่ใช่เป็นความรู้ความเห็นจริงในพระธรรมวินัย เป็นความรู้ความเห็นที่เกิดจากความหวั่นไหวง่อนแง่นไปตามอารมณ์สัญญาและนึกเดา หรือคาดคะเนเอาจากนิมิตต่างๆ เนื่องด้วยเหตุนี้ เมื่อความรู้ความเห็นเกิดขึ้น อย่าพึ่งรู้หน้าเดียวเห็นหน้าเดียว ให้พึงเจริญญาตปริญญาวิธี ทำความเป็นผู้ไม่ยินดียินร้ายในความรู้ความเห็นเหล่านั้น

    การเจริญญาตปริญญาวิธี มีอานิสงส์มากสามารถทรมานจิตให้ละพยศอันร้ายได้ คือในเมื่อไม่ยินดี ไม่ยินร้ายในความรู้ ความเห็น และในนิมิตต่างๆ ที่เกิดขึ้น ตลอดไม่ส่งจิตให้คิดไปตามเช่นนั้น ตัณหา ความดิ้นรนกระวนกระวายย่อมบังเกิดขึ้น เป็นพยศร้ายแรงแห่งจิต คืออยากให้นิมิตนั้นแจ่มแจ้งยิ่งขึ้น หรือมิฉะนั้น เมื่อได้เห็นซึ่งนิมิตที่น่ากลัว ก็อยากให้นิมิตที่น่ากลัวนั้นหายไป เมื่อนิมิต
    ที่น่ากลัวนั้นไม่หายไปตามประสงค์ ก็บังเกิดความเสียใจ และร้อนใจ ไม่อยากพบ ไม่อยากเห็นซึ่งนิมิตที่น่ากลัวนั้นเสียเลย ชื่อว่าพยศอันร้าย

    ครั้นเมื่อจิตบังเกิดพยศอันร้ายดังกล่าวแล้ว ปฏฺฆะกับความประมาทก็บังเกิดขึ้นพร้อม เป็นเหตุให้เสื่อมศรัทธา ท้อถอยจากการปฏิบัติ
    เมื่อจิตสงบตั้งมั่นลงได้แล้ว ตัณหาทั้งสาม คือ กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา ก็สงบไปเอง เมื่อทรมานจิตให้ละพยศอันร้ายได้แล้ว ย่อมบำเพ็ญสมาธิดำเนินตามหนทางอริยมรรคได้ดี
     
  20. หม้อหุงข้าว..!

    หม้อหุงข้าว..! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,103
    ค่าพลัง:
    +1,072
    อนุโมทนา กับ คุณ คุรุวาโร ด้วยนะ :cool:

    หลักอิทธิบาท4 นี่ก็สำคัญมากต่อการปรารภความเพียร
     

แชร์หน้านี้

Loading...